ตอนที่ 8 : ตอนที่ 7 : มอดไหม้
ใบไม้แห้งที่ร่วงโรยตามพื้นถูกเหยียบย่ำดังแข่งกันจากฝ่าเท้าของเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่ ข้าวของและกระเป๋าเป้ส่วนใหญ่ถูกกองรวมกันอย่างไม่เป็นที่เป็นทาง ในเวลาบ่ายคล้อยของวันเป็นแสงแดดส่องข้ามผ่าเมฆไม้ที่คอยเป็นร่มเงาของเด็กนักเรียนในยามนี้ กิจกรรมกางเตนท์กำลังเริ่มขึ้น จริงๆ ไม่ควรเรียกว่ากิจกรรมด้วยซ้ำแต่มันคือสิ่งที่ต้องทำ แน่ล่ะเขาต้องใช้มันเป็นที่หลับนอนในคืนนี้
นักเรียนถูกแบ่งให้ร่วมกิจกรรมกันเป็นกลุ่ม แน่นอนว่าเตนล์เป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับเพื่อนๆ มันเป็นแบบนี้ตลอด... เขาถูกแบ่งไปอยู่กับกลุ่มหมีป่า ส่วนยูตะกับแทยงอยู่กลุ่มเดียวกันคือกลุ่มเสือดาว สุดท้ายแน่นอนว่าโดยองกับวินวินอยู่กลุ่มนกเงือก เขาไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไรหรอกแค่มันไม่ค่อยชินเท่านั้นเวลาอยู่กับเพื่อนต่างกลุ่ม ไม่นานเตนท์สำหรับพักแรมคืนนี้ก็อยู่กางเรียบร้อย เด็กชายใช้ก้อนหินพอดีมือตอกหมุดที่คอยดึงตัวเตนท์ไว้สองสามครั้งเมื่อมั่นใจว่ามันจะไม่พังแล้ว เขาจึงละมือแล้วนั่งจุ้มปุ้กอยู่กับพื้น อันที่จริงเพื่อนๆ ของเขาเคยขอเตนท์พักแรมที่มันไม่ต้องเปลืองแรงขนาดนี้มาแล้ว แต่อาจารย์ซีวอนบอกว่าพวกเขาควรเรียนรู้การกางเตนท์ที่มันต้องใช้ความสามัคคีกันบ้างเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของกลุ่ม
มันก็สนุกมากกว่าที่คิดเขาเห็นว่ายูตะมีความสุขมากกว่าใครเพื่อนหมอนั่นคอยเป็นคนเดินตอกหมุดแทบจะทุกเตนท์ที่ถูกกางขึ้น ยูตะมีส่วนร่วมอยู่ด้วย แทยงมองตามด้วยความเบื่อหน่าย เพื่อนตัวดีของเขากำลังหยิบไบไม้แห้งจากพื้นปาใส่ยูตะตามหลังด้วยมันโรยลงมาช้าๆ ตามแรงของลมที่พัดมาเอื่อยๆ แม้ปาแล้วจะไม่โดนแต่มันก็ทำให้คนอื่นมองแล้วขำตามไปด้วย
“เศษใบไม้มันเข้าปากฉันแล้วนะแทยง” เสียงยูตะโวยวายขึ้นเมื่อโดนเพื่อนสนิทแกล้ง เตนล์ไม่ได้สนใจนักเขาลากกระเป๋าใบโตเข้าไปในที่พักเพื่อจัดแจงใจเรียบร้อย หลังจากนี้ไม่มีมื้อค่ำให้ทานแล้วแต่อาจารย์ซีวอนบอกว่าให้พวกเราจัดปาร์ตี้เล็กๆ ได้ แต่ไม่ควรเสียงดังเกินไปเพราะที่นี่คือป่าทั้งหมด อาจดูอันตรายแต่มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตราให้ก็ดูจะหายห่วงไปได้
