คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 02 :: ความเงียบสีขาว #AmongPages
(2)
ทันทีที่รถเมล์จอดข้างฟุตปาธก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ผมติดต่อเรื่องที่พักแค่สามคืนเพราะที่นี่ยังไม่ถูกใจพอจะปักหลักอยู่เป็นเดือน ผมเลือกเข้าไปอาบน้ำก่อนรื้อเสื้อผ้าออกมาจัดใส่ตู้ ที่จริงผมไม่มีความคิดนั้นในหัวเลยกระทั่งเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเห็นไม้แขวนราคาถูกเรียงประชดกันเป็นแผงอย่างกับว่าผมจะอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต
พออาบน้ำเสร็จ จาจังมยอนที่สั่งไว้ก็มาส่งถึงหน้าห้อง ผมโซ้ยทั้งที่ยังอยู่ในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวกับความหิวที่สะสมมาตลอดทั้งวัน คืนนั้นจบลงง่าย ๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยหลังจากทิ้งชามเปล่ากับตะเกียบไว้หน้าประตู ผมหลับมันทั้งสภาพบ็อกเซอร์ตัวเดียวและตื่นมาอีกทีตอนสิบโมงครึ่งเพราะความหิว
ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที สิ่งที่พกติดมือไปด้วยวันนี้หลัก ๆ คือกระเป๋าเงิน กล้องดิจิตอลและหนังสือเล่มนั้น ความตั้งใจที่ว่าจะรื้อเสื้อผ้าออกมาแขวนในตู้ถูกเทไป เมื่อตอนนี้เรื่องกินมาก่อนทุกอย่าง ถ้ายังมีสมาร์ทโฟนที่สามารถไถหน้าจอแก้เบื่อได้ระหว่างกินข้าวผมคงไม่หยิบหนังสือเส็งเคร็งนี่ติดมือมาด้วย ผมสั่งเมนูง่าย ๆ แค่พออิ่มท้องระหว่างนั้นก็เปิดหนังสืออ่านฆ่าเวลา
บทที่สาม ‘เติมความหวานให้ชีวิตด้วยไอศกรีมสักถ้วย’
ผมเบ้ปากทั้งที่ยังคาบไม้จิ้มฟัน นี่เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้สงสัยมาถึงทุกวันนี้ว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่คลั่งไคล้หลงใหลของหวานกันนักหนา ทั้งที่มันเป็นต้นเหตุของความอ้วนที่พวกเธอหวาดกลัว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจลั่นไอศกรีมวนิลาโง่ ๆ มาตบท้ายหนึ่งถ้วย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ชายที่จะยัดทุกอย่างเข้าปากเพื่ออิ่มท้องไม่ใช่เพราะรสชาติความหอมหวานของมัน ใช่ ไอศกรีมก้อนเดียวผมฟาดเรียบภายในสองคำ
ผมควรเริ่มต้นชีวิตในชนบทตั้งแต่วันนี้ แต่อันดับแรกต้องแวะหาซื้อรองเท้าผ้าใบสักคู่ก่อน ยอมรับว่าหมดความมั่นใจไปเกือบครึ่ง เพราะการแต่งตัวที่ไม่มีความมิกซ์แอนด์แมชเลยสักนิดเดียว
นั่งรถเมล์ไปหลายป้ายก็มาถึงร้านรองเท้า แน่นอนว่าผมคงไม่เสียเวลาไปทั้งวันเพื่อตามหาร้านขายคอนเวิร์สหรือรองเท้าแบรนด์อื่น ๆ ในเมืองนี้แน่ ผมเลือกรองเท้าคู่ใจตลอดการใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงแค่ครู่เดียวก็ควักเงินสดจ่าย ผมไม่ใช่คนเรื่องมาก เอาจริงนะ ผมรู้สึกย้อนแย้งกับตัวเองในหลาย ๆ เรื่องที่บางทีก็ทำตัวง่าย ๆ จนเกินไป แต่บางครั้งก็เรื่องมากจนเพื่อนหลอกด่าพ่ออยู่บ่อยครั้ง
อันดับต่อไปคืออินเทอร์เน็ตคาเฟ่ โชคดีที่มันอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านรองเท้าผมเลยไม่ต้องใช้สัญชาตญาณว่าต้องนั่งรถเมล์ไปทางไหนถึงจะหาเจอ ผมเลือกที่นั่งมุมด้านในสุด ที่จริงผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงอยู่พอสมควร ตอนที่ย้ายไปอยู่ฝ่ายนิยายแปลและได้รู้ว่าต้องนั่งใกล้ไอ้ชานยอลนี่อึดอัดจนแทบกระอักเลือดดำ
김종인
เมื่อสักครู่
ช็อลลาใต้ไกลหัวใจเธอพอหรือยัง?
real__pcy, junmyeon kim ถูกใจสิ่งนี้
โพสต์เฟสบุ๊กเสร็จ กล่องแชทก็เด้งขึ้นมาทันที ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหนึ่งในสองที่กดไลค์ตั้งแต่สามวินาทีแรกที่โพสข้อความนั้น ซึ่งผมตั้งใจมาอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
real__pcy
เมื่อคืนกูโทรหาไม่ติดปิดมือถือหาบิดาหรือ?
เปล่าปิด โทรศัพท์กูโดนขโมย
พูดเล่นพูดจริง?
พูดเล่นมั้งห่า กูมานั่งคาเฟ่เพื่อที่จะบอกมึงนี่แหละ
โถ... ควายน้อยผู้น่าสงสาร
เป็นไงบ้างล่ะ ผ่านพ้นคืนวันที่แสนเจ็บปวดด้วยตัวคนเดียวมาได้อย่างหวุดหวิด
ก็ไม่ไง กูเหนื่อย หลับไม่รู้เรื่องเลย
ว่าแต่ที่ออฟฟิศเป็นไงบ้างวะ?
ก็เหมือนเดิม ไม่มีเพื่อนคนไหนถามถึงมึงหรอกอย่าสำคัญตัว
ดี กูจะได้เที่ยวอย่างสบายใจ
รีบหาเมียใหม่มาดามใจได้แล้ว
ผู้ชายหล่ออย่างเรา ๆ เตะเอาข้างถนนก็ยังได้
กูเพิ่งจะมาวันแรกไหมล่ะสังคม
แล้วมึงจะซื้อมือถือใหม่เมื่อไหร่?
