ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อันดราคาซัคค์

    ลำดับตอนที่ #9 : เรื่องของอันดราคาซัคค์ (1)

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 48


                       “คุณแม่ครับ”



                       ชายหนุ่มผมบลอนด์กล่าวขณะก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนปิดประตูอย่างเบามือ…กลิ่นหอมของน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยอบอวลอยู่ในบรรยากาศ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงชราที่นั่งอยู่หน้ากระจก…มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว และภายในห้องก็มืดสลัว มีเพียงแสงจากโคมไฟข้างเตียงนอนเท่านั้นที่ให้แสงสว่างอันน้อยนิด แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาไม่สะดุดขาโต๊ะหรือเก้าอี้…หญิงชรายังคงจ้องมองเงาตัวเองในกระจกอย่างไม่ละสายตา…ทำให้ชายหนุ่มต้องสะกิดเรียกอีกครั้ง



                       “คุณแม่ครับ”



                       หญิงชรากระพริบตาครั้งหนึ่งเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว…ก่อนหันกลับมาจ้องมองลูกชาย…ใบหน้าที่เหี่ยวย่นไปตามวัยดูโทรมยิ่งนัก ผมสีบลอนด์ที่กลายเป็นสีขาวถูกตัดสั้นและดัดอย่างทรงคนแก่…นัยน์ตาสีฟ้าอมเทานั้นฉายแววเศร้าสร้อย…ไม่อาจจะบอกได้ว่าลูกชายของเธอมีความละม้ายคล้ายเธอที่ตรงไหน เพราะเห็นเพียงแต่เบื้องหลังของเขาเท่านั้น…หญิงชราเอื้อมมืออันสั่นเทาไปลูบใบหน้าของลูกชายที่โน้มเข้ามาใกล้…



                       “ลูกรัก”



                       ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ก่อนยื่นกล่องไม้ในมือให้กับผู้เป็นมารดาด้วยรอยยิ้ม…



                       “คุณแม่ดูนี่สิครับ”



                       หญิงชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะก้มมองกล่องไม้ในมือของลูกชาย และเอื้อมหยิบมันขึ้นมาเปิด…



                       สร้อยไข่มุกโทรมๆเส้นหนึ่ง…



                       “อะไรน่ะลูก?”



                       ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง หยิบกระดาษสีเหลืองกรอบใต้ฝาส่งให้ผู้เป็นมารดาอ่าน



                       “ลูกก็รู้ สายตาคนแก่จะไปมองเห็นอะไร…บอกแม่มาดีกว่า ว่านี่มันอะไรกัน?”



                       ชายหนุ่มหยิบสร้อยไข่มุกขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนเริ่มอธิบาย…



                       “นี่คือสร้อยไข่มุกอันดราคาซัคค์ครับ…ผมบังเอิญไปได้ของวิเศษชิ้นนี้มา…สร้อยนี้ในกระดาษเขียนไว้ว่า ใครได้ใส่ จะสมความปรารถนาในทุกๆสิ่ง”



                       ดวงตาของหญิงชราเบิกกว้าง…



                       “ทุกๆสิ่ง…ลูกหมายถึงทุกสิ่งจริงๆหรือลูก”



                       “มีทางเดียวที่จะรู้ได้ครับ…”



                       นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาฉายแววตื่นเต้นระคนยินดีเมื่อลูกชายค่อยๆสวมสร้อยให้อย่างเบามือ…แววแห่งความเศร้าสร้อยที่เคยมีหายไปแทบจะไม่เหลือร่องรอย…ชายหนุ่มสวมสร้อยให้ผู้เป็นมารดาเสร็จ ก็หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็วในใจ



                       หญิงชราหันกลับไปมองภาพของตนเองในเงากระจก…ดูอย่างไรมันก็เป็นสร้อยเก่าๆเส้นหนึ่ง เม็ดมุกสีดำและขาวอย่างละครึ่งสายสร้อยดูหม่นมัว…เม็ดไข่มุกที่มีไม่เต็มสร้อยทิ้งให้บางช่วงเหลือเพียงสายสร้อยสีดำ…หญิงชราจับขยับให้เม็ดมุกไหลไปมาเล่นระหว่างรอลูกชาย…



                       “เอาล่ะนะครับ” ชายหนุ่มถาม…หญิงชราพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม…รอยยิ้มที่เขาแทบจะไม่เคยเห็น…ทำให้เขาไม่ลังเลใจและเริ่มต้นอ่านข้อความในกระดาษด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย



                   “อันดรา…ซัคค์คา…ดราอัน…ซัคค์คา…ดราอัน…คาซัคค์…คาดรา…อันซัคค์…ดราคา…ซัคค์อัน…อันดราคา…ซัคค์ดราคา…อันดราคาซัคค์”



                       ทันทีที่กล่าวคำสุดท้ายจบ…ไฟที่โคมหัวเตียงก็ดับวูบลงจนทำให้ภายในห้องมืดมิด…สิ่งเดียวที่ส่องแสงสีเขียวเรืองรอง…กลับเป็นสร้อยไข่มุกบนคอของหญิงชรา…ท่ามกลางสีหน้าตื่นตะลึงของหญิงชราและชายหนุ่ม!!!



