ตอนที่ 2 : ตอนที่ 1 : 15 ปีบริบูรณ์
“ใครทำวิชาเลขของอาจารย์คยูฮยอนมาแล้วบ้าง” ยูตะกระซิบถามเพื่อนในกลุ่มเบาๆ หากดังกว่านี้คงได้โดนอาจารย์คยองซูหิ้วตัวปลิวออกจากห้องแน่
“ฉันเสร็จแล้ว” โดยองพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ หมอนี่เป็นมันสมองของสายชั้นก็ว่าได้ ไม่ว่าวิชาอะไรต่างก็เป็นที่หนึ่งตลอด เกิดมาเป็นอัจฉริยะหรือไงนะ
“ขอลอกหน่อยดิ ช่วงพักน่ะ” ยูตะกระซิบตอบอยู่ข้างๆ หมอนี่เป็นเบต้าที่โง่เง่าที่สุดของสายชั้นก็ว่าได้ มาเรียนก็สายแถมยังขี้เกียจอีกด้วยการบ้านก็ไม่เคยทำ ไม่รู้เกิดมาเพื่ออะไร
“นากาโมโตะ ยูตะ!!” เสียงอาจารย์คยองซูตะโกนอีกฟากหนึ่งของโรงพฤกษาที่เรียนอยู่ นักเรียนคนอื่นๆ พากันสะดุ้งไปตามๆ กัน ความวินาศสันตะโรเข้ามาเยือนยูตะอีกแน่ๆ ทั้งที่อาจารย์อยู่อีกฟากแท้ๆ ยังได้ยินเสียงพวกเขากระซิบกันอีก
“ให้ตายเหอะ โคตรเฮี้ยนเลยว่ะ” เจ้าของชื่อกระซิบบ่นกับเพื่อนๆ อีกครั้งก่อนจะค่อยๆ หันไปตามเสียงเรียกนั้น เอาจริงๆ นักเรียนคนอื่นก็สยองไปตามกัน ดีนะโดยองรอดไปได้เพราะทำท่ามุดถอนวัชพืชแปลงอื่นไปซะก่อน
“ครับอาจารย์!” ขานรับแต่ทำหน้าเหมือนคนใกล้ตาย ดูตลกชะมัดเตนล์กับแทยงแอบขำด้วยกัน
“ท้ายชั่วโมงคุณช่วยเก็บกวาดวัชพืชโรงพฤกษาสามด้วยนะ” อาจารย์คยองซูพูดพร้อมมองลอดแว่นบอกยูตะ เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนลงทันทีเพราะไหนจะวิชาเลขของอาจารย์คยูฮยอนเขายังไม่แตะด้วยซ้ำชั่วโมงถัดไปเป็นเวลาพักแล้วแท้ๆ กะใช้เวลานั้นทำแต่มันจะทันไหมล่ะ
ท้ายชั่วโมงเป็นยูตะที่ต้องทำความสะอาดอย่างที่อาจารย์คยองซูสั่งไว้จริงๆ เตนล์และเพื่อนๆ ต่างลงมาทานข้าวที่โรงอาหารหลังโรงเรียน
“ปีนี้พวกเราก็จะครบสิบห้าแล้วสินะ” แทยงเอ่ยขึ้นหลังจากที่ซื้ออาหารมานั่งอยู่ข้างๆ เตนล์ เด็กหนุ่มเป็นโอเมก้าเช่นเดียวกับเตนล์ พ่อของเขาเป็นเบต้าส่วนแม่เป็นโอเมก้ามีไม่มากหรอกที่อัลฟ่าที่จับคู่กันแล้วจะมีลูกเป็นโอเมก้า แต่ยกเว้นเตนล์ไว้คนหนึ่งเถอะ
“ที่ไหนกันล่ะ วินวินเพิ่งหายจากอาการฮีทเมื่อวานเองนะ” โดยองเบต้าอัจฉริยะเขาจำได้ทุกอย่างแม้จะแค่ผ่านๆ หูก็เถอะ โอเมก้าจะมีอาการฮีทหรือติดสัดเมื่ออายุครบสิบห้าปีเต็ม โดยหนึ่งเดือนจะมีอาการฮีทห้าถึงเจ็ดวัน บางครอบครัวถ้ามีฐานะทางการเงินดีหน่อยก็จะซื้อยาเพื่อระงับอาการไม่ก็ยาที่ช่วยลดฟีโรโมนไม่ให้หลั่งออกมาเยอะเกินไปจนอาจเป็นอันตรายกับตนเอง เพราะพวกอัลฟ่าส่วนมากจะชอบมารังแก แถมพูดจาเหยียดหยามอีก วินวินจึงต้องหยุดเรียนหลายวัน โอเมก้าอย่างพวกเขาไม่มีเงินจะซื้อยาพวกนั้นหรอก เว้นเสียแต่ว่าต้องไปขอห้องพยาบาลซึ่งก็นั่นแหละ มันก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของคนๆ หนึ่งหรอก เตนล์มองไปที่วินวินทันทีเพื่อนคนสนิทอีกคนหน้าแดงจนแทบลามไปใบหู
“จริงด้วย! เป็นยังไงบ้าง” แทยงตื่นเต้นกับเรื่องของเพื่อน โดยองทำหน้าเหม็นเบื่อที่แทยงทำแบบนั้นแต่ก็เงียบเพื่อฟังเผื่อเพื่อนจะเอ่ยออกไรออกมาเพื่อไว้ประดับเป็นความรู้บ้าง ก็เท่านั้น...
