ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Journey : บันทึกการเดินทางสู่อเมริกาฉบับนักเรียน

    ลำดับตอนที่ #3 : US Visa Interview was freaking me out!!

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 54


     
     
    DEAR MY JOURNEY 


                  สำหรับตอนที่แล้ว ผู้เขียนก็อธิบายเรื่องประเภทของวีซ่าไปนิดหน่อยแล้ว สำหรับตอนนี้ก็จะขอพูดถึงเรื่องการสัมภาษณ์วีซ่านะคะ ปกติถ้าไปกับโครงการ ทางโครงการหรือเอเจนซี่เขาจะช่วยทำการจองสัมภาษณ์วีซ่ากับทางสถานทูตให้ ซึ่งกระบวนการสัมภาษณ์นี่ยุ่งยากตั้งแต่เริ่มต้นเลยล่ะค่ะ เอาน่ะ อยากไปตามฝันก็ต้องอดทนหน่อย! 5555 

                เราเองก็ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับขั้นตอนการจองสัมภาษณ์นะคะ แต่พอจะอธิบายได้คร่าวๆว่า การจองสัมภาษณ์ทำได้ 2 ทางคือ
     
    1. ทำการจองสัมภาษณ์ผ่าน Call Center ประมาณว่าต้องไปซื้อ PIN ด้วยเงินสดที่ไปรษณีย์ก่อนแล้วจึงโทรศัพท์ไปยังสถานทูต  ปฏิบัติตามที่เครื่องตอบรับแบบอัตโนมัติบอกเพื่อทำการจองวันสัมภาษณ์ หรืออาจจะซื้อ PIN ด้วยบัตรเครดิตทางโทรศัพท์แล้วจองวันสัมภาษณ์เลยก็ได้ค่ะ


    2. ทำการจองสัมภาษณ์ผ่าน Internet คือซื้อ PIN ที่ไปรษณีย์ แล้วกดเข้า Website ของสถานทูต ทำการ register แล้วกรอกข้อมูลเพื่อทำการจองสัมภาษณ์ หรืออาจจะซื้อ PIN ด้วยบัตรเครดิตแล้วจองสัมภาษณ์ผ่าน Website ก็ได้ค่ะ ซึ่งการจองสัมภาษณ์ผ่าน Internet แบบนี้จะเสียค่า PIN ถูกกว่าการจองผ่าน Call Center นะคะ


               ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเสียให้กับวีซ่าแต่ละประเภทจะไม่เท่ากันนะคะ ตรงนี้ก็ต้องลองหารายละเอียดดูใน Website ของสถานทูตได้ เว็บนี้เลยค่ะ http://bangkok.usembassy.gov/ 

                ******การจองสัมภาษณ์จะต้องกรอกข้อมูลตามความเป็นจริง และต้องมีสติตอนกรอกข้อมูลด้วยนะคะ เขาจะมีการจับเวลาใน Website เพราะฉะนั้นต้องเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อม แล้วก็ตรวจทานให้ดีด้วยนะคะ อีกอย่างคือ PIN ที่เราซื้อมีอายุ 90 ถ้าเราขอเลื่อนสัมภาษณ์ แล้วไม่ไปสัมภาษณ์ภายใน 90 วันก็ต้องซื้อ PIN ใหม่นะคะ********

