ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : First Step in LA
DEAR MY JOURNEY
สำหรับบทนี้จะแนะนำอะไรเล็กๆน้อยๆ แต่คิดว่าหลายคนคงรู้กันอยู่แล้ว เรื่องของใช้ที่จำเป็นนี่ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ Passport แน่นอน ใครๆก็บอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็ควรติดตัวไว้ตลอดเวลาใช่มั้ยคะ แต่เอาเข้าจริงเราไม่เคยพกเลยอ่ะ เวลาไปโรงเรียนก็เก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางตลอด เราจะพกสำเนา Passport มากกว่า อันนี้แนะนำนำคะ การพก Passport ตัวจริงจะเสี่ยงต่อการหาย หรือในกรณีที่เกิดเหตุร้ายเช่นโดนจี้ ปล้น อะไรก็ตามแต่ะแล้วมันติดกระเป๋าที่เขาเอาไปด้วยก็เสร็จเลย แต่ถ้าเรามีสำเนา Passport แยกเก็บไว้ต่างหาก เช่นในกระเป๋ากางเกง หรือที่ซ่อนอื่นๆ ก็จะสามารถระบุได้ว่าเราเป็นใคร เวลาเกิดเหตุร้ายก็นำไปแจ้งความได้ หรือถ้าหากตำรวจสงสัย เห็นหน้าตาเหมือนกะเหรี่ยงจะเข้ามาสอบถามเรา ก็ยื่นสำเนา passport ให้ดูได้เลยค่ะ ไม่ต้องห่วง 555
เรื่องสำคัญต่อมาคือเรื่องอาหารการกิน คนไทยเรานี่ไม่ได้เลยใช่มั้ยคะ ไปไหนมาไหนต้องมีมาม่าหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่ล่ะ รวมถึงอาหารแห้งสไตล์ไทยๆติดตัวตลอดเวลา อย่างน้อยถ้ากินอาหารต่างชาติไม่ได้ก็มีมาม่าย้อมใจสบายหายห่วง! 5555 แต่ขอให้โฟกัสข้อนี้ดีๆเลยนะคะ
สหรัฐอเมริกา ห้าม!!! 1. ผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นของสดทุกชนิด เช่น เนื้อสัตว์ พืชผัก ต้นไม้ ใบหญ้า ส่วนประกอบของพืชไม่ว่าส่วนใดก็ตาม ห้าม!!! นำเข้าเด็ดขาด
2. ผลิตภัณฑ์จากหมูทุกประเภท เช่น หมูหยอง หมูแผ่น ผงปรุงรสที่เป็นรสหมู พวกคนอร์ รสดีรสหมูอ่ะค่ะ ห้าม!! นำเข้าเด็ดขาด (ตอนแรกใส่กระเป๋าไปแล้ว ดีนะเอาออกก่อนบิน 5555)
***สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งของต้องห้ามนำเข้าอเมริกานะคะ ถ้าฝ่าฝืนอาจไม่ใช่แค่โดนยึดแล้วทิ้งธรรมดาๆ ถ้าโชคร้ายอาจโดนค่าปรับได้ แล้วค่าปรับก็อาจสูงจนสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินในประเทศบินไป-กลับเล่นๆได้เลยนะคะ!***
สำหรับคนที่เป็นโรคประจำตัว สามารถนำยารักษาโรคไปได้ค่ะ แต่ต้องมีฉลากภาษาอังกฤษที่ระบุชัดเจนว่าเป็นยาอะไร หรืออาจมีใบรับรองแพทย์ ใบสั่งจากแพทย์อะไรประมาณนี้ติดตัวไปด้วยก็ได้ค่ะ
First time with EVA Air!
