ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #AmongPages ความเงียบสีขาว | KAIHUN

    ลำดับตอนที่ #6 : 06 :: ความเงียบสีขาว #AmongPages (END)

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 58


    M

     

     

     


    (6)

     
     

     

    ( จะกลับพรุ่งนี้แล้ว มึงเก็บกระเป๋ายัง )

     

    ถามเหมือนกูของเยอะ เสื้อผ้านี่ใส่แล้วทิ้งก็ยังได้

     

    ( โธ่เพื่อน กูก็ถามตามประสาคนเคยนั่งทำงานข้างกัน ไม่เจอมึงเกือบเดือนแล้วเหรอเนี่ย นานมาก นานโข รู้สึกเหมือนมึงเพิ่งเมาหัวทิ่มเมื่อวานนี้เอง )

     

    แซะแรงไอ้ห่า เดี๋ยวกูจะรีบกลับไปถีบบัลลังก์มึงให้คว่ำเลย

     

    ( กูกับพี่จุนรออยู่นาจา )

     

    เออ แค่นี้นะ

     

    ผมวางสายจากไอ้ชานยอลแล้วหันไปสนใจกับเพดานสีขาว วันนี้เป็นวันศุกร์และเซฮุนคงกำลังเรียนอยู่ มันอดใจหายไม่ได้ที่รู้ว่าพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงเช้าคือเวลาขึ้นรถไฟกลับโซลและนั่นหมายความว่าผมจะไม่ได้เจอเด็กคนนั้นไปอีกนาน

     

    บ่ายสี่โมงคือเวลาที่ผมปั่นจักรยานไปหาน้องที่บ้าน ซึ่งรอแค่เดี๋ยวเดียวเซฮุนก็กลับมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน เด็กคนนั้นไม่ได้ปั้นหน้าเรียบเฉยตอนเห็นว่าผมนั่งอยู่ชานบ้านกับคุณยาย แต่สิ่งที่เห็นในตอนนี้คือรอยยิ้มตาหยีอย่างจริงใจของเด็กหนุ่มตัวผอม

     

    ผมช่วยเซฮุนทำมื้อเย็น เขาสอนทำเมนูง่าย ๆ เผื่อว่าวันดีคืนดีคนขี้เกียจอย่างคิมจงอินจะแวะเข้าซูเปอร์เพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารกินเอง ระหว่างกินข้าวผมได้แต่ขานตอบว่าครับ... ครับ... เข้าใจแล้วครับ...’ ในตอนที่คุณยายแสดงความเป็นห่วง

     

     

    ผ่อนคลายบ้างนะลูก อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมดูแลตัวเอง

     

     

    คืนนั้นท้องฟ้าโล่งไร้กลุ่มก้อนเมฆสีหม่น ผมกับเซฮุนปั่นจักรยานขึ้นเขาแล้วนอนดูดาวกันโดยที่ไม่มีเวลามาเป็นตัวเร่งให้ต้องรีบกลับ ใช่ ผมยังคงทำตามหนังสือ ’20 อย่างที่ควรทำก่อนตายที่เกือบลืมไปแล้วว่าคนเขียนมันคือผู้หญิงที่เคยรักมากที่สุด

     

    รู้ไหมว่าดวงนั้นคือดาวอะไร ?” ผมหันไปถามและเด็กตัวผอมก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบเศร้า นี่เราสองคนขึ้นมาดูมันกระพริบยิบยับโดยที่ไม่รู้อะไรเลยสินะ

     

    เซฮุนยิ้มตาหยี จากตะเกียงดวงเล็กที่ตั้งอยู่ตรงกลางทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ดีแค่ไหนกับค่ำคืนสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันภายใต้ท้องฟ้ากว้างและดาวบนนั้นชอบเค้กหรือเปล่า ?”

     

    เขาหันมาเลิกคิ้วมองก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเขียนโพสต์-อิทแล้วฉีกให้ผม

     

     

    ทำไมล่ะ แถว ๆ โรงเรียนเราก็มีร้านเบเกอรี่อยู่ไม่ใช่เหรอ ?”

     

     

    อ่า นั่นสินะผมยิ้มขำกับคำตอบที่ฟังแล้วทำให้เด็กคนนี้น่าเอ็นดูเข้าไปอีก การนึกถึงสถานะความเป็นอยู่ในครอบครัวก่อนความชอบของตัวเองนี่น่ารักจริง ๆ

     

     

    แล้วถ้าพี่จะให้ของขวัญสักชิ้นล่ะ เราอยากได้อะไร ?”

     

    คืนนี้อากาศเย็น อีกทั้งลมยังพัดแรง ผมถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วคลุมช่วงตัวให้คนอายุน้อยกว่าก่อนจะเอนตัวลงนอนราบกับก้อนหินเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เซฮุนอมยิ้มมองกลุ่มดาวขณะใช้ความคิดก่อนจะเขียนลงไปในโพสต์-อิท

     

     

    โธ่ เอาที่เป็นสิ่งของสิผมมองอีกคนอย่างอ่อนใจ เซฮุนเลิกคิ้วมองพลางทำตาปริบ ๆ กับคำตอบที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเข้าใจผิดไป

     

     

    พี่หน้าเหมือนสิ่งของไหมล่ะ ?”

     

     

    ต้องรู้ เลือกมาสักอย่างผมคาดคั้นกะให้รู้วันนี้ ถ้าเป็นของหายากจะได้รู้ว่าต้องไปซื้อจากไหน ผมไม่อยากกลับมาหาด้วยมือเปล่าเมื่อเราได้เจอกันอีกครั้ง

     

     

    โอเซฮุน

     

    ถ้าไม่บอกพี่จะเลือกให้เองนะ ?” ผมขมวดคิ้วมอง ให้โอกาสอีกหนึ่งนาที ถ้ายังไม่ตัดสินใจล่ะก็รู้เรื่องเลย

     

    เซฮุนพยักหน้าพร้อมทำมือประกอบเป็นเชิงบอกว่าแล้วแต่เลยซึ่งไอ้คำว่าแล้วแต่นี่แหละที่เป็นปัญหาในสังคมทุกวันนี้ พอ ๆ กับตอนพักเที่ยงที่ออฟฟิศ ผมถามไอ้ชานยอลว่าจะแดกอะไรแล้วมันก็ตอบว่า แล้วแต่เลย กูยังไงก็ได้แต่พอเลือกแล้วมันก็เสือกไม่เอา

     

     

    เชื่อว่าคำ ๆ นี้จะไม่หลุดออกมาถ้าเป็นโอเซฮุนคนที่เจอกันช่วงแรก ๆ ผมอมยิ้มแล้วขยับตะเกียงออกเล็กน้อยเพื่อเหยียดแขนให้อีกฝ่ายขยับมานอนหนุน ซึ่งเขาก็ทำตามอย่างไม่อิดออด