               เอาล่ะ ได้เวลาสดับรับฟังประสบการณ์ระทึกขวัญของคนเขียนแล้ว (5555 อะไรจะขนาดนั้น!) จริงๆก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆหลายคนคิดหรอกค่ะ อย่างเราตอนแรกกลัวมาก เนื่องจากดู เดี่ยวของพี่โน้ต แล้วก็เก็บมาคิด เก็บมาหลอนอยู่เป็นเดือน ยิ่งใกล้วันสัมภาษณ์ก็ยิ่งตื่นเต้นมาก เตรียมซ้อม ฝึกพูดฝึกฟังยังกับจะไปสมัครงานที่ UN 55555 แหม เข้าสถานทูตครั้งแรกทั้งทีมันก็ต้องเตรียมตัวกันหน่อยใช่มั้ยคะ? พอถึงวันที่โครงการนัด เราพร้อมแม่กับเพื่อนอีกคนที่จะไปด้วยกันก็ตื่นแต่เช้าเดินทางไปถนนวิทยุอันเป็นที่ตั้งของสถานทูตสหรัฐฯ หาไม่ยากหรอกค่ะ ลงจากสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิตแล้วก็เข้ามาทางถนนวิทยุ ไม่ไกลเท่าไหร่แต่ถ้าเดินก็เหนื่อยเหมือนกัน 5555 จริงๆแล้วโครงการเขานัด 11 โมงหน้าตึก All Season เพราะจองสัมภาษณ์ไว้ตอนบ่ายโมง แต่พวกเราก็มาถึงตั้งแต่ 9 โมง! ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่เลยเนอะ! 555 พอหาอะไรกิน แล้วก็นั่งรอซักพักก็มีพี่ๆจากโครงการเดินทางมาถึง รวมถึงเด็กคนอื่นๆที่จะเดินทางไปด้วยกัน เคยได้ยินว่ามีทั้งหมดประมาณ 60 ชีวิต 50%เป็นเด็กม.ต้น 40%เป็นเด็กม.ปลาย และ 10% คือเด็กมหา'ลัยหรือคนที่โตกว่านั้น เพราะเห็นมีพี่ผู้หญิงที่เป็นนักเรียนตำรวจในกลุ่มด้วย ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นคนทั่วไปที่มาสัมภาษณ์เหมือนกัน แต่พอเห็นพี่เขาในค่ายปฐมนิเทศก็ถึงบางอ้อเลย เพิ่งนึกได้ว่าโครงการเขากำหนดอายุคนไปตั้งแต่ 13-24 ปี

                โอเค กลับมาที่การสัมภาษณ์ต่อ ทำไมเราถึงชอบพาคนอื่นออกทะเลนะ 55555 พอพี่ๆทางโครงการแจกซองเอกสารที่เคยขอเราไปก่อนหน้านั้นให้เราถือไว้ ซึ่งจะมีเอกสารที่เจ้าหน้าที่สถานทูตต้องนำไปใช้ และเอกสารที่เตรียมไว้เผื่อเจ้าหน้าที่เรียกดูเป็นกรณีพิเศษ เสร็จแล้วก็ให้พวกเราต่อแถว เตรียมเข้าไปในสถานทูตซึ่งต้องผ่านเครื่องตรวจโลหะ ตรวจความปลอดภัยด้วย ช่วงนั้นจะวุ่นวายนิดหน่อยเพราะเด็กๆแต่ละคนก็ขยุกขยิก ไม่อยู่กับที่ 555 ทางสถานทูตจะไม่ให้นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปจึงต้องทำการฝาก แต่เราฝากไว้กับแม่เรียบร้อย สบายหายห่วง พอผ่านเข้าไปโดยไร้เสียงสัญญาณใดๆ ก็เข้าไปนั่งรอในลานเล็กๆ คือมันไม่ใช่ห้องน่ะค่ะ มันเป็นเหมือนทางเดินที่เชื่อมระหว่างอาคาร แล้วก็มีโต๊ะที่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 2 คนคอยตรวจเอกสารให้ว่าครบถ้วนหรือไม่ หากผ่านแล้วก็จะได้รับบัตรคิวสัมภาษณ์ จริงๆจะมีคนตรวจเอกสารตั้งแต่หน้าประตูที่มีเครื่องตรวจโลหะแล้ว แต่ตรงนั้นไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ก็เลยขอผ่านนะคะ
             
