ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Journey : บันทึกการเดินทางสู่อเมริกาฉบับนักเรียน

    ลำดับตอนที่ #6 : 2nd Day : Citrus Crossing Shopping Center/Griffith Observatory (ท้องฟ้าจำลอง)

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 54


     
    DEAR MY JOURNEY
            
               ถ้าไม่นับคืนในสนามบิน วันนี้ก็ถือเป็นวันที่สองของการใช้ชีวิต (บ๊องๆ) แบบนักเรียนแลกเปลี่ยนในอเมริกาแล้ว วันจันทร์-ศุกร์ พวกเราจะมีเรียนกันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงเที่ยง มีเวลาพักระหว่างคาบ 1 ชั่วโมง คือช่วง 9 โมงครึ่งถึง 10 โมงครึ่ง วันเสาร์นั้นทางโครงการจะมีโปรแกรมพาทัวร์ตลอดทั้งวัน ส่วนวันอาทิตย์พวกเราจะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ซึ่งบางคน (เช่นเรา) โฮสต์ฯจะพาไปเที่ยว ไปช้อปปิ้ง บลา บลา บลา แล้วแต่บุญ-กรรม 555 โฮสต์บางคนพาเที่ยวทุกวันในขณะที่บางครอบครัวก็ชอบที่จะใช้เวลาในช่วงวันหยุดอยู่กับเหย้าเฝ้าเรือนมากกว่า อันนี้ก็สุดแต่ดวงจะกำหนดนะคะ ถ้าขอให้โฮสต์พาไปได้ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าโฮสต์ปฏิเสธก็ให้คิดซะว่า 'ไม่เป็นไร นอนพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เรียนวันจันทร์ละกัน 5555'  สำหรับคนที่นึกหน้าตา Macarroni and Cheese ไม่ออก เราก็มีรูปมาให้ดูนะคะ search มาค่ะ


     
    อร่อยจริงๆ คอนเฟิร์มค่ะ! 555


       
    โรงอาหารของวิทยาลัย                               คุ้กกี้ผสม smarties มันหวานมาก! 


       
          ถ้าใครเป็นพวกชอบลองของ (ใหม่) แนะนำค่ะ        หนังสือที่ใช้เรียนในระดับชั้นของเรากับเพื่อนๆ
         น้ำพีชผสมสับปะรดและส้ม เราคิดตั้งนานกว่า
         จะได้หยอดเหรียญ กลัวกินไม่ได้ 555 
          แต่อร่อยมากค่ะ ยืนยัน!
    Activity out of Campus

