ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ประวัติศาสตร์แห่งเควนเซย์
 
  รุ่งเช้า อากาศช่างไม่สดใสเอาเสียเลย ราวกับมันเองก็ไม่อยากให้เทียออกจากเควนเซย์เช่นเดียวกันกับเธอ...
 
  “ว้า- -วันนี้ดูท่าการเดินทางของเจ้าคงจะต้องเปียกหน่อยล่ะ”ฟรอนซ์หันมากระเซ้าเทีย
 
  “อ้าว- -ก็ดีสิ อาจจะได้เลื่อนเวลาการเดินทางไปวันพรุ่งนี้ก็ได้ ยิ่งฝนตกหนักติดต่อกันสักปีสองปีนี่- -ข้าชอบ!”
 
  “เจ้าก็รู้- -ท่านพ่อไม่เคยผิดเวลา ฉะนั้น เจ้าจะได้ไปภายในวันนี้แหละ”
 
  “...”
 
  “ข้าหิวแล้ว- -เจ้าล่ะ อยากได้อะไรไหม? ข้าจะเอามาให้”
 
  “ไม่ล่ะ ข้าอยากอยู่คนเดียว สักพัก”
 
  “ตามใจเจ้าละกัน”ฟรอนซ์ตบไหล่เทียเบาๆแล้วเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้เทียยืนอยู่ริมระเบียงแต่ผู้เดียว
 
  เทียกวาดสายตามองไปรอบๆทุ่งหญ้ากว้าง ที่มีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ ไกลออกไปเป็นป่าทึบ กลางป่านั้น มีลานโล่ง ใช้เป็นที่สำหรับประชุม ณ เกือบๆสุดชายแดนนั้น ต้นไม้เริ่มเว้าแหว่งเป็นวงกว้าง ตั้งแต่ม่านบาร์เรย์ขาดออก มนุษย์ก็หลงเข้ามาที่เควนเซย์นี่มากขึ้นเรื่อยๆ และ- -ตัดไม้ออกไป! มนุษย์ได้ฆ่าผู้พิทักษ์ป่าไปหลายคน!
 
  ถ้าหากว่าวันหนึ่ง ‘เฟียร์’ ญาติห่างๆของเทีย ที่ได้ชื่อว่าซุกซนแบบไม่มีใครเทียบได้เลยทีเดียว! วันนั้นเฟียร์ไปเก็บสมุนไพรในป่าตามที่ ฟรอนซ์สั่ง เธอเผอิญ ได้ยินมนุษย์สองสามคนคุยกัน
 
  “เฮ้ย...ที่นี่ที่ไหนวะ ทำไมไม้มันเยอะเงียะ?”
 
  “ป่าที่ไอ้ฟอนมันบอกไงเล่า ที่มันว่ามีต้นไม้เหลือเฟือ ถ้าขาดคงได้กำไรงามๆเลยว่ะ!”
 
  “ว่าแต่ทำไมไม่มีใครเคยตัดมันเลยวะ เห็นมีที่ไอ้ฟอนมันขนไปสองสามต้น ต้นไม้สูงขนาดนี้ อย่างน้อยก็ห้าสิบปีล่ะวะ”
 
  “ช่างเหอะ ยังไงๆ เราได้เงินเป็นสิบก้อนแหงๆ ขนาดต้นไม้ในเมืองยังไม่เจริญขนาดนี้เลยว่ะ เอางี้- -อาทิตย์หน้า เรากลับมาอีก ข้าจะชวนเจ้าเซน ลูกข้ากับคนอื่นๆมาด้วย ดีไหม? มาช่วยกันตัดไม้พวกนี้”
 
  “เอาดิ- -ว่าแต่วันนี้เราตัดไปสักต้นดิวะ เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมันจะไม่เชื่อ”
 
  แกรก...สวบ...
 
