คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : CHAPTER 06 :: He's Back
CHAPTER 06
He’s Back
หลังจากทำงานกับมิดไนท์แกรนด์เพอร์ฟูมมาได้สองเดือน โอเซฮุนคิดว่าเขาพอจะเริ่มชินกับตำแหน่งเลขาบ้างแล้ว ทั้งเรื่องประสานงานและการตามอารมณ์เจ้านายให้ทัน
คิมจงอินสร้างเรื่องให้คนในบริษัทเข้าใจว่าต้องลงไปดูโรงงานที่ช็อลลาใต้ เป็นแบบนี้อยู่เดือนละสองครั้ง ซึ่งก็ไม่มีใครตั้งคำถามว่าทำไมถึงขนกันไปทั้งบ้าน ช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นอะไรเช่นนี้
โอเซฮุนเข้าใจ เพราะพักหลังเจ้านายเริ่มหงุดหงิดและเกรี้ยวกราดราวกับว่าอยากฉีกร่างพนักงานเป็นสองท่อนเพียงเพราะยืนขวางทางเดิน ซึ่งสาเหตุก็คือคิมจงอินพยายามใช้ชีวิตเป็นมนุษย์นานเกินสองอาทิตย์ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทรมานสำหรับหมาป่าที่ต้องการออกล่า
ด้วยความเป็นเลขาที่เข้าใจหัวอกเจ้านายเป็นอย่างดี จึงบอกให้ครอบครัวหมาป่าลงไปดูงานที่ช็อลลาใต้ให้เรียบร้อย และกลับมาทำงานอย่างเป็นผู้เป็นคนในโซล ซึ่งคิมจงอินก็ไม่ได้อ้าปากบอกว่าที่ยังอยู่ตรงนี้ก็เพราะกลัวโอเซฮุนจะชิ่ง หอบข้าวหอบของหนีไปอยู่จังหวัดอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอเจ้านายหมาป่า
เพราะผู้ชายคนนั้นแค่ยิ้ม พร้อมแสดงความหวังดีโดยการบอกกับเขาว่า
‘ดูแลตัวเองด้วย มันคงดีถ้าหากผมกลับมาแล้วเห็นว่าคุณยังนั่งทำงานอยู่หน้าห้อง มากกว่าการเห็นพนักงานพร้อมใจกันใส่ชุดดำเพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับเลขาส่วนตัวของผม’
ตอนนั้นก็แอบหวั่นใจ แต่พอเจ้านายไปก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุร้ายอะไรเลยสักอย่าง จนอดคิดไม่ได้ว่าความอันตรายที่แท้จริงมันมาจากคนอื่นหรือตัวคิมจงอินกันแน่ ข่าวลือยังคงมีเข้าหูอยู่เรื่อย ๆ บ้างก็บอกว่าที่เขาทำงานได้นานขนาดนี้ก็เพราะเป็นผู้ชาย บ้างก็บอกว่าเจ้านายหมดสนุกแล้วเพราะโดนใบแดงจากคุณหญิง
แต่การไม่เจ็บไม่ตายย่อมเป็นเรื่องดี แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเลขาคนก่อน ๆ ของซีอีโอหนุ่มบริษัทมิดไนท์แกรนด์เพอร์ฟูมนั้นหายไปไหน ช่วงเวลาหนึ่งมันกลายเป็นคำถามที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารยามพักเที่ยง แต่พอมีข่าวลือเรื่องรุ่นพี่ฝ่ายบริหารแอบมีเมียน้อยเป็นสาวฝ่ายบัญชี ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าเรียบร้อยและสวยไม่สู้เมียหลวงที่อยู่ฝ่ายพีอาร์ เรื่องเลขาคนเก่าจึงถูกโยนลงถังขยะไปโดยปริยาย
โอเซฮุนยังไปทำงานตอนเช้าและกินมื้อเย็นที่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากับยายและพี่สาวทั้งสองเหมือนทุกวัน ความสุขที่เกิดขึ้นเพราะของอร่อย บทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อนร่วมงาน สภาพอากาศ และชายหนุ่มที่ตามจีบพี่เซจอง ซึ่งเธอไม่คิดจะสนใจ