ขอต้อนรับท่านผู้โดยสารสู่เที่ยวบิน เอ๊ย! นึกว่าตัวเองเป็นพนักงานสายการบิน 5555 ในที่สุดก็ถึงวันบินที่รอคอย ก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์เราได้ข้อมูลของครอบครัวอุปถัมภ์ (Host Family) ที่โครงการส่งเป็น e-mail มาให้ อ่านดูก็รู้ว่าโฮสต์เป็น single mom ชื่อ Lisa มีลูกสาว 2 คน คือ Anna กับ Brooklyn (ใน e-mail เขียนแบบนี้) เลี้ยงหมา 3 ตัว (ดีใจค่ะ เพราะที่บ้านเราก็เลี้ยง 6 ตัว 555) แล้วก็มีที่อยู่เขียนไว้ข้างล่าง สมัยนี้มันมี google map, google earth ใช่มั้ยคะ เราก็จัดแจงพิมพ์ที่อยู่แล้ว search หาเลย ปรากฏว่าเจอบ้านหลังหนึ่งหลังคาสีหม่นๆหน่อย มีสระว่ายน้ำ กรี๊ดมากเลยค่ะ 5555 นั่งจินตนาการเพ้อพกอยู่คนเดียวว่าจะไปว่ายน้ำนะ จะไปนอนอ่านหนังสือข้างสระนะ กรี๊ดกร๊าดจนแม่บ่น 5555 พอนึกได้ก็โทรหาเพื่อน ให้เพื่อนบอกที่อยู่โฮสต์แล้ว search เผื่อจะอยู่ใกล้บ้านกัน ถ้าว่างๆอาจไปหากันได้ สรุป seach มา อยู่คนละโยชน์เลยค่ะ อีกย่านนึงเลย คือจริงๆแล้วทางโครงการเขาจะสุ่มให้พวกเราพัก 2 คน ต่อ 1 ครอบครัวอุปถัมภ์ค่ะ พอเป็นการสุ่ม เรากับเพื่อนก็เลยต้องแยกกัน เราอ่านชื่อเด็กอีกคนที่จะพักบ้านเดียวกับเรา (ขอเรียกว่า housemate) นะคะก็รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน สรุปว่าเป็นน้องที่เคยพักห้องเดียวกันตอนเข้าค่ายนั่นเอง ชื่อน้องหญิง อายุน้อยกว่า 2 ปี พักนึงน้องก็โทรมาพอดี บอกว่าอ่านชื่อแล้วคุ้นๆเลยลองโทรมาหา สรุปว่าก็ใช่นั่นแหละค่ะ 5555 พอเห็นว่าเคยพักด้วยกันตอนเข้าค่ายแถมมาเป็น housemate อีกก็เลยคิดว่าคู่อื่นๆคงจะเป็นเหมือนกันหมด รู้สึกโชคดีที่ได้น้องคนนี้เป็น housemate เพราะคุยกันรู้เรื่องค่ะ ตอนแรกกลัวไปเจอเด็กที่อายุน้อยกว่าเยอะ กลัวว่าเดี๋ยวเราจะแก่เกินไปที่จะเข้ากับเด็กๆได้ 5555
โอเค กลับมาที่เรื่องบิน 5555 กระบวนการก็เดิมๆค่ะ โหลดกระเป๋า บอกลาพ่อแม่ญาติพี่น้องที่มาส่ง น้องๆหลายคนร้องไห้เพราะไม่เคยจากพ่อแม่ไปไกลแล้วก็นานขนาดนี้ ส่วนเราชิวมาก 555 แม่เราทำหน้าแบบ อือๆ ไปดีๆนะ หน้าตาไม่เศร้าสร้อยเลย 555 (แม่บอก 1 ปีก็ปล่อยให้ไปมาแล้ว แค่ 1 เดือน จิ๊บๆ หมูๆ 555) พอได้เวลาสมควร ทางโครงการก็เรียกรวมกลุ่มให้ครูอีก 2 ท่านที่มีหน้าทีดูแลเรื่องซัมเมอร์เดินพาเข้าไปผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (เนื่องจากมีเด็กๆเยอะ เลยต้องมีคุณครูอีก 2 