  “เฮ้ย!ตัวอะไรวะ”ชายคนนั้นอุทาน แล้วยกปืนไรเฟิลขึ้นมา
 
  นี่คือบทสนทนาทั้งของชายทั้งสองที่เฟียร์ไปได้ยินมา(และเท่าที่เทียรู้) เธอรีบหนีมาได้ ถึงแม้เธอจะไม่เคยอยู่ ในโลกมนุษย์ แต่เธอก็รู้ว่า ไอ้กระบอกยาวๆนั้นน่ะ มันทำให้เธอตายได้แน่ๆ
ทันทีที่เฟียร์ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ลอร์ดฟรานซ์ฟัง ลอร์ดฟรายซ์เองก็รีบรุดไปในที่เกิดเหตุทันที แต่ไม่พบอะไรเลย...
********************
  สายๆของวันนั้น ขณะที่ลอร์ดฟรานซ์กำลังจะส่งเทียไปโลกมนุษย์ ฝนก็เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำเอาการเดินทางต้องหยุดชะงัก เพราะฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดที่เวทมนต์ของลอร์ดฟรานซ์เองยังกั้นได้แค่ไม่ใช้น้ำไหลเข้ามาท่วมบ้านของทุกคนเท่านั้น
 
  “พี่” เทียเรียกฟรอนซ์เสียงหวาน เหมือนกับทุกๆครั้งที่เธอต้องการบางสิ่ง
 
  “หืมห์- -อะไรอีกล่ะ? คราวนี้”
 
  “ไหนๆก็ว่างกันแล้ว”เทียพูดหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ก็เห็นกันอยู่ว่าพี่ชายกำลังอ่านตำรำเล่มหนาเตอะ “ช่วยเล่าประวัติศาสตร์เควนเซย์ให้ฟังหน่อยสิ”
 
  “เฮ้อ” ฟรอนซ์ถอนหายใจ “ไปหาอ่านเอาสิ ยัยบ๊อง”
 
  “โห- -มันหนาจะตาย ตัวอักษรก็เล็กยิบแบบนั้น ใครจะไปมีปัญญาอ่านเล่า”
 
  “นี่- -พี่ก็จำไม่ได้หมดหรอก ใช้คาถาขยายเอาซี- -เอ้า นี่ไง” ฟรอนซ์ส่งหนังสือที่เสกคาถาขยายแล้วให้เทีย
 
  เทียรับหนังสือเล่มหนามาถือไว้ในมือ พลางเบ้หนา
 
  “หนักจะตาย เอาไปชั่งกิโลขาย คงจะได้เงินเป็นร้อย!”ถึงปากจะพูด แต่มือก็เริ่มพลิกหน้ากระดาษ
 
  ‘ประวัติศาสตร์ของเมืองเควนเซย์นั้น เดิมเป็นเมืองที่มีถิ่นฐานอยู่บนโลกมนุษย์ มีอีกชื่อเรียก คือ เควนเซย์ ดินแดนสงบเงียบ แห่งมอร์เรย์ เนื่องจาก เควนเซย์เป็นเมืองที่รักสงบ ส่วนคำว่ามอร์เรย์นั้น มาจากชื่อที่ตั้ง ชาวเควนเซย์เรียกผืนแผ่นดินที่เมืองเควนเซย์ตั้งอยู่ว่า มอร์เรย์ มีความหมายตามภาษาเควนเซย์ว่า มาตุภูมิ แต่ในปัจจุบัน ภาษาเควนเซย์ถูกลืมเลือนไปหมดแล้ว แต่ยังคงเหลลือคำอยู่คำเดียวเท่าที่ทุกคนจะจำได้ คือคำว่า \'เควนเซย์\' ลักษณะของชาวเควนเซย์เหมือนมนุษย์ทุกประการ หากแต่ชาวเควนเซย์มีความสามารถในการใช้เวทมนต์เล็กๆน้อยๆ ที่ไม่เป็นอัยตรายแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น ม่านบาร์เรย์ ที่ลอร์ดฟอลเคน ประมุขคนที่ห้าสิบสองเมื่อห้าสิบปีที่แล้วสร้างขึ้น’
 
  เทียพลิกกลับไปดูที่หน้าแรก ซึ่งเขียนไว้ว่า หนังสือเล่มนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี 17xx ที่เทียต้องตะลึง
 
  ‘โห- -นี่มันยุคไหนเนี่ย สามร้อยกว่าปี ว่าแต่คงลงเวทย์แน่ๆเลย ไม่งั้นป่านนี้หนังสือเล่มนี้คงไม่เหลือซากไปแล้ว’ เทียคิดในใจ
 
