นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น
ทำไมถึงทำอย่างนี้ ทำไมไม่ออกไปสู่โลกแห่งแสงสว่างล่ะ อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็จะมีความสุขเหมือนคนอื่นๆแล้ว ถ้าจะให้ตอบผมคงบอกได้แค่ว่า...นี่แหละสิ่งที่ผมเป็น
ผู้เข้าชมรวม
338
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ติ๋ง..ติ๋ง..
เสียงหยดน้ำดังมาจากที่ไหนกัน ถ้าผมจำไม่ผิดมันต้องเป็นเสียงน้ำหยดแน่ๆ
แต่ทำไม...ทั้งๆที่ ที่นี่ไม่เคยมีเสียงอะไรเลยมานานนานมากแล้วจนผมจำไม่ได้ว่านานเท่าไร
รู้อยู่อย่างเดียวว่าผมก็อยู่ที่นี่มานานพอๆกับมัน ความมืดและความเงียบ
ที่เหมือนกับว่าจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม มันเป็นทุกสิ่งจริงๆจนเกือบจะเข้ามาในจิตใจของผมได้แล้ว
ทุกวัน ทุกวัน ผมค่อยๆหมดความรู้สึกลงเรื่อยๆ ไม่มีความคิด ไม่อยากทำอะไรเลย
เหมือนตุ๊กตาตัวเก่าๆที่มีคนนำมาโยนทิ้งไว้
ทั้งๆที่มันเกือบจะครอบงำผมสำเร็จแล้วเชียว กลับเกิดเสียงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน
ปลุกผมขึ้นจากภวังค์ที่มืดมนยิ่งกว่านรก ความคิดบางอย่างสว่างวาบขึ้นในใจผม
หรือว่าจะมีคนมาช่วยผมออกจากสถานที่ที่แสนจะเงียบเหงา วังเวงนี้แล้ว
แม้ว่าผมจะเลิกหวังไปนานแล้ว แต่เมื่อมีแสงสว่าง แม้เพียงน้อยนิด
ผมก็อยากจะคว้าเอาไว้ ผมพยายามประคองร่างกายของตัวเอง ที่นับวันจะติดขัดและส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดผิดปกติ
ขึ้นมาจากพื้นหรืออะไรก็ไม่ทราบที่ผมดำรงอยู่มานาน ผมเดินไปที่เสียงนั่น แล้วผมก็ได้เห็น
มันคือแสงสว่าง แม้จะเพียงน้อยนิดแต่มันคือสิ่งที่ผมคิดถึง และเฝ้าถวิลหาอยู่ทุกวัน
ผมคนที่อาศัยในโลกมืด ไม่เคยมีแม้แต่แสงหิ่งห้อยหรือไม้ขีดไฟ ที่สามารถเพิ่มความอบอุ่นให้ได้
ผมรู้สึกว่ากำลังวังชาที่หดหายไปเริ่มฟื้นขึ้นมาใหม่ ผมเริ่มวิ่งด้วยความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
หวังว่าจะไปยังที่ที่มีแสงสว่างเร็วๆ แต่ทำไมยิ่งผมพยายามเท่าไร
แสงสว่างอันอบอุ่นอ่อนโยนก็ยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆเหมือนจะแกล้งผม
ผมพยายามร้องตะโกนให้มันช่วยหยุดรอผมก่อน นี่คือเสียงของผมที่แม้แต่ผมเองก็ไม่ได้ยินมานานแล้ว
จนคิดว่าตัวผมเองคงพูดไม่ได้ ผมวิ่ง วิ่ง วิ่ง ไม่ได้หยุด
จนแสงนั่นหยุดลงเหมือนรถเมล์จอดแวะรับผู้โดยสารตามป้าย ผมรีบปรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว
เพราะกลัวว่ามันจะบึ่งหนีผมไปซะก่อน แต่พอผมวิ่งไปถึง มันก็กลับส่งแสงกระพริบริบหรี่เตรียมดับเต็มทน
เหมือนกับว่าตัวมันเองเป็นยุงที่มีวงจรชีวิตแสนสั้น เกิดขึ้นมาให้ผมชื่นใจเพียงไม่นาน