                 เอาล่ะ ในที่สุด! ก็ได้เข้ามาสัมผัสห้องเย็น (มันเย็นจริงๆนะคะ เปิดแอร์หนาวมาก!) ที่เขาล่ำลือกันมานานว่าทำให้คนเกือบสติแตกกันมานักต่อนักแล้ว 555 วันนั้นคนส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเราเด็กๆโครงการทัั้งนั้น แต่เนื่องจากยังไม่รู้จักกันก็เลยไม่ได้ทักทายอะไร เราก็นั่งอยู่แต่กับเพื่อนอีกคนแล้วก็ได้รู้จักคนข้างๆที่เป็นเด็กมหา'ลัยเหมือนกัน ก็นึกดีใจที่จะได้มีเพื่อนใหม่ พอนั่งรอไปเกือบชั่วโมง เลขคิวก็เริ่มมาใกล้ๆเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความสะดวกก็มาเรียกให้พวกเราไปเข้าแถวตามช่อง คือเคาร์เตอร์สัมภาษณ์จะถูกกั้นเป็นช่องๆ ช่องเล็กๆ ค่ะ มีทั้งสัมภาษณ์วีซ่าถาวรและวีซ่าชั่วคราว แต่พวกเราต้องไปเข้าช่องวีซ่าชั่วคราว เข้าแถวเรียงคิวไปเรื่อยๆในที่สุดก็ถึงตาเราซักที! ตอนแรกเราเลือกสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย อันที่จริงมันควรจะสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ เพราะเราไปเรียนและก็ไปอยู่กับ Host Family ดังนั้นก็ควรจะเริ่มใ้ชภาษาอังกฤษตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่ว่าเราปอดแหกขึ้นมากระทันหัน 5555 รู้สึกยังไม่พร้อมจะมั่ว แถมนี่ยังเป็นการสัมภาษณ์อีก ขอภาษาแม่ไว้ก่อนถ้างั้น! เราได้สัมภาษณ์กับแหม่มสวยๆคนหนึ่ง ต่อไปนี้จะเป็นบทสนทนาระหว่างเรากับแหม่มแสนสวย!

    เรา : Good Afternoon. (ทำหน้ายิ้มๆ ใจดีสู้เสือ)


    แหม่ม : Hello, Good Afternoon. (ยิ้มให้เรา พิมพ์อะไรแกรกๆซักพัก)


    แหม่ม : คอ เอ่อ นิ้วชี้ซายนาค้า...(ตอนแรกเราก็งงๆ แต่พอเข้าใจว่าเขาอยากให้เราสแกนนิ้วมือเราก็เอานิ้วไปวางไว้วนเครื่องสแกนที่อยู่ข้างๆ ตอนแรกใช้นิ้วโป้งก่อน แล้วจึงเอานิ้วโป้งออก ใช้สี่นิ้วที่เหลือวางลงไป)


    เรา : Is that ok? (แล้วเราก็เผลอพูดภาษาอังกฤษออกไป และตั้งแต่นั้นมาบทสนทนาเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย = * = ถ้างั้นขอแปลกลับมาเป็นไทยนะคะ)


    แหม่ม : เคยเปลี่ยนชื่อใช่มั้ยคะ?


    เรา : ใช่ค่ะ ซักพักนึงแล้ว


    แหม่ม : ทำไมถึงต้องการเดินทางไปสหรัฐฯคะ?


    เรา : เรียนภาษาและทัศนศึกษากับโครงการค่ะ (บลา บลา บลา ขอละชื่อไว้ 555) 


    แหม่ม : เคยไปอเมริกาไหมคะ?


    เรา : ไม่เคยค่ะ นี่เป็นครั้งแรก  


    แหม่ม : จะอยู่ในอเมริกานานเท่าไหร่คะ?


    เรา: 1 เดือนค่ะ ตั้งแต่วันที่....จนถึงวันที่..... (เริ่มจำไม่ได้แล้ว 555)


    แหม่ม : ไปพักที่ไหนคะ มีข้อมูลแล้วใช่มั้ย?


    เรา : ค่ะ ไปพักใน Glendora ค่ะ กับครอบครัว Wilson แล้วก็เรียนคอร์สสั้นๆที่ Citrus College ค่ะ (จริงๆโปรแกรมเขียนว่าไป LA แต่จริงๆคือเขาจะส่งเราไปเรียนภาษา 1 คอร์สแล้วก็พักกับโฮสต์ในย่านหนึ่งที่ชื่อว่า Glendora แต่ที่เขียนว่า LA เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้จัก LA มากกว่า Glendora แต่จริงๆพอไปเที่ยวก็ไป LA ด้วยนะคะ) 


    แหม่ม : เคยเดินทางออกนอกประเทศรึเปล่าคะ? แล้วไปที่ไหนมาบ้าง?


