คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 05 :: ความเงียบสีขาว #AmongPages
(5)
นั่นคือโพสต์-อิทแผ่นแรกที่เซฮุนฉีกให้หลังจากเห็นว่าผมเสนอหน้ามาหาถึงโรงเรียน มันคือการมัดมือชกอีกแล้วเมื่อนักท่องเที่ยวที่ชื่อคิมจงอินเสือกมาตัวเปล่าไร้จักรยาน และคิดว่าเซฮุนก็คงเหมือนกัน เพราะเจ้าตัวเดินออกมาพร้อมร่ม วันนี้ฝนตกปรอย ๆ ตั้งแต่เช้าแต่ก็ทำให้เปียกได้ถ้ายืนทำหล่อไร้ร่มกลางที่โล่งแจ้ง
“อยู่ดี ๆ ก็วาร์ปมาตรงนี้เฉยเลย ไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะเนี่ย” ผมเลิกคิ้วตอแหลเป็นไฟ เซฮุนหรี่ตามองก่อนจะก้มลงเขียนโพสต์-อิทอีกครั้งแล้วยื่นให้ผม
“ดุตลอด ดุจริง ดุที่สุด” ผมจิ๊ปากรัว ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนร่มของเราทั้งคู่ชนกัน “หิวแล้ว ไปกินข้าวกับพี่ไหมหนู ?”
“รู้ใจ” ผมดึงแก้มคนตรงหน้าก่อนที่มือจะแกว่งไปตามแรงเพราะถูกปัดออก เซฮุนขมวดคิ้วมองคาดโทษแล้วกำหมัดขึ้นมา ซึ่งจากแววตา ผมว่าน้องไม่ได้รู้สึกรังเกียจ ท่าทางแบบนี้คือการแสดงออกว่าเขินของเด็กซึนชัด ๆ
เราหุบร่มเมื่อมาถึงร้านอาหาร เซฮุนเขียนโพสต์-อิทบอกว่าเจ้านี้คือตำนาน ถ้าผมอยากจะท้าทายอำนาจมืดตามหนังสือที่หนีบติดมือมาด้วย ซึ่งมันคือ...
บทที่สิบสี่ ‘กินของขึ้นชื่อในละแวกนั้นโดยไม่แคร์ว่าราคาจะแพงหูฉีกแค่ไหน’
ในชทบทแบบนี้คงไม่มีเมนูจานทองคำให้กระเป๋าสตางค์ผมแหก แถมน้องยังบอกอีกว่าเจ้านี้แหละทีเด็ด ก็เลยต้องโดนกันสักหน่อย
พอเข้าไปข้างในก็ได้แต่กลอกตามองรอบ ๆ เมื่อเห็นว่ามีผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันอยู่แค่โต๊ะเดียวเท่านั้น ผมถามตัวเองในใจว่านี่เหรอร้านอาหารขึ้นชื่อแถวนี้ เซฮุนพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เข้าไปนั่งข้างในด้วยกันก่อนจะหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ เอาเถอะ ร้านนี้อาจจะครึกครื้นแค่ตอนกลางวัน ซึ่งมันเป็นเรื่องดีที่เราจะได้ไม่ต้องรอนาน
“ขอแบบกินแล้วซาบซึ้งจนน้ำตาไหลอะ” ทันทีที่ได้ยินเสียงผม เซฮุนก็ละสายตาจากหนังสือยี่สิบอย่างโง่ ๆ แล้วหันไปสนใจเมนูอาหารแทน น้องเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะชี้ตัวเองเหมือนอยากถามว่าจะให้สั่งจริงเหรอ พอเห็นว่าผมพยักหน้า เซฮุนก็กวักมือเรียกเจ้าของร้านแล้วจิ้มเมนูให้ดูประหนึ่งเล่นเกมจับผิด “สั่งมาเยอะ ๆ นี่ต้องช่วยพี่กินนะ”
ปกติเด็กคนนี้เคยลั่นดุดันแบบนี้เสียที่ไหน เห็นแต่นั่งนิ่งแล้วทำหน้าเหมือนจะสำรอกความลำบากใจออกมาอยู่ตลอด เวลาผ่านไปราว ๆ ยี่สิบนาที เมนูทั้งหกอย่างก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ ผมกระพริบตาปริบ ๆ กับหน้าตาอาหารที่สีสันดูไร้ชีวิตชีวาราวกับว่ามันผ่านการปรุงรสมาเกือบห้าวัน แถมถูกเอาไปแช่เย็นแล้วมาอุ่นใหม่พร้อมเสิร์ฟ
ขนาดคนเรายังตัดสินจากหน้าตาไม่ได้และอาหารก็คงเช่นกัน ผมเริ่มต้นตักน้ำซุปชิมก่อนจะค้างอยู่ท่านั้นเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนมาบีบกรามให้อ้าปากแล้วเทเศษอาหารเสียลงมา
โพสต์-อิทที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใยถูกยื่นมาตรงระดับใบหน้า ผมอยากขอบคุณกระดาษแผ่นเล็ก ๆ นี่เหลือเกินที่ช่วยบังช่วยบังถ้วยซุปกิมจิเพชฌฆาตให้ระหว่างที่ผมคายมันลงในถ้วยเหมือนเดิม
“อย่างกับน้ำล้างตีน” การที่เซฮุนยิ้มตาหยีใส่นั่นหมายความว่าน้องคงไม่ใส่ใจคำหยาบที่ผมพ่นออกมา เพราะวินาทีนี้คงไม่มีอะไรพีคไปกว่าถ้วยซุปตรงหน้าอีกแล้ว
ผมคีบไก่เผ็ดขึ้นมากินคำแรก รสชาติไม่แย่เท่าซุปกิมจิ แต่มันก็ควรถูกเททิ้งลงถังขยะไปพร้อม ๆ กันนั่นแหละ ผมปั้นหน้าเรียบเฉยทั้งที่ยังมีไก่เผ็ดอัดแน่นอยู่ในกระพุ้งแก้ม ความเผ็ดนี้ป้าแกขนพริกมาทั้งสวนเลยไหม หนังไก่ก็หยาบเหมือนขุดซากศพอากงอาม่าตระกูลไก่ออกมาทอด
เซฮุนพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดชีวิตตอนที่เจ้าตัวค่อย ๆ ลากแก้วน้ำหนีจากมือผม “เอามา”
ชักจะเหิมเกริมใหญ่แล้ว มองคาดโทษเด็กตัวแสบที่วางยากันด้วยวิธีร้ายกาจอย่างหาใดเทียบเทียม น้องส่ายหน้าพร้อมขยับริมฝีปากว่า ‘ไม่’ ก่อนจะเปิดหน้าหนังสือยี่สิบอย่างที่วางอยู่ข้างมือ
บทที่สิบห้า ‘พูดตามใจตัวเองสักครั้ง’
“อะไร” ผมหรี่ตามองหวาด ๆ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจรดปลายปากกาลงไปในโพสต์-อิทแล้วแปะมันลงบนหน้าหนังสือ
“...”
คำถามหนึ่งในหัวตอนนี้คือ ‘โอเซฮุนกลายเป็นเด็กกวนตีนไปแล้วเหรอวะ’ เขาพยักหน้ารัว ๆ กดดันให้ผมรีบทำภารกิจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กคนนี้สนุกไปกับหนังสือเฮงซวยเล่มนี้ อ๋อ... ก็คงตั้งแต่ตอนนั้นที่ผมชวนให้น้องมาทำเรื่องบ้าบอคอแตกตามหนังสือด้วยกัน
‘โบกรถข้างทางโดยไม่เสียเงินไปกับค่าโดยสาร’ <- พอเปลี่ยนคนโบก รถก็จอดแหละครับ ได้แต่คิดว่าหน้าตาเซฮุนดูเป็นคนดีมากกว่าผมแค่ไหน ทำไมลุงคนขับถึงจอดแล้วยอมให้เราทั้งคู่ขึ้นไปนั่งพิงกองหญ้าแห้งซึ่งเป็นอาหารวัวท้ายกระบะเก่า ๆ ขึ้นสนิมได้อย่างง่ายดาย
‘แต่งตัวประหลาดเดินใจกลางเมือง’ <- คนมองมาเป็นตาเดียวกันจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ส่วนเซฮุนก็เอาแต่ถ่ายรูปความอับอายของผมไม่หยุด
‘เมาคว่ำ อ้วกแตกโดยไม่กลัวว่าจะฟื้นขึ้นมาอยู่ที่ไหน’ <- ตื่นมายิ่งกว่าหมาอีก ถ้าไม่ได้คุณยายทำยาขมให้กิน ชาติหน้าก็คงไม่หายแฮงค์
‘ทักทายแบบสาวฝรั่ง’ <- อันนี้ตลกสุด ตอนผมกับน้องประสานมือกันแล้วเอาแก้มชนแก้มนี่ตุ๊ดอย่าบอกใคร ขำจนปวดท้อง
ผมมองเด็กหนุ่มตัวผอมที่ปิดปากหัวเราะประหนึ่งกลัวว่าเสียงจะหลุดออกมา ตั้งแต่ข้อแรกก็รู้สึกว่าหนังสือที่คิมยูจินเขียนมันโคตรห่วยแตกมาจนถึงข้อสิบห้าก็ยังหาสาระไม่ได้ แต่ประเด็นคือผมเสือกทำตามจนถึงข้อนี้
“เฮ้” อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปกระตุกผมม้าของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เซฮุนยิ้มตาหยีเบี่ยงตัวหลบ ความอับอายของผมกลายเป็นเรื่องสนุกของน้องไปแล้วสินะ
สิ่งแรกที่ควรทำคือกระเดือกไก่โง่ ๆ ลงคอให้ได้ก่อน ผมนั่งทำใจอยู่หลายนาทีก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายเพื่อขอความเห็นใจสักครั้ง แต่เซฮุนกลับเลื่อนหนังสือยี่สิบอย่างมาเพื่อตอกย้ำความกากของคิมจงอินและแน่นอนว่าผมจะไม่ยอมเสียฟอร์มต่อหน้าเด็กเด็ดขาด
ผมลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วหันหลัง เห็นว่าคุณป้าเจ้าของร้านนั่งพัดไม้ตบยุงอยู่ กลัวเหลือเกินว่าว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามันอาจจะฟาดเข้าข้างแก้มตัวเอง นึกอยากกลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็กลัวรู้สึกได้ถึงรสชาติไก่เผ็ดที่ฝืนกระเดือกลงไปเมื่อครู่ ผมค่อย ๆ เข้าไปหาเธอ ถ้าเป็นหนังสยองขวัญคงมีซาวด์เฮอเร่อกับเสียงรองเท้าเหยียบลงพื้นทุกครั้งที่ก้าวขา
หญิงวัยห้าสิบเงยหน้าขึ้นฉายแววสงสัยว่าลูกค้าอย่างผมเป็นอะไรถึงมายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แทนที่จะสวาปามอาหารรสเลิศที่เธอเป็นคนทำ ริมฝีปากที่เคยหลุดยิ้มออกมาอย่างง่ายดายเพราะโอเซฮุน บัดนี้กำลังฝืนแค่นยิ้มออกมาเมื่อสีหน้าอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ใช่คนชอบเรื่องตลก
“จะเอาอะไรเพิ่มล่ะ” น้ำเสียงนี่ยิ่งกว่านักเลงท้ายซอย ผมกลอกตาลอกแลกก่อนจะหยุดที่ใบหน้าอันโหดสัดของป้าอีกครั้งแล้วยิ้มเหมือนคนโง่
“ป้าครับ”
“...”