ก็จะลาโลกอันแสนน่าอึดอัดของผมไป เอ๊ะ หรือไม่ใช่ โลกของผมไม่ได้อึดอัดสักหน่อย
มันทั้งใหญ่โต กว้างขวาง กว้างมากซะจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ต่างหาก
ผมรีบก้มลงอุ้มดวงแสงนั้นมาไว้ในอุ้งมืออย่างทะนุถนอม ผมมองมันด้วยความรู้สึกชื่นชม
และกระหายเข้าไปสู่แสงสว่าง ด้านที่ผมไม่สมควรไปเหยียบย่าง เพราะผมถูกกำหนดว่าต้องมาอยู่ที่นี่
ทำไม ทำไม ทำไม ผมได้แต่ถามย้ำตัวเองเช่นนี้ ว่าใครกันเป็นผู้กำหนดว่าผมควรอยู่ที่ไหน
ทำไมคนอื่นถึงไม่โดนเหมือนผม ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีความสุข เพราะพวกเขาได้อยู่ท่านกลางแสงสว่าง
ที่ผมไม่มี ความคิดอิจฉา เคียดแค้น และน้อยใจ เริ่มเข้าครอบงำผมทีละนิด
ดวงแสงน้อยในอุ้งมือผมก็ค่อยๆดับไปทีละนิดเช่นกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันยังคงส่องแสง
เพื่อให้แสงสว่างแก่ผมอยู่เลย ผมเลิกสนใจมันโดยสิ้นเชิง ผมเดินจากมา
โดยทิ้งความคิด ความหวัง ความฝันทุกอย่าง ไว้เบื้องหลังแล้วมุ่งหน้ากลับไปสู่ความมืดมิดเหมือนเดิม
กลับไปสู่ตัวตนที่แท้จริงของผม...
ถ้าถามว่า ทำไมผมถึงทำอย่างนี้ ทำไมไม่ออกไปสู่โลกแห่งแสงสว่างล่ะ
อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้นเอง ผมก็จะมีความสุขเหมือนกับคนอื่นๆแล้ว
แล้วคุณรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าผมอยู่อย่างนี้ไม่มีความสุข เมื่อออกไปแล้วผมจะดูดีขึ้นงั้นหรือ
ใช่แล้วผมไม่เหมาะกับแสงสว่างที่เจิดจ้าอย่างนั้นหรอก ผมก็แค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ
ที่ขอพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ ผมไม่เคยคิดหวังสิ่งใดที่มากไปกว่าแสงสว่างดวงเล็กๆ
ที่นานๆครั้งจึงมาให้ผมเห็นและสัมผัสสักทีก็พอ...
นี่เป็นเรื่องสั้นแบบพรรณนา ย่อๆใจความหลักคือ นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น ไม่เชิงเป็นบทความและปรัชญามากมาย
เหมือนสมัยเขียนส่งอาจารย์ตอนมัธยมต้น ซึ่งต้นฉบับในสมัยนั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว (ทั้งๆที่ผ่านมาไม่
นานเท่าไร) รู้สึกว่าเรื่องนั้นตอนแรกกะว่าจะบรรยายความรู้สึกของนักโทษที่ติดคุกออกมาเป็นรูปธรรมมากกว่า
ความทรมานธรรมดา แต่มาคราวนี้เขียนใหม่ มองมุมกลับว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยากมีอยากได้ในสิ่งที่ตนไม่มี บาง
คนก็พอใจแล้วแม้ว่าสิ่งแล้วนี้จะแย่มากในสายตาของใครบางคนก็ตาม นี่เป็นเพียงบทพรรณนาความรู้สึกที่ไม่ค่อย
ละเมียดละไมเท่าไร เนื่องจากห่างผลงานด้านนี้มานานแล้วมัวแต่มุ่งนิยายแฟนตาซีซะมากตามแฟชั่นสมัยนี้ เป็น
การร่ายความรู้สึกผ่านตัวละครสมมติที่คนเขียนอยากให้ผู้อ่านได้จินตนาการเองว่าตัวละครในเรื่องน่าจะเป็นใคร
ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ มีเหตุผลอะไรรองรับการกระทำของเขาได้บ้างซึ่งบางคนอาจจะได้ไม่เหมือนกัน แล้วแต่วุฒิ
ภาวะของแต่ละบุคคล อยากชี้แจงนิดหนึ่งว่าในบทความเรื่องแรกของผู้เขียนที่ได้เกริ่นไว้ในตอนต้นว่ามันหายไป
แล้ว ซึ่งเป็นบทความที่ผู้เขียนภูมิใจมากเป็นพิเศษถึงขนาดอาจารย์ชมเปาะทีเดียว เกือบจะได้แต่งส่งประกวดแล้ว
แต่ผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่แนวที่ถนัดจึงชิ่งหนีมาซะก่อน บทความที่กล่าวถึงนี้มีอิทธิพลต่อบทความที่เพิ่งแต่งนี้มาก
โดยใช้ความคิดในการแต่งคล้ายๆกัน แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว สิ่งที่เหมือนกันคือ แม้ผู้อ่านจะวางโครงครั้งแรก
จากนักโทษแต่ก็ไม่ได้เขียนเน้นไปที่ส่วนนั้นยังคงอยากให้ผู้อ่านจินตนาการไปเองมากกว่า จึงไม่มีใครรู้เลยว่า
บุคคลสมมติในเรื่องเป็นใครนอกจากตัวผู้เขียนเอง แต่งไปแต่งมาผู้แต่งกลับนึกไปถึงพิน็อกคิโอซะงั้น (ตุ๊กตาไม้ที่
กลายเป็นคนในนิทานสุดฮ็อตสมัยยังเด็ก) ผู้เขียนนั่งคิดนอนคิดมาหลายปีแล้วว่าจะแต่งบทความนั้นใหม่แต่ก็ทำ
ไม่ได้ เพราะมันจะไม่ได้อรรถรสเช่นเดิม ในที่สุดวันนี้จึงได้แต่งเรื่องใหม่ขึ้นมาให้มันขัดกับเรื่องเก่าไปเลย เพราะ
เรื่องนั้นจะมืดมนมาก อ่านแล้วหดหู่นิดๆแต่ก็รู้สึกดีไปด้วย แถมปรัชญาชีวิตและหลักธรรมะนิดหน่อยที่ไม่ทราบ
ว่าท่านอาจารย์สอนภาษาไทยที่เป็นคนอ่านเพียงคนเดียวจะรู้รึเปล่าว่าลูกศิษย์แต่งโดยใช้ความคิดลึกซึ้งแค่ไหนใน
หน้ากระดาษ A4 แผ่นเดียว เพราะไม่เคยถามท่านเลยสักครั้ง แม้เรื่องที่แต่งใหม่นี้จะไม่ค่อยดีนัก แต่ผู้เขียนก็กลั่น
มาจากใจทีเดียว แต่งรวดเดียวจบภายใน 10 นาที ภายในช่วงเวลานี้จะ Gold Time ที่สุดสำหรับผู้เขียนที่จะเขียน
ให้เรื่องปะติดปะต่อออกมาได้ยืดยาวแบบเขียนไม่ทัน และลายมือก็อ่านไม่ออกต้องมานั่งแกะกันทีหลัง (ปาด
เหงื่อ) ได้แต่หวังว่าผู้อ่านทุกท่านที่ได้หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้จะได้อะไรติดมือกลับไปบ้างไม่มากก็น้อย ถ้ามีอะไรติ
ชม เชิญคอมเมนท์ได้แบบไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ จะได้นำไปปรับปรุงและแต่งใหม่อีกเรื่อยๆ เพราะผู้เขียนเข้าใจว่านี่
เป็นแนวที่ถนัดมากๆของผู้เขียน คือ เครียดนิดๆกดดันหน่อยๆ แต่งเรื่องสนุกไม่ค่อยขึ้นจริงๆแต่ลองดูมาหลายปี
แล้วอาจจะพอกล้อมแกล้มไปได้มั่ง จะมาลองลงให้ทุกท่านได้ลองอ่านกันค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะที่เข้ามาอ่านมาชม
ผลงานอื่นๆ ของ นานาจิตตัง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ นานาจิตตัง
ความคิดเห็น