ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ชีวิตในโรงเรียน (4)
             
              “ธนู เป็นอาวุธที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในบรรดาอาวุธทั้งหมดที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา”
             
              ศาสตราจารย์คริปตอน อัลฟา ศาสตราจารย์ประจำวิชาว่าด้วยการฝึกทักษะการใช้อาวุธชนิดต่างๆเจ้าเก่าผู้เป็นที่โดดเด่นด้วยผ้าคาดตาแบบโจรสลัด กล่าวด้วยเสียงอันดังตามปกติ
             
              “หวังว่าทุกคนคงไม่มีใครลืมท่ายิงธนูอันสวยงามที่พวกเราได้ฝึกฝนกันมาแล้วในชั่วโมงก่อนๆนะ”
             
              แน่นอนว่าคงจะไม่มีใครลืมความทรหดนั้นได้ลงคออย่างแน่นอนที่สุด กับการฝึกท่าทางยิงธนูที่ต้องยืนค้างนิ่งให้สวยงามจนถูกใจศาสตราจารย์คริปตอนทุกๆคน และกว่าจะถูกใจศาสตราจารย์ได้ก็กินเวลาไปหลายอาทิตย์ วิชายิงธนูแท้ๆ ดันให้มาฝึกวิชาชีพใหม่ หัดเป็นรูปปั้น
               
              สำหรับคนชอบทำตัวเป็นรูปปั้นโดยปกติอยู่แล้วอย่างเจมิไนก็ไม่มีอะไรมาก แต่สำหรับพวกที่อยู่เฉยๆไม่เป็นอย่างเคอัส วิชาทำตัวเป็นหินช่างหินดีแท้
             
              “แล้วก็หวังว่าคงจะยังไม่ลืมความรู้สึกในการยิง สำคัญที่จิตนิ่ง มีความรู้สึกอันเป็นหนึ่งเดียวระหว่างจิตกับลูกธนู”
               
              หลังจากหัดท่าทางอันสวยงาม บทเรียนต่อมาก็คือการหัดยิงธนูจริง เริ่มต้นจากหุ่นที่ยืนนิ่งๆ ขยับออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะห่างขนาด 200 เมตรก็กินเวลาไปร่วม 2 อาทิตย์
             
              วันนี้ก็คงไม่พ้นถอยห่างมาอีก
             
              “เอ้าทุกคนประจำที่ เหมือนเดิมนะ วันนี้ถอยห่างมาอีก 100 เมตร”
           
                นั่นไง ว่าแล้ว
               
                หยิบลูกธนู ง้างคันธนู เล็ง ยิง
               
                คงไม่ต้องบอกว่ามันยากแค่ไหน  เอลไลย่ายังไม่เคยยิงโดนเป้า เคอัสยิงปักหัวหุ่นพอดิบพอดีในครั้งแรก แล้วต่อมา ก็ไม่เคยโดนที่เดิมอีก แอมเบอร์ลองหัดฝึกยิงน้อยที่สุดเพราะกลัวเล็บหัก จูปิไตฝึกมากที่สุด มีพัฒนาการดีที่สุด เมอลินด้าถึงจะไม่ค่อยดีในตอนแรกแต่ก็พัฒนาขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง ช้าๆแต่ชัวร์ นาธานเพียงจับคันศร ได้ลูกธนูแทบจะไม่ต้องเล็งก็ ฟึ่บ! เข้าทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้เจ้าตัวจึงกลายเป็นครูฝึกคนพิเศษที่เพื่อนๆต้องคอยพึ่งพา ส่วนคนสุดท้าย เจมิไนก็เก่งจนน่าหมั่นไส้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องคาดเดา
               
                วันนี้ขยับออกไปไกลกว่าเดิมก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก
               
                เคอัสเดินเข้าไปกอดคอทักทายเจ้าหุ่นรูปคนอย่างสนิทสนม เจ้าหุ่นที่แสนจะน่าสงสารเพราะโดนยิงจนตัวเป็นรูพรุนไปหมดแล้วแต่ก็ยังไม่เคยคิดจะขยับหลบแม้สักครั้ง อีก 6 ตัวของสีอื่นๆก็มีสภาพที่ไม่ค่อยจะต่างกันนัก
               
