ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เรื่องของอันดราคาซัคค์ (1)
                  “คุณแม่ครับ”
                  ชายหนุ่มผมบลอนด์กล่าวขณะก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนปิดประตูอย่างเบามือ กลิ่นหอมของน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยอบอวลอยู่ในบรรยากาศ ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงชราที่นั่งอยู่หน้ากระจก มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว และภายในห้องก็มืดสลัว มีเพียงแสงจากโคมไฟข้างเตียงนอนเท่านั้นที่ให้แสงสว่างอันน้อยนิด แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาไม่สะดุดขาโต๊ะหรือเก้าอี้ หญิงชรายังคงจ้องมองเงาตัวเองในกระจกอย่างไม่ละสายตา ทำให้ชายหนุ่มต้องสะกิดเรียกอีกครั้ง
                  “คุณแม่ครับ”
                  หญิงชรากระพริบตาครั้งหนึ่งเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ก่อนหันกลับมาจ้องมองลูกชาย ใบหน้าที่เหี่ยวย่นไปตามวัยดูโทรมยิ่งนัก ผมสีบลอนด์ที่กลายเป็นสีขาวถูกตัดสั้นและดัดอย่างทรงคนแก่ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทานั้นฉายแววเศร้าสร้อย ไม่อาจจะบอกได้ว่าลูกชายของเธอมีความละม้ายคล้ายเธอที่ตรงไหน เพราะเห็นเพียงแต่เบื้องหลังของเขาเท่านั้น หญิงชราเอื้อมมืออันสั่นเทาไปลูบใบหน้าของลูกชายที่โน้มเข้ามาใกล้
                  “ลูกรัก”
                  ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ก่อนยื่นกล่องไม้ในมือให้กับผู้เป็นมารดาด้วยรอยยิ้ม
                  “คุณแม่ดูนี่สิครับ”
                  หญิงชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะก้มมองกล่องไม้ในมือของลูกชาย และเอื้อมหยิบมันขึ้นมาเปิด
                  สร้อยไข่มุกโทรมๆเส้นหนึ่ง
                  “อะไรน่ะลูก?”
                  ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง หยิบกระดาษสีเหลืองกรอบใต้ฝาส่งให้ผู้เป็นมารดาอ่าน
                  “ลูกก็รู้ สายตาคนแก่จะไปมองเห็นอะไร บอกแม่มาดีกว่า ว่านี่มันอะไรกัน?”
                  ชายหนุ่มหยิบสร้อยไข่มุกขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนเริ่มอธิบาย
                  “นี่คือสร้อยไข่มุกอันดราคาซัคค์ครับ ผมบังเอิญไปได้ของวิเศษชิ้นนี้มา สร้อยนี้ในกระดาษเขียนไว้ว่า ใครได้ใส่ จะสมความปรารถนาในทุกๆสิ่ง”
                  ดวงตาของหญิงชราเบิกกว้าง
                  “ทุกๆสิ่ง ลูกหมายถึงทุกสิ่งจริงๆหรือลูก”
                  “มีทางเดียวที่จะรู้ได้ครับ ”
                  นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาฉายแววตื่นเต้นระคนยินดีเมื่อลูกชายค่อยๆสวมสร้อยให้อย่างเบามือ แววแห่งความเศร้าสร้อยที่เคยมีหายไปแทบจะไม่เหลือร่องรอย ชายหนุ่มสวมสร้อยให้ผู้เป็นมารดาเสร็จ ก็หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็วในใจ
                  หญิงชราหันกลับไปมองภาพของตนเองในเงากระจก ดูอย่างไรมันก็เป็นสร้อยเก่าๆเส้นหนึ่ง เม็ดมุกสีดำและขาวอย่างละครึ่งสายสร้อยดูหม่นมัว เม็ดไข่มุกที่มีไม่เต็มสร้อยทิ้งให้บางช่วงเหลือเพียงสายสร้อยสีดำ หญิงชราจับขยับให้เม็ดมุกไหลไปมาเล่นระหว่างรอลูกชาย
                  “เอาล่ะนะครับ” ชายหนุ่มถาม หญิงชราพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เขาแทบจะไม่เคยเห็น ทำให้เขาไม่ลังเลใจและเริ่มต้นอ่านข้อความในกระดาษด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย
              “อันดรา ซัคค์คา ดราอัน ซัคค์คา ดราอัน คาซัคค์ คาดรา อันซัคค์ ดราคา ซัคค์อัน อันดราคา ซัคค์ดราคา อันดราคาซัคค์”
                  ทันทีที่กล่าวคำสุดท้ายจบ ไฟที่โคมหัวเตียงก็ดับวูบลงจนทำให้ภายในห้องมืดมิด สิ่งเดียวที่ส่องแสงสีเขียวเรืองรอง กลับเป็นสร้อยไข่มุกบนคอของหญิงชรา ท่ามกลางสีหน้าตื่นตะลึงของหญิงชราและชายหนุ่ม!!!
                  เสียงเพลงหวานเย็นราวบทสวดไม่รู้จากที่ใด ดังราวเสียงกระซิบในสายลม เม็ดมุกแต่ละเม็ดเริ่มเคลื่อนไหวได้ราวมีชีวิต มันค่อยๆเบียดเข้ามาชิดกันจนแน่น สายสร้อยสีดำก็ดูเหมือนจะหดสั้นลงจนทำให้เม็ดมุกเรียงรายกันได้อย่างไม่มีช่องว่างเหมือนก่อน พวกมันหมุนควงในตัวเองอย่างบ้าคลั่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สร้อยทั้งเส้นจะส่องแสงสีเขียวจ้าบาดตา จนทำให้หญิงชราและชายหนุ่มต้องหลับตาลงพร้อมๆกัน!