ท่านไปร่วมกันดูแล ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยสนใจหรอก เพราะตอนไป AFS ก็อยู่ด้วยตัวเองได้ เลยคิดว่าสำหรับเราคงไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแลขนาดนี้) พอผ่านมากันหมดทุกคน น้องๆรวมถึงเราก็เดินเกาะกลุ่มไป gate กัน ตอนนี้เราได้รู้จักเพื่อนวัยเดียวกันเพิ่มเป็น 3 คนแล้วนับรวมคนนั้นที่เจอที่สถานทูตด้วย ก็ดีใจที่ได้รู้จักเพื่อนต่างสถาบัน (บางคนก็สถาบันเดียวกันแต่คนละคณะ) พวกเรานั่งรอ gate เปิดประมาณชั่วโมงนึง ตอนนี้เด็กๆเริ่มหายเศร้าแล้วก็คุยกันเสียงดัง 5555 แต่น่ารักดีค่ะ เราเองก็ไม่เคยอยู่กับเด็กมากมายขนาดนี้มาก่อน ตลกดี 555 ในที่สุดเครื่องของ EVA AIR ก็มาถึง มันเป็นเครื่องขนาดใหญ่ แต่ลำเรียวๆหน่อย สีหลักๆคือเขียวกับขาว เป็นสายการบินของไต้หวันค่ะ แอร์โฮสเตสท์ก็เลยออกหมวยๆหน่อย แต่ก็มีคนไทยอยู่บ้างค่ะ พอถึงคิวพวกเราชั้น Economy ขึ้นเครื่อง ครูก็พาน้องๆต่อแถวกันเข้าไป พวกเราเด็กโข่งก็เดินตามหลัง แยกย้ายกันหาที่นั่งตามตั๋วของตัวเอง เราได้นั่งแยกกับเพื่อน มาอยู่ใกล้น้องคนนึงตรงที่นั่งโซนกลางแถวแรกค่ะ (ดีใจเหมือนกันที่มีที่ยืดขาให้ 555) แต่ก็หวังไว้ว่าเที่ยวที่บินยาวไปอเมริกาจะได้นั่งข้างหน้าต่าง อยากเห็นวิวของ Los Angles ซักครั้งในชีวิต!
ก้าวแรกที่ Taoyuan International Airport, Taiwan
หลังจาก 3 ชั่วโมงครึ่งอันหรรษาบนเครื่อง EVA Air พวกเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติของไต้หวัน จำได้ว่าประมาณ 2 ทุ่มกว่าซึ่งเวลาท้องถิ่นของไต้หวันจะเร็วกว่าที่ไทย 1 ชั่วโมง ดังนั้นหากที่ไต้หวัน 2 ทุ่มก็หมายความว่าที่ไทยเพิ่งจะ 1 ทุ่ม ตั๋วอีกใบที่ได้มาบอกเวลาเข้า gate ตอน 5 ทุ่ม ดังนั้นพวกเราก็เลยมีเวลาอีกสามชั่วโมงที่จะเดินเล่นใน Ever Rich Duty Free ของไต้หวันเพื่อฆ่าเวลารอ gate เปิด เรากับเพื่อนเดินสำรวจเล็กๆน้อยๆเพราะขี้เกียจเดิน ก็มีแต่ของ Brandname ราคาสูงทั้งนั้น อีกอย่างยังไม่พร้อมจะเสียทรัพย์ตอนนี้เนื่องจากยังไปไม่ถึงกลางทางเลย 5555 พอเดินได้พักนึงพวกเราก็ถ่ายรูปเล่นกัน สังเกตุได้ว่าที่สนามบินนี้จะโปรโมต Kitty มากๆเลย เพราะไปทางไหนก็เห็นแต่ Kitty ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กก็ตกแต่งแบบ Kitty ค่ะ ตอนแรกสงสัยตั้งนานว่าเป็นห้องอะไร พอเข้าไปดูก็ถึงบางอ้อ แหม นึกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ Hello Kitty เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมรอเวลาเครื่องออกซะอีก 5555 พักใหญ่ๆเพื่อนเราก็มานั่งหา wifi หยิบ iPod เล่น skype แล้วก็คุยกับครอบครัว เราก็นั่งว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรเลยเล่น skype มั่ง เจอเพื่อนอีกคนก็คุยๆไป ซักพักเพื่อนใน skype บอก ให้ไปคุยกับแม่มั่งสิ เราก็แบบ เพิ่งจากกันมาไม่ถึง 3 ชั่วโมงเลย มันก็เจ้ากี้เจ้าการโทรไปบอกแม่เราให้ online skype สุดท้ายเราก็เลยได้คุยกับแม่โดยที่ไม่รู้จะคุยอะไร พูดง่ายๆ เหมือนแม่เปิดโทรทัศน์โชว์เสียงพี่โดมมากกว่า (วันนั้นเป็นคืนวันจันทร์ รักไม่มีวันตายกำลัง on-air กรี๊ดมากค่ะ!!!!ที่ต้องบินวันนี้ ตอนนั้นเซ็งมากที่ทำไมรักไม่มีวันตายถึงมาช่วงนี้ 55555 แต่เอาเถอะไว้กลับมาค่อยดูย้อนหลัง) พอได้เวลาเข้า gate เราก็โบกมือบ๊ายบายแม่ แล้ววิ่งตามน้องๆเข้าไป สนามบิน Taoyuan นี่ไม่ใหญ่เท่าสุวรรณภูมินะคะ ก็เลยไม่ต้องเดินไกลเท่าไหร่ แถม gate ก็หาง่าย จึงไม่มีน้องๆคนไหนพลัดหลงซักคน
สนามบินนานาชาติไต้หวัน ยินดีต้อนรับค่ะ! นี่ไง ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อมสไตล์ Kitty!!
มุมเก๋ๆของสนามบิน (หนังสือจริงนะนั่น)
ตั๋วบินไป LA ฮึ่ย!อีกนิดนึงก็ข่างหน้าต่างแล้ว!
กว่าเครื่องจะออกก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน เราได้นั่งเกือบใกล้หน้าต่าง ห่างกันเพียงแค่ทางเดินกั้น!! โธ่ แต่ไม่เป็นไร เรามีเพื่อนต่างมหา'ลัยที่เพิ่งรู้จักนั่งข้างหน้าต่างพอดี (น่าอิจฉามาก!) ก็เลยกะว่าจะฝากถ่ายวิวตอนเครื่องลงที่ LA เพื่อนเราที่มาด้วยกันก็ขอแลกตั๋วกับน้องมาเรื่อยๆเพื่อมานั่งข้างเรา นี่เป็นการเดินทางออกต่างประเทศครั้งแรกของชี แถมใช้เวลานาน ชีก็เลยไม่อยากนั่งเหงาเหมือนคราวบินจากกรุงเทพฯมาไต้หวันคนเดียว พอชีได้นั่งข้างเราก็ดีใจใหญ่ 555 แล้วก็หน้ามุ่ยตอนที่มองจอแล้วพบว่าเครื่องเพิ่งผ่านเกาะญี่ปุ่นเอง เป็นเที่ยวบินที่นานมากเลยค่ะ! เราเองก็เคยนั่งเครื่องนานๆประมาณ 14 ชั่วโมงได้ (จากเยอรมันไปบราซิล) แต่นั่นมันผ่านมาหลายปีแล้วก็เลยลืมความรู้สึกทรมานแบบนั้นไปหมดแล้ว ประมาณ 13 ชั่วโมงจากไต้หวันไป LA ก็คงให้ความรู้สึกไม่ต่าง ทั้งเมื่อยทั้งเพลีย หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึงซักที 5555 ครั้งสุดท้าย พอมองหน้าจอแล้วเห็นว่าเหลืออีก 3 