“มันก็..โคตรแย่เลยล่ะ” วินวินหยิบสมุดเลขของยูตะมาช่วยทำเพราะอีกฝ่ายคงฝากไว้ พร้อมกับตักข้าวใส่ปากไปด้วย ดูหน้าก็รู้ว่าทรมานแค่ไหนตอนเกิดอาการฮีทน่ะ โดยองส่ายหัวเมื่อไม่ได้คำตอบที่คาดหวัง
“แล้วนายทำไง ได้กินยารึเปล่า” ยังเป็นคนเดิมที่ถามเพื่อน แทยงคนช่างจ้อคาดคั้นเอาคำตอบที่ตัวเองอยากรู้ซึ่งจากต่างโดยองที่อยากรู้แค่ไหนก็จะไม่ถาม ยกเว้นเรื่องในห้องเรียนที่ยกมือแสดงความคิดเห็นว่าตัวเองรู้มากจนเพื่อนรำคาญเลยล่ะ
“ไม่ได้กิน ฉันมีเงินซื้อยาแพงๆ แบบนั้นซะที่ไหนกัน ดีที่ยูตะมาช่วย... เอ่อคือว่า ไม่ใช่..” วินวินดูจะสะดุดกับคำพูดของตนเองจนไปต่อไปถูก ทำให้เพื่อนในกลุ่มต้องชะโงกหัวพร้อมกันแม้แต่โดยองที่ทำท่าไม่สนใจก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ฉันคิดว่ามีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในกลุ่มเรา” เตนล์พูดขึ้นเมื่อเห็นวินวินหลุดคำพูดที่ทำให้เพื่อนอยากรู้ออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว แถมตอนนี้เพื่อนของเขากำลังหน้าแดงอีกด้วย จริงๆ เตนล์เอะใจตั้งแต่โอเมก้า คนนี้หยิบสมุดเลขของยูตะขึ้นมาช่วยเขียนแทนเจ้าตัวแล้วล่ะ
“ไม่มีอะไร ฉันแค่ให้ยูตะช่วยบอกเรื่องการบ้าน เพราะหยุดหลายวันงานคงไม่ทันส่งถ้าไม่ได้หมอนั่น” แทยงหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด ก็ไอ้อาการรีบยัดข้าวเข้าปากแบบผิดปกติอย่างนี้วินวินเคยเป็นซะที่ไหนกันล่ะ ทุกครั้งนี่ก็กินข้าวช้ากว่าเพื่อนซะอีก
“พวกเราไม่ได้ถามเรื่องการบ้านซะหน่อย” จอมเสี้ยมอย่างโดยองดูท่าว่าอยากรู้จนเก็บอาการไม่อยู่เลยล่ะตอนนี้
“จริงๆ นะ มันไม่มีอะไรเลย..”
