ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยรัก แดนมังกร

    ลำดับตอนที่ #1 : จุดเปลี่ยนชีวิต

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 58


    .
                    ประเทศจีน  13.00 น.

     

                    ภายในล็อบบี้โรงแรมเฮ่อเยี่ย หนึ่งในธุระกิจของบริษัทหยางหลงคอร์ปเปอร์เรชั่น    เป็นสถานที่ร่มรื่น มีบรรยากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การนั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจ มีบริการเครื่องดื่ม คอค-เทล (Cocktail) ซึ่งปกติจะ มีผู้คนมากมายทั้งวัยรุ่น วันกลางคน รวมไปถึงคนแก่ชรา  ทั้งหญิงชาย มานั่งดื่ม  เล่นโทรศัพ  คุยเล่นกับเพื่อน  หรือคุยธุรกิจ  แต่วันนี้กลับเงียบผิดปกติ เพราะทุกคนกำลังหันไปมองจับจ้อง กลุ่มผู้ชายที่เดินเข้ามาใหม่  ด้วยความสนใจ 

                กลุ่มผู้ชายที่มาใหม่ ทั้ง 5 คน  ร่างกายบึกบึน กำยำ  ต่างใส่สูทสีดำ ใส่เสื้อเซิ้ตสีขาว เนคไทสีดำ  และใส่แว่นตาดำ  ถึงลักษณะการแต่งตัวของทุกคนจะเหมือนกัน แต่สายตาส่วนใหญ่กลับไปรวมอยู่ที่ คนที่เดินนำหน้า  ท่วงท่าการเดินสง่าดูทรงพลัง  รูปร่างกำยำแข็งแรง ผิวขาวดุจเนื้อหยก ใบหน้าเรียว  ปากเรียวบางสวยได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน  แว่นตาสีดำปิดบังดวงตา ทำให้ดูแมน สมาท เท่  

                “สวัสดีค่ะท่านประธาน  ” พนังงานต้อนรับของเคาเตอร์ล็อบบี้ทั้ง 9 คน  รีบเดินออกมาทำความเคารพและสอบถาม

                “ไม่ทราบวันนี้ท่านต้องการมาพักผ่อนหรือรับประทานอาหรค่ะ”

                หนึ่งในพนังงานต้อนรับพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  แต่ในใจทุกคนกำลังสงสัยสิ่งเดียวกันโดนไม่ได้นัด ว่าทำไมวันนี้ท่านประธานบริษัทหยางหลงคอร์ปเปอร์เรชั่น  ถึงได้เข้ามาโรงแรมโดยไม่มีใครแจ้งแผนกต้อนรับเลย  แล้ววันนี้ก็ไม่มีกำหนดการที่ท่านจะเข้ามาตรวจดูหรือประชุมอะไรที่นี้นี่น่า ปกติการต้อนรับท่านประธานหัวหน้าแผนกต้องลงมาต้อนรับด้วยตัวเองตั้งแต่หน้าประตูแล้ว  วันนี้แปลกไปกว่าทุกครั้ง

                หยางเทียนหลงถอดแว่นออกและกวาดตามองหน้าพนังงานต้อนรับทุกคน ก่อนจะมาหยุดมองหน้าคนที่ถาม  พนังงานหญิงทุกคนที่โดนมองต่างก็ใจเต้นแรง ใบหน้าแดง  ด้วยความเขินอาย  โดนเฉพาะพนังงานหญิงที่เป็นคนถาม เธอเหมือนตัวลอยๆเมื่อได้จ้องตาท่านประธานที่เหมือนมีมนต์สะกด ดึงดูดวิญญาณของเธอ  

                สาวแท้ สาวเทียมที่นั่งหรือเดินอยู่ภายในล็อบบี้  ต่างจับจ้องมองทุกความเคลื่อนไหวของท่านประธาน  ยิ่งได้เห็นดวงตาหลังกรอบแว่น  ภายในหัวของหญิงสาวทุกคนต่างก็ผุดความคำพูดประโยคคล้ายๆกัน คือ หล่อ เท่ กระชากใจมากคร่า

                “ผมมาหาประธานกรรมการโรงแรมไท่เยี่ยคับ” หยางเทียนหลงตอบด้วยเสียงราบเรียบไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่น้ำเสียงก็ยังแฝงไว้ซึ่งอำนาจ

