ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Journey : บันทึกการเดินทางสู่อเมริกาฉบับนักเรียน

    ลำดับตอนที่ #5 : First Meet,Glendora and Host family w/photos

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 54


         
    DEAR MY JOURNEY

                 กลับมาอีกแล้วค่ะ! แหม เหมือนอัพเดทวันต่อวันเลย ก่อนอื่นขอขอบคุณสำหรับผู้อ่านและผู้ติดตามทุกท่านค่ะ ดีใจมากเลยที่มีคนสนใจประสบการณ์ (บ้าๆบอๆ) ของเรา 555 เลขวิวและคอมเม้นท์ทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจที่จะเล่าต่อไปค่ะ! ขอบคุณมากๆเลยนะคะ :)

      Good Moring! Los Angeles and then Glendora.

                บลา บลา บลา มานานแล้ว ถ้างั้นขอเล่าต่อเลยก็แล้วกันนะคะ เมื่อตอนที่แล้วเราพูดถึงเรื่องการบินใช่มั้ยคะ? จากนั้นก็มาจบที่คืนแรกใน LA ซึ่งแค่ผ่านไปไม่ถึง 3 ชั่วโมง เรา and the gang ก็ก่อเรื่องซะแล้ว ทั้งถ่ายรูปในเขตตรวจคนเข้าเมือง หนีออกจากโรงแรม (ตัวอย่างที่ไม่ดีมากๆค่ะ) แล้วข้ามฝั่งไปร้าน Mc ที่ปิดแล้ว จนเกือบจะปล้นเอารถคนมาขับไปใช้บริการแบบ Drive Thru อย่างที่เตือนไว้ตั้งแต่แรก โปรดใช้วิจารณญาณในการเลือกมหาวิทยาลัยค่ะ 55555     

               เช้าวันนั้นเราตื่นก่อนเพื่อนๆ อันที่จริงเรานอนไม่ค่อยหลับหรอกค่ะ แปลกที่และไม่ชินกับเวลา แต่คิดว่าที่เพื่อนๆนอนกันยาวขนาดนั้นคงเพราะพวกมันเหนื่อยกันมากกว่า พอพวกเราทุกคนอาบน้ำ (หนาวมากๆ ก็ยังอาบ!) แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ไปรวมกับคนอื่นๆที่ห้องอาหาร ขอบ่นหน่อยเหอะ เป็นถึง Best Western ทำไมเสิร์ฟแค่ ขนมปังแข็งๆ ซีเรียล นมจืดๆ (มาก! 555) น้ำส้มเปรี้ยวจี๊ด และที่รับไม่ได้ ไขต้มเย็นๆ เย็นจนคิดว่ามันคงเป็นอาหารของเช้าเมื่อวาน 5555 แต่ก็พยายามทำความเข้าใจค่ะ การกินอะไร (แปลกๆ) แบบนี้อาจเป็นวัฒนธรรมของเขา แล้วเราเองก็คงตั้งความหวังมากเกินไป แหม ก็หิวนี่คะ อย่าลืมว่าเมื่อวานเราชวด Mc ไปนะแถมไม่ได้ไปแจมปาร์ตี้มาม่ากรอบกับเพื่อนอีก ท้องเลยโครกครากตั้งแต่ตื่น 5555 เราก็โอเค กินๆไปเหอะ ดีกว่าปล่อยให้หิวอยู่แบบนี้ เลยจัดแจงหยิบไข่ต้มกับมัฟฟิน (ที่แย่งเด็กมา 555) มานั่งกิน พอยัดไข่ต้มเข้าไปได้คำเดียวเท่านั้นแหละ แม่จ๋า! ซอสแม๊กกี้อยู่ไหน??? จืดสนิทเหมือนเอาน้ำเปล่ามาปั้นเป็นไข่ต้มอ่าคะ เราหิวก็จริงแต่ทนกินต่อไม่ไหวเลยเอาเกลือมาโรยไข่ต้ม พระเจ้า! เกิดมาไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อน แต่อย่างน้อยก็ช่วยได้บ้างค่ะ ทำให้เจ้าไข่ต้มมีรสชาตขึ้นมาบ้าง พอทุกคนกินกันเสร็จเรียบร้อย ก็ไปเตรียมยกกระเป๋า สัมภาระขึ้นรถ ช่วงนั้นพวกเรามีเวลานิดหน่อยระหว่างรอลุงฝรั่งเอารถมาจอดก็เลยไปหาที่ถ่ายรูปกัน สรุปว่าไปเจออ่างน้ำร้อนกันค่ะ ตอนกลางคืนเห็นเป็นไอพุ่งออกมา แต่คิดว่าคงมีคนมาก่อไฟต้มอะไรเอาไว้ 5555 ช่วงเช้านี่เห็นชัดหมดเลยค่ะว่าข้างนอกมีอะไรบ้าง ปั๊มน้ำมันเอย ร้าน Mc (ที่เปิดให้บริการแล้ว) เอย ถนนหนทางเอย พวกเราก็วิ่งถ่ายรูปกันสนุกสนาน ลืมง่วงเลยค่ะ วันนั้นจำได้ว่าท้องฟ้าเป็นสีเทาๆหม่นๆ เหมือนฝนจะตก แต่คิดว่าคงเป็นเพราะอากาศหนาวมากกว่า เนื่องจากช่วงนั้นเป็นปลายฤดูหนาวค่ะ อากาศเลยค่อนข้างใกล้เคียงจุดเยือกแข็งนิดหน่อย 555 แต่เราก็ทำการบ้านไปดีค่ะ เสื้อผ้าที่เตรียมไปเหมาะกับสภาพอากาศหนาวทั้งนั้น คิดว่าถ้าเกิดมันเริ่มร้อน จะหาซื้อเสื้อยืดที่ราคาไม่แพงหน่อยเอา คิดว่าคงไม่เปลืองเงินเท่าไหร่ พอลุงฝรั่งมาถึง หนุ่มน้อยคนเดิมก็มาช่วยยกกระเป๋า (หน้าที่ประจำ?) หลังจากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าสู่ Glendora ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่แท้จริงค่ะ