                  แสงไฟของโคมที่หัวเตียงสว่างขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อมองไปรอบๆ เสียงบทสวดเงียบหายไปแล้ว ทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปกติ หญิงชราเหลือบสายตามองเงาของตนเองในกระจก สร้อยไข่มุกบนลำคอ กลับกลายเป็นสร้อยไข่มุกที่สวยที่สุดเธอเคยเห็น! มุกสีดำเงาวับ มุกสีขาวน้ำนวล ราวกับพวกมันเปล่งแสงสว่างเรืองรอง สร้อยไข่มุกดูสวยและโดดเด่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ขณะที่กำลังชมความงามของเส้นสร้อยอยู่นั้น หญิงชราก็เหลือบไปเห็นเงาของอะไรบางอย่างสะท้อนจากในกระจก จนทำให้ต้องหันหลังขวับกลับไปด้วยขนที่ลุกซู่ และสันหลังที่เย็นวาบ
                  ลูกชายของเธอกำลังตะลึงมองควันสีเขียวกลุ่มหนึ่ง สีเขียวของควันที่ลอยขึ้นลอยลงราวกับมีชีวิต ส่องประกายออกมาจนดูคล้ายกับแสงอัญมณีสีเขียวมรกตยามต้องแสงไฟ ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปจับต้องควันด้วยดวงตาที่ยังคงเบิกกว้าง แต่เพียงสัมผัส ขนในกายก็พากันลุกซู่ด้วยเสียงหัวเราะเย็นๆที่ดังกึกก้องออกมาจากกลุ่มควัน!
                  หญิงชราเริ่มตื่นตระหนกมากขึ้น เมื่อกลุ่มควันลอยเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นๆ เสียงหัวเราะเย็นๆยังคงดังต่อเนื่อง แล้วแสงสว่างสีเขียวสองดวงก็สว่างวาบออกมาจากกลุ่มควัน ราวกับดวงตาของปีศาจร้าย!!
                  “สวัสดี นายหญิง” เสียงเย็นๆคล้ายเสียงของสตรีดังขึ้นจากกลุ่มควัน
                  “จ เจ้า เจ้าเป็นใคร?! ต้องการอะไรจากข้า?!” หญิงชราถามกลับไปอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก
                  เสียงหัวเราะเย็นๆดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่กลุ่มควันประหลาดจะตอบหญิงชรากลับ
              “ข้าคือ อันดราคาซัคค์ ทุกความปรารถนาของท่าน เป็นหน้าที่ของข้าที่จะทำให้เป็นจริง!!!”
                  เอลไลย่าลุกพรวดขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าที่ยังคงตื่นตระหนก เม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายอยู่บนใบหน้าสีซีด นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปรอบๆ ห้องนอนของเธอยังคงเหมือนเดิมในความมืดสลัวของแสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่สาดแสงผ่านมาทางหน้าต่าง กลิ่นของห้องยังคงเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมอย่างห้องนอนของหญิงชราคนที่เธอไม่รู้จักคนนั้น
                  ภาพของหญิงชรา ชายหนุ่ม และควันประหลาดหายไปทันทีเมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้น ภาพความฝันนั้นชัดเจนราวกับได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ อีกครั้ง ที่สร้อยไข่มุกเข้ามาอยู่ในความฝันของเธอ ทั้งๆที่ลืมความฝันครั้งก่อนไปแล้ว
                  ต้องเป็นเพราะเจ้าแกงประหลาดรสจัดที่เคอัสยัดเยียดให้กินเมื่อตอนเย็นแน่ๆ
                  เอลไลย่าล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ไม่สามารถหลับตาลงได้เป็นครั้งที่สอง ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงฉายซ้ำวนเวียนไปมาบนเพดานสีขาว บทสวดราวกับจะตามมากับสายลมที่พัดผ่านภายในห้อง ไข่มุกที่สร้างควันประหลาด กับน้ำเสียงเย็นๆของสตรีที่ยังคงดังก้องอยู่ในห้วงคิดของเธอ
              “ข้าคือ อันดราคาซัคค์ ทุกความปรารถนาของท่าน เป็นหน้าที่ของข้าที่จะทำให้เป็นจริง!!!”
                                                                *******************   
                  วันทั้งวันผ่านไปโดยที่จิตใจไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว วิชาศิลปะคาบเช้าที่ศาสตราจารย์มาร์คีย์ ซอเธอร์สั่งให้เสก็ตช์ภาพปราสาทนั้น จิตใจที่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องความฝันทำให้ภาพเสก็ตช์กลับออกมาเป็นรูปควันประหลาดเสียเฉยๆ เล่นเอาศาสตราจารย์แทบเป็นลมล้มพับเมื่อได้เห็นภาพ ก็จะไม่ให้เธอคิดมากได้ยังไง ในเมื่อเธอฝันเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ทั้งๆที่ไข่มุกอะไรนั่นเธอก็ไม่รู้จัก แล้วยังคนแปลกหน้าคนเดิมที่เห็นแต่ข้างหลังนั่น หรือเธออาจคิดมากไปเอง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้ได้ ความฝันช่างชัดเจน ชัดเสียจนน่าตกใจ วิชาภาษาและอักขระโบราณผ่านไปโดยที่เธอมัวแต่นั่งคิดเรื่องถึงนี้จนไม่เป็นอันเรียน อาหารกลางวันที่แทบจะไม่รู้รส วิชาการแพทย์ในช่วงบ่ายไม่สามารถเรียกความสนใจของเธอให้ออกมาจากเรื่องความฝัน วันทั้งวันของเอลไลย่าผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ตัวจะยังนั่งเรียน แต่จิตใจกลับล่องลอยไปไกล พยายามหาคำตอบ ของเรื่องที่ไม่มีคำตอบ พยายามตัดใจไม่ให้คิดถึงมัน แต่ก็ไม่อาจทำได้ง่ายๆ
                  ในที่สุด จึงต้องถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน
                  “เอ้า ถอนเข้าไปลมหายใจน่ะ ระวังถอนมากจนมันไม่ขึ้นล่ะ”
                  “ถอนหายใจนะไม่ได้ถอนหญ้า”
                  เอลไลย่าตอบนาธานที่มาเดินอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อันที่จริง เธอมาเดินอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เช่นกัน ข้างหน้าเป็นเพื่อนของเธออีก 5 คน ที่ดูเหมือนทั้งกลุ่มกำลังจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง นี่มันกี่โมงแล้ว? วิชาต่อไปเป็นอะไร? แล้วนี่ทุกคนกำลังจะไปที่ไหนกัน?
