คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : INTRO
INTRO
‘Doppelgänger เป็นความเชื่อในตำนานที่เล่าขานต่อ ๆ กันมา
Doppel มีความหมายเดียวกับคำว่า Double แปลว่า ‘ซ้ำสอง’ ส่วนคำว่า ‘Gänger’ หมายถึง ‘Goer’ มีคำเรียกอีกอย่างว่า Evil Twin (แฝดปีศาจ) หรือ Bilocation (การปรากฏตัวในสองสถานที่) ซึ่งมีที่มาจากการเล่าขานพื้นบ้านของเยอรมัน
ดอพเพลแกงเกอร์ถือเป็นสัญญาณของความโชคร้าย ความเจ็บป่วยหรือภยันตราย มันจะเกิดขึ้นหากเพื่อนหรือเครือญาติได้พบเจอ และการพบเห็นดอพเพลแกงเกอร์นั้น...จะนำมาซึ่งความตาย
ตามตำนานที่เล่าขานกันต่อ ๆ มา ดอพเพลไม่ใช่เงาธรรมดาที่เกิดจากแสงแดด หรือแสงสิ่งอื่นใดที่ฉายมาถูกตัว เขาไม่มีเงาสะท้อนในกระจกหรือผืนน้ำ เป็นเพียงแค่ภูตเงาที่ไม่มีใครมองเห็น
ดอพเพลจะยืนอยู่ข้างหลังเจ้าของตลอดเวลา มีความว่องไวในการหลบหลีกสูง ต่อให้หันหลังกลับไปเร็วยังไงก็ไม่มีทางมองเห็นได้ อีกทั้งยังเลียนแบบการกระทำทุกอย่างได้เหมือนเจ้าของได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้า การเลียนเสียง ไปจนถึงการพูด เสียงจะคล้ายกับเจ้าของจนเหมือนถูกดูดกลืนเข้าไปด้วยกัน
เคยมีคนกล่าวไว้ว่าดอพเพลแกงเกอร์ คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเงานี้พร้อมจะเป็นเพื่อนที่ดี และคอยรับฟังคำพูดเจ้าของทุกอย่าง แม้ว่าคำเหล่านั้นจะเป็นคำพูดที่ไม่มีใครอยากฟัง
ดอพเพลตอบคำถามที่อาจจะไม่มีใครอยากตอบ โดยการสร้างรอยพิมพ์คำเหล่านั้นไว้ในจิตใต้สำนึกหรือด้วยวิธีการซึมเข้าสู่ทางร่างกายด้วยวิธีไหนวิธีหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งเราสามารถรอดจากอุบัติเหตุมาได้อย่างเฉียดฉิว คนสมัยก่อนอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะดอพเพลแกงเกอร์พุ่งออกไปเร็วกว่า และหยุดร่างของตัวจริงไว้ได้อย่างทันท่วงที
หมากับแมวมีสัญชาตญาณที่ทำให้เห็นเงาที่เป็นรูปร่างของเรา และมันเป็นเหตุผลที่ทำให้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้เกิดตาวาวตอนมองข้ามไหล่เราไปข้างหลัง ราวกับว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้น หรือบางครั้งหมาที่เลี้ยงเอาไว้ อาจจะลุกขึ้นมาเห่าไล่หลังเจ้าของของมันอย่างน่าประหลาด
ตำนานดอพเพลแกงเกอร์ ฟังดูแล้วก็คงไม่ต่างจากเพื่อนที่ดีของมนุษย์ใช่ไหมล่ะ? แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ยังมีอีกด้านหนึ่งที่ใครหลายคนยังไม่รู้ ว่าถ้าเงานั้นได้รับแรงกระทบจากความอาฆาตแค้น ความพยาบาทของเจ้าของ มันอาจจะทิ้งตัวจริงไปสักช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อไปจัดการเรื่องบางอย่างด้วยตัวของมันเอง โดยที่ตัวจริงไม่รู้ตัวเลยสักนิด เช่นการออกไปก่อคดีต่าง ๆ เพื่อแก้แค้นโดยอาศัยรูปลักษณ์ส่วนตัวของตัวจริง
และมันเป็นคำตอบว่าทำไมถึงมีคนเห็นตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งที่คนเป็นตัวจริงนั้นอยู่อีกสถานที่หนึ่ง
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ... แทนที่จะออกไปจัดการเรื่องเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่มันอาจบีบบังคับให้ตัวจริงคิด และทำในสิ่งที่มันต้องการ โดยผิดวิสัย ผิดลักษณะความเป็นตัวตนอย่างที่เจ้าตัวหาคำตอบไม่ได้
ความเชื่ออีกอย่างได้บอกไว้ว่า... มนุษย์ทุกคนบนโลกมีฝาแฝดของตนอยู่ หากคนนั้นเป็นคนดี ฝาแฝดก็จะชั่วร้าย และถ้าคนนั้นเป็นคนไม่ดี ฝาแฝดก็จะเป็นไปในทางกลับกัน ซึ่งการที่ฝาแฝดทั้งสองคนได้มาพบกันนั้น...
