คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 04 :: ความเงียบสีขาว #AmongPages
(4)
คิมจงอินมันเป็นคนเลว ที่คิดว่าเหตุการณ์หญิงชราเข้าโรงพยาบาลในครั้งนั้นเป็นตัวช่วยให้เข้าออกบ้านเซฮุนได้ง่ายขึ้นคุณยายเอ็นดูผมมากชนิดว่าชวนให้มาอยู่ด้วยกันจนกว่าจะกลับโซล แถมยังถามอีกว่าชอบกินอะไร วันถัดมาท่านก็ทำให้ผมกินโดยที่ไม่บอกก่อน
ถ้าเซฮุนพูดได้ เด็กคนนั้นคงก่นด่าผมทางอ้อมด้วยคำสั้น ๆ แต่เข้าใจง่ายสักประโยค เขาก็คงลำบากใจเหมือนกันที่ผมแทบกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้แล้ว เพียงเพราะเป็นฮีโร่ที่น้องปฏิเสธไม่ได้
วันนี้วันหยุด ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงใช้เวลาไปกับการนอนจนถึงช่วงบ่าย แต่ชีวิตในชนบทที่มีความน่าตื่นเต้นรออยู่นั่นแหละที่ทำให้ผมอยากตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปยังสถานที่เดิม ๆ
ห้อยกล้องดิจิตอลไว้กับคอแล้วสะพายกระเป๋าเป้สีดำ เดินลงบันไดจนถึงจุดจอดจักรยานก่อนจะก้าวขาคร่อมเบาะ การใช้เวลาอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนอาจจะผ่านไปอย่างรวดเร็วหรือยาวนานมากขึ้นก็อยู่ที่การใช้ชีวิต แน่นอนว่ามันจะยาวนานมากขึ้นแน่ ๆ ถ้าผมจะยอมเสียเวลานั่งรอรถเมล์ เพราะฉะนั้นการซื้อจักรยานราคาเกือบแสนวอนก็เป็นทางออกที่ดี เลือกแบบปั่นสบายมีเกียร์ไม่ปวดขา ถึงจุดที่อยากถ่ายรูปก็จอดขาตั้งแล้วลงไปเก็บภาพสวย ๆ เอาไว้
กว่าจะไปถึงบ้านสองยายหลานก็เกือบเก้าโมง สิ่งแรกที่ได้ยินคือคำถามว่า ‘กินข้าวมาหรือยังลูก ?’ ซึ่งมันเรียกรอยยิ้มจากผมได้เป็นอย่างดีเพราะรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใย
แปลงผักทางด้านซ้ายถูกรดน้ำจนฉ่ำ คาดว่าคงเป็นฝีมือคนเป็นหลานมากกว่าหญิงชราที่ทำอะไรได้ไม่มากนัก ผมหันซ้ายขวาเมื่อไม่เห็นว่าเด็กตัวผอมอยู่ในที่จะมองเห็นได้ ก่อนจะเดินไปนั่งบนชานบ้านกับคุณยาย
“เซฮุนไปไหนเหรอครับ ?”
“จะมีงานของวิชาสังคม ครูเขามาขอแรงให้ไปช่วยจัดป้ายอะไรก็ไม่รู้ยายก็จำไม่ได้ แต่เห็นบอกว่าบ่าย ๆ จะกลับนะ” ผมพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะวางถุงพลาสติกสีดำลงตรงหน้าเธอ
“ผมซื้อมื้อเที่ยงมา มีทั้งของเผ็ด ของหวาน ของจืด เดี๋ยวเราอุ่นกินด้วยกันตอนเซฮุน กลับมาดีไหมครับ ?”
“เปลืองเงินอีกแล้วลูก...” คุณยายยิ้มพลางวางมือลงบนท่อนแขนผม
ตลอดเวลาที่อยู่กับคุณยายสองคนทำให้ผมรู้ว่า จุดประสงค์ของการมาที่บ้านหลังนี้มีเซฮุนเป็นเป้าหมายหลัก เพราะตอนที่เขาไม่อยู่ผมก็รู้สึกหงอยแปลก ๆ ต่อให้จะไม่เคยได้ยินเสียง แต่ก็คงพูดได้อย่างเต็มปากว่าชอบคุย ชอบให้เด็กคนนั้นอยู่ใกล้ ๆ แม้ว่าสิ่งที่ทำร่วมกันส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งมองหน้ากันเฉย ๆ ฟังคุณยายพูด รวมไปถึงการกิน
ผมเอาแต่มองไปยังถนนลูกรังทางเข้าบ้าน ได้แต่หวังว่าพอหันไปแล้วจะเห็นเซฮุนปั่นจักรยานเข้ามา ความจริงแล้ววันนี้มันพิเศษไปกว่าทุกวัน ผมอยากเจอเด็กคนนั้นไว ๆ เพื่อที่จะให้ความตื่นเต้นนี้จางหายไปสักที
“คุณยายครับ” ผมพูดทำลายความเงียบหลังจากนึกอะไรดี ๆ ออก “เซฮุนพูดไม่ได้ตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่า ?”
ต่อให้ได้คำตอบจากคุณยายทั้งสองท่านตรงป้ายรถเมล์วันนั้นแล้ว แต่ก็ใช่ว่าผมจะพูดอวดรู้ให้คนตรงหน้าสงสัยได้ว่าไอ้คนแปลกหน้าที่หลานชายแกบังเอิญเจอระหว่างทางไปรู้มาได้ยังไง คุณยายนิ่งไปเกือบนาทีหรืออาจจะนานกว่านั้น ใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มค่อย ๆ จางหายไปราวกับว่าคำถามของผมเป็นคำสาป
“เปล่าหรอก...ยายไม่ได้ยินเสียงเด็กคนนั้นตั้งแต่เจ้าตัวอายุสิบสอง” เธอหลุบสายตาลง รอยยิ้มที่เกิดขึ้นตอนนี้มันค่อนข้างเศร้า ซึ่งผมมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง “มันก็นานมากแล้ว”
“โอเคครับ ผมว่าผมได้คำตอบแล้ว” ผมยิ้มเจื่อนแล้วขยับเข้าไปนั่งข้างเธอที่กำลังปอกเปลือกแอปเปิลอยู่ “ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้ว่าคำถามของผมจะทำให้คุณยายไม่สบายใจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกลูก ความจริงยายดีใจนะ” เธอว่า “มีไม่กี่คนหรอกที่คิดจะถาม”
ผมตกอยู่ในห้วงของความอยากรู้อยากเห็น เสียงต้นไม้ปลิวไปตามแรงลมนั้นเคยไพเราะน่าฟัง มันคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของธรรมชาติ แต่วินาทีนี้ผมกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงถอนหายใจของหญิงชราที่อยู่ข้างกาย
“คนส่วนใหญ่เลือกเชื่อคำพูดจากปากต่อปาก แต่ไม่มีใครสนใจว่าความจริงเป็นยังไง”
“...”