เซฮุนรู้สึกดีเสมอตอนเห็นรอยยิ้มของหญิงชราที่ไม่ยอมนั่งอยู่เฉย ๆ ยายยังคงไปตลาด หยิบจับนู่นนี่นั่นและทำกับข้าวเพราะกลัวหลานไม่อิ่มท้อง แม้จะยังเดินไหวแต่ก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี เขาไม่รู้เลยว่ายายจะอยู่กับหลานทั้งสามคนไปได้อีกนานเท่าไหร่
คนตัวผอมเช็ดไอน้ำบนกระจกพร้อมมองใบหน้าและกลุ่มผมที่เปียกชุ่มหลังจากอาบน้ำเสร็จ ก่อนจะพลิกตัวหันหลังมองรอยแผลเป็นที่เกิดจากกรงเล็บหมาป่าเมื่อสองเดือนที่แล้ว เขามองมันอยู่แค่ครู่เดียว จึงละทิ้งความทรงจำเหล่านั้นแล้วออกไปแต่งตัวเพื่อเตรียมไปทำงาน
ชีวิตที่ไม่มีการติดต่อจากคิมจงอินก็ดีไปอีกแบบ ไม่ต้องคอยลับฝีปากและพยายามเข้าใจชีวิตและความรู้สึกของหมาป่า เมื่อเดือนก่อนเจ้านายหายไปไม่ถึงห้าวัน ถ้าเดือนนี้ไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน คาดว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเขาอาจได้เห็นเจ้านายเดินเข้าบริษัทพร้อมคำถามทางสายตาว่า ‘มีอะไร’ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองนั่นแหละมี
*
งานบนโต๊ะยังคงมีให้สนใจมากกว่าเรื่องใด ๆ ในโลก เซฮุนกดคลิ๊กเมาท์เป็นครั้งสุดท้าย บิดเนื้อบิดตัวพอให้หายเมื่อย ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าลิฟต์เพื่อลงไปซื้อกาแฟชั้นล่าง ช่วงนี้มีโปรโมชั่นอยู่ด้วย ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง เขาจะดื่มมันทั้งสองแก้วคนเดียวนั่นแหละ
แต่พอประตูลิฟต์เปิดออกนัยน์ตาก็เบิกกว้างเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างในคือเจ้านายซึ่งไม่รู้ว่ากลับโซลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ขนาดเดือนก่อนคิมจงอินยังมีโทรมาบอกล่วงหน้าว่าให้เตรียมเอกสารที่ต้องเซ็นไว้ และตอนนี้เซฮุนไม่คิดว่ามันคือการเซอร์ไพรส์ สำหรับลูกจ้างที่ไม่ได้น่าพิศวาสอย่างเขา
“เข้ามาไหม?” ชายหนุ่มผิวแทนกดลิฟต์ค้างไว้ พร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ซึ่งคนตัวผอมก็เดินเข้ามา แต่สร้างระยะห่างไว้จนแขนซ้ายเกือบชิดกับผนังลิฟต์
“ไม่เห็นบอกก่อนเลยว่าจะมา”
“อยากให้บอกเหรอ?”
“มันเป็นเรื่องที่คุณจำเป็นต้องบอกผมต่างหาก” เซฮุนชำเลืองมองอีกฝ่ายที่กำลังอมยิ้มโดยไม่หันมามองหน้าเขาเลยสักนิด “แล้วอะไรดลใจให้ใส่ชุดนี้มาทำงาน”
คนตัวผอมไม่ใช่พวกชอบมองใครตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าสีผมดำสนิทของอีกฝ่าย กับเสื้อหนังสีน้ำตาลคู่กับกางเกงยีนส์และรองเท้าหนังกลับนั้นทำให้รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“คุณไม่ชอบ?”
