ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อันดราคาซัคค์

    ลำดับตอนที่ #5 : ชีวิตในโรงเรียน (4)

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 48


                  

                   “ธนู เป็นอาวุธที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในบรรดาอาวุธทั้งหมดที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา”

                  

                   ศาสตราจารย์คริปตอน อัลฟา ศาสตราจารย์ประจำวิชาว่าด้วยการฝึกทักษะการใช้อาวุธชนิดต่างๆเจ้าเก่าผู้เป็นที่โดดเด่นด้วยผ้าคาดตาแบบโจรสลัด กล่าวด้วยเสียงอันดังตามปกติ

                  

                   “หวังว่าทุกคนคงไม่มีใครลืมท่ายิงธนูอันสวยงามที่พวกเราได้ฝึกฝนกันมาแล้วในชั่วโมงก่อนๆนะ”

                  

                   แน่นอนว่าคงจะไม่มีใครลืมความทรหดนั้นได้ลงคออย่างแน่นอนที่สุด กับการฝึกท่าทางยิงธนูที่ต้องยืนค้างนิ่งให้สวยงามจนถูกใจศาสตราจารย์คริปตอนทุกๆคน…และกว่าจะถูกใจศาสตราจารย์ได้ก็กินเวลาไปหลายอาทิตย์ วิชายิงธนูแท้ๆ ดันให้มาฝึกวิชาชีพใหม่…หัดเป็นรูปปั้น

                    

                   สำหรับคนชอบทำตัวเป็นรูปปั้นโดยปกติอยู่แล้วอย่างเจมิไนก็ไม่มีอะไรมาก แต่สำหรับพวกที่อยู่เฉยๆไม่เป็นอย่างเคอัส วิชาทำตัวเป็นหินช่างหินดีแท้…

                  

                   “แล้วก็หวังว่าคงจะยังไม่ลืมความรู้สึกในการยิง สำคัญที่จิตนิ่ง มีความรู้สึกอันเป็นหนึ่งเดียวระหว่างจิตกับลูกธนู”

                    

                   หลังจากหัดท่าทางอันสวยงาม บทเรียนต่อมาก็คือการหัดยิงธนูจริง เริ่มต้นจากหุ่นที่ยืนนิ่งๆ ขยับออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะห่างขนาด 200 เมตรก็กินเวลาไปร่วม 2 อาทิตย์…

                  

                   วันนี้ก็คงไม่พ้นถอยห่างมาอีก…

                  

                   “เอ้าทุกคนประจำที่…เหมือนเดิมนะ วันนี้ถอยห่างมาอีก 100 เมตร”

                

                    นั่นไง…ว่าแล้ว…

                    

                    หยิบลูกธนู…ง้างคันธนู…เล็ง…ยิง…

                    

                    คงไม่ต้องบอกว่ามันยากแค่ไหน  เอลไลย่ายังไม่เคยยิงโดนเป้า เคอัสยิงปักหัวหุ่นพอดิบพอดีในครั้งแรก แล้วต่อมา…ก็ไม่เคยโดนที่เดิมอีก แอมเบอร์ลองหัดฝึกยิงน้อยที่สุดเพราะกลัวเล็บหัก จูปิไตฝึกมากที่สุด มีพัฒนาการดีที่สุด เมอลินด้าถึงจะไม่ค่อยดีในตอนแรกแต่ก็พัฒนาขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง ช้าๆแต่ชัวร์ นาธานเพียงจับคันศร ได้ลูกธนูแทบจะไม่ต้องเล็งก็ ฟึ่บ! เข้าทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้เจ้าตัวจึงกลายเป็นครูฝึกคนพิเศษที่เพื่อนๆต้องคอยพึ่งพา ส่วนคนสุดท้าย…เจมิไนก็เก่งจนน่าหมั่นไส้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องคาดเดา…

                    

                     วันนี้ขยับออกไปไกลกว่าเดิมก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก…

                    

