คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 01 :: Teach me to know. (ภาค 1 เป็นชายหญิง)
? cactus
CHAPTER 01
Teach me to know
ความอยากรู้อยากเห็นมักนำความยุ่งเหยิงมาด้วยเสมอ
เอาจริงนะ ถ้าฉันต้องเสียพรหมจารีให้ใคร คน ๆ นั้นก็ต้องเป็นอาจารย์ชานยอล”
“ถามอาจารย์ก่อนมะว่าเขาอยากได้หล่อนหรือเปล่า สวยก็จะไม่ว่าหรอก หน้าอย่างกะเห็บตากแดดทำเพ้ออยากได้เขาเป็นผัว”
“เอ้า แล้วฉันผิดอะไรเหรอ ก็อาจารย์ทั้งหล่อ นิสัยดี สุภาพอ่อนโยน เป็นใครก็อยากได้ทั้งนั้น”
“หล่อนไปได้ยินมาจากไหนว่าอาจารย์เป็นอย่างนั้น”
“ก็ฟังเขาเล่ามาอีกทีอะ”
“หึ พวกห้องซีเม้าท์กันให้แซ่ดว่าตั้งแต่อาจารย์ชานยอลย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ฟันนักเรียนไปหลายคนแล้ว นี่แค่เทอมเดียวเองนะ ที่เห็นทุกวันนี้ก็แค่สร้างภาพ”
“จริงอะ...”
“เออดิ พูดแล้วขนลุกเลย เห็นว่าที่โรงเรียนเก่าเคยทำนักเรียนท้อง เรื่องนี้รู้กันลับ ๆ แต่ทางผู้ใหญ่ไม่อยากตัดอนาคตก็เลยย้ายอาจารย์ชานยอลมาที่นี่”
“จริงเหรอ...”
“เห็นว่าเด็กผู้หญิงต้องลาออกเพราะท้องเริ่มโต หมดอนาคตเลยเธอเอ๋ย”
“โอ๊ย แบดเวอร์ รักเลยอะ”
บยอนแบคฮีมองเพื่อนในกลุ่มที่ยังคงสนุกอยู่กับการพูดถึงอาจารย์หนุ่มผู้เลื่องชื่อทั้งด้านดีและด้านแย่ บางคนเลือกที่จะเชื่อว่าอาจารย์ปาร์คชานยอลเป็นเทพบุตรผู้แสนดี แต่บางคนก็เลือกที่จะเชื่อว่าเป็นผู้ชายเจ้าชู้ เจ้าเล่ห์ และพร้อมที่จะฟันนักเรียนหญิงทุกคนที่ให้ท่า
ซึ่งเรื่องเหล่านั้นต่างถูกเล่าปากต่อปากกันมา จนแยกแยะไม่ออกว่าเรื่องไหนเรื่องจริง
“แบคฮี เธอว่าไง?”
“ว่า... ว่าอะไร?” เด็กสาวขมวดคิ้วมองรอยยิ้มของเพื่อนที่ไม่สามารถเรียกว่าเพื่อนสนิทได้ แต่ก็มีเพียงสามคนนี้ที่รับเธออยู่ในกลุ่ม
“ถ้าอาจารย์ชานยอลขอมีอะไรด้วย เธอจะยอมไหม?” อันยูจินยิ้มอย่างมีความหมาย และไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสามคนมองเห็นความท้าทายเกี่ยวกับบยอนแบคฮีเป็นเรื่องตลก
“ฉันต้องตอบกับสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าด้วยเหรอ?”
“แหม พวกหล่อนก็ อย่าแซวนักสิ แบคฮีมีหนุ่มในใจอยู่แล้วนะจ๊ะ” เสียงหัวเราะกระแนะกระแหนช่างบาดหูจนรู้สึกรำคาญ คนตัวเล็กเพียงแค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางรูดซิปกระเป๋าเป้
เด็กสาวมอปลายปีสามได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมต้องสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง แต่ความย้อนแย้งก็เกิดขึ้นเมื่อสายตาของเธอมักจะมองออกไปนอกหน้าต่างทุกครั้งที่เห็นว่าผู้ชายชุดวอร์มสีดำหุ่นผอมสูงดูดีกำลังสอนนักเรียนเล่นบาสท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ
ผู้ชายที่เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ตอนหกโมงเช้าจะร้ายได้ขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ?