                       เสียงเพลงหวานเย็นราวบทสวดไม่รู้จากที่ใด ดังราวเสียงกระซิบในสายลม…เม็ดมุกแต่ละเม็ดเริ่มเคลื่อนไหวได้ราวมีชีวิต มันค่อยๆเบียดเข้ามาชิดกันจนแน่น สายสร้อยสีดำก็ดูเหมือนจะหดสั้นลงจนทำให้เม็ดมุกเรียงรายกันได้อย่างไม่มีช่องว่างเหมือนก่อน…พวกมันหมุนควงในตัวเองอย่างบ้าคลั่งอยู่พักหนึ่ง…ก่อนที่สร้อยทั้งเส้นจะส่องแสงสีเขียวจ้าบาดตา จนทำให้หญิงชราและชายหนุ่มต้องหลับตาลงพร้อมๆกัน!



                       แสงไฟของโคมที่หัวเตียงสว่างขึ้นอีกครั้ง…ทั้งสองค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อมองไปรอบๆ…เสียงบทสวดเงียบหายไปแล้ว…ทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปกติ…หญิงชราเหลือบสายตามองเงาของตนเองในกระจก…สร้อยไข่มุกบนลำคอ…กลับกลายเป็นสร้อยไข่มุกที่สวยที่สุดเธอเคยเห็น!…มุกสีดำเงาวับ มุกสีขาวน้ำนวล…ราวกับพวกมันเปล่งแสงสว่างเรืองรอง สร้อยไข่มุกดูสวยและโดดเด่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน…แต่ขณะที่กำลังชมความงามของเส้นสร้อยอยู่นั้น หญิงชราก็เหลือบไปเห็นเงาของอะไรบางอย่างสะท้อนจากในกระจก จนทำให้ต้องหันหลังขวับกลับไปด้วยขนที่ลุกซู่ และสันหลังที่เย็นวาบ…



                       ลูกชายของเธอกำลังตะลึงมองควันสีเขียวกลุ่มหนึ่ง…สีเขียวของควันที่ลอยขึ้นลอยลงราวกับมีชีวิต ส่องประกายออกมาจนดูคล้ายกับแสงอัญมณีสีเขียวมรกตยามต้องแสงไฟ…ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปจับต้องควันด้วยดวงตาที่ยังคงเบิกกว้าง…แต่เพียงสัมผัส…ขนในกายก็พากันลุกซู่ด้วยเสียงหัวเราะเย็นๆที่ดังกึกก้องออกมาจากกลุ่มควัน!



                       หญิงชราเริ่มตื่นตระหนกมากขึ้น เมื่อกลุ่มควันลอยเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นๆ เสียงหัวเราะเย็นๆยังคงดังต่อเนื่อง…แล้วแสงสว่างสีเขียวสองดวงก็สว่างวาบออกมาจากกลุ่มควัน ราวกับดวงตาของปีศาจร้าย!!



                       “สวัสดี นายหญิง” เสียงเย็นๆคล้ายเสียงของสตรีดังขึ้นจากกลุ่มควัน



                       “จ…เจ้า…เจ้าเป็นใคร?! ต้องการอะไรจากข้า?!” หญิงชราถามกลับไปอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก



                       เสียงหัวเราะเย็นๆดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่กลุ่มควันประหลาดจะตอบหญิงชรากลับ



                   “ข้าคือ อันดราคาซัคค์…ทุกความปรารถนาของท่าน เป็นหน้าที่ของข้าที่จะทำให้เป็นจริง!!!”