                “เชิญทางนี้ค่ะ” พนังงานหญิงยิ้มแย้ม  ผายมือไปที่ลิฟท์ส่วนตัวสำหรับผู้บริหารและเธอก็เดินนำเทียนหลงเข้าไปภายในลิฟท์ พร้อมทั้งขึ้นไปส่งถึงชั้นของห้องท่านประธานกรรมการ

                ในระหว่างที่ยืนในลิฟท์พนังงานหญิงก็อดไม่ได้ที่จะเมียงมองตาหน้าและหุ่นของเทียงหลง  มองไปมองมา เธอก็อดจะหน้าแดงเขินอายไม่ได้  เพราะมโนเองไปไกล

                เมื่อลิฟต์หยุด พร้อมทั้งเปิดประตูเทียนหลงก็เดินออกไปพร้อมบอดี้การ์ดทั้ง 4 คน และเดินเลยไปเปิดประตูเข้าห้องประธานกรรมการเลย  โดนไม่คอยให้พนังงานหญิงเอยปากเชิญชวน  ซึ่งก็เป็นการตัดเยื่อใยเธอทางอ้อม  บอกให้ตัวเธอรู้ว่าเขาไม่ได้สนใจตัวเธอเลย

                ประธานกรรมการเฮ่อชิน ชายวัยกลางคนร่างอ้วนลงพุง เมื่อเห็นเทียนหลงมาโดนไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าก็ตกใจ  ร้อนตัวไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำผิดไว้  จนเหงื่อออกเต็มใบหน้า  แต่อีกใจกลับคิดว่า ก็ยังไม่แย่เสมอไปที่เทียนหลงจะรู้  เพราะสิ่งที่เข้าทำมีไม่กี่คนที่รู้

                “สวัสดีคับ ท่านประธานหยาง” เฮ่อชินลุกจากโต๊ะ และโค้งคำนับเล็กน้อย

                หนึ่งในบอดี้การ์ดหยิบเอกสารและรูปออกจากกระเป๋า เดินไปวางไว้บนโต๊ะหน้าเฮ่อชิน  เอกสารฉบับนั้นมีข้อมูลการโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทซึ่งเข้าตั้งไว้ฟอกเงินโดนเฉพาะ  เมื่อเหลือบตาไปดูรูปอีก 10 กว่าใบ ที่ว่างอยู่ข้างๆกัน  ก็เป็นรูปที่เขานั่งคุยกับคู่แข่งทางธุรกิจของบริษัทหยางหลงคอร์ปเปอร์เรชั่นทั้งนั้น  มีทั้งรูปจับมือ ยิ้มแย้ม หัวเราะ และรูปที่พวกนั้นพาผู้หญิงมาปรนนิบัติในพับ

                “คุณคงรู้แล้ว  ว่าผมจะมาคุยเรื่องอะไร” หยางเทียนหลงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ  และเดินไปนั่งที่โซฟา

                เฮ่อชินเดินมานั่งคุกเข่าก้มหัวมองพื้น ปากได้แต่เอยคำขอโทษไม่รู้จบ  

                “ผมขอโทษๆๆๆ”

                “คุณรู้ใช่ไม  ว่าคนที่หักหลังผมจะมีจุดจบยังไง” เทียนหลงพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบเหมือนเดิม  แต่ใจเสียงมีวี่แววไม่พอใจ  และแรงกดดัน

                เฮ่อชินเอาหัวโขกพื้น  หวังว่าเทียนหลงจะเห็นใจแล้วเมตตาเขา 

                “เห็นแก่ปู่และพ่อคุณที่ร่วมสร้างโรงแรมเฮ่อเยี่ย  ผมจะไม่เอาเรื่องคุณถึงชีวิต  แต่หลังจากนี้ไป เงินทอง ทรัพสิน ที่ดิน ผมจะให้ทนายไปจัดการโอนเป็นของบริษัท

    หยางหลง  ส่วนต่ำแหน่งคุณผมจะให้น้องชายต่างแม่ของคุณมาดูแล  ส่วนคุณจะไปไหนก็ไป  อย่ามาให้ผมเห็นหน้าครั้งที่สอง”

                เฮ่อชินนั่งคุกเข่าที่พื้นน้ำตานองหน้า 
     

                 เทียนหลงเดินลงมาถึงข้างล่าง  ก็มองเห็นรถ BMW สีขาว 3 คัน มาจอดคอยรับ เมื่อเทียนหลงกว้าเท้าขึ้นไปนั่งบนรถเหล่าบอดี้การ์ดต่างแยกย้ายไปขึ้นรถคันประจำของตัวเองอย่างรู้หน้าที่