                 ปกติทุกวันพุธพวก staff ก็ไม่ได้พาไปไหนไกลหรอกค่ะ เขาจะให้เราแบ่งกลุ่มเลือกสถานที่ที่อยากไป ซึ่งจะมี Park (เราก็ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรกันที่สวน เห็นได้ยินน้องๆว่าไปเล่นกีฬา เดินเล่น ประมาณนั้น) และดูหนังกับ shopping พวกเราเด็กโข่งพอได้ยินคำว่า shopping ก็หูตาผึ่ง 55555 กระโดดโลดเต้นกันใหญ่ ตื่นเต้นที่จะได้เสียเงิน 5555 สถานที่ shopping กับดูหนังก็ไม่ไกลเลยค่ะ เดินจากวิทยาลัยไปไม่กี่บล๊อค แต่เนื่องจากเป็นบล๊อคที่ยาวมาก! ทำเอาหอบแฮ่กไม่น้อย Shopping Center ที่เราไปกันนั้นชื่อว่า Citrus Crossing เป็นแหล่ง shopping เดียวที่อยู่ใกล้กับวิทยาลัย อาจเห็นพวกนักศึกษามาเดินเล่นฆ่าเวลาแถวนี้บ้าง ที่นี่ประกอบไปด้วย ห้างฯ Ross ซึ่งจะขายข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป มีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ นาฬิกา น้ำหอม ฯลฯ อารมณ์เป็นของแบรนดที่่เหมือนหลุดมาจาก outlet น่ะค่ะ ถ้าเดินและสังเกตุดีๆอาจได้ของเจ๋งๆ ติดแบรนด์ในราคาถูกมาก!! ติดไม้ติดมือกลับไปนะคะ ยกตัวอย่าง เพื่อนเราได้กระเป๋าสะพาย roxy สีดำ สวยมากๆค่ะ แต่มีแค่ใบเดียว! ดังนั้น ช่วงเวลานี้ใครดีใครได้ค่ะ 5555 เพราะทั้งถูกแล้วก็ทั้งสวยแบบนี้ มีไม่มากค่ะ ส่วนใหญ่แบรนด์ที่เอามาลงใน Ross สาขานี้ก็จะมีของ Guess, Nine West, Tommy Hifiger,Clavin Klein, Adidas, Nike ฯลฯ แต่มีไม่กี่แบบที่สวยหรอกค่ะ เพราะส่วนใหญ่ก็โดนสอยก่อนหลุดมาอยู่ใน Ross แล้ว 5555 นอกจากเครื่องแต่งกายก็ยังมีพวกเครื่องใช้ในบ้าน จานชาม หมอนผ้าห่ม เรียกได้ว่า ขายทุกอย่างเป็นจิปาถะจริงๆค่ะ ใกล้ๆกับ Ross ก็จะมีร้าน 99 Cent only store เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักช้อปเหมือนกัน เพราะที่นี่เกือบ 90% ราคาไม่เกิน 99 เซ็นต์ (100 เซ็นต์ = 1 ดอลล่าห์ค่ะ) ขายจิปาถะเหมือนกันแต่ไม่มีเสื้อผ้า พวกเราชอบเข้าไปตากแอร์เดินดูของกินค่ะ 5555 ก็แหม ที่วิทยาลัยขายอาหารแพงไปหน่อย (ในความรู้สึกเรานะ ต้องเสียเงินไม่ต่ำกว่า 150 บาท ทุกวันซื้ออาหารเพียงจานเดียว) แถมเราก็ไม่ได้ขนมาม่ามา มีแค่เครื่องปรุงแกงเขียวหวานกับโจ๊กเท่านั้น เลยมาเดินดูพวกอาหารแช่แข็งกับอาหารกึ่งสำเร็จรูปเพื่อซื้อไว้ไปกินเป็นอาหารกลางวัน (ในโรงอาหารที่วิทยาลัยมีเครื่องไมโครเวฟให้ใช้ฟรีค่ะ) นอกจากนั้นแล้ว 99 cent แห่งนี้ก็ยังขายพวกแชมพู สระบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ ถ้าใครลืมเอาของใช้ส่วนตัวมาที่นี่มีจำหน่ายทุกอย่างค่ะ ถัดไปอีกนิดหน่อยจะเป็นร้าน Fresh&Easy ค่ะ เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตเหมือน 99 cent แต่ราคาจะสูงกว่า เพราะของมีคุณภาพกว่านั่นเอง 5555 ของกินจะเยอะกว่านิดหน่อยแล้วก็น่ากินกว่าค่ะ ร้านนี้ไม่มีพนักงานแคชเชียร์นะคะ เราต้องสแกนเอง จ่ายเอง ใส่ถุงเอง เสร็จสรรพค่ะแล้วที่สำคัญ ร้านนี้ไม่คิดภาษีเพิ่มค่ะ (หรือมันคิดรวมไปแล้วก็ไม่รู้นะ 555) 

    เรื่องสำคัญ : ราคาสินค้าต่างๆในสหรัฐฯจะยังไม่รวมภาษีนะคะ หากใครไปเห็นป้ายราคาแล้วคิดว่าถูกมากยังโง้นยังงี้ อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะ มันจะมีภาษีศุลการกรที่ต้องจ่ายอีก เพราะฉะนั้นตอนคิดเงิน ราคาสินค้าก็เพิ่มขึ้นค่ะ ซึ่งภาษีในแต่ละเมืองจะไม่เท่ากัน เช่นที่ Glendora ภาษีคิดเป็น 8.75% ในขณะที่ Santa Monica ภาษีคือ 10% ค่ะ 