                     เคอัสเดินเข้าไปกอดคอทักทายเจ้าหุ่นรูปคนอย่างสนิทสนม เจ้าหุ่นที่แสนจะน่าสงสารเพราะโดนยิงจนตัวเป็นรูพรุนไปหมดแล้วแต่ก็ยังไม่เคยคิดจะขยับหลบแม้สักครั้ง…อีก 6 ตัวของสีอื่นๆก็มีสภาพที่ไม่ค่อยจะต่างกันนัก

                    

                      “เจอกันอีกแล้วนะ อาเฮียตุ๊ดซี่” เคอัสตบบ่ามันเบาๆสองสามครั้ง

                      

                     “วันนี้คงต้องรบกวนเฮียช่วยเจ็บตัวฟรีอีกแล้ว…ลำบากหน่อยนะ”

                    

                     “มันจะลำบากก็ตอนยอมรับชื่อทุเรศๆจากนายเนี่ยแหละ” เอลไลย่ากล่าว ก่อนเดินเข้าไปกอดคอหุ่นจากอีกข้าง

                      

                     “ใช่มั้ยล่ะ จึ๊กกระดึ๊บ”

                    

                     “หนอย!! อย่างกับชื่อของตัวเองดีนักล่ะ จึ๊กดึ๊บดึ๊บอะไรไม่รู้ ปัญญาอ่อน”

                      

                      “ไม่ใช่จึ๊กดึ๊บดึ๊บนะ จึ๊กกระดึ๊บต่างหากล่ะ ชื่อเต็มคือ จึ๊กกระดึ๊บ จึ้บจึ้บ จึ๋งจึ๋ง”

                    

                      “ชื่อเต็มตุ๊ดซี่ เดอะร็อคที่สอง ดีกว่าตั้งเยอะ จึ๊กบ้าจึ๊กบออะไรจำยาก”

                      

                      “คือจะเถียงกันอีกนานมั้ยฉันจะได้นั่งรอก่อน”

                    

                      จูปิไตที่หยิบลูกธนูรอจะเล็งอยู่บ่น

                    

                      “ขอโทษครับคุณพ่อ!!” ทั้งสองตอบพร้อมกันก่อนผละออกจากหุ่นไปนั่งหงอยอยู่ข้างๆแทน

                      

                      จูปิไตส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายอย่างที่เจ้าตัวมักจะทำทุกครั้งกับเจ้าพวกตัวแสบ แต่เพียงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสมาธิก็แน่วแน่…จูปิไตเล็ง…และ…

                      

                       ฟึ่บ!

                      

                      คลาดเคลื่อนไป 0.098 ซม. นับว่ายังอยู่ในสถิติเดิม ความเบี่ยงเบนเฉลี่ยยังอยู่ในขั้นที่ไม่เรียกว่าน่าพอใจนัก…

                      

                      สำหรับเขาคนเดียว…

                      

                      “โอ้โห จูปิไต เก่งจังจ้ะ” เมอลินด้าตบมือชื่นชม

                      

                      “นั่นสิ จะเก่งเกินหน้าเกินตาอาจารย์แล้วล่ะมั้งเนี่ย” แอมเบอร์พูดโดยไม่ได้ละสายตาออกจากเล็บที่กำลังนั่งขัดอยู่

                      

                      “แบบนี้ฉันคงจะนั่งเฉยๆอย่างเจมิไนได้แล้วสิ” นาธานยิ้ม ลูกศิษย์เอกเก่งขนาดนี้ก็แปลว่าไม่ต้องให้สอนแล้ว…นาธานทรุดตัวลงนั่งข้างๆเจมิไนที่ก็พยักหน้าให้จูปิไตเป็นเชิงเห็นด้วยกับเพื่อนคนอื่นๆ

                      

                      “ยังหรอก…ยัง…”

                      

                      จูปิไตล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบอะไรบางอย่างออกมา ก่อนยืดสิ่งนั้นออกแล้วลูกธนูสีเข้มก็ปรากฏอยู่ในมือของจูปิไต…ไม่ถึงวินาที…ลูกธนูก็พุ่งออกไปปักที่หุ่น โดยที่ปลายธนูห่างจากของเดิมเพียง 0.098 ซม.