                เทียงหลงนั่งรถฺกลับบ้านด้วยใบหน้าที่ยังคงไร้ความรู้สึก  เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย

                ภายในรถถึงจะมีอยู่  4 ชีวิต แต่กลับไม่มีเสียงพูดคุยแม้แต่น้อย เพราะบอดี้การ์ดและคนขับรถยังไม่มีใครอยากเจ็บตัว  เห็นเจ้านายพวกเขาเงียบๆ ใบหน้าไม่มีอารมณ์  ก็ใช่ว่าเจ้านายเขาอารมณ์ดีนะคร๊าบ

                ติ๊ก ติก ติ๊ก 

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ  เทียนหลงยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู  เมื่อเห็นชื่อคนโทรก็รีบกดรับสาย  คอยฟังอย่างใจจดจ่อ  ภายในตาเกิดประกายวาววับ

                “ ท่านเทียงหลงค่ะ  ทางเราเจอตัวคุณผู้หญิงแล้วค่ะ” เสียงที่พูดออกมาทางโทรศีพท์นั้นเปล่งออกมาอย่างดีใจ

                “เธอจำอะไรได้ไม” เทียงหลงถามขึ้น  น้ำเสียงแสดงถึงความสนใจ

                “คุณผู้หญิงจำอะไร ไม่ได้เลยค่ะ” เสียงหญิงสาวเริ่มออกอากาศหดหู่

                เกิดความเงียบขึ้นภายในรถอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้นอกจากความเงียบแล้วยังมีบรรยายกาศที่ชวนขนลุกด้วย

                “พาเธอมาพบผม...ด่วนที่สุด”

    .......................................................................................................................................................

                เวลาตี 4 ภายในสนามบินประเทศไทยน่าจะไร้ผู้คนตามความคิดของคนทั่วไป  แต่ตอนนี้ กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากกว่า 100 คน ทั้งชาย หญิง เด็ก  แก่  วัยรุ่น  หลายๆคนกำลังจับกลุ่มเพื่อพูดคุยกัน  วันนี้ไม่ใข่มีผู้นำระดับประเทศมาเยือนประเทศไทย   ถึงทำให้ใครต่อใครมารวมตัวกันได้ขนาดนี้  แต่เรื่องที่ทำให้คนมารวมกันได้เยอะขนาดนี้เพราะคนในครอบครัวได้ทุนไปเรียนต่อประเทศจีนและกลับมายังมีสิทธิได้เข้าทำงานกับบริษัทในเครือหรือจะอยู่ทำงานที่นั้นก็เป็นสิทของคุณ  โดยเป็นทุนของบริษัทหยางหลงคอร์ปเปอร์เรชั่น  ที่นำเข้าของจีนและส่งออกของประเทศไทยมากมาย  ทั้งไม้จิ้มฟังไผ่จีน  เสื้อจากไผ่คาบอนจีน  ครีมบัวหิมะขาว  โทรทัศยีห้อหยางหลง  พัดลม  โคมไฟ  บลา บล้า บ๊าล  เยอะ ถ้าให้บรรยายรายการ 3 หน้ากระดานคงไม่พอ 

           แก้วก็เป็น 1 ใน 100 คน  ที่ได้รับทุนนี้  ทุนที่ดีขนาดนี้ต้องมีคนแย่งกันเยอะมากเป็นเรื่องธรรมดา  เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้รับทุน   ถึงแม้การได้รับทุนมีเงือนไขไม่มากจากที่โฆษณาออก คือ  มีอายุตั้งแต่  23 - 24  พร้อมบอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากไปอยู่ประเทศจีน  พร้อมกับกรอกข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างตามจริง  แต่คนทั้งประเทศไทยที่  อายุ 23 – 24  ไม่รู้ว่ามีกี่แสนคนที่   ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเขียนเหตุผลอะไรที่สละสลวยแค่ไหน  การที่ได้รับทุนนี้สำหรับเธอมันเป็นเหมือนฝันเลยนะ

                    หลายๆคนกำลังจับกลุ่มคุยกัน  รวมไปถึงครอบครัวของแก้วที่มีทั้งพ่อแม่ พี่ๆ น้องชาย ลูกพี่ลูกน้อง  น้า ป้า  อา  ที่พากันมาส่งเยอะมาก  และดูท่าจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในอาคารสนามบินตอนนี้  ที่ทุกคนมาด้วยเพราะความเป็นห่วงในการเดินทางไปอยู่ประเทศจีนครั้งนี้ของเธอ  เธอจึ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนา  และเป็นผู้ถูกซักถามมากที่สุด  แค่คำถามเดียวไม่รู้เธอตอบไปกี่ครั้งแล้ว  เล่นเธอเอามึนเหมือนกัน