“โอ้ยยยยย!! เมื่อยหลังปวดเอวไปหมด สามสี่คืนที่ผ่านมาก็ไม่ได้นอน” เสียงยูตะโหวกเหวกดึงความสนใจจากเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนมองไปทางบุคคลที่เพิ่งโดนอาจารย์คยองซูลงโทษมา แล้วไอ้ประโยคที่บอกว่าสามสี่คืนไม่ได้นอนนี่มันหมายความว่ายังไงกัน
“หมายความว่าอะไรยูตะ” แทยงเป็นคนแรกเสมอที่เอ่ยถาม ทันทีที่ยูตะนั่งลงก็เลื่อนจานข้าวของวินวินเข้ามาหาตนเองแล้วตักเข้าปากทันที มันยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่ไม่ใช่หรอ สองคนนี้มันยังไงกันนะ
“ก็หมายความว่าฉันไม่ได้นอนไง แล้วเนี่ยวินวินทำวิชาเลขให้เสร็จรึยัง ถ้าไม่ใช่เพราะนายป่านนี้ฉันเสร็จนานแล้ว” เชื่อเขาเถอะต่อให้สองคนนี้ไม่ได้มีซัมติงกัน ยูตะก็ไม่มีวันทำการบ้านเสร็จด้วยตนเองได้หรอก
“พวกนายสองคน...ใช่มั้ย” เตนล์มองไปยังเพื่อนสองคนที่กำลังปิดบังบางอย่างกับเพื่อนในกลุ่ม ยูตะที่ตาโตอยู่แล้วก็ถึงกับเบิกกว้างเท่าไข่ไดโนเสาเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองหลุดความลับบางอย่าง เด็กหนุ่มมองไปยังคนข้างๆ ที่เอาแต่นั่งหน้าแดงไม่พูดไม่จา
“หรือว่าพวกนายรู้กันหมดแล้ว” ข้าวที่เคี้ยวยังไม่หมดกระเด็นออกมาเปื้อนโต๊ะ ทุกคนในกลุ่มถึงขั้นกับถอยหนี สกปรกชะมัด เนี่ยเคยคิดนะว่าเป็นคนเลือกคบเพื่อนแต่เว้นไว้คนหนึ่งเถอะดีหน่อยที่เม็ดข้าวไม่กระเด็นมาติดหน้าตัวเอง
“ฉันบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งบอกพวกมัน ขี้เสือกน้อยที่ไหนกันล่ะ” ยูตะหันไปดุวินวิน จะเรียกว่าดุก็ดูแรงไปหน่อย เพราะอีกคนเล่นยีหัวของเพื่อนสนิทปลอบใจไปอีกจนโดยองทำหน้าเหม็นความรัก
“ยูตะหาว่านายขี้เสือกแหน่ะ เตนล์ แทยง”
“ไม่ต้องย้ำเว้ย พวกฉันรู้ตัวอยู่หรอก” ตักข้าวเข้าปากเมื่อดูท่าแล้วยูตะกับวินวินยังคงไม่ปริปากบอกเรื่องสำคัญที่เพื่อนๆ อยากรู้ใจจะขาด
โรงเรียนแห่งนี้จำกัดแค่อมุษย์จำพวกเบต้าและโอเมก้าเท่านั้น บางแห่งก็พยายามรวบรวมอมนุษย์อย่างอัลฟ่าไว้ด้วยเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม หากแต่พวกอัลฟ่ามักจะเหยียดหยามแถมแบ่งแยกชนชั้นเบต้าและโอเมก้าประหนึ่งว่าผู้คนเหล่านี้เป็นพวกเลือดสีโคลนอย่างไรอย่างนั้น อัลฟ่าคิดว่าเบต้าเป็นพวกไม่มีอะไรโดดเด่น ธรรมดาเสียจนน่าเบื่อแต่ก็ไม่เท่าพวกโอเมก้าชั้นชนต่ำสุด จริงๆ แล้วไม่อยากจะเรียกว่าโอเมก้าเป็นชนชั้นด้วยซ้ำเพราะสังคมเหล่านี้มีน้อยมากเมื่อเทียบเบต้า อ่อนแอและโง่เง่า คอยแค่อ้าขาเวลากระสันนั่นเป็นจุดอ่อนที่โอเมก้าในสังคมอมนุษย์ต้องพบเจอ บางแห่งถึงกับแบ่งโซนที่อยู่เพราะกลัวว่าโอเมก้าจะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้ เตนล์ก็เช่นกัน เขาเป็นโอเมก้าที่เกิดจากพ่อกับแม่ที่เป็นอัลฟ่าทั้งคู่ แม่ด่าเขาเสมอว่าตัวเขาเองเป็นจุดด่างพร้อยของครอบครัว และหากคุณจองไม่เห็นใจให้เขาอาศัยอยู่ด้วย เตนล์คงได้ระเห็จไปอยู่กับพวกโอเมก้าอย่างแทยงและวินวิน เตนล์คิดเสมอว่าถ้าพ่อของเขามีชีวิตอยู่จะเกลียดเขาเหมือนที่แม่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่า
“เห้ย..! นั่นรุ่นพี่ลูคัสมองมาทางนี้ด้วยล่ะ”
“ฉันว่าพี่เขาชอบนายว่ะเตนล์” ยูตะที่กำลังลอกวิชาเลขของโดยองอยู่เงยหน้าขึ้นมาบอก แต่มือก็ยังเขียนต่อไปได้เรื่อยๆ เอาเวลาไปกินข้าวละเนี่ย เทข้าวในจานใส่ท้องเลยหรือไง
“พูดไปเรื่อยยูตะ” เตนล์เอ็ดเข้าให้ ส้อมในมือจิ้มเศษอาหารที่เหลือจนมันเละไปหมด จริงๆ แล้วมันก็ไม่แย่ถ้าได้เป็นแฟนกับพี่เขาอ่ะนะ
“ฉันพูดจริงๆ เคยเห็นพี่เขามองนายตอนคาบพละอาจารย์ซีวอนด้วย นี่ถ้านายสิบห้าปีเต็มฉันว่าพี่เขาก็ไม่เลวนะ”
รุ่นพี่ลูคัสน่ะหรอ..จะชอบคนอย่างเขา ไม่หรอกน่า..
“พูดบ้าอะไรของนายยูตะ ดูเตนล์เขินหมดแล้ว” แทยงแซ็วเข้าให้เมื่อกี้ก็บ้องหูเขาเหมือนจะไม่เห็นด้วยแต่ตอนนี้มาหัวเราะคิกคักแซ็วเพื่อนตัวเอง แทยงนี่มันกลับกลอกดีจริง โดยองเงยหน้าจากหนังสือเล่มใหญ่มามองหน้าเตนล์ว่าแดงจริงๆ หรือเปล่า เสร็จแล้วก็ก้มลงอ่านต่อ เขาต้องทบทวนบทเรียนวิชาเลขของคาบที่แล้วก่อนจะเข้าเรียนช่วงบ่ายนี้
“เดี๋ยวถึงวันนั้นก็รู้เองล่ะน่า” เตนล์พูดขึ้น
“ฝากซื้อน้ำมาให้ด้วยดิ กินของวินวินไม่อิ่มเลยว่ะ” ยูตะบอกเตนล์ที่กำลังเก็บจานของเพื่อนๆ มาซ้อนกัน ในทุกวันเพื่อนๆ จะผลัดกันเอาจานไปเก็บ วันนี้เป็นเวรของเตนล์ที่ต้องรับผิดชอบ เด็กหนุ่มดูดน้ำเพื่อล้างปากก่อนจะลุกออกไปจากที่นั่ง ยูตะบอกเฉยๆ แต่ไม่ได้ให้เงินมาซื้อซึ่งเขาก็รู้ดีว่าเพื่อคนอื่นก็เจอแบบนี้บ่อย
“ค่าน้ำ..ฉันจะมาเค้นเรื่องนายกับวินวินให้ได้ยูตะ”
เมื่อเอาจานไปเก็บอีกด้านของโรงอาหารเด็กหนุ่มก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้อน้ำไปให้เพื่อนสนิทที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้ ดีหน่อยที่ตอนนี้คนไม่ค่อยเยอะทำให้ไม่ต้องเข้าแถวรอนาน
“น้ำส้มหนึ่งแก้วครับ” เขารู้ว่าวินวินกินน้ำส้มเพราะทุกครั้งเพื่อนก็สั่งแบบนั้น ยูตะก็คงไม่ต่างกันหรอกนะตอนนี้
“เปลี่ยนเป็นสองแก้วนะครับ” เสียงทุ้มดังมาจากข้างหลังทำให้ร่างบางต้องหันไปมองว่าใครกันที่สั่งแบบเดียวกับเขา ด้วยความที่แม่ค้ายื่นน้ำมาพร้อมกันกับตอนที่เตนล์หันมาทำให้ลูคัสต้องยื่นมือไปรับน้ำทั้งสองแก้ว ใบหน้าหวานชนเข้ากับหน้าอกของลูคัสอย่างไม่ตั้งใจ เด็กหนุ่มถอยหนีจนแทบสะดุดขาตัวเองล้ม
‘พี่ลูคัส..’