ผมอยากให้เธอหยุดถ้าหากว่ามันเป็นการตอกย้ำความรู้สึก แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าประโยคคลุมเครือที่เธอกำลังพูดถึงนั้นมันคืออะไร
“เซฮุนน่าสงสาร” สีหน้า แววตาและน้ำเสียงของเธอนั้นเศร้าหมอง ผมวางมือลงบนหลังมือเธอแล้วกุมเอาไว้หลวม ๆ
คิมจงอินอายุยี่สิบแปด จะว่าแก่ก็ได้ แต่ผมก็ยังเด็กเกินไปในบางเรื่อง หลายอย่างที่เข้าใจได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องอธิบายให้ยาวยืด แต่บางอย่างต่อให้ตายยังไงก็ไม่ยอมเปิดใจฟัง เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ความละเอียดอ่อนมันก็เพิ่มตามลำดับ ผมคิดว่าหญิงชราคนนี้คงมีทั้งความทรงจำดี ๆ ให้นึกถึงและมีเรื่องราวร้าย ๆ ที่ฝังลึกอยู่ในใจไม่มากก็น้อย
“ถ้าคุณยายไม่สะดวกใจที่จะพูดถึงมันก็ช่างมันเถอะครับ จริง ๆ นะ” เธอหันหน้ามายิ้มบาง ๆ แล้ววางมือลงบนท่อนแขนของผม
“ยายไว้ใจจงอิน” เธอเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ผมยอมรับว่ารู้สึกวูบตรงหน้าอกข้างซ้ายตอนได้ยินอย่างนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกดีเหลือเกินกับการได้รับความไว้ใจจากใครสักคน “ถึงเซฮุนจะพูดไม่ได้ แต่ยายก็รู้ว่าตั้งแต่มีเราเข้ามา เด็กคนนั้นก็ร่าเริงขึ้น”
“...”
“เซฮุนไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะเหตุการณ์เมื่อคราวนั้นที่เปลี่ยนชีวิตเราทุกคน เด็กที่เคยยิ้ม เคยหัวเราะก็พูดไม่ได้และกลายเป็นคนเศร้าซึม”
คุณยายมองหน้าผมแล้วเงียบไป ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เธออยากได้ยินการขานตอบจากผมหรือแค่ไม่รู้ว่าจะเล่าต่อยังไง แต่เชื่อเถอะว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจเอาเสียเลย
“แม่เซฮุนเสียตั้งแต่เด็กคนนั้นอายุเจ็ดขวบ ส่วนพ่อก็เป็นคนจิตไม่ปกติ เขาขืนใจลูกสาวตัวเองกลางดึก แล้วพลั้งมือบีบคอเธอจนตาย”
“...”
โลกของผมหยุดหมุนหลังจากที่คุณยายพูดจบ ระหว่างที่เธอเล่าผมก็คาดเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นเรื่องพ่อแม่ของเซฮุนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตหรืออะไรสักอย่างที่พรากพวกเขาไป เพราะก่อนหน้านี้แกเคยหลุดปากออกมาว่า ‘เรามีกันสองคน’ หรือไม่ก็เป็นเรื่องปมในใจสักอย่าง แต่ไม่คิดว่ามันจะโหดร้ายขนาดนี้
รู้สึกหายใจไม่ค่อยออกเหมือนคนกำลังจมน้ำ ผมมองเสี้ยวหน้าของหญิงชราที่ทอดสายตาออกไปยังสวนผักหน้าบ้านด้วยแววตาเศร้าหมอง
“เซฮุนคงบังเอิญไปเห็นเข้า ตอนนั้นยายไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาคงส่งเสียงดัง ไอ้โรคจิตนั่นถึงพยายามจะเข้าไปห้ามให้หยุดด้วยวิธีไม่ต่างจากที่ทำกับลูกสาวตัวเอง”
“...”
“แต่เป็นโชคของเซฮุนที่คนข้างบ้านได้ยินเข้าเลยมาช่วยไว้ทันและแล้วไอ้เลวนั่นก็ถูกตำรวจจับสักที” เสียงของเธอสั่น “ขาของยายแทบหมดแรงตอนเห็นหลานสาวนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง สายตาของเธอมองมาแต่ไร้ความรู้สึก”
“...”
“เซฮุนนั่งตัวสั่นร้องไห้ไม่หยุด ยายได้แต่กอดหลานเอาไว้แล้วพูดกับเขาว่า ‘ไม่เป็นไรนะลูก ยายอยู่ตรงนี้แล้ว ทุกอย่างจะไม่เป็นไร’” ในมือของเธอยังมีแอปเปิลกับมีดปอกผลไม้ สายตาของหญิงชรายังคงเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมายหลังจากเล่าเรื่องฝันร้ายในอดีต “หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของเซฮุนอีกเลย”
ผมเม้มริมฝีปากถือวิสาสะจับมือเธอขึ้นแล้วซ้อนมืออีกข้างเข้าไป รอยยิ้มที่เคยเห็น ความผูกพันของสองยายหลานที่คิดว่าทั้งคู่คงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสบาย ๆ แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลในใจ ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมรู้วันนี้
“คนที่ไม่รู้ความจริงก็พากันนินทาว่าร้าย บอกว่าครอบครัวของยายมีแต่คนโรคจิต สักวันหนึ่งเซฮุนก็ต้องโตขึ้นเป็นเหมือนพ่อของเขา” คุณยายหันมามองหน้าผมอีกครั้ง “นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กคนนั้นกลัวที่จะไว้ใจใคร”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้คาดหวังว่าคุณยายกับเซฮุนจะไว้ใจผม”
ผมยิ้มแล้วก้มลงมองมือเหี่ยวย่นหนังติดกระดูก มันเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกให้รู้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรังและมนุษย์เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มันเป็นเรื่องเศร้าที่ผมคิดว่าคุณยายก็คงคิดเหมือนกันว่าแกคงอยู่กับเซฮุนได้อีกไม่นานนัก
“ผมอาจจะเป็นคนแปลกหน้าในสายตาเด็กคนนั้น แต่ผมก็ปล่อยให้คุณยายคิดเอาเองแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ผมไม่มีทางมองเซฮุนเหมือนคนอื่น”
“...”
