ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักพลิคล็อค ล็อคคอรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : รักพลิคล็อค ล็อคคอรัก 2

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 49


    แค่สิ่งน้อยนิด

     

    ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาผมยังสะกดจิตสะกดใจตัวเองอยู่แหม็บๆ    ว่าจะต้องไม่คิดถึงคนๆนั้นอีก

    ถ้าไม่อยากเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ      แต่พอจะตักข้าวเข้าปากแล้วเหลือบไปเห็นฟักในแกง    

    ผมก็ไปซะแล้ว

     

    แกงฟักนี่อร่อยมาก ขนาดกินติดกันมาห้าวันแล้วยังไม่เบื่อ

    คำชมที่ทำให้ผมอิ่มโดยไม่ต้องกินข้าวไปสามวัน

     

    ถ้าไม่เห็นกับตาคงนึกภาพไม่ออกว่า แบรนดอน แม็คแกรน คนนั้น  นั่งกินแกงฟัก  น้ำพริกกะปิ  

    ไข่ชะอมกับข้าวก้อง   ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยจนคนทำแทบจุกความสุขตาย    เป็นการกินอาหารที่ ผิดภาพพจน์และหลุดคอนเซ็ปไปหลายโยชน์      ถ้าไม่เห็นเองผมคงไม่เชื่อแน่ว่าแบรดจะคลั่งไคล้อาหารไทยขนาดนี้    โดยเฉพาะแกงเขียวหวานไก่ใส่ฟักหมดตลาด

     

    ที่ไปที่มาของความรู้ใหม่นี้คือ

    หลังจากหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายหน้าห้องแบรดผ่านไปได้สามวัน      ผมก็ใจกล้าหน้าด้านบุกไปนั่งคอยถึงคอนโดอีกครั้ง   ครั้งนี้ไม่ได้นำตัวไปเสนอเพราะรู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการของตลาด

    คราวนี้ไปแบบระห่ำน้อยกว่าเดิม     โดยการชวนแบรดไปกินข้าวเย็นธรรมดา ไม่มีของหวานเป็นผมไหมจ๊ะอะไรทำนองนั้น   ตอนถามก็เตรียมใจรอรับคำปฏิเสธไว้แล้วเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์

    แต่ดันฟลุ๊คได้รับหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นเซอร์ไพรสกลับ  

     

    ตอนที่แบรดตอบตกลง     จะด้วยความสงสารหรือสมเพชอันนี้ไม่แน่ใจ

    แต่แค่คำว่า  โอเค   กำลังหิวพอดี  ที่หลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า ก็ทำให้ผมยืนเซ่อ

    ลืมภาษาพ่อภาษาแม่ไปหลายนาที     ไม่คิดว่าจะรับปากง่ายๆอย่างนี้     

    แล้วไม่เล่นตัวไม่พอ   พูดจบยังออกเดินนำอีกต่างหาก   เล่นเอาผมได้แต่เดินตามไปอย่างเซ่อๆ

    งงๆอยู่ว่าตกลงใครชวนใครกันแน่วะ  

     

    แบรดเดินดุ่มๆเหมือนรู้สถานที่     ยิ่งทำให้งงเข้าไปใหญ่ว่ารู้ได้ไงว่ารถผมจอดตรงไหน  แต่แล้วก็ไม่ต้องคิดให้เซ่อไปกว่านี้เพราะคนเดินนำ เลี้ยวเข้าร้านอาหารตรงข้ามคอนโด   ไม่สนใจไอ้คนเดินตามอย่างผมที่หักเลี้ยวแทบไม่ทัน

     

    การรวบรวมความกล้าครั้งที่สองในชีวิตเพื่อชวนผู้ชายกินข้าว   จบลงที่ร้านข้าวแกงห่างจากสถานที่เอ่ยปากไม่เกินสามสิบเมตร     ไอ้ที่นั่งคิดในเวลางานมาหลายวันว่าควรจะไปกินอะไร ที่ไหนเค้าถึงจะประทับใจเป็นอันพับเก็บแล้วเขวี้ยงทิ้งได้เลย     ถึงว่าทำไมตกปากรับคำกันง่ายๆ

     

    แต่เพราะไอ้ข้าวราดแกงมื้อนั้นนั่นเองที่ทำให้มีมื้อต่อๆมา     เพราะระหว่างที่นั่งมองแบรดตักข้าวราดแกงไก่ไข่ดาวจานละยี่สิบห้าบาทกินเอากินเอา     แถมยังเบิ้ลอีกจานเหมือนเดิมเด๊ะ

    ทำให้ผมรู้ว่าหน้าฝรั่งหุ่นฝรั่งอย่างนี้กลับชอบอาหารไทยอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกได้ว่าเข้าขั้น

    บ้าเลือด   และระหว่างที่แบรดนั่งกิน และผมนั่งมอง    ความคิดไม่เจียมตัวก็ก้าวกระโดดไปถึงขั้นอยากทำอย่างนี้ทุกวัน    ถ้าเป็นไปได้ทุกมื้อยิ่งดี    

    ก็ได้แต่ฝันล่ะครับ

     

    แต่แล้วฝันก็เป็นจริง!!

    อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้น้องชายน้องสาวห้าคนที่บ้าน    ที่มันกินล้างกินผลาญตั้งแต่เริ่มรู้จักข้าวสวย     เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดเลยว่าไอ้การทำกับข้าวสามมื้อขนาดพิเศษให้ตัวเขมือบพวกนี้กินมันจะมีประโยชน์มากไปกว่าทำให้ตัวเขมือบเล็กเติบใหญ่เป็นไดโว่     มาตอนนี้รู้สึกขอบคุณน้องๆจนอยากกราบมันคนละสามที      พอแบรดรู้ว่าผมเป็นพ่อครัวหัวป่าประจำบ้านถนัดการทำอาหารทุกชนิดที่มนุษย์กินได้โดยเฉพาะอาหารประจำชาติเรา    ปาฏิหาริย์ฝันเป็นจริงก็เกิดขึ้นกับผมทันที    ถึงไม่มีรถเข็นมาพร้อมคุณไตรภพกับบรีสจัมโบ้สองกล่องโตๆ    แต่อาหารมื้อนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลแจ๊กพ็อต    เพราะได้รับบัตรผ่านระดับวีไอพีให้ไปทำอาหารในห้องแบรดอน  แม็คแกรน   ฮิ้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!

     

    สงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมแบรดของคุณๆถึงได้ใจง่ายเห็นแก่กินอย่างนี้    เรื่องนี้มันมีที่มา...

    เนื่องจากหุ่นฝรั่งหน้าฝรั่งอย่างแบรดอน  แม็คแกรน กลับคลั่งไคล้อาหารไท้ไทย อย่างแกงไก่ไข่มะตูม   กระเพราหมู  น้ำพริกกะปิอะไรเทือกนั้นอย่างไม่สามารถหาคำมาบรรยายได้    เรียกว่าที่ไหนได้ข่าวว่าอร่อยยังไงพี่แกตระเวนมาหมดแล้ว    ตั้งแต่ภัตตาคารเรือนไม้ในโรงแรมห้าดาวยันเพิงข้างถนนริมฟุตบาท    แล้วก็ดันไปติดใจรสชาติถึงทรวงแบบข้างถนนมากกว่าอีกต่างหาก     

    แต่ตามประสาคนดังระดับประเทศไอ้การไปไหนมาไหนเลยไม่สะดวกเท่าไหร่    จะไปนั่งหล่อ

    ซดแกงส้ม ไข่ชะอมดมควันให้รถติดเล่นบ่อยๆมันก็กระไรอยู่     ที่จริงเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไรเลยเพราะไม่สนใจว่าใครจะมองยังไงขอแค่ได้กินของอร่อยเป็นพอ   บอกแล้วครับว่าแบรดของคุณๆออกจะเห็นแก่กินมากกว่าความปลอดภัย    ก็ขกกกกดสขนาดยอมให้ผมบุกถึงครัวแล้วนับประสาอะไรกับเรื่องภาพพจน์       แต่ทางผู้จัดการส่วนตัวลามไปถึงกรรมการบริษัทลงมติว่าไม่ได้!!   เพราะมันผิดคอนเซ็ป  ผิดภาพพจน์  เป็นนักร้อง เป็นนายแบบไม่ได้เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง    จะได้ไปนั่งตัวขาวตากแดดกินข้าวราดแกงอย่างเดียวสิบห้าสองอย่างยี่สิบแข่งกับวินปากซอย  

    ด้วยเหตุผลประหลาดๆตามประสาคนดังไม่ควรกินข้าวแกงเป็นคนธรรมดาของประธานบริษัท

    ทำให้ฝันผมเป็นจริง    ขอบคุณมากครับเฮีย

     

    ไม่ต้องรอให้แบรดออกปากชวนซ้ำ    วันถัดมาผมก็หิ้วผักหิ้วไก่ไปรออยู่หน้าคอนโดที่เดิมตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง    นั่งคิดเวลางานอยู่ทั้งวันว่าจะงัดจวักด้ามไหนมามัดผู้ชายให้อยู่หมัดดี    

     

    เลิกงานปั๊บผมก็ตรงดิ่งไปจ่ายตลาดแบบตัวลอยๆ    แทบจะซื้อผักซื้อไก่เป็นทำนองเพลงโชว์ลูกคอให้แม่ค้าแตกตื่นแก้เบื่อ       เมนูวันนี้คือแกงไก่ใส่ฟักหมดตลาด   มะเขือยาวชุบไข่ทอดเหลืองน่ารับประทาน   มะระยัดไส้ขมพอดีๆ    ผัดกะหล่ำหมูหมักนุ่มเหนียวกำลังกิน   ปลาลิ้นหมาทอด กรอบนอกนุ่มในกับน้ำจิ้มสูตรลิขสิทธิ์ แม่ฉ้อยไม่ต้องรำทะเลรำเอง   และข้าวก้องหุงขึ้นหม้อเป็นสามารถ    คิดไว้เป็นเรื่องเป็นราว   