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมหรือเปล่า คุณเป็นประธานบริษัท แต่งตัวแบบนี้เข้ามาเดี๋ยวก็ถูกเอาไปเขียนข่าวอีกหรอก” มันใช่เรื่องที่เขาต้องบ่นไหม แล้วอะไรที่ผู้ชายคนนั้นไม่เคยจะตอบให้ตรงคำถาม แต่กลับย้อนมาเพื่อให้เขาตอบ
เซฮุนถอนหายใจกับท่าทีแบบนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่และมนุษย์อย่างเขาไม่สามารถรับรู้ได้ กลับมาถึงก็เริ่มทำให้ปวดหัวเลยสินะ
ชายหนุ่มผิวแทนหันมาสบตากับเขาราวกับว่าได้ยินเสียงความคิดซึ่งคงไม่น่าใช่ แต่โอเซฮุนก็ไม่สามารถห้ามกลิ่นความรู้สึกตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ได้เหมือนกัน ถ้าคิดจะเล่นสงครามประสาทล่ะก็... บอกเลยว่าตอนนี้ยังไม่พร้อม อย่างน้อยโอเซฮุนก็ต้องได้ม็อกค่าสักแก้วก่อน
“อะไร”
“...”
พอได้สบตากันชัด ๆ เขาถึงรู้ว่าแววตาคู่นั้นต่างไปจากเดิม มันบอกไม่ถูก... จะว่าโอเซฮุนเก็บรายละเอียดเจ้านายจนสังเกตทุกอย่างก็ไม่ใช่ แต่ดวงตาที่เคยสีน้ำตาลวันนี้กลับกลายเป็นสีอ่อนโดยมีส่วนขอบเป็นสีเข้ม และนั่นสร้างความประหลาดใจจนเกิดคำถามว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเพิ่งกลับมาจากการออกล่าหรือเปล่า จึงทำให้เป็นอย่างนี้
“คุณกำลังสงสัย”
แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เคยรู้เท่าทันคิมจงอินได้เลย
“แต่ผมกลับรู้ไม่ได้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่” คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย ไม่เหลือคราบสายตาของความมั่นใจที่เคยมองมายิ้มเขา อยู่ ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ดูจริงจังขึ้นมา ราวกับว่าหัวเสียกับประโยคที่ตนเองเพิ่งพูดไป
“แต่คุณรู้จากกลิ่นผมได้ แค่เล่าให้ฟังนะ ไม่ได้บอกให้ทำ” เซฮุนขมวดคิ้วขู่ เขายังมีงานให้ทำอีกมาก และการได้กาแฟสักแก้วก่อนกลับไปจมกับโต๊ะทำงานคงเป็นอะไรที่ดีกว่าการยืนจิตวิทยากับเจ้านายแน่
“กลิ่น?” เจ้าของดวงตาสีฮาเซลขมวดคิ้วพร้อมทวนคำพูด
เซฮุนขยับปากแบบไม่มีเสียงว่า ‘ปิดจมูกซะ’ พร้อมใช้สองนิ้วบีบปลายจมูกรั้นของตนเองเป็นท่าประกอบใส่เจ้านายที่เอาแต่ทำตัวแปลก ๆ กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก
คนตัวผอมเป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน แต่ยังไม่ถึงสองก้าวร่างของเขาก็เซถอยหลังจนต้องเปลี่ยนทิศทางเพราะถูกอีกคนคว้าแขนให้เดินไปด้วยกัน เซฮุนเบิกตากว้างมองคนเป็นเจ้านาย เขาพยายามชักแขนกลับแต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายยิ่งออกแรงมากขึ้นจนร่างของเขาถลาไปข้างหน้า
“นี่คุณ?”
มือของผู้ชายคนนี้เย็นยะเยือกราวกับเพิ่งออกมาจากตู้แช่แข็ง มันแปลกไปจากทุกครั้งที่ตัวของคิมจงอินจะร้อนระอุเหมือนคนมีไข้อยู่ตลอดเวลา ประตูบันไดถูกผลักเข้าไปและผู้ชายผิวแทนยังคงลากเขาลงไปจนถึงลานจอดรถชั้นใต้ดินซึ่งในเวลานี้ไม่มีใครอยู่
“ผมเจ็บนะ จะไปไหนบอกกันดี ๆ ก็ได้” โอเซฮุนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว เขาตัดสินใจสะบัดแขนอีกครั้งและคราวนี้มันสำเร็จ
ผู้ชายผิวแทนหันกลับมาด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา เซฮุนถอยหลังหนึ่งก้าวโดยสัญชาติญาณตามจำนวนที่อีกฝ่ายเดินเข้าหา คนตรงหน้ายังคงเป็นคิมจงอินแต่น่าแปลกที่ในใจลึก ๆ กลับรู้สึกว่าไม่ใช่
ดวงตาคู่นั้นยังคงไม่เปลี่ยนสีกลับ ถ้าหากว่าน้ำตาลเข้มคือสีดวงตาที่แท้จริง เสียงรองเท้าก้าวเข้ามาใกล้มาพร้อมความกดดันที่ถาโถมขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งโอเซฮุนไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้เลยสักอย่าง
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ แต่ผมคิดว่ามันจะไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่คุณจะรู้สึกแบบนี้”
“หมายความว่าไง?”
เซฮุนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาหวาด ๆ จนถึงตอนนี้ในหัวก็ยังคงประมวลผลว่าเพราะอะไรเจ้านายถึงแสดงออกแบบนี้ ถ้าหากมันคือการกลั่นแกล้งเลขาเพื่อต้อนรับการกลับมา เขาจะได้บอกให้รู้เสียทีว่าไม่ตลก
เจ้าของดวงตาสีฮาเซลยกยิ้มมุมปาก เท้ามือเย็นเฉียบลงบนเชฟโรเลตคามาโรสีน้ำเงินเข้มโดยที่ยังไม่ละสายตาออกจากใบหน้าคนตัวผอมแม้เสี้ยววินาที
“หมายความว่ายังมีอีกหลายอย่างที่คุณต้องตกใจ”
“...”
“อย่างเช่นเรื่องที่ผมไม่ใช่เจ้านายของคุณ”
เซฮุนเบิกตาโพลง ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นจริง แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธเสียทีเดียวว่าเจ้าของดวงตาสีฮาเซลที่สวมเสื้อหนังกางเกงยีนส์สไตล์ฝั่งยุโรปจะเป็นเจ้านายของเขาได้
แต่หน้าตาและน้ำเสียงที่ได้ยิน --
“เมื่อกี้ผมได้ยินคุณพูดถึงเรื่อง ‘กลิ่น’ แสดงว่าก็คงพอรู้ความลับคิมจงอินพอสมควรสินะ?”
“...”
“ไม่ตอบ แสดงว่าจริง” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขากดรีโมทก่อนจะเปิดประตูรถแล้วบังคับให้คนตัวผอมเข้าไปนั่งข้างใน ซึ่งเซฮุนเพียงนั่งนิ่งโดยไม่รู้ว่าควรทำหรือคิดอะไรในช่วงเวลาที่มีผู้ชายหน้าเหมือนคิมจงอินโผล่มาและบอกว่าไม่ใช่เจ้านายของเขา
“จะพาผมไปไหน”
“ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟ ผมมีร้านประจำที่อยู่แถวอินซาดง ถึงจะเป็นการปล่อยให้มันละลายทิ้งเล่น ๆ แต่การไปที่เดิมซ้ำเกินสามครั้งผมจะเหมาเองว่านั่นเป็นที่ประจำ” ชายหนุ่มสตาร์ทรถพลางหันไปมองคนข้าง ๆ ซึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปจากวินาทีแรกที่ได้สบตากันบนลิฟต์
และจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงอ่านความคิดของโอเซฮุนไม่ได้
“ผมไม่ตลกนะ คุณจะเล่นอะไรก็ได้ แต่ก็ช่วยคิดดี ๆ ก่อนได้ไหม?” เซฮุนไม่ได้หันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังขับรถออกจากบริษัท และไม่สนใจประโยคเมื่อครู่เลยสักนิด
“ทูนหัว คุณไม่รู้หรอกว่าผมใช้เวลาคิดไปกับเรื่องนี้มานานแค่ไหน”
“...”