“อาหารที่ป้าทำน่ะ”
ผมผายมือไปข้างหลังแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำมันอีก ณ จุดนี้คาดว่าสายตาของแกคงคาดหวังคำดี ๆ จากปากผมอยู่เหมือนกัน แต่ขอโทษนะป้า... คือ...
“มันโคตรหมาไม่แดกเลย !”
พรึ่บ ! ! !
ตัวผมปลิวไปตามแรงลากจนเกือบล้ม แต่ก็ยังประคองร่างตัวเองไว้ได้แม้ว่าจะทุลักทุเล พอหันไปอีกทีก็เห็นว่าตอนนี้เซฮุนกำลังลากผมออกจากร้านโดยมีเสียงก่นด่าตามหลังมาไหว ๆ ขาของเราทั้งคู่วิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี สิ่งที่ผมมองเห็นตอนนี้คือเป้สีน้ำตาลของเซฮุนกับกระเป๋าของตัวเองที่น้องสะพายไว้กับไหล่ข้างซ้ายและทั้งร่มทั้งสองคันในมือ
“อา...”
ผมก้มหน้าลงหอบหายใจพร้อมยันมือทั้งสองข้างไว้กับหัวเข่าหลังจากวิ่งออกมาไกลโขแล้ว คิมจงอินยังไม่แก่ แต่ก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าการไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมันทำให้เหนื่อยง่ายไปหน่อย ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นกระบอกน้ำยื่นเข้ามา เซฮุนนั่งลงยอง ๆ แล้วมองผมราวกับว่ารู้สึกผิด
“ไม่ต้องเลย เด็กตัวแสบ” ชี้นิ้วคาดโทษคนที่เงยหน้ามองมาก่อนจะหันกลับไปข้างหลัง นี่วิ่งออกมาไกลแค่ไหนล่ะเนี่ย “ยังไม่ได้จ่ายเงินด้วย แต่ถ้ากลับไปคงโดนป้าแกเฉ่งหัวแน่”
ทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะดีดร่างขึ้นทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่ากางเกงเปียก บ้าเอ๊ย ! ก็ลืมไปเลยว่าฝนเพิ่งหยุดไป ผมจิ๊ปากอย่างหัวเสียแล้วทิ้งก้นลงบนพื้นหญ้าตอกย้ำอารมณ์ขุ่นที่เผชิญอยู่ ซึมเข้าไปในกางเกงในเลยนะ เอาให้คัน !
เซฮุนทำตาปริบ ๆ มองคนขี้หงุดหงิด พอสงบสติอารมณ์ได้ผมก็ยันมือทั้งสองไว้ข้างหลังก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้สายลมยามเย็นช่วยพัดเอาความเหนื่อยล้าไป
แต่เพียงอึดใจเดียวก็ต้องลืมตาขึ้นเมื่อถูกสะกิด พอหันไปข้างตัวก็พบว่าเซฮุนกำลังกางหนังสือยี่สิบอย่างให้ดูพร้อมชี้พิกัด
บทที่สิบหก ‘กินแล้วไม่จ่าย’
ผมหยุดสายตาอยู่ที่หัวข้อตัวหนาครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาหนัก ๆ พร้อมทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหญ้าข้างถนนโดยไม่แคร์ว่าเสื้อผ้าจะเปียกเพราะน้ำฝนหรือเปล่า “อา ! ให้ตายเถอะ”
กับเรื่องบางเรื่องผมอาจจะตั้งใจทำ แต่กับเรื่องกินแล้วเชิดนี่ไม่เคยอยู่ในหัวเลยสักนิด ผมลืมตามองเด็กหนุ่มตัวผอมที่ยังคงนั่งยอง ๆ มีสัมภาระเต็มแขนกับหนังสือยี่สิบอย่างในมือแล้วก็อยากเข้าไปหยิกแก้มแรง ๆ ที่เห็นก้มหน้าก้มตาอ่านก็นึกว่าไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ที่ไหนได้ก็ช่วยวางแผนเสียเสร็จสรรพเลยนะ
หมั่นเขี้ยว...