                    “คณะทุน  Yang China เชิญทางนี้ครับ” พนังงานบริษัทหยางหลงคอร์ปเปอร์เรชั่น ประกาศเรียกให้ทุกคนตรงไปยังทางเข้าสนามบิน  เหมือนระฆังช่วยชีวิตเธอจากการตอบคำถาม 

                    หลายคนกำลังยกข้าวของทั้งพวกกระเป๋า ถุง กล่อง  บ้างคนก็พกมาเป็นแบบประเป๋าลากก็ลากตรงไปหาพนังงาน  ส่วนแก้วมือข้างหนึ่งลากกระเป๋า  ส่วนอีกข้างก็ถือกระเป๋าใบขนาดกลาง

                    “ลูกแก้วเอาของมาครบแล้วใช่ไมลูก” ผู้หญิงที่ดูอายุมากร่างกายอวบอ้วนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

                    “เอามาครบทุกอย่างแล้วค่ะ” แก้วผู้หญิงที่มีดวงตาโตสีน้ำตาลดำ  รูปร่างอวบค่อนข้างอ้วน  เธอหันมาพูดกลับแม่ด้วยน้ำเสียงเหมือนจะสั่นๆ เหมือนคนจะร้องไห้

                    ถึงเมื่อกี้หรือก่อนหน้านี้อยากจะไปเรียน(เที่ยว)ประเทศจีนมากแค่ไหน  แต่พอตอนนี้จะต้องได้ไปจริงๆเธอกับรู้สึกอารัยอาวรคนที่นี้มาก  โดยเฉพาะพ่อแม่ พี่สาวทั้ง 2 คน และน้องชาย  เพื่อนๆที่สนิทกัน

                    “อย่าพึ่งป๊าย” อยู่ๆยายกุ๊กที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและลูกพี่ลูกน้องเธอก็รีบวิ่งมาเรียก พร้อมเสียงหอบ  ก่อนที่แก้วจะเดินไปต่อแถวเพื่อตรวจของและชั่งน้ำหนังก่อนออกเดินทาง

                    “นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว  นี้เสื้อผ้าที่พี่ๆแกและฉันซื้อจากสำเพ็ง” กุ๊กยื่นกระเป๋าผ้าสี่เหลี่ยมขนาดกลางที่แพ็คเสื้อผ้าเต็มกระเป๋าให้

                    “ขอบใจนะกุ๊ก  ขอบคุณนะค่ะพี่ๆ” แก้วหันหน้าไปมองกุ๊กและพี่สาวทั้งสองด้วยสายตาซึ้งใจ  พูดด้วยเสียสั่นเครือเธออุตส่าห์กลั้นน้ำตามาตั้งนาน  แต่คงกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว

                    “ไม่เป็นไร  ก็ถ้าพวกเราไม่ไปหาเสื้อผ้ามาให้แกใส่  มีหวังแกคงต้องใส่เสื้อผ้าที่เป็นชุดคุณป้าแบบที่แก่ใส่อยู่นี้ตลอดทุกวันแน่เลย   นี้ที่แกไปนะเป็นทุนที่ได้จากบริษัทจีน  มีคนไปเป็นร้อย  แต่มันก็เหมือนแกเป็นตัวแทนคนไทยนั้นแหละ  จะไปที่นั้นทั้งที่แต่งตัวให้ดูดีหน่อยดิ  เดียวเขาจะหาว่าประเทศเราชอบแต่งชุดเชยๆกันพอดี  ที่จริงฉันกะจะมาถึงให้เร็วกว่านี้  จะได้ให้แกใส่ชุดใหม่ที่ฉันเตรียมมา....ไม่น่าตื่นสายเลยตู”

            กุ๊กพูดฉอดๆโดนที่แก้วไม่แต่อึ้งทึ่งพูดตอบโต้อะไรไม่ทัน  ไอ้ที่จะร้องไห้ก็กลายเป็นร้องไม่ออกแทน  ไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธดี  ถ้าปฏิเสธคงโดนสวดยาว  เลยได้แต่เงียบๆไว้