                      

                      หรือจะพูดง่ายๆ…

                      

                      เข้าเป้า 100%!!!

        

                      “แบบนี้สิ…ค่อยยังชั่ว”

        

                      จูปิไตกล่าว ก่อนก้าวสวบๆตรงไปยังหุ่นและดึงธนูสีเข้มออกมา

        

                      “แต่เสียดาย เวลาสอบจริงศาสตราจารย์คริปตอนก็คงจะให้ใช้ธนูไม้อยู่ดี” พูดอย่างเสียดายขณะเปลี่ยนธนูเหล็กให้กลับเป็นลูกเหล็กลูกกลมๆเหมือนเดิมแล้วหย่อนเข้ากระเป๋าเสื้อ

        

                      “ถ้ามีออลซอร์ทควบคุมไม้ก็สบายไปแล้ว…”

                    

                      “เอาน่า…ตอนสอบปามีดครั้งก่อนนายก็ได้เปรียบไปแล้วไม่ใช่หรือไง? ให้ชาวบ้านชาวช่องเขาได้เปรียบกันบ้าง ผลัดๆกัน”

                    

                      เอลไลย่ากล่าว ก่อนลุกขึ้นมาหยิบคันธนูและลูก ตั้งท่าจะยิงบ้าง…

                    

                      “จะยิงล่ะนะจึ๊กกระดึ๊บ”

                    

                      เอลไลย่าใช้สมาธิตั้งใจเล็งเต็มที่…และในที่สุดก็ปล่อยมือ…

                    

                      ลูกธนูปักลงบนดินห่างจากตัวหุ่นเกือบๆ 10 เมตร

                    

                      “อ้าว! ทำไมไม่ถึงล่ะ?”

                    

                      ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น เสียงนกหวีดของศาสตราจารย์คริปตอนก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของนักเรียนทุกคน สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ศาสตราจารย์อย่างตั้งใจรอคำสั่ง

        

                      “เอาล่ะพอได้แล้วสำหรับเป้านิ่ง…ทีนี้ครูจะให้ทุกคนได้ลองฝึกยิงเป้าที่เคลื่อนไหวได้ดู”

        

                      เสียงเฮดังลั่นมาจากพวกเด็กๆที่เบื่อการยิงเป้านิ่งแล้ว  เปลี่ยนเป็นเป้าอย่างอื่นเสียได้ก็ดี…แต่ว่า จะไหวหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง

        

                      ศาสตราจารย์คริปตอนพาพวกนักเรียนเดินมายังอีกฟากหนึ่งของสนามฝึก และสิ่งที่พวกเขาได้พบก็คือ…

        

                      เป้ารูปทรงกลม 7 สีที่ผูกเชือกห้อยไว้กับต้นไม้ แกว่งเป็นจังหวะเท่าๆกัน…

        

                      เอ่อ…แล้วเป้าที่รู้จังหวะการเคลื่อนที่…

        

                      มันต่างจากเป้านิ่งตรงไหน?!!

        

                      “สิ่งที่เธอกำลังจะได้ฝึกกันในลำดับต่อไปนี้ คือการกะจังหวะ…โดยเริ่มต้นจากจังหวะที่จับได้ง่ายที่สุดก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นเป้าที่เคลื่อนที่อย่างอิสระในที่สุด…เอ้า! ทุกคนประจำที่ได้”

        

                      นักเรียนทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามเป้าของสีตน

        

                      “น่าเบื่อ…” เคอัสบ่นขณะเดินนำมายังเป้าเคลื่อนที่ของสีน้ำเงินที่อยู่ทางซ้ายสุดเหมือนทุกครั้ง

        

                      “นึกว่าจะได้หัดยิงอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อย”

        

                      “แล้วอะไรล่ะที่มันดีกว่านี้?” นาธานถามพลางหยิบลูกธนูขึ้นมา 2 ดอก…และโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเล็งหรือกะจังหวะแต่อย่างใด เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังหวีดหวิวก็ดังขึ้นก่อนที่มันจะพุ่งสวบเข้าเสียบลูกทรงกลมสีน้ำเงินที่เคลื่อนที่อยู่อย่างแม่นยำ