     

    อยากรู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงมาที่นี่ผมหันไปมองคนที่ใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบและเริ่มเล่าต่อเมื่อเขาพยักศีรษะเป็นคำตอบพี่คบกับผู้หญิงคนหนึ่งมาหลายปี เคยอยู่กินด้วยกันจนกระทั่งปีหลัง ๆ เธอเริ่มกลับไปอยู่บ้าน ส่วนพี่ก็บ้างานเลยได้เจอกันน้อยลง เราชอบกลิ่นหนังสือเหมือนกัน ชอบเขียน ชอบที่จะเรียนรู้ แต่ปัญหาและอะไรหลายอย่างทำให้มุมมองของเราทั้งคู่เปลี่ยนไป พี่กับเธอเริ่มมีความเห็นไม่ตรงกัน

     

    ผมเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นเธอขอเลิกด้วยเหตุผลว่าพี่สนใจแต่งาน อะไรอีกก็ไม่รู้ตอนนั้นพี่หูอื้อไปหมดหลังจากได้ยินคำว่า เราเลิกกันเถอะหลุดออกมาจากปากเธอ คล้ายว่าผู้หญิงคนนั้นอยากได้ความแน่นอน อยากมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่งงานมีลูก แต่พี่กลับไม่คิดอย่างนั้น เออ... บางทีความผิดมันอาจจะอยู่ที่พี่เองแหละที่คิดว่าแค่รักกันก็พอ

     

    ผมมองท้องฟ้าแล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆตอนแรกพี่เอาแต่โทษตัวเองสารพัดว่าเป็นแฟนที่ห่วยแตกเธอถึงได้ทิ้งพี่ไป แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำเมื่อวันหนึ่งพี่ดันไปรู้เข้าว่าแฟนที่ห่วยแตกของจริงมันไม่ใช่พี่ แต่กลับเป็นผู้หญิงคนนั้นที่สร้างเรื่องความโศกเศร้าขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองดูดี

     

    ผมแค่นหัวเราะเธอแอบมีคนอื่นมาสักพักแล้ว ฉากน้ำตาตอนนั้นก็แค่หาเรื่องอยากเลิก

     

     

    ใช่ เช้าวันถัดมาหลังงานแต่งงานเธอเลย

     

     

    เซฮุนมองมาอย่างคาดหวัง ซึ่งผมรู้ดีว่าควรตอบแบบไหนถึงจะเอาใจอีกฝ่ายได้ แต่ผมจะไม่ทำอย่างนั้น

     

    ไม่มีใครลืมใครได้หรอกผมยิ้มขณะสบตากับอีกฝ่ายมีทางเดียวที่จะทำให้ลืมผู้หญิงคนนั้นได้คือพี่ต้องความจำเสื่อม แล้วมันก็คงเป็นไปได้ยากด้วย

     

    เด็กหนุ่มตัวผอมพลิกตัวหันเข้าหาแล้วมองมาอย่างจริงจัง ในหัวเด็กคนนี้คงมีคำถามว่าถ้ายังรักเธออยู่ แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าชอบผมล่ะ ?’

     

    ทุกคนที่เรารู้จัก ทั้งที่ยังอยู่ด้วยกันและแค่ผ่านเข้ามาแล้วเดินออกไป เราจะจดจำคนเหล่านั้นได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราผูกพันกับพวกเขามากเท่าไหร่ผมเกลี่ยปอยผมม้าออกจากหน้าผากมนอย่างเบามือบางคนเรียนห้องเดียวกัน เคยคุยกันแค่ตอนอาจารย์สุ่มเรียกชื่อให้ลุกขึ้นอ่านบทสนทนาในคาบ แต่พอผ่านไปสิบปีกลับมาเจอกันอีกครั้งคงต้องคิดหนักว่า ไอ้หมอนี่มันชื่ออะไร ?’

     

    เซฮุนมองผมพูดอย่างตั้งใจโดยที่มีปากกาค้างอยู่ในมือแต่บางคนเราจำได้ดีจนฝังลึกลงไปในใจ เป็นเพราะพวกเขามีผลกระทบในชีวิตเรา มีความสำคัญที่ต้องนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งยกตัวอย่างได้เห็นภาพชัดเจนที่สุดก็คือคนในครอบครัว

     

     

    ผมยิ้มขำกับโพสต์-อิทที่เด็กคนนี้เขียนก่อนจะแปะมันลงไว้ที่ปลายจมูกรั้นของตัวเองเพราะฉะนั้นพี่คงลืมผู้หญิงคนนั้นไปไม่ได้ มันต้องมีบ้างที่จะนึกถึงเธอเวลาไปสถานที่ที่เคยไปด้วยกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพี่ยังรักเธออยู่

     

    เซฮุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะยังไม่เข้าใจความรักสักเท่าไหร่นัก  “แฟนเก่าคือความทรงจำ ที่มีทั้งดีและห่วยแตก แต่เราเลือกจำเรื่องดี ๆ ได้ อะไรที่มันแย่ก็แกล้งตายมองข้ามหน่อย ตอนแรกพี่โกรธเธอมากที่ทำอย่างนั้น แต่การจมปลักกับความทุกข์มันไม่เข้าท่าหรอก เราทุกคนต้องเดินหน้าต่อไป

     

    ผมยิ้มครั้งหนึ่งแฟนเก่าคือความสุข สำหรับความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น ก็แค่บอกตัวเองให้ระวังว่าอย่าให้มันเกิดขึ้นกับแฟนคนปัจจุบัน

     

     

    ถ้าวันไหนไม่อยากรอพี่ก็ให้บอกนะ

     

     

    เปล่า จะรีบมาแย่งคืนผมพูดติดตลกก่อนที่เราทั้งคู่จะหัวเราะพร้อมกัน

     

    พอเริ่มดึก อากาศก็เย็นขึ้น ผมกอดเซฮุนเอาไว้แล้วหลับตาลง เขาไม่ใช่เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่จะหายเข้าไปในอ้อมกอดของผมได้ แต่ถ้าถามว่าความอบอุ่นในค่ำคืนนี้เกิดขึ้นจากใคร ก็คงตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าโอเซฮุน

     

    ความจริงที่พี่เล่าให้ฟังก็เพราะรู้สึกผิดกับเราน่ะเด็กหนุ่มผละตัวออกมาสบตากันหลังจากได้ยินประโยคนี้ เซฮุนเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก่อนที่ผมจะถอนหายใจขอโทษที่ต้องพูดอย่างนี้ แต่พี่รู้สึกผิดจริง ๆ ที่ไปรู้เรื่องในอดีตของเรา

     

    “...”