    เรา : เคยค่ะ เคยไปอาร์เจนติน่ามา 1 ปี ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนค่ะ


    แหม่ม : โอ ถ้างั้นคุณคงพูดสเปนได้


    เรา : ค่ะ ได้นิดหน่อยค่ะ 


    แหม่ม : โอ้ คุณไปบราซิลมาด้วยนี่ (เปิด passpotr เล่มเก่าของเราดู)


    เรา : ใช่ค่ะ ไปเที่ยวแค่วันเดียวแล้วก็กลับเข้าอาร์เจนติน่า


    แหม่ม : สวยมากเลยนะที่นั่น


    เรา : ค่ะ สวยค่ะ (เราไปน้ำตกอีกวาซูมา ซึ่งมันก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้นหรอก แมลงก็เยอะ เพราะมันเป็นป่าไงคะ 555 ถ้าไปน้ำตกอีกวาซู แถบด้านอาร์เจนติน่าจะสวยกว่าค่ะ แต่แถบด้านบราซิลจะได้ใกล้ชิดกับน้ำตกมากกว่าเพราะเขาสร้างสะพานให้เดินเข้าไปใกล้ๆได้)
    แหม่ม : ใครเป็น Sponser ในการไปครั้งนี้คะ? 


    เรา : คุณพ่อค่ะ


    แหม่ม : ผู้ปกครองทำงานอะไรคะ?


    เรา : รับราชการค่ะ เป็นข้าราชการท้องถิ่น (กำลังคิดว่าจะอธิบายว่าทำตำแหน่งอะไร แต่ไม่เอาดีกว่า ตำแหน่งยาวและสับสนมาก! 5555)


    แหม่ม : พอเรียนจบแล้ว คิดว่าจะทำอะไรต่อคะ? (เอ๊ะ? มันเกี่ยวกับการไปอเมริกาตรงไหนอ่ะ?)


    เรา : ก็....(ข้อนี้ไม่ได้เตรียมมา เลยต้องคิดหน่อย เพราะเอาจริงก็ยังไม่แน่ใจกับชีวิตเลย 555) ก็คงเรียนปริญญาโทต่อมั้งคะ ด้านสังคมศาสตร์ อะไรประมาณนั้น ฮะฮะ (หัวเราะแห้งๆ =*=)


    แหม่ม : ดีค่ะ (แล้วก็พิมแกรกๆ อีกแล้ว)


    แหม่ม : โอเคค่ะ ขอให้เดินทางปลอดภัยแล้วก็สนุกกับทริปในอเมริกานะคะ เอาซองนี่ไปตรงเคาร์เตอร์ด้านโน้นเลยค่ะ (แล้วก็เอา Passport เล่มปัจจุบันของเราไป ตรงนี้พูดเร็วนิดหน่อย จนเราเกือบจับไม่ทัน)


    เรา : อ้อ เอ่อ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ ไปตรงโน้นใช่มั้ยคะ? (ยังงงๆอยู่ว่าเอ๊ะ ผ่านหรือไม่ผ่านฟะ? ยึด passport เราไปด้วย)
    แหม่ม : ค่ะ ตรงนั้นเลยค่ะ (ชี้ๆ)


    เรา : ขอบคุณมากๆเลยค่ะ Good Bye.


    แหม่ม : Good Bye.