“กินใบไม้ไปเลยยูตะ นายมันคนติดดินไม่ใช่รึไง” เสียงเพื่อนอีกคนที่เหมือนกำลังวิ่งหนีเพราะยูตะน่าจะเอาคืน
“เลิกเล่นได้แล้ว ฉันจะไปอาบน้ำ ถ้ามืดกว่านี้อย่ามาชวนฉันล่ะ” เป็นโดยองที่ตัดบทสนทนาทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี เตนล์หยิบข้าวของเครื่องใช้มาบางส่วนเขาก็อยากไปอาบน้ำเหมือนกัน อากาศเย็นลงเรื่อยๆ แต่ทว่าเขาไม่ไหวจริงๆ เหนียวตัวไปหมด ร่างเล็กวิ่งไปหาเพื่อนสนิท ใช่ เขาจะไปกับโดยองด้วย
“ไปกันเถอะโดยอง เดี๋ยวค่ำกว่านี้จะหนาวเอา” เตนล์เอ่ยขึ้น เขาขำแทยงที่รีบวิ่งตามจนแปรงสีฟันในมือร่วงแล้วก็ต้องวิ่งกลับไปเก็บอีกรอบ น่ารักแบบนี้ไง โดยองถึงได้ชอบแกล้งอยู่เรื่อย
การแคมป์ปิ้งครั้งนี้แม้จะอยู่ท่ามกลางป่าสนแต่ก็ยังมีห้องน้ำให้ใช้ทำธุระ ออกจะไกลซักหน่อยเด็กๆ ที่มาส่วนมากจึงจับกลุ่มกันไป ดวงตะวันเคลื่อนตัวลงต่ำจนท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มเข้ม มันสวยมากๆ ตอนเห็นยอดสนแทรกเป็นเงาผ่านม่านฟ้า ลมที่พัดเข้ามากระทบใบหน้าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงชวนให้เขารู้สึกดีชะมัด อีกไม่นานก็เป็นกิจกรรมวันฮาโลวีนของโรงเรียนแล้ว และชั้นปีของเขาน่ะอนุญาตให้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ได้ มันน่าตื่นเต้นชะมัด เตนล์ไม่เคยไปงานปาร์ตี้ที่ไหนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและเขาจะไม่พลาดงานเลี้ยงที่น่าสนุกครั้งนี้แน่
“ขอร้องล่ะ ให้ฉันเข้าไปกับนายเถอะนะ เตนล์ก็ได้...”
พวกเรามาถึงห้องน้ำกันได้ซักพักแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำซักทีเพราะเพื่อนตัวดีมัวแต่โอ้เอ้ อ้อนวอนขอโดยองเข้าไปในห้องน้ำด้วย และเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แทยงน่ะ ขี้กลัวจะตายไป... ยิ่งที่นี่เงียบซะจนวังเวงด้วยล่ะก็ ต่อให้ห้องน้ำติดกันแค่ไหนเสียงโวยวายของแทยงก็ดังอยู่ดี
“ไม่มีทาง” นี่ไม่ใช่เสียงของโดยอง แต่เป็นเตนล์เอง ไม่ใช่ว่าเขารำคาญเพื่อนตัวดีที่ขี้โวยวายนะ แต่เพราะว่าสุดท้ายออกมาโดยองมักจะถามเซ้าซี้เรื่องของแทยงอยู่นั่นแหละ ตัดรำคาญไปเลยดีกว่า