     
    ภายนอกของวิทยาลัย

     


       
    ระหว่างการเดินทางไป Citrus Crossing 


     
    ถนนแถววิทยาลัยค่ะ แยกใหญ่ๆมันข้ามยากจริงๆนะ!


               ร้านใหญ่ร้านสุดท้ายในระแวกนั้นคือ CVS Pharmacy ค่ะ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นร้านขายยา แต่!!!มันมีทั้งขนม ช๊อกโกแลต เครื่องสำอางค์บางแบรนด์เช่น Covergirl,Maybelline,Olay เป็นต้นค่ะ อารมณ์เหมือน Watson กับ Boots บ้านเราล่ะค่ะ  เครื่องสำอางค์พวกนี้ไม่แพงนะคะ ราคาร้อยต้นๆทั้งนั้น เราเองก็สอย Covergirl ที่เป็นผู้สนับสนุนรายการ American Next Top Model มาเหมือนกันค่ะ นอกจากร้านใหญ่ๆพวกนี้ก็ยังมีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดพวก Berger King, KFC, McDonald,Panda Express (คล้ายๆอาหารจีน) , Rolling Rice ฯลฯ รวมถึงยังมีโรงภาพยนต์ ขอบอกก่อนเลยนะคะว่าระบบของโรงภาพยนตร์ในอเมริกาจะแตกต่างกับไทย ซื้อตั๋วเสร็จสรรพจะนั่งตรงไหนก็นั่งเลยค่ะแล้วแต่ชอบ! 5555 เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นหนังฟอร์มยักษ์ คนดูเยอะๆเราก็ต้องรีบไปจองที่ค่ะ เดี๋ยวได้หนังแถวหน้าสุดต้องเงยหน้าจนคอเคล็ดแล้วจะหมดสนุกเอา

               หลังจากช้อปปิ้งกันอย่างเมาส์มันส์ประมาณ 4 ชั่วโมง!!! (staff มันปล่อยบ้าบอมากค่ะ เหมือนไม่มีอะไรจะทำก็ปล่อยให้ฝูงวัวไปเดินเล่น! 555) ก็ได้เวลากลับ ขอบอกว่าตอนกลับนี่สาหัสกว่าขามามากค่ะ! เดินกลับเหมือนเดิม ระยะทางเท่าเดิม แต่ของที่แบก + การเดินตลอดเวลาไม่ได้พักนี่สิคะ ทำเอาเด็กโข่งอย่างพวกเราแทบเป็นลม ขาลากเหมือนแทบจะขาดใจ 5555 staff สุดน่ารักคนนั้นก็มาแซวว่า 'ดูสิ ฉันเดินถอยหลังยังเร็วกว่าเธอเดินอีก' พ่อคุณจ๋า มาลองแบกของนี่ดูมั้ย!! (สรุปว่าใครผิดที่บ้าหอบฟางคะ? 5555) 
               
              สรุปวันนั้นกลับถึงบ้าน พอกินข้าวเย็นเสร็จก็หลับเป็นตายเลยค่ะ 55555  แหม ไม่มีอะไรสุขใจไปกว่าการช้อปปิ้งของระดับแบรนด์เนมที่ราคาค่อนข้างสบายกระเป๋าหรอก!


     
    ถึงแล้วค่ะ ในที่สุด!