ก็จะส่งผลให้ทั้งคู่ต้องพบกับจุดจบของชีวิต’
credit :: http://board.postjung.com/656566.html
“เพ้อเจ้อ”
“เฮ้ย นี่เรื่องจริงนะโว้ย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
แบคฮยอนส่ายหน้าหน่าย ๆ จนถึงตอนนี้จื่อเทาก็ยังทำหน้าจริงจังเหมือนห้านาทีก่อนหน้านี้ จงอินกับเซฮุนทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกว่าปล่อยให้มันเพ้อไปเถอะ เรื่องตำนานดอพเพลแกงเกอร์อะไรเนี่ยก็แค่เรื่องเล่าที่เขาเคยได้ยินตั้งแต่สมัยมัธยมเท่านั้นแหละ
“จงอิน มึงว่าไง”
“นั่น... ลามมาถึงมึงแล้วว่ะ” เซฮุนหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าจงอิน หลังจากจื่อเทาเปลี่ยนประเด็นมาทางนี้
“กูเชื่อมึงเพื่อน”
“เยี่ยม นี่สิเพื่อนแท้” จงอินแบมือรอให้อีกคนชกมาทั้งที่ก้มหน้ากินข้าวอยู่ จื่อเทายิ้มพอใจ พอมีคนเข้าข้างแล้วก็นึกฮึดมีแรงอยากเล่าเรื่องนี้ต่อ
“พวกมึงเคยได้ยินเรื่องรุ่นพี่โบอาสาวฮอตเอกท่องเที่ยวป่ะวะ?”
“เออ ที่ตัวเล็ก ๆ หน้าสวย ๆ ใช่ไหม?” เซฮุนชี้หน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้หญิงสวยแบบนั้นใครจะไม่เคยรู้จัก
“เธอตายแล้วนี่?” แบคฮยอนว่า พอเป็นเรื่องนี้แล้วก็นึกสนใจขึ้นมา เพราะเขายังจำได้ดีถึงเหตุการณ์สยองขวัญเมื่อปีที่แล้ว กับการเห็นเธอโดดลงมาจากดาดฟ้าตึกสูงเจ็ดชั้นจนร่วงมาสู่พื้นกับตานั่นน่ะ เป็นอาทิตย์เลยล่ะที่เด็กในมหาลัยพากันผวาจนไม่กล้าเข้าไปเรียนตึกนั้น
“ใช่ แต่กูไปแอบรู้เบื้องลึกมา ไอ้ห่า พูดแล้วขนลุกเลย” จื่อเทาลูบแขนป้อย ๆ และจงอินกับเซฮุนก็ไม่ได้ขัดจังหวะคนกำลังอินกับเรื่องเล่า
ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในร้านอาหารที่อยู่ห่างจากมหาลัยประมาณหกบล็อก หลังจากหมดคาบเรียนในวันนี้แล้ว การกินข้าวก่อนแยกย้ายกันกลับไปนอนคือสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาอยากทำในวันนี้
“ทำไม มีคนเห็นวิญญาณเธอยืนอยู่บนนั้นหรือไง” เซฮุนถามพร้อมชี้ไปยังถ้วยข้าวของจื่อเทาที่พร่องไปแค่นิดเดียว เป็นเชิงบอกให้กินบ้าง อย่าเอาแต่โม้อยู่นั่น
“ไม่ใช่เว้ย คืองี้” จื่อเทาตักข้าวเข้าปากเต็มคำแล้วรีบเคี้ยว “เมื่อคืนกูไปกินเหล้ากับเพื่อนเอกอื่นแล้วมันพารุ่นพี่มาด้วย พี่เขาเลยเล่าให้ฟังว่าก่อนพี่โบอาจะโดดตึกตายน่ะ ก่อนหน้านั้นมีคนเห็นเธออยู่อีกที่หนึ่งว่ะ”
“หา?”