เตนล์เลือกเดินไปไปเข้าห้องน้ำอีกฟากที่มีคนออกมาพอดีปล่อยให้เพื่อนสองคนตกลงกันเอง น้ำจากฝักบัวอุ่นได้ที่เขาชำระร่างที่เหนอะหนะตอนกางเตนท์นอนไปเมื่อตอนบ่ายเหงื่อกาฬที่เคยสกปรกแทนที่ด้วยน้ำอุ่นๆ หยิบอุปกรณ์อาบน้ำเตรียมจะฟอกตัวแต่สุดท้ายขวดสบู่เหลวที่หยิบออกมาดันหลุดมือกลิ้งออกไปข้างนอกห้องที่เขาอาบน้ำอยู่ ‘ให้ตายเหอะ’ เด็กชายสบถในใจ เขาไม่รู้ว่าใครอยู่ข้างนอกรึเปล่าแต่ดูเงียบผิดปกติขนาดนี้เลยตัดสินใจแง้มบานประตูไปหยิบเองจะดีกว่า สายลมที่พัดกระทบร่างทำเอาหนาวสั่นไปทั้งตัวแม้จะชุดคลุมมาคอยปกปิดแต่อากาศค่อนข้างเย็นเลยล่ะ
“อยู่ไหนล่ะเนี่ย”
“หานี่อยู่หรอ”
ท่อนแขนที่ปรากฏเส้นเลือดชัดเจนยื่นขวดสบู่เหลวมาให้ตรงหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำเขาจำมันได้ดี ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร เตนล์เงยมองเจ้าของมือหน้านั้นก่อนจะหยิบมันมาแล้วรีบปิดประตู แม้จะลืมกล่าวขอบคุณก็ตาม โอเมก้าตัวเล็กเชื่องช้ากว่าหมาป่าตรงหน้านัก ความเร็วที่แตกต่างทำให้ลูคัสสามารถเอาแขนอีกข้างค้ำประตูห้องนำไว้ได้ คนตัวสูงยิ้มให้รุ่นน้องที่หน้าแดงจนลามไปถึงคอ ไม่แน่ใจว่าอาการสั่นที่เห็นเกิดจากเด็กตรงหน้าเขินอายหรือว่าหนาวกันแน่
“พี่ลูคัสออกไปก่อนครับ” มือเล็กดันลำตัวรุ่นพี่ให้ออกห่าง เขาปิดประตูไม่ได้น่ะสิ กลัวคนอื่นจะมาเห็นอีกด้วยแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครเลยก็ตาม
“อะแฮ่ม..!”
ทั้งสองหันไปตามอีกเสียงที่ดังขัดจังหวะขึ้นระหว่างบทสนทนาที่ดูล่อแหลมนักกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้
“คือว่านะ ฉันลืมหยิบยาสีฟันมาน่ะ” โดยองเอ่ยขึ้น เขาไม่นึกไม่ฝันด้วยซ้ำว่าจะมาเจอรุ่นพี่ตรงนี้ ไม่ชอบใจนักที่ทำตัวรุ่มร่ามใส่เพื่อนของเขา มันก็ใช่อยู่หรอกที่ว่าเตนล์ก็รู้สึกดีกับลูคัส แต่เพื่อนของเขาน่ะเจออะไรไม่ดีมาเยอะการที่จะเป็นห่วงเพื่อนมันก็ไม่ได้ผิดนักไม่ใช่หรอ
“เอาของฉันแบ่งไป..”
“นายไปอาบน้ำกับแทยงเถอะเตนล์ เดี๋ยวฉันหาห้องน้ำห้องอื่นดีกว่า”
เขายังไม่ได้พูดจบด้วยซ้ำก็ถูกดึงตัวให้ออกห่างลูคัสแล้ว รุ่นพี่ตัวดียักไหล่เป็นเชิงรับรู้ เขาเข้าใจรุ่นน้องตรงหน้าดีและไม่ได้แค้นเคืองอะไรด้วย
“ก..ก็ได้”
ความคิดในครั้งแรกที่ปฏิเสธแทยงไปคงต้องกลับคำพูดแล้วสินะ เตนล์หน้าเจื่อนลงเล็กน้อย เขากลัวรุ่นพี่ลูคัสเสียหน้าน่ะสิ
“โดยอง..ฉันเจอยาสีฟันแล้ว!!”