        

                      “ก็จะไปรู้เหรอ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้เจ้านี่ก็แล้วกัน”

        

                      ทันทีที่เคอัสจบประโยค อะไรบางอย่างก็หล่นตุ๊บ!ลงมาข้างเท้าแอมเบอร์…เธอก้มลงหยิบมันขึ้นมาก่อนเอ่ย

        

                      “อะไรก็ได้งั้นเหรอ?”

        

                      “ใช่!!”

        

                      ด้วยความสงสัยของทุกคน แอมเบอร์ก็วิ่งไปหาศาสตราจารย์คริปตอนที่เดินดูพวกสีแดงอยู่อีกฟากหนึ่งห่างออกไปและกลับมาพร้อมกับเทปกาวม้วนใหญ่

                    

                      “นั่นเอามาได้ไงน่ะ?” เคอัสถาม

                    

                      “แล้วเอามาทำไมด้วย?”

                  

                      “ก็ไปบอกศาสจารย์ว่าเป้าของพวกเรามันชำรุด เลยได้มา…ส่วนเอามาทำไมนั้น…”

                    

                      แอมเบอร์ชูลูกแอ๊ปเปิลในมือที่เก็บตกได้ขึ้นมา เคอัสมุ่นหัวคิ้วเพียงข้างเดียวขณะจ้องมองแอมเบอร์ด้วยความฉงน เธอสั่งให้ยืนนิ่งๆ แล้วจึงวางลูกแอ๊ปเปิลแหมะลงบนศีรษะของเคอัส ก่อนใช้เทปกาวพันอ้อมลูกแอ๊ปเปิลลงมายังคางเคอัสและอ้อมกลับไปที่ลูกแอ๊ปเปิลอย่างเดิมสองสามรอบ จากนั้นจึงก้าวออกมามองผลงานด้วยความพอใจ

        

                      “นี่ไงล่ะ เป้าที่จะยิงก็คือลูกแอ๊ปเปิล ส่วนนายจะเดินจะวิ่งหรือทำอะไรก็แล้วแต่นาย ระวังลูกธนูเอาไว้ก็เท่านั้นแหละ”

        

                      พูดจบแอมเบอร์ก็คว้าคันธนูมาจากมือนาธานและก้มลงหยิบลูกธนู เตรียมพร้อมยิงเป้าเคลื่อนที่อิสระทำเองตัวใหม่ทันที

        

                      “เฮ้ย! เอาจริงน่ะ?”

        

                      “ก็จริงน่ะสิ เป้าแอ๊ปเปิลนี่แหละคลาสสิคที่สุด…นายเบื่อไม่ใช่เหรอ? ได้มาทำตัวเป็นเป้าจะได้ตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยไง”

        

                      “เจ๊!! บ้าไปแล้วหรือไง อย่างงี้มันคิดจะฆ่ากันชัดๆ”

        

                      “ฉันเล็งแอ๊ปเปิลไม่ได้เล็งนาย จะตายได้ไงยะ?”

        

                      “ก็นั่นแหละ! เจ๊เล็งอะไรชอบจะยิงโดนต่ำลงมาเยอะทุกที แบบนี้ตายแหงๆ ไม่เอา!!”

        

                      ก่อนที่เคอัสจะได้เอื้อมไปแกะเทปกาวออก ลูกธนูก็พุ่งแหวกอากาศตรงดิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็ว…และถ้าหากเขาไม่กระโจนหลบไปเสียก่อน เจ้าลูกธนูบ้านั่นคงจะเสียบทะลุศีรษะของเขาไปแล้ว!!