คงยังว่ะ มาถึงต่างจังหวัดจะให้นั่งก้มหน้าเล่นมือถือ
กูนั่งเล่นอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอวะ
อ้าว นี่มึงคิดจะตัดขาดจากโลกใบนี้เลยเหรอเพื่อน
เด็กบางคนไม่มีมือถือยังอยู่ได้ กูก็ต้องอยู่ได้
เหอะ เดี๋ยวก็รู้ว่าอยู่ได้ไม่ได้
กูพนันเลย อย่างเก่งอาทิตย์นึง
โธ่ไอ้ห่า มึงไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นกับใคร
ไม่เกินนี้มึงจะต้องวิ่งแจ้นไปซื้อโทรศัพท์เพราะอยากโทรหาใครสักคน
เออ เริ่มนับวันนี้วันแรก
แสนห้า
เตรียมโอนเงินเข้าบัญชีกูได้
ถุย ถุย ถุย
ผมยิ้มขำแล้วกดล็อกเอาท์จากโปรแกรมเฟสบุ๊ก คิดแล้วก็ตลกที่พนันเรื่องบ้าบอคอแตกกับเพื่อนอย่างนั้น ที่จริงผมก็ไม่ใช่คนติดมือถือสักเท่าไหร่ เพราะช่วงกลางวันก็ใช้แค่คอมพิวเตอร์ทำงาน ส่วนโทรศัพท์ก็เอาไว้ทับเศษเงิน แต่ตอนนี้ผมไม่มีงานให้ทำ สมาร์ทโฟนที่ไม่ค่อยได้หยิบจับมาใช้เลยน่าคิดถึงขึ้นมา
แน่นอนว่าหนังสือกะโหลกกะลาของอดีตคนรักยังคงอยู่ในมือผม รู้สึกเกะกะอยู่หลายครั้งตอนต้องควักกระเป๋าเงินออกมาจ่ายค่านู่นนี่นั่นแต่ต้องถือมันเอาไว้ด้วย พอนึกขึ้นได้ว่าเป็นคนหยิบติดมือมาเองก็ให้โทษใครได้ จะโยนทิ้งตอนนี้ก็รู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะกล้าอ่านมาถึงบทที่สามและทำตามทุกอย่างไปแล้ว ดังนั้นก็น่าจะทำให้ถึงข้อสุดท้ายเพื่อความสะใจส่วนตัว
ข้างทางไม่มีฟุตปาธ ซึ่งต้องเดินชิดขอบทางเอาถ้าเกิดว่าไม่อยากไปนอนใส่เฝือกอยู่โรงพยาบาลหากมีลุงแก่ ๆ สายตาไม่ดีขับรถมาเสยตูดผม
เดินไปสักพักก็หยุดฝีเท้าเมื่อเห็นชุดนักเรียนคุ้นตาเดินออกมาจากตึกแถว มันเป็นเกมเซ็นเตอร์เล็ก ๆ ที่มีเครื่องเล่นอยู่แค่ไม่กี่ตัว เด็กวัยรุ่นสองคนคุยกันอย่างออกรสแล้วเดินไปด้วยกัน คาดว่าเจ้าพวกนั้นคงโดดเรียนมาสิงอยู่ที่นี่ ผมไม่ใช่กรรมการนักเรียนหรือผู้ใหญ่เข้มงวดที่ชอบแส่เรื่องชาวบ้าน แต่ก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปข้างในแล้วสอบถามพนักงานด้านหน้า เพียงเพราะว่าเด็กผู้ชายสองคนนั้นใส่ชุดนักเรียนแบบเดียวกับโอเซฮุน
“ขอโทษนะครับ เด็กสองคนเมื่อกี้อยู่โรงเรียนไหนเหรอ ?” สีหน้าของชายร่างท้วมหวอไปเลยตอนได้ยินคำถามนี้ ผมกลอกตามองคนที่ดูกระอักกระอ่วนกับการตอบคำถามก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ผมเป็นนักท่องเที่ยว จะเก็บภาพรอบ ๆ เมืองสักหน่อย”
ผมชูกล้องขึ้นมาให้ดูเป็นการยืนยัน ซึ่งสีหน้าของชายร่างท้วมก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น แน่ล่ะ มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดว่าผมเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบหรืออาจารย์ใส่ยีนส์คู่ผ้าใบที่ออกมาลาดตระเวนตามล่าพวกเด็กนิสัยเสียที่โดดเรียนกลางวันแสก ๆ
“เดี๋ยวผมเขียนแผนที่ให้เลยแล้วกัน”
ไม่รู้ว่าไอ้อ้วนนี่มีน้ำใจหรือเพราะเรียกขวัญตัวเองกลับมาได้ผมถึงโชคดีขนาดนี้
ผมยิ้มเมื่อรถเมล์ขับผ่านจุดที่ยืนโง่อยู่ข้างทุ่งหญ้าเมื่อวาน มันทำให้นึกถึงเด็กคนนั้น ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไม ? และถ้าต้องหาเหตุผลอ้างอิงให้กับตัวเองละก็คงเป็นเพราะเด็กคนนั้นคือคนแรกที่ผมเจอ อีกทั้งยังหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ บวกกับบุคลิกท่าทางและความแตกต่างที่น่าจดจำคือพูดไม่ได้
มองนาฬิกาข้อมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ผมเลือกที่จะลงก่อนถึงป้ายตามที่ไอ้อ้วนนั่นบอก เพราะยังหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าถ้าไปถึงโรงเรียนแล้วจะทำอะไร ตอนนี้เด็ก ๆ คงยังเรียนอยู่ ซึ่งผมคงไม่ประสาทแดกเข้าห้องปกครองแล้วให้เขาประกาศชื่อโอเซฮุนแน่ ๆ
วันนี้อากาศดีจนต่อมขี้หงุดหงิดไม่ออกมาวิ่งเต้นเหมือนวันแดดจัด ที่นี่เงียบสงบจนได้ยินแค่เสียงลมพัดต้นไม้ ฝนทำท่าเหมือนจะตกแต่ก็ยังมีแดดอยู่ ซึ่งถ้าพระเจ้าไม่ตบหน้าผมจนเกินไปก็อยากจะอ้อนวอนตรงนี้เลยว่าอย่าเพิ่ง ลูกไม่ได้พกร่มมา อาเมน
ถ่ายรูปวิวทิวทัศน์รอบข้างระหว่างทางไปเรื่อย ๆ รองเท้าราคาถูกที่เพิ่งซื้อมาเป็นสิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำความฮิปสเตอร์ของผม เพราะพอเดินไปสักพักก็เริ่มรู้สึกเจ็บ ๆ แสบ ๆ นี่ถ้าถอดมันออกมากัดตามเคล็ดที่ใคร ๆ เคยบอกมันจะเข้าท่าไหม ?
