นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น - นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น นิยาย นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น : Dek-D.com - Writer

    นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น

    ทำไมถึงทำอย่างนี้ ทำไมไม่ออกไปสู่โลกแห่งแสงสว่างล่ะ อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็จะมีความสุขเหมือนคนอื่นๆแล้ว ถ้าจะให้ตอบผมคงบอกได้แค่ว่า...นี่แหละสิ่งที่ผมเป็น

    ผู้เข้าชมรวม

    338

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    338

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 ธ.ค. 49 / 11:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ติ๋ง..ติ๋ง..

      เสียงหยดน้ำดังมาจากที่ไหนกัน ถ้าผมจำไม่ผิดมันต้องเป็นเสียงน้ำหยดแน่ๆ

      แต่ทำไม...ทั้งๆที่ ที่นี่ไม่เคยมีเสียงอะไรเลยมานานนานมากแล้วจนผมจำไม่ได้ว่านานเท่าไร

      รู้อยู่อย่างเดียวว่าผมก็อยู่ที่นี่มานานพอๆกับมัน ความมืดและความเงียบ

      ที่เหมือนกับว่าจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม มันเป็นทุกสิ่งจริงๆจนเกือบจะเข้ามาในจิตใจของผมได้แล้ว

      ทุกวัน ทุกวัน ผมค่อยๆหมดความรู้สึกลงเรื่อยๆ ไม่มีความคิด ไม่อยากทำอะไรเลย

      เหมือนตุ๊กตาตัวเก่าๆที่มีคนนำมาโยนทิ้งไว้

      ทั้งๆที่มันเกือบจะครอบงำผมสำเร็จแล้วเชียว กลับเกิดเสียงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน

      ปลุกผมขึ้นจากภวังค์ที่มืดมนยิ่งกว่านรก ความคิดบางอย่างสว่างวาบขึ้นในใจผม

      หรือว่าจะมีคนมาช่วยผมออกจากสถานที่ที่แสนจะเงียบเหงา วังเวงนี้แล้ว

      แม้ว่าผมจะเลิกหวังไปนานแล้ว แต่เมื่อมีแสงสว่าง แม้เพียงน้อยนิด

      ผมก็อยากจะคว้าเอาไว้ ผมพยายามประคองร่างกายของตัวเอง ที่นับวันจะติดขัดและส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดผิดปกติ

      ขึ้นมาจากพื้นหรืออะไรก็ไม่ทราบที่ผมดำรงอยู่มานาน ผมเดินไปที่เสียงนั่น แล้วผมก็ได้เห็น

      มันคือแสงสว่าง แม้จะเพียงน้อยนิดแต่มันคือสิ่งที่ผมคิดถึง และเฝ้าถวิลหาอยู่ทุกวัน

      ผมคนที่อาศัยในโลกมืด ไม่เคยมีแม้แต่แสงหิ่งห้อยหรือไม้ขีดไฟ ที่สามารถเพิ่มความอบอุ่นให้ได้

      ผมรู้สึกว่ากำลังวังชาที่หดหายไปเริ่มฟื้นขึ้นมาใหม่ ผมเริ่มวิ่งด้วยความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

      หวังว่าจะไปยังที่ที่มีแสงสว่างเร็วๆ แต่ทำไมยิ่งผมพยายามเท่าไร

      แสงสว่างอันอบอุ่นอ่อนโยนก็ยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆเหมือนจะแกล้งผม

      ผมพยายามร้องตะโกนให้มันช่วยหยุดรอผมก่อน นี่คือเสียงของผมที่แม้แต่ผมเองก็ไม่ได้ยินมานานแล้ว

      จนคิดว่าตัวผมเองคงพูดไม่ได้ ผมวิ่ง วิ่ง วิ่ง ไม่ได้หยุด

      จนแสงนั่นหยุดลงเหมือนรถเมล์จอดแวะรับผู้โดยสารตามป้าย ผมรีบปรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว

      เพราะกลัวว่ามันจะบึ่งหนีผมไปซะก่อน แต่พอผมวิ่งไปถึง มันก็กลับส่งแสงกระพริบริบหรี่เตรียมดับเต็มทน