“เห้อ..” เสียงแทยงตะโกนออกมาจากห้องน้ำอีกด้านถึงกลับทำให้เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมกลอกตามองบนอย่างเสียไม่ได้ เอาล่ะ เรื่องที่ลืมหยิบยาสีฟันมาให้ถือเป็นเรื่องล้อเล่นแล้วกัน
สีส้มแดงจากเปลวไฟที่ก่อตัวอยู่ข้างหน้ากลุ่มเด็กชายสี่ถึงห้าคนกำลังลุกโชติช่วงแข่งกับความหนาวแห้งในฤดูกาลนี้ อาจารย์กำชับพวกเด็กๆ ว่าหลังปาร์ตี้รอบกองไฟต้องดับไฟให้มอดดับ ต้องดูดีๆ ‘ต้องดูให้ดี’ ยูตะล้อเลียนตามที่อาจารย์สั่ง เขาบ่นกับตัวเองว่ารู้แล้วๆ อาจารย์ก็ยังพูดเป็นร้อยรอบนั่นแหละ กองไฟขนาดกลางตอนนี้โดนล้อมไปด้วยมาชเมลโล่วสีอ่อนที่ถูกเสียบด้วยไม้ขนาดพอเหมาะเพื่อไม่ให้ไฟลนมือ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากการไหม้ของขนมชวนให้รู้สึกดีมากๆ พวกเขาทุกคนมีแก้วโกโก้ร้อนคนละใบ เตนล์เห็นยูตะเสียบขนมดังกล่าวจนไม่มีที่จะไว้จับด้วยซ้ำ
“ทำไมใส่เยอะขนาดนั้นเล่า” โดยองเอ็ดเมื่อยูตะเอาแต่เสียบเจ้าขนมนุ่มนิ่มเกือบสิบชิ้นโดยไม่สนว่าตัวเองจะมีที่สำหรับไว้จับย่างหรือเปล่า
“ก็ฉันขี้เกียจจะใส่มันบ่อยๆ ไง เนี่ยครั้งเดียวเป็นอันรู้เรื่อง”
“อย่างนายเรียกตะกละ ไอทึ่ม”
“นายว่าใครแทยง!” ยูตะทำท่าจก้าวข้ามกองไฟมาตีเพื่อนตัวเล็ก แต่ก็นะ มันออกจะโอเวอร์ไปสักหน่อยแต่หมอนี่กล้าทำจริงๆ นะ
“พอเลยๆๆ ยูตะ! เอามาให้ฉันนี่”
วินวินเอ่ยขึ้นขัดอีกคนไว้ ดีหน่อยที่อยู่ข้างๆ กัน สามารถรั้งอีกคนให้นั่งลงได้ เพื่อนโอเมก้าอีกคนของเขาช่วยแบ่งเจ้าขนมนั่นจากยูตะใส่แก้วโกโก้ของตัวเอง มันค่อยๆ เหลวไปกับเครื่องดื่มที่อยู่ในแก้ว เขายกขึ้นจิบมันพร้อมกันกับเตนล์แล้วยิ้มให้กันอย่างร่าเริง
“อร่อยอ่ะ” เตนล์เอ่ยขึ้นก่อน ยูตะหน้ามุ่ยก่อนเขม่นหน้าใส่แทยงต่อ แต่เพื่อนอีกคนกลับทำหน้าเหมือนไม่สนใจ
“กิจกรรมน่าจะมีสักสามวันเนอะ เสียดายพรุ่งนี้ตอนเย็นก็ต้องกลับแล้ว ฉันล่ะเบื่อชะมัด”
คนที่สมองไวที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้น ทุกคนในกลุ่มต่างทำตาโตใส่กันอย่างไม่ได้นัดหมาย ก็ไม่อยากจะเชื่อน่ะสิว่าเพื่อนตัวดีของเขาที่บ้าเรียนอย่างกับอะไรดี กลับบอกว่าน่าเบื่อเมื่อจะได้กลับไปโรงเรียน คิดมาตลอดว่าโดยองน่าจะเกลียดพวกกิจกรรมแบบนี้จะตายไป
“ฉันหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย ช่วยตบบ้องหูฉันซักทีสิ”
ป้าบบบ!!