  ‘ม่านบาร์เรย์ ม่านที่กั้นพรหมแดนเควนเซย์ออกจากโลกมนุษย์ ปัจจุบัน ชาวเควนเซย์เป็นแค่ชนเผ่าที่มีอยู่ในตำนานโลกมนุษย์เท่านั้น สาเหตุที่ม่านบาร์เรย์เกิดขึ้น ก็เพราะการรุกรานจากชาวมนุษย์ ที่บุกเข้ามาตัดไม้ถึงในเมืองเควนเซย์ จากนั้น ก็เริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันของทั้งสองเมืองตามมา
 
  ลอร์ดฟรอนซ์จึงตัดสินใจสร้างม่านขึ้น ประกอบด้วยเวทย์ภาพลวงตา ที่ใช้ประโยชน์จากจุดบอดของมนุษย์โดยม่ายบาร์เรย์จะขยายจุดบอดในตามนุษย์ให้กว้างขึ้นพอที่จะไม่เห็นเมือง และจะมีแต่ชาวเควนเซย์ที่ได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการความปลอดภัยและมั่นคงของเควนเซย์เท่านั้น ที่จะได้ออกไปยังโลกมนุษย์ ซึ่งผู้ที่จะได้รับอนุญาตจะต้องเป็นผู้ที่มี ไหวพริบ สามารถเอาตัวรอด และทำตัวกลมกลืนกับชาวมนุษย์ได้อย่างแนบเนียนเท่านั้น’
 
  เมื่ออ่านถึงตรงนี้ เทียก็นึกถึงหน้าของบรรดาคณะกรรมการแก่ๆ ของคณะกรรมการความปลอดภัยและมั่นคงของเควนเซย์ขึ้นมา คณะกรรมการเหล่านั้น เป็นผู้ที่คอยขัดใจเทียในทุกๆด้าน ทั้งเอ่ยปากห้ามเทียไม่ให้ไปเล่นซนในป่า ไม่ให้ไปเกะกะเวลาท่างพ่อทำงาน ช่างน่ารำคาญจริง!
 
  “พี่- -แล้วทำไม ข้า- -เอ๊ย- -หนูต้องออกไปจากเมืองด้วยล่ะ? พวกนั้นแค่มาตัดไม้ไม่ใช่หรือ เขาคงไม่ได้เอาระเบิดมาถล่มเราหรอกนะ”
 
  “ระเบิด?- -นี่เจ้ารู้จักระเบิดด้วยหรือนี่?”
 
  เทียส่งยิ้มแห้งๆให้ฟรอนซ์
 
  “ก็- -ข้า- -หนู- -แบบว่า เอ่อ- -คือว่า”เทียพูดไม่เป็นภาษา
 
  ฟรอนซ์จับแขนน้องสาวไว้ “เจ้าแอบออกไปที่โลกมนุษย์ใช่ไหม?”
 
  “ก็- -ใช่- -แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ วันนึงข้าเดินออกไปที่ป่า แล้วจู่ๆข้าก็เดินทะลุออกมา แล้วข้าก็เห็นทุ่ง- -จริงๆนะ ทุ่งๆนึง สวยมากๆเลย พอข้าเดินไปอีกหน่อย ซักครึ่งวัน ข้าก็มาถึงหมู่บ้าน- -ข้าคิดว่างั้นนะ นั่นแหละ คนเดินขวักไขว่กันไปหมด ข้าได้ไปลองอาหารของพูดเขาด้วย มันพิสดารสุดๆ ไม่เหมือนที่เรากิน แต่อรอยมาก พี่น่าจะได้ชิมนะ- -“เทียแก้ตัวพัลวัน”ข้าเสียใจที่ไม่ได้ชวนพี่ไปด้วย”เทียพูดเสียงอ่อย”จริงๆนะ”
 
  “เจ้าออกไป กี่ปีแล้ว?”
 
  “ห้า เท่าที่หนูจำได้นะ”เทียยิ้มแหยๆ “แต่หนูก็ไม่ได้ออกไปตั้งสองปีแล้วนะ”
 
  “โดยที่เจ้าไม่ได้หลงเข้าไปในป่ามืดมนเลยหรือ?”
 
  “ป่ามืดมน?”
 