ครั้งหนึ่งเราเคยสบตากัน เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่บยอนแบคฮีรู้สึกว่าโลกหยุดหมุน ก่อนเธอจะเบือนสายตาหันไปสนใจกระดานดำหน้าห้อง และปล่อยให้เรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงความบังเอิญที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องตั้งคำถามให้ตัวเอง
คุณได้รับข้อความจาก...
‘โอเซฮุน’
[ เย็นนี้ไปเที่ยวกัน ]
เด็กสาวมองสมาร์ทโฟนในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของข้อความที่ยืนอยู่หน้าห้องกับเพื่อนผู้ชายหน้าโง่ที่คิดว่าตัวเองเจ๋งเสียเต็มประดา เสียงแซวไม่ได้ทำให้แบคฮีรู้สึกขลาดอายเลยสักนิด กลับกันแล้วเสียงผิวปากของเด็กผู้ชายเหล่านั้นยังทำให้โอเซฮุนดูโง่ยิ่งกว่าเดิมที่เลือกคบเพื่อนไม่เป็น
ซึ่งเราคงเหมือนกันตรงนี้ เพราะแบคฮีก็ไม่ถนัดเรื่องเลือกคบเพื่อนสักเท่าไหร่
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเรียกว่าแฟนก็ไม่ใช่ เพราะเธอไม่ได้ตอบตกลงคบกับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ โอเซฮุนเป็นผู้ชายร้ายกาจเกินกว่าที่จะเอาหัวใจไปผูกไว้ บยอนแบคฮีฉลาดมากพอที่จะปกป้องหัวใจจากความรัก แต่กลับไม่เคยฉลาดที่จะปกป้องมันจากเรื่องเซ็กส์
ทั้งคู่มีอะไรกันไม่บ่อยนัก ถ้านับในหนึ่งสัปดาห์ก็ราว ๆ ครั้งสองครั้ง เพราะเดทแรกที่พังตั้งแต่การดูหนังน่าเบื่อ และคาราโอเกะที่ไม่มีใครอยากเสียเวลาไปกับการนั่งเปล่งเสียง ทุกอย่างเหมือนแพลนทางการโง่ ๆ ที่ถูกวางไว้ว่าต้องทำอย่างนั้นในเดทวันแรก
เซฮุนเป็นคนมือไว และเธอก็รู้สึกง่ายจนการถูกปลุกอารมณ์ในรถต้องจบลงในโรงแรมในที่สุด หลังจากนั้นผู้ชายหน้าโง่ก็ได้ใจ คิดว่าจะแสดงความเอาแต่ใจอย่างไรก็ได้แต่คงไม่ใช่กับบยอนแบคฮี ซึ่งมันคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เซฮุนยังคงสนใจเธอมาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่เบื่อไปก่อนเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ
เราไม่จำเป็นต้องรักกัน แบคฮีบอกตัวเองอย่างนี้มาตลอด
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘โอเซฮุน’
[ ไม่ดีกว่า วันนี้พ่อฉันมารับ ]
*
แบคฮีโกหกจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ เธอทำอย่างนั้นทุกครั้งที่รู้สึกต่อต้านกับสิ่ง ๆ หนึ่ง เด็กสาวในชุดนักเรียนกระโปรงสั้นเลยเข่าเดินไปตามฟุตปาธอย่างไม่เร่งรีบ สายตาทอดมองออกไปยังถนนกว้างที่มีรถขับผ่านอยู่ตลอด
แสงจากเสาไฟข้างทางติดพร้อมกันเมื่อท้องฟ้าถูกความมืดกลืนกิน ดวงตาเรียวรีเงยขึ้นมองดวงจันทร์ที่วันนี้มีเพียงเสี้ยวเดียว แต่มันยังคงสวยแม้จะบิดเบี้ยวเหมือนใจของเด็กผู้หญิงอย่างเธอ