เตนล์ไม่ได้ตบเข้าที่บ้องหูจริงๆ หรอกนะ เขาแค่ตีไหล่ของยูตะแทน เพื่อนในกลุ่มต่างขำพร้อมกัน คิดเหมือนยูตะด้วยซ้ำ
“ฉันนึกว่าจะมีคนตบเข้าที่บ้องหูของยูตะเข้าจริงๆ ซะอีก เสียดายชะมัด” วินวินเอ่ยขึ้น พร้อมกลั้นขำเรื่องของโดยองด้วย
“พวกนายนี่โอเว่อร์แอคติ้งกันจริงๆ ถึงฉันจะหัวดีที่สุดในห้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ชอบกิจกรรมนอกห้องเรียนซะหน่อย”
ให้ตายเถอะ พูดออกมาได้ว่าตัวเองฉลาดที่สุดในห้องเป็นเขาก็ไม่กล้าพูดหรอกแม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตามถ้าตัวเองเก่งขนาดนั้นแต่สำหรับโดยองแล้ว เตนล์ก็เถียงไม่ออกหรอกนะ แทบจะเก่งที่สุดในสายชั้นเลยก็ว่าได้เลยล่ะ
“ออกมาแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนอะ เตนล์จะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง” แทยงที่มุมปากมีร่องรอยจากการจิบโกโก้เอ่ยขึ้นบ้าง เขาดีใจแทนเพื่อนจริงๆนะ ไม่รู้ว่าเป็นความเคยชินหรืออะไร โดยองที่นั่งอยู่ข้างๆ ใช้มือข้างที่ว่างถือโอกาสเช็ดให้อย่างไม่รังเกียจ นี่สินะเป็นความใส่ใจแบบไม่รู้ตัว
“ใช่เลยๆ เราน่าจะมีกิจกรรมแบบนี้บ่อยๆ เนี่ยสัปดาห์ถัดไปก็ฮาโลวีนส์แล้ว ฉันคิดยังไม่ออกเลยว่าจะแต่งเป็นอะไรดี”
วินวินพูดพร้อมกระชับผ้าห่มที่หยิบติดมือออกมาห่มด้วยตอนหัวค่ำ อากาศวันนี้ค่อนไปทางหนาวด้วยซ้ำ บรรยากาศค่อนข้างเงียบกว่าปกติด้วย เพราะว่าอยู่ในป่าแบบนี้ล่ะมั้งเลยชวนให้รู้สึกวังเวงอยู่หน่อยๆ มีแต่เสียงครึกครื้นจากเด็กๆ ที่มาแคมป์ปิ้งกันนี่แหละที่ทำให้ที่นี่ไม่เงียบเกินไป แต่ถ้าเดินไปไกลจากนี่อีกหน่อยล่ะก้ไม่ต้องพูดถึงความน่ากลัวหรอก มันมากกว่านั้นอีก
“ฉันคิดไว้แล้วล่ะ” แทยงบอกดูจะตื่นเต้นที่สุด แต่ยูตะน่ะหรอ หมอนี่นะปีที่แล้วแต่งชุดนักฟุตบอลไปงานเฉยเลย ก็รู้ๆ กันอยู่อ่ะนะ
“นายจะแต่งเป็นอะไร” โดยองหันไปถาม ทุกคนก็เฝ้ารอคำตอบเหมือนกัน
“ฉันจะแต่งคู่กับโดยองล่ะ” แก้วโกโก้ที่ทุกคนถือไว้ถูกยกขึ้นมาดื่มพร้อมกัน เขาไม่น่าคาดหวังคำตอบที่จะได้ไว้เลย