                  “เรากำลังจะไปไหนกันเหรอนาธาน?”
                  นาธานเลิกคิ้วและมองเอลไลย่าด้วยท่าทีงงๆ
                  “เอลไลย่า นี่วันนี้เธอเป็นอะไรของเธอ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ เป็นอะไรรึเปล่า?”
                  จะตอบว่ายังไงดี จะบอกว่าเป็น เพราะกับแค่เรื่องความฝันบ้าๆก็จะต้องโดนหาว่าคิดมากไปเองแน่ๆ
                  “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก สรุปว่าเรากำลังจะไปไหนกันล่ะ?” เอลไลย่ารีบเปลี่ยนเรื่อง
                  “นี่ไง ถึงแล้ว”
                  เอลไลย่าเหลือบมองป้ายสีทองอันใหญ่เหนือประตูทางเข้าที่นาธานและคนอื่นๆเพิ่งจะเดินผ่านเข้าไป ก่อนขมวดคิ้วเริ่มสงสัย
มาห้องสมุดกันทำไมล่ะเนี่ย?
                  เจมิไนเดินตรงเข้าไปหาอาจารย์บรรณารักษ์ร่างเล็กและพูดอะไรด้วยสองสามคำ ก่อนที่อาจารย์จะพยักหน้ายิ้มรับและลากเจมิไนหายเข้าไปที่ชั้นหนังสือหมวดวิชาวิทยาศาสตร์
                  “นั่นอาจารย์คงไม่ได้พาเจมิไนของฉันไปทำอะไรเสียๆหายๆหรอกนะ” แอมเบอร์เปรยขึ้นมา ก่อนหยิบนิตยสารแฟชั่นขึ้นมาจากชั้น และลงนั่งตั้งหลักอ่าน
                  “อาจารย์บรรณารักษ์เขาพาเจมิไนไปช่วยจัดชั้นหนังสือนะจ๊ะแอมเบอร์ แล้วเจมิไนจะเสียหายได้ยังไงล่ะ?” เมอลินด้าพูดพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
                  “ก็จะไปรู้เหรอ เห็นหายเข้าไปในที่ลับตาชาวบ้านขนาดนั้น”
                  “แล้วทำไมเจมิไนต้องไปช่วยอาจารย์บรรณารักษ์จัดหนังสือด้วยล่ะ?”
                  ประโยคคำถามของเอลไลย่าเรียกสายตาของเพื่อนๆให้หันมามองกันเป็นตาเดียวอย่างงงๆ
                  “ท่าจะเป็นเอามากนะเนี่ยเอลลี่ นี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหรือไง เล่นเหม่อมันทั้งวัน เป็นไข้รึเปล่าเนี่ย?” เคอัสยิงประโยคคำถามใส่
                  “นั่นสิ ไม่สบายรึเปล่า ลองบอกอาการให้วินิจฉัยโรคหน่อยมั้ย?” จูปิไตกล่าวต่อ
                  “ฉันไม่เป็นอะไรซักหน่อย บอกได้รึยังว่าทำไมเจมิไนจู่ๆถึงนึกอยากเป็นคนดี ขอช่วยอาจารย์บรรณารักษ์จัดหนังสือ?”
                  “ไม่ได้นึกอยากเป็นคนดีขึ้นมาหรอก แต่โดนศาสตราจารย์คริปตอนลงโทษไว้เมื่อวานนี้ไง” นาธานตอบ เอลไลย่าที่เพิ่งถึงบางอ้อจึงพยักหน้ารับรู้
                  “ถามจริงๆเหอะ สรุปว่าเป็นอะไรรึเปล่า?” เคอัสถามด้วยสีหน้าจริงจัง
                  “ใครเป็นอะไร?”
                  “ก็เธอนั่นแหละ”
                  “ฉันทำไม?”
                  “ก็เป็นอะไรเล่า?!”
                  “ใครเป็นอะไรล่ะ?”