                  “เจอกันอีกแล้วนะ อาเฮียตุ๊ดซี่” เคอัสตบบ่ามันเบาๆสองสามครั้ง
                 
                “วันนี้คงต้องรบกวนเฮียช่วยเจ็บตัวฟรีอีกแล้ว ลำบากหน่อยนะ”
               
                “มันจะลำบากก็ตอนยอมรับชื่อทุเรศๆจากนายเนี่ยแหละ” เอลไลย่ากล่าว ก่อนเดินเข้าไปกอดคอหุ่นจากอีกข้าง
                 
                “ใช่มั้ยล่ะ จึ๊กกระดึ๊บ”
               
                “หนอย!! อย่างกับชื่อของตัวเองดีนักล่ะ จึ๊กดึ๊บดึ๊บอะไรไม่รู้ ปัญญาอ่อน”
                 
                  “ไม่ใช่จึ๊กดึ๊บดึ๊บนะ จึ๊กกระดึ๊บต่างหากล่ะ ชื่อเต็มคือ จึ๊กกระดึ๊บ จึ้บจึ้บ จึ๋งจึ๋ง”
               
                  “ชื่อเต็มตุ๊ดซี่ เดอะร็อคที่สอง ดีกว่าตั้งเยอะ จึ๊กบ้าจึ๊กบออะไรจำยาก”
                 
                  “คือจะเถียงกันอีกนานมั้ยฉันจะได้นั่งรอก่อน”
               
                  จูปิไตที่หยิบลูกธนูรอจะเล็งอยู่บ่น
               
                  “ขอโทษครับคุณพ่อ!!” ทั้งสองตอบพร้อมกันก่อนผละออกจากหุ่นไปนั่งหงอยอยู่ข้างๆแทน
                 
                  จูปิไตส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายอย่างที่เจ้าตัวมักจะทำทุกครั้งกับเจ้าพวกตัวแสบ แต่เพียงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสมาธิก็แน่วแน่ จูปิไตเล็ง และ
                 
                  ฟึ่บ!
                 
                  คลาดเคลื่อนไป 0.098 ซม. นับว่ายังอยู่ในสถิติเดิม ความเบี่ยงเบนเฉลี่ยยังอยู่ในขั้นที่ไม่เรียกว่าน่าพอใจนัก
                 
                  สำหรับเขาคนเดียว
                 
                  “โอ้โห จูปิไต เก่งจังจ้ะ” เมอลินด้าตบมือชื่นชม
                 
                  “นั่นสิ จะเก่งเกินหน้าเกินตาอาจารย์แล้วล่ะมั้งเนี่ย” แอมเบอร์พูดโดยไม่ได้ละสายตาออกจากเล็บที่กำลังนั่งขัดอยู่
                 
                  “แบบนี้ฉันคงจะนั่งเฉยๆอย่างเจมิไนได้แล้วสิ” นาธานยิ้ม ลูกศิษย์เอกเก่งขนาดนี้ก็แปลว่าไม่ต้องให้สอนแล้ว นาธานทรุดตัวลงนั่งข้างๆเจมิไนที่ก็พยักหน้าให้จูปิไตเป็นเชิงเห็นด้วยกับเพื่อนคนอื่นๆ
                 
                  “ยังหรอก ยัง ”
                 
                  จูปิไตล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบอะไรบางอย่างออกมา ก่อนยืดสิ่งนั้นออกแล้วลูกธนูสีเข้มก็ปรากฏอยู่ในมือของจูปิไต ไม่ถึงวินาที ลูกธนูก็พุ่งออกไปปักที่หุ่น โดยที่ปลายธนูห่างจากของเดิมเพียง 0.098 ซม.
                 
                  หรือจะพูดง่ายๆ
                 
                  เข้าเป้า 100%!!!
   
                  “แบบนี้สิ ค่อยยังชั่ว”
   
                  จูปิไตกล่าว ก่อนก้าวสวบๆตรงไปยังหุ่นและดึงธนูสีเข้มออกมา
   
                  “แต่เสียดาย เวลาสอบจริงศาสตราจารย์คริปตอนก็คงจะให้ใช้ธนูไม้อยู่ดี” พูดอย่างเสียดายขณะเปลี่ยนธนูเหล็กให้กลับเป็นลูกเหล็กลูกกลมๆเหมือนเดิมแล้วหย่อนเข้ากระเป๋าเสื้อ
   
                  “ถ้ามีออลซอร์ทควบคุมไม้ก็สบายไปแล้ว ”
               