    นั่งฮัมเพลงรออย่างไม่มีเบื่อตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง     

    แต่ชีวิตมนุษย์ใช่จะราบลื่นเสมอไป   

    วันนั้นผมนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ตั้งแต่กระหล่ำสดจนกระหล่ำเหี่ยวคาถุง

     

     

     

    ผลของการรอคอย

    คนที่ผมตั้งตาคอยมาถึงคอนโดตอนสองทุ่ม   

    ข้างกายมีสาวลูกครึ่งที่เห็นหน้าบ่อยๆในทีวีหนีบมาหนึ่งคน    จำได้คับคล้ายคับคลาว่าชื่อหล่อนเหมือนน้ำอัดลม มิรินด้า  แฟนต้า อะไรซักอย่าง   ไม่ต้องพยายามนึกให้ปวดหัวใจเพราะไม่ว่า

    สาวหน้าสวยชื่อคล้ายยี่ห้อน้ำอัดลมคนนี้จะชื่อแฟนต้าน้ำเขียวหรือกระทิงแดงมันก็ไม่ต่างอะไรกัน

    แค่เห็นมือขาวๆนั่นเกาะแขนคนข้างๆไม่ปล่อยก็ทำเอาผู้ชายหน้าไม่หล่อชื่อทะเลคนนี้สมอง

    หยุดทำการไปชั่วขณะ

     

    ผมนั่งนิ่งเหมือนโดนอะไรหนักๆกระแทกเข้าที่หัว     ตาจ้องสองคนที่เดินเคียงกันด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก     ถึงจะเคยเห็นตามคอลัมน์ซุบซิบซอกแซกว่ามีสาวมากหน้าหลายตาเป็นข่าวกับผู้ชายของผมมั่วเอาเอง    แต่พอมาเห็นเอง   เห็นเต็มๆตาแบบนี้ความรู้สึกมันผิดกันฟ้ากับเหว      

    ภาพที่แบรดก้มไปฟังคนข้างๆแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน  มันตอกย้ำให้ผมคิดถึงสิ่งที่ทำอยู่ขึ้นมาทันที  

        

    นี่ผมกำลังทำอะไร   กำลังหวังอะไร

    ความใกล้ชิดไปวันๆงั้นรึ     ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นเพราะมันมากที่สุดเท่าที่ผมจะเข้าไปได้   

    ไม่มีวันจะมากไปกว่านี้     พยายามให้ตายก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปในความรู้สึกอย่างนั้นของแบรดได้    ไม่มีทางทำให้ตาสีเงินคู่นั้นมองมาที่ผมเหมือนเวลาที่เค้ามองผู้หญิงคนนี้หรืออีกหลายๆคนที่ถูกใจ    ไม่ว่าจะพยายามยังไง     ผมก็ยังเป็นผม   ผู้ชาย ที่เป็นได้มากที่สุดแค่เพื่อน

     

    แบรดเดินเข้าลิฟต์ไปโดยไม่เห็นว่ามีใครยืนหน้าสลดหดเหี่ยวอยู่ตรงนี้   ไม่แปลกเพราะผมอยู่ใน

    มุมอับแถมความมืดมนมันคงยิ่งทำให้ตรงนี้เป็นโซนทมึนเข้าไปใหญ่    

    และแล้วประตูลิฟต์ก็เลื่อนปิดพร้อมกับสูบพลังชีวิตนายทะเลไปด้วยกึ่งหนึ่ง

     

    ผมเดินออกจากคอนโดด้วยอาการที่ผิดกับขามาลิบลับ     ตอนมานี่แทบเขย่งก้าวกระโดดประกอบการฮึมฮัมลูกคอ แต่ตอนนี้ต้องลากขาเหมือนหมาป่วย  

    ผมยกมือหนักๆขึ้นเปิดกระโปรงหลังรถ   วางของที่หิ้วอยู่ลงไปด้วยความเศร้าในชีวิต   

    ของสดมากมายที่ขนซื้อมาต้องเป็นหมันซะงั้น     ทำกินเองคนเดียวคงกินได้เป็นอาทิตย์

    ไข่ในถุงนี่ เอาไปไว้หน้ารถดีกว่าจะได้ไม่แตกเหมือนใจเรา   เฮ้อ

     

    แต่ไข่สิบใบเกือบไม่รอดไปถึงอพาร์ทเมนท์     เพราะเสียงที่ดังขึ้นข้างตัวเล่นเอาผมเกือบปล่อยของในมือพร้อมกรี๊ด  

    ทะเล?”   