บ่ายสี่โมงก็มาถึงหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง ถ้าไอ้อ้วนไม่มั่วผมคงไม่มาเสียเที่ยว แต่ประเด็นคือจะเจอโอเซฮุนได้ยังไงกับประชากรวัยรุ่นชนบทที่เริ่มทยอยกันออกมาจากรั้วโรงเรียน
เด็กผู้หญิงหน้าตาเหมือนกันหมด เด็กผู้ชายก็ไม่ต่าง ผมขมวดคิ้วเพ่งมองอยู่สักพักเลยทีเดียว จนกระทั่งสายตากวาดไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานออกมา อย่างคิมจงอินเคยรับบทเป็นนักเลงหัวไม้ตอนเล่นละครเวทีสมัยมอปลาย ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจกับทักษะการแสดงที่แนบเนียน ถึงได้วิ่งข้ามถนนไปหลบอยู่หลังต้นไม้เพื่อรอให้เด็กคนนั้นปั่นมาใกล้ ๆ ก่อนจะแกล้งโผล่ออกไปจนเจ้าตัวเสียหลักพาจักรยานล้ม
“เฮ้ย โทษ ๆ”
ผมรีบเข้าไปดูอาการเด็กตัวผอมที่นิ่วหน้าเจ็บอยู่บนพื้น คงเพราะตรงนี้เป็นเนินพอเบรกกะทันหันเลยทำให้เสียการทรงตัวได้ง่ายซึ่งดันลืมนึกถึงข้อนี้ไป โถ ไม่ได้ตั้งใจให้เด็กมันเจ็บตัวหรอก
“อ้าว เซฮุน ?”
การแสดงละครของผมถูกสานต่อ ใบหน้าขาวเงยขึ้นสบตากันอย่างไม่สบอารมณ์นักถ้าไม่คิดไปเอง พอเห็นว่าเซฮุนจะพลิกจักรยานขึ้นเลยชิงทำก่อน เจ้าของสีหน้าเรียบเฉยมองมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นยืน
“บังเอิญนะเนี่ย เรียนที่นี่เหรอ ?” เด็กหนุ่มตัวผอมยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้าไปจากเดิม ไม่มีการเลิกคิ้วขึ้นหรือยิ้มทักทายที่บังเอิญเจอกันเป็นครั้งที่สองเลยสักนิด “นี่ พี่คุยกับเราอยู่นะ รีบหยิบโพสต์-อิทออกมาเลย”
สายตาของเซฮุนเหมือนถามอยู่กราย ๆ ว่า ‘จำเป็นต้องทำตามไหม ?’ ยังไงอย่างนั้น แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ใจร้ายกับผมจนเกินไป เมื่อเจ้าตัวคลายสายกระเป๋าเป้ออกข้างหนึ่งแล้วรูดซิป ตอนนั้นถึงได้เห็นว่าท้องมือขาว ๆ นั่นถลอกจนเลือดออกเล็กน้อย
รู้สึกผิดเลยกู
ผมว่าโอเซฮุนจงใจกวนตีนว่ะ ถ้าจะตอบแค่นี้พยักหน้าก็พอไหมล่ะ
“พี่บอกแล้วว่าเราต้องได้เจอกันอีก” ผมยักคิ้ว รู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะเพียงเพราะ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เด็กคนนี้คิด ซึ่งถ้าผมไม่เสนอหน้าไปถามไอ้อ้วนในเกมเซ็นเตอร์ก็ลองดูว่าชาติหน้าจะหาเด็กนี่เจอหรือเปล่า
นั่นสิ... แล้ว... ยังไงต่อวะ ?
ผมยืนนิ่งไปหลายวินาทีหลังจากถูกคำถามหยุดโลกจ่อหัว สมองนี่ตื้อไปหมดเหมือนว่ามันหยุดทำงานอย่างฉับพลัน ผมเม้มปากจนเป็นส้นตรง มองดวงหน้าขาวที่มองมา ระหว่างรอคำตอบดี ๆ ซึ่งคงไม่มีให้
“ไปโรงพยาบาลกัน พี่ทำเราเจ็บ”
เด็กตัวผอมเลิกคิ้วทำตาโตมองข้อมือตัวเองที่ถูกคว้าไว้ ผิดไหมถ้าจะบอกว่าเซฮุนน่าเอ็นดูจนผมหลุดยิ้มออกมา เด็กหนุ่มยื้อดึงปฏิเสธ แต่ผมก็ขมวดคิ้วขู่พร้อมส่ายหน้าจะพาไปให้ได้ เซฮุนทำท่าเหมือนจะเขียนอะไรลงไปในโพสต์-อิท แต่ผมกลับขัดขวางโดยการดึงมือน้องออกจากกัน
เด็กก็คือเด็ก ยังไงเด็กก็ต้องยอมผู้ใหญ่
ตอนนี้ผมกับเซฮุนยืนอยู่หน้าคลินิกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่คงไม่สามารถมาถึงเองได้ถ้าไม่มีใครบอกทาง จักรยานถูกจอดไว้ข้าง ๆ คาดว่าคงไม่มีใครอัปรีย์มาขโมยระหว่างที่ผมจะพาน้องเข้าไปทำแผล หันไปทางคนตัวผอมที่มองมาอย่างไม่เต็มใจ ตอนแรกก็คิดอยู่หรอกนะว่าเด็กคนนี้มีอยู่หน้าเดียว แต่พอเป็นเรื่องที่ไม่พอใจเมื่อไหร่นี่แสดงออกชัดเจนเชียวนะ
“ปะ” ใบหน้าขาวส่ายปฏิเสธพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน เซฮุนยกมือข้างที่เป็นรอยถลอกให้ดูพร้อมชี้นิ้วย้ำเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ผมรู้สึกดีนะที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องพึ่งโพสต์-อิท แต่ก็ยังอยากลากเจ้าเด็กนี่เข้าไปทำแผลอยู่ดี “อย่าดื้อกับพี่ดิ เร็ว ๆ”
ผมถือวิสาสะจูงมือน้องเข้าไปข้างในแล้วจัดแจงทุกอย่างเอง บอกแล้วไงว่าคิมจงอินไม่ใช่คนเผด็จการ แต่พอเป็นเด็กคนนี้แล้วก็นึกอยากลองเป็นฮิตเลอร์ดูสักครั้ง ผมยืนกอดอกมองอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงในห้องตรวจ แม้แต่ตอนที่หมอทำแผลให้ เซฮุนก็ยังคงก้มหัวเล็กน้อยพร้อมใช้มือข้างที่ว่างอยู่ช้อนข้อมือตัวเองเอาไว้อย่างมีมารยาท
“พันให้ทั่วมือเลยนะครับหมอ”
“...”