“ผ่อนคลายหน่อย วันนี้ผมอยากอยู่คุยกับคุณทั้งวัน”
เลขาหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ค่อย ๆ แกะกระดุมตรงข้อมือแล้วถลกขึ้น ก่อนจะพบว่ามีรอยนิ้วซึ่งช้ำเป็นจุด และมันเกิดจากผู้ชายคนนี้
“เจ็บเหรอ ขอโทษนะ ผมควบคุมน้ำหนักมือเวลาแตะต้องคนอื่นไม่ถูก”
“คุณไม่ใช่คิมจงอิน”
“ค่อนข้างคิดได้ช้า ผมนึกว่าคุณจะเอาแต่เรียกผมว่าเจ้านายไปตลอดทั้งวันซะแล้วสิ” คนผิวแทนยังคงพูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องตลก
“...”
“ผมเริ่มอยากรู้แล้วว่าคุณสนิทกันมากขนาดไหน ทำไมไอ้หมอนั่นถึงปล่อยให้คุณรู้ความลับได้”
“แล้วคุณเป็นใคร เป็นพี่ หรือน้องชายฝาแฝดของเขา” ถึงจะหน้าตาเหมือนกันจนแทบแยกแยะไม่ออก แต่ถ้าหากสังเกตประโยคที่อีกฝ่ายพูด มันคล้ายกับว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนในครอบครัวตระกูลคิม
“ไค นั่นคือชื่อผม”
“นามสกุลล่ะ”
“ตามบัตรประชาชนที่จำเป็นต้องมี ผมใช้คิม แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลบ้านเจ้านายของคุณ อย่าเชื่อมโยงเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้ผมหัวเสีย” มือหนาวางลงบนหน้าขาแกร่ง พลางเคาะนิ้วชี้ลงบนยีนส์สีเข้ม ซึ่งดูอารมณ์ดีขัดจากคำพูดเมื่อครู่
“เพราะอะไร” เซฮุนหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงจดจ้องสายตาอยู่กับถนนเบื้องหน้า ก่อนจะค่อย ๆ แอบหยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วก้มกดเบอร์เจ้านาย
“อย่าโทรหาคนอื่นตอนอยู่กับผม” มือเย็นเฉียบคว้าโทรศัพท์และมือทั้งสองข้างของเขาไว้ด้วยมือเดียวทั้งที่ไม่หันมามองเลยสักนิด เซฮุนเริ่มใจเต้นแรงเพราะความกลัวกับสิ่งที่ไม่รู้ เลขาหนุ่มเริ่มจะมั่นใจแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คิมจงอินแน่ ๆ
คนตัวผอมปล่อยให้อีกฝ่ายโยนมือถือไปตรงเบาะหลังโดยที่ไม่สามารถอ้าปากเถียงได้เหมือนตอนอยู่กับใครอีกคน ซึ่งมันเกิดคำถามว่าทำไม? ทั้งที่คิมจงอินก็เป็นหมาป่าที่น่ากลัว และผู้ชายคนนี้ก็เช่นกัน แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร แต่ตอนที่อยู่กับเจ้านายเขาก็ยังมีความกล้ามากกว่านี้
ความเงียบและความอึดอัดโรยตัวอยู่โดยรอบจนรู้สึกคลื่นไส้ กระทั่งสัญญาณไฟจราจรขึ้นสีแดง รถจึงหยุดลงเพื่อให้คนขับรถละสายตาจากเบื้องหน้ามาให้ความสนใจคนข้าง ๆ
“กลัวเหรอ?”
“...”
“หมอนั่นคงแค้นเรื่องที่ผมจับเลขาคนสวยไปเชือดทีละคนใช่ไหม อ่า เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว” เขาหัวเราะ
“คุณเองเหรอที่จัดการกับเลขาคนก่อน ๆ”
“ถ้าตอบว่าใช่ คุณจะทำยังไง?” เจ้าของตาสีฮาเซลยังคงมองมาอย่างนึกสนุก
“คำตอบของผมจะมีผลอะไร”
“ไม่รู้สิ ผมอาจจะค่อย ๆ ฝังเขี้ยวลงไปบนซอกคอขาว ๆ ของคุณ แล้วบังคับให้พูดว่าเพราะอะไรผมถึงอ่านใจคุณไม่ได้ล่ะมั้งเซฮุน?”