     

    ความเจ็บปวดของเราไม่เท่ากัน เรื่องนี้พี่รู้ แต่ไม่เป็นไรนะเซฮุนพอนึกไปถึงเรื่องเล่าของคุณยายในวันนั้นแล้วก็อยากกอดปลอบน้อง จนถึงวินาทีนี้ผมก็ยังคงคิดอยู่ว่าถ้าเจอเรื่องราวร้าย ๆ อย่างนั้นด้วยตัวเองแล้วจะทำยังไง ผมจะลุกขึ้นเดินไหวไหมถ้าต้องว่าเห็นพี่สาวถูกพ่อข่มขืนแล้วฆ่าให้ตายต่อหน้าต่อตา

     

    เซฮุนผละตัวออกเพื่อเขียนโพสต์-อิทแล้วแปะมันลงบนจมูกผมบ้าง

     

     

    “...”

     

     

    เขาฉีกกระดาษอีกแผ่นแล้วยัดใส่มือผมอีก

     

     

    เซฮุนยิ้มและตอนนี้ในมือของผมมันเต็มไปด้วยโพสต์-อิทที่อีกฝ่ายเขียนให้ ผมมองหน้าเขาตอนกำลังจรดปลายปากกาลงไปอย่างตั้งใจแล้วก็ยิ้มบาง ๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

    ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นสั้น ความทุกข์ยืนยาว

     

    ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วจะสั้นหรือยาวก็ขึ้นอยู่กับจิตใจมนุษย์เราว่าเลือกอยู่กับมันมากแค่ไหน ในช่วงเวลาที่เจอกับความทุกข์นั้นต่างกับความสุขตรงที่เราพยายามหลีกหนีและไขว่คว้าหาความสุข แต่บางคนก็เลือกที่จะอยู่กับมันเพื่อตอกย้ำความห่วยแตกที่เกิดขึ้นในชีวิต

     

    ผมไม่สามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ว่าจะให้มีแต่ความสุขหรือความทุกข์ เพราะมันคือ ชีวิต ... ชีวิตที่มีทั้งหวานและขม ทุกข์ สุข ร้องไห้ หัวเราะ ทุกอย่างที่ผ่านไปนั้นล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่จะสอนให้ผมเติบโตขึ้นและเรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาที่เข้ามาทดสอบความเข้มแข็ง

     

    เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทหนึ่งเดือน ผมจะขอเรียกมันว่าประสบการณ์ดี ๆ ที่จะจดจำไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายของธรรมชาติ เสียงลมหวีดหวิว อาหารพื้นบ้าน ไปจนถึงรอยยิ้มของคนที่นี่

     

    และผมสัญญาว่าจะกลับมาอีกครั้ง

     

    เสียงระฆังบ่งบอกว่าอีกไม่กี่นาทีรถไฟจะมาถึง ผมสะพายกระเป๋าเป้ที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าและถุงผลไม้ที่คุณยายให้มาเป็นของฝาก น่าแปลกที่วันนี้มีคนยืนรอรถไฟอยู่บนชานชาลาแค่ไม่กี่คน ผมหันไปมองเด็กหนุ่มตัวผอมที่ทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าก่อนจะลดระดับสายตาลงมองมือที่วางอยู่ข้างตัว

     

    ผมกุมมือเซฮุนไว้โดยที่ไม่พูดอะไร ความจริงผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เพราะมันน่าใจหายถ้าหากว่าขึ้นไปบนรถไฟแล้วต้องหันกลับมาเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ เรียวนิ้วของเราค่อย ๆ สอดประสานกันจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้จะรู้สึกถึงความมั่นใจที่ผมมีหรือไม่ เพราะถ้ามองกลับกัน ผมเองก็ไม่รู้เลยว่าจะกล้าฝากหัวใจไว้กับคนแปลกหน้าที่เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตเพียงแค่เดือนเดียวหรือเปล่า

     

    เพราะคำพูดก็เป็นเพียงแค่ลมปากและสิ่งที่อยากให้เซฮุนรู้ ผมก็ได้บอกไปหมดแล้ว ในวินาทีนี้แค่อยากจับมือเขาเอาไว้แน่น ๆ มากกว่าการพร่ำบอกความในใจเพื่อขอให้เชื่อมั่นและตั้งตารอจนกว่าความเหงาจะสิ้นสุดลง

     

    เด็กหนุ่มตัวผอมหยิบสมุดสีน้ำตาลเล่มขนาดเหมาะมือขึ้นมา เขาวางลงบนมือผมแล้วยิ้มให้ หน้าปกนั้นติดโพสต์-อิทอยู่แผ่นหนึ่ง มีข้อความสั้น ๆ ว่าขามามีหนังสือยี่สิบอย่าง ขา กลับก็มีสมุดยี่สิบวันให้เหมือนกัน

     

    ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวคนอายุน้อยกว่าที่ยืนอยู่ ข้างตัว แม้ว่าเรากำลังจะถูกความเหงาแยกออกจากกัน แต่ผมก็อยากยิ้มให้เซฮุนเห็นมากกว่าสิ่งไหน ๆ

     

    จักรยานน่ะ พี่ฝากนะ ไม่ได้ให้

     

     

    นี่ บอกว่าฝากก็ฝากสิ เดี๋ยวมาเอาคืนเราสบตากันก่อนที่เซฮุนจะย่นจมูกใส่ เห็นอย่างนั้นก็หมั่นเขี้ยวขึ้นจนต้องเอานิ้วบีบจมูกรั้นนั่นเบา ๆ

     

    เพียงแค่ครู่เดียวรถไฟก็เทียบจอด เสียงประตูอัตโนมัติเปิดออกเป็นสัญญาณให้ ปล่อยมือได้แล้ว แต่สิ่งที่ผมทำคือกระชับมือแน่นยิ่งขึ้น เราไม่หันไปกอดกัน ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายว่ากำลังรู้สึกยังไงจนกระทั่งเสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง มือของเราจึงค่อย ๆ คลายออกจากกันโดยที่ผมไม่ได้เป็นคนเริ่ม

     

    เราปล่อยมือออกจากกันแล้ว...

     

     

    อย่าพูด

     

     

    ผมอ่านริมฝีปากเซฮุนได้อย่างนั้น ก่อนเจ้าตัวจะถอยหลังไปสองก้าวแล้วโบกมือลา ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ารอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าเด็กคนนั้นมันเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกจริง ๆ  หรือแค่แกล้งทำเพื่อให้ผมสบายใจ เราสบตากันอยู่แค่ครู่เดียวก่อนจะเป็นผมที่ทนไม่ไหวเข้าไปกอดเซฮุนเสียเอง

     

    รอพี่นะ

     

    “...”