ชั่วโมงเราก็ลุกขึ้นมานั่งดูหนัง ฟังเพลงเลยค่ะ ไม่นงไม่นอนมันแล้ว! แอร์ฯก็เสิร์ฟอาหารมื้อสุดท้ายก่อนเครื่อง Landing ให้ คราวนี้น้องๆหลายคนเริ่มตื่นเต็มตา ไม่มีใครนอนต่ออีกเลย กัปตันประกาศลดระดับเครื่องแล้วให้แอร์ฯตรวจดูความเรียบร้อยของผู้โดยสาร ให้ปรับเก้าอี้สู่สภาพเดิม เปิดหน้าต่างตามกฎก่อนเครื่องลงตามปกติ คราวนี้ทำให้เราเห็นเมือง Los Angeles ได้เต็มตาเลยค่ะ มันสวยมาก!!! ไฟเป็นสีส้มทั้งแถบเลย ยังกับอยู่บนสวรรค์ 5555 เราเลยให้เพื่อนที่นั่งข้างหน้าต่างถ่ายรูปให้เลยโดนแอร์ฯดุไป 1 ที โทษฐานใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขณะเครื่องกำลังลงจอด (เขาห้ามใช้เนื่องจากจะไปรบกวนคลื่นสัญญาณการบินค่ะ) วันนั้นจำได้ว่าใจเต้นตุบตับเพราะตื่นเต้นมาก ในที่สุดก็จะได้เหยียบอเมริกาอย่างฝันซักที
อาหารมื้อแรกบนเครื่องค่ะ อาหารมื้อก่อนลง LAX
อาหารมื้อแรกบนเครื่องค่ะ อาหารมื้อก่อนลง LAX
สนามบิน Taoyuan,Taiwan
ก้าวที่สอง ณ LAX (LA International Airport)
พอผ่านงวงช้างเข้ามาในสนามบินก็พบว่าคนเยอะมาก!! มากๆๆๆจริงค่ะ แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกผมสีเข้มทั้งนั้น มีทั้งคนเอเชีย (ไทย จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น) คนแม็กซิกัน อันที่จริงด่านตรวจคนเข้าเมืองเขาก็แบ่งช่องไว้สำหรับคนสัญชาติอเมริกัน นักท่องเที่ยวแล้วก็คนสัญชาติแม็กซิกัน แต่เนื่องจากคนเยอะจนแถวยาวเป็นหางว่าว เจ้าหน้าที่ก็เลยจัดแจงให้ทุกคนเข้าช่องไหนก็ได้ตามสบายเลย เราก็คิดในใจ ช่องไหนก็เอาเหอะ คนเยอะเหมือนกันหมด จะสามทุ่มแล้วยังไปไม่ถึงไหนเลย! ช่วงที่กำลังรออยู่ก็ได้ยินเสียงประกาศจากสนามบินมีทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาสเปน (เนื่องจากมีคนแม็กซิกันมาก) ภาษาเกาหลี? (น่าจะนะ) แล้วก็ภาษาไทย! (จากสายการบินไทย ที่มีเคาร์เตอร์อยู่ใน LAX แห่งนี้) รอเพลินๆ คุยกับเพื่อนไปซักพักก็เริ่มเข้าใกล้ด่านตรวจมากขึ้น เผยให้เห็นอิตาแม็กซิกันหน้าโหดกับอาตี๋หน้าเฮี้ยบสองคนซึ่งอยู่ในล๊อคที่เราต่อแถวอยู่ เพราะล๊อคๆนึงจะสามารถทำการตรวจได้ 2 คน เราก็มองพิจารณา ไปเข้าช่องไหนดีฟะที่ดูน่ากลัวน้อยที่สุด ยิ่งใกล้ก็ยิ่งระทึก (อีกแล้ว) เพราะหน้าเรามีชายคนจีนซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย (คิดว่ามากับทัวร์) ถูกกักตัวไว้ยังไม่ให้ผ่านไปเนื่องจากไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้ เราก็คิดในใจเวรแล้ว! ได้อิตาแม็กซิกันนี่ด้วย ทำไงดี??? พอถึงคิว เราก็มาลักษณะเดิมคือยิ้ม บ่งบอกให้รู้ว่าเมืองไทย Land of Smile ค่ะ 5555 ขั้นแรกเขาให้เราสแกนลายนิ้วมือก่อน แล้วก็อ่านชื่อเราใน Passport ผิดๆถูกๆ ทำเราเสียสมาธิหมด ต่อมาก็ถามว่าจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้คืออะไร เราก็ตอบเขาไปมาว่าเรียนคอร์สสั้นๆกับทัศนศึกษา มีท่าทางประกอบด้วยเผื่อเขาไม่เข้าใจ 5555 ก็อิตานี่หน้าโหดมาก! ไม่ยิ้มตอบ จ้องหน้าเราอย่างเดียว สงสัยตัวจริงจะสวเกินรูปใน passport กร๊าก!!! ถามเราว่าจะไปพักที่ไหน เราก็ตอบ Glendora พักนึงเขาก็ประทับตาเข้าเมืองให้เป็นอันเสร็จพิธี ผ่านเรียบร้อย พอดีกับที่เพื่อนเราออกมาจากล๊อคของอาตี๋หน้าเฮี้ยบ มันก็เล่าให้ฟังว่าเขาไม่ถามอะไรเลย พิมพ์ๆ ปั้มๆ แล้วก็ให้ออกมา แหม โชคดีจริงๆ!ที่ไม่ได้เจออะไรสั่นประสาทแบบเรา 5555
ใกล้ถึงแล้ว!!! อีกนิดนึงๆ ลุ้น! 555
พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ไปเอากระเป๋าจากรางก่อนไปรวมตัวกับคนอื่นๆซึ่งมีครูท่านนึงโบกป้ายชื่อเป็นสัญญาณอยู่ ด้วยความที่เพื่อนเราตื่นเต้นมากก็เลยถ่ายรูปวิวเอาไว้ วินาทีนั้นเองคุณตำรวจผิวสีก็เดินเข้ามา ชีบอกว่าห้ามถ่ายรูปบริเวณนี้ แถมยังขอให้เพื่อนเราเปิดรูปที่ถ่ายเมื่อกี้ให้ดูอีก ชีก็บอกว่าเก็บกล้องซะ อย่าเอาออกมาอีก แล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้พวกเรายืนอกสั่นขวัญแขวนกันสองคน เพื่อนเรารีบเก็บกล้องเลยคราวนี้ แล้วก็บ่นๆว่า อุตส่าห์เอากล้อง EOS มา อิธ่อ! ถ่ายแค่นี้ก็ไม่ได้ แหม มันเป็นกฎรักษาความปลอดภัยของสนามบินเค้าย่ะ! พอคนครบเรียบร้อยพวกเราก็เดินออกจากตรงนั้นขึ้นทางลาดมายังสนามบินด้านบน มีคนมากมายยืนถือป้ายรอรับญาติ เพื่อนหรือคนรู้จักอยู่ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าแต่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมีแพนด้าให้คนพวกนั้นยืนมุงดูเลย 5555 พักนึงก็มีฝรั่งพุงโตเดินเข้ามาหาพวกเรา เขาเป็นคนผิวขาว ท่าทางมีอายุ แต่ตัวสูงใหญ่ หน้าตาใจดี เขาบอกกับครูว่าเป็นคนของ FLS (เอเจนซี่ที่รับผิดชอบโครงการในอเมริกา) มารับพวกเราทุกคนไปยังที่พักก่อน เพราะตอนนี้เริ่มดึกแล้ว ยังพาเข้าไปที่โรงเรียนหรือไปหาโฮสต์เลยไม่ได้ เสร็จสรรพก็เดินนำไปขึ้นรถ ระหว่างนั้นก็มีเด็กหนุ่มรุ่นๆเดียวกับเรา (คิดว่านะ) เดินตามมาด้วย เขาเป็นคนที่นี่แหละ แต่หน้าออกไปทางเอเชียหน่อยไม่ใช่อาตี๋นะ ประมาณฟิลิปปินส์มากกว่า ผิวคล้ำและไว้ผมยาวประบ่า เอาง่ายๆ คิดถึง Taylor Lautner ที่เล่นบท Jacob ใน Twilight Saga สิ แบบนั้นเลย แต่คนนี้ตัวเล็กแล้วก็ผอมเก้งก้าง เขายิ้มให้พวกเราท่าทางเป็นมิตรแถมยังช่วยยกกระเป๋าอันแสนหนักอึ้งอย่างกับตึกขึ้นรถด้วย เราเองก็เกรงใจเลยขอยกเอง แต่เขาว่าไม่เป็นไร ให้ขึ้นรถไปเลย แหม น่ารักจริง! 5555
พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ไปเอากระเป๋าจากรางก่อนไปรวมตัวกับคนอื่นๆซึ่งมีครูท่านนึงโบกป้ายชื่อเป็นสัญญาณอยู่ ด้วยความที่เพื่อนเราตื่นเต้นมากก็เลยถ่ายรูปวิวเอาไว้ วินาทีนั้นเองคุณตำรวจผิวสีก็เดินเข้ามา ชีบอกว่าห้ามถ่ายรูปบริเวณนี้ แถมยังขอให้เพื่อนเราเปิดรูปที่ถ่ายเมื่อกี้ให้ดูอีก ชีก็บอกว่าเก็บกล้องซะ อย่าเอาออกมาอีก แล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้พวกเรายืนอกสั่นขวัญแขวนกันสองคน เพื่อนเรารีบเก็บกล้องเลยคราวนี้ แล้วก็บ่นๆว่า อุตส่าห์เอากล้อง EOS มา อิธ่อ! ถ่ายแค่นี้ก็ไม่ได้ แหม มันเป็นกฎรักษาความปลอดภัยของสนามบินเค้าย่ะ! พอคนครบเรียบร้อยพวกเราก็เดินออกจากตรงนั้นขึ้นทางลาดมายังสนามบินด้านบน มีคนมากมายยืนถือป้ายรอรับญาติ เพื่อนหรือคนรู้จักอยู่ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าแต่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมีแพนด้าให้คนพวกนั้นยืนมุงดูเลย 5555 พักนึงก็มีฝรั่งพุงโตเดินเข้ามาหาพวกเรา เขาเป็นคนผิวขาว ท่าทางมีอายุ แต่ตัวสูงใหญ่ หน้าตาใจดี เขาบอกกับครูว่าเป็นคนของ FLS (เอเจนซี่ที่รับผิดชอบโครงการในอเมริกา) มารับพวกเราทุกคนไปยังที่พักก่อน เพราะตอนนี้เริ่มดึกแล้ว ยังพาเข้าไปที่โรงเรียนหรือไปหาโฮสต์เลยไม่ได้ เสร็จสรรพก็เดินนำไปขึ้นรถ ระหว่างนั้นก็มีเด็กหนุ่มรุ่นๆเดียวกับเรา (คิดว่านะ) เดินตามมาด้วย เขาเป็นคนที่นี่แหละ แต่หน้าออกไปทางเอเชียหน่อยไม่ใช่อาตี๋นะ ประมาณฟิลิปปินส์มากกว่า ผิวคล้ำและไว้ผมยาวประบ่า เอาง่ายๆ คิดถึง Taylor Lautner ที่เล่นบท Jacob ใน Twilight Saga สิ แบบนั้นเลย แต่คนนี้ตัวเล็กแล้วก็ผอมเก้งก้าง เขายิ้มให้พวกเราท่าทางเป็นมิตรแถมยังช่วยยกกระเป๋าอันแสนหนักอึ้งอย่างกับตึกขึ้นรถด้วย เราเองก็เกรงใจเลยขอยกเอง แต่เขาว่าไม่เป็นไร ให้ขึ้นรถไปเลย แหม น่ารักจริง! 5555