                  “เอาน่า ตอนสอบปามีดครั้งก่อนนายก็ได้เปรียบไปแล้วไม่ใช่หรือไง? ให้ชาวบ้านชาวช่องเขาได้เปรียบกันบ้าง ผลัดๆกัน”
               
                  เอลไลย่ากล่าว ก่อนลุกขึ้นมาหยิบคันธนูและลูก ตั้งท่าจะยิงบ้าง
               
                  “จะยิงล่ะนะจึ๊กกระดึ๊บ”
               
                  เอลไลย่าใช้สมาธิตั้งใจเล็งเต็มที่ และในที่สุดก็ปล่อยมือ
               
                  ลูกธนูปักลงบนดินห่างจากตัวหุ่นเกือบๆ 10 เมตร
               
                  “อ้าว! ทำไมไม่ถึงล่ะ?”
               
                  ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น เสียงนกหวีดของศาสตราจารย์คริปตอนก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของนักเรียนทุกคน สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ศาสตราจารย์อย่างตั้งใจรอคำสั่ง
   
                  “เอาล่ะพอได้แล้วสำหรับเป้านิ่ง ทีนี้ครูจะให้ทุกคนได้ลองฝึกยิงเป้าที่เคลื่อนไหวได้ดู”
   
                  เสียงเฮดังลั่นมาจากพวกเด็กๆที่เบื่อการยิงเป้านิ่งแล้ว  เปลี่ยนเป็นเป้าอย่างอื่นเสียได้ก็ดี แต่ว่า จะไหวหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง
   
                  ศาสตราจารย์คริปตอนพาพวกนักเรียนเดินมายังอีกฟากหนึ่งของสนามฝึก และสิ่งที่พวกเขาได้พบก็คือ
   
                  เป้ารูปทรงกลม 7 สีที่ผูกเชือกห้อยไว้กับต้นไม้ แกว่งเป็นจังหวะเท่าๆกัน
   
                  เอ่อ แล้วเป้าที่รู้จังหวะการเคลื่อนที่
   
                  มันต่างจากเป้านิ่งตรงไหน?!!
   
                  “สิ่งที่เธอกำลังจะได้ฝึกกันในลำดับต่อไปนี้ คือการกะจังหวะ โดยเริ่มต้นจากจังหวะที่จับได้ง่ายที่สุดก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นเป้าที่เคลื่อนที่อย่างอิสระในที่สุด เอ้า! ทุกคนประจำที่ได้”
   
                  นักเรียนทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามเป้าของสีตน
   
                  “น่าเบื่อ ” เคอัสบ่นขณะเดินนำมายังเป้าเคลื่อนที่ของสีน้ำเงินที่อยู่ทางซ้ายสุดเหมือนทุกครั้ง
   
                  “นึกว่าจะได้หัดยิงอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อย”
   
                  “แล้วอะไรล่ะที่มันดีกว่านี้?” นาธานถามพลางหยิบลูกธนูขึ้นมา 2 ดอก และโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเล็งหรือกะจังหวะแต่อย่างใด เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังหวีดหวิวก็ดังขึ้นก่อนที่มันจะพุ่งสวบเข้าเสียบลูกทรงกลมสีน้ำเงินที่เคลื่อนที่อยู่อย่างแม่นยำ
   
                  “ก็จะไปรู้เหรอ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้เจ้านี่ก็แล้วกัน”
   
                  ทันทีที่เคอัสจบประโยค อะไรบางอย่างก็หล่นตุ๊บ!ลงมาข้างเท้าแอมเบอร์ เธอก้มลงหยิบมันขึ้นมาก่อนเอ่ย
   
                  “อะไรก็ได้งั้นเหรอ?”
   
                  “ใช่!!”
   
                  ด้วยความสงสัยของทุกคน แอมเบอร์ก็วิ่งไปหาศาสตราจารย์คริปตอนที่เดินดูพวกสีแดงอยู่อีกฟากหนึ่งห่างออกไปและกลับมาพร้อมกับเทปกาวม้วนใหญ่
               
                  “นั่นเอามาได้ไงน่ะ?” เคอัสถาม
               
                  “แล้วเอามาทำไมด้วย?”
             