     

    เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายว่าประตูกำลังจะปิดลง ผมผละออกไปแล้วค่อย ๆ เดินถอยหลังไปทีละก้าวอย่างอาลัยอาวรณ์พร้อมมองใบหน้าของเซฮุนที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง รอยยิ้มที่เคยเกิดขึ้นนั้นหายไปแล้ว เขามองมาที่ผมพร้อมปลายจมูกที่ขึ้นสีระเรื่อ

     

    และเมื่อก้าวเข้าไปในรถไฟ... ผมก็ได้เห็นน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของเซฮุน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    [ สวัสดีครับ นี่คิมจงอิน ตอนนี้ผมไม่ว่างรับสาย มีเรื่องด่วนรบกวนฝากข้อความไว้หลังจากได้ยินเสียงบี๊บ... นะครับ ]

     

    [ โทรเข้ามือถือไม่ติดเลย มึงปิดเครื่องเหรอวะหรือนอนอยู่ ]

     

    [ ไปแฮงค์เอาท์กันหน่อยเปล่าเกลอเอ๋ย เพื่อน ๆ คิดถึงมึงนะ พวกมันรอฟังประสบการณ์ฮิปสเตอร์ในชนบทของมึงอยู่ ]

     

    [ เออ นี่พี่จุนนะ โทรกลับหากูด้วย ]

     

    เสียงข้อความจากโทรศัพท์ในคอนโดไม่ได้เรียกความสนใจให้ผมละสายตาออกจากสมุดเล่มเล็กในมือที่ตั้งใจอ่านตั้งแต่รถไฟออกจากสถานีมาจนถึงตอนนี้ ข้างในเต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันซึ่งเรียกรอยยิ้มจากผมได้เป็นอย่างดี

     

     

     

     

     

     

    ผมยิ้มขำกับรูปวาดจำลองเหตุการณ์ตรงย่อหน้าสุดท้ายก่อนจะเปิดหน้าถัดไปทางด้านซ้ายเป็นภาพสเก็ตช์ธรรมชาติซึ่งผมรู้สึกคุ้นตาอยู่ ขมวดคิ้วครุ่นคิดเพียงชั่วอึดใจก็นึกออกว่าเป็นที่ไหน

     

    ไดอารี่เล่มนี้มีเรื่องราวมากมายไปจนถึงหน้าสุดท้าย ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าเซฮุนเอาเวลาจากไหนไปเขียนมัน ผมลุกขึ้นไปรื้อกระเป๋าแล้วโยนเสื้อผ้าลงตะกร้า ก่อนจะเอาถุงกระดาษที่ถูกพับเป็นสองส่วนออกมาเทลงบนที่นอน เศษกระดาษสีเขียวยับยู่ยี่กระจายเต็มไปหมด

     

    หย่อนตัวลงนั่งบนเตียงแล้วเริ่มหยิบมันมาคลี่ออกทีละชิ้นพร้อมยิ้มให้กับโพสต์-อิทที่เซฮุนเป็นคนเขียน ซึ่งช่วงหลัง ๆ ผมเก็บติดมือกลับไปที่ห้องด้วยทุกครั้ง พอกลับมาอ่านอีกกี่ครั้งก็ยังรู้สึกดี เหมือนกับว่ากำลังนั่งมองเขาก้มหน้าก้มตาเขียนมันอยู่

     
     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โพสต์-อิทมากมายถูกแปะติดกับผนังปูนดิบ ผมถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งแล้วหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพตรงหน้าเก็บเอาไว้ ถึงจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่เรื่องของเซฮุนก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของผม

     

    ผมกดเลื่อนดูรูปในกล้องดิจิตอล ความทรงจำมากมายถูกบันทึกไว้ในนี้และมันก็เรียกรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่เปิดดู ผมลุกขึ้นเปิดโน้ตบุ๊กที่วางอยู่ข้างเตียงแล้วเสียบเมมโมรี่การ์ดเพื่อเอารูปนับพันลงเครื่อง ผ่านการตกแต่งสีด้วยโฟโต้ช็อปนิดหน่อยเพื่อให้ภาพสีสดขึ้นก่อนจะสร้างโฟลเดอร์แยกเพื่อเก็บมันเอาไว้

     

    นิ้วมือที่เคยเลื่อนเลื่อนเมาส์หยุดชะงักเมื่อภาพบนจอคือรูปที่ผมกับเซฮุนถ่ายด้วยกันในทุ่งดอกไม้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่ลังเลที่จะลบเมื่อมันสั่นจนทำให้รูปถ่ายเหมือนภาพติดวิญญาณ ผมใช้เวลาไปกับการมองหน้าจออยู่กี่นาทีกันนะ แต่ตอนนี้รู้แค่ว่ากำลังยิ้มให้กับรูปคู่ของเราที่มีไม่มากนัก

     

     

     

     

     

     

     

    ชีวิตกลับเข้าสู่วงจรเดิม ๆ คือการนั่งปั่นงานทันทีที่ก้าวขาเข้าสำนักพิมพ์ งานนิยายแปลที่ทำให้แทบไม่มีเวลาหันไปสนใจเรื่องอื่น เพื่อน ๆ ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่าผมโอเคแล้วหรือยังกับเรื่องอดีตคนรัก พอเห็นว่าไอ้ง่าวคิมจงอินไม่มีท่าที พวกมันก็หงายไพ่ที่หมอบไว้ขึ้นมาว่าคิมยูจินตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ของผมคงทำให้พวกมันตกใจอยู่ไม่น้อยกับเสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมาลั่นออฟฟิศแล้วปิดท้ายว่า

     
     

    โธ่ ที่ไหนได้ก็ท้องก่อนแต่ง

     
     

    ไม่มีข้อความส่งมาจากคนในชนบทเลยสักอัน เพราะเซฮุนอ้างว่าไม่อยากรบกวนเวลางาน ซึ่งผมก็บอกไปแล้วว่าการเจียดเวลาจากหน้าจอคอมมาคุยกันไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด แต่สุดท้ายผมก็ได้รู้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่งาน

     

    เมื่อเซฮุนสารภาพว่าถ้าคุยกันบ่อย ๆ เดี๋ยวจะได้ใจ จากที่เคยคุยกันวันละนิดวันละหน่อยได้ ก็อาจจะโลภมาก ต้องการกว่าที่เคยได้รับและสุดท้ายเขาก็จะถูกความคิดถึงทำร้าย นั่นหมายความว่าน้องจะไม่คุยกับผมจนกว่าจะได้เจอกันอีก มันเป็นความกดดันที่ดีเลยทีเดียวถ้าหากว่าน้องตั้งใจทำให้ผมคิดหนักจนต้องรีบหาตั๋วรถไฟไปกูร์เย