        

                      “โอ้! ขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยให้ลูกช้างรอด” เคอัสพนมมือเงยหน้ามองฟ้า

        

                      “จะให้ดีกว่านี้หน่อย ช่วยดลจิตดลใจให้เจ๊เขาเลิกคิดจะยิงผมก็จะดีมากเลยนะครับ…แล้วก็ช่วยประทานสาวสวยๆมาเป็นเนื้อคู่ผมด้วยก็จะดีมาก…แล้วก็…”

        

                      ไม่ทันจะได้ขอพรต่อลูกธนูลูกที่สองก็ตามมาติดๆ…เคอัสจะกระโดดหลบได้อย่างหวุดหวิด

        

                       “แหม…พี่แอมเบอร์ล่ะก็ คิดจะทำตัวเป็นกามเทพยิงศรปักอกน้องเรียวเหรอฮะ? น้องเรียวกลัวฮ่ะ”

        

                       ด้วยประโยคและท่าทีแสนดัดจริตกรีดกรายนิ้วของน้องเรียวตัวปลอม เรียกฝนธนูให้พร่างพรายลงมาจากฟากฟ้าด้วยความโกรธาของพี่แอมเบอร์ เรียกเสียงเฮฮาของเพื่อนๆจนหลายสีเริ่มหันมามอง บ้างมองด้วยความขำ บ้างมองด้วยความอนาถ และบ้างที่มองด้วยความสมเพช…

        

                       “น่าสนุกดีนี่ เป็นเป้าที่น่าสนใจ ถ้าจะขอลองยิงด้วยคนคงจะไม่ว่าอะไรนะ?”

        

                       เสียงเย็นๆดังขึ้นมาจากชายผมสีม่วงและนัยน์ตาสีเดียวกันที่เป้าของสีตนอยู่ใกล้กับสีน้ำเงินมากที่สุด เป็นน้ำเสียงที่ทำเอาเสียงรอบข้างพลันเงียบกริบกันไปหมด…และไม่ทันจะได้รอคำตอบ ที่ข้างๆกันชายอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องท่าทางอมโรครีบส่งคันธนูกับลูกธนูให้ทันที แต่ก่อนที่จะได้ยกธนูขึ้นเล็ง เสียงๆหนึ่งก็ดังขัดขึ้น

        

                       “ไม่ได้หรอก เจ้านี่เป็นของฉัน นายอยากได้ก็คงต้องไปทำเอาเอง”



                       แอมเบอร์ตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้า ยังคงยกธนูขึ้นเล็งไปยังเคอัสที่ยืนนิ่งสีหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า แต่ภายในใจรู้สึกขอบคุณแอมเบอร์เป็นที่สุด ถึงจะทะเลาะและคอยกัดกันมาตลอด แต่ยังไง…เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนอยู่วันยังค่ำ…

        

                       แพทริค เซบาสเตียน แห่งสีม่วงใช้หางตามองแอมเบอร์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างเหยียดๆ ที่สื่อความหมายได้ว่า

        

                       อย่างเธอน่ะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก…ระดับมันผิดกัน…เธอน่ะเทียบฉันไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย…ผยองไปเถอะ ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดจะลดตัวลงไปแข่งกับเธอหรอก…

        

                       แอมเบอร์ที่ลดธนูลงและหันกลับมามองนั้น เพียงได้เห็นสายตาดูถูกเหยียดหยามก็เตรียมจะกระโจนเข้าใส่ทันที แต่เคอัสคว้าข้อมือเอาไว้ได้ทันและส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม…ต้องไม่เริ่มก่อน…ไม่อย่างนั้นก็เข้าทางมันพอดีน่ะสิ!

        

                       แพทริคหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจที่อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไร พลันสายตาก็หันไปเห็นคนคนหนึ่ง ที่เพียงเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของมันก็ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านอย่างห้ามไม่อยู่

        

                       “หึ…ถ้าอย่างนั้นก็ได้…ขอเป้าอันนี้ก็แล้วกัน”

        

                       ปลายธนูของแพทริคเล็งตรงไปยังใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่คนเดียวอย่างเงียบๆ ในขณะที่คนอื่นลุกขึ้นไปยืนดูเหตุการณ์กันหมดแล้ว…นัยน์ตาสีน้ำเงินที่มองตรงมาอย่างไม่คิดจะหลบนั้นเย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกหนาว แต่ถึงอย่างนั้นระดับของคันธนูก็ยังคงไม่ลดลงไปกว่าศีรษะเป้าหมาย!