โทรศัพท์ยังคงเงียบเหมือนกับทุกวัน ไม่มีใครโทรตามให้รีบกลับบ้านไปกินข้าว หรือไถ่ถามว่าตอนนี้ลูกสาวของตนอยู่ไหน มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แบคฮีจำความได้ เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังเพราะพ่อแม่หย่าร้างกัน ซึ่งพ่อก็เลือกเทส่วนหนึ่งในชีวิตให้งานกับเมียน้อยเลขา และทิ้งเธอไว้กับแม่บ้านซึ่งเลี้ยงดูตามหน้าที่
ด้วยความที่พ่อเป็นคนมีฐานะและชื่อเสียงด้านการเมืองในระดับหนึ่ง จึงเป็นปัญหาเล็ก ๆ ที่เริ่มใหญ่โตขึ้น สำหรับเด็กผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูด้วยเงินมาตลอด แบคฮีไม่รู้วิธีการพูดที่ถนอมน้ำใจคนหรือวิธีเข้าหาเพื่อนที่ถูกต้องนัก มันคงดีถ้าหากมีคนเตือนบ้างว่าบยอนแบคฮีทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ได้รับก็เป็นเพียงคำแก้ตัวที่บอกว่า ‘ฉันไม่อยากให้เธอรู้สึกแย่ ก็เลยไม่อยากพูด’
มีอยู่สองอย่างที่เกิดขึ้นอย่างจำเจ ถ้าไม่ถูกปอกลอกเงินทองก็กลายเป็นขี้ปากเพื่อนที่เลือกมองเพียงภายนอก แต่จะว่าคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ ในเมื่อบยอนแบคฮีเลือกแสดงออกให้เห็นอย่างนั้นเพราะไม่อยากเป็นคนอ่อนแอที่น่าสมเพช ดังนั้นเธอจึงต้องแลกความเข้มแข็งที่มองเห็นด้วยตา และสูญเสียโอกาสที่จะได้ความจริงใจไป
เพื่อนที่คบด้วยทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะแสนดีจนต้องหลั่งน้ำตา แบคฮีเข็ดแล้วกับการไว้ใจคนอื่น แต่โชคดีหน่อยที่พ่อเป็นคนใหญ่คนโต ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนี้จึงไม่จบลงด้วยการโดนจับขังในห้องน้ำและถูกสาดน้ำถูพื้นใส่ อย่างมากก็แค่ถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ กับรอยยิ้มเย้ยหยันรังเกียจ ในทีแรกมันช่างเจ็บปวด แต่พอเวลาผ่านไปความรู้สึกเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นเกราะคุ้มกันให้กับเธอในที่สุด
เด็กผู้หญิงที่เคยเป็นสีขาวเริ่มมีจุดดำแต่งแต้มในหัวใจ มันเริ่มต้นจากการมีรักครั้งแรกกับรุ่นพี่ทีมฟุตบอลชื่อคิมจงอิน ผู้ชายคนนั้นช่างเอาอกเอาใจและดีกับเธอ ต่างจากคนอื่นที่เข้ามาเพื่อหวังประโยชน์ แต่เพราะแบคฮีไม่เคยได้รับความรักความใส่ใจ เด็กสาวจึงแสดงความเอาแต่ใจมากเกินไปจนอีกฝ่ายอึดอัดทนไม่ไหวและเลิกรากันไปในที่สุด
เราจบกันด้วยดี... แม้แต่วินาทีสุดท้ายที่พี่จงอินบอกเลิก เขาก็ยังกอดเธอเอาไว้และอวยพรว่า...
‘สักวันหนึ่งแบคฮีจะเจอใครสักคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ...บ้านที่ทำให้แบคฮีรู้สึกปลอดภัย และอยู่ที่นั่นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม’
เด็กสาวเพียงแค่นหัวเราะก่อนปล่อยให้ผู้ชายแสนดีหายไปจากชีวิต โทษว่าเป็นเพราะทำตัวเองทั้งนั้นพี่จงอินถึงได้ทิ้งไป บยอนแบคฮีไม่กล้ารักใครอีก เธอกลัวการผูกมัดจนสุดท้ายก็จบลงที่อีกฝ่ายทนไม่ไหวและทิ้งเธอไว้ทั้ง ๆ ที่ยังรักอยู่เต็มหัวใจ
ถ้าใจกล้ากว่านี้หน่อยคงเดินไปขอให้ใครสักคนซื้อบุหรี่ให้สักซอง แต่บยอนแบคฮีดันเกลียดกลิ่นบุหรี่นี่สิ...