                  “ก็ไปบอกศาสจารย์ว่าเป้าของพวกเรามันชำรุด เลยได้มา ส่วนเอามาทำไมนั้น ”
               
                  แอมเบอร์ชูลูกแอ๊ปเปิลในมือที่เก็บตกได้ขึ้นมา เคอัสมุ่นหัวคิ้วเพียงข้างเดียวขณะจ้องมองแอมเบอร์ด้วยความฉงน เธอสั่งให้ยืนนิ่งๆ แล้วจึงวางลูกแอ๊ปเปิลแหมะลงบนศีรษะของเคอัส ก่อนใช้เทปกาวพันอ้อมลูกแอ๊ปเปิลลงมายังคางเคอัสและอ้อมกลับไปที่ลูกแอ๊ปเปิลอย่างเดิมสองสามรอบ จากนั้นจึงก้าวออกมามองผลงานด้วยความพอใจ
   
                  “นี่ไงล่ะ เป้าที่จะยิงก็คือลูกแอ๊ปเปิล ส่วนนายจะเดินจะวิ่งหรือทำอะไรก็แล้วแต่นาย ระวังลูกธนูเอาไว้ก็เท่านั้นแหละ”
   
                  พูดจบแอมเบอร์ก็คว้าคันธนูมาจากมือนาธานและก้มลงหยิบลูกธนู เตรียมพร้อมยิงเป้าเคลื่อนที่อิสระทำเองตัวใหม่ทันที
   
                  “เฮ้ย! เอาจริงน่ะ?”
   
                  “ก็จริงน่ะสิ เป้าแอ๊ปเปิลนี่แหละคลาสสิคที่สุด นายเบื่อไม่ใช่เหรอ? ได้มาทำตัวเป็นเป้าจะได้ตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยไง”
   
                  “เจ๊!! บ้าไปแล้วหรือไง อย่างงี้มันคิดจะฆ่ากันชัดๆ”
   
                  “ฉันเล็งแอ๊ปเปิลไม่ได้เล็งนาย จะตายได้ไงยะ?”
   
                  “ก็นั่นแหละ! เจ๊เล็งอะไรชอบจะยิงโดนต่ำลงมาเยอะทุกที แบบนี้ตายแหงๆ ไม่เอา!!”
   
                  ก่อนที่เคอัสจะได้เอื้อมไปแกะเทปกาวออก ลูกธนูก็พุ่งแหวกอากาศตรงดิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็ว และถ้าหากเขาไม่กระโจนหลบไปเสียก่อน เจ้าลูกธนูบ้านั่นคงจะเสียบทะลุศีรษะของเขาไปแล้ว!!
   
                  “โอ้! ขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยให้ลูกช้างรอด” เคอัสพนมมือเงยหน้ามองฟ้า
   
                  “จะให้ดีกว่านี้หน่อย ช่วยดลจิตดลใจให้เจ๊เขาเลิกคิดจะยิงผมก็จะดีมากเลยนะครับ แล้วก็ช่วยประทานสาวสวยๆมาเป็นเนื้อคู่ผมด้วยก็จะดีมาก แล้วก็ ”
   
                  ไม่ทันจะได้ขอพรต่อลูกธนูลูกที่สองก็ตามมาติดๆ เคอัสจะกระโดดหลบได้อย่างหวุดหวิด
   
                  “แหม พี่แอมเบอร์ล่ะก็ คิดจะทำตัวเป็นกามเทพยิงศรปักอกน้องเรียวเหรอฮะ? น้องเรียวกลัวฮ่ะ”
   
                  ด้วยประโยคและท่าทีแสนดัดจริตกรีดกรายนิ้วของน้องเรียวตัวปลอม เรียกฝนธนูให้พร่างพรายลงมาจากฟากฟ้าด้วยความโกรธาของพี่แอมเบอร์ เรียกเสียงเฮฮาของเพื่อนๆจนหลายสีเริ่มหันมามอง บ้างมองด้วยความขำ บ้างมองด้วยความอนาถ และบ้างที่มองด้วยความสมเพช
   
                  “น่าสนุกดีนี่ เป็นเป้าที่น่าสนใจ ถ้าจะขอลองยิงด้วยคนคงจะไม่ว่าอะไรนะ?”
   