        

                       เสียงหัวเราะสดใสที่ดูเหมือนความความเครียดในบรรยากาศจะไม่ได้ซึมซับเข้าไปแม้แต่น้อยดังขึ้น เรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามอง

        

                        “ขำอะไรไม่ทราบ?” แพทริคถามอย่างรำคาญ

        

                       “ของอย่างนั้นน่ะใช้เป็นเป้าไม่ได้หรอก” เอลไลย่าพูดกลั้วเสียงหัวเราะ

        

                       “ทำไม?! ทำไมจะใช้ไม่ได้? จะบอกให้รู้ไว้นะ อะไรก็ตามที่คนอย่างแพทริค เซบาสเตียนต้องการแล้วล่ะก็ ไม่เคยมีสิ่งไหนที่ไม่ได้ตามความต้องการ”

        

                       “มันก็ต้องมีครั้งแรกของทุกอย่างนั่นแหละ”

        

                       “แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน”

        

                       สิ้นเสียง ลูกธนูในมือแพทริคก็พุ่งออกจากคันธนูไปทันที!

                  

                       เสี้ยววินาทีที่ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจ…ลูกธนูก็แหวกอากาศตรงไปยังเป้าหมายที่ไม่คิดแม้แต่จะขยับหนี…

                    

                       กึก!

                    

                       ลูกธนูหยุดกึกกลางอากาศห่างใบหน้าของเจมิไนไปเพียงฟุตเดียวราวกับชนอะไรบางอย่าง ในขณะที่เจมิไนยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่ส่วนเดียว!

                    

                       เรียกเสียงฮือฮาจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะสาวๆที่เปลี่ยนสายตาจากชื่นชมเป็นคลั่งไคล้…

                    

                       วินาทีต่อมาลูกธนูก็ตกลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก…นัยน์ตาสีน้ำเงินมีแววขบขันเมื่อมองเห็นสีหน้าของแพทริค

                    

                       ซีดเผือด!

                    

                       “ก็บอกแล้ว…”

                    

                       เอลไลย่าพูดขณะเดินมาเก็บลูกธนูที่ตกลงมานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น…มีเพียงเธอและเพื่อนเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมลูกธนูจึงไม่สามารถทำงานของมันได้สำเร็จ…เพราะเกราะลมล่องหนที่ไม่มีใครมองเห็นถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรวดเร็วกันลูกธนูนั้นไว้…ถ้าเพียงเจมิไนไม่ได้มีความสามารถขนาดที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยความรวดเร็วขนาดนั้นแล้วล่ะก็…

                    

                       เขาก็คงจะต้องขยับตัว…

                    

                       เอลไลย่าคิดด้วยความขบขันก่อนโยนลูกธนูคืนให้แพทริค…ไม่มีทางที่คนอย่างเจมิไนจะบาดเจ็บเพราะของพรรค์นี้ อย่างมากเจ้าตัวก็แค่ยกมือขึ้นมาจับลูกธนูเอาไว้ หรือไม่ก็แค่ขยับตัวหนีนิดหน่อย…ก็เท่านั้นเอง

                    

                       “หึ…นายคิดว่าตัวเองแน่มากงั้นเหรอแอชเชอร์”

                    

                       แพทริคพูดขึ้นหลังจากที่หายจากอาการตะลึง เขาพยักหน้าให้กับชไนเดอร์คนสนิทท่าทางอมโรคคนนั้นอย่างเป็นสัญญาณ ก่อนที่ชไนเดอร์จะดึงเป้าทรงกลมของสีม่วงที่แขวนอยู่ออกมา และเริ่มต้นออกเดินห่างออกไป…ห่างออกไป…ก่อนหยุดยืนนิ่ง

                    

                       “ปีที่แล้วจำได้ว่านายเคยปามีดด้วยระยะที่ไกลขนาดนั้นใช่มั้ย?”