“ผมจะรู้กับคุณไหม?! ผมรู้แค่ว่าผมทำงานเป็นเลขาในบริษัทน้ำหอม ได้เงินเดือนจากเขา ทุกอย่างมันวนเวียนอยู่แบบนี้มาสองเดือนแล้ว!” เซฮุนโพล่งออกมาอย่างเหลืออด แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยทำให้อีกฝ่ายเชื่อได้เลย เมื่อดวงตาคู่นั้นยังคงเฉย และรอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าก็ยังไม่หายไป
“แต่คุณรู้เรื่องภายในของครอบครัวหมาป่า งั้นแสดงว่าก็คงมีฝีมือพอตัวอยู่” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว มองอีกฝ่ายอย่างพอใจ จนถึงวินาทีนี้ เขาก็คงยังพยายามสังเกตเลขาคนใหม่ของมิดไนท์แกรนด์เพอร์ฟูมส์ว่าเป็นใครกันแน่
“เขาไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น ผมเป็นแค่คนธรรมดา” เซฮุนหันไปสบตากับคนหน้าเหมือนเจ้านาย แม้จะกลัวจนมือเย็นเฉียบ แต่ถ้าหากเงียบ เขาก็คงมีจุดจบเหมือนเลขาคนก่อน ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
“คุณไม่ได้โดนหมาป่ากัด” ชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ซอกคอขาว หลับตาสูดดมกลิ่นหอมของคนตัวผอมพลางเลียริมฝีปากอย่างห้ามใจ เซฮุนนั่งตัวสั่นเกร็งพร้อมบีบมือเข้าหากันแน่น “แล้วคุณเป็นอะไร?”
“คุณนั่นแหละเป็นตัวอะไร?!” เซฮุนโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ท่ามกลางความกดดันที่เกิดขึ้นในพื้นที่แคบบนรถยนต์ซึ่งอยู่กลางถนน
ชายหนุ่มผิวแทนยังคงยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า เกลี่ยหลังมือลงบนแก้มขาวซึ่งพยายามเบี่ยงหลบความเย็นจากปลายนิ้ว เขาไม่หัวเสียนักถ้าหากอีกฝ่ายยังไม่ยอมคายความลับออกมาในตอนนี้
“ผมเป็นแวมไพร์”
แม้จะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่หมาป่าหรือมนุษย์ แต่สิ่งที่พูดออกมาก็สร้างความตกใจจนพูดไม่ออก เซฮุนสะดุ้งเมื่อถูกมือหนาคว้าข้อมือ ก่อนจะกระชากเข้าหาจนใบหน้าห่างกันเพียงคืบเดียว
“และถ้าไม่อยากตาย ก็รีบย้ายก้นกลม ๆ ของคุณออกจากครอบครัวหมาป่าแล้วมาอยู่กับผมซะ”
*
เจ้าของสูททอมฟอร์ดสีน้ำเงินเดินเข้าบริษัทพร้อมพยักหน้ารับเมื่อพนักงานทำความเคารพ รองเท้าหนังมันเงาย่ำไปบนพื้นจนเกิดเสียง ก่อนขายาวจะหยุดลงเมื่อไม่พบเลขานั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยพลางก้าวไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะซึ่งมีงานที่ยังทำค้างไว้อยู่ จับเอกสารพลิกไปมาอยู่ในที ก่อนจะมองหน้าจอที่ขึ้นเป็นสีดำสนิท บ่งบอกว่าเจ้าของโต๊ะห่างหายจากการใช้งานมันไปช่วงเวลาหนึ่งแล้ว
ซีอีโอหนุ่มตรงออกไปด้านนอกพร้อมกระดิกนิ้วชี้เรียกพนักงานสาวที่กำลังหอบแฟ้มเอกสารแนบอก แม้ว่าเธอจะเร่งรีบ แต่ส้นสูงสีดำคู่นั้นก็วิ่งเข้าหาเจ้านายหน้าหล่อโดยไม่ปล่อยให้เขาต้องรอ
“เห็นเซฮุนหรือเปล่า?”