                  เสียงเย็นๆดังขึ้นมาจากชายผมสีม่วงและนัยน์ตาสีเดียวกันที่เป้าของสีตนอยู่ใกล้กับสีน้ำเงินมากที่สุด เป็นน้ำเสียงที่ทำเอาเสียงรอบข้างพลันเงียบกริบกันไปหมด และไม่ทันจะได้รอคำตอบ ที่ข้างๆกันชายอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องท่าทางอมโรครีบส่งคันธนูกับลูกธนูให้ทันที แต่ก่อนที่จะได้ยกธนูขึ้นเล็ง เสียงๆหนึ่งก็ดังขัดขึ้น
   
                  “ไม่ได้หรอก เจ้านี่เป็นของฉัน นายอยากได้ก็คงต้องไปทำเอาเอง”
                  แอมเบอร์ตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้า ยังคงยกธนูขึ้นเล็งไปยังเคอัสที่ยืนนิ่งสีหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า แต่ภายในใจรู้สึกขอบคุณแอมเบอร์เป็นที่สุด ถึงจะทะเลาะและคอยกัดกันมาตลอด แต่ยังไง เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนอยู่วันยังค่ำ
   
                  แพทริค เซบาสเตียน แห่งสีม่วงใช้หางตามองแอมเบอร์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างเหยียดๆ ที่สื่อความหมายได้ว่า
   
                  อย่างเธอน่ะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก ระดับมันผิดกัน เธอน่ะเทียบฉันไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย ผยองไปเถอะ ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดจะลดตัวลงไปแข่งกับเธอหรอก
   
                  แอมเบอร์ที่ลดธนูลงและหันกลับมามองนั้น เพียงได้เห็นสายตาดูถูกเหยียดหยามก็เตรียมจะกระโจนเข้าใส่ทันที แต่เคอัสคว้าข้อมือเอาไว้ได้ทันและส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ต้องไม่เริ่มก่อน ไม่อย่างนั้นก็เข้าทางมันพอดีน่ะสิ!
   
                  แพทริคหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจที่อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไร พลันสายตาก็หันไปเห็นคนคนหนึ่ง ที่เพียงเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของมันก็ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านอย่างห้ามไม่อยู่
   
                  “หึ ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ขอเป้าอันนี้ก็แล้วกัน”
   
                  ปลายธนูของแพทริคเล็งตรงไปยังใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่คนเดียวอย่างเงียบๆ ในขณะที่คนอื่นลุกขึ้นไปยืนดูเหตุการณ์กันหมดแล้ว นัยน์ตาสีน้ำเงินที่มองตรงมาอย่างไม่คิดจะหลบนั้นเย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกหนาว แต่ถึงอย่างนั้นระดับของคันธนูก็ยังคงไม่ลดลงไปกว่าศีรษะเป้าหมาย!
   
                  เสียงหัวเราะสดใสที่ดูเหมือนความความเครียดในบรรยากาศจะไม่ได้ซึมซับเข้าไปแม้แต่น้อยดังขึ้น เรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามอง
   
                    “ขำอะไรไม่ทราบ?” แพทริคถามอย่างรำคาญ
   
                  “ของอย่างนั้นน่ะใช้เป็นเป้าไม่ได้หรอก” เอลไลย่าพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
   
                  “ทำไม?! ทำไมจะใช้ไม่ได้? จะบอกให้รู้ไว้นะ อะไรก็ตามที่คนอย่างแพทริค เซบาสเตียนต้องการแล้วล่ะก็ ไม่เคยมีสิ่งไหนที่ไม่ได้ตามความต้องการ”
   
                  “มันก็ต้องมีครั้งแรกของทุกอย่างนั่นแหละ”
   
                  “แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน”
   
                  สิ้นเสียง ลูกธนูในมือแพทริคก็พุ่งออกจากคันธนูไปทันที!
             
                  เสี้ยววินาทีที่ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจ ลูกธนูก็แหวกอากาศตรงไปยังเป้าหมายที่ไม่คิดแม้แต่จะขยับหนี
               
                  กึก!
               
                  ลูกธนูหยุดกึกกลางอากาศห่างใบหน้าของเจมิไนไปเพียงฟุตเดียวราวกับชนอะไรบางอย่าง ในขณะที่เจมิไนยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่ส่วนเดียว!
               
                  เรียกเสียงฮือฮาจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะสาวๆที่เปลี่ยนสายตาจากชื่นชมเป็นคลั่งไคล้
               
                  วินาทีต่อมาลูกธนูก็ตกลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก นัยน์ตาสีน้ำเงินมีแววขบขันเมื่อมองเห็นสีหน้าของแพทริค
               
                  ซีดเผือด!
               