Finally,I've made it!,,,Los Angeles
มีรถโค้ช 2 คันที่มารับเรา คันแรกค่อนข้างใหญ่ อีกคันเล็กลงมาหน่อย พอทุกอย่างเรียบร้อย รถโค้ชก็พาเรามุ่งไปตามถนนสู่ทาง freeway ที่จะพาเราข้ามไปเมืองต่างๆ ข้างทางมีแต่แสงไฟสีส้มจากถนน ถ่ายรูปออกมาก็เลยไม่สวย และเนื่องจากเพื่อนเรามันหลับไปแล้วก็เลยไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่นั่งฟังเพลงมองวิวข้างทางไปเรื่อยๆ อันที่จริงก็ง่วงแถมเพลียจากการนั่งเครื่องนานๆมาก แต่ยังไม่อยากหลับตอนนี้ กลัวพลาดของดี 5555 เลยทนนั่งแหกตาไปจนถึงที่พัก มันคือโรงแรม Best Western นั่นเอง โอ...นั่งรถมา 1 ชั่วโมงกว่าๆก็ถือว่าคุ้มนะที่จะได้พักที่นี่! พอได้กุญแจเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็แยกย้ายเข้าห้องพักกัน ห้องพักถูกแบ่งชายกับหญิง ห้องละ 4 คน คราวนี้ให้จับกลุ่มเอง เราก็พักกับเพื่อนๆมหา'ลัยด้วยกัน เนื่องจากเวลานั้นที่ไทยคงเช้าแล้ว แถมตั้งแต่เครื่องลงก็ไม่ได้กินอะไรอีก เพื่อนเราก็เลยหิว จะต้มน้ำกินมาม่าก็ไม่ได้เนื่องจากมาม่าที่เอามาเป็นบรรจุภันฑ์แบบซองทั้งนั้น คราวนี้เลยคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อยว่าต้มน้ำแล้วเอามือรองแทนถ้วยสิ! นี่แหละความคิดเด็กมหา'ลัย ใครที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมโปรดใช้วิจารณญาณในการเลือกมหา'ลัยดีๆนะจ๊ะ 5555 พอดีกับที่เพื่อนผู้ชายอีกคนวิ่งมาชวนไปซื้อ McDonald ที่อยู่ใกล้ๆ เรากับเพื่อนก็เลยตามออกไป ทิ้งอีกสองคนที่เหลือให้เฝ้าห้อง ปรากฎว่าเคาร์เตอร์หน้าร้านปิดแล้ว เด็กกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ก็เลยอดกิน Mc ไปโดยปริยาย เหลือแต่โซนที่เป็น Drive Thru เท่านั้นที่เปิดบริการ และนี่ก็คือความคิดของเด็กมหา'ลัยอีกแล้ว คือปล้นรถใครซักคนมาแล้วขับไปซื้อ หรือไม่ก็ขอติดรถไปด้วยแล้วให้เขาสั่งอาหารให้ อ่าห๊ะ ไอเดียเยี่ยมไปเลยใช่มั้ย? 55555 สุดท้ายเพื่อนเราก็ต้องกลับมานั่งกินมาม่ากรอบๆที่ห้องอย่างเอน็จอนาจ ก่อนเข้านอนในที่สุด จำได้ว่าลุงฝรั่งจะเอารถมารับ 7 โมงเช้า แล้วตอนนั้นรู้สึกจะตี 1 แล้ว พวกเราก็เลยรีบนอนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับวันต่อไป!
ห้องพักที่ Best Western (พักระหว่างทางไป Glendora)
ห้องพักที่ Best Western (พักระหว่างทางไป Glendora)
SEE YA NEXT JOURNEY!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น