                    แต่ที่กุ๊กพูดมาก็ถูก  แก้วเป็นคนหน้ารูปไข่แต่ความอ้วนทำให้หน้าเธอกลายเป็นรูปทรงกลมไปแทน  แต่ถึงเธอจะอ้วน  หน้าตาเธอก็ยังทำให้ใครหลายๆคนบอกว่าน่ารัก  น่าหม่ำ  เหมือนสาราเป๋าเธอมีดวงตากลมโตสีน้ำตาลดำ  จมูกนิด  ปากหน่อย ถึงจะอายุ 23 แล้ว  แต่หน้าเธอก็ยังเด็กและเพราะเธอเป็นคนที่มีรอยยิ้มอยู่บนหน้าตลอดเวลาทำให้เธอดูเป็นคนสดใสอ่อนกว่าวัย   แต่เพราะตัวเธออ้วนและมีรสนิยมในการแต่งตัวที่ออกจะมิดชิดและเฉยๆชุดที่ซื้อเมื่อ 4 ปีก่อนเธอก็ยังเอามาใส่  เพราะเธอเป็นคนเห็นคุณค่าของสิ่งของ  อะไรที่ยังใส่ได้ก็ใส่  ไม่เสียตังไปซื้อใหม่ตามเทรนด์แฟชั่นหรือเรียกสั้นๆว่างก  ซึ้งการแต่งตัวแบบนี้เลยทำให้เธอดูออกจะเป็นป้าไปเลย 

                    “กุ๊กพอเถอะ  คิดอะไรก็พูดแบบนั้น  มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียนะ” พี่พลอยพี่คนโตพูดขึ้นเตือนกุ๊ก  เลยทำให้กุ๊กต้องเงียบไป

                    “ แก้วนี้โทรศัพท์เครื่องใหม่พร้อมซิมที่โทรที่ประเทศจีนได้”  พี่มณียื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับดึงเธอไปกอด “ไปที่โน้นถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรมาได้ตลอดนะ  โทรศัพท์นี้แปลภาษาจีนเป็นไทยได้  ลองฝึกใช้ดู  แต่เงินค่าโทรศัพท์คิดเป็นเงินจีนก็แพงมากนะ ยังไงก็ให้ มีเรื่องจำเป็นจริงๆค่อยโทรมานะ  แต่ไปถึงที่โน้นแล้วต้องโทรมาบอกด้วย”  พี่มณีพูดเตือนครั้งอีกครั้งเรื่องการใช้โทรศัพท์   โดยรวมคือ  ถ้าไม่เรื่องอะไรที่สำคัญก็ไม่ต้องโทรมานั้นเอง - -*
                    
                     แก้วได้แต่พยักหน้ารับคำพี่สาวที่แสนดี  แต่ก็ยังไม่วายจะงกกับเรื่องเงินๆ ทองๆ

                    “คณะทุน  Yang China เชิญทางนี้ครับ” พนังงานบริษัทหยางหลงคอร์ปเปอร์เรชั่นประกาศเรียกซ้ำอีกครั้ง  พี่สาวทั้งสองคนช่วยแก้วยกกระเป๋าไปตรวจสิ่งของ

                    “ไปอยู่โน้นก็ระวังพวกผู้ชายที่ดูไม่น่าไว้วางใจ  ยิ่งพวกหล่อๆแต่งตัวดูดี  ชอบพูดคำหวานยิ่งต้องระวัง  พวกนี้มันชอบใช้คำหวานหลอกล่อ” พ่อพูดเตือนครั้งสุดท้ายก่อนแก้วจะไป

                    “ค่ะพ่อ  หนูจะระวัง”  เมื่อรับปากพ่อเสร็จเธอก็เข้าไปกอดพ่อและแม่อีกครั้งก่อนออกเดินทาง  ด้วยความอารัยอาวรณ์  

                    เมื่อตรวจสิ่งของเสร็จแก้วก็ขึ้นมานั่งบนเครื่อง  ถึงบนเครื่องจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ได้รับทุนและพนักงานของบริษัท  แต่แก้วกลับรู้สึกเหมือนเหลือเธอคนเดียว  ทุกคนพากันแนะนำตัวและพูดคุยกัน  แต่เธอกลับไม่ได้เข้าไปพูดคุยกับใคร   เพราะตอนนี้เธอกำลังจดจำภาพประเทศไทยครั้งสุดท้ายจากบนเครื่องมันเป็นภาพที่สวยมาก  เธอเหม่อมองจนพริ้มตาหลับไปแบบไม่รู้ตัวด้วยเพราะความเหนื่อย  ความง่วง