“ใช่” จื่อเทายกยิ้ม จนถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังคงนั่งเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้เพื่อนคุยกันต่อไป “ดอพเพลแกงเกอร์ไง”
“โหสัด พูดมาตั้งยาวก็ยังวกกลับไปเรื่องนั้นได้นะ” จงอินปั้นหน้าเซ็ง ส่วนแบคฮยอนก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วมองออกไปนอกกระจกร้าน ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบใครคนหนึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามในชุดโทนสีดำทั้งหมด
ผู้ชายคนนั้นที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี และกำลังมองมายังเขา...
“มึงจะไปไหนวะแบคฮยอน?” เจ้าของชื่อไม่ตอบคำถาม ร่างเล็กลุกจากเก้าอี้แล้วผลักประตูร้านออกไปข้างนอกทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากชายชุดดำคนนั้น
รถบนถนนยังคงวิ่งผ่านไปมา แบคฮยอนหรี่ตามองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาเห็นว่าเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยกำลังยกยิ้มมุมปากขณะมองมาทางนี้ ซึ่งแบคฮยอนคงไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคือปาร์คชานยอล...คนรักของเขา
ร่างเล็กก้มลงกดเบอร์โทรออก รอเพียงแค่ครู่เดียวก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อรถเมล์ขับเทียบจอดฟุตปาธฝั่งตรงข้ามจนทำให้เขามองไม่เห็นอีกฝ่ายแล้ว
( ฮัลโหล... )
“ชานยอลเหรอ ทำอะไรอยู่”
( เรียนอยู่ครับ มีอะไรหรือเปล่า... )
เสียงของคนปลายสายคล้ายกระซิบ แบคฮยอนรู้ว่าการโทรหาคนรักในเวลาเรียนนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่ด้วยความสงสัยที่เกิดขึ้นเลยอยากโทรมาถามให้แน่ใจ แต่พอได้ยินเสียงชายแก่แทรกเข้ามาในสายและพูดถึงเนื้อความเกี่ยวกับกฎหมายมาตราที่ 1438 ถึงเรื่องการหมั้นหมายไม่สามารถร้องขอศาลให้บังคับสมรสได้ หรืออะไรสักอย่างที่แบคฮยอนไม่ค่อยเข้าใจนัก และนั่นก็เป็นคำตอบได้แล้วว่าเขามองผิดคน
แต่ผู้ชายคนนั้น...เหมือนชานยอลจริง ๆ นะ
รถเมล์เคลื่อนตัวออก คนตัวเล็กชะโงกหน้ามองไปยังผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง แต่ก็ได้คำตอบกลับมาเป็นความว่างเปล่า เมื่อที่ตรงนั้น...ไม่มีใครยืนอยู่แล้ว
( แบคฮยอน... ฮัลโหล )
“อะ...อ้อ...ไม่มีอะไร ขอโทษที่โทรมากวน ไว้เจอกันตอนเย็นนะ”
ชานยอลคงไม่โกรธหรอกที่เขากดวางสายไปซะดื้อ ๆ แบบนี้ เพราะถ้าผู้ชายคนนั้นจะโกรธก็คงมีเหตุผลอยู่ไม่กี่อย่าง เช่นการที่แบคฮยอนโดดเรียนบ่อย ๆ กับเรื่องไม่ชอบอ่านหนังสือก่อนสอบ
ร่างเล็กส่ายหัวไล่ความคิดแล้วกลับเข้าไปในร้านอาหาร เขาเห็นว่าเพื่อนแต่ละคนกำลังมองมาทางนี้เหมือนรอคำอธิบาย แม้แต่ตอนที่เขานั่งลงแล้วหยิบช้อนขึ้นมา พวกมันก็ยังไม่เลิกจ้อง
“เป็นอะไร”