“ระหว่างที่ผมยังอยู่ที่นี่ เรามาสร้างความทรงจำดี ๆ ด้วยกันเถอะนะครับ”
ผมยิ้มออกมาแม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกเหมือนมีคนเอาหมึกดำมาแตะลงในใจ ความเจ็บปวดของเซฮุนที่เคยเกิดขึ้นไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์บอกว่าเข้าใจความรู้สึกนั้น ผมเชื่ออยู่เสมอว่าคนเราต่อให้เจนโลกแค่ไหนก็ไม่มีวันเข้าใจปัญหาของคนอื่นได้จนกว่าจะได้ประสบกับตัวเอง
ผมเจ็บหัวใจ ตอนเห็นหยดน้ำใสไหลออกมาอาบแก้มหญิงชรา ผู้หญิงคนนี้ต้องแบกรับความเจ็บปวดไว้มากแค่ไหน ผมได้แต่คิดในใจว่าถ้ากลับโซลเมื่อไหร่จะแวะไปเยี่ยมแม่กับยายแล้วกอดท่านไว้แน่น ๆ
เสียงล้อจักรยานผ่านดินลูกรังเรียกความสนใจจากผมและคุณยายให้หันไปมองเด็กหนุ่มในชุดลำลองสบาย ๆ กลับมาแล้วและนั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เซฮุนจอดจักรยานแล้วคลายสายกระเป๋าเป้ออก เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เด็กตัวผอมหันมาสบตากับผมเป็นการทักทายก่อนจะหันไปยิ้มให้หญิงชรา
“ครูให้ขนมมาอีกแล้วเหรอลูก”
ไม่มีอีกแล้วสีหน้าเศร้าหมอง ผมยิ้มขณะมองสองยายหลานที่กำลังง่วนอยู่กับถุงขนมที่เซฮุนหยิบออกมาทีละชิ้น ก่อนที่เด็กคนนั้นจะขมวดคิ้วเพ่งมองหญิงชราพร้อมชี้นิ้วจับผิดว่าเธอร้องไห้หรือเปล่า
“ยายแสบตาน่ะ สงสัยต้องนอนพักสักหน่อย”
เด็กตัวผอมไม่ได้วางใจเสียทีเดียว เซฮุนชำเลืองมองมาราวกับว่าคิมจงอินเป็นคนหนึ่งที่ต้องรู้ความจริง วินาทีนั้นผมเลยเลิกคิ้วขึ้นแล้วหยิบแอปเปิลใส่ปากแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“นี่ ชอบดื่มน้ำอัดลมไหม ?”
ผมพูดทำลายความเงียบ ซึ่งเด็กหนุ่มที่นั่งกินขนมปังอยู่ข้าง ๆ ก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ พอเจ้าตัวเห็นว่าผมยังไม่ยอมหันหน้ากลับไปหรือยิงคำถามโง่ ๆ ใส่อีก เซฮุนเลยกลอกตาแล้วชี้กลับมาเป็นเชิงถามผมกลับ
“พี่ชอบโค้ก เวลาเหนื่อย ๆ ซัดไปแก้วใหญ่นี่หายเป็นปลิดทิ้งเลย” เจ้าของใบหน้าขาวตอนกำลังกัดขนมปังนี่น่ารักเกินไปแล้ว ผมกำลังรู้สึกแปลกประหลาดสุด ๆ ที่ลึก ๆ ในใจมันกำลังบอกตัวเองว่ากับเซฮุนในตอนนี้มันเริ่มจะไม่ใช่ความเอ็นดู
เมื่อริมฝีปากสีเชอรี่ที่กำลังกัดขนมปัง มันดูน่าสัมผัสขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไม่กัดหรอก กระเพาะควายขนาดนี้” ผมทุบหน้าท้องตัวเองโชว์
“เป็นห่วงเหรอจ๊ะ” ผมยักคิ้วกวน มันน่าตลกสิ้นดีที่พยายามทำตัวปัญญาอ่อนกลบเกลื่อนความสงสาร เห็นใจที่มีต่ออีกฝ่ายเอาไว้ เพราะกลัวแสดงความเศร้าออกมา
“แรงสุด รู้สึกเหมือนโดนฟาดหน้าด้วยล้อจักรยาน” ผมหรี่ตามองเด็กตัวผอมที่ไหวไหล่เหมือนไม่สนใจใยดีว่าไอ้บ้านี่จะคิดยังไง คิ้วทั้งสองข้างนั้นเลิกขึ้น เมื่อเห็นว่าผมยื่นกล่องบางอย่างให้ “รีบกินรีบแกะ”
สายตาที่มองมาเหมือนจะคาดโทษผมอยู่เล็ก ๆ เด็กหนุ่มตัวผอมกินขนมปังคำสุดท้ายแล้วเช็ดมือกับกางเกงยีนส์ตัวเก่งของผมก่อนจะรับกล่องสี่เหลี่ยมไปถือไว้ เดี๋ยวเถอะเด็กคนนี้…
เซฮุนพลิกกล่องไปมาพร้อมสำรวจโดยรอบอย่างกับกลัวว่าผมจะยัดระเบิดเวลาไว้ข้างใน
“รีบแกะเถอะน่า” เด็กหนุ่มชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงถามว่าให้เขาจริง ๆ เหรอ ซึ่งผมก็แค่พยักหน้าส่ง ๆ อย่างคนฟอร์มจัด “แล้วก็ไม่ต้องปฏิเสธด้วย เพราะถ้าเราไม่เอาพี่ก็จะแกะมันให้ดูตรงนี้แหละ ยัดเยียด”
เจ้าของใบหน้าขาวขยับปากงุบงิบ
“แน่จริงก็บ่นให้มีเสียงด้วยสิ ...โอ๊ะ ! ! !” ผมเซจนล้มไปนอนกับชานบ้านทันทีที่ถูกผลัก พอหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองค้อนอยู่ “หยอกไม่ได้เลย”
เซฮุนกำหมัดแล้วชูขึ้นมาระดับใบหน้าพร้อมถลึงตาใส่ โห ท่าทางนี่น่ากลัวมากมั้ง ถ้ามีกระจกจะเอาให้ส่องดูเลยว่าไม่ควรน่ารักใส่คนอื่นตอนกำลังโกรธ
“...”