     
    ร้าน 99 cent only อยู่ลิบๆนั่นไงคะ


     
    ด้านหน้าของ Citrus Crossing ค่ะ


     
     
    เป็นอีกมหาวิทยาลัยนึงที่อยู่แถวๆนั้น ต้องเดินผ่านตลอดเลยค่ะ


     
    ร้านโปรดของเด็กไทยค่ะ 55555


     


    Griffith Observatory

                 วันต่อมาหลังเลิกเรียนและทานอาหารกลางวันที่วิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว พวก staff ก็เรียกให้เรามารวมกลุ่มกันในลานกว้างๆ แถวที่จอดรถเพื่อรอรถโค้ชที่จะมารับเราไปทัวร์ตามโปรแกรม พอทุกคนขึ้นรถเสร็จสรรพ รถก็มุ่งหน้าสู่ Griffith Observatory ซึ่งหากจะเรียกเป็นภาษาไทยแล้วมันก็คือ 'ท้องฟ้าจำลอง' นั่นเองค่ะ ที่ Griffith Observatory แห่งนี้เป็นอาคารรูปร่างทันสมัย ค่อนข้างแปลกตา แต่สวยค่ะ ท้องฟ้าจำลองแห่งนี้เป็นเสมือนอีกสัญลักษณ์หนึ่งของนคร Los Angeles เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในแถบแคลิฟอร์เนียตอนใต้รวมถึงยังตั้งอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็น Hollywood Sign ได้ชัดเจนด้วยค่ะ! และเนื่องจากตั้งอยู่บนภูเขาจึงสามารถมองเห็นวิวของนคร Los Angeles ได้เกือบทุกทิศทางค่ะ


     
    On the way to Griffith Observatory

     
    ภายนอกค่ะ เขียวสบายตามาก!

     
    วิวที่มองจากที่นี่ลงไป

     
    wow!! Hollywood Sign!


                 Griffith Observatory แห่งนี้ถูกก่อตั้งมาหลายสิบปีโดยมีผู้อุปถัมภ์คือ นาย Griffith Jenkins Giffith (และเขาคนนี้ก็เป็นเจ้าของที่ดินบริเวณท้องฟ้าจำลองทั้งหมดด้วยค่ะ) ภายในจะถูกแบ่งออกเป็นห้องๆ มีทั้งห้องที่ทำเป็นแบบท้องฟ้าจำลองเหมือนที่ไทย (แต่ต้องซื้อตั๋วดูนะคะ) ห้องจัดนิทรรศการภาพถ่ายดวงดาว ประวัติการดูดาว (ประมาณว่ามนุษย์เราเริ่มสนใจดูดาวตั้งแต่เมื่อไหร่) เครื่องมือที่ใช้ในการสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงดาว รวมถึงนิทรรศการเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ฤดูกาล มรสุม ประมาณนั้นน่ะค่ะ ก็น่าสนใจสำหรับคนที่ เอ่อ...สนใจ! 555 แต่เขาจัดห้องได้สวยมากค่ะ ตกแต่งหรูหราเหมือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะ อีกทั้งยังมีเครื่องเล่นเล็กๆน้อยๆ (พวกจอภาพสามมิติให้กดเล่น) เพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกเด็กๆทั้งหลายด้วยค่ะ ชั้นบนก็จะมีระเบียงกว้างใหญ่และกล้องที่ใช้ชมวิวน่ะค่ะ (ไม่รู้เรียกว่าอะไร 555) เพื่อให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปรับลมเย็นๆพร้อมๆกับชมทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองไปด้วย ภายนอกเป็นลานกว้างๆ มีเสาอะไรซักอย่าง อาจจะสร้างไว้เป็นอนุสรณ์สำหรับนาย Griffith ผู้อุปถัมภ์ และมีสนามหญ้าที่ค่อนข้างมโหฬาร เพื่อให้เด็กน้อยไปนอนเล่นกัน 555 ไม่ใช่หรอกค่ะ เป็นการตกแต่งสถานที่ให้ดูร่มเย็น เขียวสดใสสบายตา ผู้คนก็เลยชอบไปนอน แล้วก็ถ่ายรูปกันค่ะ
    สำหรับช่วงเวลาเปิดทำการก็ตามรายละเอียดด้านล่างเลยค่ะ