                  “เอ้อ!! ไม่ถามแล้วก็ได้เฟ้ย ไม่ตอบอย่าตอบ” เคอัสเริ่มฉุนในขณะที่เอลไลย่าได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
                  “กลับมาเป็นเอลไลย่าคนเดิมก็ดีแล้วล่ะ” นาธานกล่าว ยิ้มน้อยๆตามปกติ
                  “ว่าแต่ ” เอลไลย่าเหลือบมองไปรอบๆ บางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับห้องสมุดในวันนี้ ดูเหมือนจะมีคนมาใช้บริการห้องสมุดมากมายล้นหลามอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะ
                  “วันนี้สาวๆมาเที่ยวห้องสมุดกันเพียบเลยนะเนี่ย”
                  เคอัสแสยะยิ้มก่อนทรุดตัวลงนั่งแล้วเริ่มทำคอยีราฟชะเง้อมองไปรอบๆ
                  “สาวๆเยอะแบบนี้ห้องสมุดมันค่อยน่าเข้าหน่อย”
                  “น้ำลายหกแล้ว หาอะไรรองหน่อยเคอัส” นาธานล้อ
                  “หน้าตาหื่นซะขนาดนี้ ไม่ใช่พวกโรคจิตแล้วจะเรียกว่าอะไร” แอมเบอร์กัด แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่หนังสือนิตยสารในมือ
                  “ก็เรียกว่า ‘คนหล่อ’ ไง คำศัพท์ที่ฉันเป็นคนบรรยัดถ้าไม่ใช้กับฉันแล้วจะไปใช้กับหมาที่ไหนล่ะ ใช่มั้ย”
                  “ก็ใช้กับหมาตรงนู้นไง”
                  จูปิไตชี้ไปยังใครคนหนึ่งที่มัวสนใจกับการจัดหนังสือจนไม่ได้สังเกตรอบข้าง ว่าโต๊ะตัวใกล้ๆเขาในระยะไม่เกิน 4 เมตรบัดนี้โดนจับจองโดยสาวๆสาวกชมรม ‘คนรักเจมิไน’ ไปหมดแล้ว และทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะก้มเก็บหนังสือ เอื้อมวางหนังสือบนชั้นหนังสือ ช่วยอาจารย์บรรณารักษ์ถือตั้งหนังสือหนักๆ ล้วนก่อให้เกิดเสียงร้องอุทาน เสียงคุยกันจ้อกแจ้กและเสียงหัวเราะคิกคัก แต่ก็จะเงียบกริบในวินาทีต่อมาทุกครั้งด้วยสายตาอันคมกริบของอาจารย์บรรณารักษ์ที่ปราดมองมาอย่างรวดเร็ว
                    “เออ! ยอมแพ้ก็ได้ ยกตำแหน่งหมาหน้าตาดีให้มันไปเลย!!”
                    พรึ่บ!
                    นิตยสารในมือแอมเบอร์ปิดอย่างรวดเร็วจนเมอลินด้าที่นั่งอ่านอยู่ด้วยสะดุ้งสุดตัว
                    “พวกนายนี่จะมากเกินไปแล้วนะ! มาหาว่าเจมิไนของฉันเป็นหมาได้ยังไงกันยะ?!!”
                    เสียงแผดแปดหลอดของแอมเบอร์แหลมสูงจนกระจกหน้าต่างในห้องสั่นสะเทือน ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้น กับสายตาทุกคู่ในห้องที่จ้องมองมาที่แอมเบอร์กันหมด แต่สายตาคู่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ เรียกสีแดงระเรื่อให้ขึ้นบนใบหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะยกนิตยสารในมือเล่มเดิมขึ้นมาเปิดบังหน้าตัวเองเอาไว้
                    น้องเรียว!!!
                    ทำไมน้องเรียวถึงมาอยู่ในห้องสมุด?!
                    น่าขายหน้าที่สุด!!!
                    โถ่พระเจ้า ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันถึงขนาดนี้ด้วย
                    “คุณหมอ ไม่ทราบว่า หน้าแตกยับเยินขนาดนี้รับเย็บเข็มเท่าไหร่ครับเนี่ย?” เคอัสหันไปถามจูปิไตด้วยรอยยิ้ม
                    “ขอโทษด้วย แบบนี้น่ะ ” จูปิไตเก๊กหน้าเครียดตอบ
                    “หมอไม่รับเย็บ” ก่อนเปลี่ยนเป็นหัวเราะในทันที เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนในกลุ่มให้ดังขึ้น
                    “จูปิไต เดี๋ยวนี้ก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ?!” แอมเบอร์ตวาดเสียงกระซิบ ขึงตาใส่ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งเมอลินด้าผู้เคราะห์ร้ายที่นั่งอยู่ข้างๆในระยะฝ่ามือแต่ดันเผลอหัวเราะออกไปด้วย
                    โครม!!!