      เหมือนกับว่าตัวมันเองเป็นยุงที่มีวงจรชีวิตแสนสั้น เกิดขึ้นมาให้ผมชื่นใจเพียงไม่นาน

      ก็จะลาโลกอันแสนน่าอึดอัดของผมไป เอ๊ะ หรือไม่ใช่ โลกของผมไม่ได้อึดอัดสักหน่อย

      มันทั้งใหญ่โต กว้างขวาง กว้างมากซะจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ต่างหาก

      ผมรีบก้มลงอุ้มดวงแสงนั้นมาไว้ในอุ้งมืออย่างทะนุถนอม ผมมองมันด้วยความรู้สึกชื่นชม

      และกระหายเข้าไปสู่แสงสว่าง ด้านที่ผมไม่สมควรไปเหยียบย่าง เพราะผมถูกกำหนดว่าต้องมาอยู่ที่นี่

      ทำไม ทำไม ทำไม ผมได้แต่ถามย้ำตัวเองเช่นนี้ ว่าใครกันเป็นผู้กำหนดว่าผมควรอยู่ที่ไหน

      ทำไมคนอื่นถึงไม่โดนเหมือนผม ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีความสุข เพราะพวกเขาได้อยู่ท่านกลางแสงสว่าง

      ที่ผมไม่มี ความคิดอิจฉา เคียดแค้น และน้อยใจ เริ่มเข้าครอบงำผมทีละนิด

      ดวงแสงน้อยในอุ้งมือผมก็ค่อยๆดับไปทีละนิดเช่นกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันยังคงส่องแสง

      เพื่อให้แสงสว่างแก่ผมอยู่เลย  ผมเลิกสนใจมันโดยสิ้นเชิง ผมเดินจากมา

      โดยทิ้งความคิด ความหวัง ความฝันทุกอย่าง ไว้เบื้องหลังแล้วมุ่งหน้ากลับไปสู่ความมืดมิดเหมือนเดิม

      กลับไปสู่ตัวตนที่แท้จริงของผม...

      ถ้าถามว่า ทำไมผมถึงทำอย่างนี้ ทำไมไม่ออกไปสู่โลกแห่งแสงสว่างล่ะ

      อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้นเอง ผมก็จะมีความสุขเหมือนกับคนอื่นๆแล้ว

      แล้วคุณรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าผมอยู่อย่างนี้ไม่มีความสุข เมื่อออกไปแล้วผมจะดูดีขึ้นงั้นหรือ

      ใช่แล้วผมไม่เหมาะกับแสงสว่างที่เจิดจ้าอย่างนั้นหรอก ผมก็แค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ

      ที่ขอพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ ผมไม่เคยคิดหวังสิ่งใดที่มากไปกว่าแสงสว่างดวงเล็กๆ

      ที่นานๆครั้งจึงมาให้ผมเห็นและสัมผัสสักทีก็พอ...

      จบแล้วจ้า

      นี่เป็นเรื่องสั้นแบบพรรณนา ย่อๆใจความหลักคือ นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น ไม่เชิงเป็นบทความและปรัชญามากมาย

      เหมือนสมัยเขียนส่งอาจารย์ตอนมัธยมต้น ซึ่งต้นฉบับในสมัยนั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว (ทั้งๆที่ผ่านมาไม่

      นานเท่าไร) รู้สึกว่าเรื่องนั้นตอนแรกกะว่าจะบรรยายความรู้สึกของนักโทษที่ติดคุกออกมาเป็นรูปธรรมมากกว่า

      ความทรมานธรรมดา แต่มาคราวนี้เขียนใหม่ มองมุมกลับว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยากมีอยากได้ในสิ่งที่ตนไม่มี บาง

      คนก็พอใจแล้วแม้ว่าสิ่งแล้วนี้จะแย่มากในสายตาของใครบางคนก็ตาม นี่เป็นเพียงบทพรรณนาความรู้สึกที่ไม่ค่อย

      ละเมียดละไมเท่าไร เนื่องจากห่างผลงานด้านนี้มานานแล้วมัวแต่มุ่งนิยายแฟนตาซีซะมากตามแฟชั่นสมัยนี้ เป็น

      การร่ายความรู้สึกผ่านตัวละครสมมติที่คนเขียนอยากให้ผู้อ่านได้จินตนาการเองว่าตัวละครในเรื่องน่าจะเป็นใคร

      ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ มีเหตุผลอะไรรองรับการกระทำของเขาได้บ้างซึ่งบางคนอาจจะได้ไม่เหมือนกัน แล้วแต่วุฒิ

      ภาวะของแต่ละบุคคล อยากชี้แจงนิดหนึ่งว่าในบทความเรื่องแรกของผู้เขียนที่ได้เกริ่นไว้ในตอนต้นว่ามันหายไป

      แล้ว ซึ่งเป็นบทความที่ผู้เขียนภูมิใจมากเป็นพิเศษถึงขนาดอาจารย์ชมเปาะทีเดียว เกือบจะได้แต่งส่งประกวดแล้ว

      แต่ผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่แนวที่ถนัดจึงชิ่งหนีมาซะก่อน บทความที่กล่าวถึงนี้มีอิทธิพลต่อบทความที่เพิ่งแต่งนี้มาก

      โดยใช้ความคิดในการแต่งคล้ายๆกัน แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว สิ่งที่เหมือนกันคือ แม้ผู้อ่านจะวางโครงครั้งแรก

      จากนักโทษแต่ก็ไม่ได้เขียนเน้นไปที่ส่วนนั้นยังคงอยากให้ผู้อ่านจินตนาการไปเองมากกว่า จึงไม่มีใครรู้เลยว่า

      บุคคลสมมติในเรื่องเป็นใครนอกจากตัวผู้เขียนเอง แต่งไปแต่งมาผู้แต่งกลับนึกไปถึงพิน็อกคิโอซะงั้น (ตุ๊กตาไม้ที่

      กลายเป็นคนในนิทานสุดฮ็อตสมัยยังเด็ก) ผู้เขียนนั่งคิดนอนคิดมาหลายปีแล้วว่าจะแต่งบทความนั้นใหม่แต่ก็ทำ

      ไม่ได้ เพราะมันจะไม่ได้อรรถรสเช่นเดิม ในที่สุดวันนี้จึงได้แต่งเรื่องใหม่ขึ้นมาให้มันขัดกับเรื่องเก่าไปเลย เพราะ

      เรื่องนั้นจะมืดมนมาก อ่านแล้วหดหู่นิดๆแต่ก็รู้สึกดีไปด้วย แถมปรัชญาชีวิตและหลักธรรมะนิดหน่อยที่ไม่ทราบ

      ว่าท่านอาจารย์สอนภาษาไทยที่เป็นคนอ่านเพียงคนเดียวจะรู้รึเปล่าว่าลูกศิษย์แต่งโดยใช้ความคิดลึกซึ้งแค่ไหนใน

      หน้ากระดาษ A4 แผ่นเดียว เพราะไม่เคยถามท่านเลยสักครั้ง แม้เรื่องที่แต่งใหม่นี้จะไม่ค่อยดีนัก แต่ผู้เขียนก็กลั่น

      มาจากใจทีเดียว แต่งรวดเดียวจบภายใน 10 นาที ภายในช่วงเวลานี้จะ Gold Time ที่สุดสำหรับผู้เขียนที่จะเขียน

      ให้เรื่องปะติดปะต่อออกมาได้ยืดยาวแบบเขียนไม่ทัน และลายมือก็อ่านไม่ออกต้องมานั่งแกะกันทีหลัง (ปาด

      เหงื่อ) ได้แต่หวังว่าผู้อ่านทุกท่านที่ได้หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้จะได้อะไรติดมือกลับไปบ้างไม่มากก็น้อย ถ้ามีอะไรติ

      ชม เชิญคอมเมนท์ได้แบบไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ จะได้นำไปปรับปรุงและแต่งใหม่อีกเรื่อยๆ เพราะผู้เขียนเข้าใจว่านี่

      เป็นแนวที่ถนัดมากๆของผู้เขียน คือ เครียดนิดๆกดดันหน่อยๆ แต่งเรื่องสนุกไม่ค่อยขึ้นจริงๆแต่ลองดูมาหลายปี

      แล้วอาจจะพอกล้อมแกล้มไปได้มั่ง จะมาลองลงให้ทุกท่านได้ลองอ่านกันค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะที่เข้ามาอ่านมาชม

      กัน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×