     

    ผมหันขวับไปตามเสียงคุ้นหูทั้งยามหลับยามตื่น    ในมือกำถุงไข่แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    คนที่ผมมองส่งเข้าลิฟต์ไปเมื่อครู่     ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้า 

     

    แบรดมองมาด้วยสีหน้าสงสัยพร้อมเลื่อนสายตามาที่ไข่ในมือผม

    กว่าจะรู้ว่าทำอะไรลงไปผมก็หันกลับไปโยนถุงไข่ใส่หลังรถแล้วกระแทกฝากระโปรงปิดด้วยเวลาไม่ถึงสองวินาที     

    เกิดความเงียบขึ้นอึดใจ   

    ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากให้เค้าเห็นสิ่งที่ตั้งใจไว้  

     

    เอ่อผม   พอดีผ่านมาเลยแวะมาหา…”    พูดจบก็แทบจะเอาหัวโขกกระโปรงรถคันข้างๆ    

    พูดออกไปได้ยังไงวะ   แม้แต่เด็กห้าขวบยังรู้เลยว่าเอ็งตั้งใจมาไม่ใช่พอดีผ่านมา

     

    แวะมาตั้งแต่ห้าโมงครึ่งจนป่านนี้?   ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา    เสียงที่ได้ยินออกจะดุๆ

    ขอโทษครับ    ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณลำบากใจ   

    ไม่ได้ลำบากใจ    แต่ถ้าบอกก่อนจะได้กลับมาเร็วกว่านี้หรือถ้าไม่ว่างยังไงนายจะได้ไม่ต้องรอ

    “…ครับ     แค่คำว่าไม่ลำบากใจ    ก็ทำให้หัวใจน้อยๆของผมกลายเป็นถุงลม โป่งพองขึ้นมาอีกครั้ง

     

    แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่เรียก    ถ้ารปภ.ไม่โทรไปบอกฉันคงไม่รู้ว่านายมา    เสียงยังดุไม่เลิก

    ก็ผมไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร    แล้วคุณก็มีเพื่อนมาด้วยเลย…”   ผมพยายามพูดเรื่อยๆเหมือนไม่คิดอะไร     แต่คิ้วที่เริ่มขมวดของคนตรงหน้าทำให้รู้สึกอึดอัด

    นายมาทำอะไรกันแน่บอกมาซะดีๆ   ถ้าไม่มีธุระจะรออยู่ตั้งหลายชั่วโมงทำไม

    ไม่มีอะไรจริงๆแค่…”

    แค่ซื้อไข่มาฝาก?”     เสียงเข้มดักคอขึ้นก่อนที่ผมจะหาเรื่องมาสตอร์เบอรรี่ได้ทัน

    “!!…”

     

    ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม    ฉันก็เหมือนกัน  

    ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อหู    แล้วก็แทบไม่เชื่อสายตาที่เห็นเค้ายิ้มให้แบบนั้น

    เลทไปหน่อยแต่ทะเลคงทำอาหารให้กินได้ใช่ไหม

     

     

     

    ระยะเวลา   ระยะทาง

    และตั้งแต่อาหารมื้อแรกในห้องแบรดตอนสามทุ่มมื้อนั้น    ผมก็ได้บัตรผ่าน รับรองอาหารสะอาดรสชาติอร่อยจากเจ้าของห้อง     อนุญาตให้ฝันเป็นจริงมีมื้อเย็นด้วยกันเรื่อยมา

     

    เวลาสามเดือนกับสิบวัน    หรือร้อยสามวัน ร้อยสามมื้อนั่น   ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

    เช้าตื่นมาทำงานด้วยพลังกายพลังใจเต็มเปี่ยม   พอตกเย็นก็ไปจ่ายตลาดแล้วตรงไปคอนโดแบรด

    ทำอาหารไว้รอแฟนฉันกลับบ้าน   อยากเรียกอย่างนั้นแต่คงลามปามเกินไป

    พอแบรดกลับมา   สองเราก็กินข้าวเย็นฝีมือผม    ระหว่างมื้อก็คุยเรื่อยเปื่อย เช่นว่าวันนี้แบรดทำอะไรบ้าง   ผมเจอลูกค้าน่าปวดหัวอีกแล้ว   เรื่องดินฟ้าอากาศ  ตลอดจนสถานการณ์บ้านเมือง     หลังมื้อก็มีดูหนังกันบ้างถ้าเป็นวันหยุด   จากนั้นผมก็ขับรถกลับอพาร์ทเมนท์แบบไม่ต้องเหยียบคันเร่ง   เหมือนรถลอยได้เอง

     

    ดูท่าเสน่ห์ปลายจวักผมจะกระแทกปากแบรดอย่างแรง     เพราะร้อยสามมื้อนั่นไม่มีวันไหนที่

    เจ้าของห้องจะพลาด   ถึงขนาดยอมให้การ์ดสำรองผมไว้เพื่อเข้ามาทำอาหารในวันที่กลับดึกโดยเฉพาะ       แรกๆผมจะหอบหมูหอบไก่พร้อมผักสดไปรอที่ล็อบบี้คอนโดตอนห้าโมงครึ่งแปะของทุกวัน     แบรดกลับมา ถึงได้เข้าไปถอดเสื้อผ้าคาดผ้ากันเปื้อน   ม่ายช่าย...  เสื้อผ้ายังอยู่ครบแค่เข้าไปทำหน้าที่พ่อครัวเฉยๆ     แต่พอเข้าเดือนที่สองคนที่ผมรอเริ่มงานยุ่งเพราะต้องอัดเสียงจนเย็นย่ำติดๆกัน ประกอบกับแบรดคงเห็นว่าผมไม่ได้น่ากลัวหรือมีอาการทางจิตอย่างที่พบกันครั้งแรก