ผมยิ้มทันทีที่เห็นแววตามองค้อนของเด็กคนนั้น เพียงครู่เดียวการล้างแผลแบบง่าย ๆ ก็เสร็จ ซึ่งผมก็รู้ว่าวิธีอย่างนั้นสามารถทำเองได้แค่แวะเข้าร้านยาแล้วซื้อแอลกอฮอล์ เบตาดีน สำลีและผ้าก๊อซ เซฮุนเองก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน
แต่ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าไม่อยากให้เซฮุนปั่นจักรยานหนีไปเฉย ๆ เหมือนวันนั้นทั้งที่ผมถ่อหนังหน้ามาตั้งไกล จริงอยู่ที่คิมจงอินไม่มีเป้าหมายกับการมาพักผ่อนหย่อนใจในครั้งนี้ แต่การเดินถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย กิน ๆ นอน ๆ มันก็น่าเบื่อสุดจะทน แน่นอนว่าผมชั่งน้ำหนักทางความคิดไว้แล้วว่าถ้ามีเด็กคนนี้เข้ามาเป็นส่วนร่วม หนึ่งเดือนต่อจากนี้ต้องไม่น่าเบื่อแน่
ผมงี่เง่าใส่จนไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายจะเห็นผมเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงตอนนี้ก็ปั่นจักรยานมาถึงบ้านเซฮุนแล้ว ผมเตะขาตั้งแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่มองมาด้วยสายตาหวาด ๆ ถ้าเด็กปากสีเชอร์รี่นั่นพูดได้คงก่นด่าด้วยคำเจ็บ ๆ แล้ว
ที่นี่เงียบสงบไม่ต่างจากทุ่งหญ้าที่หยุดถ่ายรูปเมื่อตอนกลางวัน ผมหันไปมองข้างตัว สิ่งแรกที่เห็นคือแปลงผักที่ปลูกเรียงกันอย่างสวยงาม คาดว่ามันคงเป็นสินค้าที่ทำให้บ้านนี้มีอยู่มีกิน ถัดไปอีกหน่อยก็มีต้นส้มสามต้นปลูกอยู่ไม่ห่างกันนัก นั่นก็คงปลูกกิน ไม่ก็แจกเพื่อนบ้านตามประสาคนชนบท
ผมมองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งถอดรองเท้าอยู่บนชานบ้านไม้แล้ววางมันบนชั้นอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเห็นหญิงชราคนหนึ่งนั่งง่วนอยู่กับวัตถุดิบซึ่งน่าจะเอาไว้ทำมื้อเย็น
เซฮุนนั่งลงข้างเธอพร้อมรอยยิ้ม มือไม้ที่ยกขึ้นทำท่าประกอบบทสนทนาสิ้นสุดลง เมื่อเรียวนิ้วชี้มายังผมซึ่งยังคงยืนอยู่ข้างจักรยาน หญิงชราหรี่ตามองก่อนจะยิ้มอย่างเป็นมิตรเมื่อผมก้มหัวทักทายตามมารยาท
“สวัสดีจ้ะลูก”
ผมคิดว่าน้ำเสียงเนิบนาบแต่ได้ยินแล้วรู้สึกดีนั้นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนแก่ ผมยิ้มแล้วเดินไปนั่งบนชานบ้านและไม่ลืมที่จะถอดรองเท้าอย่างเป็นระเบียบ การมีมารยาทเป็นสิ่งแรกที่ผมควรแสดงให้ผู้ใหญ่และเด็กคนนั้นเห็น เผื่อว่าเซฮุนจะเลิกทำหน้าเนือยใส่เพราะผมขอติดสอยห้อยตามมาด้วยก็ได้
นั่น... ว่าแล้วก็เล่นภาษามือใส่ยายแกใหญ่เลย
“อ่า...” หญิงชราพยักหน้าแล้วหันมายิ้มให้ผม นี่ถ้าจะขอให้ช่วยโน๊ตให้อ่านว่าเมื่อครู่คุยอะไรกันจะโดนถอนหายใจใส่ไหม ? “เอาสิ ยายเตรียมของสำหรับทำกับข้าวเสร็จพอดี อยู่กินด้วยกันนะ”
เซฮุนไม่ได้ถลึงตาใส่ตอนที่ยายแกหันมาชวนผมอยู่กินข้าวด้วย เด็กคนนั้นเพียงแค่ ทำหน้าอึนแล้วยกถาดวัตถุดิบเข้าไปในบ้าน ซึ่งผมก็แค่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“เมื่อกี้เซฮุนบอกอะไรคุณยายบ้างเหรอครับ ?”
“เขาบอกว่าพ่อหนุ่มหลงทาง เลยขอให้ยายชวนกินข้าวเย็นด้วยกันน่ะ”
เด็กนี่...
“ฮะ ๆ เขาบอกอย่างนั้นเหรอครับ ให้ตายสิ ผมเพิ่งรู้ว่าเซฮุนเป็นเด็กขี้เล่น” ประโยคหลังนั้นตั้งใจเพิ่มระดับเสียงเผื่อว่าเด็กตัวแสบที่เพิ่งเดินหายเข้าไปในบ้านจะได้ยิน ซึ่งมันได้ผล เมื่อเด็กคนนั้นแอบโผล่หน้าออกมาหรี่ตาใส่
“ไปยังไงมายังไงถึงหลงทางล่ะลูก ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คือผมเป็นนักท่องเที่ยวเพิ่งมาถึงเมื่อวานแล้วดันหลงทางกลางทุ่ง บังเอิญเซฮุนผ่านมาเห็นเลยช่วยปั่นจักรยานไปส่งผมขึ้นรถเมล์เข้าเมืองน่ะ”
“อ๋อ...”