“โดนตามตัวถึงโรงเรียนแน่ ใส่ชุดนักเรียนมาด้วยนี่” แค่นยิ้มมองเด็กหนุ่มที่วางกระเป๋าทั้งสองใบแล้วลงมานอนข้าง ๆ ผมเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจเพราะอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะกลัวเสื้อนักเรียนเปียก เซฮุนประสานมือไว้ตรงช่วงอกแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเจ้าตัวจะหันมาสบตาพร้อมกับขยับริมฝีปากอย่างช้า ๆ ว่า...
‘อยู่กับคุณแล้วสนุก’
“...”
พยายามตั้งสติแล้วทวนภาพในความคิดว่าไม่ได้เข้าใจความหมายผิดไป เด็กคนนี้ยังไม่ละสายตาไปไหนราวกับว่ากำลังรอดูท่าทีของผมซึ่งคงหลุดแสดงออกทางสีหน้าไปจนหมดแล้ว หัวใจของคิมจงอินยังคงเต้นแรงเหมือนทุกครั้งหลังจากรู้ตัวว่าคิดยังไงกับเด็กคนนี้
เซฮุนลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบโพสต์-อิทกับปากกามาเขียน ผมมองเสื้อกั๊กไหมพรมที่เปียกไปด้วยน้ำก่อนที่เด็กหนุ่มจะยื่นกระดาษแผ่นเล็กมาให้
ชีวิตจริงยิ่งกว่าซินเดอเรลล่า พอรู้ตัวอีกที การใช้เวลาอยู่ที่นี่ก็ใกล้จะสิ้นสุดลง ผมหยัดตัวลุกขึ้นนั่งข้างน้องแล้วมองกระดาษที่อยู่ในมือ มันเป็นอีกหนึ่งคำถามที่ไม่อยากตอบ คล้ายว่าต้องการหลีกหนีความจริง
“อ่า ใช่” ผมเกาแก้มแล้วทอดสายตาไปยังทุ่งกว้างไกลสุดสายตา อีกไม่กี่วันผมก็จะไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ที่ ๆ ไม่สามารถมองเห็นวิวแบบนี้ได้ “สบายหูเลยสิ”
เด็กหนุ่มตัวผอมไม่ได้ก้มลงเขียนโพสต์-อิทเพื่อตอบโต้บทสนทนา เซฮุนเอาแต่มองหน้าผมราวกับว่าเจ้าตัวอยากพูดอะไรสักอย่างซึ่งผมไม่มีทางรู้เลย
“เป็นอะไรหรือเปล่า ?” ผมถามและน้องก็ส่ายหน้า
เซฮุนลุกขึ้นแล้วยื่นกระเป๋าเป้กับร่มที่วางไว้บนถนนคืนให้เมื่อหยดน้ำร่วงลงมาจากท้องฟ้าเป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่กี่วินาทีฝนคงตกลงมาอีกแล้ว เราทั้งคู่กางร่มแล้วก้าวขาไปตามถนนเส้นยาว ที่ยาวไปไกลจนสุดสายตา ผมเดินตามหลังเด็กหนุ่มตัวผอมโดยที่ไม่พูดอะไรอีก ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลยว่าน้องกำลังหงอยเพียงเพราะบทสนทนาเด่นในวันนี้คือเรื่องการจากลา
เนื่องจากเป็นถนนสองเลนและยังมีรถขับผ่านเป็นระยะเลยทำให้เราเดินกางร่มข้างกันไม่ได้ สิ่งที่สายตาผมมองเห็นตอนนี้คือหยดน้ำที่ไหลลงจากร่มและกระเป๋าเป้ของเด็กคนนั้น ความสับสนในหัวที่กำลังโจมตีคิมจงอินอย่างหนัก ผมไม่เสียใจที่เลือกมาฟื้นตัวที่นี่ แต่ก็ใจหายอยู่ไม่น้อยถ้าทุกอย่างกำลังจะจบลงทั้งที่รู้สึกเหมือนว่ามันเพิ่งจะเริ่มต้น
บรรณาธิการบ้างานอย่างคิมจงอินกำลังจะกลับไปใช้ชีวิตหน้าจอคอมพิวเตอร์และเซฮุนก็คงไปโรงเรียนแล้วกลับบ้านมาดูแลยายเหมือนอย่างที่เคยเป็น ความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้อยากยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อย ผมอยากอยู่กับเขาให้นานที่สุด แต่ภาระที่มีอยู่ก็เป็นเหมือนปืนจ่อหัวให้รู้ว่าผมไม่สามารถละทิ้งมันไว้ข้างหลังได้
ความอึดอัดในใจคล้ายกับระเบิดเวลา ผมหยุดฝีเท้ามองอีกคนเดินไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกต่าง ๆ นานาที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เป้าหมายของเด็กคนนั้นคือบ้าน แต่ในสายตาผมมันไม่ใช่อย่างนั้นเมื่อความรู้สึกมันบอกว่าเซฮุนกำลังจะเดินจากไป... ไปในที่ที่ผมจะมองไม่เห็นอีก
ผมหุบร่มแล้วเข้าไปอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน เซฮุนดูตกใจที่เห็นว่าใบหน้าของเราห่างกันเพียงปลายจมูก ขาทั้งสองข้างที่เคยเอาแต่วิ่งตามความรู้สึกอีกฝ่ายได้หยุดลงตรงนี้ ท่ามกลางสายฝนเย็นยะเยือกที่ตกลงมาอย่างหนักจนไหล่ข้างซ้ายเปียกปอน
และผมก็เลือกให้ความอบอุ่นกับตัวเองด้วยการจูบเขา
“...”