    เลยเกิดความไว้ใจระดับหนึ่งยอมให้การ์ดสำรองผมไว้สำหรับกรณีที่เค้าต้องทำงานดึก  และวันที่แบรดจะกลับดึกมากๆผมก็จะทำกับข้าวทิ้งไว้ให้    ส่วนตัวเองขอพึ่งอาการถุงที่ตลาดแถวที่พักเป็นพอ    แต่จะมีไม่บ่อยนักเพราะผมจะอึด  อึดมาก  

    ผมจะรอจนกว่าจะน่าเกลียดถึงจะยอมพลาดอาหารมื้อนั้นๆ    แล้วกลับอพาร์ทเมนท์ตัวเอง

     

    ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรนอกจากเพื่อนกิน    ดำเนินผ่านวันผ่านคืนไปโดยดีจนเข้าเดือนที่สาม     ยี่สิบสองวันสุดท้ายก่อนสวรรค์ล่มเป็นช่วงที่ผมคิดมากยิ่งกว่าตอนคำนวณค่าการหักเหแสงที่ตกกระทบอยู่ในข้อสอบฟิสิกส์เอ็นท์สะท้าน

    สาเหตุมันเพราะผมคนเดียวล้วนๆ     เพราะความไม่รู้จักพอของตัวเอง

     

    แบรดเป็นคนง่ายๆผิดกับภาพที่เห็น  เข้ากับคนง่ายแสนง่าย    ขนาดกับผมที่รู้จักกันแบบแปลกประหลาดอย่างนั้นก็ยังไม่รังเกียจ    ให้ความสนิทสนมในระดับที่เรียกได้ว่าผู้ชายปกติที่เป็นเพื่อนกันพึงมี     ทุกเย็นถ้ากลับมาเร็วแบรดจะเข้ามาเป็นลูกมือ  ช่วยหยิบนู่นหยิบนี่ตลอดเวลาเหมือนเด็กฝึกงาน      วันไหนหยุดก็ไปจ่ายตลาดเอง ซึ่งวันนั้นจะได้ของทะลักตู้เย็นจนเก็บเป็นสต็อกได้ตลอดอาทิตย์   ไม่ต้องจ่ายตลาดไปอีกหลายวันเพราะแม่ค้าแม่ยกทั้งหลายพากันลดแหลกแจกแถม ถึงขนาดแย่งกันให้ฟรีๆ    เพื่อแลกกับคำขอบคุณแบบขำๆพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นจากคนที่หิ้วทั้งผักทั้งเนื้อเต็มสองมือ      อย่าว่าแต่แม่ค้าตลาดเลย ผู้ชายอย่างผมเองถ้าได้เห็นรอยยิ้มนั่นก็ยอมหมดแหละครับ  ให้ทำอะไรว่ามาเลย   เฮ้อ  

     

    แบรดคบผมแบบสนิทใจ    ขาวสะอาด

    แต่ผมนี่สิ   ไม่มีซักวันที่จะคบแบรดด้วยความคิดสะอาดอย่างนั้น

    ไม่มีวันไหนที่ผมมองหน้าคนที่นั่งกินข้าวตรงข้ามด้วยความรู้สึกของเพื่อนแบบที่ควรจะเป็น

    ยิ่งใกล้ชิด   ยิ่งถลำลงไปกับสิ่งที่อยู่ในใจจนถอนตัวไม่ขึ้น...

     

    ทุกครั้งที่นั่งข้างกันบนโซฟาเวลาดูหนัง    แค่อุณหภูมิที่ส่งผ่านจากคนข้างๆก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะจมน้ำ    ทรมานกับสิ่งที่ไม่มีทางได้มาจนความตั้งใจที่คิดไว้แต่แรกเริ่มสั่นคลอนและพังทลาย

    ลงในที่สุด 

     

    3 ธันวาคม   เป็นวันที่ผมคงไม่ลืมไปอีกนาน   ไม่มีทางลืมแน่ๆ...

    เช้าวันนั้นผมตื่นมาด้วยอาการปกติ   ไม่มีลางบอกเหตุให้รู้ล่วงหน้าว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงหัวใจที่ทำงาน

    อย่างขยันขันแข็งมาตลอดยี่สิบห้าปีจะมีอันต้องหยุดชะงักเพราะภาพๆเดียว

     

    เช้าวันนั้นก็เหมือนปกติ    ผมไปถึงที่ทำงานเป็นคนแรกๆ  เข้าห้องสภากาแฟ   ชงกาแฟหอมกรุ่นขึ้นจิบก่อนเริ่มวันใหม่ด้วยความคิดที่เลยไปถึงรายการอาหารมื้อเย็นของผมกับแบรด  