                    “คุณๆ...ตื่นได้แล้ว” หญิงสาวหน้ามวยผิวขาว  พยายามปลุกแก้วที่ดูเหมื่อนจะหลับลึกจนไม่รู้เรื่องอะไร  เพราะจากที่แต่สะกิดตอนนี้กำลังตีเธอพร้อมทั้งเขย่าแก้วอย่างแรง

                    “โอ๊ย...ตื่นแล้วค่ะ” คนอะไรแรงเยอะจัง

                    “เขาลงกันไปหมดแล้วนะ คุณก็รีบลงไปได้แล้วค่ะ” สาวหมวยดึงเธอขึ้นจากที่นั่ง  ทำเหมือนกับสนิทสนมกับเธอมานาน  และลากมือเธอพาเดินออกจากเครื่องบิน

                    “ขอบใจนะที่ปลุก  ว่าแต่เธอชื่ออะไรหรอ”  แก้วพูดขึ้นยิ้มๆแบบเอ๋อๆ  เราเคยรู้จักเธอมาก่อนหรือเปล่านะ  ทำไมเธอทำตัวสนิทสนมกับเราขนาดนี้นะ  แปลกๆ  คนพึ่งรู้จักกันที่ไหนเขาปลุกกันรุนแรงขนาดนี้

                     “ เราชื่อเหม่ยหลินจ๊ะ” สาวหมวยตอบพร้อมยิ้มหวาน  จนรู้สึกว่าถ้าคั้นเอาน้ำหวานออกมานี้คงได้เป็นแก้วแน่เลย

                    “เราชื่อแก้วนะ   เหม่ยหลินนี้แปลว่าหยกที่งดงามรึป่าวค่ะ” แก้วพูดคำแปลออกไปเพราะจำคำจีนคำนี้ได้

                    “ใช่จ๊ะ แก้วจะเรียกเราว่าหยกก็ได้นะค่ะ” เหม่ยหลิงยิ้มอีกครั้งซึ่งเป็นยิ้มที่สดใสเหมือนเหมือนเห็นดอกไม้บานรอยรอบๆตัวเลยก็ว่าได้

              “จ๊ะ  หยก  แล้วนี้เขาหายกันไปไหนหมดหรอ”  เมื่อเดินเข้ามาในสนามบินแล้วไม่เห็นใคร  แก้วก็หวั่นใจว่าจะโดนทิ้งรึป่าว

                    “อ๋อ เขาย้ายไปพักตามบ้านพ่อแม่บุญธรรมที่จะรับเลี้ยงเราที่นี้กันนะจ๊ะ  แล้วแก้วก็อยู่บ้านหลังเดียวกับเรานะ  ที่หน้าประตูทางออกช่อง 9 มีรถมาคอยจอดรับอยู่แล้วนะ” เหม่ยหลินพูดไปพร้อมยิ้มไป  และชี้ให้แก้วเห็นรถคันหนึ่งที่จอดรอรับอยู่  เมื่อเห็นรถชัดๆแก้วก็ต้องตกตะลึง  รถสีขาวที่จอดอยู่เป็นยีห้อ BMW ซึ่งเป็นคันที่ทั้งใหญ่และยาว ไอ้แบบนี้เธอเคยเห็นลงข่าวราคามันเกิน 10 ล้านไม่ใช่หรอ เล่นเอามารับนักเรียนทุกนี้เกินไปไมหว่า

                    คนขับรถในชุดขาวออกมาเปิดประตูรถให้พวกเธอ  ภายในรถมีผู้หญิงใส่ชุดสูทคนหนึ่งนั่งคอยอยู่ เมื่อเห็นแก้วและหยก  เธอกว้าเท้าลงจากรถและยกมือไหว้สองสาว  เธอแนะนำว่าตัวเองว่าเป็นไกด์คนไทยซึ่งมีหน้าที่มาคอยแนะนำสถานที่ต่างในเมือง เธอชื่อดาหลัน  เมื่อทั้งสาวสาวแนะนำตัวกันเรีบยร้อยแล้ว  ดาหลันก็ผายมือเชิญเหม่ยหลินและแก้วให้เข้าไปนั่งก่อนพร้อมรอยยิ้ม  แก้วเดินขึ้นรถโดยยกเท้าขึ้นสูงเพราะกลัวรองเท้าไปโดนรถแล้วจะทำให้เป็นรอย  เธอเข้าไปนั้งตัวตรงเกร็ง  ภาพที่เห็นสร้างรอยยิ้มและเสียงขำเล็กในลำคอให้กลับเหม่ยหลิน