    วันธรรมดา (วันพุธ-วันศุกร์) : 12.00 - 22.00 น. 
    วันเสาร์-อาทิตย์ : 10.00 - 22.00 น.
    หยุดวันจันทร์และอังคารค่ะ
    ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมสำหรับบริเวณภายในอาคาร (บางส่วน) และลานภายนอกนะคะ จะเก็บค่าเข้าชมก็เพียงโซนที่จัดแสดงท้องฟ้าจำลองเท่านั้นค่ะ

       
       
    ภายในอาคารค่ะ มีลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักด้วย

     
    ห้องจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับกลุ่มดาวต่างๆ


     
     
    น่าจะพาเราไปเวลาค่ำๆแบบนี้นะ!


    Old Town,San Dimas

                แถมเล็กๆน้อยๆกับเมืองเก่าในแถบ San Dimas ค่ะ เนื่องจากโฮสต์พาเราไปเหยียบประมาณ 15 นาที 555 มันก็เป็นชุมชนหนึ่งที่ยังคงอนุรักษ์อาคารเก่าๆ รวมถึงทางเท้าแบบไม้สมัยคาวบอย (ไม่รู้จะเรียกว่ายังไงดี 555) ก็ให้อารมณ์เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังคาวบอย ตะวันตกแหละค่ะ มีที่ว่าการอำเภอ มีบ้านไม้ และร้านค้ามากมายที่ขายของเก่าๆ แนววินเทจค่ะ สวยดีนะคะ แต่เราไปก็เย็นมากแล้ว ร้านค้าเลยปิดเกือบหมด ไม่ได้ดูอะไรเท่าไหร่เลยค่ะ


       
    ทางเดินไม้แบบสมัยก่อนค่ะ คลาสสิคมาก


               และในที่สุดก็จบไปอีก 2 วัน (อย่างรวบรัด 5555) ถึงจะยังไม่เจออะไรที่ตื่นตาตื่นใจมาก แต่สำหรับเราก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มาค่ามากเลยค่ะ เราสนใจวิธีคิด วิธีมองโลกของคนที่นี่ สนใจวิทยาการของพวกเขาและวิถีชีวิตของพวกเขาค่ะ จะสังเกตุได้ว่าที่ Giffith Observatory ไม่ได้มีแค่เด็กน้อยวัยประถม มัธยมที่ไปกันเป็นกลุ่มตามโปรแกรมของโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังมีเหล่าครอบครัวและเด็กๆคนอื่นที่ตั้งใจมากันเองด้วยค่ะ ซึ่งนั่นก็หมายถึงคนอเมริกันค่อนข้างให้ความสนใจกับเรื่องบนท้องฟ้ามากอยู่เหมือนกัน ส่วนตัวถ้าโรงเรียน (ที่ไทย) ไม่พาไปท้องฟ้าจำลองในกรุงเทพฯสมัยประถม ป่านนี้ก็คงไม่รู้ว่าโลกมีอะไรแบบนี้ด้วย 55555 แบบว่าให้เข้าไปดูดาวในห้องมืดๆ แอบหลับ แล้วก็ตื่นตอนมีเสียงไก่ขันไงคะ 555 สำหรับตอนหน้าเราจะพาทุกคนเข้าเมือง (5555) ไปตลาดสดและแหล่งช้อปปิ้งอันพลุกพล่านให้อารมณ์ประมาณจตุจักรบ้านเรา รวมถึง Huntington Library ห้องสมุดที่ไม่ธรรมดาซึ่งมีพื้นที่ใหญ่มโหฬาร ประกอบไปด้วย ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ศิลปะและสวนดอกไม้ ต้นไม้นานาพันธุ์ในตัวค่ะ!!
    reference : http://www.griffithobservatory.org/ 


    SEE YA NEXT JOURNEY!

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×