                       เอลไลย่าลุกพรวดขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าที่ยังคงตื่นตระหนก…เม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายอยู่บนใบหน้าสีซีด…นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปรอบๆ…ห้องนอนของเธอยังคงเหมือนเดิมในความมืดสลัวของแสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่สาดแสงผ่านมาทางหน้าต่าง…กลิ่นของห้องยังคงเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย…ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมอย่างห้องนอนของหญิงชราคนที่เธอไม่รู้จักคนนั้น…



                       ภาพของหญิงชรา ชายหนุ่ม และควันประหลาดหายไปทันทีเมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้น…ภาพความฝันนั้นชัดเจนราวกับได้ไปอยู่ในเหตุการณ์…อีกครั้ง ที่สร้อยไข่มุกเข้ามาอยู่ในความฝันของเธอ ทั้งๆที่ลืมความฝันครั้งก่อนไปแล้ว…



                       ต้องเป็นเพราะเจ้าแกงประหลาดรสจัดที่เคอัสยัดเยียดให้กินเมื่อตอนเย็นแน่ๆ…



                       เอลไลย่าล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ไม่สามารถหลับตาลงได้เป็นครั้งที่สอง…ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงฉายซ้ำวนเวียนไปมาบนเพดานสีขาว…บทสวดราวกับจะตามมากับสายลมที่พัดผ่านภายในห้อง…ไข่มุกที่สร้างควันประหลาด…กับน้ำเสียงเย็นๆของสตรีที่ยังคงดังก้องอยู่ในห้วงคิดของเธอ…



                   “ข้าคือ อันดราคาซัคค์…ทุกความปรารถนาของท่าน เป็นหน้าที่ของข้าที่จะทำให้เป็นจริง!!!”



                                                                    *******************    



                       วันทั้งวันผ่านไปโดยที่จิตใจไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว วิชาศิลปะคาบเช้าที่ศาสตราจารย์มาร์คีย์ ซอเธอร์สั่งให้เสก็ตช์ภาพปราสาทนั้น จิตใจที่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องความฝันทำให้ภาพเสก็ตช์กลับออกมาเป็นรูปควันประหลาดเสียเฉยๆ เล่นเอาศาสตราจารย์แทบเป็นลมล้มพับเมื่อได้เห็นภาพ…ก็จะไม่ให้เธอคิดมากได้ยังไง ในเมื่อเธอฝันเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ทั้งๆที่ไข่มุกอะไรนั่นเธอก็ไม่รู้จัก แล้วยังคนแปลกหน้าคนเดิมที่เห็นแต่ข้างหลังนั่น…หรือเธออาจคิดมากไปเอง…แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้ได้…ความฝันช่างชัดเจน ชัดเสียจนน่าตกใจ…วิชาภาษาและอักขระโบราณผ่านไปโดยที่เธอมัวแต่นั่งคิดเรื่องถึงนี้จนไม่เป็นอันเรียน…อาหารกลางวันที่แทบจะไม่รู้รส…วิชาการแพทย์ในช่วงบ่ายไม่สามารถเรียกความสนใจของเธอให้ออกมาจากเรื่องความฝัน…วันทั้งวันของเอลไลย่าผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ตัวจะยังนั่งเรียน แต่จิตใจกลับล่องลอยไปไกล…พยายามหาคำตอบ…ของเรื่องที่ไม่มีคำตอบ…พยายามตัดใจไม่ให้คิดถึงมัน…แต่ก็ไม่อาจทำได้ง่ายๆ…



                       ในที่สุด จึงต้องถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน…



                       “เอ้า…ถอนเข้าไปลมหายใจน่ะ ระวังถอนมากจนมันไม่ขึ้นล่ะ”



                       “ถอนหายใจนะไม่ได้ถอนหญ้า”



                       เอลไลย่าตอบนาธานที่มาเดินอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้…อันที่จริง…เธอมาเดินอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เช่นกัน…ข้างหน้าเป็นเพื่อนของเธออีก 5 คน ที่ดูเหมือนทั้งกลุ่มกำลังจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง…นี่มันกี่โมงแล้ว? วิชาต่อไปเป็นอะไร? แล้วนี่ทุกคนกำลังจะไปที่ไหนกัน?



                       “เรากำลังจะไปไหนกันเหรอนาธาน?”



                       นาธานเลิกคิ้วและมองเอลไลย่าด้วยท่าทีงงๆ



                       “เอลไลย่า นี่วันนี้เธอเป็นอะไรของเธอ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ…เป็นอะไรรึเปล่า?”



                       จะตอบว่ายังไงดี…จะบอกว่าเป็น เพราะกับแค่เรื่องความฝันบ้าๆก็จะต้องโดนหาว่าคิดมากไปเองแน่ๆ…



                       “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก…สรุปว่าเรากำลังจะไปไหนกันล่ะ?” เอลไลย่ารีบเปลี่ยนเรื่อง



                       “นี่ไง…ถึงแล้ว”



                       เอลไลย่าเหลือบมองป้ายสีทองอันใหญ่เหนือประตูทางเข้าที่นาธานและคนอื่นๆเพิ่งจะเดินผ่านเข้าไป ก่อนขมวดคิ้วเริ่มสงสัย…

    มาห้องสมุดกันทำไมล่ะเนี่ย?