“เมื่อกี้ตาฝาด คิดว่าคนที่ยืนรอรถเมล์ฝั่งนั้นคือแฟนกูอะ” แบคฮยอนตอบตามความจริง เขารู้ว่าต่อให้พยายามเลี่ยงที่จะอธิบายแค่ไหนไอ้พวกเวรนี่ก็ต้องซักไซ้เอาจนได้อยู่ดี
“แฟนมึงเรียนอยู่ไม่ใช่ไง”
“เออ ก็ถึงงงว่าจะไปอยู่ตรงนั้นได้ไง กูคงจำคนผิดแหละ” แบคฮยอนไหวไหล่แล้วกินข้าวต่อ
“หน้าแฟนมึงโหลขนาดนั้นเลยเหรอวะเพื่อน” จงอินว่า
“หน้าโหลหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าจะให้ชัวร์ต้องดูหูไว้ก่อน” ทันทีที่เซฮุนพูดจบจื่อเทาก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนในร้านมองมาทางนี้เป็นตาเดียวกัน
“หรือบางทีมึงอาจจะคิดถึงแฟนมากเกินไป จนมองไปทางไหนก็เห็นเป็นหน้ามันไปหมด” จงอินยังคงไม่หยุด และคิดว่าไอ้สองคนที่เหลือก็เช่นกัน แบคฮยอนก้มหน้ากินข้าวแล้วปล่อยให้หมาเห่าต่อไป แต่ไหนแต่ไรแล้วที่เขามักจะตกเป็นประเด็นให้เพื่อนล้อ ทั้งเรื่องแฟนและเรื่องส่วนสูง
“หกเดือนแล้วปะวะ ยังไม่เลิกเห่ออีกเหรอ” จื่อเทาถาม ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เขาเห็นแบคฮยอนคบกับใครสักคนนานขนาดนี้ ปกติไม่ถึงเดือนสองเดือนก็เลิก
“เรียกว่าเห่อไม่ได้ดิ ถามว่าตั้งแต่คบกันมามันเจอกันแล้วกี่ครั้ง”
คำพูดของเซฮุนเหมือนหอกที่ทิ่มลงกลางอกคนตัวเล็ก มันคืออีกเรื่องที่เป็นปัญหาของเขาในตอนนี้ คือการที่คบกับแฟนมาครึ่งปีแล้ว แต่เราได้เจอกันอาทิตย์ละครั้งสองครั้งเท่านั้น ไหนจะช่วงหลัง ๆ ที่ชานยอลเรียนหนัก เราเลยได้เจอกันสองอาทิตย์ครั้งนึง แถมเวลาที่อยู่ด้วยกันในวันนั้นก็สั้นเหลือเกิน
แบคฮยอนไม่อยากงี่เง่า เพราะตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายเข้าหาชานยอลก่อนตั้งแต่แรกเริ่ม ผู้ชายคนนั้นตรงสเป็คทุกอย่าง ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เป็นคนจริงจังมีเหตุผล พูดง่าย ๆ คือเขาอยากได้แฟนดี ๆ สักคน โดยที่ไม่ต้องมากังวลว่าจะถูกนอกใจเมื่อไหร่นั่นแหละ
แต่รู้อะไรไหม? ถึงจะต้องการคนดีแบบนั้น แต่บยอนแบคฮยอนก็รู้สึกว่าระหว่างเขากับปาร์คชานยอลยังมีช่องว่างที่ยังไม่ถูกเติมเต็มเข้าไป ช่องว่างที่ทำให้คิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่ฝ่ายเดียวจนเกิดเป็นความทุกข์ใจเวลาอยู่ตามลำพัง
“ได้กันยัง”
“ยัง”
“ว้อท? ป่านนี้แล้วมึงมัวทำการใดอยู่วะเพื่อน” หนุ่มชาวจีนเลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกคนจะลืมเรื่องตำนานบ้าบอแฝดปีศาจที่หวงจื่อเทาพูดไปหมดแล้ว และหันมาสนใจกับเรื่องความรักเปลี่ยว ๆ ของเพื่อนสนิทตัวเล็กแทน
“แฟนมันเป็นเทพบุตร ใคร ๆ เขาก็รู้กันทั้งแผ่นดิน” จงอินว่า
“ทำไม คบกันก็ไม่จำเป็นต้องมีเซ็กส์ป่ะวะ” พอได้ยินอย่างนั้น ทั้งสามหนุ่มก็ทำตาโตแล้วปรบมือพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