       
                   ไข่ต้มจืดๆ ใส่เกลือ กับมัฟฟินเย็นๆ!        สระน้ำที่โรงแรมค่ะ มีบ่อกลมๆเล็กๆเป็นบ่อน้ำร้อน


    Citrus College and Short trip around here.


                   ใช้เวลาไม่น่าจะถึงชั่วโมง รถก็แล่นลงจาก Freeway เข้าสู่ย่านที่มีบ้านคนมากขึ้น อาคารสำนักงาน ร้านอาหารต่างๆก็ตั้งเรียงรายอยู่ตามถนน เราแทบจะยื่นหัวทะลุกระจกออกไปเลยเพราะตื่นเต้นมาก 5555 ก็บ้านแถวนี้หลังเล็ก น่ารักทั้งนั้น ถ้า iPod ไม่มีกล้องห่วยขนาดนี้คงถ่ายรูปสวยๆไปเยอะแล้วค่ะ (ขี้เกียจเอากล้องออกมา เนื่องจากอยู่ในกระเปาสะพายก็เลยใช้ iPod ถ่ายรูปไปก่อน) ซักพักรถก็เลี้ยวเข้าเขตวิทยาลัย เราแอบเห็นป้ายใหญ่ๆเขียนว่า Citrus College นึกดีใจที่จะได้เห็นสถานที่ฝากสมอง (เว่อไป 555) ลุงฝรั่งพาเราเข้าไปในห้องใหญ่ๆห้องหนึ่ง เหมือนเป็นห้องที่ไว้สำหรับนั่งเล่น นั่งประชุมของนักศึกษาอะไรแบบนี้อ่ะค่ะ เป็นของส่วนกลาง คณะไหนจะมาใช้ก็ได้ ตอนนั้นในห้องมีเด็กหนุ่มสาวนั่งกันอยู่เยอะมาก มีทั้งที่เป็นเด็กแลกเปลี่ยนแบบเรา แล้วก็พวก staff ของที่นี่ พอเห็นเด็กกะเหรี่ยงอีกกลุ่มมาถึง พวก staff ก็จัดแจงหาที่นั่งให้ ไม่นานก็มีตาลุงหน้าตาแม็กซิกันเดินเข้ามา เขาเป็นเหมือนประธานขององค์กรที่รับผิดชอบเด็กแลกเปลี่ยนค่ะ มีหน้าที่ดูแลเรื่องทั้งหมด โดยเขาจะมีทีมงานที่รับหน้าที่เฉพาะเจาะจงเป็นทอดๆไป เอาง่ายๆ อิตาคนเนี้ย ชื่อ Juan เป็นหัวหน้าใหญ่ค่ะ ส่วนแฟนของอิตา Juan ทำหน้าที่ดูแลเรื่อง Host Family พออิตา Juan อธิบายจุดประสงค์ ขอปฏิบัติ กฎเกณฑ์ต่างๆจบ เขาก็ให้เราทำการทดสอบวัดระดับภาษาค่ะ เพื่อจะได้แบ่งชั้นเรียนให้กับทุกคน มีตั้งแต่ระดับ 1-9 เรียงจากระดับง่ายไปสู่ระดับยาก เราก็เอาแล้วไง จะได้อยู่กับเพื่อนมั้ย? นั่งกังวลตลอดตอนที่ staff แจกข้อสอบ เขาสั่งให้ใช้ดินสอฝน ไอเราก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ก็เลยไม่ได้มีดินสอติดตัวมา มีแต่ปากกา ทำให้ต้องหันซ้ายหันขวานานมาก จน staff สุดหล่อคนหนึ่ง (น่ารักมากๆค่ะ เห็นแล้วปิ๊งเลย 5555) เข้ามาถามว่าเราต้องการอะไรึเปล่า พอเราบอกเขาไปว่าไม่มีดินสอ เขาก็เดินไปตามโต๊ะ หาดินสอมาให้เราได้ในที่สุด เนื่องจากเขาให้นั่งสอบบนโต๊ะกลมๆด้วยกัน โต๊ะละ 10 คน ก็เอาน่ะ ร่วมด้วยช่วยกันคิด นิดๆหน่อยๆ Vietnam Style (เป็นตัวอย่างที่เลวมากอีกแล้ว 55555) พอหมดเวลา อิตา Juan ก็ประกาศว่าจะประกาศผลพรุ่งนี้ วันนี้ให้เอาเอกสารข้อตกลงของการเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ไปให้โฮสต์ที่จะมารับเราตอนเย็นเซ็นต์ด้วย แถมมีขู่อีกว่าถ้าลืมเอามาส่งพรุ่งนี้จะโดนกักตัว ไม่ให้ไปเที่ยวรอบบ่าย แหม น่ากลัวจริง! 555

                  
      
                              On the Freeway!                                  welcome to......!!!!

      
                                                       On the way to Citrus College

       
                                                   ทางเดินในวิทยาลัยค่ะ คลาสสิคมาก!

       