“พี่เลี้ยง เอาไปสิ”
“เอาไปเถอะ พี่อยากเลี้ยงจริงๆ” ร่างสูงคะยั้นคะยอให้รุ่นน้องรับน้ำที่ตัวเองซื้อให้ สุดท้ายเตนล์ก็ใจอ่อนยอมรับน้ำที่ลูคัสซื้อให้มาจริงๆ
“ข...ขอบคุณครับ พี่ลูคัส” เสียงตะกุกตะกักที่พยายามเค้นออกมาจากลำคอมันแสนยากลำบากเหลือเกินเวลาได้อยู่ใกล้รุ่นพี่คนนี้ แถมก้อนหัวใจด้านซ้ายที่เต้นโครมครามตอนนี้ทำเอาเตนล์ไม่เป็นตัวเองซะเลย ขาเรียวรีบเดินออกไปกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำเรื่องน่าอายต่อหน้ารุ่นพี่อีก แค่นี้ใบหน้าของเขาก็ร้อนเห่อยิ่งกว่าท่อนไม้ที่ถูกไฟเผาซะอีก ในโรงเรียนนี้ใครไม่รู้จักลูคัสนี่คงเป็นพวกบ้าเรียนอย่างโดยองแน่ๆ
“เตนล์..”
“ค..ครับ?”
“ฝากถือให้หน่อย”
“เสร็จแล้วล่ะ”
“ฉันต้องบ้าตายแน่ๆ ถ้าพวกนายไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง”
“รีบเล่าให้จบๆ เถอะเตนล์ ฉันขี้เกียจฟังแทยงบ่น อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องได้ยินแต่เสียงมันบ่นเนี่ย นายไม่หนวกหูหรือไง”
รำคาญแทยงเท่านั้น สาบานได้
“มันไม่มีอะไร นายจะให้ฉันเล่าอะไรพวกนายก็เห็นไม่ใช่หรอที่โรงอาหารน่ะ”
“ไม่!!” เพื่อนๆ ตอบพร้อมกันเหมือนนัดหมายกันมาแบบนั้นแหละ
“พวกเราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นายไปสนิทกับพี่ลูคัสตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เคยเห็นเล่าอะไรให้พวกเราฟังเลย” วินวินที่นั่งอยู่ข้างๆ ยูตะเอ่ยขึ้น ตอนนี้วิชาเลขของยูตะเรียบร้อยแล้ว หมอนั่นกำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพื่องีบหลับก่อนเข้าเวลาเรียน ซึ่งก็เหลือเวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำที่อาจารย์คยูฮยอนจะเข้ามาแต่โดยปกติอาจารย์จะเข้าสอนก่อนเวลาทุกครั้ง
“เอ้า ไปนั่งที่ได้แล้วพวกคุณๆ ทั้งหลาย” พูดทันได้ขาดคำซะที่ไหนกันล่ะ เสียงอาจารย์คยูฮยอนดังขึ้นทำให้นักเรียนในห้องต่างวิ่งเข้าประจำที่นั่งของตัวเองทันที ยูตะเงยหน้ามาด้วยหน้าตาสลึมสลือกึ่งหลับกึ่งตื่น
“การบ้านเมื่อวานคงเรียบร้อยดีใช่มั้ยนากาโมโตะ คุณถึงได้หลับจนน้ำลายเปื้อนหน้าขนาดนี้” เพื่อนในห้องต่างหันไปทางยูตะเป็นสายตาเดียวกัน รีบเอาแขนเสื้อวินวินเช็ดหน้าตัวเองทันที
“ให้ตายเหอะ ถ้าฉันเป็นวินวินต้องอ้วกแตกในห้องแน่ๆ” แทยงกระซิบอยู่ระหว่างเตนล์และโดยอง แถมทำหน้าเหมือนคนใกล้หมดลมเสียเต็มทีอีก
“เงียบเถอะน่าแทยง” โดยองบอกแล้วจึงหันไปทางหน้าห้องเมื่อเห็นอาจารย์คยูฮยอนจะเริ่มสอน