แบคฮยอนอยากให้ไอ้พวกหอกหักหยุดพูดเรื่องทิ่มแทงใจเขาสักที ยอมรับก็ได้ว่าที่พูดออกไปก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก แบคอยอนก็สงสัยเหมือนไอ้เทานั่นแหละ ว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชานยอลถึงไม่คืบหน้าไปไหนเลย
มันก็ถูกอย่างที่ปากพูดด้วยว่าคบกันไม่จำเป็นต้องมีเซ็กส์ เรื่องที่ชานยอลเป็นคนให้เกียรติแฟนทุกอย่างนี่แบคฮยอนโคตรจะซึ้งใจเลยแหละ แต่เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำให้คิดว่าเรามีช่องว่างระหว่างกันมากเกินไป เลยทำให้รู้สึกว่าบางทีเซ็กส์อาจจะช่วยเติมเต็มให้ได้ โอเค...มันอาจจะเป็นความคิดโง่ ๆ ซึ่งถ้าบยอนแบคฮยอนฉลาด ก็คงไม่มานั่งเครียดเพราะมีแฟนแสนดีสุด ๆ แต่ไม่ค่อยมีความสุขแบบนี้หรอก
“เป็นอะไร หน้าหงิกเชียว”
แบคฮยอนหลุดออกจากความคิดเมื่อถูกเรียวนิ้วของคนข้าง ๆ เขี่ยจมูก พอหันไปก็เห็นรอยยิ้มของแฟนหนุ่มหน้าหล่อที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คขายาวสีดำเข้ารูป แน่นอนว่ามันต่างกับผู้ชายคนนั้นที่เขาเห็น มันเป็นสิ่งยืนยันได้แล้วว่าวันนี้แบคฮยอนจำผิดคน
“ง่วง ๆ น่ะ เมื่อคืนนอนน้อย” เปล่าหรอก ความจริงแล้วคนตัวเล็กก็แค่นอยด์ที่เดทวันนี้ของเรากำลังจะจบลงแล้วก็เท่านั้น
บนรถเมล์ที่เราเลือกที่จะนั่งแถวเกือบหลังสุด มุมที่ไม่มีใครอยากสนใจว่าใครจะทำยังไง หนังที่เพิ่งดูจบไปก็ไม่ได้สนุกมากมาย แต่ชานยอลก็ยอมมาดูด้วยเพราะเขาชวน
“เหรอ แล้วปวดหัวไหม?” รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปและแทนที่ด้วยความกังวล แบคฮยอนรู้สึกได้ถึงแววตาคู่นั้นที่มองมาด้วยความเป็นห่วง ชานยอลเป็นแบบนี้เสมอ ใส่ใจเขาทุกอย่างจนอดคิดไม่ได้เลยว่าชีวิตนี้จะได้เจอคนแบบนี้อีกหรือเปล่า
“ปวด มากด้วย” พูดจบก็เอนไปซบกับไหล่คนตัวสูง ชานยอลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางมองศีรษะทุยของคนขี้อ้อน
“ไหวไหม ฉันมียาแก้ปวดกับน้ำเปล่าในกระเป๋า”
“ไม่ไหว ชานยอลต้องอยู่ดูแลฉันนะ” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของอีกคน ชานยอลยีหัวร่างเล็กก่อนจะเลื่อนลงไปหยิกแก้มเบา ๆ
“ครับ จะอยู่ด้วยจนกว่าแบคฮยอนจะหลับเลย”
ประโยคนี้ทำให้คนคิดมากใจชื้นขึ้นมาได้ แทบลืมไปแล้วว่าเมื่อตอนกลางวันรู้สึกยังไงกับการที่ต้องนั่งฟังเพื่อนพูดถึงสัจธรรมของการมีแฟนแสนดีแต่ไม่มีเวลาให้และสุดท้ายก็ต้องมานั่งทนเหงาอยู่คนเดียว เพื่อรอรับการเยียวยาจากผู้ชายคนนี้อาทิตย์ละครั้ง
แบคฮยอนชอบให้ชานยอลสกินชิพ ชอบเวลาถูกกอด ถูกหอมแก้ม แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นมันเยียวยาความรู้สึกแย่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นไปได้
“พูดเล่นน่า ส่งฉันถึงหอแล้วก็รีบกลับไปอ่านหนังสือเถอะ พรุ่งนี้มีสอบย่อยนี่”