                  “ก็บอกแล้ว ”
               
                  เอลไลย่าพูดขณะเดินมาเก็บลูกธนูที่ตกลงมานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น มีเพียงเธอและเพื่อนเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมลูกธนูจึงไม่สามารถทำงานของมันได้สำเร็จ เพราะเกราะลมล่องหนที่ไม่มีใครมองเห็นถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรวดเร็วกันลูกธนูนั้นไว้ ถ้าเพียงเจมิไนไม่ได้มีความสามารถขนาดที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยความรวดเร็วขนาดนั้นแล้วล่ะก็
               
                  เขาก็คงจะต้องขยับตัว
               
                  เอลไลย่าคิดด้วยความขบขันก่อนโยนลูกธนูคืนให้แพทริค ไม่มีทางที่คนอย่างเจมิไนจะบาดเจ็บเพราะของพรรค์นี้ อย่างมากเจ้าตัวก็แค่ยกมือขึ้นมาจับลูกธนูเอาไว้ หรือไม่ก็แค่ขยับตัวหนีนิดหน่อย ก็เท่านั้นเอง
               
                  “หึ นายคิดว่าตัวเองแน่มากงั้นเหรอแอชเชอร์”
               
                  แพทริคพูดขึ้นหลังจากที่หายจากอาการตะลึง เขาพยักหน้าให้กับชไนเดอร์คนสนิทท่าทางอมโรคคนนั้นอย่างเป็นสัญญาณ ก่อนที่ชไนเดอร์จะดึงเป้าทรงกลมของสีม่วงที่แขวนอยู่ออกมา และเริ่มต้นออกเดินห่างออกไป ห่างออกไป ก่อนหยุดยืนนิ่ง
               
                  “ปีที่แล้วจำได้ว่านายเคยปามีดด้วยระยะที่ไกลขนาดนั้นใช่มั้ย?”
               
                  ชไนเดอร์เริ่มออกเดินห่างออกไปมากกว่าเดิมอีกครั้ง ห่างออกไป ห่างออกไปมากๆ
               
                  “คราวนี้มาดูกันว่า ฉันกับนาย จริงๆแล้วใครจะแน่กว่า”
               
                  แพทริคยกคันธนูขึ้น และเล็ง รอบข้างพลันเงียบเสียงอีกครั้งเมื่อธนูพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย ก่อนเสียบทรงกลมในมือของชไนเดอร์อย่างแม่นยำราวจับเสียบเอง
               
                  เสียงร้องชื่นชมดังมาจากคนในสีม่วงด้วยกันเอง และคนอื่นๆที่ไม่อยากจะเชื่อสายตา แพทริคมองเจมิไนอย่างท้าทาย
               
                  เจมิไนเพียงถอนใจอย่างเบื่อหน่าย อยากจะแน่กว่าก็แน่ไป ไม่มีใครห้าม
               
                  “เจมิไน ลุกสิ ” เอลไลย่าสั่ง แต่คนถูกสั่งให้ลุกก็ยังคงนั่งนิ่ง ทั้งส่ายหน้าปฏิเสธ
               
                  “ฉันรู้ว่านายไม่อยากโชว์ แต่รักษาศักดิ์ศรีของสีน้ำเงินไว้หน่อยเหอะ” จูปิไตพูดขึ้น
               
                  “ก็ให้นาธานไปยิงสิ” ประโยคแรกของวันหลุดออกมาจากเจ้าชายแห่งความเงียบ
               
                  “ก็มันท้านายอยู่เห็นๆ” นาธานตอบ
               
                  “ไกลขนาดนั้นจริงๆแล้วยิงไม่ได้ก็บอกมาเหอะน่า” เอลไลย่าพูดยิ้มๆ
               
                  เจมิไนถอนใจยาวอีกครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นหยิบธนูขึ้นมาแต่โดยดี
               
                  “จะไม่ยิงก็ได้นะฉันไม่ได้ว่าอะไร” แพทริคมองเจมิไนที่ไม่ได้มีใจจะสู้ด้วยสายตาดูถูก
               
                  แทนคำตอบ เจมิไนหลับตาลงเหมือนจะทำสมาธิก่อนยิง แต่แพทริคก็มารู้เอาทีหลังว่าเขาเข้าใจผิดมหันต์
               
                  ทำสมาธิที่ไหนกัน?
               