RRRrrrrr!!!
“ว่าไง?”
( ฟรายเดย์ไนท์ ไปปาร์ตี้กัน )
“เอาสิ ที่เดิมเหรอ?”
( โนจ้ะ เป็นผับเปิดใหม่ย่านคังนัม ฉันพอจะรู้จักคนที่จะพาเข้าได้ )
“อาฮะ”
( แต่อาจต้องใช้เงินนิดหน่อยน่ะ เธอออกให้เราสามคนก่อนได้ใช่ไหมแบคฮี? )
ที่โทรมาชวนก็เพราะเหตุผลนี้สินะ
“...!!!”
ฝีเท้าหยุดกึกพร้อมหัวใจที่เหมือนจะหล่นลงไปกับพื้นแล้วหลังจากรู้ตัวว่าเดินใจลอยข้ามถนนทั้งที่ยังไม่ขึ้นสัญญาณสีเขียว เด็กสาวชะงักพร้อมมองไปยังเจ้าของรถที่เกือบชนเธอ
นัยน์ตาคู่สวยมองเข้าไปในฟิล์มมืด ก่อนไฟสีส้มบนเพดานรถจะสว่างขึ้นจนเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ดูแปลกตาไปเมื่ออยู่ในชุดเชิ้ตดำและปัดผมขึ้นจนเห็นหน้าผากกับโครงหน้าหล่อได้รูป ตรงเบาะข้างคนขับมีผู้หญิงผมยาวปากแดงกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งเหมือนว่ามันจะตกลงไปตรงที่วางเท้า
อาจารย์ชานยอล...
อาจารย์กำลังมองมาทางนี้โดยที่เธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่าภายใต้ดวงตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แบคฮีไม่ได้กล่าวขอโทษหรือโค้งศีรษะให้กับสถานการณ์ที่ยังเรียบเรียงสติไม่ได้ เธอจึงรีบวิ่งข้ามถนนไปเมื่อขึ้นสัญญาณสีเขียว
“โอเค... แล้วเจอกันที่นั่น”
*
เด็กสาวก้าวออกมาจากโรงแรมหลังจากจองห้องพักและอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เธอก้มลงมองหน้าอกที่คับแน่นเดรสสีเลือดนกไร้สาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อพบว่าผู้ชายที่เดินผ่านไปต่างมองเธอด้วยสายตาลามก
แต่จะห้ามไงได้แต่งตัวแบบไหนก็ย่อมเรียกคนแบบนั้น
เรียวขาก้าวเข้าร้านทำผม ดัดผมตรงให้เป็นลอนพร้อมแต่งหน้าจนไม่เหลือคราบเด็กมอปลาย ที่เปิดห้องในโรงแรมเพราะไม่คิดจะกลับบ้านด้วยสภาพดูไม่ได้อย่างนี้ ป้าแม่บ้านคงช็อกที่เห็นคุณหนูกลายเป็นเด็กใจแตกทั้ง ๆ ที่บยอนแบคฮียังหาคำตอบให้กับคำ ๆ นี้ไม่ได้
เด็กสาวมองความแก่แดดในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโบกแท็กซี่ไปผับย่านคังนัมตามที่นัดกับเพื่อนเอาไว้ เธอใช้เวลาเดินทางไม่มากนัก พอไปถึงก็พบว่าเพื่อนกำลังรออยู่แล้วและดูเหมือนว่าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่
แบคฮีไม่รู้ว่ายัยหน้าโง่ทั้งสามคนกำลังหัวเสียเพราะเธอมาถึงช้า หรือเป็นเพราะเดรสสีแดงตัวนี้มันโป๊แย่งซีนจนทำให้เกิดความอิจฉากันแน่
เสียงเพลงดังกึกก้องชวนให้ลุกขึ้นไปเต้น เด็กสาวนั่งดื่มเงียบ ๆ บนโซฟาพร้อมมองไปยังผู้คนที่กำลังเต้นเบียดเสียดกันอยู่กลางฟลอร์ แบคฮีไม่ใช่คนดื่มเก่งนัก ดังนั้นเธอจึงมึนได้ง่าย ๆ ทั้งที่ดื่มค็อกเทลไปเพียงสองแก้ว
“แบคฮี เห็นโต๊ะนั้นไหม?”