เวลาล่วงเลยใกล้จะถึงเวลาเคอร์ฟิวแล้ว เสียงที่แสดงถึงความสนุกสนานยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง อาจารย์บอกพวกเขาไว้ว่าเวลาตีสองคือจะไม่เห็นใครนั่งหรือหัวเราะคิกคักแม้แต่ในเต้นท์นอนก็ตาม เพื่อนๆ ก่อนหน้านี้ทยอยไปห้องน้ำแล้ว เหลือแค่เขากับยูตะที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เริ่มออกอาการว่าอยากเข้าห้องน้ำ
มันไม่ลำบากสำหรับยูตะที่เป็นเบต้าปล่อยของไว้ตรงไหนก็ได้ในส่วนของป่าแห่งนี้ แต่ว่าโอเมก้าอย่างเตนล์มันเป็นเรื่องที่น่าห่วงเพราะฟีโรโมนบางส่วนจะถูกปล่อยออกมากับของเหลวในร่างกาย มันดีซะกว่าถ้าเขาจะไปห้องน้ำน่ะนะ
“ฉันเริ่มปวดฉี่แล้วเราไปห้องน้ำกันตอนนี้ดีกว่ายูตะ ยังมีเพื่อนห้องอื่นทยอยไปบ้างอ่ะ”
“รีบไปรีบกลับนะ ยูตะนายอย่าทิ้งเตนล์ไว้คนเดียวนะ” อย่างที่เตนล์บอกถ้าช้ากว่านี้พวกเขาต้องไปกันสองคนก็ไม่ไหวหรอกนะ ไม่ลืมที่จะหยิบผ้าห่มให้เพื่อนตัวดี ยูตะเห็นแบบนี้เขาก็เป็นห่วงเพื่อนนะ ก็พวกโอเมก้าน่ะอ่อนแอกว่าพวกเบต้าอย่างเขานี่นา แต่แทยงนี่ควรโดนซักเปรี้ยง หมอนี่ทำกับว่าเขาไม่รักเพื่อนงั้นแหละ
“เงียบไปเหอะน่า” ยูตะเอ่ยก่อนจะเดินนำเตนล์ไปก่อน
“นายไม่คิดว่ามันเงียบแปลกๆ หรอเตนล์” ยูตะเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาได้ซักพักแล้วรู้สึกว่าป่ามันเงียบจนรู้สึกได้ ไม่รู้สัญชาติญาณเบต้าทึ่มๆ อย่างเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่อย่างน้อยตอนกลางคืนก็ควรมีเสียงสัตว์ป่าที่ร้องบ้างสิ ในที่นี้เหมายถึงนกหรือค้างคาวอะไรเทือกนั้นอ่ะนะ
“นายจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา รีบไปกันเถอะ ดูคนอื่นจะกลับกันหมดแล้ว”
“เออๆ นายไปเข้าก่อนไป เดี๋ยวฉันไปยืนฉี่ข้างต้นไม้ จะได้เร็วๆ”
เตนล์เห็นเพื่อนตัวเองเดินเข้าไปในบริเวณป่าที่พอปกปิดส่วนต่างๆ ได้ตัวเขาเองก็เลยวิ่งไปในห้องน้ำบ้าง ด้านยูตะก็รีบทำธุระของตัวเองบ้าง เขาเดินออกมาจากห้องน้ำประมานห้าสิบเมตรได้ เขารู้สึกไม่ดีจริงๆ นะเนี่ย
บ..บรู๊ว...บรู๊ววววว์!! บรูววววววว์ !!