                  หลังจากกินข้าวกลางวันซึ่งเป็นแซนวิชแฮมชีส กับขนมกรุบกรอบ พวกเลย์ ชีโตส ฯลฯ เรียบร้อยแล้ว ลุงฝรั่งก็นัดเราให้ออกมาเจอกันข้างนอก มันเป็นทางเดินกว้างๆที่เชื่อมอาคารต่างๆของวิทยาลัยค่ะ ทางเดินกลางแจ้งนี่แหละ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมกระจัดกระจาย เก้าอี้นั่ง แล้วก็สนามหญ้า จินตนาการประมาณภาพยนตร์วัยรุ่นอเมริกันเลยค่ะ! ทุกอย่างเพอร์เฟ็คหมดยกเว้นสภาพอากาศ หนาวซะจนอยากลากลับไทยเดี๋ยวนั้นเลย ขนาดคลุมมิดชิดทั่วตัว มีผ้าพันคออีก ลมหนาวยังแทรกซึมเข้าไปถึงรูขุมขนเลย ทริปแรกของพวกเราคือ ออกทัวร์ย่านชุมชนที่อยู่แถวๆนี้ค่ะ ก็แบ่งกันขึ้นรถโค้ชเหมือนคราวขามา ตอนนี้น้องๆเริ่มสนิทกันแล้ว ต่างก็จับจองที่นั่งกับเพื่อนๆเป็นกลุ่ม พวกเรากลุ่มเด็กโข่งก็ยังเหนียวแน่นหนึบเหมือนเดิม 5555 และที่โชคดีสุดๆคือ staff สุดหล่อคนนั้นก็มารถเราด้วย (กรี๊ดดด 5555) พ่อหนุ่มน้อยหน้าเจคอบก็เหมือนกัน (ยังไม่รู้ชื่อ) แล้วก็ staff ผู้หญิงอีกคน พอถึงตอนนี้พวกเขาก็แนะนำตัวทีละคน เลยทำให้รู้ว่าพ่อ staff สุดหล่อชื่อ Sean (อ่านว่า ฌอน นะคะ) อีกคนชื่อ Ram ส่วนผู้หญิงไม่แน่ใจว่าคนไหน เพราะจำได้ว่ามีผู้หญิงคนนึงแต่ไม่แน่ใจว่าใคร (บ่งบอกถึงนิสัยเลยนะเนี่ย จำแต่ผู้ชายเนี่ย 555)

                   ที่แรกเลย เขาพาเรามาเขต Covina เป็นเขตที่อยู่อาศัยใกล้ๆเขต Glendora จะมีบางคนที่ได้โฮสต์จากแถบนี้ (เช่น เพื่อนเราเป็นต้น) ลุงฝรั่งใจดีก็ปล่อยให้เราลงจากรถ ให้เวลาครึ่งชั่วโมงเดินสำรวจแถวนี้เล่นๆ จริงๆก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะให้มาดูอะไร แต่เอาเหอะ ดีกว่าอยู่เฉยๆ 555 ณ ที่นั้นเองที่เราได้เรียนรู้วิถีการข้ามถนนแบบอเมริกัน โอเค มีสัญญาณข้ามรูปคนเหมือนที่อื่นๆ แต่ต่างกันนิดหน่อยตรงที่จะมีปุ่มเล็กๆตรงเสาให้เรากดหากต้องการข้าม เอาง่ายๆ ถ้าเราอยากข้ามก็กด สัญญาณไฟที่ให้ข้ามจะวนมาที่ถนนที่เรายืนอยู่ เพราะถ้าเราไม่กด สัญญาณให้ข้ามถนนก็จะไม่มีวันวนมาที่เราซักทีค่ะ และเราก็จะติดแหงกอยู่ที่นั่นตลอดไป 5555 ทำแบบนี้ก็ดีนะคะ เพราะถ้าถนนไหนไม่มีคนข้าม สัญญาณไฟข้ามถนนก็จะผ่านไปยังถนนที่คนกดเรียกทันที ช่วยลดเวลาไม่ให้รอนานด้วยค่ะ
    พวกเราก็เดินเรื่อยเปื่อยเป็นเส้นตรง วันนั้นไม่ค่อยมีร้านเปิดก็เลยเข้าแค่ Starbucks ที่เดียว เนื่องจาก 1.หิวน้ำ! 2.เพื่อนอยากลองของ 555 อยากลองดูว่าภาษาอังกฤษระดับนี้ สั่งแล้วจะได้อะไรมา จะตรงกับที่สั่งหรือจะหลุดโลกเป็นคนละอย่างไปเลย ทำใจกันอยู่พักใหญ่ (ทั้งๆที่แค่ซื้อกาแฟนี่แหละค่ะ) ก็เข้าไปในร้าน เราก็เสียสละให้เพื่อนสั่งก่อนเลย 55555 พอถึงคิวเราก็สั่ง Iced White Chocolate Moccha ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนว่าหน้าตามันเป็นยังไง ที่ไทยก็ไม่คุ้น ปรากฎว่าโชคดีสุดๆค่ะ เพราะอร่อยมาก!! เป็น White Chocolate ผสมกาแฟ อุตส่าห์สั่งตอนกลับมาไทย แต่เขาบอกว่าไม่มีโถ่!! ตอนนี้ก็ยังคิดถึงอยู่เลยค่ะ 5555 พอได้เวลาก็กลับขึ้นรถ น้องๆก็ทักกันเกลียวกาว 'โห พี่! ไปสั่งมายังไงอ่ะ'  'โห่ น้อง! ก็ใช้ปากสั่งเนี่ยแหละ ไม่ยากเลย!!' 