     

    ตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมาเลยมีแค่ความว่างเปล่า ผมส่งข้อความไปแล้วแต่เด็กนั่นก็ไม่เคยตอบกลับมาเลย นี่โอเซฮุนใจแข็งขนาดนั้นเลยเหรอ ผมก็กังวลใจแต่ยังขยับตัวไปไหนไม่ได้กับงานที่กองท่วมหัว อีกทั้งงานเขียนที่ผมหันกลับไปทำอีกครั้ง

     

     

    ใช่ ผมกำลังเขียนหนังสือเล่มหนึ่งอยู่

     

     

    มึงเอาจริงเหรอวะจงอิน ?” คำถามของไอ้ชานยอลไม่ได้ดังไปกว่าเสียงเพลงในสถานบันเทิงแห่งนี้เลย ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มย้อมความกังวลในใจ

     

    เวลาแค่เดือนเดียวทำให้คิดเยอะขนาดนี้เลยเหรอ มึงเอาดี ๆคำพูดของแบคฮยอนที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือนั้นผมเองก็เคยถามตัวเองแล้วหลายครั้ง

     

    ไม่รู้นะว่ามึงชอบเขามากแค่ไหน แต่กูอยากให้มึงลองถามตัวเองก่อนว่ามันแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่าพี่จุนมยอนคือรุ่นพี่ที่รู้จักกันมาหลายปี อีกทั้งยังมีโรงพิมพ์เป็นของตัวเองอีกด้วย พี่แกเอาแก้วผมไปเติมให้เบา ๆ เพราะรู้ว่าคืนนี้คิมจงอินคงไม่พร้อมที่จะเมาหัวทิ่มที่นี่

     

    ความจริงพวกมึงไม่น่าพูดมากหรอก มันจะทำห่าอะไรก็ช่างเถอะ โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วคงไม่ต้องให้ใครมาสั่งสอนว่าอะไรควรไม่ควรคยองซูที่นั่งอยู่ข้างชานยอลพูดเสียงเรียบ ไอ้หอกนี่เป็นนักเขียนขวางโลกคนหนึ่งที่หนังสือขายดิบขายดีจนถูกตีพิมพ์เป็นครั้งที่สี่แล้ว

     

    พวกกูก็แค่เป็นห่วงมันเปล่าวะ ?” ชานยอลว่า หลังจากที่ได้ยินผมบอกว่าจะลาออกไปเป็น บก.อิสระแล้วเขียนหนังสือไปด้วย

     

    ทุกคนก็เป็นห่วงแม่งหมดนั่นแหละ แต่ที่เดือดร้อนอยู่เนี่ย ชีวิตมึงไหมล่ะกูขอถามคยองซูเลิกคิ้วมองเพื่อนตัวสูงที่ยังคงตั้งเค้าเตรียมอ้าปากเถียงเมียทิ้งมันก็เจ็บเอง หนีไปอยู่บ้านนอกก็ลำบากเอง เจ็บตูดก็เจ็บเอง

     

    อันนั้นกูว่าไม่ใช่ละผมต้องรีบปราม ส่วนไอ้คยองซูก็รีบตบมุกพยักหน้าเข้าใจในทันที ขณะที่คนอื่น ๆ ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     

    แต่ถ้าเพื่อนมีความสุข พวกมึงก็มีความสุขไปด้วย กูพูดถูกไหม ?” ไอ้เตี้ยประจำกลุ่มถาม ซึ่งพี่จุนมยอนเลือกที่จะกระดกเหล้าเข้าปากแทนที่จะพยักหน้าเข้าใจเหมือนไอ้ชานยอลกับไอ้แบคฮยอน

     

    เจ้าบทเจ้ากลอนเหลือเกิน

     

    ว่าได้ที่ไหน พอคุยกับมึงจบกูนี่เกิดไอเดียหนังสือเล่มใหม่เลยคยองซูมองผมแล้วยักคิ้ว เชื่อว่าหนังหน้าอย่างมันคงไม่วายหาเรื่องกวนส้นตีนผมอีกแน่

     

    อะไร

     

    เรื่องควาย ๆ ของผู้ชายชื่อคิมจงอิน

     

    ไปเขียนให้ป้ามึงอ่านเถอะครับ... ไอ้ ! ! !” ผมยกเท้าขึ้นเตรียมจะถีบเพื่อนโชว์รุ่นพี่แต่มันโยกตัวหลบได้ทัน

     

    ฮ่า ๆ

     

    มีเพื่อนดุเป็นหมา มึงพามันไปฉีดยาบ้างนะเกลอแบคฮยอนพูดติดตลกกับชานยอลพร้อมยักคิ้วหลิ่วตากวนผม

     

    ว่าแต่หนังสือที่มึงเขียนจะได้ตีพิมพ์เมื่อไหร่ ได้ข่าวว่าเขียนใกล้จบแล้ว ยังไงก็ส่งไฟล์พีดีเอฟมาให้อ่านบ้างสิพี่จุนมยอนเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาใหม่เพื่อห้ามทัพ ผมนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า

     

    มึงจะอ่านฟรีได้ไงวะพี่ อุดหนุนน้องดิผมขมวดคิ้ว ซึ่งคนเป็นรุ่นพี่ก็ได้แต่ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

     

    ท่ามกลางเสียงเพลงและแสงสีในสถานที่แบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติกับการที่ผมและเพื่อนฝูงจะออกมาเมากันบ้างเพื่อผ่อนคลายหลังจากเครียดกับตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์

     

    ตัวอยู่ที่นี่ แต่ใจอยู่ที่กูร์เย ผมหลุบสายตาลงมองเครื่องดื่มมึนเมาบนโต๊ะแล้วก็ถามตัวเองว่าคิดดีแล้วใช่ไหมกับทางเลือกนี้และผมก็ตอบว่าใช่ผมเลือกแล้วว่าอะไรคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน

     

     

    RRrrrrr ! ! ! !

     

     

    โทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะกระจกสั่นเรียกความสนใจจากเพื่อนฝูงที่นั่งอยู่ล้อมรอบ ผมนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นหลายวินาทีกับเบอร์ที่เคยแชทคุยกันแต่ไม่เคยโทรเข้ามาก่อน ทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ทั้งสี่คนหันมามองเป็นตาเดียวกันก่อนที่ผมจะคว้ามือถือเอาไว้แล้วรีบลุกไปจากตรงนี้

     

    พยายามแทรกผู้คนที่ยืนเต้นเบียดเสียดกันเต็มฟลอร์ออกไปยังที่ที่เงียบกว่านี้พร้อมมองสมาร์ทโฟนในมือที่ยังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ผมได้แต่ภาวนาว่าเจ้าของเบอร์นี้จะยังไม่ถอดใจวางสายไปก่อน แค่ครู่เดียวผมก็ออกมาข้างนอกแล้วรีบกดรับในทันที

     

    ฮัลโหลเซฮุน !”