เด็กหนุ่มค้างอยู่ท่านั้นเมื่อฝากล่องถูกแกะออก ผมยังคงฟอร์มจัด แอบชำเลืองมองก่อนจะหันไปสนใจแปลงผักหน้าบ้านเหมือนก่อนหน้านี้ เซฮุนหยิบกังหันลมที่เมื่อคืนผมนั่งโง่งมอยู่กับมันเป็นชั่วโมงกว่าจะออกมาเป็นรูปร่างได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นไปเสิร์ชหาวิธีทำและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในอินเทอร์เน็ตพร้อมปรินต์กระดาษออกมา ทุกอย่างมันมีขั้นตอน เซฮุนควรรู้เอาไว้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่เติบโตมากับเกมตลับ เพลย์สเตชั่นและคอมพิวเตอร์
เขาจับตรงส่วนก้านขึ้นมาตรงระดับใบหน้า จ้องมองกังหันลมสีขาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป่าลมเบา ๆ จนใบพัดหมุนทวนเข็มนาฬิกา ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มพร้อมดวงตาทั้งสองข้างที่หยีลง ผมไม่อยากยอมรับเลยว่าคนอย่างคิมจงอินมันกำลังใจเต้นแรงเพราะภาพตรงหน้า
“ชอบไหม ?”
เจ้าของใบหน้าขาวไม่ได้ตอบในทันที ไม่แน่ใจว่าคำถามของผมมันเป็นตัวดูดรอยยิ้มหรือเปล่าริมฝีปากสีเชอรี่ถึงได้หุบยิ้มลงตอนหันมาทางนี้ แต่การที่กังหันลมอันแรกในชีวิตของคิมจงอินยังคงอยู่ในมืออีกฝ่าย มันก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าผมยังมีหวังกับคำตอบที่ต้องทำให้รู้สึกดี
และมันก็ใช่... เมื่อเซฮุนพยักหน้าเป็นคำตอบขณะสบตากับผม
“มันเจ๋งใช่ไหมล่ะ นี่พี่ทำห้านาทีเองนะ” ผมขมวดคิ้ว ปั้นหน้าปั้นตาให้ดูปกติที่สุดถึงแม้ว่าตอนนี้หัวใจมันกำลังพองโต เซฮุนมองกังหันลมสลับกับใบหน้าผม ก่อนจะหยิบโพสต์-อิทมาวางไว้บนตักแล้วเขียนบางอย่างลงไป
“พูดงี้ได้ไงเนี่ย นึกถึงใจคนทำบ้างหรือเปล่าหนู ?” ผมเขี่ยปลายจมูกรั้นก่อนที่เจ้าตัวจะเบี่ยงตัวหลบพร้อมปัดมือผมออก “ห้ามหัก ห้ามหาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ต้องรักษามันไว้ให้ดีที่สุด เข้าใจไหม ?”
“This is an order.” (นี่คือคำสั่ง)
เซฮุนไม่ได้พยักหน้า เด็กคนนี้จะดื้อกับผมเกินไปแล้วขอฟาดก้นสักทีได้ไหม ผมมองแผ่นหลังของอีกคนที่วางกล่องลงแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าจักรยาน ก่อนจะเอากังหันลมสีขาวที่ได้ไปปักลงกับส่วนที่จับแล้วหันมาให้ดู
เจ้าเด็กนั่น... ร้ายกาจเป็นบ้า
ผมได้แต่เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มตอนเด็กตัวผอมเดินกลับมานั่งข้าง ๆ ตัวเซฮุนไม่ได้มีกลิ่นหอมจนต้องเหลียวมองหรือหันไปให้ความสนใจ แต่เชื่อเถอะว่าทุกครั้งที่รู้ตัว ผมก็หันไปมองน้องแล้ว
“ยังไม่หมดนะ” เซฮุนเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหลุบสายตาลงมองกล่องสีขาวที่มีกระดาษฝอยคล้ายรังนกอยู่ข้างใน ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้น้องค้นมัน ซึ่งเจ้าตัวก็ทำตามอย่างไม่อิดออด
“...”
ในมือของเด็กหนุ่มมีสมาร์ทโฟนเครื่องหนึ่ง เซฮุนมองมันอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะหันมาเห็นว่าในมือผมก็มีเหมือนกัน ดวงตาคู่นั้นฉายแววสงสัยและแน่นอนว่าคำตอบน่ะเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมเลียริมฝีปากคลายความประหม่า ให้ตายเถอะ ถ้าพวกไอ้ชานยอลรู้ว่าผมกำลังกลัวการอธิบายเหตุผลให้เด็กผู้ชายสักคนฟังเพราะใจเต้นแรงละก็คงโดนล้อยันชาติหน้าแน่
“มันเป็นเบอร์คู่น่ะ ถ้าซื้อสองเครื่องจะได้สิทธิ์ไม่เสียเงินตอนโทรเข้าอีกเบอร์ ลดราคาถูกอย่างกับให้ฟรี พี่เลยนึกถึงเราเป็นคนแรกเลย”
“แต่พิมพ์ตอบข้อความได้นี่” ผมยิ้มแล้วกดส่งข้อความ เพียงครู่เดียวสมาร์ทโฟนในมือคนข้าง ๆ ก็สั่น “มีไว้อุ่นใจกว่าเป็นไหน ๆ”
“...”