  “ป่าที่อยู่ข้างๆทุ่งนั่นไงทุ่งที่เจ้าบอกว่าสวยน่ะ”
 
  “พี่เคยไปด้วยหรือ? แต่นั่นละ ข้ามัวตะลึงอยู่กับทุ่ง เลยไม่ได้สังเกตุ”
 
  “เจ้าโชคดี- -ใครที่เข้าไปที่นั่นน่ะ ไม่มีวันได้ออกมา ป่ามืดมนน่ะ เป็นป่าแห่งความชั่วร้าย ว่ากันว่ามีปีศาจ และนางไม้ที่ถูกขับไล่ออกจากที่นี่สิงอยู่ พี่เคยเข้าไปนิดนึง น่าขนลุกชะมัด”
 
  แล้วฟรอซ์ก็หัวเราะก้าก
 
  “อย่างนี้สิน้องพี่! ว่าแต่เจ้าจะถามพี่ว่าอะไรนะ?”
 
  “ทำไมหนูต้องไปล่ะพี่ พวกนั้นแค่มาตัดไม้ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เขาไม่ได้ระเบิดเรา หรือเอาปืนมายิงเรา”
 
  “เจ้ายังไม่รู้อะไร- -เทีย\"ฟรอนซ์ทำหน้าเคร่งเครียด “พวกนั้นกะจะมายึดเอาที่เราไป พวกนั้นคิดว่าที่นี่มีมนต์วิเศษ พวกเขาจะเข้ามาอยู่อาศัยที่นี่ แถมพวกนั้นฆ่าคนของเราไปหลายคน ถึงเราจะไม่ชอบสงคราม แต่เพื่อแผ่นดิน เราจำเป็นต้องทำ!”
********************
หุหุ ไม่รู้ว่าจะชอบกันรึเปล่านะคะ^^; จะพยายามลงให้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งค่ะ
แต่ว่ายังไงๆก็ช่วยกันคอมเม้นต์หน่อยค่ะ (กำลังใจของคนเขียน คือคอมเม้นต์นี่แหละค่ะ!)
ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจบหรือยังนะคะ...แต่คิดว่าน่าจะจบแล้วT^T(ขนาดคนแต่งเองยังไม่รู้เลย)
ใครไม่เข้าใจอะไรตรงไหน ถามได้นะคะ
measama
  รุ่งเช้า อากาศช่างไม่สดใสเอาเสียเลย ราวกับมันเองก็ไม่อยากให้เทียออกจากเควนเซย์เช่นเดียวกันกับเธอ...
 
  “ว้า- -วันนี้ดูท่าการเดินทางของเจ้าคงจะต้องเปียกหน่อยล่ะ”ฟรอนซ์หันมากระเซ้าเทีย
 
  “อ้าว- -ก็ดีสิ อาจจะได้เลื่อนเวลาการเดินทางไปวันพรุ่งนี้ก็ได้ ยิ่งฝนตกหนักติดต่อกันสักปีสองปีนี่- -ข้าชอบ!”
 
  “เจ้าก็รู้- -ท่านพ่อไม่เคยผิดเวลา ฉะนั้น เจ้าจะได้ไปภายในวันนี้แหละ”
 
  “...”
 
  “ข้าหิวแล้ว- -เจ้าล่ะ อยากได้อะไรไหม? ข้าจะเอามาให้”
 
  “ไม่ล่ะ ข้าอยากอยู่คนเดียว สักพัก”
 
  “ตามใจเจ้าละกัน”ฟรอนซ์ตบไหล่เทียเบาๆแล้วเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้เทียยืนอยู่ริมระเบียงแต่ผู้เดียว
 
  เทียกวาดสายตามองไปรอบๆทุ่งหญ้ากว้าง ที่มีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ ไกลออกไปเป็นป่าทึบ กลางป่านั้น มีลานโล่ง ใช้เป็นที่สำหรับประชุม ณ เกือบๆสุดชายแดนนั้น ต้นไม้เริ่มเว้าแหว่งเป็นวงกว้าง ตั้งแต่ม่านบาร์เรย์ขาดออก มนุษย์ก็หลงเข้ามาที่เควนเซย์นี่มากขึ้นเรื่อยๆ และ- -ตัดไม้ออกไป! มนุษย์ได้ฆ่าผู้พิทักษ์ป่าไปหลายคน!
 