“แฟนไม่สบายจะให้กลับเลยได้ไง” ร่างสูงจูบกลุ่มผมสีบรอนด์สว่างของคนรัก ชานยอลรู้ว่าแบคฮยอนชอบให้เอาใจแบบไหน เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าไม่ค่อยมีเวลาให้แฟนมากนัก
“ก็บอกว่าพูดเล่น เดี๋ยวก็งี่เง่าไม่ให้กลับบ้านจริง ๆ ซะหรอก” ร่างสูงหัวเราะในลำคอ กับคำพูดทีเล่นทีจริงของคนรัก แต่เขาก็อยากให้แบคฮยอนเข้าใจว่าการสอบมันสำคัญ ซึ่งเขาไม่สามารถปล่อยผ่านโดยไม่อ่านหนังสือไม่ได้
“ฉันรู้ว่าแบคฮยอนจะไม่ทำแบบนั้น”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะแบคฮยอนรักชานยอลไง” ผู้ชายจริงจังอย่างชานยอลก็มีมุมนี้ด้วยนะ แต่ไม่บ่อยนักหรอกที่แบคฮยอนจะมีโอกาสได้อมยิ้มกับประโยคขี้อ้อนของคนข้าง ๆ
“มั่นใจจังนะ”
ร่างเล็กมองมือตัวเองที่กำลังสอดประสานกับเรียวนิ้วของมืออีกคน เรื่องของเขาทั้งคู่มันดีเสียจนไม่อยากให้วินาทีนี้ผ่านไป และปล่อยให้ความเหงาเข้ามาแทนที่เมื่อเราต้องแยกกันกลับ
ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีเพียงแค่แสงจากหลอดไฟตามทางเท่านั้นที่ให้ความสว่างตามระเบียงทางเดินของหอพัก ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าประตูห้อง ร่างสูงล้วงกระเป๋ากางเกงมองคนรักที่กำลังไขกุญแจเข้าไปข้างใน หลังจากเดทสั้น ๆ วันนี้สิ้นสุดลง
“ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วย” ชานยอลยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ
ร่างเล็กยืนพิงไหล่ลงกับขอบประตูพลางกอดอกมองคนรักที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าก้าวหนึ่ง เปลือกตาค่อย ๆ หลับลงเมื่อชานยอลโน้มใบหน้าลงมา และปล่อยให้ริมฝีปากเผยอรับรสจูบที่อีกคนมอบให้
“ฉันรักนาย”
“ฉันก็รักนาย”
คำบอกรักที่เหมือนพูดจนเคยชิน บอกตามตรงว่าแบคฮยอนไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกินใจแม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้สึกอย่างนั้นอยู่ โลภมาก... เขาอยากให้ปาร์คชานยอลพูดอะไรมากกว่านั้น หรือไม่ก็ดันร่างของเขาเข้ามาในห้อง แล้วกอดจูบกันอย่างดูดดื่มก็ได้
แต่ชานยอลเพียงแค่ยิ้มพร้อมลูบแก้มคนตัวเล็กอย่างเบามือ บยอนแบคฮยอนชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าเขาชอบผู้ชายอ่อนโยนและดูเป็นสุภาพบุรุษในทุกเรื่องจริง ๆ หรือ ในเมื่อบางครั้ง เขาก็อยากให้ผู้ชายคนนี้แสดงด้านดิบออกมาบ้าง เพื่อเพิ่มรสชาติให้ความรักของเรา
ร่างเล็กมองตามแผ่นหลังคนตัวสูงที่เดินออกไปแล้ว เขาเพียงแค่ยิ้มและโบกมือลาตอนที่อีกฝ่ายหันกลับมามองเป็นระยะ ซึ่งมันบ่งบอกได้ถึงความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของชานยอลอีกเรื่อง แต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี...
ไม่พอ...