     

    ( ... )

     

    ผมกำลังรอฟังเสียงอะไรอยู่ ทั้ง ๆ ที่รู้แก่ใจว่าคนปลายสายพูดไม่ได้ ตลอดเวลาหลายเดือนที่ไม่ได้คุยกันในวันนี้เซฮุนอาจจะแค่เผลอนั่งทับมันจนกดโทรออกโดยไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะเอาโทรศัพท์แนบหูเอาไว้อย่างนั้นเหมือนคนโง่

     

    เซฮุน ได้ยินพี่ไหม ?”

     

    ( ... )

     

    เซฮุน...”

     

    เสียงของผมเบาลงเมื่อความคิดถึงในตอนนี้มันทำงานหนักพอ ๆ กับต้นฉบับที่เพิ่งปิดเล่มไป ทุกความรู้สึกที่เคยกักเก็บเอาไว้แทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาผมใช้เวลาไปกับการทำงานและคิดว่าทำยังไงถึงจะทำลายความทรมานของความคิดถึงนี้ไปได้

     

    ผมทนคิดถึงเซฮุนมาจนถึงตอนนี้โดยที่ไม่ตีตั๋วรถไฟไปกูร์เยได้ยังไง ผมนอนหลับแล้วคิดว่าเขากับคุณยายจะอยู่กินอย่างสุขสบายได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เคยเห็นเหตุการณ์ชวนให้ใจเสียมาแล้วกับตา

     

    มือของผมกำลังสั่น ลมหายใจที่เคยผ่อนเข้าออกตามจังหวะเริ่มติดขัดกับความกดดันที่ผมเป็นคนสร้างขึ้นเองควรวางสายหรือเปล่า ?’ นั่นคือสิ่งที่ผมถามตัวเองอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันละโทรศัพท์ออกก็ต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง... บางอย่างที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น

     

     
     

    มันคือเสียงปรบมือสี่ครั้ง...

     

     
     

     

     

     

    ถ้าปรบมือสี่ครั้ง... แปลว่าคิดถึง

     

     

     

    ผมปล่อยให้เสียงรถบนถนนทำลายความเงียบขณะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เสียงปรบมือสี่ครั้งติดกันดังขึ้นอีกแล้วราวกับว่าคนในปลายสายกลัวผมจะไม่ได้ยิน คิมจงอินคนโง่หลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ จากตอนแรกที่ยังมีความลังเลและความไม่แน่ใจ แต่ในวินาทีนี้ผมคิดออกแล้วว่าอะไรคือทางเลือกที่ถูกต้องกับหัวใจผมมากที่สุด

     

     

    พี่คิดถึงเราจะแย่อยู่แล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมใช้เวลาจัดการตัวเองอยู่ราว ๆ สามอาทิตย์ ทั้งเรื่องต้นฉบับที่ส่งไปและถูกตีกลับมาแก้ไข รวมไปถึงหนังสือของตัวเองซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว ทางสำนักพิมพ์ขู่มาว่าถ้ายังปั่นต้นฉบับช้า หนังสือเส็งเคร็งที่ผมเขียนจะถูกนำไปวางบนชั้นวางรองเท้าแทนชั้นหนังสือ

     

    ตอนนี้ผมย้ายจากการเป็น บก.ประจำออกไปเป็น บก.อิสระ งานที่ได้รับอาจจะน้อยลงบ้าง แต่ถ้าเอาดีเรื่องงานเขียนไปด้วย ผมเชื่อว่าการย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในชนบทกับสองยายหลานก็เป็นเรื่องที่เข้าท่าเหมือนกัน

     

    เพื่อนฝูงคนสนิทมาส่งถึงสถานีรถไฟ ไอ้ชานยอลช่วยลากกระเป๋ามาให้เพราะครั้งนี้ผมต้องไปอยู่นานและยังไม่มีกำหนดย้ายกลับมาที่นี่ แต่ยังไงผมก็ต้องกลับเข้าสำนักพิมพ์เดือนละครั้งเพื่อตรวจพรูฟ ส่วนเรื่องอื่นผมสามารถจัดการมันได้ด้วยโน้ตบุ๊กส่วนตัว

     

    ไอ้แบคฮยอนกำหมัดแน่นพร้อมทำหน้ามุ่งมั่น ส่วนไอ้คยองซูจับมือผมไปแล้ววางกล่องถุงยางให้อย่างอ่อนโยน ถึงตอนแรกเพื่อน ๆ จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับทางที่ผมเลือก แต่สุดท้ายทุกคนก็สนับสนุนเป็นอย่างดี

     

    พี่จุนมยอนเข้ามาตบบ่าพร้อมย้ำว่าถ้ามีปัญหาให้นึกถึงเขาเป็นคนแรก จากที่รู้จักกันมาหลายปี พี่แกก็เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้ตลอด เป็นที่พักพิงใจให้น้อง ๆ คอยเตือนสติในวันที่พวกอายุเหยียบสามสิบทำตัวเป็นเด็กคิดไม่ได้

     

    ผมขึ้นรถไฟไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากเมื่อคราวนั้น มันอดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อก้มลงมองรองเท้าตัวเองแล้วเห็นเป็นคอนเวิร์สคู่ใหม่แทนที่จะเป็นรองเท้าแตะซึ่งหาซื้อได้จาก GS25

     

    ครั้งนี้ไม่มีโจรกระจอกที่ไหนมาขโมยมือถือผมไปอีก เพราะฉะนั้นการเดินทางเลยสนุกขึ้นมาเพราะมีเสียงเพลงอยู่เป็นเพื่อน ในขบวนรถไฟมีคุณพ่อลูกแฝดสองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  เด็กผู้ชายคนนั้นเอาแต่จ้องมาโดยมีจุกนมอยู่ที่ปาก ผมย่นจมูกยิ้มทักทาย ได้แต่ภาวนาในใจขอร้องอย่าให้เด็กร้องไห้เลย

     

     

    แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะมอบวันนี้ให้เป็นวันของคิมจงอิน

    เมื่อเด็กผู้ชายคนนั้นหัวเราะคิกคักจนคุณพ่อต้องเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม

     

     

     

     

     