“อืม ทำไม?”
“นั่นรุ่นพี่ซงมินโฮ เรียนอยู่มหาลัยยอนเซ รายนั้นน่ะฮอตบ้านแตกเลย ทั้งรวยทั้งหล่อ” อันยูจินยิ้มอย่างมีความหมายพร้อมเอาแก้มแนบกับแก้มแบคฮี “ถ้าเธอพาเขากลับห้องได้ ฉันจะยอมคลานเป็นหมาแล้วเห่ารอบสนามหญ้าให้ดูเลย...”
“ฮ่า ๆ หล่อนนี่ร้ายจริง ๆ”
“แบคฮีอีกแล้วเหรอ ฉันก็อยากได้พี่เขาเหมือนกันนะ”
แบคฮีสบตากับชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่กำลังยิ้มมุมปากพร้อมยกแก้วขึ้นทักทาย เธอไม่ได้อยากล่าแต้มอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ แต่การเห็นอันยูจินคลานรอบสนามหญ้าพร้อมเห่าเหมือนหมามันก็น่าสนุกดีเหมือนกัน
“เอาจริงเหรอ?” คิมพาดาเบิกตาโพลง มองตัวตลกในกลุ่มซึ่งกำลังเดินไปเต้นกลางฟลอร์และยั่วยวนซงมินโฮทั้งที่ไม่ได้เดินไปหาที่โต๊ะ ทั้งสามคนเบ้ปากมองความดัจริตเกินหน้าเกินตาของเพื่อนที่ไม่เรียกว่าเพื่อน
เพียงครู่เดียวก็รู้สึกได้ถึงสองมือที่วางลงบนเอวคอด ดวงตาคู่สวยปิดลงพร้อมรอยยิ้ม สองมือลูบไปตามแขนแกร่งก่อนจะเอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังกำลังคลอเคลียกับซอกคอของเธอ
“เด็กแก่แดด”
“...”
แบคฮีขมวดคิ้วก่อนจะเอี้ยวหน้าหันไปพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังตอนนี้คืออาจารย์ชานยอล เด็กสาวเบิกตาโพลงอย่างตกใจ พอจะก้าวออกจากตรงนี้ร่างของเธอก็ถูกรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มตัวสูงเสียแล้ว
ใบหน้าหล่อมาพร้อมกลิ่นน้ำหอมในแบบผู้ใหญ่ แบคฮีกลอกตามองซ้ายขวาเพื่อดูว่าตอนนี้เพื่อนของเธอกำลังมองอยู่หรือไม่ ก่อนใบหน้าเรียวจะถูกบีบคางเบา ๆ ให้หันมาเผชิญหน้ากัน
“คิดจะทำอะไร?”
“นั่นควรเป็นคำถามของผมหรือเปล่าว่านักเรียนอายุไม่ถึงอย่างคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เสียงทุ้มต่ำที่เคยได้ยินไกล ๆ ตอนสอนว่ายน้ำกำลังกระซิบอยู่ข้างหูจนรู้สึกขนลุก
“หนูก็แค่มาเที่ยวเหมือนเด็กคนอื่น ๆ”
“ครับ ผมคงไม่คิดว่าคุณแต่งตัวแบบนี้มานั่งอ่านหนังสือหรอก” เด็กสาวขมวดคิ้วมองอย่างไม่สบอารมณ์กับคำตอบ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอาจารย์ปาร์คชานยอลเป็นคนช่างประชดประชัน
“กำลังจะทำตัวเป็นครูที่ดีเหรอคะ?” แบคฮีก้มลงมองมืออีกฝ่ายที่ยังโอบเอวเธอไว้ “ถ้าใช่ก็ระวังหน่อย”
“ระวัง? อ่า ‘โทษที พอดีหน้าอกของคุณมันบังจนผมมองไม่เห็นว่าตอนนี้วางมือไว้ที่ไหน” ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นปั้นหน้าตาย ก่อนจะเซไปข้างหลังเล็กน้อยเพราะถูกผลักออกอย่างแรง
ชานยอลยิ้มขำกับท่าทางหัวเสียของเด็กสาวตรงหน้า ทั้งคู่สบตากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนชายหนุ่มจะยักคิ้วและปล่อยให้เธอกลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะ
*
“พี่นึกว่าแบคฮีจะไปกับผู้ชายคนนั้นแล้วซะอีก”
“คะ? อ้อ...” เด็กสาวเพียงหัวเราะเบา ๆ กับคำถามที่ทำให้นึกถึงหน้าอาจารย์คนนั้นอีกครั้ง ให้ตายเถอะ แค่คิดก็หัวเสียจะแย่
“เดินไหวไหมคะคนดี?”