ผมผละริมฝีปากออกมาอย่างเสียดายแล้วมองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของเด็กหนุ่ม เซฮุนยังคงยืนนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ มือที่ถือร่มอยู่นั้นขึ้นริ้วแดงราวกับว่าเจ้าตัวออกแรงกำแน่นจนเกินไป ถ้าน้องจะผละออกแล้วเดินหนีไปในตอนนี้ก็คงไม่แปลก แต่มันก็แค่ความกังวลในใจที่ ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อตอนนี้ผมกำลังสบตากับคนตรงหน้า... ก่อนจะโอบใบหน้าขาวเข้ามาจูบอีกครั้ง
คิมจงอินเป็นคนความอดทนต่ำงั้นเหรอ ก็คงใช่... ผมเอียงใบหน้าปรับองศาแล้วส่งลิ้นร้อนเข้าไปกวาดเอาความหวานในโพรงปากอีกฝ่าย เซฮุนไม่ประสีประสากับจูบแรกที่ผมมอบให้ แต่เขาก็ยังยืนนิ่งให้จูบอยู่อย่างนั้น อาจจะดูเอาแต่ใจไปสักนิด... แต่เขาก็ควรรู้ได้แล้วว่าผมรู้สึกยังไง
“...”
“...”
เสียงฝนข้างนอกตกดังแค่ไหน ขอบอกเลยว่าหัวใจของคิมจงอินนั้นเต้นดังกว่า ผมชำเลืองมองแผ่นหลังขาวเหมือนปุยนุ่นกับเอวคอดของคนที่ยืนใส่เสื้อผ้าอยู่ข้างหลังแล้วก็ต้องบอกตัวเองให้ตั้งสติ ก็ไม่ได้หื่นนะ แต่เวลาเห็นอะไรดี ๆ ตามสัญชาตญาณมนุษย์ก็ต้องหันไปมองอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
ถูกต้อง คืนนี้ผมค้างบ้านเซฮุนเพราะฝนตกหนักจนไม่มีปัญญากลับห้อง สถานการณ์ปัจจุบันตึงเครียดพอ ๆ กับเส้นเลือดตรงขมับไม่มีผิด หลังจากทำการพรากจูบแรกเด็กคนนั้นไป ผมก็ใบ้แดกพูดไม่ออกอีกเลย ไม่ต้องถามว่าอีกคนเป็นยังไง รายนั้นก็ไม่พูดแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่วินาทีนี้ผมกลับอุปทานเดี่ยวไปว่าเขาเงียบยิ่งกว่าเดิมอีก
“เช็ดผมด้วยนะ เดี๋ยวเป็นหวัด” ต่อให้ไม่พูดอย่างนี้ น้องก็ต้องทำอยู่แล้วเพราะไม่ได้โง่ แต่ถ้าจะถามหาคนโง่ก็คงเป็นผมนั่นแหละที่เลือกลั่นคำพูดแปลก ๆ ออกไป
แต่ได้โปรดสงสารคิมจงอินที่เพิ่งทำเรื่องผิดมหันต์ลงไปทีเถอะ ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าจะต้องทำยังไงเด็กคนนั้นถึงจะกลับมาตีมึนอึนใส่เหมือนอย่างเคย โอเค... ก็รู้แล้วไงว่าเรื่องแบบนี้ มันยากสำหรับคนที่เพิ่งมีจูบแรก แต่ผมก็ไม่ได้อยู่ ๆ หน้ามืดพุ่งเข้าไปทำอย่างนั้นสักหน่อย ทุกอย่างก็มาจากความรู้สึกทั้งนั้น
เออรู้ว่าเหตุผลนี้มันอ้างไม่ขึ้น เพราะงั้นผมถึงต้องยืนหน้าแห้งอยู่แล้วกลืนคำพูดลงคอให้หมดสินะ
“จะนอนแล้วเหรอ ?” แค่เสี้ยววินาทีที่เซฮุนหันมามองก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะเบือนหลบไปอีกทางแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ
เซฮุนคงอึดอัดและทำตัวไม่ถูกหลังจากโดนผู้ชายด้วยกันจูบ แต่การที่เขาตั้งใจหนีด้วยการเตรียมตัวเข้านอนทั้งที่ผมยังเปียกอยู่แบบนั้นมันควรแล้วที่ไหน ผมถอนหายใจแล้วเดินไปนั่งลงบนที่นอนผืนเดียวกับเด็กตัวผอม เด็กตัวผอมเบิกตากว้างแล้วผงะเล็กน้อยก่อนจะมองข้อมือข้างขวาของตัวเองที่ถูกผมคว้าเอาไว้
“จะเช็ดผมให้”
“...”
“ถ้ากลัวก็อย่ามองหน้าพี่”
ผมมองหน้าอีกฝ่ายโดยที่ไม่พูดอะไรอีก ขอบคุณตัวเองที่ประโยคเมื่อครู่ยังคุมโทนเสียงไว้ได้โดยไม่หลุดตะกุกตะกักเพราะความประหม่า เซฮุนยอมนั่งนิ่ง ๆ ให้เช็ดผม เกือบห้านาทีเลยที่เราทั้งสองคนถูกความอึดอัดกลืนกินจนกระทั่งผมละมือออก
“โกรธเหรอ” ผมจ้องหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ “ไม่ขอโทษนะ เพราะตั้งใจ”
น้องฉีกโพสต์-อิทแล้วแปะบนหัวให้อ่าน ผมเลยกลอกตาตีมึนเผื่อว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะดีขึ้นบ้าง
“เผื่อเราจะตอบว่า ‘ไม่’ ไง”
“...”