    อากาศที่นี่หนาวพอสมควรกับเดือนสุดท้ายของปี ผมไม่ลังเลที่จะลากกระเป๋าเดินไปหาป้ายรถเมล์ซึ่งรู้จุดหมายปลายทางอยู่แล้ว โชคดีที่มาทันเวลาเลยไม่ต้องนั่งทนหนาวกับการรอรถเมล์นานเป็นชั่วโมงถ้าหากว่าพลาดเที่ยวนี้

     

    ควันสีขาวลอยออกจากทั้งริมฝีปากและจมูกในทุกครั้งที่หายใจ อีกแค่ไม่กี่นาทีการ รอคอยตลอดหลายเดือนก็จะสิ้นสุดลงแล้ว ให้ตายเถอะ ผมปล่อยให้ตัวเองยิ้มเหมือนคนบ้าตั้งแต่ขึ้นรถไฟมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน

     

    ท้องฟ้ามืดครึ้มเร็วกว่าปกติกับฤดูหนาวซึ่งถูกหิมะสีขาวกลืนกิน ผมอุ้มกระเป๋าเดินทางเมื่อมันลากไปกับถนนไม่ได้แล้วและในตอนที่ฝีเท้าของผมหยุดลง หัวใจที่เคยเต้นแรงมันก็แทบจะหลุดออกมา

     

     

    เมื่อเห็นว่าเซฮุนกับคุณยายกำลังนั่งผิงไฟอยู่หน้าบ้าน

    และเขา... กำลังมองมาทางนี้

     

     

     

    “...”

     

    ตั้งแต่เกิดมาแทบนับครั้งได้เลยว่ารู้สึกอิ่มเอมใจอยู่กี่หน ครั้งแรกคงเป็นตอนที่รู้ว่าหนังสือเล่มแรกในชีวิตกำลังจะถูกตีพิมพ์ ส่วนครั้งที่สองคือตอนเห็นชื่อตัวเองติดอยู่บนบอร์ด ในสำนักพิมพ์กับตำแหน่งบรรณาธิการดีเด่นประจำปี แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เมื่อผมรู้สึกอิ่มเอมหัวใจเพียงเพราะเห็นรอยยิ้มของคนที่รอเจอมาตลอดหลายเดือน

     

    กลับมาคราวนี้คงอยู่นานหน่อย เห็นทีว่าผมต้องรบกวนคุณยายแล้วล่ะครับ

     

     

     

     

     

     
     

    ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ สำหรับความรักที่มีต่อผู้หญิงคนนั้นมันเคยเริ่มต้นด้วยความสวยงาม เราช่วยกันประคับประคองมันก่อนที่จะจบลง แม้ว่าจะสาหัสและทุเรศทุรัง แต่ผมยังคงเชื่ออยู่เสมอว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในชีวิต

     

    ผมพร้อมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง กับคนที่มีมุมมองและความเห็นตรงกันว่าแค่เรารักและเชื่อใจกัน ได้อยู่ด้วยกันในวันที่อีกฝ่ายท้อมันก็เป็นคำตอบที่สมบูรณ์โดยที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเข้าไปอีก เซฮุนไม่ได้ต้องการงานแต่งงาน ไม่ได้ต้องการมีหน้ามีตาในสังคม เด็กคนนี้ต้องการแค่ผู้ชายห่วยแตกอย่างผมที่จะอยู่ด้วยกันในทุก ๆ วัน

     

    หญิงชรายิ้มกว้างอย่างมีความสุข นั่นเป็นเรื่องดีหลังจากที่ผมกังวลมาตลอดว่าท่านจะเป็นยังไงบ้างระหว่างที่ผมไม่อยู่ แต่ก็ได้คำตอบที่ทำให้โล่งใจแล้วว่ามีเพื่อนบ้านแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่บ่อยครั้งในวันที่เซฮุนไปโรงเรียน พอทำตามหมอสั่งแล้วอาการวูบเพราะโรคความดันสูงก็ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อย

     

    ผมเอาแต่ยิ้มตอนฟังเรื่องเล่าจากปากคุณยาย แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องราวของความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนเซฮุนอายุสิบสอง ท่าทางน่ารักตอนท่านพูดไปด้วย ยิ้มไปด้วยนั้นทำให้เด็กตัวผอมนั่งตัวเกร็ง ผมเห็นว่าน้องก้ม ๆ เงย ๆ อย่างขลาดอายตอนคุณยายเล่าว่า

     

     

    เซฮุนบ่นคิดถึงจงอินทุกวันเลย

     

     

    อืม... ในมุมมองของคนแก่ ท่านคงเห็นว่าหลานเป็นเด็กติดพี่ชาย

    ขอโทษนะครับ ผมจะพยายามไม่ทำเรื่องประเจิดประเจ้อให้คุณยายต้องช็อกแน่ สัญญาเลย

     

     

    เซฮุนช่วยเอาเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นออกมาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ผมบอกเขาว่าเห็นทีต้องซื้อตู้เสื้อผ้ากับเฟอร์นิเจอร์เล็ก ๆ มาเพิ่มสักหน่อย ซึ่งน้องก็ไม่ขัดใจแถมยังพยักหน้าหงึกอย่างน่ารักอีกด้วย ผมนั่งมองเด็กหนุ่มในชุดเสื้อไหมพรมสีขาวซึ่งกำลังพับผ้าก่อนจะเอาไปวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ตอนนั้นผมเลยลุกขึ้นเดินไปยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง สอดแขนเข้าไปกอดเอวพร้อมเกยคางลงกับไหล่

     

    “...”

     

    คิดถึงในหัวผมมันเรียบเรียงออกมาได้แค่คำนี้จริง ๆ เซฮุนเอี้ยวหน้าหันมาสบตากันแล้วชี้ตัวเองก่อนจะชี้มาที่ผม เป็นเชิงบอกว่าน้องเองก็รู้สึกเหมือนกัน

     

    ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ใช่... หมายถึงตัวผมนั่นแหละ ข้างนอกอากาศอาจจะหนาวจนต้องผิงไฟ แต่เชื่อเถอะว่าในวินาทีนี้ไม่มีอะไรอุ่นไปกว่าร่างกายคนตรงหน้าอีกแล้ว ผมกดจมูกลงบนพวงแก้มขาวจนเกิดเสียงฟอด หอมลงไปซ้ำ ๆ จนเซฮุนเบี่ยงตัวหลบแล้วหันหน้าเข้าหาผม

     

    จูบได้ไหม ?”