  ถ้าหากว่าวันหนึ่ง ‘เฟียร์’ ญาติห่างๆของเทีย ที่ได้ชื่อว่าซุกซนแบบไม่มีใครเทียบได้เลยทีเดียว! วันนั้นเฟียร์ไปเก็บสมุนไพรในป่าตามที่ ฟรอนซ์สั่ง เธอเผอิญ ได้ยินมนุษย์สองสามคนคุยกัน
 
  “เฮ้ย...ที่นี่ที่ไหนวะ ทำไมไม้มันเยอะเงียะ?”
 
  “ป่าที่ไอ้ฟอนมันบอกไงเล่า ที่มันว่ามีต้นไม้เหลือเฟือ ถ้าขาดคงได้กำไรงามๆเลยว่ะ!”
 
  “ว่าแต่ทำไมไม่มีใครเคยตัดมันเลยวะ เห็นมีที่ไอ้ฟอนมันขนไปสองสามต้น ต้นไม้สูงขนาดนี้ อย่างน้อยก็ห้าสิบปีล่ะวะ”
 
  “ช่างเหอะ ยังไงๆ เราได้เงินเป็นสิบก้อนแหงๆ ขนาดต้นไม้ในเมืองยังไม่เจริญขนาดนี้เลยว่ะ เอางี้- -อาทิตย์หน้า เรากลับมาอีก ข้าจะชวนเจ้าเซน ลูกข้ากับคนอื่นๆมาด้วย ดีไหม? มาช่วยกันตัดไม้พวกนี้”
 
  “เอาดิ- -ว่าแต่วันนี้เราตัดไปสักต้นดิวะ เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมันจะไม่เชื่อ”
 
  แกรก...สวบ...
 
  “เฮ้ย!ตัวอะไรวะ”ชายคนนั้นอุทาน แล้วยกปืนไรเฟิลขึ้นมา
 
  นี่คือบทสนทนาทั้งของชายทั้งสองที่เฟียร์ไปได้ยินมา(และเท่าที่เทียรู้) เธอรีบหนีมาได้ ถึงแม้เธอจะไม่เคยอยู่ ในโลกมนุษย์ แต่เธอก็รู้ว่า ไอ้กระบอกยาวๆนั้นน่ะ มันทำให้เธอตายได้แน่ๆ
ทันทีที่เฟียร์ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ลอร์ดฟรานซ์ฟัง ลอร์ดฟรายซ์เองก็รีบรุดไปในที่เกิดเหตุทันที แต่ไม่พบอะไรเลย...
********************
  สายๆของวันนั้น ขณะที่ลอร์ดฟรานซ์กำลังจะส่งเทียไปโลกมนุษย์ ฝนก็เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำเอาการเดินทางต้องหยุดชะงัก เพราะฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดที่เวทมนต์ของลอร์ดฟรานซ์เองยังกั้นได้แค่ไม่ใช้น้ำไหลเข้ามาท่วมบ้านของทุกคนเท่านั้น
 
  “พี่” เทียเรียกฟรอนซ์เสียงหวาน เหมือนกับทุกๆครั้งที่เธอต้องการบางสิ่ง
 
  “หืมห์- -อะไรอีกล่ะ? คราวนี้”
 
  “ไหนๆก็ว่างกันแล้ว”เทียพูดหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ก็เห็นกันอยู่ว่าพี่ชายกำลังอ่านตำรำเล่มหนาเตอะ “ช่วยเล่าประวัติศาสตร์เควนเซย์ให้ฟังหน่อยสิ”
 
  “เฮ้อ” ฟรอนซ์ถอนหายใจ “ไปหาอ่านเอาสิ ยัยบ๊อง”
 
  “โห- -มันหนาจะตาย ตัวอักษรก็เล็กยิบแบบนั้น ใครจะไปมีปัญญาอ่านเล่า”
 
  “นี่- -พี่ก็จำไม่ได้หมดหรอก ใช้คาถาขยายเอาซี- -เอ้า นี่ไง” ฟรอนซ์ส่งหนังสือที่เสกคาถาขยายแล้วให้เทีย
 
  เทียรับหนังสือเล่มหนามาถือไว้ในมือ พลางเบ้หนา
 
  “หนักจะตาย เอาไปชั่งกิโลขาย คงจะได้เงินเป็นร้อย!”ถึงปากจะพูด แต่มือก็เริ่มพลิกหน้ากระดาษ
 