เขาเบิกตาโตเมื่อได้ยินเสียงที่คาดไม่ถึงนี้ เขาเคยได้ยินเสียงหมาหอนก็จริงแต่มันไม่ใช่สถานที่นี้ ในเวลานี้ด้วย จากที่ว่าจะทำธุระของตัวเองให้เสร็จต้องหยุดชะงัก เขาต้องไปดูเพื่อนก่อนตัวเขาเองน่ะจะฉี่ที่ไหนก็ได้ เสียงเมื่อกี้นี้ทำเอาซะเขาขนลุกขนชันไปหมด เพื่อนตัวดีเขาอยู่ไหนล่ะเนี่ย ยูตะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาเพื่อตัวเล็กที่ทำธุระอยู่ในห้องน้ำ
“เตนล์…เตนล์!” เขาตะโกนเรียกพร้อมกับวิ่งไปด้วย จริงๆ เขาก็กลัวอ่ะนะ แต่เป็นห่วงเพื่อนมากกว่า
“มองหาใครอยู่ยูตะ” เสียงเรียกจากข้างหลังทำให้เขาหันไปมองต้นเสียงนั้น ผู้ชายผิวขาวผ่องใบหน้าที่หล่อได้รูปเอ่ยถามขึ้น อาจารย์เฉียนคุนมาได้เวลาพอดีเลยเขาโคตรอยากจะขอบคุณพระเจ้าที่ส่งอาจารย์มาในเวลานี้ซะเหลือเกิน
“เตนล์ครับอาจารย์ เห็นเขาออกจากห้องน้ำหรือยังครับ”
“อ๋อคงยังน่ะ แต่อาจารย์ซีวอนเดินตรวจนักเรียนแล้ว รีบกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวเตนล์ครูพากลับเอง”
“แต่ว่า...” เขาชะเง้อหาเพื่อนตัวดี นี่หมกขี้หรืออะไรได้แต่คิดในใจ
“นายโดนหมายหัวอยู่ด้วยไม่ใช่หรอ” เฉียนคุนดูจะเข้าใจเรื่องนี้ดี
“ให้ตายเถอะ ทำไมต้องเป็นผมตลอดด้วยอ่ะอาจารย์ซีวอนเนี่ย งั้นผมฝากเตนล์กลับกับอาจารย์ด้วยนะครับ”
“ได้อยู่แล้ว นู่นรีบวิ่งไปเพื่อนอีกกลุ่มไปกันแล้ว”
นักเรียนของเขาวิ่งไปกับเพื่อนอีกกลุ่มแล้ว ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสมที่จะจัดการอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น เขาเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาตามกรอบหน้า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะวิ่งแข่งกับเวลาเนี่ย ร่างสูงเดินกลับไปอีกด้านเมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าไม่มีนักเรียนคนไหนอยู่นอกจากเตนล์ที่เขาเฝ้ามองตั้งแต่เด็กคนนั้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ
“ยูตะ.... ยูตะ!”
ตะโกนร้องเรียกเพื่อนที่มาด้วยกัน เขาไม่เคยรู้สึกอยากร้องไห้มากขนาดนี้ หรือว่าเขาโดนหมอนี่ทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกล่ะเนี่ย กลับไปเจอนะ เขาจะอัดให้น่วมเลยเขาแค่คิดไว้น่ะแต่ความในอีกแง่หนึ่งเขาก็กลัวว่าเพื่อนตัวดีจะเกิดอันตราย เขารู้ว่ายังไงยูตะก็ไม่มีทางทิ้งเขาหรอก
เขารู้ดี.... ถึงหมอนั่นจะชอบแกล้งบ้างแต่เขารู้จักเพื่อนเขามากกว่าใคร ร่างบางเดินไปยังอีกทางที่เคยเห็นว่ายูตะเดินมา มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาที่ร่วงไหล เขาทั้งกลัว ทั้งเป็นห่วงเพื่อน
“ยูตะ...นายอยู่ไหน ฮึ่ก...ยู..ยูตะ!” เดินไปยังอีกด้านของห้องน้ำที่เป็นป่าก็ไม่มีวี่แววของยูตะเลย เขาจะไม่เป็นห่วงขนาดนี้ถ้าเกิดว่าเสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้เป็นเสียงที่เขาเคยได้ยินตอนกลับบ้านในครั้งนั้น นานเท่าไหร่ไม่รู้ร่างบางของโอเมก้าอย่างเตนล์เดินตามหาเพื่อน เขาตะโกนแทบจะสุดเสียงแต่มันกลับปนกับเสียงสะอื้นที่ตัวเองกำลังร้องไห้
“ยู....ตะ ยูตะ! อยู่นี่หรือเปล่า..”