“คะ? ฉันเห็นเขาไปกับบอสเมื่อช่วงสาย ๆ น่ะค่ะ แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“กับผม?” ชายหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ชี้หน้าตนเองเป็นท่าประกอบ และเธอก็ผงกศีรษะ
“ค่ะ บอสมีอะไรหรือเปล่าคะ?” จงอินนิ่งไป เขาไม่ได้ตอบคำถามเธอในทันที มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งกลับถึงโซลเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
“แน่ใจเหรอว่าเป็นผม”
“แน่สิคะ ฉันเห็นกับตาเลยว่าบอสน่ะถูลู่ถูกังเขาออกมาจากลิฟต์ แต่ว่าบอสเปลี่ยนชุดกับสีผมเร็วเหมือนกันนะคะ ฉันว่าลุคส์เมื่อเช้าเท่มากเลย แต่ลุคนี้ก็ดูดีค่ะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนรอยยิ้มจะค่อย ๆ จางหายไปเมื่อเห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายเริ่มไม่ค่อยดีนัก
“เขายังไม่กลับมาตั้งแต่ตอนนั้นเหรอ?”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ตอนเที่ยงก็ไม่ออกเห็นไปกินข้าวกับกลุ่มพี่โซรานะคะ บอสลองโทรตามเขาหรือยัง?”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ ไปทำงานต่อเถอะ” ชายหนุ่มยิ้มตามมารยาท พยักหน้ารับเมื่ออีกฝ่ายโค้งศีรษะหลังจากบทสนทนาสิ้นสุดลง
ซีอีโอหนุ่มยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและใช้เวลาไปกับการครุ่นคิด เขายังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของพนักงานสาวว่าคนที่พาคนเป็นเลขาออกไปนั้นเป็นใคร แต่ก็ทนวางใจแล้วปล่อยผ่านไปไม่ได้
จากที่สังเกตด้วยตัวเองและใช้ประสบการณ์ชีวิตบนโลกเจ็ดสิบกว่าปีไตร่ตรอง โอเซฮุนไม่สนิทกับเพื่อนร่วมงานฝ่ายชายคนไหนที่พอจะถึงเนื้อถึงตัวได้นอกจากเขา ดังนั้นสิ่งที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดจึงน่ากังวลขึ้นมา ซึ่งคิมจงอินรู้อยู่แก่ใจว่ามันต้องเกิดขึ้นสักวัน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
ขายาวเดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวแล้วตรงไปหยุดอยู่หน้าผนังกระจกใสซึ่งมองเห็นกรุงโซลได้จนสุดสายตา ชายหนุ่มผิวแทนล้วงสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋าสูทด้านในเพื่อกดเปิดเครื่อง และสิ่งแรกที่เด้งขึ้นมาคือ... แจ้งการเคยโทรเข้าของโอเซฮุน
“...”
คนเป็นเจ้านายกดโทรกลับไปอย่างไม่รีรอ มันคงเป็นเรื่องดีถ้าหากคนช่างพูดรับสายแล้วบ่นเขาว่าเข้าบริษัทอะไรเอาป่านนี้
ระหว่างการรอเสียงสิ่งแวดล้อมโดยรอบก็ผ่านเข้ามาในหู ทั้งเสียงเคาะนิ้วลงบนคีย์บอร์ดของพนักงานที่อยู่อีกฝั่งของชั้น เสียงคุยโทรศัพท์ติดต่องาน เสียงบีบแตรบนถนน และเสียงเข็มนาฬิกาข้อมือแทคฮอยเออร์ แม้จะบางเบา แต่เขาก็ได้ยินเสียงความกดดันในการรออย่างชัดเจน
“คุณอยู่ไหน?” ทันที่ที่ปลายสายกดรับ เขาก็ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายนั้นพูดทักทายก่อน
สิ่งเดียวที่คิมจงอินต้องการได้ยินตอนนี้คือเสียงเป็ด ๆ ของเลขาเพื่อยืนยันว่าความคิดของเขามันเป็นเพียงความกังวลที่เคยเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ เท่านั้น
“ได้ยินหรือเปล่า?”
ตาคมเพ่งมองไปยังกรุงโซลผ่านกระจกใสบนตึกสูงระหว่างรออีกฝ่ายตอบ ฤดูฝนกำลังผ่านพ้นไปแล้ว และเมฆหมอกที่เริ่มปกคลุมกรุงโซลในวันนี้มันกำลังอ้าแขนต้อนรับฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาถึง ซึ่งมันเป็นสัญญาณว่าคนที่จากหายไปทุกช่วงฤดูร้อน... กำลังจะกลับมาเกาหลีอีกครั้ง
( จ... เจ้านาย )
“เซฮุน? คุณอยู่ที่ไหน?”