    แต่แล้วเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังร่วมมากับเสียงบ่นกันเป็นหมีกินผึ้งจากสาวๆเพื่อนร่วมงานทำให้ผมหัน ไปมอง     สิ่งที่หนึ่งในพวกเธอถืออยู่คือหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า     ชื่อของคนในข่าวที่แว่วเข้าหูทำให้ขาผมก้าวเข้าไปร่วมวงด้วยทันที

     

    ภาพครึ่งหน้าหนังสือพิมพ์  คอลัมน์ซุบซิบซอกแซกดาราที่เปิดหราอยู่ตรงหน้าเล่นเอาตะลึงไปชั่วขณะ     ด้วยอาการเลื่อนลอยแต่สายตายังไล่ตามเนื้อข่าวๆไปอย่างไม่ลดละ   จากแค่ตะลึงเลยกลายเป็นนิ่งและเมื่ออ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายผมรู้สึกว่าหัวใจตัวเองหายไปที่ไหนซักแห่ง   

    เพราะมันนิ่งเหมือนหยุดเต้นไปซะอย่างนั้น  

     

    ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก 

    บรรยากาศสลัว  แสงไฟมัวๆของคอนเสิร์ตนักร้องต่างประเทศชื่อดัง  ผู้คนมากมายในภาพบอกได้ถึงบรรยากาศของงาน    แต่ถึงจะมีคนอยู่มากมายแค่ไหนเขาก็ยังเป็นเขา

    ภาพที่เรียงติดกันสี่ภาพ  ครึ่งหน้าหนังสือพิมพ์มองออกว่าเป็นภาพแอบถ่าย    เพราะทั้งสองคนที่ตกเป็นเป้ามือดีดูจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีบุคคลที่สามเล็งกล้องเก็บภาพสวีททุกอิริยาบถไว้ให้เป็นที่ระลึก 

    แบรดดรอน แม็คแกรน ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมายแม้จะใส่แค่เสื้อยืดสีเข้มกับยีนส์ซีดๆติดตัว 

    ข้างกายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน  นางแบบสาวที่กำลังฮ็อตมีข่าวอยู่ไม่ขาด    

     

    อาการก้มลงฟังเสียงกระซิบอย่างเป็นกันเอง   

    แขนเรียวขาวยกขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายก่อนหันไปหาทั้งตัว

    คนตัวสูงแข็งแรงเงยหน้าหัวเราะเหมือนได้ยินอะไรตลกจากปากบางที่คลอเคลียอยู่ข้างหู

    ตบท้ายด้วยภาพสุดท้ายที่ไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรอีก  เพราะภาพมันสื่อทุกอย่างได้ชัดเจนเหลือเกิน

    เจ้าของแขนเรียวเขย่งปลายเท้า    หน้าคมเข้มของคนตัวสูงก้มลง   บรรจบกันปากต่อปาก

     

    ตาผมจ้องภาพสี่ภาพที่อยู่ตรงหน้า   ใช่   มันเป็นภาพนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว

    แต่ในหัวผมนี่ กลายเป็นอนิเมชั่นไปแล้ว    ภาพสี่ภาพต่อกันเป็นเรื่องราวเล่นซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ

    ผมมองภาพสุดท้ายอีกครั้ง    แม้จะรู้สึกเหมือนมีอะไรแหลมๆพุ่งเข้าปักฉึกที่อกข้างซ้ายแต่ก็ไม่สามารถละสายตาได้      ผมมองภาพนั้นอยู่นาน     มองเหมือนจะให้สิ่งตรงหน้าย้ำกับตัวเองว่านี่แหละความจริง

     

    ความรู้สึกที่ตามมาหลังอาการใจหายไปกับอากาศคือหัวใจปวดหนึบๆอย่างไม่อาจต้านทานได้

    แต่ความรู้สึกที่พุ่งแรงแซงทางโค้งขึ้นมาแบบล้นทะลักคือความหึงหวง

     

    น่าขำถึงแม้จะหัวเราะไม่ออก

    นี่ผมหึงอะไร    หวงอะไร    

    ผมมีสิทธ์อะไรรึ   ไม่เลย   ไม่มีสิทธ์แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

    ความคิดที่วาบเข้าหัวแค่เสี้ยววินาทีทำให้รู้ว่าเรื่องมันไปไกลเกินซะแล้ว    ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ไหวแน่    ไอ้ที่เคยคิดว่าแค่ได้อยู่ใกล้ๆโดยไม่โดนรังเกียจก็พอแล้วนั่นคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ     ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปมากกว่านี้ผมคงได้บ้าเข้าจริงๆซักวัน

    ก่อนที่ผมจะตีหัวแบรดแล้วขังไว้กับห้อง   หรือถือปืนไปยิงกราดสาวน้อยสาวใหญ่ที่ห้อมล้อม

    แบรดอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน    เอาเป็นว่า

    หยุดแค่นี้คงดีกว่า  

     

    ผมเริ่มถอยออกมาจากสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนั้น    ยี่สิบวันก่อนทุกอย่างจะจบผมยังไปทำอาหารที่ห้อง