“ส่วนวันนี้ก็บังเอิญเจอกัน ผมดันทำจักรยานน้องล้มจนได้แผล แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมพาเซฮุนไปหาหมอแล้วเรียบร้อย ไม่เจ็บหนัก” รีบแก้ตัวเมื่อเห็นสีหน้าหญิงชราดูเป็นกังวล ผมติดนิสัยชอบสังเกตคน เพราะอย่างนั้นตอนนี้ในหัวถึงคิดว่าเซฮุนคงเป็นหลานรักของท่านมากในระดับหนึ่ง
“ยายตกใจหมดเลย เมื่อกี้ก็ไม่เห็นบอก” เธอหันไปทางห้องครัวที่อีกคนกำลังทำอาหารอยู่
“น้องคงไม่อยากให้เป็นห่วงน่ะครับ หลานคุณยายนี่น่ารักจริง ๆ” ผมป้องปากพูดแล้วมองไปยังประตูห้องครัวที่เปิดอ้าไว้ เห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในนั้นหยิบจับอุปกรณ์อย่างคล่องแคล่วเลยทีเดียว
“ว่าแต่เจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก ?”
“ไม่ครับ” ผมชูมือทั้งสองข้างขึ้นระดับหัวไหล่พร้อมรอยยิ้มและมันทำให้สีหน้าของหญิงชราผ่อนคลายขึ้น
“พักอยู่แถวไหนล่ะ”
“โห ในเมืองเลยครับคุณยาย” ผมหัวเราะในลำคอ “เมื่อวานมัวแต่ตกใจที่หลงทางเลยไม่ได้ถ่ายรูปแถวนี้เก็บเอาไว้ วันนี้ผมเลยกลับมาถ่ายอีกครั้งน่ะครับ”
“นี่ก็หกโมงแล้ว กว่าจะกินข้าวเสร็จก็คงทุ่มนึง ถ้าให้เซฮุนปั่นจักรยานไปส่งขึ้นรถเมล์ก็ไม่รู้ว่าจะทันเที่ยวสุดท้ายหรือเปล่า” เธอขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิด
“ไม่เป็นไรครับคุณยาย ผมเลือกที่จะมาที่นี่เอง ทันไม่ทันเดี๋ยวหาทางกลับเองครับ” ผมยิ้มก่อนจะชำเลืองมองเข้าไปในห้องครัว “ถ้ายังไง ผมขออนุญาตเข้าไปดูเซฮุนในครัวได้ไหมครับ เผื่อว่าจะช่วยอะไรน้องได้บ้าง ?”
“เอาอย่างนั้นเหรอลูก ?”
“ครับ งั้นผมขออนุญาตนะ”
ผมเข้าไปในครัวซึ่งมันต่างจากที่คอนโดอย่างสิ้นเชิง พูดก็พูดเถอะ ผมว่าหน้าตา ผิวพรรณของเซฮุนดูดีเกินกว่าที่จะมาอยู่แถวนี้จริง ๆ นะ ผมเอาแต่ยืนมองเด็กคนนี้ทำอาหารแล้วก็ยิ้มให้ตอนที่เจ้าตัวหันมามองราวกับอยากถามว่ามายืนเซ่ออะไรอยู่ตรงนี้ ซึ่งถ้ามีชอล์กสีขาววางอยู่ข้างตัว เชื่อได้เลยว่าเซฮุนคงหยิบมันขึ้นมาเขียนบนกำแพงไม้เพื่อบอกให้ผมไสหัวไปไกล ๆ
เมนูง่าย ๆ สำหรับสามคนถูกวางเรียงบนโต๊ะเล็กที่สามารถพับเก็บได้ เด็กนักเรียนมอปลายเป็นคนจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพโดยที่ผมทำได้แค่ยืนเซ่อเป็นผีบ้าอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งหญิงชราเรียกไปนั่งด้วย
บนโต๊ะอาหารมีแค่เสียงผมกับคุณยาย มีบางครั้งที่เซฮุนทำมือไม้ประกอบตอนที่ท่านหันไปคุยด้วยและพอเห็นว่าผมไม่เข้าใจ เด็กคนนั้นเลยวางช้อนลงแล้วเดินไปหยิบสมุดกับปากกาที่อยู่บนชั้นมาวางบนตักแล้วเขียนให้ผมอ่าน
ผมรู้สึกได้ถึงความใส่ใจของเด็กคนนี้ที่มีต่อคนแปลกหน้า
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็ช่วยเซฮุนทิ้งเศษขยะแล้วเก็บถ้วยชามออกมา ข้างนอกไม่มีซิงค์สำหรับล้างจานแต่มีก๊อกน้ำสูงระดับเป้ากางเกงและกะละมังสีดำบนพื้นที่เป็นอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาด พอเห็นอีกฝ่ายถลกแขนเสื้อขึ้นและนั่งลงยอง ๆ ผมเลยรีบยกมือห้ามก่อนจะชี้ไปยังผ้าพันแผล เรามองหน้ากันก่อนที่เซฮุนจะชูนิ้วขึ้นมาเป็นเชิงบอกให้รอ ครู่เดียวเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนก็เดินกลับมาพร้อมสมุดและปากกา
กับความทุ่มเทของน้องนั้น...
“อะไรกัน ข้าวก็กินฟรี มือเราก็เจ็บ ถ้าจะให้พี่นั่งเฉย ๆ มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ ?”
ผมส่ายหน้าแถมเลิกคิ้วมองกวนประสาท เราหยั่งเชิงกันทางแววตาอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่จะเซไปทางด้านข้างเพราะถูกผลักเบา ๆ ซึ่งมันทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา ก็ดูสิ สีหน้าของเซฮุนตอนนี้เหมือนคนกำลังหงุดหงิดมาก ๆ ที่ทำอะไรไม่ได้และผมก็คงไม่ปล่อยให้ทำด้วย
“เดี๋ยวล้างให้ มัวแต่เถียงกันแบบนี้พี่จะได้กลับไหมล่ะ ?”