  ‘ประวัติศาสตร์ของเมืองเควนเซย์นั้น เดิมเป็นเมืองที่มีถิ่นฐานอยู่บนโลกมนุษย์ มีอีกชื่อเรียก คือ เควนเซย์ ดินแดนสงบเงียบ แห่งมอร์เรย์ เนื่องจาก เควนเซย์เป็นเมืองที่รักสงบ ส่วนคำว่ามอร์เรย์นั้น มาจากชื่อที่ตั้ง ชาวเควนเซย์เรียกผืนแผ่นดินที่เมืองเควนเซย์ตั้งอยู่ว่า มอร์เรย์ มีความหมายตามภาษาเควนเซย์ว่า มาตุภูมิ แต่ในปัจจุบัน ภาษาเควนเซย์ถูกลืมเลือนไปหมดแล้ว แต่ยังคงเหลลือคำอยู่คำเดียวเท่าที่ทุกคนจะจำได้ คือคำว่า \'เควนเซย์\' ลักษณะของชาวเควนเซย์เหมือนมนุษย์ทุกประการ หากแต่ชาวเควนเซย์มีความสามารถในการใช้เวทมนต์เล็กๆน้อยๆ ที่ไม่เป็นอัยตรายแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น ม่านบาร์เรย์ ที่ลอร์ดฟอลเคน ประมุขคนที่ห้าสิบสองเมื่อห้าสิบปีที่แล้วสร้างขึ้น’
 
  เทียพลิกกลับไปดูที่หน้าแรก ซึ่งเขียนไว้ว่า หนังสือเล่มนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี 17xx ที่เทียต้องตะลึง
 
  ‘โห- -นี่มันยุคไหนเนี่ย สามร้อยกว่าปี ว่าแต่คงลงเวทย์แน่ๆเลย ไม่งั้นป่านนี้หนังสือเล่มนี้คงไม่เหลือซากไปแล้ว’ เทียคิดในใจ
 
  ‘ม่านบาร์เรย์ ม่านที่กั้นพรหมแดนเควนเซย์ออกจากโลกมนุษย์ ปัจจุบัน ชาวเควนเซย์เป็นแค่ชนเผ่าที่มีอยู่ในตำนานโลกมนุษย์เท่านั้น สาเหตุที่ม่านบาร์เรย์เกิดขึ้น ก็เพราะการรุกรานจากชาวมนุษย์ ที่บุกเข้ามาตัดไม้ถึงในเมืองเควนเซย์ จากนั้น ก็เริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันของทั้งสองเมืองตามมา
 
  ลอร์ดฟรอนซ์จึงตัดสินใจสร้างม่านขึ้น ประกอบด้วยเวทย์ภาพลวงตา ที่ใช้ประโยชน์จากจุดบอดของมนุษย์โดยม่ายบาร์เรย์จะขยายจุดบอดในตามนุษย์ให้กว้างขึ้นพอที่จะไม่เห็นเมือง และจะมีแต่ชาวเควนเซย์ที่ได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการความปลอดภัยและมั่นคงของเควนเซย์เท่านั้น ที่จะได้ออกไปยังโลกมนุษย์ ซึ่งผู้ที่จะได้รับอนุญาตจะต้องเป็นผู้ที่มี ไหวพริบ สามารถเอาตัวรอด และทำตัวกลมกลืนกับชาวมนุษย์ได้อย่างแนบเนียนเท่านั้น’
 
  เมื่ออ่านถึงตรงนี้ เทียก็นึกถึงหน้าของบรรดาคณะกรรมการแก่ๆ ของคณะกรรมการความปลอดภัยและมั่นคงของเควนเซย์ขึ้นมา คณะกรรมการเหล่านั้น เป็นผู้ที่คอยขัดใจเทียในทุกๆด้าน ทั้งเอ่ยปากห้ามเทียไม่ให้ไปเล่นซนในป่า ไม่ให้ไปเกะกะเวลาท่างพ่อทำงาน ช่างน่ารำคาญจริง!
 