                       เจมิไนเดินตรงเข้าไปหาอาจารย์บรรณารักษ์ร่างเล็กและพูดอะไรด้วยสองสามคำ ก่อนที่อาจารย์จะพยักหน้ายิ้มรับและลากเจมิไนหายเข้าไปที่ชั้นหนังสือหมวดวิชาวิทยาศาสตร์



                       “นั่นอาจารย์คงไม่ได้พาเจมิไนของฉันไปทำอะไรเสียๆหายๆหรอกนะ” แอมเบอร์เปรยขึ้นมา ก่อนหยิบนิตยสารแฟชั่นขึ้นมาจากชั้น และลงนั่งตั้งหลักอ่าน



                       “อาจารย์บรรณารักษ์เขาพาเจมิไนไปช่วยจัดชั้นหนังสือนะจ๊ะแอมเบอร์ แล้วเจมิไนจะเสียหายได้ยังไงล่ะ?” เมอลินด้าพูดพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ



                       “ก็จะไปรู้เหรอ เห็นหายเข้าไปในที่ลับตาชาวบ้านขนาดนั้น”



                       “แล้วทำไมเจมิไนต้องไปช่วยอาจารย์บรรณารักษ์จัดหนังสือด้วยล่ะ?”



                       ประโยคคำถามของเอลไลย่าเรียกสายตาของเพื่อนๆให้หันมามองกันเป็นตาเดียวอย่างงงๆ



                       “ท่าจะเป็นเอามากนะเนี่ยเอลลี่…นี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหรือไง…เล่นเหม่อมันทั้งวัน เป็นไข้รึเปล่าเนี่ย?” เคอัสยิงประโยคคำถามใส่



                       “นั่นสิ…ไม่สบายรึเปล่า ลองบอกอาการให้วินิจฉัยโรคหน่อยมั้ย?” จูปิไตกล่าวต่อ



                       “ฉันไม่เป็นอะไรซักหน่อย…บอกได้รึยังว่าทำไมเจมิไนจู่ๆถึงนึกอยากเป็นคนดี ขอช่วยอาจารย์บรรณารักษ์จัดหนังสือ?”



                       “ไม่ได้นึกอยากเป็นคนดีขึ้นมาหรอก แต่โดนศาสตราจารย์คริปตอนลงโทษไว้เมื่อวานนี้ไง” นาธานตอบ เอลไลย่าที่เพิ่งถึงบางอ้อจึงพยักหน้ารับรู้



                       “ถามจริงๆเหอะ สรุปว่าเป็นอะไรรึเปล่า?” เคอัสถามด้วยสีหน้าจริงจัง



                       “ใครเป็นอะไร?”



                       “ก็เธอนั่นแหละ”



                       “ฉันทำไม?”



                       “ก็เป็นอะไรเล่า?!”



                       “ใครเป็นอะไรล่ะ?”



                       “เอ้อ!! ไม่ถามแล้วก็ได้เฟ้ย ไม่ตอบอย่าตอบ” เคอัสเริ่มฉุนในขณะที่เอลไลย่าได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี



                       “กลับมาเป็นเอลไลย่าคนเดิมก็ดีแล้วล่ะ” นาธานกล่าว ยิ้มน้อยๆตามปกติ



                       “ว่าแต่…” เอลไลย่าเหลือบมองไปรอบๆ…บางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับห้องสมุดในวันนี้…ดูเหมือนจะมีคนมาใช้บริการห้องสมุดมากมายล้นหลามอย่างไม่เคยมีมาก่อน…โดยเฉพาะ…



                       “วันนี้สาวๆมาเที่ยวห้องสมุดกันเพียบเลยนะเนี่ย”



                       เคอัสแสยะยิ้มก่อนทรุดตัวลงนั่งแล้วเริ่มทำคอยีราฟชะเง้อมองไปรอบๆ



                       “สาวๆเยอะแบบนี้ห้องสมุดมันค่อยน่าเข้าหน่อย”



                       “น้ำลายหกแล้ว หาอะไรรองหน่อยเคอัส” นาธานล้อ



                       “หน้าตาหื่นซะขนาดนี้ ไม่ใช่พวกโรคจิตแล้วจะเรียกว่าอะไร” แอมเบอร์กัด แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่หนังสือนิตยสารในมือ



                       “ก็เรียกว่า ‘คนหล่อ’ ไง คำศัพท์ที่ฉันเป็นคนบรรยัดถ้าไม่ใช้กับฉันแล้วจะไปใช้กับหมาที่ไหนล่ะ ใช่มั้ย”