ผมยิ้มขำกับแววตาของเด็กหนุ่มที่ฉายไปด้วยความสงสัย ครับ ผมมันเป็นคนแบบนี้แหละ ถ้าเมื่อวานเด็กคนนี้ไม่ปั่นจักรยานหนีตอนที่ยื่นเงินให้หรือปล่อยให้ผมทำทุกอย่างโดยไม่ขัดใจ บางทีผมอาจจะไม่มีความคิดอยากเจอเซฮุนในวันนี้ก็ได้
“...”
“น้ำอะไร ?” ผมกับคนข้าง ๆ เงยหน้าขึ้น ก่อนจะหลับตาลงทันทีที่น้ำบนฟ้าหยดเผาะลงมา “เฮ้ย ๆ แบบนี้ไม่ใช่แล้ว”
เราทั้งคู่ลุกขึ้นรีบวิ่งเข้าบ้านก่อนที่ห่าฝนจะเทลงมาราวกับว่าพรุ่งนี้จะไม่ตกอีกแล้ว ก้อนเมฆสีเทาเมื่อช่วงบ่ายแก่ ๆ คงเพิ่งนึกได้ว่าควรปล่อยน้ำตาลงมาให้ความชุ่มฉ่ำกับต้นไม้ใบหญ้าเสียหน่อย ผมหันไปหาคนข้างตัวที่ยังคงเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้ามืดครึ้ม สายตาของเซฮุนเหมือนเด็กต้องมนต์สะกดกับหยาดน้ำที่ไหลจากหลังคาจนร่วงสู่พื้นดิน
“อา แย่แล้วสิ” คุณยายเดินมาทางนี้แล้วนั่งลงบนเบาะซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นที่ประจำของแก “ตกหนักอย่างนี้จะไปขึ้นรถเมล์ยังไงล่ะลูก ?”
ผมยิ้มเจื่อนให้เธอแล้วหันไปสบตากับเด็กหนุ่มที่เพิ่งละความสนใจจากน้ำฝน เซฮุน กลอกตาไปทางอื่นพลางเม้มปากระหว่างใช้ความคิด ก่อนจะปรบมือเป็นเชิงเรียกหญิงชราแล้วสื่อสารกับเธอด้วยภาษามือ
“ให้ค้างด้วยเหรอ ? !” ผมโพล่งออกมาเมื่อเห็นเด็กตัวผอมประกบมือเข้าด้วยกันแล้วแนบไว้ข้างแก้ม ซึ่งมันเป็นท่าเบสิกที่แม้แต่เด็กห้าขวบยังเข้าใจว่ามันต้องแปลว่านอนแน่ ๆ เซฮุนขมวดคิ้ว เด็กคนนี้ไม่ได้หันมาให้คำตอบกับผมในทันทีแต่เจ้าตัวเลือกที่จะสื่อสารกับคุณยายต่อไป
“เอาสิ ยายไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
“เยี่ยม ขอบคุณครับคุณยาย” ผมพลิกตัวไปนั่งคุกเข่าก่อนจะก้มหัวลงต่ำเป็นการขอบคุณ
พอหันกลับไปก็เห็นว่าเด็กหนุ่มตัวผอมกำลังง่วนอยู่กับการเขียนบางอย่างใส่โพส-อิทเซฮุนพลิกฉีกกระดาษยื่นมาทางนี้และข้อความในนั้นทำให้ผมหน้าสั่นไปเล็กน้อยถึงปานกลาง
อุ่ย...
“ไม่ได้ขอ... ให้พี่นอน ?” ผมเบาเสียงลงแล้วประกบมือทาบแก้มตัวเองเป็นท่าประกอบ ซึ่งเซฮุนก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบว่าไม่ใช่ “โหย ทำไมเป็นงี้อะ จะใจร้ายเกินไปแล้วนะ”
“เดี๋ยวยายจะเข้านอนแล้ว หาเสื้อผ้าให้พี่เขาใส่ด้วยนะเซฮุน ใส่แขนยาวหนา ๆ ตกดึกแล้วมันหนาว” ผมถลึงตาแล้วแลบลิ้นใส่หลังจากได้ยินประโยคของคุณยายที่ทำให้ผมเป็นผู้ชนะ ถ้าตอนนี้กำลังแข่งกับเซฮุนอยู่น่ะนะ
“คืนนี้ก็รบกวนด้วยนะหนู”
เซฮุนชูกำปั้นแล้วถลึงตาใส่บ้าง จะผิดไหมล่ะถ้าผมจะบอกว่าเด็กคนนี้น่าเอ็นดูเป็นบ้าตอนที่เจ้าตัวแสดงออกว่าไม่พอใจผมสุด ๆ
“สอนภาษามือให้บ้างสิ”
ผมพูดทั้งที่สายตายังคงให้ความสนใจอยู่กับรูปถ่ายในกล้องดิจิตอล แต่พอนึกขึ้นได้ว่าการรอคำตอบจากปากอีกคนมันคงเป็นเรื่องยากที่สุดในตอนนี้ ผมเลยเงยหน้าขึ้นและก็พบว่าเซฮุนยังคงก้มหน้าก้มตาทำการบ้านอยู่ ขอบคุณมาก
“เฮ้”
เซฮุนเอาโพสต์-อิทแผ่นนั้นแปะหลังตัวเองโดยที่ไม่หันมามองหน้ากันเลยสักนิด แถมข้อความบ้านั่นก็ติดกลับหัวอีก ลำบากคนอ่านต้องเอียงคอตามอย่างกับผีในหนังเรื่องดิเอ็กซอร์ซิสต์
ผมไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วเอนหลังพิงกับหมอนนุ่มที่มีกลิ่นไอแดดอ่อน ๆ ก่อนที่เซฮุนจะอุทิศตนให้กับโลกของการบ้าน เด็กคนนั้นได้สละเวลาอันมีค่ามาปูที่นอนให้ผมพร้อมเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้ ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากของเด็กคนนั้นที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ ท่าทางจะอยู่ง่ายกินง่ายดี
“Girl, you’re the one I want to want me.” ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี รูปที่ถ่ายทั้งหมดในวันนี้ให้ได้มากกว่าคำว่าฮิปสเตอร์หรือเปล่า ผมนี่มันอัจฉริยะชัด ๆ “And if you want me, girl, you got me”
แกร๊ง !
ผมชำเลืองมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีขาวกับสีเดียวกับกางเกงนอนขายาวซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหน้าโต๊ะญี่ปุ่น มือนั้นมีปากกาอยู่แท่งหนึ่งที่แตะอยู่กับโคมไฟเล็ก ๆ อ้อ... นั่นคือการส่งเสียงเรียกเหรอ
“ไงครับน้องหนู”
ผมเบ้ปากแล้วเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกวนตีนเมื่อเด็กคนนั้นหันมามอง
“วิชาอะไร ให้ช่วยไหม ?” พอเห็นเซฮุนพยักหน้าผมก็ยิ้มกว้างเลยครับคุณเอ๋ย แต่พอทำท่าจะคลานไปหาน้องกลับฉีกโพสต์-อิทแผ่นใหม่ออกมาแล้วแปะที่ปากผมทันที
รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าด้วยคอมแบทเบอร์เก้าเปื้อนโคลนเข้าอย่างจัง เซฮุนชี้นิ้วไปที่ ๆ ผมจากมาแล้วหันกลับไปสนใจการบ้านอีกครั้ง แน่นอนว่ามันไม่โอเค ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้เด็ดขาด
“ช่วย”
“... ?” เซฮุนเลิกคิ้วมองผมที่ขยับไปนั่งข้าง ๆ อย่างหัวเสีย เด็กบ้านนอกหน้าตาดีถอนหายใจหนัก ๆ ใส่เป็นเชิงบอกว่า ‘พี่ครับ กูรำคาญมึงมากเลย ไสหน้าไปไกล ๆ ได้ไหม’
“เฮ้ย ข้อนี้พี่ช่วยได้จริง ๆ” ผมมองสมุดโน้ตที่มีร่องรอยการทดเลขอยู่เต็มไปหมด มันคงยากสำหรับเซฮุนจริง ๆ แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่เคยผ่านมันมาแล้วอย่างผม
เด็กคนนี้คงรู้ว่าสู้ไปก็แพ้ เลยยอมขยับที่นั่งให้ผมเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ถึงคิมจงอินจะเป็นผู้ชายกวนส้นตีน แต่การช่วยการบ้านในครั้งนี้ผมตั้งใจสอนน้องไปด้วย มีแค่ช่วงห้านาทีแรกเท่านั้นที่อีกฝ่ายนั่งนิ่งและมองมาอย่างหวาด ๆ แต่หลังจากเห็นว่าผมจริงจัง เซฮุนก็ดูเหมือนว่าจะเปิดใจ
กว่าจะทำการบ้านเสร็จก็สามทุ่มครึ่ง ผมบิดตัวไปมาเพราะอาการปวดเมื่อยจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น พูดก็พูดเถอะ ถึงจะยังไม่สามสิบ แต่การใช้ร่างกายไปกับการทำงานมันก็ส่งผลให้ปวดหลังได้ง่าย ๆ
ผมเลิกคิ้วเมื่อถูกคนข้าง ๆ สะกิด พอหันไปก็เห็นเซฮุนทำมือประกอบซึ่งมันตีความหมายได้ไม่ยากเลย
“จะนวดให้เหรอ ?” เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วชี้ไปยังสมุดและหนังสือคณิตศาสตร์ที่วางเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่น อ๋อ... เป็นการตอบแทนสินะ “มันต้องอย่างนี้สิ”
ผมยิ้มพอใจแล้วหันหลังให้ เซฮุนมือเบามากจนต้องจับมือน้องให้กดย้ำลงไปอีกแต่พอมือเราสัมผัสกันเด็กคนนี้ก็รีบชักกลับจนผมต้องหันไปอีกครั้ง
สีหน้าของเซฮุนดูหวาด ๆ คล้ายว่าตกใจ อ่า คงใช่แหละ ผมไม่คิดจริง ๆ ว่าการที่ผมจับมือผู้ชายด้วยกันเพื่อเจตนาขอให้ออกแรงมากกว่าเดิมมันเป็นเรื่องที่ต้องคิดหรือขออนุญาตก่อน เด็กหนุ่มทำมือปัด ๆ บอกให้หันกลับไป ซึ่งผมก็มองดวงหน้าขาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำตาม
“เมื่อกี้ตกใจเหรอ” ผมรอคำตอบจากคนที่ละมือออกไป ก่อนจะได้กระดาษมาเป็นคำตอบ
“โทษที ไม่รู้ว่าหวงตัว” ผมหันกลับไปมองใบหน้าของคนที่ทำท่าจะนวดให้ต่อ เซฮุนเงียบไป ผมไม่อยากคิดไปเองเลยว่าในใจของเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าผมคงไม่ได้รู้คำตอบง่าย ๆ แน่
เซฮุนเลือกที่จะอธิบายให้รู้แค่นี้ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่พูดอะไรสักคำ แต่เห็นสีหน้าหงอย ๆ ของอีกฝ่ายผมจึงเลือกนั่งนิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้อีกคนนวดราว ๆ สิบนาทีถึงบอกให้หยุด
“นอนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” เด็กตัวผอมพยักหน้าหลังจากที่ผมพูดจบ เขาชี้นิ้วบอกให้ขยับไปเก็บกล้องให้เรียบร้อยแล้วค่อยปิดโคมไฟก่อนที่ความมืดจะกลืนกินห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ แห่งนี้
แสงสว่างจากดวงจันทร์ทำให้มองเห็นผนังไม้ แต่ไม่ได้ช่วยทำให้เห็นว่าคนที่นอนอยู่ห่างไปอีกสองช่วงแขนหลับแล้วหรือยัง สิ่งที่ช่วยยึดสายตาในตอนนี้คือความมืดของเพดาน ตลกดีที่เมื่อคืนผมหลับเป็นตายตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแต่วันนี้กลับตาค้างเหมือนโดพกาแฟมา พลิกซ้ายก็แล้ว พลิกขวาก็แล้ว แต่ก็ยังนอนไม่หลับ
ถ้าไอ้ชานยอลรู้เรื่องนี้มันคงระเบิดหัวเราะแล้วบอกว่าผมตอแหลแน่ ๆ เพราะคิมจงอินที่เพื่อน ๆ รู้จักคือไอ้หอกหักที่หลับง่ายที่ขอแค่หัวสัมผัสหมอนก็พอ ไม่เกี่ยวกับเรื่องแปลกที่ใด ๆ ทั้งสิ้น ผมแค่รู้สึกอยากคุยกับเซฮุนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าน้องพูดไม่ได้
แสงสว่างสีส้มทำให้ผมหลุดออกจากความคิดแล้วหันไปมอง ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มตัวผอมนั่งอยู่บนที่นอนพร้อมเทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดไว้ใกล้ ๆ เซฮุนเอื้อมไปหยิบสมุดกับปากกามาเขียน คงเป็นเพราะคนปากมากอย่างผมไม่เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน
ผมมองข้อความบนสมุดในมือเด็กคนนั้นก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ มันจะแปลกไหมถ้าจะบอกว่าผมชอบมองเซฮุนเวลาก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างตั้งใจ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่รู้แค่ว่าอยากมอง
หลุดขำออกมาหลังจากรู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ผมหยัดตัวลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหาเด็กหนุ่มตัวผอม จากนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่ใกล้หมอนของเซฮุนทำให้รู้ว่าตัวเองนอนพลิกซ้ายพลิกขวาไปนานแค่ไหนแล้ว
“ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นหรอกน่า” ผมยิ้มขำ ยิ่งเห็นว่าคนตรงหน้ากลอกตาไปมากับการคาดเดาที่ผิดพลาดผมยิ่งรู้สึกดีเข้าไปอีก “แล้วเราล่ะ ทำไมยังไม่นอนอีก”
“พี่ต้องรู้สึกผิดใช่ไหม ?” พออ่านข้อความบนสมุดจบผมก็เงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย ซึ่งเซฮุนก็ยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ
วูบหนึ่งผมรู้สึกว่ากำแพงที่เด็กคนนี้สร้างขึ้นมันค่อย ๆ พังลงมาทีละนิดแล้ว
“ปกตินอนกี่โมง”
“อนามัยนะเนี่ย คืนนี้ก็ดึกเลยดิ”
“งั้นให้พี่ออกไปนอนรับไอฝนข้างนอกไหมล่ะ ?” ผมสบตากับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าตัวนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะเขียนบางอย่างลงไปในสมุดแล้วยื่นให้ผมอ่าน
ไม่บ่อยหรอกที่คนเราจะรู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกมาเมื่อไหร่และวินาทีนี้ก็ได้รู้แล้วว่ากำลังยิ้มเพราะคำพูดของคนตรงหน้า เราสองคนปล่อยให้เสียงฝนข้างนอกทำลายความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายขยับไปนั่งข้าง ๆ เซฮุนพร้อมคืนปากกากับสมุดให้
“พูดเองนะ ถ้าพรุ่งนี้ตื่นสายหรือไปหลับในห้องเรียนจะโทษพี่ไม่ได้ด้วย”
“เอางั้น ?” ผมเลิกคิ้วมองใบหน้าครึ่งหนึ่งของเด็กหนุ่มที่อาบไล้ไปด้วยแสงเทียน เซฮุนยิ้มบาง ๆ แล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ ซึ่งมันทำให้ผมพอใจมากเลยทีเดียว “จะโทษกันได้ไง จะได้เจอกันอีกไหมยังไม่รู้เลย”
ผมนิสัยเสียตรงที่เอาคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อวานมาใช้กับเจ้าตัว เด็กหนุ่มตัวผอมนั่งนิ่งก่อนจะหลุบสายตาลง ดูเหมือนว่าเซฮุนต้องใช้ความคิดไตร่ตรองอยู่เสมอก่อนตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
“เปล่า พี่ไม่ใช่คนเก็บเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใส่ใจหรอก”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย มันก็ไม่แปลกหรอก เจอไอ้บ้านั่งแห้งอยู่ข้างทางแถมพูดจากวนตีนใส่ เป็นพี่ก็คงไม่คิดว่าจะได้เจออีกเหมือนกัน” ผมหัวเราะก่อนจะหุบยิ้มลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่
วินาทีนี้ผมต้องการไอ้ชานยอลว่ะ อยากถามมันเหมือนคนโง่เลยว่าไอ้ความรู้สึกแปลก ๆ ตรงหน้าอกข้างซ้ายนี่มันคืออะไรกัน ไม่ดิ ผมอายุตั้งปูนนี้แล้ว แถมมีแฟนมาตั้งหลายคน แน่นอนว่าประสบการณ์เรื่องความรักที่สั่งสมมามันไม่ใช่ระดับอนุบาลจนเดาไม่ออกว่าตอนนี้กำลังรู้สึกยังไงอยู่กันแน่
แต่เสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกมันก็ไม่อยากยอมรับว่าผมกำลังใจเต้นแรงกับเด็กคนนี้ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไหนจะเพิ่งเจอเมื่อวาน แถมยังไม่เคยได้ยินเสียงน้องเลยสักแอะ
ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองว่ามันคืออะไร บางทีผมอาจจะแค่รู้สึกถูกใจและเอ็นดูความลึกลับของเซฮุน หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งก็ไม่อยากคิดเลยว่าที่กำลังรู้สึกอยู่มันเป็นเพราะความเหงา ให้ตายเถอะ ความย้อนแย้งกับตัวเองนี้ทำให้ผมอยากตบกะโหลกตัวเองดูสักครั้ง
“เราอยากเจอพี่อีกหรือเปล่า” ผมเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ถ้าใช่ให้พยักหน้า”
มันเป็นเรื่องตลกสิ้นดีที่ผมกำลังรอคำตอบจากอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง ซึ่งถ้าเซฮุนตอบอีกอย่างผมคงไม่เจ็บถึงปางตาย แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผิดหวัง ผมยังอยากเจอน้องอยู่ นี่คือความรู้สึกเพียว ๆ แบบไม่ต้องใช้เหตุผลทางสมองรองรับ ผมอยากให้เด็กคนนี้เป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่นี่
และเซฮุน... ก็พยักหน้าเป็นคำตอบ
TBC
เกิดอะไรขึ้นกับใจของเรากันนะ?
ความคิดเห็น