เสียงกุกกักเพื่อย้ำความวิตกกังวล แม้ไม่ได้กลิ่น แต่หากฟังจากน้ำเสียงก็คงรู้ได้ไม่ยากว่าคนปลายสายกำลังหวาดกลัวมากแค่ไหน
“หายใจเข้าลึก ๆ คุณมองไปรอบ ๆ แล้วบอกผมว่าตรงนั้นมีอะไรบ้าง”
( สะพา -- อื้อ!!! )
( ที่ ๆ หมาอย่างนายตามมาไม่ได้ยังไงล่ะ น้องรัก )
ชายหนุ่มผิวแทนถือสมาร์ทโฟนแนบหูค้างไว้อยู่อย่างนั้นหลังจากได้ยินเสียงที่คุ้นเคยซึ่งห่างหายไปช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนปลายสายจะกดตัดไปเพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้เริ่มเล่นเกมอีกครั้งแล้ว
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดพลางยืนนิ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ น้ำเสียงหวาดกลัวของเซฮุนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เหมือนกับเลขาคนเก่าที่พูดกับเขาเป็นประโยคสุดท้าย แต่มันต่างกันตรงที่เธอเหล่านั้นถูกหลอกไปด้วยความเต็มใจ แต่จากน้ำเสียงของเซฮุนแล้ว เขาเชื่อว่ายังไงก็ไม่ใช่
รองเท้าหนังมันเงาย่ำก้าวออกไปนอกห้องแล้วคว้าสูทสีเทาเข้มของเลขาซึ่งพาดอยู่กับเก้าอี้ขึ้นมา ก่อนจะตรงไปยังหน้าประตูลิฟต์ท่ามกลางความสงสัยของพนักงานที่มักจะให้ความสนใจการเดินเหินไปไหนมาไหนของเจ้านายอยู่เสมอ
เพียงครู่เดียวชายหนุ่มผิวแทนก็พาตัวเองมาถึงลานจอดรถ คิมจงอินไม่เคยวิ่งในร่างมนุษย์และนี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่เขากำลังวิ่งไปยังเบนท์ลี่ย์สีดำเงา ก่อนจะเปิดประตูแล้วแทรกตัวเข้าไปที่ฝั่งคนขับ
สตาร์ทรถแล้วหลับตาลง พยายามสงบสติอารมณ์เพื่อให้กรงเล็บที่กำลังงอกออกมาเพราะโทสะยุบเข้าไป จงอินรู้ดีว่าระหว่างเขากับไอ้สารเลวนั่นไม่สามารถหยุดทุกอย่างได้ด้วยการเจรจา แต่เขาก็คงไม่ปล่อยให้จบลงจากการถูกปั่นหัวด้วยความตายของคนรอบข้างอีกแล้ว
ชายหนุ่มผิวแทนคว้าสูทสีเทาเข้มของเซฮุนขึ้นมา จดจ้องอยู่ครู่หนึ่งพร้อมนึกถึงหน้าคนช่างพูดซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน และการที่จะออกตามหาคนเป็นเลขาได้ก็คงมีทางเดียว
จงอินกดจมูกลงบนสูทพร้อมหลับตา สูดดมเอากลิ่นหอมที่ไม่เหมือนใครเพื่อที่จะออกตามหาและหยุดทุกอย่างไว้ก่อนที่มันจะสายเกินไป เสียงเข็มนาฬิกาข้อมือยังคงดังอยู่ก้องหู เขารับกลิ่นเซฮุนเข้าไปอย่างเต็มที่ ก่อนนัยน์ตาสีแดงเข้มของจ่าฝูงหนุ่มจะเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า
และตอนนี้เขาพอจะรู้แล้วว่าจะไปตามเซฮุนได้ที่ไหน
“เดี๋ยวฉันจะทำให้แกรู้ว่ากำลังเล่นกับใครอยู่”
TBC
คนไหนก็ผัว
ความคิดเห็น