สมแล้วที่เป็นอาจารย์สอนเลข เข้าก่อนเวลาแถมยังปล่อยตรงเวลาเป๊ะไม่ขาดไม่เกินอีกด้วย แต่การบ้านมหาโหดนี่สิ ทำเอานักเรียนในห้องแทบน้ำตาไหล เห็นคาบต่อไปพวกเขาว่างไม่ได้ดันให้การบ้านมาเยอะกว่าวันปกติอีก เป็นคนเดิมที่บ่นอุบอิบตั้งแต่ออกจากห้อง แทยงกะไว้ว่าคาบว่างช่วงบ่ายเขาจะเข้าห้องดนตรีซะหน่อยคงต้องเปลี่ยนไปวันอื่นแทน เพราะตอนนี้ต้องให้โดยองติวเพิ่มเติมให้อีก มีหวังการบ้านไม่เสร็จแน่พวกเขาเลือกที่จะนัดกันมาโซนที่นั่งหลังห้องสมุดของโรงเรียน ที่นี่เป็นที่ที่เหมาะกับการติวและอ่านหนังสือเป็นอย่างมากถึงแม้จะไกลอาคารเรียนซักหน่อยก็ตาม
“เตนล์อาทิตย์หน้านายก็จะครบสิบห้าแล้วไม่ใช่หรอ” วินวินถามขึ้นเมื่อหยิบหนังสือเลขมากางบนโต๊ะ
“ใช่แล้วล่ะ”
“ฉันแนะนำให้นายไปทำเรื่องขอยาตั้งแต่วันนี้ ไม่อย่างนั้นนายอาจลำบากแน่”
“เหมือนนายน่ะหรอ” แทยงแซ็วเพื่อนอีกแล้ว วินวินเขินหน้าแดงทำเนียนเปิดสมุดเขียนวิชาเลขทันที
“วินวินไม่ได้ลำบากอะไรซะหน่อย ฉันช่วยอยู่ไม่เห็นรึไง”
ทางเดินที่เต็มไปด้วยต้นสนข้างทาง มันสูงเสียดฟ้าแถมยังคอยบังแดดให้ถนนสายนี้ได้ดีอีกด้วย ดูจะน่ากลัวหน่อยหากเป็นกลางคืน แต่ตอนนี้บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นมีเพียงแค่เสียงนกและแมลงปีกแข็งในป่าที่ส่งเสียงร้องระงม เดินได้มาไม่ไกลเท่าไหร่ห้องพยาบาลที่ตามหาก็อยู่ด้านหน้าซะแล้ว ที่นี่มีห้องพยาบาลหลายโซน มันถูกแบ่งไว้สำหรับนักเรียนที่ป่วยปกติและนักเรียนที่เกิดอาการฮีทกระทันหัน เหล่าโอเมก้าที่เกิดอาการเหล่านั้นจนไม่สามารถกลับบ้านได้จะถูกควบคุมให้อยู่ห้องความคุมฟีโรโมนให้ไม่สามารถส่งกลิ่นไปยั่วยวนพวกเดียวหรือต่างกันได้ ดูเหมือนโรงเรียนเข้มงวดกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่เสมอไปหากนักเรียนไม่สามารถมาโรงเรียนได้เพราะอาการฮีทกำเริบก็สามารถหยุดเรียนโดยไม่ต้องบอกล่วงหน้าก็ได้ โดยต้องมาเขียนใบลาทีหลังก็ไม่ผิด
เด็กหนุ่มผลักประตูเข้าไปยังห้องพยาบาลซึ่งมีอาจารย์ที่นักเรียนหญิงแทบทุกคนอยากเรียนด้วย เพราะรอยยิ้มและเสน่ห์ที่แพรวพราวตลอดเวลานั่นทำให้คนที่มองแทบจะไม่อยากละสายตามองไปทางอื่น อาจารย์เฉียนคุนยิ้มให้นักเรียนอย่างเตนล์ทันทีที่มาถึง เขารู้ว่าเตนล์ต้องมาในเร็ววัน..เพราะเขาเองก็รอยคอยเวลานี้มานานเกือบจะ 90ปีด้วยซ้ำ
“จะมาขอยาบรรเทาอาการฮีทล่ะสิ”
อย่าลืมคอมเม้นท์หรือติดแท็กในทวิตเฉยๆ ก็ได้ค่ะ เราอยากรู้ว่าคุณกำลังอ่านมันอยู่ เอนจอยรีดดิ้งค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

บรรยายดีมากค่ะ ฮืออ ทำไมเพิ่งมาเจอ
เพื่อนกลุ่มนี้ น่ารักจังเลยค่ะ มีครบรสเลยเนาะ ขาลุย ขาเรียน ขาเล่น ขาเผือก 55555