    แบรดเหมือนเคย  เหมือนไม่มีอะไรผ่านสายตาให้เจ็บช้ำ     แต่แทนที่จะไปเวลาเจ้าของห้องอยู่และทำอาหารด้วยกันกินด้วยกันอย่างเคย     ผมกลับไปเวลาที่แน่ใจว่าแบรดไม่อยู่    ทำอาหารไว้แล้วรีบกลับก่อนเจ้าของห้องจะกลับมา   ทิ้งโน้ตไว้บอกว่ามีงานด่วนบ้าง   มีเรื่องต้องทำบ้าง    

    มันก็ผ่านไปด้วยดีจนเข้าอาทิตย์ที่สอง     โน้ตบทโต๊ะกระจกข้างครัวมีเบอร์โทรของแบรดพร้อมข้อความสั้นๆเขียนไว้ว่าให้ผมโทรหา   ถึงจะไปๆมาๆอยู่สามเดือนกว่าแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้เบอร์มือถือของแบรด    และแน่นอนเค้าไม่รู้เบอร์ผมเช่นกัน   

     

    ผมเก็บเบอร์ที่เคยอยากได้ใจจะขาดเข้ากระเป๋าแล้วลงมือทำอาหาร จากนั้นกลับอพาร์ทเมนท์

    ผ่านไปสองวัน   มีโน้ตจากแบรดอีกแผ่นบอกให้ผมทิ้งเบอร์มือถือไว้เพราะวันก่อนผมไม่ได้โทรไปตามที่บอก     คราวนี้ก็เหมือนกันผมเขียนบอกไว้แทนว่ามือถือหาย

     

    หลังจากนั้นผมยังทำเหมือนเดิม   อาหารพร้อมโน้ตหนึ่งแผ่น  งานค้าง  งานด่วน

    มันผ่านไปจนวันที่สิบเจ็ด    โน้ตครั้งสุดท้ายจากแบรดบอกให้ผมทิ้งเบอร์ไว้อีกครั้ง

    แต่ผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิม   แน่วแน่หนักแน่นดังหินผา...

    ผลที่ได้คืออาหารที่ไม่ได้รับการแตะต้อง   

    วันถัดมาอาหารที่ผมทำไว้เมื่อวานยังอยู่ที่เดิมไม่มีแม้แต่การเปิดฝาออกดู    ไม่เป็นไร    

    ผมกวาดของในจานลงถังขยะและทำของใหม่อีกครั้ง     เป็นอย่างนี้อยู่หนึ่งอาทิตย์   

    อาหารที่ไม่มีคนกิน   และโน้ตที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

     

    วันสุดท้ายมาถึงอย่างไม่ให้ตั้งตัว    

    ถึงจะตั้งใจไว้แล้วแต่พอเอาเข้าจริงกลับอยากยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด    ไม่ใช่จบปุ๊บปั๊บแบบนี้

    วันนั้นผมไปคอนโดแบรดตอนบ่ายสามโมงเหมือนปกติ     เดินสลดหดเหี่ยวไขประตูเข้าไป

    แล้วก็ต้องตะลึงตึงๆ     เมื่อเห็นว่าคนที่ผมคิดถึงทุกเวลานั่งหน้าเฉยอยู่กลางห้อง

    ผมยืนนิ่งเป็นเสาไฟฟ้าหน้าพุทธมณฑล   มองคนที่ไม่ได้เห็นมาเกือบเดือนด้วยความรู้สึกกึ่งๆ

    แบรดมองมาที่ผมด้วยสายตาเฉยๆ   เดาไม่ออกว่าอารมณ์ไหน

     

    ไง    วันนี้มีเวลากินข้าวด้วยกันสักมื้อไหมทะเล   เสียงเรียบๆถามขึ้นโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน

    “…วันนี้ไม่ทำงานเหรอครับ    ถามไปแล้วถึงรู้ตัวว่าขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ

    แบรดไม่ตอบอะไร    ร่างสูงใหญ่ลุกเดินไปเปิดตู้เย็น   หยิบน้ำขึ้นเปิดดื่ม   

    ท่าทางเรียบๆเรื่อยๆเหมือนปกติที่อีกฝ่ายแสดงออกทำให้รู้สึกโหวงๆ    

    ก็รู้อยู่ว่าสำหรับแบรดแล้วผมไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าเพื่อนกินข้าวเย็น   

    การที่ผมหายไปหรือยืนหัวโด่อยู่นี่มันไม่ต่างอะไรกันหรอก    ไม่สักนิด

    แต่พอเจอกับการแสดงออกที่ตอกย้ำว่าสิ่งที่คิดเป็นความจริงมันก็แสลงใจขึ้นมาซะอย่างนั้น

     

    เข้ามาสิ   ยืนอยู่ทำไม   แบรดพูดพร้อมเดินกลับไปที่โซฟา ยกรีโมทขึ้นเปลี่ยนช่อง

    ผมเดินตัวลีบเข้าไปเก็บของในครัว     ได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังแว่วๆระหว่างจัดของเข้าตู้เย็น