       
                                                                  ย่าน COVINA ค่ะ

       
    ทางเดินปูด้วยอิฐบล๊อคสวยๆค่ะ


     
    Iced White Chocoalate Mocha!


                 ต่อมา ลุงฝรั่งก็พาเราข้ามน้ำขึ้นเขาไปอีกเขตนึง แถวนั้นเป็นบ้านสวยๆ หลังใหญ่ พื้นที่กว้างทั้งนั้น พื้นที่เป็นลักษณะแบบเนินเขา สันนิษฐานได้ว่าพวกนี้เป็นผู้ดีมีตังค์ชัวร์!! แล้วน้องๆก็ส่งเสียงตื่นเต้น คุยกันประมาณว่าถ้าใครได้โฮสต์ที่มีบ้านแถวนี้คงสบายเป็นชาติ! 555 บางหลังมีสนามกอล์ฟส่วนตัวด้วยเอ้า! พอขับผ่านไปเรื่อยๆ ลุงฝรั่งก็พาลงจากเนินเขา เข้าสู่ย่านชุมชนอีกย่านหนึ่ง แถวนี้มีทั้งอาร์ตเม้นท์ ทั้งบ้านเดี่ยวสไตล์ modern แต่เป็นย่านที่ค่อนข้างเงียบค่ะ ไม่ค่อยเห็นรถ แถมยังไม่มีสัญญาณไฟข้ามอีกต่างหาก staff ก็เลยเดินคุมพวกเด็กๆ ในขณะที่ปล่อยให้คนแก่เดินกันเอง! 555  แต่ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่เราจำชื่อย่านนั้นไม่ได้ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แต่มันไม่มีอะไรมากไปกว่าบ้านคน ร้านไอศกรีมและก็ร้านเสื้อผ้าราคาแพงนะคะ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจที่ต้องไปเที่ยวหรอกค่ะ staff ปล่อยพวกเราเกือบชั่วโมง เราเองก็เมื่อยก็เลยหาที่นั่ง จากตอนนั้นก็นั่งตลอดไม่ขยับไปไหนเลยค่ะ เพราะคิดว่าถ่ายรูปเต็มอิ่มจนอืดกระทั่งเริ่มง่วงแล้วค่ะ 555555



     
    on the freeway again

     


       
    บ้านสวยๆบนเนินเขาค่ะ รถขับเร็ว แล้วถ่ายด้วยไอพอด ภาพเลยห่วยมาก 5555


       
        ขออภัยอย่างสูงเลยค่ะ จำชื่อย่านนี้ไม่ได้จริงๆ

       


       