                    “แก้วไม่ไปไรนะ  ไม่ต้องเกร็ง” เหม่ยหลินก้าวขึ้นบนรถด้วยทวงท่าสง่างาม  พร้อมพูดปลอบใจแก้วด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นใจ  ทำให้แก้วรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ

                    “ขอบใจนะ” แก้วพูดตอบพร้อมกับยิ้มเขินอายในความปะหม่าของตัวเอง

                    หลังจากที่นั่งมาสักพัก  แก้วก็เริ่มเข้าใจหละว่าทำไมรถมันถึงได้แพงขนาดนี้ขนาด ขนาดวิ่งด้วยความเร็วสูงยังไม่ได้ยินเสียงลมภายนอกเลย    แถมยังรู้สึกนิ่มเบาสบาย  เหมือนไม่ได้นั่งบนรถแต่กำลังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ  ถ้าเป็นรถที่บ้านเธอขับขนาดนี้ก็ได้ยินเสียงลมหวือแล้ว

                    ระหว่างทางดาหลันบรรยายสภาพบ้านเมือง ถนน  แหล่งท่องเทียวชื่อดังที่รถขับผ่านตลอดทาง  ทั้งแก้วและหยกพร้อมใจกันเป็นผู้ฟังที่ดี  ดาหลันเห็นว่าเวลาก็ผ่านมาถึงช่วงเที่ยง  ทุกคนคงหิวแล้วเลยหาอาหาร  เครื่องดื่ม  ในกล่องและตู้เย็นมาเสิร์ฟให้หยกและแก้วกิน  
                     อาหารที่แก้วได้กินนั้นตกแต่งไว้สวยงามเหมือนอาหารระดับ 5 ดาวเลย แก้วคิดว่าดาหลันเหมือนสาวเมด(สาวใช้)ในละครหรือหนังสือที่เธอเคยดูเคยอ่านเจอมาเลย ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินมาแต่ละสิ่งที่แก้วได้เห็น  ทำให้เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาเลย  นี้เธอยังฝันอยู่ใช่ไมเนี้ย  เธอลองหยิกแขนดูก็รู้สึกเจ็บ  แต่ทำไมภาพตรงหน้ามันเหมือนฝันเลยนะ

                    รถวิ่งตามถนนมาเรื่อยๆ จากที่ภาพภายนอกรถ เป็นตัวเมืองมีบ้านเรือน ตึกใหญ่โต ตอนนี้ภาพภายนอกสองฝั่งถนนมีแต่ต้นไม้และดอกไม้  จากทิวแถวต้นไม้ก็กลายเป็นรั่วใหญ่โตยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา รถวิ่งมาหยุดหน้าประตูใหญ่ได้สักพัก  ประตูก็เปิดออก  เมื่อรถเลี้ยวเข้าประตูใหญ่  ทำให้แก้วเห็นบ้านหลังโตน่าจะมีห้องหลายกว่าห้อง  แก้วเกิดอาการตกตะลึ่งจนทำให้เธอคิดว่ามันคืนความฝันอีกแล้ว  บ้านที่เธอจะมาอยู่  ไม่น่าจะเรียกว่าบ้านแล้ว  น่าจะเรียกว่าคฤหาสน์  ไม่ซิ...แบบนี้เรียกว่าปราสาทไปเลยดีกว่า  เหมือนเหม่ยหลินจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร  เลยช่วยหยิกเธอแรงๆที่หนึ่ง  เธอเลยได้สติและร้องโอ๊ยอยู่ในใจ  กลัวว่าถ้าเธอเปล่งเสียงออกมาจะเป็นการทำให้คนบ้านตกใจและคิดว่าเธอไม่มีมารยาท  เหม่ยหลินจูงมือเธอตามหลังดาหลันไป  ดาหลันแนะนำสิ่งต่างๆ ภายรอบคฤหาสน์ให้เธอฟังมาตลอดทางเดินเข้าไปในคฤหาสน์

                    “หยกเธอไม่ตื่นเต้นบ้างหรอ”