    หลังจากเรียงผักเข้าที่แช่ชั้นล่างเสร็จผมลุกขึ้นแล้วดันประตูปิด    จากนั้นหัวใจหยุดเต้นไปสี่วินาที

     

    เกิดอะไรขึ้น   คนถามยืนอยู่ข้างหลัง   ใกล้มากๆ  

    “…ครับ?”    ผมถามพร้อมถอยหลังมาตั้งหลักก้าวครึ่ง    อยากยกมือขึ้นบีบคอตัวเอง  

    ทำไมเสียงมันสั่นอย่างนี้วะ    ไม่ใช่แค่เสียงอย่างเดียว ใจก็สั่นด้วย

     

    หลบหน้าทำไม     แบรดยกมือขึ้นกอดอก   ท่าทางคงจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้คำตอบ

    หลบหน้า   ผมน่ะรึ?”     ต่อมตอแหลเริ่มทำงานแต่ต่อมเสียงยังสั่นไม่เลิก

    รึไม่ใช่  

    ถ้าใช่ผมจะยังมาที่นี่ทำไมทุกวัน    ผมพูดพร้อมหันไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่าติดมือมาหนึ่งขวด

    ค้างหัวไว้แล้วนับหนึ่งถึงสิบเพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจ

     

    เดือนนี้ที่ทำงานขาดคนผมเลยต้องเดินร้านขายยากับคลินิกด้วย   กว่าจะเสร็จก็เกือบสามทุ่มทุกวัน

    เลยมากินข้าวกับคุณไม่ได้   ไม่งั้นไม่พลาดหรอก    ลื่นไหลดีมาก

    แล้วทำไมไม่โทรมา       

    ครั้งแรกยุ่งจนลืม     ส่วนครั้งหลังทำเบอร์หายครับ ขอโทษที   

     

    แบรดขมวดคิ้ว   สีหน้าเดาได้ว่ากำลังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งผมเลยรีบส่งลูกปิดท้าย

    วันนี้มีน้ำพริกนรก ปลาทูทอดกับสารพัดผักต้ม   แล้วก็ไข่ยัดไส้ เมนูโปรดคุณด้วย   ถ้าไม่ออกไปไหน ทำกินกันตอนนี้เลยไหม  

    แบรดยังดูไม่เชื่อเต็มร้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก   เพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินไปปิดโทรทัศน์

     

    ตลอดบ่ายนั้นสายตาผมไม่ได้ไปไหนไกลกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเลย    ไม่ว่าจะตอนทำอาหาร

    กินข้าว   ดูหนัง  

     

    ระหว่างดูหนังเสียงโทรศัพท์มือถือแบรดดังขึ้น    ถึงจะไม่ได้ออกชื่อแต่จากคำพูดที่ใช้ก็เดาได้ไม่ ยากว่าต้องเป็นหนึ่งในสาวๆเรียงเบอร์      ผมลุกออกมาตอนได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของคนข้างๆ    แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นด้วยมือที่เย็นกว่าของในตู้   ปิดมันด้วยใจที่หนักกว่าบานประตูมากนัก   

    สิ่งที่ผมเห็นเมื่อหันกลับไปมองคนบนโซฟา  คือแบรดอน แม็คแกรน ผู้ชายที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าชายของหญิงสาวทั้งประเทศ     พูดอย่างไม่อายปากก็ต้องบอกว่าสำหรับผมด้วย

     

    ผมหลับตาลง   สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด   รู้สึกได้ถึงความเย็นที่วิ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ

    เมื่อลืมตาขึ้นครั้งนี้สิ่งที่ผมต้องมองคือความเป็นจริง   ไม่ใช่วิมานลมๆแล้งๆที่คิดเอาเองไม่ยอมเลิก    คนตรงหน้าผมเป็นใครแล้วตัวผมเองเป็นใคร   มันถึงเวลาแล้ว

     

    หนังในจอทีวีจบลงพร้อมวิมานในอากาศของผมปิดตัวลงตามไปด้วย

    ผมบอกลาคนตรงหน้าด้วยอาการที่คิดว่าปกติเหมือนทุกครั้ง   แบรดเดินมาส่งที่ประตูพร้อมบอกเมนูที่อยากกินพรุ่งนี้ด้วยสีหน้าเหมือนเด็กๆ     ผมยิ้มรับและเดินผ่านประตูที่เปิดรออยู่

     

    หลังประตูปิดลง   ทุกอย่างก็ปิดตาม  

    ไม่มีพรุ่งนี้อีกแล้วสำหรับผมและคนที่อยู่ในห้อง

    ไม่มีผมกับแบรดที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว    

    มีแค่ผมที่รู้จัก  แบรนดอน แม็คแกรน  ซุปเปอร์สตาร์คนดัง ที่มีแฟนผลงานทั่วประเทศ  

    ซึ่งแน่นอนผมเป็นหนึ่งในนั้น     แค่นั้น..    

    และสำหรับแบรนดอน  แม็คแกรน    ผมไม่เคยมีตัวตน


    ...............................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×