ปากเล็กขบเข้าที่ริมฝีปากล่างตัวเองเพื่อกลั้นเสียงร้องไม่ให้สะอื้นไปมากกว่านี้ แต่ฝีเท้าสองข้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อสิ่งที่เขาไม่คาดคิดได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า เป็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอและยิ่งไปกว่านั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเจอที่สุด แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่แสงสว่างจากดวงจันทร์บนฟ้าช่วยส่องสว่างให้เขาได้มองเห็นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
หัวใจดวงน้อยเต้นแรงสั่นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็น ภาพตรงหน้าคือร่างสูงใหญ่ของหมาป่าที่เคยคิดว่าสูญพันธุ์ไปนานแล้ว มันไม่มีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ใช่..เขาเคยคิดไว้แบบนั้น ขนที่ยาวประดับทั่วลำตัวถูกโบกพัดไปตามกระแสลมที่พัดผ่านในเวลานี้ ดวงตาสีเข้มจดจ้องมายังร่างบางที่ยืนอยู่อีกด้าน
เตนล์สบเข้ากับตาดวงนั้น แทบกลั้นหายใจเมื่อแข้งขาสองข้างไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนไปตามที่ใจมุ่งหมาย เขากำลังกลัว… แม้สิ่งที่เห็นจะอยู่ห่างไปเกือบร้อยเมตรแต่โอเมก้าอย่างเขาก็มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือหมาป่าเป็นแน่ มีรูปร่างใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไป มนุษย์หมาป่า งั้นหรอ..
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากสิ่งมีชีวิตตรงหน้าก็ดังออกไปไกลเรื่อยๆ จนเงียบลงไปในที่สุด
ไม่มีแม้แต่แรงจะขยับตัว โอเมก้าตัวเล็กแทบยืนไม่อยู่เขาทรุดลงกับพื้นคล้ายกับคนเป็นลมก่อนจะมีร่างของใครคนหนึ่งมาประคองไว้ได้ทัน ร่างทั้งร่างลอยวืดขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดาย อ้อมกอดและเสียงหัวใจที่คุ้นหู เขาโผกอดเข้ากับร่างของคนพี่ที่ไม่รู้โผล่มาได้ยังไง ยังเป็นผู้ชายคนนี้เสมอ..
ในตอนที่เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ยังเป็นพี่แจฮยอนที่มาอยู่ตรงหน้า แขนเล็กคว้าเข้าที่ลำคออีกคนแล้วซุกร้องไห้เหมือนเด็กสามขวบ แจฮยอนคิดแบบนั้น ออกจะรำคาญเสียงร้องที่สะอื้นอยู่ข้างหูแต่เขาก็สบายใจที่อีกคนยังปลอดภัยดี
“บอกแล้วไง ว่าอย่าทำให้ฉันต้องเป็นห่วง”
เสียงแข็งติดรำคาญของเขามันช่างตรงข้ามกับอ้อมกอดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยเหลือเกิน น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาก่อนหน้านี้แห้งเหือดออกไปเมื่อโดนเอ็ดเข้าให้ มือเล็กสองข้างยังคงคล้องที่ลำคอไว้อย่างแน่นหนา
“ขอโทษครับ...”
ขอบคุณที่จริงๆ นะคะ ที่ยังเข้ามาอ่านกันเรื่อยๆ หน่องผิดไปแร้ว
จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด เมนท์ให้หนูหน่อย ไม่ก็สกรีมแท็กในทวิตซือๆ ก็ได้ค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

งื้ออมันดีย์มากเลยย แต่งให้จบนะไรต์(ประโยคขอร้อง)
รออยู่นะคะ เข้ามาลุ้นตลอดเรยว่าจะอัพรึยัง ดีใจมากๆเรยที่กลับมา^^ ชอบมากกก