คืนนั้นไอ้เทาโทรนัดไปเที่ยวและแบคฮยอนก็ไม่ปฏิเสธ เพราะการออกไปดื่มเหล้ามันคงดีกว่าการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในหอคนเดียวเป็นไหน ๆ อย่างน้อยที่นั่นก็ยังมีเพื่อนกับเสียงเพลงที่จะทำให้ความเหงาในใจหายไป
ไม่บ่อยนักหรอกที่เขาจะมาสถานที่แบบนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องนั่งเมานอนเมาอยู่บ้านไอ้จงอินก็อีกเรื่องนึง ไอ้เทาบอกว่าวันนี้อยากเปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งเพื่อนทุกคนก็พอจะเข้าใจว่าเปลี่ยนบรรยากาศของมันคือการมาเที่ยวแล้วลากสาวกลับบ้านไปด้วย
“ออกมากับพวกกูงี้ขออนุญาตแฟนยัง”
“ไอ้ห่านี่ก็แซะจังเลย อยู่วงเหล้าห้ามพูดเรื่องซีเรียสดิครับ มึงดูหน้าแบคฮยอนด้วย จะสำลอกดราม่าออกมาเต็มทีละกูว่า” เซฮุนมองคาดโทษจงอินก่อนจะคว้าเอาแก้วเพื่อนตัวเล็กไปชงให้ใหม่
“ถ้าบอกไปเขาคงไม่มีสมาธิอ่านหนังสืออะ กูเป็นแฟนที่ดีนะเว้ย มึงเข้าใจป่ะ” แบคฮยอนทุบอกตัวเองเบา ๆ และภาพที่เห็นมันทำให้เพื่อนอีกสามคนอดหัวเราะไม่ได้ กับการที่เพื่อนตัวเล็กเริ่มพูดมากขึ้นเพราะน้ำเปลี่ยนนิสัย
“ถ้ากูเป็นมึง กูจะแกล้งเมาแล้วโทรตามให้มันมารับ แล้วหลังจากนั้นก็จับแม่งกดลงเตียง”
“มึงพูดดี เซฮุน” แบคฮยอนชี้หน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนที่จงอินจะช่วยจับขาเอาไว้ เมื่อร่างเล็กเสียการทรงตัวจนเกือบล้มลงไปนั่งที่เดิม
“ไหวเปล่ามึง” จื่อเทาถามเพราะทนมองสภาพเพื่อนไม่ไหว นึกอยากจะด่าไอ้เซฮุนเหลือเกินที่ชงเหล้าให้มันหนัก ๆ อย่างไม่หยุดมือ จริงอยู่ที่แบคฮยอนไม่ใช่คนคออ่อน แต่โดนเหล้าครึ่งแก้วไปหลายเม็ดแบบนั้นก็หมอบได้อยู่
“เดี๋ยวกูมา”
ร่างเล็กยิ้มแล้วเดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำ เสียงเพลงในผับยังคงดังก้องอยู่ในหู ไหนจะเสียงพูดคุยของคนรอบข้างที่เคยน่ารำคาญตอนที่เขายังมีสติอยู่ครบถ้วน แต่บัดนี้มันกลับเป็นเหมือนส่วนประกอบอย่างหนึ่งที่คู่ควรกับเสียงเพลง
แบคฮยอนชอบตัวเองเวลาเมา เพราะเหล้าสามารถจัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ในใจไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง
ใครจะสนใจว่าเขาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปแล้วกี่นาที ไอ้เพื่อนเวรนั่นคงแยกย้ายกันไปจีบคนที่เล็ง ๆ เอาไว้จนลืมไปแล้วว่ายังมีใครอีกคนที่เกือบหาทางออกจากห้องน้ำไม่เจอ ร่างเล็กเดินไถตัวเองออกมาตามผนังพลางทอดสายตาไปยังผู้คนจำนวนมากที่กำลังสนุกไปกับเพลงที่ชวนให้อยากเดินเข้าไปร่วมเต้นด้วย
แบคฮยอนแทรกตัวเข้าไปยืนปนอยู่กับวัยรุ่นหนุ่มสาวที่กำลังเต้นอยู่ ในทีแรกคนตัวเล็กเพียงแค่ผงกหัวช้า ๆ ก่อนจะเริ่มขยับตัวไปตามจังหวะ ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกเหมือนกำลังทำเรื่องโง่ ๆ อยู่ ยกตัวอย่างเช่นการที่ยืนเต้นอยู่ตรงนี้คนเดียวโดยที่ไม่มีใครสักคนมานัวเนียเหมือนคู่อื่น ๆ หรือแม้แต่การนั่งให้เพื่อนมอมเหล้าอยู่บนโต๊ะเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจในความรัก นั่นก็โง่เหมือนกัน
อยากงี่เง่า โทรไปงอแงให้แฟนรู้ว่ากำลังเมานะ แต่นั่นมันก็คงน่าสมเพชเกินไปถ้าเกิดชานยอลมาถึงที่นี่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เพราะความเป็นห่วง แล้วก็พาเขาไปส่งที่หอก่อนจะกลับบ้านตัวเองไปพร้อมอารมณ์ขุ่น รู้เลยว่าพรุ่งนี้ต้องถูกตึงใส่
บ้าจริง ๆ
“...!!!”