                 ไม่นานเขาก็พาพวกเรากลับขึ้นรถ วนไปส่งที่วิทยาลัยรอโฮสต์มารับ นั่นเป็นช่วงเวลาที่กระตุกหัวใจมากๆค่ะ เนื่องจากน้องๆหลายคู่ก็ไปกันเยอะแล้ว สักพักก็ถึงคิวเพื่อนเรา โฮสต์มันเป็นคนผิวสี น่าจะเป็นแม็กซิกันมากกว่า รูปร่างตุ้ยนุ้ย เดินมาคนเดียว เพื่อนเรามันก็พูด 'คนนี้แน่เลยว่ะ รู้สึกมีลางสังหรณ์' แล้วก็ใช่จริงๆ ชีก็เลยจากไปพร้อมกับน้องม.ต้นคนนึงที่เป็น Housemate ของมัน เราเริ่มกระอักกระอ่วน เนื่องจากตอนนั้นเหลือกันอยู่ 2-3 คู่ คิดในใจ ถ้าโฮสต์ไม่มารับต้องนอนที่โรงเรียนมั้ยเนี่ย? 55555 ไม่ถึงนาที เหมือนสวรรค์ได้ยินคำขอของเรา ก็มีผู้หญิงตัวสูง ผิวขาวเดินมากับเด็กตัวเล็กๆคนนึง น้องที่เป็น Housemate ก็พูดว่า 'พี่เมย์ คนนี้แน่เลย ' เราก็มอง เออ เป็นไปได้ๆ แล้วก็ใช่จริงๆ 55555 เขาเข้ามาหา staff คุยอะไรนิดนึงแล้ว staff ก็เรียกชื่อเรากับน้อง บอกตามตรงเลย ตอนแรกเกือบทำ Spanish Greeting แล้ว (การทักทายแบบวัฒนธรรมสเปน คือการเอาแก้มชนแก้ม ประมาณนั้นอ่ะค่ะ) แต่เขายื่นมือมาให้ เราก็อ้อ ต้องจับมือสิ เขาก็แนะนำตัวว่าชื่อ Lisa ส่วนลูกสาวคือ Anna แล้วก็ชี้มาที่เราแล้วถามว่า คนไหนชื่อหญิง คนไหนชื่อเมย์ เราก็ตอบไป น้องหญิงเกิดอาการประหม่ามากจนพูดไม่ออก โฮสต์เลยถามว่าเข้าใจภาษาอังกฤษใช่มั้ย น้องก็พยักหน้าหงึกหงัก โอเค เป็นอันเข้าใจ 5555 เสร็จสรรพก็ยกกระเป๋าพวกเราขึ้นรถ ชีเป็นเสมือน super woman เลยค่ะ สามารถยกกระเป๋าน้ำหนักเกือบ 20 กิโล' ทั้งสองใบได้ขนาดนั้น นับถือและซูฮกค่ะ! 5555