     

    เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบเพราะผมแค่อยากเห็นสีหน้าเซฮุนตอนทำตัวไม่ถูกเท่านั้น จากอุณหภูมิในห้องทำให้ผมเป่าลมร้อนรดฝ่ามือแล้วอังลงบนแก้มอีกฝ่าย เราสบตากันท่ามกลางความเงียบ นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้มองเขาในระยะใกล้แบบนี้

     

    เด็กหนุ่มตัวผอมยันมือไว้กับตู้วางของข้างหลังแล้วหลับตาลงเมื่อใบหน้าของเราเลื่อนเข้ามาใกล้จนกระทั่งริมฝีปากแตะกันในที่สุด ผมละมือออกจากดวงหน้าขาวแล้วค่อย ๆ เลื่อนลงไปโอบรอบเอวคอดพร้อมรั้งเข้าหาตัวเพื่อเพิ่มความแนบแน่นยิ่งขึ้น

     

    ทุกอย่างเริ่มต้นอย่างไม่เร่งรีบแม้ว่าคนอย่างคิมจงอินจะรอเวลานี้มาหลายเดือน ผมค่อย ๆ ขบริมฝีปากนุ่มของคนตรงหน้าแล้วผละออกมาสบตากันก่อนจะเข้าไปจูบอีกครั้งทำอย่างนั้นอยู่ซ้ำ ๆ จนกว่าจะหายคิดถึง

     
     

    ซึ่งคงยากหน่อย

     
     

    ผมช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งบนชั้นวางของ เอาเถอะ ตัวน้องก็เบาแค่นี้ให้อุ้มไปนอนด้วยกันก็ยังได้ ผมปรือตามองอีกคนที่โอบใบหน้าผมเอาไว้พร้อมไล้นิ้วหัวแม่มืออย่างแผ่วเบา ผมชอบเห็นเงาตัวเองในแววตาคู่นี้เหลือเกินและเชื่อว่าตอนนี้เซฮุนเองก็คงอยู่ในแววตาของผมเช่นกัน

     
     

    ผมรักคุณ

     
     

    ริมฝีปากที่อยู่ห่างเพียงน้อยนิดขยับบอกเล่าโดยไร้เสียง ผมยิ้มบาง ๆ แล้วเข้าไปจูบน้องอีกครั้งก่อนจะเลื่อนไปที่แก้ม กดจูบเบา ๆ และกระซิบข้างหูว่า...

     

    คิมจงอินก็รักโอเซฮุนเหมือนกัน

     

    หิมะจากท้องฟ้าร่วงลงมาสู่พื้นดิน ทับถมกันทีละนิดจนกองขึ้นสูง ความหนาวเหน็บในค่ำคืนนี้ผมขอชดเชยให้โอเซฮุนด้วยอ้อมกอด เรายังคงจูบและบอกรักกันซ้ำ ๆ โดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเบื่อฟังมัน

     

    ผมนอนจ้องหน้าคนหลับ จนถึงตอนนี้เซฮุนก็ยังคงกุมมือผมเอาไว้ราวกับกลัวว่าตื่นขึ้นมาแล้วคิมจงอินคนนี้จะหายไป แขนข้างหนึ่งของผมกลายเป็นหมอนจำเป็น ตอนเช้ามันอาจจะชาไปทั้งแขน แต่ถ้าแลกมาซึ่งความสุขคุณคงรู้ใช่ไหมว่าผมจะเลือกอะไร ?

     

    ผมกระชับกอดเด็กหนุ่มตัวผอมเข้ามาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กันและกัน ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครต้องเจ็บปวดเพราะความคิดถึงอีก ผมรู้แล้วว่าอะไรคือความพอดี อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าการถูกเติมเต็ม

     

    ซึ่งผมคิดว่ามันคือความเรียบง่ายของการใช้ชีวิตอยู่ในชนบทแห่งนี้และความรักของเรา

     

     

    คุณไม่มีทางรู้หรอก...

    ว่าความเงียบสีขาวในอ้อมกอดของผมน่าทะนุถนอมมากแค่ไหน

     

     

    ตอนนี้ผมจะต้องรีบไปพรวนดินแล้ว ไม่งั้นคงโดนเด็กนั่นบ่นทางสายตาอีก แต่ผมชอบนะ ลับหลังคุณยายเมื่อไหร่ก็แอบหอมแก้มสักฟอดเอาให้หายซึน อาจจะถูกถีบจนล้มไปคลุกกับแปลงผักแต่ก็ถือว่าคุ้ม

     

    ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนจบ คาดว่าหนังสือที่ผมเขียนคงถูกตีพิมพ์ช่วงเมษายนซึ่งเป็นเดือนเกิดของเซฮุนพอดี ผมกะเวลาไว้อย่างกับจับวางเลยใช่ไหมล่ะ จนถึงตอนนี้คุณคงสงสัยสินะว่าผมจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดของเขา

     

     

    เค้กงั้นเหรอ ไม่เอาหรอก มันกินแล้วก็หมดไป

    จัมปงบ้าบออะไรไม่มีทั้งนั้นแหละ

    อืม... ก่อนขึ้นรถไฟเด็กคนนั้นให้ไดอารี่ผม

    เพราะฉะนั้นของขวัญวันเกิดที่เซฮุนได้รับก็คือหนังสือที่ผมใช้เวลาเขียนมาตลอด หลายเดือน

     

     

     

    และตอนนี้มันได้อยู่ในมือของคุณแล้วครับ (:

     

     

     

     

    THE END

     

     

     

    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนจบนะคะ แหะ เราชอบความรู้สึกตอนเขียนเรื่องนี้มากค่ะ มันเป็นความรู้สึกเรื่อย ๆ ที่อาจจะถูกใจบางคน หรืออาจจะไม่ใช่แนวเลย แต่เรามีความสุขตอนเขียนเรื่องนี้จริง ๆ

    เนื่องจากฟิคเรื่องนี้เราตั้งใจทำเป็นรางวัลในงาน #มีตติ้งไคฮุน ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เราไม่รู้ว่าคนที่ได้รางวัลไปจะดีใจไหม จะชอบเรื่องนี้หรือเปล่า แต่เราพยายามแล้วจริง ๆ เพราะเราไม่ถนัดการเขียนเรื่องสั้น และการบรรยายบุรุษที่ 1 เลย

     

    ที่เราเคยบอกว่า ถ้าอ่านจากเล่มจะต่างจากการอ่านในเวปยังไง คือตรงนี้ค่ะ

     





     

    เพราะเราตั้งใจให้คนอ่านเข้าใจว่า คนที่เขียนฟิคเรื่องนี้เป็นจงอินน่ะค่ะ 

     
     

    ขอบคุณทุกคนนะคะ หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะให้รอยยิ้มได้บ้าง ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีค่ะ และถ้าเรามีฟิคสั้นเกี่ยวกับไคฮุนเป็นเรื่องต่อไป เราจะอัพเดทลงในบทความนี้นะคะ ถ้าชอบก็กดแฟนพันธุ์แท้ไว้ได้เลย :D

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×