“พี่ไม่ได้ให้เพราะอยากแชทคุยกับเราอย่างเดียวหรอกนะ ถ้ามีเรื่องด่วนจะได้ติดต่อ พี่ได้ทันที” ผมขยับเข้าไปนั่งชิดเด็กตัวผอมแล้วเอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมจับมือมาสอนใช้สมาร์ทโฟน “กดปุ่มนี้จะโทรออกหาพี่ทันที”
“...”
“ถ้าคุณยายไม่สบายอีก เราจะได้ช่วยกัน” ใบหน้าของเราห่างกันแค่ช่วงหายใจ แม้ว่าสายตาของเซฮุนจะเต็มไปด้วยคำถามหรือคำเป็นล้านที่อยากปฏิเสธความหวังดีของผม แต่แน่นอนว่าคิมจงอินจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น “พี่ย้ายห้องพักแล้ว มันใกล้ที่นี่พอสมควรเลยล่ะ ใช้เวลาแค่เดี๋ยวเดียวก็ปั่นจักรยานมาถึง”
ผมยิ้มพอใจเมื่อคำตอบของคนข้าง ๆ เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ซึ่งมันเป็นเรื่องดีที่เด็กคนนี้มีความเกรงใจ แทนที่จะยิ้มกว้างแล้วรับทุกอย่างที่คนอื่นหยิบยื่นให้
“ไม่แพงหรอก พี่เองก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน รับไว้เถอะน่า” ผมวางมือลงบนศีรษะทุยก่อนจะโคลงไปมาอย่างเอ็นดู “ถ้าฉุกเฉินให้โทรหาพี่แล้วปรบมือสองครั้ง”
“ใช่ แบบนี้” ผมทำให้น้องดู “ถ้าให้พี่มาหาทันทีก็ปรบมือสามครั้งติดกัน”
ไม่มีแล้วโอเซฮุนที่คอยหวาดระแวงคนแปลกหน้า วินาทีนี้ผมเห็นเงาตัวเองในแววตาคู่นั้นราวกับว่ากำแพงที่เจ้าตัวเคยสร้างขึ้นมันพังทลายไปแล้วอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมและใบไม้ในชนบท ความสับสนในหลาย ๆ เรื่องที่ผมเหมาเอามารวมกันบวกกับการหาเหตุผลให้ตัวเองนั้น...
ผมยิ้มบาง ๆ ขณะสบตากับอีกฝ่ายที่มองมาระหว่างรอคำตอบ ก่อนที่ผมจะทำให้โลกของเราหยุดหมุน
“ถ้าปรบมือสี่ครั้ง... แปลว่าคิดถึง”
ผมว่าผมชอบโอเซฮุนเข้าให้แล้ว
คิมจงอินเอาแต่มองเพดานเหมือนคนโง่ ในหัวมีแต่เรื่องของโอเซฮุนวนเวียนอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าเรียบเฉยหรือแววตาคู่นั้นที่มองมาอย่างหลากหลายอารมณ์ ผมใช้เวลาอยู่ที่นั่นจนถึงช่วงหัวค่ำ กินข้าวเย็นพร้อมคุณยายก่อนจะปั่นจักรยานกลับห้องพัก
ผมคิดถึงบทสนทนาที่สุดแสนจะธรรมดาของเรา รู้สึกตลกตัวเองจริง ๆ ที่ทำตัวเหมือนเด็กกำลังมีความรักทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ ใช่... ผมรู้น่าว่าการที่ผู้ชายเข้าหาผู้หญิง จุดประสงค์หลัก ๆ คือจีบ แต่การที่ผมเข้าหาเซฮุนผู้ซึ่งเป็นผู้ชายด้วยกันอย่างดี เด็กคนนั้นก็คงเห็นผมเป็นนักท่องเที่ยวที่อยากได้เพื่อนคุยสักคนระหว่างอยู่ที่นี่
พอนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่ได้ฟังจากคุณยาย ผมก็นอนก่ายแขนกับหน้าผาก ตอนที่อยู่ด้วยกันไม่เคยมีสักคำที่จะหลุดพูดถึงเรื่องนั้น ผมไม่ควรถามอะไรออกไปทั้งที่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคือการตอกย้ำความเจ็บปวดของอีกฝ่าย ผมเอาแต่มองหน้าเซฮุนแล้วคิดว่าน้องผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ยังไง เด็กคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนแบบไหน มันแย่มากหรือเปล่า
23:38 นอนหรือยัง?
เซฮุน
เกือบแล้วครับ 23:38
23:38 ทดลองมือถือใหม่ ㅋㅋ
เซฮุน
ที่จริงผมเคลิ้มจะหลับแล้ว 23:48
แต่ตื่นเพราะเสียงมือถือสั่น 23:48
23:48 ไม่ได้ปิดเสียงไว้หรือไง เดี๋ยวยายก็ตื่นหรอก
เซฮุน
ผมปิดเสียงแล้ววางไว้บนพื้น ตอนมันสั่นก็แทบสะดุ้ง อย่างกะแผ่นดินไหว 23:50
23:50 สงสารจัง ㅋㅋ
เซฮุน
ขอบคุณ 23:54
23:54 พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า ต้องไปช่วยครูที่โรงเรียนอีกไหม?