ร่างเล็กเซไปทางด้านข้างเพราะถูกชายคนหนึ่งถอยมาชน แต่โชคดีที่มีใครคนหนึ่งคว้าตัวเขาจากข้างหลังไว้ได้ทัน แบคฮยอนถึงไม่ล้มลงไปกับพื้นจนถูกเหยียบท่ามกลางผู้คนมากมาย
ร่างเล็กเอี้ยวหน้าหันกลับไป สิ่งแรกที่มองเห็นคือแสงแวววับของไฟพาร์หลากสีที่กำลังฉายไปทั่วฟลอร์ และตามด้วยใบหน้าของคนคุ้นเคยที่คิดว่าต่อให้โลกจะแตกหรือเอาช้างไปลาก ผู้ชายคนนั้นก็ไม่น่าจะอยู่ที่นี่
“ชานยอล?”
เจ้าของชื่อไม่ได้ขานตอบ ตอนนี้สมองของคนตัวเล็กทำงานบกพร่องเหลือเกิน แบคฮยอนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของเหล้าหรือเปล่า เขาถึงได้เห็นรอยยิ้มของชานยอลต่างไปจากทุกครั้ง ทั้งรอยยิ้ม การแต่งตัว ไปจนถึงทรงผมที่เซ็ทตั้งเปิดจนเห็นหน้าผาก แล้วไหนจะมือใหญ่ทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเอวนี่อีกด้วย
“มาได้ยังไง”
ร่างของเราสองคนไม่ได้อยู่นิ่งเฉยเมื่อวงแขนแกร่งตวัดกอดรอบเอวเขาจากข้างหลัง แบคฮยอนเอนหลังพิงกับอกแกร่งพร้อมคลอเคลียปลายคางของคนตัวสูง แล้ววางมือลงบนแขนแกร่ง
“หายตัวมาน่ะ”
เสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหูนั้นจั๊กจี้เป็นบ้า แบคฮยอนอมยิ้มก่อนจะหันไปสบตากับคนตัวสูงที่ใบหน้าห่างกันเพียงแค่ช่วงหายใจ เห็นชานยอลอยู่ที่นี่ว่าแปลกแล้ว แต่การที่มือไม้แกร่งกำลังเลื่อนลงต่ำจนวางอยู่บนสะโพกเขานี่สิแปลกกว่า
“โกรธไหมที่ฉันไม่ได้บอกว่าจะมาเที่ยว”
“โกรธสิ”
“เหรอ แล้วทำไงดีล่ะ?” แบคฮยอนกระซิบกลับ เขาจงใจให้ปลายจมูกคลอเคลียสันกรามอีกคนก่อนจะกลับมาสบตาอย่างในทีแรก
หนุ่มนิติหน้าหล่อไม่ได้ตอบอะไรกลับมา นาทีนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าปาร์คชานยอลยอมทิ้งหนังสือเรียนและมาหาเขาได้ยังไง ทุกครั้งที่กระพริบตา แบคฮยอนรู้สึกว่าคนคุ้นเคยตรงหน้าเป็นใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักมาก่อน
ลมหายใจร้อนผ่อนออกตามจังหวะ เมื่อริมฝีปากถูกไล้ด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือ แบคฮยอนปรือตามองคนรักที่เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเขาแทบชนกัน ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำนั้นจะทำให้เขาใจเต้นแรงเพราะคำพูดประโยคนี้...
“นายไม่อยากรู้หรอกว่าถ้าทำให้ฉันโกรธแล้วเป็นยังไง...บยอนแบคฮยอน”
CUT
TBC
ในไบโอนะ... (กระซิบ)
ความคิดเห็น