                    “ตื่นเต้นชิ  แต่ฉันไม่อยากแสดงออกนะ” เหม่ยหลินตอบแบบยิ้มๆ 

                    แก้วดูแล้วไม่อยากจะเชื่อว่าหยกตื่นเต้นเลย  ตั้งแต่เจอหยกจนถึงตอนนี้แก้วรู้สึกว่าหยกทำตัวแปลกๆ  แบบว่าชินแล้วกลับสถานการณ์แบบนี้   แถมเธอยังยิ้มตลอดเวลา  บ้างครั้งแก้วก็งงว่าหยกมีความสูขอะไรมากขนาดที่ต้องยิ้มตลอดเวลาเลยหรอ

                    เมื่อเดินเข้ามาถึงพนังงานก็แนะนำให้แก้วและเหม่ยหลินรู้จักกับประธานบริษัทหยางหลงคนปัจจุบัน คุณหยางเทียนหลง  ซึ่งนั่งเด่นสง่าอยู่บนเก้าอี้  ท่านประธานหยางเทียนหลงยังหนุ่มและหล่อ เท่ คมเข้ม  ใบหน้าคมสัน  คิ้วสีดำเข้ม  ดวงตาสีดำดูลุ่มลึกมีเสน่ท์  ไหล่ผึ่งผาย แผ่นอกกว้าง รูปร่างกำยำเข้มแข็ม  แต่ไม่ดูล้ำจนน่าเกียด  ดูงดงามสง่าสมชาย

                    ท่านประธานหยางเทียนหลงลุกขึ้นมาจับมือทักทายพวกเธอเหมือนการทักทายของฝรั่ง  แก้วพูดได้เพียงแค่หนีหาว  และตกอยู่ในภวัง  ผู้ชายอะไรจะหล่อบาดตา บาดใจ แบบนี้นะ  พอมองใกล้ๆถึงเห็นว่าหน้าเนียนขาวใส   ดวงตาโตคม ไม่ตาตี๋ชั้นเดียวแบบคนจีน  จมูกเป็นสันโด่ง  ริมฝีปากบางสวยแย้มรอยยิ้ม จนคนมองตาพร่า  คิดว่ามีแสงเปล่งออกมารอบตัวคนยิ้ม

                    หลังจากนั้นไม่รู้เค้าคุยอะไรกันบ้าง  เธอมารู้สึกตัวอีกที  ก็ตอนที่ถูกเหม่ยหลินเดินจูงมือออจากห้องนั้น  และพามานั่งในห้องที่น่าจะเป็นห้องนอนที่ดูจะใหญ่ไปสำหรับ 2 คนนะ  ถ้าเอาเตียงมาวางอีกสัก 10  ให้อยู่กัน  10  คนก็น่าจะอยู่ได้สบายๆ แค่ให้คน  2 คนอยู่ไม่รู้เขาจะสร้างมาทำไมให้ใหญ่ขนาดนี้  เปลื้องทรัพยากรพื้นที่เปล่าๆ ถ้าเอาที่ดินตรงนี้ไปปลูกผักปีๆ หนึ่งคงได้หลายตัง  เอาอีกแล้วฉันกลับเข้าสู้หมวดคนขี้งกอีกแล้ว  สงสัยจะติดนิสัยพี่มณีมาชัวส์

                    “ที่นี้เป็นห้องแก้วนะ  ส่วนห้องเราอยู่ข้างๆถ้ามีอะไรก็เดินไปเรียกได้นะ” เหม่ยหลินพูดขึ้น  ซึ่งเป็นคำพูดที่ดึงสติเธอกลับมาได้ทันที่  ห่ะ...ห้องใหญ่ขนาดนี้ให้อยู่คนเดียว

                    “เดียวๆ...หยกเธอมานอนห้องเดียวกับฉันก็ได้นะห้องใหญ่ขนาดนี้อย่าให้ฉันอยู่คนเดียวเลย”

            “ไม่ได้ท่านประธานหยางเทียนหลง  เป็นคนจัดให้  แล้วจะให้เราแอบมานอนตอนกลางคืนก็คงไม่ได้นะ  เมื่อกี้ท่านเตือนแล้วว่าห้ามทำ”  เหม่ยหลินอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นสีหน้าเว้าวอนของแก้ว

                    “แก้วอาบน้ำแต่งตัวด้วยนะ  ด้วยคืนนี้มีงานเลี้ยงตอนรับพวกเรา  ห้องน้ำอยู่ด้านในขวาสุด   ประตูทางซ้ายเป็นห้องเสื้อผ้านะ  สาวใช้เอาเสื้อผ้าที่เธอเตรียมมาใส่ในตู้หมดแล้ว” เหม่ยหลินอธิบายรายละเอียดเสร็จก็เดินออกไปโดนไม่ฟังคำตอบรับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×