                   ระหว่างทางเราก็คุยกันเล็กๆน้อยๆ เขาก็บอกว่าบ้านเขามีหมา 3 ตัวนะ มีใครแพ้ขนหมามั้ย เราก็เล่าให้ฟังว่า 3 ตัวน่ะเล็กน้อย บ้านเราเลี้ยง 6 ตัว เขาก็ว่า โอ้!!! จริงหรอ ลูกหมาใช่มั้ย น่ารักจัง แหม คนอเมริกัน ยังไม่ทันจะได้เห็นเลยก็ชมซะแล้ว 5555 นี่แหละค่ะ ลักษณะของการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีแบบอเมริกัน  ไม่กี่นาทีรถก็พาเรามาถึงบ้านหลังหนึ่ง เหมือนที่เห็นใน google earth เลยค่ะ หลังคาสีเทา บ้านแต่ละหลังจะมีแค่กำแพงเตี้ยๆกั้นระหว่างกันเท่านั้น ไม่มีรั้วบ้านเหมือนคนไทย ถนนหน้าบ้านสะอาดสะอ้านและก็ค่อนข้างเงียบทั้งที่ๆเพิ่งจะ 6 โมงเย็นเท่านั้น ถ้าเป็นบ้านเราเที่ยงคืนยังขับรถไปซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยอยู่เลย 5555 ที่บ้านเราก็ได้พบกับสมาชิกอีกคนที่ไม่ได้ระบุเอาไว้ในเอกสารข้อมูลโฮสต์ ตอนแรกก็งงๆว่า ผู้ชายคนนี้เป็นใคร? แล้ว Brooklyn ลูกสาวอีกคนหายไปไหน? แต่ Lisa ก็ไขข้อข้องใจทั้งหมด ผู้ชายคนนี้ชื่อ Mike เป็นแฟนของหล่อน (ยังไม่แต่งงาน แค่ย้ายมาอยู่ด้วยกันเฉยๆ เป็นเรื่องปกติของเขานะคะ) ส่วน Brooklyn ไปอยู่บ้านพ่อเขา (สรุปว่า Lisa หย่ากับสามีเก่าแล้วแบ่งกันเลี้ยงลูก ประมาณนั้น) หลังจากช่วย Mike ยกของมาไว้ในบ้านเรียบร้อย Lisa ก็ให้เราเลือกห้องนอน ตอนแรกเราก็นึกว่าจะให้นอนด้วยกัน เพราะเห็นห้องนึงมีเตียง 2 ชั้น แต่ได้คำอธิบายมาว่า 'ไม่ๆ พวกเธอควรจะแยกห้องนะจ๊ะ เพราะจะได้ไม่เอาแต่เก็บตัว คุยกันแต่ในห้อง แบบนั้นจะทำให้ไม่ได้ฝึกภาษาอังกฤษนะ' เราเห็นด้วยนะ ถ้าเด็กไทยได้อยู่ด้วยกันแล้ว ไม่ว่าที่ไหนๆก็ต้องจ้อภาษาแม่แน่ๆ แหม ก็ภาษาไทยนี่ล่ะที่นินทาด่าคนได้แสบร้อนที่สุด! 55555 สุดท้ายเราก็ให้น้องเลือก เราจึงได้ห้องแรกที่อยู่ติดกับทางเข้าบ้าน ดีเหมือนกัน ใครมาอะไรยังไงได้ยินหมด! หลังจากเก็บของเรียบร้อย โฮสต์ก็มาเรียกให้ไปกินอาหารเย็น Welcome meal ของเราวันนั้นคือ มักกะโรนีซอสชีส (คนที่เล่น The Sims คงรู้จักนะคะ ก็ Mac 'n cheese นั่นแหละค่ะ) Mike แอบแซวนิดหน่อยว่าเป็น American Traditional ถ้าพวกเธอชอบ จะได้กินทุกวันเลย 5555 บนโต๊ะอาหารวันนั้นก็มีการสวดมนต์ขอบคุณพระเจ้า (ตอนนั้นไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยกุมมือแล้วทำท่าขอพรตามเขานั่นแหละค่ะ 55) พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันไปตามแต่ที่ชอบ 5555 เนื่องจากเรายังไม่อยากเข้าห้องนอน ก็เลยมานั่งเล่นกับโฮสต์หน้าทีวี (เราเป็นคนประเภทที่ชอบตีสนิทเจ้าบ้านน่ะค่ะ 5555) คุยโน่นนี่ ดูกีฬาเบสบอล (ที่ไม่เข้าใจเลยว่าสนุกตรงไหน ตีลูกแล้วก็วิ่งๆๆ) พอเราเห็นว่าเวลาที่ไทยตอนนั้นเป็นช่วงพักเที่ยง ก็เลยขอรหัส wireless จากโฮสต์ เพื่อจะ online skype บอกแม่ว่า เราถึงบ้านโฮสต์ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องห่วงจ้า! 


       
    Host's place!

       
    เจ้าตัวนี้ชื่อ Oddy ค่ะ ส่วนตัวเล็กๆชื่อ Angel ตัวที่อยู่หลังสุดแก่มากๆแล้วค่ะ ชื่อ Scooby

       
    พื้นที่เก๋ๆหลังบ้านค่ะ 5555

                 
                   ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงวันแรก แต่มันก็ทำให้เราได้รู้อะไรมากขึ้น ทั้งวัฒนธรรมการข้ามถนน การสั่ง Starbucks ครั้งแรกที่ต่างประเทศ รวมถึงได้กิน Macarroni and Cheese ที่เคยใฝ่ฝัน (เพราะ the sims นั่นแหละค่ะ) ทุกสิ่งล้วนเป็นของใหม่สำหรับเราทั้งนั้น และจะยังมีสิ่งใหม่ๆเหล่านั้นอีกมากให้เราได้เรียนรู้ในวันต่อๆไป 




    SEE YA NEXT JOURNEY!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×