“ไหวค่ะ” แบคฮีหันไปยิ้มและปล่อยให้รุ่นพี่มินโฮโอบเอวเดินออกมานอกผับหลังจากที่ผู้ชายคนนี้เป็นฝ่ายเข้าหาเธอเสียเอง
เพื่อน ๆ ค่อนข้างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ตอนนี้ประเด็นหลักบนโต๊ะเหล้าคงไม่พ้นการนินทาบยอนแบคฮี ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติ เด็กสาวส่ายศีรษะเบา ๆ ไล่อาการมึนงง ระหว่างเดินไปที่รถก็ต้องเอียงคอเล็กน้อยเพราะถูกคลอเคลีย หมอนี่ใจร้อนจริง ๆ รอให้ถึงโรงแรมก่อนไม่ได้หรือไงกัน
“โทษทีนะ นั่นรถฉัน หลีกทางหน่อย”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองร่างผอมสูงที่ยืนกอดอกพิงกับรถราคาแพง พอเพ่งสายตาก็พบว่าชายหนุ่มที่ยืนขวางประตูรถรุ่นพี่มินโฮก็คืออาจารย์ชานยอลที่เธอคิดว่าน่าจะไปผุดไปเกิดได้แล้ว
“ผมจะไปหลังจากที่คุณคืนนักเรียนคนนั้นให้ผมแล้ว”
“นักเรียน? นายเป็นครูงั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มเชิ้ตดำยิ้มมุมปากก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ แบคฮีเบือนสายตาหลบไปอีกทางพลางถอนหายใจ ผู้ชายคนนี้คิดจะจองล้างจองผลาญเธอไปจนถึงวินาทีสุดท้ายเลยหรือไงกัน?
“จริงเหรอคะแบคฮี?”
“ค่ะ” เด็กสาวตอบขณะสบตากับอาจารย์หนุ่ม
“มันคงดีนะถ้าหากว่าคุณสองคนยืนห่างกันสักหน่อย พอดีว่าผมอยากพาเธอไปปรับทัศนคติมากกว่าพาคุณไปโรงพักข้อหาพานักเรียนอายุไม่ถึงเข้าผับน่ะ”
“ฉันไม่ได้พาเธอมาสักหน่อย อย่ามั่วสิวะ”
“ใครจะรู้” ชานยอลยิ้ม ก่อนจะลดระดับสายตามองเจ้าของสีหน้าหงุดหงิด “ว่าไง?”
“...”