                    

                       ชไนเดอร์เริ่มออกเดินห่างออกไปมากกว่าเดิมอีกครั้ง…ห่างออกไป…ห่างออกไปมากๆ…

                    

                       “คราวนี้มาดูกันว่า ฉันกับนาย…จริงๆแล้วใครจะแน่กว่า”

                    

                       แพทริคยกคันธนูขึ้น และเล็ง…รอบข้างพลันเงียบเสียงอีกครั้งเมื่อธนูพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย ก่อนเสียบทรงกลมในมือของชไนเดอร์อย่างแม่นยำราวจับเสียบเอง

                    

                       เสียงร้องชื่นชมดังมาจากคนในสีม่วงด้วยกันเอง และคนอื่นๆที่ไม่อยากจะเชื่อสายตา…แพทริคมองเจมิไนอย่างท้าทาย

                    

                       เจมิไนเพียงถอนใจอย่างเบื่อหน่าย…อยากจะแน่กว่าก็แน่ไป ไม่มีใครห้าม…

                    

                       “เจมิไน…ลุกสิ…” เอลไลย่าสั่ง แต่คนถูกสั่งให้ลุกก็ยังคงนั่งนิ่ง ทั้งส่ายหน้าปฏิเสธ

                    

                       “ฉันรู้ว่านายไม่อยากโชว์ แต่รักษาศักดิ์ศรีของสีน้ำเงินไว้หน่อยเหอะ” จูปิไตพูดขึ้น

                    

                       “ก็ให้นาธานไปยิงสิ” ประโยคแรกของวันหลุดออกมาจากเจ้าชายแห่งความเงียบ

                    

                       “ก็มันท้านายอยู่เห็นๆ” นาธานตอบ

                    

                       “ไกลขนาดนั้นจริงๆแล้วยิงไม่ได้ก็บอกมาเหอะน่า” เอลไลย่าพูดยิ้มๆ

                    

                       เจมิไนถอนใจยาวอีกครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นหยิบธนูขึ้นมาแต่โดยดี

                    

                       “จะไม่ยิงก็ได้นะฉันไม่ได้ว่าอะไร” แพทริคมองเจมิไนที่ไม่ได้มีใจจะสู้ด้วยสายตาดูถูก

                    

                       แทนคำตอบ เจมิไนหลับตาลงเหมือนจะทำสมาธิก่อนยิง…แต่แพทริคก็มารู้เอาทีหลังว่าเขาเข้าใจผิดมหันต์…

                    

                       ทำสมาธิที่ไหนกัน?…

                    

                       ห่างออกไปสุดลูกหูลูกตา…หลับตายิง…ลูกศรของเจมิไนก็เข้าเป้า 100%!!!

                    

                       “โฮะๆๆๆ” เสียหัวเราะชั่วร้ายของแอมเบอร์ดังขึ้นกลบเสียงฮือฮาไปจนหมด

                    

                       “ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้มาท้าแล้วรึไงยะ? ไอ้เป้านิ่งๆอย่างนี้น่ะนะ ต่อให้ไกลกว่านี้อีก 10 เท่า หลับตายิง 100 ดอกพร้อมกันเจมิไนยังทำได้เลยย่ะ”

                    

                        เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกกลบด้วยเสียงนกหวีดของศาสตราจารย์คริปตอนที่แสนจะความรู้สึกช้า…

                    

                        “นั่นทำอะไรกันน่ะ?!”

                    

                       ศาสตราจารย์ใช้ตาที่ดีเพียงข้างเดียวมองเหตุการณ์ปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

                    

                       “รู้รึเปล่าว่าให้เพื่อนถือเป้าแล้วยิงกันอย่างนี้มันอันตรายแค่ไหน?!! ใครเป็นคนทำ?!!”

                    

                       เจมิไนยกมือขึ้น…ในขณะที่อีกคน…ไม่คิดจะยก…

                    

                       “เจมิไน แอชเชอร์”





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×