จากสายตาที่มองมา ขอเดาว่าเด็กคนนี้คงแอบด่าพ่อผมอยู่ในใจ เซฮุนประกบมือทาบแก้มเป็นเชิงบอกว่าจะนอนแล้ว พอเห็นอย่างนั้นผมเลยไขว้มือไม่เห็นด้วย แต่น้องก็ทิ้งตัวลงนอนอยู่ดี
“นี่ เซฮุน” ผมได้แต่นั่งมองอีกคนนอนหันหลังให้ “เออ ทำแบบนี้ให้ได้เรื่อย ๆ นะ ทำไปจนถึงตอนพี่กลับโซลเลย”
การเรียกร้องความสนใจจากไอ้บ้าคิมจงอินนั้นได้ผล เมื่อเด็กหนุ่มตัวผอมพลิกร่างกลับมามองหน้าผมแล้วขมวดคิ้วมองอย่างไม่พอใจ คาดว่าเหตุผลนั้นคงไม่ใช่เพราะถูกรบกวนเวลานอนแน่ เซฮุนเอื้อมไปหยิบปากกากับโพสต์-อิท เขียนอะไรบางอย่างลงไปก่อนจะยื่นให้อ่าน
อ้าวลั่น
“เราก็เป็นคนที่เงียบที่สุดเท่าที่พี่เคยเจอมาเหมือน-- โอ๊ะ ! ! !” ผมงอตัวเหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวกเมื่อถูกฝ่าเท้าของเด็กนั่นถีบเข้าอย่างแรงจนเทกระจาดลงไปกับพื้นไม้ พอหันไปก็เห็นว่าเซฮุนดีดตัวลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเข้ามาทึ้งหัวผมต่ออีก “โอ๊ย ! ! ! ขอโทษ ! ! ! ดะ-- เดี๋ยวสิเซฮุน ยะ-- ยายจะตื่น ! ! !”
เสียงเนื้อแขนของผมตอนโดนฟาดนั้นสู้กับเสียงฝนข้างนอกได้เลย รู้สึกแสบไปหมด แต่คนถูกล้อปมด้อยก็ยังไม่หยุดมือ ผมพยายามคลานหนีแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเด็กหนุ่มตัวผอมเข้ามาล็อกคอจากข้างหลังแล้วฟาดลงมาซ้ำ ๆ
ไอ้คนชั่วที่ขโมยจูบเด็ก แถมยังพูดจาไม่ดีหยุดการเคลื่อนไหวก่อนจะคว้าท่อนแขนขาวของที่รัดคอเอาไว้แล้วหันไปสบตากับอีกฝ่าย ฝ่ามือที่เคยฟาดลงมาอย่างไม่ยั้งหยุดลงพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่มีแล้วแววตาเรียบเฉยราวกับคนไร้ความรู้สึก เมื่อริมฝีปากสีเชอรี่นั้นกำลังสั่นก่อนจะขยับอย่างช้า ๆ เป็นคำว่า
‘อย่าไป’
“...”
วงแขนที่เคยรัดคอเริ่มคลายออกตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่ได้สนใจ วินาทีนี้รู้แค่ว่าไม่อยากมองอะไรอีกนอกจากใบหน้าของเซฮุน ผมเอื้อมมือขึ้นทาบแก้มขาวทั้งที่ในหัวมีเรื่องราวมากมายวิ่งแล่นอยู่ไม่หยุด
“ทำแบบนี้พี่จะคิดเข้าข้างตัวเองแล้วนะ” ไม่อยากให้เขายืนยันประโยคเมื่อครู่ด้วยการเขียนลงไปในโพสต์-อิทเลย เพราะตอนนี้ผมอยากเชื่อความรู้สึกตัวเองมากกว่าว่าสิ่งที่น้องพูดคือการห้ามไม่ให้ผมกลับไป
ผมพลิกตัวหันเข้าหาเด็กหนุ่มตัวผอมแล้วมองดวงหน้าขาว เซฮุนเอื้อมไปหยิบปากกากับโพสต์-อิทมาเขียนบางอย่างลงไปแล้วฉีกมาให้ดู
ควรจะตอบยังไงดีกับความคิดที่อัดแน่นอยู่ในหัว ผมมาที่นี่เพื่อพักใจแล้วก็ได้เจอเซฮุนโดยบังเอิญ หลังจากนั้นความรู้สึกบางอย่างมันก็ก่อตัวขึ้น การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในเวลา แสนจำกัดที่นี่และสุดท้ายผมก็ต้องกลับโซลเพราะยังมีภาระอีกมากมายซึ่งทิ้งไว้ข้างหลังไม่ได้
“อ่า... หมายถึงตอนนี้น่ะเหรอ ?”
บอกตามตรงว่าไม่รู้จะหาเหตุผลจากไหนไปรองรับคำถามนี้ ผมเงียบไปและคาดว่ามันคงนานพอสมควรสำหรับคนรอ ตั้งแต่เกิดมายี่สิบแปดปี ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องมาคิดหนักกับการตอบคำถามนี้
“เพราะชอบก็เลยจูบ ต้องคิดอะไรด้วยเหรอ”
“...”
“ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน” ผมเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งเพื่อให้อีกคนได้คิดตาม ไม่มีคำพูดสวยหรูเหมือนตอนเขียนหนังสือที่ถูกตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งในตอนที่ยังมีแรงบันดาลใจ ผมให้ความรู้สึกเพียว ๆ กลั่นกรองคำพูดเหล่านั้นออกมาและหวังว่าเซฮุนจะเข้าใจ “ดูไม่ออกเลยเหรอว่าพี่ชอบเรา”
“...”
“ไม่มีผู้ชายคนไหนจูบผู้ชายด้วยกันโดยที่ไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ”
ผมกำลังจริงจัง จริงจังจนกลัวใจตัวเองว่าชอบน้องมากขนาดต้องมาพูดเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ความคิดในหัวมันมีทั้งฝั่งดีและฝั่งร้าย ฝั่งดีบอกให้พูดตามความรู้สึกไปเพราะจะได้ไม่เสียใจเอาทีหลัง แต่ฝั่งร้ายมันบอกให้หุบปากซะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดกลับโซลแล้วจะสารภาพความรู้สึกพวกนี้ไปทำซากอะไรอีก ทุกอย่างจะจบลงทันทีที่ผมขึ้นรถไฟและเราจะกลายเป็นแค่ความทรงจำของกันและกัน
แต่ผมเลือกที่จะเชื่อความรู้สึกในตอนนี้มากกว่าความกลัวที่ยังไม่มาถึง
“และพี่ก็เชื่อว่าผู้ชายที่ยอมให้จูบถึงสองครั้งก็คงรู้สึกบ้างเหมือนกัน”
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าชินกับความเงียบแล้วหลังจากใช้เวลาอยู่กับเซฮุนมานาน แต่สำหรับวินาทีนี้ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิด มันน่าอึดอัดกับความมั่นใจที่แขวนไว้กับความเสี่ยง เขาหลุบสายตาลงทั้งที่มือข้างขวายังคงถือปากกาเอาไว้ เราปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นนาที จนกระทั่งน้องเขียนบางอย่างลงบนหน้าสมุดแล้วฉีกมาให้
“...”
“...”
“...”
“...”
“...”
ผมทำได้แค่นั่งนิ่งมองเซฮุนจรดปลายปากกาลงในโพสต์-อิทแล้วฉีกมันออกมาซ้ำ ๆ ไม่หยุดมือราวกับว่ากักเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวแล้ว ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคน ตรงหน้าตะโกนบอกความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างใน
ความรู้สึกที่ผมเคยคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็ไม่เคยมั่นใจเลยสักครั้ง
ผมลุกขึ้นแล้วดึงแขนคนตรงหน้ามาจูบเป็นครั้งที่สาม ถ้าถามว่าเจตนาคืออะไรก็ขอคิดแบบง่าย ๆ เลยว่าต้องการให้น้องหยุดพูดผ่านทางตัวหนังสือสักที สองมือโอบใบหน้าขาว เอาไว้ ประคองให้เงยขึ้นรับจูบก่อนที่ผมจะดันร่างผอมบางให้เอนลงบนที่นอน
เสื้อที่สวมอยู่ถูกกำแน่นเท่าไหร่ผมก็ยิ่งจูบแรงมากขึ้นเท่านั้น ลิ้นไม่ประสีประสาคล้ายกับความรู้สึกของอีกฝ่ายที่กำลังพยายามหนีเมื่อถูกไล่ต้อน ดูดดึงลิ้นร้อนก่อนจะผละออกมาขบริมฝีปากล่างสีเชอรี่ที่เคยลอบมองอยู่บ่อยครั้ง
ผมถอนจูบออกมามองคนใต้ร่างที่กำลังหอบหายใจหนัก ขณะสบตากันผมเห็นเงาตัวเองอยู่ในแววตาคู่นั้นและแน่นอนว่าอยากจะให้มันเป็นอย่างนี้ไปตลอด ผมค่อย ๆ เลื่อนไปจับมือน้อง หยั่งเชิงรอดูท่าทีอยู่ชั่วอัดใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดประสานในวินาทีถัดมา
“เราไม่ควรพูดแบบนั้นกับพี่”
“...”
“วันนี้ชอบพี่มากเท่าไหร่ พรุ่งนี้ก็ต้องชอบให้มากกว่านี้ มันคือคำสาป”
เสียงฝนข้างนอกที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้เสียงของผมเบาลง แต่เชื่อว่าเซฮุนคงได้ยินทุกอย่างจากระยะห่างใบหน้าที่เฉียดฉิวแค่ปลายจมูก เด็กหนุ่มตัวผอมเอาแต่มองหน้าในเวลานี้ที่คิมจงอินพูดทุกอย่างออกไปหมดแล้ว
“อยากพูดอะไรไหม ?” แน่นอนว่าผมเองก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง เซฮุนพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะคว้าเอามือถือที่วางอยู่ข้างหมอนมาพิมพ์บางอย่างลงไปแล้วหันจอเข้าหาผม
20:01 คุณทำให้ผมชอบ ทั้งที่อีกไม่กี่วันก็จะกลับโซล
ผมละสายตาจากจอมือถือแล้วยิ้มให้คนคิดมาก เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าเราอ่านความคิดคนอื่นจากสีหน้าไม่ได้ เพราะคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร บางครั้งเขาอาจจะคิดเรื่องใหญ่โตอยู่ก็ได้
“ถ้าพี่กลับไป เราก็จะเสียใจใช่ไหม ?”