เซฮุน
ไม่ได้ไป ผมทำเสร็จหมดแล้ว 23:56
23:56 ดี งั้นพรุ่งนี้พาพี่เที่ยวรอบเมืองหน่อย
เซฮุน
เที่ยว? 23:57
23:57 ใช่ เดี๋ยวเลี้ยงขนม
เซฮุน
ผมดูเหมือนคนที่ยอมไปง่าย ๆ เพราะคุณเอาของกินมาล่อหรือไงครับ 23:59
23:59 ขนมคือผลพลอยได้ เพราะยังไงเราก็ต้องตอบตกลงอยู่แล้ว
เซฮุน
เฮ้อ 23:59
00:00 ไม่เฮ้อดิ เวลาคุยกับพี่ใส่อิโมติค่อนด้วย จะได้น่ารัก ๆ
00:00 00:00
เซฮุน
อะไรครับ? 00:00
00:00 เวลาไง 00:00
00:00 ถ้าตัวเลขข้างหน้ากับข้างหลังเหมือนกันหมายความว่ามีคนคิดถึง
เซฮุน
มีทฤษฏีนี้ในโลกด้วยเหรอ 00:02
ตอนนี้ 00:02 แสดงว่าไม่มีคนคิดถึงแล้วสิ 00:02
00:02 ขวางโลกจริง ลึก ๆ แล้วก็อยากให้พี่ตอบว่ามีใช่ไหมล่ะ ว้าย
เซฮุน
นอนดีกว่า ไร้สาระจัง 00:04
00:04 ㅋㅋ ตอบแชทไวมาก ทำดี
00:04 พรุ่งนี้เจอกันนะ อยากกินจาจังไหม?
เซฮุน
กิน 00:07
คำตอบห้วน ๆ ไร้อิโมติคอนไม่ได้ลดความน่ารักของเด็กคนนั้นลงไปได้เลย ผมยิ้มขำแล้ววางสมาร์ทโฟนไว้ข้างตัวก่อนจะให้ความสนใจกับเพดานห้องอีกครั้ง อันที่จริงผมตั้งใจซื้อมือถือเครื่องใหม่เอาไว้ติดต่อกับสำนักพิมพ์ เพราะมันคงไม่ดีแน่ถ้าหากงานมีปัญหาระหว่างที่อยู่ที่นี่เหมือนอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
แม้ว่าช่วงเวลาการพนันบ้าบอคอแตกจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ไอ้ชานยอลก็แอบถามว่าผมซื้อมือถือเพราะเหตุผลนี้จริงเหรอ แน่นอนว่าหลัก ๆ คือเรื่องงาน ส่วนเหตุผลรองคือเซฮุน ผมกลัวว่าถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดเหมือนวันนั้นอีกผมคงเสียใจที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นในเวลาที่น้องต้องการความช่วยเหลือ
วันนี้ผมก็ตื่นเช้าเหมือนอย่างเคย การอาบน้ำแต่งตัวออกไปเจอสิ่งใหม่ ๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ ผมหยิบกล้องดิจิตอล กระเป๋าเงินใส่ในกระเป๋าเป้ก่อนจะมองไปยังซองบุหรี่ที่วางอยู่จุดเดิมมาหลายวันแล้ว ผมพยายามที่จะเลิกสูบมันแล้วหันไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทน เพราะไม่อยากให้คุณยายรู้สึกแย่เวลาได้กลิ่นเหม็นจากตัวผม
ถัดไปอีกเล็กน้อยคือหนังสือ ‘20 อย่างที่ควรทำก่อนตาย’ จ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบใส่กระเป๋าแล้วเดินลงไปเอาจักรยานก่อนจะแวะตลาดเพื่อหาซื้อของฝากเหมือนกับทุกครั้ง ผมไม่รู้หรอกว่าผู้รับจะรู้สึกยังไง แต่ผมรู้ว่าการให้มันรู้สึกดีมากแค่ไหน
จักรยานคันนี้พามาถึงบ้านเซฮุนในเวลาเก้าโมง ไม่ช้าและไม่เร็วไปกว่าทุกวัน ยิ้มแรกที่จุดริมฝีปากของผมเกิดขึ้นเมื่อหันไปเห็นว่าเด็กหนุ่มตัวผอมกำลังรดน้ำผักในแปลง ดวงตาคู่นั้นที่มองมาดูเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง ผมเตะขาตั้งจักรยานแล้วตรงเข้าไปหาคุณยายพร้อมยักคิ้วให้เซฮุน
“ซื้อของมาเยอะแยะอีกแล้วเหรอลูก”
“ครับ วันนี้ต้องกิน”
ผมหัวเราะแล้วกวักมือเรียกน้อง วันนี้เด็กนั่นแต่งตัวน่ารักทั้ง ๆ ที่เป็นชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสามส่วนและรองเท้าแตะธรรมดา เด็กหนุ่มตัวผอมเดินกลับมานั่งบนชานบ้าน ห้อยขาลงมาเหมือนกับที่ผมทำก่อนจะเลิกคิ้วมอง
“กินเป็นไหม ?” ผมถามพร้อมชูกล่องมะเขือเทศให้ดู ซึ่งเซฮุนก็พยักหน้าหงึกเป็นคำตอบ “แต่พี่กินไม่เป็น”
คนตรงหน้าขมวดคิ้วทำมือไม้เป็นเชิงถามว่า ‘แล้วซื้อมาทำไม’
“ก็ไอ้หนังสือเล่มนี้” ผมเปิดหน้าบทที่เก้าให้ดู เด็กตัวผอมใช้เวลาอ่านมันนานเหลือเกินก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอื้อมไปหยิบสมุดกับปากกา
บทที่เก้า ‘กินของที่ไม่ชอบ’
เออ นั่นสิ เพื่ออะไร ?
“ก็ทำตามหนังสือเฉย ๆ” ผมไหวไหล่อย่างฟอร์มจัด ในหัวก็ได้แต่ถามตัวเองเหมือนกันว่า เออ... นี่กูทำไปเพื่ออะไรวะ ผมแกะฝากล่องออกแล้วยื่นลูกแรกให้อีกคน “อ้าปากเร็ว”
เซฮุนหลุบสายตามองมะเขือเทศในมือผม อยู่ด้วยกันมาเกือบสามอาทิตย์แล้วก็ไม่รู้ว่ายังจะซึนทำไมอีก แค่อ้าปากรับไปกินมันยากมากเลยใช่ไหม
“โธ่ ไม่กล้ากินเหมือนกันล่ะสิ เห็นไหมล่ะ ใคร ๆ ก็เกลียดมะเขือเทศกันทั้งนั้น” ผมแค่นหัวเราะก่อนจะชะงักไปเมื่อเซฮุนก้มลงมางับมันจากมือ
ประสบการณ์มีแฟนมาสิบกว่าปีมลายหายไปกับอากาศเพราะเด็กคนนี้ ผมนั่งนิ่งมองอีกฝ่ายเคี้ยวมันด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนต้องถามตัวเองว่าควรตกใจอะไรก่อนระหว่างเซฮุนยอมกินจากมือผมหรือมะเขือเทศมันอร่อยตรงไหน เด็กนี่ถึงกินได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ไม่อร่อยใช่ไหม ?” เด็กตัวผอมส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วหยิบไปกินอีกลูก
ว้อท ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน !
คราวนี้เป็นทีของเซฮุนที่ยื่นมะเขือเทศมา ใจหนึ่งอยากจะยิ้มที่เด็กคนนี้ทำตัวน่ารัก อุตส่าห์หยิบมาป้อนให้ แต่อีกใจก็คิดว่าน้องมันกำลังแกล้งผมอยู่ว่ะ
ริมฝีปากสีเชอรี่อ้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้ทำตาม นี่อยากเอื้อมมือไปหยิกแก้มขาวนั่นจริง ๆ นะ วูบหนึ่งผมกลายเป็นคนรักมะเขือเทศขึ้นมาเลยเพราะคนตรงหน้าทำตัวน่ารัก แต่พอหลุบสายตาลงมองลมก็แทบจับ แม้ว่ารูปร่างทรงรีสีแดงจะน่ากิน แต่ผมก็ไม่มีวันลืมรสชาติความโหดร้ายของมะเขือเทศไปได้
ผมอ้าปากรับมาเคี้ยวแล้วนั่งนิ่งและเมื่อต่อมรับรสทำงาน สีหน้าที่เคยปกติก็เหยเกเหมือนคนพิการยังไงอย่างนั้น ผมแลบลิ้นออกมาแล้วควานหาแก้วน้ำก่อนจะกระดกเสียอึกใหญ่ รสชาติแปลก ๆ ของสิ่งที่เกลียดสุดชีวิตยังคงติดอยู่ปลายลิ้นแม้ว่าจะกลืนมันลงคอไปแล้ว
ผมทึ้งหัวตัวเองพร้อมตั้งสติ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเด็กตัวผอมกำลังกลั้นขำแล้วกินมะเขือเทศไปด้วย แน่จริงก็ระเบิดหัวเราะออกมาดัง ๆ ให้รู้แล้วรู้รอดเลยสิ เจ้าเด็กนี่มันร้ายนัก น่าจับมาตีก้นสักที
“กินเข้าไปได้ยังไง” ผมเหลือกตามองเบ้ปาก บอกเลยนะว่าผมชอบกินผักมาก ชนิดที่ว่าถ้ามีสลัดเสิร์ฟมาเป็นกะละมังก็ยังกินได้ แต่ห้ามมีมะเขือเทศในนั้นเด็ดขาดเลย
คราวนี้กลายเป็นคิมจงอินที่สวมบทพูดไม่ได้ ผมชำเลืองมองเด็กตัวผอมที่ยังคงเอ็นจอยอีทติ้งไปกับมะเขือเทศโง่ ๆ ที่ผมซื้อมาทำตามหนังสือ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ฝืนกินมันไปแล้วตั้งลูกหนึ่ง การนั่งดูเซฮุนกินมะเขือเทศเสริมสร้างแก้มสีเลือดฝาดก็โอเคอยู่
เราปั่นจักรยานคู่กันบนถนนลาดยางสองเลนที่ไม่มีรถขับผ่านเหมือนในเมือง ผมชำเลืองมองกังหันลมสีขาวที่หมุนเป็นวงกลมเมื่อถูกสายลมพัด ในวันอากาศดี ๆ กับคนที่ถูกใจแบบนี้ ผมว่าตัวเองหันไปมองหน้าน้องบ่อยกว่าถนนข้างหน้าเสียอีก
จอดจักรยานและเตะขาตั้งลงเมื่อมาถึงที่หมาย ผมเงยหน้าขึ้นมองความสวยงามของภาพตรงหน้าก่อนจะยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้นับไม่ถ้วน ระหว่างทางมีแค่คิมจงอินที่พูดอยู่คนเดียว อันที่จริงผมพอใจที่จะเห็นเด็กคนนั้นพยักหน้าหรือส่ายหัวปฏิเสธตอนที่ชวนคุย
หรือความจริงแล้วผมแค่ชอบให้เซฮุนมองกันนะ ?
“... ?”
เด็กตัวผอมหันหลังกลับมาเมื่อได้ยินเสียงผมผิวปาก เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติหลังจากรู้ตัวว่าถูกแอบถ่ายรูปอีกแล้ว ผมยกยิ้มพอใจกับรูปในกล้องแล้ว กวักมือเรียกให้อีกคนมาดู
“ไง โอเคไหม ?” ผมมองแพขนตายาวของคนข้าง ๆ ที่ยังคงให้ความสนใจกับกล้องดิจิตอลในมือผม “ถ่ายรูปกัน” เขาขมวดคิ้วราวกับจะถามว่าเอาจริงเหรอ ผมไม่ตอบคำถามแต่ยกกล้องขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะหันไปส่งสายตาบอกให้น้องขยับมาใกล้ ๆ
เซฮุนคงไม่ค่อยได้ถ่ายรูป สังเกตได้จากหุ่นผอม ๆ ที่ยืนตรงพร้อมสีหน้าปั้นนิ่งจนเหมือนคนเตรียมถ่ายรูปบัตรประชาชน ผมยิ้มขำแล้วคิดว่าควรรีบถ่ายรูปเดี๋ยวนี้ก่อนที่น้องจะเปลี่ยนใจ
“เอาล่ะนะ หนึ่ง... สอง...”
เซฮุนเบิกตากว้างเมื่อถูกโอบไหล่ก่อนที่เสียงชัตเตอร์จะดังขึ้น ผมเอนศีรษะเข้าหาน้องทั้งที่นิ้วชี้ยังคงกดถ่ายรูปไม่หยุด ราวกับเป็นภาพเคลื่อนไหวเมื่อเราทั้งคู่ต่างหันหน้าเข้าหากัน
“...”