ทั้งคู่หันไปสบตากัน ซึ่งซงมินโฮก็ไม่คิดจะเอาตัวเองเข้าไปแลกกับกฎหมายที่อาจทำให้เขาได้เงินใช้น้อยลงถ้าหากเป็นเรื่องใหญ่โตจนถึงหูพ่อแม่ ชายหนุ่มปล่อยมือออกจากเอวคอดอย่างเสียดาย แม้จะไม่ได้หิ้วกลับวันนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสอีกเสียเมื่อไหร่
“งั้นไว้เจอกันคราวหน้านะคะแบคฮี”
“ค่ะ” เด็กสาวตอบเสียงแข็ง พลางมองรอยยิ้มแห้ง ๆ ของผู้ชายปอดแหก ที่ไม่กล้าสู้กับอาจารย์ที่น่าจะดูออกว่าไม่ใช่คนดีอย่างที่พยายามแสดงออก
สุดท้ายก็เหลือเพียงอาจารย์กับนักเรียน ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิงซึ่งชานยอลรู้สึกสนุกขึ้นมาเพียงเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังต่อต้านเขา ชายหนุ่มพยักหน้าไปทางรถของตนเองซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างจากจุดนี้มากนัก และเด็กสาวก็เดินตามมาโดยไม่ตั้งคำถามให้เราเสียเวลาถกเถียงกันเล่น ๆ ทั้งที่รู้แก่ใจว่ายังไงเสียผู้ชนะก็คือ ‘ อาจารย์’ อยู่วันยังค่ำ
บีเอ็มสีดำขับไปบนถนนซึ่งไม่รู้ว่าเป้าหมายคือที่ไหน แบคฮีชำเลืองมองคนข้างกายที่ยังคงทำตัวสบาย ๆ เหมือนว่าเหตุการณ์นี้มันไม่แปลก ...ซึ่งก็อาจเป็นอย่างนั้นถ้าหากว่าเรื่องเล่าทั้งหมดที่ได้ยินมาเป็นเรื่องจริง
ปาร์คชานยอลคือเสือผู้หญิงที่ชอบฟันนักเรียน
“ไม่ต้องหาโรงแรมนะ หนูเปิดห้องไว้แล้ว ...โอ๊ย!” แบคฮีมองค้อนอาจารย์หนุ่มที่ดึงแก้มเธออย่างแรง
“แก่แดด”
“อาจารย์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าหนูนักหรอก”
“แต่งตัวแบบนั้นไม่กลัวถูกลากไปรุมโทรมหรือไง?”
“กลัวอะไรในเมื่อคนที่ลากหนูออกมาก็คืออาจารย์” เด็กสาวย้อนถามอย่างไม่กลัว ชานยอลจึงชำเลืองมองเจ้าของความดื้อที่ทั้งน่ามันเขี้ยวและน่าดุในเวลาเดียวกัน
“ถ้าอยากเที่ยวกลางคืนก็ควรระวังตัวให้มากกว่านี้”
“อาจารย์คิดว่าตัวเองเป็นใคร ครูที่ปรึกษาก็ไม่ใช่ พ่อแม่ยังไม่บ่นขนาดนี้เลย”
“คุณอยากให้ผมโทรหาท่านหรือเปล่าล่ะ?”
“โทรสิ” เด็กสาวโยนสมาร์ทโฟนใส่หน้าขาอีกฝ่ายก่อนจะสบตากัน “โทรให้ตายยังไงพ่อก็ไม่สนใจหรอกว่าหนูอยู่ไหน”
“...ฮะ” แบคฮีขมวดคิ้วเมื่ออยู่ ๆ อาจารย์หนุ่มก็หลุดขำพร้อมเลื่อนหน้าจอมือถือของเธอเล่น
“มีอะไรน่าขำ?”
“ทำตัวเป็นเด็กใจแตกแล้วคิดว่าจะเอาชนะโลกนี้ได้หรือไง?”
“หนูไม่ได้คิดจะเอาชนะใคร หนูก็แค่อยู่กับสิ่งที่ทำให้มีความสุข”
“อย่างเช่นอะไรล่ะที่คุณเรียกว่าความสุข?” ชายหนุ่มยังคงให้ความสนใจอยู่กับโทรศัพท์มือถือของเด็กสาวขณะที่รถกำลังจอดติดไฟแดง แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเสียงหัวเข็มขัดก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงรูดซิปกางเกง
“แบบนี้มั้ง”
CUT
(Welcome To Malinworld อีกแล้วเหรอวะ)
TBC
คิดว่าจะเขียนหลายตอน เห็นมีคนบอกว่าอยากได้ครูพละกับเด็กหงิญแบคฮีก็จัดให้เรย เบา ๆ ก่อนนะ ถ้าแรงกว่านี้เด่วรถโยกเยกเอยน้ำท่วมเมฆกระต่ายลอยคลอง
ความคิดเห็น