                 แล้วเราก็เดินตัวเบาออกไปด้านนอก มันเป็นเหมือนเคาร์เตอร์ไปรษณีย์ ตรงนั้นจะมีโต๊ะสูงๆให้จ่าหน้าซองที่อยู่ที่ต้องการให้สถานทูตส่ง passport พร้อมมีวีซ่าติดไปให้ พวกเราต้องกรอกที่อยู่ของบริษัทที่เป็นเอเจนซี่ เนื่องจากต้องบินพร้อมกันทั้งหมดและบริษัทจะแจก passport คืนให้ที่สนามบินตอนโหลดกระเป๋า ในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อย เรานั่งรอเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกัน ซักพักชีก็เดินออกมาท่าทางโล่งอกไม่แพ้กัน 5555 แล้วเราก็เริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเมามันส์ว่าเขาถามอะไรบ้าง สรุปแล้วก็เป็นคำถามคล้ายๆกันล่ะค่ะ บางคนก็อาจจะโดนคำถามที่แปลกออกไปนิดหน่อยตามแต่ที่เจ้าหน้าที่เขาจะใช้วิจารณญาณ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่พ้นคำถาม Basic อย่าง ไปทำไม จะอยู่นานเท่าไหร่ พักที่ไหน อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ เพราะจริงๆเจ้าหน้าที่เขาก็จะมีข้อมูลจากเอกสารในซองที่เราต้องยื่นให้เขาอยู่แล้ว ที่เขาสัมภาษณ์เพราะต้องการจะดูว่าข้อมูลในซองตรงกับข้อมูลที่เราให้หรือไม่แค่นั้นเอง และถ้าหากเราไม่ทำพิรุธให้เขาสงสัยว่าจะไปก่อการร้าย หรือประทุษร้ายประเทศเขา เขาก็ให้ผ่านอย่างง่ายดายทั้งนั้นแหละค่ะ ถือว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ทั้งสนุกแล้วก็สั่นประสาทหน่อยๆ ทำให้เรารู้ว่า การได้มาซึ่งสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆค่ะ


                 สรุปการเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์วีซ่าสหรัฐนะคะ ก็คือเตรียมเอกสารที่เขาต้องการให้พร้อม ตรวจทานความถูกต้อง ความครบถ้วนและความเรียบร้อย ฝึกทักษะการพูด การฟังนิดหน่อย เอาให้พอรู้สึกมั่นใจ อาจจะฟังดูหนัง ฟังเพลงหรือซ้อมพูดหน้ากระจกเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ ถึงจริงๆแล้วจะมีสัมภาษณ์ภาษาไทย  แต่เจ้าหน้าที่บางคนเป็นชาวต่างชาติ ภาษาไทยของเขาอาจจะไม่ชัดเจนซึ่งหากเราพลาดก็จะส่งผลให้การสัมภาษณ์ล้มเหลวได้ รวมถึงไอช่องหระจกนั่นมันก็เล็กๆ มีลำโพงเล็กๆที่บางทีก็ได้ยินเสียงอู้อี้ๆ ฟังแทบไม่เป็นภาษาว่าพูดอะไร แต่ไม่ควรใช้ Verb to เดา! อย่างที่เคยทำกันนะคะ หากฟังไม่เข้าใจ หรือไม่ชัดเจนสามารถขอให้เจ้าหน้าที่พูดอีกรอบได้ค่ะ เขาไม่ว่าอะไรหรอก 5555 และสุดท้ายที่ลืมไม่ได้เด็ดขาดคือต้องพกความมั่นใจให้เต็มล้านเลยนะคะ เพราะคนที่มีความมั่นใจมักจะมีชียไปกว่าครึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีภาษาดีเลิศเลอเพอร์เฟ็คนักหรอกค่ะ เพียงแค่เรารู้จักที่จะหาทางสื่อสารให้เขาเข้าใจก็ถือว่าเป็นอันใช้ได้แล้วค่ะ

                สำหรับ Journey หน้าเราจะมาพูดถึงการเตรียมตัว เตรียมของใช้ที่จำเป็น รวมถึงสิ่งของต้องห้ามที่สหรัฐฯไม่อนุญาตให้นำเข้าประเทศเขานะคะ และประสบการณ์ 16 ชั่วโมงบนเครื่องบินอันแสนน่าเบื่อและเมื่อยตัวที่สุดในโลก!!!! จนเกือบเป็นง่อยไปเลยค่ะ 5555


    SEE YA NEXT JOURNEY!

     
                          
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×