เราปล่อยให้เสียงต้นไม้ใบหญ้าปลิวไปตามสายลม ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมมั่นใจว่าเซฮุนคงขมวดคิ้วมองคาดโทษที่ผมสร้างความหงุดหงิดให้ แล้วเขาก็จะเดินหนีไปขึ้นจักรยาน แต่คราวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น เรายังคงสบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ใช่ ถ้ามีก็คงเป็นผมที่ส่งเสียงได้ แต่ในเมื่อน้องไม่ด่าผมผ่านหมึกปากกา ผมก็จะหน้าด้านมองน้องไปอย่างนี้
เด็กหนุ่มเอาโพสต์-อิทสีเขียวกับปากกาออกมาแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงไปก่อนจะยื่นมันมาให้
“พี่เป็นคนตัดสินเองว่าอะไรเปลืองไม่เปลือง อย่าคิดแทนคนอื่น เข้าใจไหม ?” ผมวางมือลงบนศีรษะทุยแล้วโคลงเบา ๆ เขามองหน้าผมแล้วจรดปลายปากกาลงไปอีกครั้ง
“สำคัญสิ” ผมมองหน้าอีกคน “อะไรที่เกี่ยวกับเรา มันกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพี่แล้ว”
ผมจงใจพูดให้อีกคนสับสน ผ่านสายตาคู่นั้นที่มองมาเชื่อว่ามีทั้งความงุนงงและไม่เข้าใจแฝงอยู่ น้องนิ่งไปหลังจากได้ยินอย่างนั้น ซึ่งผมจะไม่พูดติดตลกกลบเกลื่อนเพื่อช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลาย มันถูกต้องว่าเซฮุนเป็นผู้ชายและตัวผมเองก็เช่นกัน แต่สำหรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วและไม่อยากให้มันจบลง แน่นอนว่าผมอยากให้มันพัฒนามากกว่าที่เป็นอยู่
แม้ว่าต้องเจอกับความเสี่ยงหลังจากที่เซฮุนรู้ว่าผมคิดยังไง ถ้าเขารังเกียจคงหาเรื่องหลบหน้าผม ซึ่งคิมจงอินคงได้แต่ภาวนาต่อพระเจ้าว่าอย่าให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนั้นเลย
เซฮุนยัดโพสต์-อิทแผ่นนี้ใส่มือผมแล้วเดินไป แต่ผมก็คว้าข้อมือน้องเอาไว้แล้วดึงให้หันมามองหน้ากัน
ในสายตาเด็กคนนี้ ผมอาจจะเป็นผู้ชายบ้าบอเล่นไปเรื่อยไม่จริงจัง แต่เชื่อเถอะว่ากลางทุ่งดอกไม้กว้างสุดสายตาในเวลาแบบนี้คงไม่มีใครจริงจังมากไปกว่าผมอีกแล้ว
“อย่าเดินหนีพี่”
ค่อย ๆ คลายมือออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกุมมือคนตรงหน้าเอาไว้ ไม่รู้หรอกว่าภายใต้สีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ผมกำลังคิดเข้าข้างตัวเองว่าการที่เซฮุนไม่สะบัดมือออกคือน้องไม่รังเกียจ
คิมจงอินอาจจะเป็นไอ้ชั่วที่มัดมือชกได้อย่างหน้าด้าน ๆ แต่ถ้าเอาแต่เฉยแล้วไม่ทำอะไรเลย ชาตินี้คงไม่มีอะไรคืบหน้า เซฮุนอาจจะงงว่าไอ้พี่คนนี้เป็นบ้าอะไร แน่นอนว่าน้องเป็นคนซื่อ ๆ ในสายตาผม แต่ในวินาทีนี้ผมอยากให้น้องเดาสถานการณ์ออก
เย็นวันนั้นผมกับเซฮุนกลับไปกินข้าวกับคุณยายที่บ้าน พอแกเข้านอน เราก็ปั่นจักรยานออกไปข้างนอกอีกครั้งเพื่อหาวิวถ่ายรูปสวย ๆ ยามค่ำคืน แต่คราวนี้เรามาด้วยจักรยานคันเดียว แม้ว่าระหว่างทางจะถูกความมืดและความเงียบกลืนกิน แต่ผมก็ยังให้กำลังใจตัวเองอยู่ว่าถ้าเซฮุน รังเกียจก็คงไม่ก้าวขาคร่อมเบาะนั่งซ้อนท้ายมาด้วยกัน
ผมกลับไปถึงห้องพักด้วยความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตั้งแต่เกิดมา คนอย่างคิมจงอินแทบไม่เคยประหม่ากับเรื่องความรักเลย แม้แต่ตอนจีบคิมยูจินผู้หญิงหน้าสวยที่ผู้ชายเป็นสิบอยากฟาดเธอสักครั้ง ผมก็ยังรู้สึกเฉย ๆ เพราะดูท่าทีอีกฝ่ายออกว่ายังไงก็มีใจ
แต่ไม่ใช่สำหรับเซฮุน ทุกเรื่องที่ผมเคยมั่นใจกลายเป็นข้อยกเว้นสำหรับเด็กคนนั้น เพราะเขาเป็นเด็กผู้ชายเหรอ ? ใช่ แต่ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวผม มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกอีกฝ่ายล้วน ๆ เลยว่าจะมีมุมมองเกี่ยวกับความรักเพศเดียวกันยังไง
มันไวเกินไปหรือเปล่า ? นั่นเป็นอีกคำถามหนึ่งที่ใช้เวลาคิดอยู่นาน ซึ่งก็ได้คำตอบแล้วว่าจะเร็วจะช้า เหมาะสมหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคน ๆ นั้นยึดติดกับมันมากแค่ไหน ในเมื่อความรู้สึกของผมมันชัดเจนแล้วว่าชอบเซฮุน ผมยังต้องหาเหตุผลอะไรมารองรับอีก ?
TBC
ความคิดเห็น