ยิ้มทั้งที่รู้ว่ามีน้ำตา มันทรมานดีนะ
เวลาที่เรามีทุกข์ แล้วมีอีกทุกข์เข้ามาเพิ่ม
เหมือนมันกำลังทดสอบภูมิต้านทาน ในตัวเรา
ว่ามีกำลังต่อต้านกับมันได้มากแค่ไหน
คุณเคยรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของสิ่งรอบข้างบ้างไหม
ยืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่มีใครมองเห็น
พยายามร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากใครสักคน แต่ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เราพูด
เอื้อมมือสัมผัสใครไม่ได้สักคน ทั้งที่เค้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม
น้ำตาที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้ม สักวันจะมีคนมองเห็น ฉันบอกตัวเองแบบนี้เสมอ
และบนความแน่นอน ก็แฝงไว้ด้วยความไม่แน่นอนเช่นกัน
วันนี้ฉันควรจะเลิกศรัทธากับสิ่ง ๆ หนึ่งดีหรือเปล่า
เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ใครหลายคนมักทำให้ฉันเห็นว่า
ศรัทธา มักจะถูกวางไว้ใกล้ ๆ กับอารมณ์วูบหนึ่งเสมอ
คนเรามักยอมโยนมันทิ้งเพื่อหันไปตอบสนอง
ความต้องการครอบครองในบางสิ่ง บางอย่างเท่านั้น
ฉันแค่รู้สึกว่าไม่อยากต่อสู้กับความเลวร้ายเหล่านั้น
ฉันไม่มีภูมิต้านทานมากพอที่จะยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้นได้อีก
ฉันกำลังต่อต้านกับความศรัทธาที่ตัวเองเคยมี หรือว่าวันนี้ฉันต้องบอกตัวเองใหม่ว่า
สิ่งที่ฉันศรัทธามันไม่เคยมีอยู่จริงเลยสักครั้ง และไม่มีวันจะเกิดขึ้นจริง
**สักวันฝันร้ายจะหายไป เพียงแต่ว่าเธอต้องรู้จักปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องเยียวยาบางสิ่งหากความจริงที่เธอต้องการค้นหา มันเป็นเรื่องยากเย็นนัก วันนี้ก็ลองปรับตัวเข้าหาสิ่งไม่จริงดูบ้าง เผื่อว่าบางทีเธออาจจะพอใจ และ สุขใจกับสิ่งไม่จริงเหล่านั้นก็ได้**
**วันนี้ฉันก็แค่ไม่มีความสุขกับสิ่งที่ฉันพยายามจะเริ่มต้น และคิดว่าจะทำมันได้ดีกว่านี้แต่แล้วสุดท้ายฉันก็ต้องกลับมาพึ่งพาเก้าอี้ตัวเดิมอีกเช่นเคย ท้องฟ้าที่เคยคิดว่าสักวันมันจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้บ้าง แต่ที่สุดแล้วมันก็จะยังคงเป็นสีเทาไปตลอดกาลเช่นกันขอบคุณสายลมบางเบา ที่ได้พัดพาความสุขวูบหนึ่งมาให้คนทางนี้ ได้พอรับรู้ว่าสายลมมันอบอุ่นเพียงใด**
**จากนี้ฉันจะใช้ชีวิตแบบเดิม พยายามรักตัวเองให้มากกว่าการพยายามไปรักคนอื่นท้องฟ้าจะเป็นสีเทาตลอดกาลหรือไม่ อย่างน้อยฉันก็เคยได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นสีฟ้าแม้จะเนิ่นนานมามากแล้ว แต่ฉันยังจำสีของท้องฟ้านั้นได้ดีไม่เคยลืม ถึงแม้ว่าเจ้าของท้องฟ้าเค้าจะเดินทางไปถึงดาวดวงไหน แล้วก็ตาม**
ความคิดเห็น