                    ไม่ใช่เสียงออกหมัดของแอมเบอร์อย่างที่คิด เสียงดังสนั่นที่มาจากอีกมุมหนึ่งของห้องสมุดดังขึ้นพร้อมๆกับการสั่นสะเทือนของพื้นที่เหยียบอยู่ เรียกความสนใจของทุกคนให้ลุกขึ้นเดินไปสมทบคนอื่นๆที่กำลังมุงดูเหตุการณ์กันอยู่ทันที
                    ภาพที่เห็นเป็นภาพของชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ชั้นหนึ่งล้มมานอนอยู่กับพื้นท่ามกลางหนังสือหลายร้อยเล่มที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่ และนี่คงจะเป็นที่มาของเสียงดังโครมใหญ่ที่ได้ยินไปเมื่อครู่ ส่วนที่มาของการล้มของชั้นหนังสือ
                    เด็กปีหนึ่งคนหนึ่งที่เอลไลย่าไม่รู้จักกำลังขยำคอเสื้อของเพื่อนอีกคนกระชากเข้ามาใกล้อย่างเอาเรื่อง ในขณะที่คนถูกกระชากคอจ้องมองด้วยสายตาไม่ยี่หระไม่กลัวเกรง
                  ชายหนุ่มผมบลอนด์กล่าวขณะก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนปิดประตูอย่างเบามือ กลิ่นหอมของน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยอบอวลอยู่ในบรรยากาศ ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงชราที่นั่งอยู่หน้ากระจก มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว และภายในห้องก็มืดสลัว มีเพียงแสงจากโคมไฟข้างเตียงนอนเท่านั้นที่ให้แสงสว่างอันน้อยนิด แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาไม่สะดุดขาโต๊ะหรือเก้าอี้ หญิงชรายังคงจ้องมองเงาตัวเองในกระจกอย่างไม่ละสายตา ทำให้ชายหนุ่มต้องสะกิดเรียกอีกครั้ง
                  “คุณแม่ครับ”
                  หญิงชรากระพริบตาครั้งหนึ่งเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ก่อนหันกลับมาจ้องมองลูกชาย ใบหน้าที่เหี่ยวย่นไปตามวัยดูโทรมยิ่งนัก ผมสีบลอนด์ที่กลายเป็นสีขาวถูกตัดสั้นและดัดอย่างทรงคนแก่ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทานั้นฉายแววเศร้าสร้อย ไม่อาจจะบอกได้ว่าลูกชายของเธอมีความละม้ายคล้ายเธอที่ตรงไหน เพราะเห็นเพียงแต่เบื้องหลังของเขาเท่านั้น หญิงชราเอื้อมมืออันสั่นเทาไปลูบใบหน้าของลูกชายที่โน้มเข้ามาใกล้
                  “ลูกรัก”
                  ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ก่อนยื่นกล่องไม้ในมือให้กับผู้เป็นมารดาด้วยรอยยิ้ม
                  “คุณแม่ดูนี่สิครับ”
                  หญิงชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะก้มมองกล่องไม้ในมือของลูกชาย และเอื้อมหยิบมันขึ้นมาเปิด
                  สร้อยไข่มุกโทรมๆเส้นหนึ่ง
                  “อะไรน่ะลูก?”
                  ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง หยิบกระดาษสีเหลืองกรอบใต้ฝาส่งให้ผู้เป็นมารดาอ่าน
                  “ลูกก็รู้ สายตาคนแก่จะไปมองเห็นอะไร บอกแม่มาดีกว่า ว่านี่มันอะไรกัน?”
                  ชายหนุ่มหยิบสร้อยไข่มุกขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนเริ่มอธิบาย
                  “นี่คือสร้อยไข่มุกอันดราคาซัคค์ครับ ผมบังเอิญไปได้ของวิเศษชิ้นนี้มา สร้อยนี้ในกระดาษเขียนไว้ว่า ใครได้ใส่ จะสมความปรารถนาในทุกๆสิ่ง”
                  ดวงตาของหญิงชราเบิกกว้าง
                  “ทุกๆสิ่ง ลูกหมายถึงทุกสิ่งจริงๆหรือลูก”
                  “มีทางเดียวที่จะรู้ได้ครับ ”
                  นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาฉายแววตื่นเต้นระคนยินดีเมื่อลูกชายค่อยๆสวมสร้อยให้อย่างเบามือ แววแห่งความเศร้าสร้อยที่เคยมีหายไปแทบจะไม่เหลือร่องรอย ชายหนุ่มสวมสร้อยให้ผู้เป็นมารดาเสร็จ ก็หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็วในใจ
                  หญิงชราหันกลับไปมองภาพของตนเองในเงากระจก ดูอย่างไรมันก็เป็นสร้อยเก่าๆเส้นหนึ่ง เม็ดมุกสีดำและขาวอย่างละครึ่งสายสร้อยดูหม่นมัว เม็ดไข่มุกที่มีไม่เต็มสร้อยทิ้งให้บางช่วงเหลือเพียงสายสร้อยสีดำ หญิงชราจับขยับให้เม็ดมุกไหลไปมาเล่นระหว่างรอลูกชาย
                  “เอาล่ะนะครับ” ชายหนุ่มถาม หญิงชราพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เขาแทบจะไม่เคยเห็น ทำให้เขาไม่ลังเลใจและเริ่มต้นอ่านข้อความในกระดาษด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย
              “อันดรา ซัคค์คา ดราอัน ซัคค์คา ดราอัน คาซัคค์ คาดรา อันซัคค์ ดราคา ซัคค์อัน อันดราคา ซัคค์ดราคา อันดราคาซัคค์”
                  ทันทีที่กล่าวคำสุดท้ายจบ ไฟที่โคมหัวเตียงก็ดับวูบลงจนทำให้ภายในห้องมืดมิด สิ่งเดียวที่ส่องแสงสีเขียวเรืองรอง กลับเป็นสร้อยไข่มุกบนคอของหญิงชรา ท่ามกลางสีหน้าตื่นตะลึงของหญิงชราและชายหนุ่ม!!!
                  เสียงเพลงหวานเย็นราวบทสวดไม่รู้จากที่ใด ดังราวเสียงกระซิบในสายลม เม็ดมุกแต่ละเม็ดเริ่มเคลื่อนไหวได้ราวมีชีวิต มันค่อยๆเบียดเข้ามาชิดกันจนแน่น สายสร้อยสีดำก็ดูเหมือนจะหดสั้นลงจนทำให้เม็ดมุกเรียงรายกันได้อย่างไม่มีช่องว่างเหมือนก่อน พวกมันหมุนควงในตัวเองอย่างบ้าคลั่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สร้อยทั้งเส้นจะส่องแสงสีเขียวจ้าบาดตา จนทำให้หญิงชราและชายหนุ่มต้องหลับตาลงพร้อมๆกัน!