เด็กซึนก็คือเด็กซึน เซฮุนไม่ยอมพยักหน้าหรือส่ายหัวเป็นคำตอบ แต่เจ้าตัวกลับมองมาเหมือนว่าอยากให้พูดอะไรต่อ ซึ่งคงเป็นคำพูดดี ๆ สักสองสามประโยคเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับความรู้สึกของเราทั้งคู่ที่มันบางเบาและพร้อมจะขาดได้เสมอถ้าหากว่าใครคนหนึ่งกระตุกมันแรงเกินไป
“พี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี มันอาจจะฟังดูแย่และเชื่อไม่ได้ แต่พี่อยากให้รอ... ได้ไหม ?”
เซฮุนใช้ภาษามือถามผมว่า ‘ทำไม ?’ ซึ่งเขาเคยสอนผมแล้วเมื่อตอนนั่งกินข้าวกับคุณยาย
“เพราะพี่จะกลับมาอีก” ทันทีที่พูดจบเซฮุนก็ดันผมออก เขาลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบโพสต์-อิทกับปากกามาเขียนแทนที่จะพิมพ์ลงในโปรแกรมแชทของสมาร์ทโฟน
ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายแล้วสอดแขนเข้าใต้ท้ายทอยเพื่อให้นอนในท่าสบาย ๆ ก่อนจะตบหมอนบอกให้น้องลงมานอนด้วยกัน “ต้องเชื่อสิ ไม่งั้นมันจะผิดคอนเซ็ปต์เด็กบ้านนอกนะ”
เซฮุนกลอกตาแล้วชี้ให้ผมกลับไปนอนในที่ของตัวเองเหมือนกับว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อแล้ว เพราะไอ้บ้าคิมจงอินเอาแต่พูดจาเล่นลิ้น แต่ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วตบหมอนซ้ำลงไปอีกสองครั้ง กดดันให้เขาลงมานอนด้วยกันแต่โดยดี
“เยี่ยม ต่อไปถ้ามีสาวที่ไหนมาจีบก็ให้ชัดเจนอย่างนี้เลยนะ” ผมชี้ประโยคนี้บนกระดาษแล้วเซฮุนก็ดึงมันออกไป “หรือผู้ชายมาจีบ ?”
“ก็ดีนะ พี่ไม่อยากแข่งกับใคร”
เด็กซึนที่เอาแต่รัวฉีกกระดาษใส่ผมหายไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่โอเซฮุนสุดโหดที่ตอกหน้าผมด้วยประโยคเจ็บ ๆ “แล้วเราคิดว่าพี่เป็นคนแบบไหน ?”
“ก็พูดสิว่า ‘พี่จงอินครับ เราควรคุยเรื่องอนาคตอย่างจริงจังกันได้แล้วนะ ไม่งั้นน้องคงเครียดจนนอนไม่หลับแน่ ๆ’ เอาอย่างนี้... โอ๊ย ! ! !” สะดุ้งสุดตัวเมื่อเด็กนี่ม้วนสมุดแล้วฟาดใส่แขนผมอย่างแรง “เจ็บนะ ! ! !”
“งั้นจะแทนว่าอะไรอะ ที่รักงี้เหรอ โหเขินเลย... อะนั่นแน่...” ผมคว้าข้อมือที่เตรียมจะปาปีกโพสต์-อิทใส่เอาไว้พร้อมยิ้มล้อ ไม่ได้หรอก คราวนี้ผมไวว่ะ
เซฮุนกระตุกมือเล็กน้อยผมเลยยอมปล่อยออก เด็กหนุ่มตัวผอมหันไปก้มหน้าก้มตาเขียนลงบนโพสต์-อิทอีกครั้งแล้วหันมันมาทางนี้
คำถามนี้ดูดรอยยิ้มไปจากหน้าผม เซฮุนชำเลืองมองมาระหว่างรอคำตอบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าน้องหมายความไปในทางไหน “ถ้ารอที่จะเจอกันอีกครั้งก็ไม่นานหรอก”
คิดว่าคำตอบคงไม่เป็นตามที่คาดหวัง สีหน้าของเด็กตัวผอมถึงออกมามึนอึนอย่างนั้น เซฮุนพยักหน้าช้า ๆ อย่างจำใจก่อนที่ผมจะยันตัวลุกขึ้นนั่งมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด ๆ
“เข้าใจจริงเหรอ ?”
หัวใจของผมพองโตเพียงแค่อ่านประโยคนี้จบแล้วเงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มบาง ๆ ของเซฮุน ผมวางมือลงบนศีรษะทุยแล้วโคลงไปมาเบา ๆ ในวินาทีนี้รอยยิ้มที่เกิดขึ้นมันอาจจะเศร้าหน่อย แต่ในเมื่อมันไม่ใช่การจากลา ผมเลยเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราทั้งคู่ต้องยิ้มให้กันได้โดยปราศจากความรู้สึกขุ่นใจเหมือนในตอนนี้
TBC
ตอนหน้าจะจบแล้วนะคะ แหะ
ความคิดเห็น