                       “ก็ใช้กับหมาตรงนู้นไง”



                       จูปิไตชี้ไปยังใครคนหนึ่งที่มัวสนใจกับการจัดหนังสือจนไม่ได้สังเกตรอบข้าง ว่าโต๊ะตัวใกล้ๆเขาในระยะไม่เกิน 4 เมตรบัดนี้โดนจับจองโดยสาวๆสาวกชมรม ‘คนรักเจมิไน’ ไปหมดแล้ว…และทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะก้มเก็บหนังสือ เอื้อมวางหนังสือบนชั้นหนังสือ ช่วยอาจารย์บรรณารักษ์ถือตั้งหนังสือหนักๆ…ล้วนก่อให้เกิดเสียงร้องอุทาน เสียงคุยกันจ้อกแจ้กและเสียงหัวเราะคิกคัก…แต่ก็จะเงียบกริบในวินาทีต่อมาทุกครั้งด้วยสายตาอันคมกริบของอาจารย์บรรณารักษ์ที่ปราดมองมาอย่างรวดเร็ว



                        “เออ! ยอมแพ้ก็ได้ ยกตำแหน่งหมาหน้าตาดีให้มันไปเลย!!”



                        พรึ่บ!



                        นิตยสารในมือแอมเบอร์ปิดอย่างรวดเร็วจนเมอลินด้าที่นั่งอ่านอยู่ด้วยสะดุ้งสุดตัว



                        “พวกนายนี่จะมากเกินไปแล้วนะ! มาหาว่าเจมิไนของฉันเป็นหมาได้ยังไงกันยะ?!!”



                        เสียงแผดแปดหลอดของแอมเบอร์แหลมสูงจนกระจกหน้าต่างในห้องสั่นสะเทือน…ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้น กับสายตาทุกคู่ในห้องที่จ้องมองมาที่แอมเบอร์กันหมด…แต่สายตาคู่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ เรียกสีแดงระเรื่อให้ขึ้นบนใบหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะยกนิตยสารในมือเล่มเดิมขึ้นมาเปิดบังหน้าตัวเองเอาไว้



                        น้องเรียว!!!



                        ทำไมน้องเรียวถึงมาอยู่ในห้องสมุด?!



                        น่าขายหน้าที่สุด!!!



                        โถ่พระเจ้า…ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันถึงขนาดนี้ด้วย…



                        “คุณหมอ ไม่ทราบว่า หน้าแตกยับเยินขนาดนี้รับเย็บเข็มเท่าไหร่ครับเนี่ย?” เคอัสหันไปถามจูปิไตด้วยรอยยิ้ม



                        “ขอโทษด้วย…แบบนี้น่ะ…” จูปิไตเก๊กหน้าเครียดตอบ



                        “หมอไม่รับเย็บ” ก่อนเปลี่ยนเป็นหัวเราะในทันที เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนในกลุ่มให้ดังขึ้น



                        “จูปิไต…เดี๋ยวนี้ก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ?!” แอมเบอร์ตวาดเสียงกระซิบ ขึงตาใส่ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งเมอลินด้าผู้เคราะห์ร้ายที่นั่งอยู่ข้างๆในระยะฝ่ามือแต่ดันเผลอหัวเราะออกไปด้วย



                        โครม!!!



                        ไม่ใช่เสียงออกหมัดของแอมเบอร์อย่างที่คิด…เสียงดังสนั่นที่มาจากอีกมุมหนึ่งของห้องสมุดดังขึ้นพร้อมๆกับการสั่นสะเทือนของพื้นที่เหยียบอยู่ เรียกความสนใจของทุกคนให้ลุกขึ้นเดินไปสมทบคนอื่นๆที่กำลังมุงดูเหตุการณ์กันอยู่ทันที



                        ภาพที่เห็นเป็นภาพของชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ชั้นหนึ่งล้มมานอนอยู่กับพื้นท่ามกลางหนังสือหลายร้อยเล่มที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่…และนี่คงจะเป็นที่มาของเสียงดังโครมใหญ่ที่ได้ยินไปเมื่อครู่…ส่วนที่มาของการล้มของชั้นหนังสือ…



                        เด็กปีหนึ่งคนหนึ่งที่เอลไลย่าไม่รู้จักกำลังขยำคอเสื้อของเพื่อนอีกคนกระชากเข้ามาใกล้อย่างเอาเรื่อง ในขณะที่คนถูกกระชากคอจ้องมองด้วยสายตาไม่ยี่หระไม่กลัวเกรง…



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×