                  แสงไฟของโคมที่หัวเตียงสว่างขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อมองไปรอบๆ เสียงบทสวดเงียบหายไปแล้ว ทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปกติ หญิงชราเหลือบสายตามองเงาของตนเองในกระจก สร้อยไข่มุกบนลำคอ กลับกลายเป็นสร้อยไข่มุกที่สวยที่สุดเธอเคยเห็น! มุกสีดำเงาวับ มุกสีขาวน้ำนวล ราวกับพวกมันเปล่งแสงสว่างเรืองรอง สร้อยไข่มุกดูสวยและโดดเด่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ขณะที่กำลังชมความงามของเส้นสร้อยอยู่นั้น หญิงชราก็เหลือบไปเห็นเงาของอะไรบางอย่างสะท้อนจากในกระจก จนทำให้ต้องหันหลังขวับกลับไปด้วยขนที่ลุกซู่ และสันหลังที่เย็นวาบ
                  ลูกชายของเธอกำลังตะลึงมองควันสีเขียวกลุ่มหนึ่ง สีเขียวของควันที่ลอยขึ้นลอยลงราวกับมีชีวิต ส่องประกายออกมาจนดูคล้ายกับแสงอัญมณีสีเขียวมรกตยามต้องแสงไฟ ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปจับต้องควันด้วยดวงตาที่ยังคงเบิกกว้าง แต่เพียงสัมผัส ขนในกายก็พากันลุกซู่ด้วยเสียงหัวเราะเย็นๆที่ดังกึกก้องออกมาจากกลุ่มควัน!
                  หญิงชราเริ่มตื่นตระหนกมากขึ้น เมื่อกลุ่มควันลอยเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นๆ เสียงหัวเราะเย็นๆยังคงดังต่อเนื่อง แล้วแสงสว่างสีเขียวสองดวงก็สว่างวาบออกมาจากกลุ่มควัน ราวกับดวงตาของปีศาจร้าย!!
                  “สวัสดี นายหญิง” เสียงเย็นๆคล้ายเสียงของสตรีดังขึ้นจากกลุ่มควัน
                  “จ เจ้า เจ้าเป็นใคร?! ต้องการอะไรจากข้า?!” หญิงชราถามกลับไปอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก
                  เสียงหัวเราะเย็นๆดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่กลุ่มควันประหลาดจะตอบหญิงชรากลับ
              “ข้าคือ อันดราคาซัคค์ ทุกความปรารถนาของท่าน เป็นหน้าที่ของข้าที่จะทำให้เป็นจริง!!!”
                  เอลไลย่าลุกพรวดขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าที่ยังคงตื่นตระหนก เม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายอยู่บนใบหน้าสีซีด นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปรอบๆ ห้องนอนของเธอยังคงเหมือนเดิมในความมืดสลัวของแสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่สาดแสงผ่านมาทางหน้าต่าง กลิ่นของห้องยังคงเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมอย่างห้องนอนของหญิงชราคนที่เธอไม่รู้จักคนนั้น
                  ภาพของหญิงชรา ชายหนุ่ม และควันประหลาดหายไปทันทีเมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้น ภาพความฝันนั้นชัดเจนราวกับได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ อีกครั้ง ที่สร้อยไข่มุกเข้ามาอยู่ในความฝันของเธอ ทั้งๆที่ลืมความฝันครั้งก่อนไปแล้ว
                  ต้องเป็นเพราะเจ้าแกงประหลาดรสจัดที่เคอัสยัดเยียดให้กินเมื่อตอนเย็นแน่ๆ
                  เอลไลย่าล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ไม่สามารถหลับตาลงได้เป็นครั้งที่สอง ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงฉายซ้ำวนเวียนไปมาบนเพดานสีขาว บทสวดราวกับจะตามมากับสายลมที่พัดผ่านภายในห้อง ไข่มุกที่สร้างควันประหลาด กับน้ำเสียงเย็นๆของสตรีที่ยังคงดังก้องอยู่ในห้วงคิดของเธอ
              “ข้าคือ อันดราคาซัคค์ ทุกความปรารถนาของท่าน เป็นหน้าที่ของข้าที่จะทำให้เป็นจริง!!!”
                                                                *******************   
                  วันทั้งวันผ่านไปโดยที่จิตใจไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว วิชาศิลปะคาบเช้าที่ศาสตราจารย์มาร์คีย์ ซอเธอร์สั่งให้เสก็ตช์ภาพปราสาทนั้น จิตใจที่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องความฝันทำให้ภาพเสก็ตช์กลับออกมาเป็นรูปควันประหลาดเสียเฉยๆ เล่นเอาศาสตราจารย์แทบเป็นลมล้มพับเมื่อได้เห็นภาพ ก็จะไม่ให้เธอคิดมากได้ยังไง ในเมื่อเธอฝันเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ทั้งๆที่ไข่มุกอะไรนั่นเธอก็ไม่รู้จัก แล้วยังคนแปลกหน้าคนเดิมที่เห็นแต่ข้างหลังนั่น หรือเธออาจคิดมากไปเอง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้ได้ ความฝันช่างชัดเจน ชัดเสียจนน่าตกใจ วิชาภาษาและอักขระโบราณผ่านไปโดยที่เธอมัวแต่นั่งคิดเรื่องถึงนี้จนไม่เป็นอันเรียน อาหารกลางวันที่แทบจะไม่รู้รส วิชาการแพทย์ในช่วงบ่ายไม่สามารถเรียกความสนใจของเธอให้ออกมาจากเรื่องความฝัน วันทั้งวันของเอลไลย่าผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ตัวจะยังนั่งเรียน แต่จิตใจกลับล่องลอยไปไกล พยายามหาคำตอบ ของเรื่องที่ไม่มีคำตอบ พยายามตัดใจไม่ให้คิดถึงมัน แต่ก็ไม่อาจทำได้ง่ายๆ
                  ในที่สุด จึงต้องถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน
                  “เอ้า ถอนเข้าไปลมหายใจน่ะ ระวังถอนมากจนมันไม่ขึ้นล่ะ”
                  “ถอนหายใจนะไม่ได้ถอนหญ้า”
                  เอลไลย่าตอบนาธานที่มาเดินอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อันที่จริง เธอมาเดินอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เช่นกัน ข้างหน้าเป็นเพื่อนของเธออีก 5 คน ที่ดูเหมือนทั้งกลุ่มกำลังจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง นี่มันกี่โมงแล้ว? วิชาต่อไปเป็นอะไร? แล้วนี่ทุกคนกำลังจะไปที่ไหนกัน?