  “พี่- -แล้วทำไม ข้า- -เอ๊ย- -หนูต้องออกไปจากเมืองด้วยล่ะ? พวกนั้นแค่มาตัดไม้ไม่ใช่หรือ เขาคงไม่ได้เอาระเบิดมาถล่มเราหรอกนะ”
 
  “ระเบิด?- -นี่เจ้ารู้จักระเบิดด้วยหรือนี่?”
 
  เทียส่งยิ้มแห้งๆให้ฟรอนซ์
 
  “ก็- -ข้า- -หนู- -แบบว่า เอ่อ- -คือว่า”เทียพูดไม่เป็นภาษา
 
  ฟรอนซ์จับแขนน้องสาวไว้ “เจ้าแอบออกไปที่โลกมนุษย์ใช่ไหม?”
 
  “ก็- -ใช่- -แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ วันนึงข้าเดินออกไปที่ป่า แล้วจู่ๆข้าก็เดินทะลุออกมา แล้วข้าก็เห็นทุ่ง- -จริงๆนะ ทุ่งๆนึง สวยมากๆเลย พอข้าเดินไปอีกหน่อย ซักครึ่งวัน ข้าก็มาถึงหมู่บ้าน- -ข้าคิดว่างั้นนะ นั่นแหละ คนเดินขวักไขว่กันไปหมด ข้าได้ไปลองอาหารของพูดเขาด้วย มันพิสดารสุดๆ ไม่เหมือนที่เรากิน แต่อรอยมาก พี่น่าจะได้ชิมนะ- -“เทียแก้ตัวพัลวัน”ข้าเสียใจที่ไม่ได้ชวนพี่ไปด้วย”เทียพูดเสียงอ่อย”จริงๆนะ”
 
  “เจ้าออกไป กี่ปีแล้ว?”
 
  “ห้า เท่าที่หนูจำได้นะ”เทียยิ้มแหยๆ “แต่หนูก็ไม่ได้ออกไปตั้งสองปีแล้วนะ”
 
  “โดยที่เจ้าไม่ได้หลงเข้าไปในป่ามืดมนเลยหรือ?”
 
  “ป่ามืดมน?”
 
  “ป่าที่อยู่ข้างๆทุ่งนั่นไงทุ่งที่เจ้าบอกว่าสวยน่ะ”
 
  “พี่เคยไปด้วยหรือ? แต่นั่นละ ข้ามัวตะลึงอยู่กับทุ่ง เลยไม่ได้สังเกตุ”
 
  “เจ้าโชคดี- -ใครที่เข้าไปที่นั่นน่ะ ไม่มีวันได้ออกมา ป่ามืดมนน่ะ เป็นป่าแห่งความชั่วร้าย ว่ากันว่ามีปีศาจ และนางไม้ที่ถูกขับไล่ออกจากที่นี่สิงอยู่ พี่เคยเข้าไปนิดนึง น่าขนลุกชะมัด”
 
  แล้วฟรอซ์ก็หัวเราะก้าก
 
  “อย่างนี้สิน้องพี่! ว่าแต่เจ้าจะถามพี่ว่าอะไรนะ?”
 
  “ทำไมหนูต้องไปล่ะพี่ พวกนั้นแค่มาตัดไม้ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เขาไม่ได้ระเบิดเรา หรือเอาปืนมายิงเรา”
 
  “เจ้ายังไม่รู้อะไร- -เทีย\"ฟรอนซ์ทำหน้าเคร่งเครียด “พวกนั้นกะจะมายึดเอาที่เราไป พวกนั้นคิดว่าที่นี่มีมนต์วิเศษ พวกเขาจะเข้ามาอยู่อาศัยที่นี่ แถมพวกนั้นฆ่าคนของเราไปหลายคน ถึงเราจะไม่ชอบสงคราม แต่เพื่อแผ่นดิน เราจำเป็นต้องทำ!”
********************
หุหุ ไม่รู้ว่าจะชอบกันรึเปล่านะคะ^^; จะพยายามลงให้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งค่ะ
แต่ว่ายังไงๆก็ช่วยกันคอมเม้นต์หน่อยค่ะ (กำลังใจของคนเขียน คือคอมเม้นต์นี่แหละค่ะ!)
ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจบหรือยังนะคะ...แต่คิดว่าน่าจะจบแล้วT^T(ขนาดคนแต่งเองยังไม่รู้เลย)
ใครไม่เข้าใจอะไรตรงไหน ถามได้นะคะ
measama
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น