                  “เรากำลังจะไปไหนกันเหรอนาธาน?”
                  นาธานเลิกคิ้วและมองเอลไลย่าด้วยท่าทีงงๆ
                  “เอลไลย่า นี่วันนี้เธอเป็นอะไรของเธอ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ เป็นอะไรรึเปล่า?”
                  จะตอบว่ายังไงดี จะบอกว่าเป็น เพราะกับแค่เรื่องความฝันบ้าๆก็จะต้องโดนหาว่าคิดมากไปเองแน่ๆ
                  “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก สรุปว่าเรากำลังจะไปไหนกันล่ะ?” เอลไลย่ารีบเปลี่ยนเรื่อง
                  “นี่ไง ถึงแล้ว”
                  เอลไลย่าเหลือบมองป้ายสีทองอันใหญ่เหนือประตูทางเข้าที่นาธานและคนอื่นๆเพิ่งจะเดินผ่านเข้าไป ก่อนขมวดคิ้วเริ่มสงสัย
มาห้องสมุดกันทำไมล่ะเนี่ย?
                  เจมิไนเดินตรงเข้าไปหาอาจารย์บรรณารักษ์ร่างเล็กและพูดอะไรด้วยสองสามคำ ก่อนที่อาจารย์จะพยักหน้ายิ้มรับและลากเจมิไนหายเข้าไปที่ชั้นหนังสือหมวดวิชาวิทยาศาสตร์
                  “นั่นอาจารย์คงไม่ได้พาเจมิไนของฉันไปทำอะไรเสียๆหายๆหรอกนะ” แอมเบอร์เปรยขึ้นมา ก่อนหยิบนิตยสารแฟชั่นขึ้นมาจากชั้น และลงนั่งตั้งหลักอ่าน
                  “อาจารย์บรรณารักษ์เขาพาเจมิไนไปช่วยจัดชั้นหนังสือนะจ๊ะแอมเบอร์ แล้วเจมิไนจะเสียหายได้ยังไงล่ะ?” เมอลินด้าพูดพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
                  “ก็จะไปรู้เหรอ เห็นหายเข้าไปในที่ลับตาชาวบ้านขนาดนั้น”
                  “แล้วทำไมเจมิไนต้องไปช่วยอาจารย์บรรณารักษ์จัดหนังสือด้วยล่ะ?”
                  ประโยคคำถามของเอลไลย่าเรียกสายตาของเพื่อนๆให้หันมามองกันเป็นตาเดียวอย่างงงๆ
                  “ท่าจะเป็นเอามากนะเนี่ยเอลลี่ นี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหรือไง เล่นเหม่อมันทั้งวัน เป็นไข้รึเปล่าเนี่ย?” เคอัสยิงประโยคคำถามใส่
                  “นั่นสิ ไม่สบายรึเปล่า ลองบอกอาการให้วินิจฉัยโรคหน่อยมั้ย?” จูปิไตกล่าวต่อ
                  “ฉันไม่เป็นอะไรซักหน่อย บอกได้รึยังว่าทำไมเจมิไนจู่ๆถึงนึกอยากเป็นคนดี ขอช่วยอาจารย์บรรณารักษ์จัดหนังสือ?”
                  “ไม่ได้นึกอยากเป็นคนดีขึ้นมาหรอก แต่โดนศาสตราจารย์คริปตอนลงโทษไว้เมื่อวานนี้ไง” นาธานตอบ เอลไลย่าที่เพิ่งถึงบางอ้อจึงพยักหน้ารับรู้
                  “ถามจริงๆเหอะ สรุปว่าเป็นอะไรรึเปล่า?” เคอัสถามด้วยสีหน้าจริงจัง
                  “ใครเป็นอะไร?”
                  “ก็เธอนั่นแหละ”
                  “ฉันทำไม?”
                  “ก็เป็นอะไรเล่า?!”
                  “ใครเป็นอะไรล่ะ?”
                  “เอ้อ!! ไม่ถามแล้วก็ได้เฟ้ย ไม่ตอบอย่าตอบ” เคอัสเริ่มฉุนในขณะที่เอลไลย่าได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
                  “กลับมาเป็นเอลไลย่าคนเดิมก็ดีแล้วล่ะ” นาธานกล่าว ยิ้มน้อยๆตามปกติ
                  “ว่าแต่ ” เอลไลย่าเหลือบมองไปรอบๆ บางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับห้องสมุดในวันนี้ ดูเหมือนจะมีคนมาใช้บริการห้องสมุดมากมายล้นหลามอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะ
                  “วันนี้สาวๆมาเที่ยวห้องสมุดกันเพียบเลยนะเนี่ย”
                  เคอัสแสยะยิ้มก่อนทรุดตัวลงนั่งแล้วเริ่มทำคอยีราฟชะเง้อมองไปรอบๆ
                  “สาวๆเยอะแบบนี้ห้องสมุดมันค่อยน่าเข้าหน่อย”
                  “น้ำลายหกแล้ว หาอะไรรองหน่อยเคอัส” นาธานล้อ
                  “หน้าตาหื่นซะขนาดนี้ ไม่ใช่พวกโรคจิตแล้วจะเรียกว่าอะไร” แอมเบอร์กัด แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่หนังสือนิตยสารในมือ
                  “ก็เรียกว่า ‘คนหล่อ’ ไง คำศัพท์ที่ฉันเป็นคนบรรยัดถ้าไม่ใช้กับฉันแล้วจะไปใช้กับหมาที่ไหนล่ะ ใช่มั้ย”
                  “ก็ใช้กับหมาตรงนู้นไง”
                  จูปิไตชี้ไปยังใครคนหนึ่งที่มัวสนใจกับการจัดหนังสือจนไม่ได้สังเกตรอบข้าง ว่าโต๊ะตัวใกล้ๆเขาในระยะไม่เกิน 4 เมตรบัดนี้โดนจับจองโดยสาวๆสาวกชมรม ‘คนรักเจมิไน’ ไปหมดแล้ว และทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะก้มเก็บหนังสือ เอื้อมวางหนังสือบนชั้นหนังสือ ช่วยอาจารย์บรรณารักษ์ถือตั้งหนังสือหนักๆ ล้วนก่อให้เกิดเสียงร้องอุทาน เสียงคุยกันจ้อกแจ้กและเสียงหัวเราะคิกคัก แต่ก็จะเงียบกริบในวินาทีต่อมาทุกครั้งด้วยสายตาอันคมกริบของอาจารย์บรรณารักษ์ที่ปราดมองมาอย่างรวดเร็ว
                    “เออ! ยอมแพ้ก็ได้ ยกตำแหน่งหมาหน้าตาดีให้มันไปเลย!!”
                    พรึ่บ!
                    นิตยสารในมือแอมเบอร์ปิดอย่างรวดเร็วจนเมอลินด้าที่นั่งอ่านอยู่ด้วยสะดุ้งสุดตัว
                    “พวกนายนี่จะมากเกินไปแล้วนะ! มาหาว่าเจมิไนของฉันเป็นหมาได้ยังไงกันยะ?!!”
                    เสียงแผดแปดหลอดของแอมเบอร์แหลมสูงจนกระจกหน้าต่างในห้องสั่นสะเทือน ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้น กับสายตาทุกคู่ในห้องที่จ้องมองมาที่แอมเบอร์กันหมด แต่สายตาคู่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ เรียกสีแดงระเรื่อให้ขึ้นบนใบหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะยกนิตยสารในมือเล่มเดิมขึ้นมาเปิดบังหน้าตัวเองเอาไว้
                    น้องเรียว!!!
                    ทำไมน้องเรียวถึงมาอยู่ในห้องสมุด?!
                    น่าขายหน้าที่สุด!!!
                    โถ่พระเจ้า ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันถึงขนาดนี้ด้วย
                    “คุณหมอ ไม่ทราบว่า หน้าแตกยับเยินขนาดนี้รับเย็บเข็มเท่าไหร่ครับเนี่ย?” เคอัสหันไปถามจูปิไตด้วยรอยยิ้ม
                    “ขอโทษด้วย แบบนี้น่ะ ” จูปิไตเก๊กหน้าเครียดตอบ
                    “หมอไม่รับเย็บ” ก่อนเปลี่ยนเป็นหัวเราะในทันที เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนในกลุ่มให้ดังขึ้น
                    “จูปิไต เดี๋ยวนี้ก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ?!” แอมเบอร์ตวาดเสียงกระซิบ ขึงตาใส่ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งเมอลินด้าผู้เคราะห์ร้ายที่นั่งอยู่ข้างๆในระยะฝ่ามือแต่ดันเผลอหัวเราะออกไปด้วย
                    โครม!!!
                    ไม่ใช่เสียงออกหมัดของแอมเบอร์อย่างที่คิด เสียงดังสนั่นที่มาจากอีกมุมหนึ่งของห้องสมุดดังขึ้นพร้อมๆกับการสั่นสะเทือนของพื้นที่เหยียบอยู่ เรียกความสนใจของทุกคนให้ลุกขึ้นเดินไปสมทบคนอื่นๆที่กำลังมุงดูเหตุการณ์กันอยู่ทันที
                    ภาพที่เห็นเป็นภาพของชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ชั้นหนึ่งล้มมานอนอยู่กับพื้นท่ามกลางหนังสือหลายร้อยเล่มที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่ และนี่คงจะเป็นที่มาของเสียงดังโครมใหญ่ที่ได้ยินไปเมื่อครู่ ส่วนที่มาของการล้มของชั้นหนังสือ
                    เด็กปีหนึ่งคนหนึ่งที่เอลไลย่าไม่รู้จักกำลังขยำคอเสื้อของเพื่อนอีกคนกระชากเข้ามาใกล้อย่างเอาเรื่อง ในขณะที่คนถูกกระชากคอจ้องมองด้วยสายตาไม่ยี่หระไม่กลัวเกรง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น