                  ห่างออกไปสุดลูกหูลูกตา หลับตายิง ลูกศรของเจมิไนก็เข้าเป้า 100%!!!
               
                  “โฮะๆๆๆ” เสียหัวเราะชั่วร้ายของแอมเบอร์ดังขึ้นกลบเสียงฮือฮาไปจนหมด
               
                  “ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้มาท้าแล้วรึไงยะ? ไอ้เป้านิ่งๆอย่างนี้น่ะนะ ต่อให้ไกลกว่านี้อีก 10 เท่า หลับตายิง 100 ดอกพร้อมกันเจมิไนยังทำได้เลยย่ะ”
               
                    เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกกลบด้วยเสียงนกหวีดของศาสตราจารย์คริปตอนที่แสนจะความรู้สึกช้า
               
                    “นั่นทำอะไรกันน่ะ?!”
               
                  ศาสตราจารย์ใช้ตาที่ดีเพียงข้างเดียวมองเหตุการณ์ปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
               
                  “รู้รึเปล่าว่าให้เพื่อนถือเป้าแล้วยิงกันอย่างนี้มันอันตรายแค่ไหน?!! ใครเป็นคนทำ?!!”
               
                  เจมิไนยกมือขึ้น ในขณะที่อีกคน ไม่คิดจะยก
               
                  “เจมิไน แอชเชอร์”
              “ธนู เป็นอาวุธที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในบรรดาอาวุธทั้งหมดที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา”
             
              ศาสตราจารย์คริปตอน อัลฟา ศาสตราจารย์ประจำวิชาว่าด้วยการฝึกทักษะการใช้อาวุธชนิดต่างๆเจ้าเก่าผู้เป็นที่โดดเด่นด้วยผ้าคาดตาแบบโจรสลัด กล่าวด้วยเสียงอันดังตามปกติ
             
              “หวังว่าทุกคนคงไม่มีใครลืมท่ายิงธนูอันสวยงามที่พวกเราได้ฝึกฝนกันมาแล้วในชั่วโมงก่อนๆนะ”
             
              แน่นอนว่าคงจะไม่มีใครลืมความทรหดนั้นได้ลงคออย่างแน่นอนที่สุด กับการฝึกท่าทางยิงธนูที่ต้องยืนค้างนิ่งให้สวยงามจนถูกใจศาสตราจารย์คริปตอนทุกๆคน และกว่าจะถูกใจศาสตราจารย์ได้ก็กินเวลาไปหลายอาทิตย์ วิชายิงธนูแท้ๆ ดันให้มาฝึกวิชาชีพใหม่ หัดเป็นรูปปั้น
               
              สำหรับคนชอบทำตัวเป็นรูปปั้นโดยปกติอยู่แล้วอย่างเจมิไนก็ไม่มีอะไรมาก แต่สำหรับพวกที่อยู่เฉยๆไม่เป็นอย่างเคอัส วิชาทำตัวเป็นหินช่างหินดีแท้
             
              “แล้วก็หวังว่าคงจะยังไม่ลืมความรู้สึกในการยิง สำคัญที่จิตนิ่ง มีความรู้สึกอันเป็นหนึ่งเดียวระหว่างจิตกับลูกธนู”
               
              หลังจากหัดท่าทางอันสวยงาม บทเรียนต่อมาก็คือการหัดยิงธนูจริง เริ่มต้นจากหุ่นที่ยืนนิ่งๆ ขยับออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะห่างขนาด 200 เมตรก็กินเวลาไปร่วม 2 อาทิตย์
             
              วันนี้ก็คงไม่พ้นถอยห่างมาอีก
             
              “เอ้าทุกคนประจำที่ เหมือนเดิมนะ วันนี้ถอยห่างมาอีก 100 เมตร”
           
                นั่นไง ว่าแล้ว
               
                หยิบลูกธนู ง้างคันธนู เล็ง ยิง
               
                คงไม่ต้องบอกว่ามันยากแค่ไหน  เอลไลย่ายังไม่เคยยิงโดนเป้า เคอัสยิงปักหัวหุ่นพอดิบพอดีในครั้งแรก แล้วต่อมา ก็ไม่เคยโดนที่เดิมอีก แอมเบอร์ลองหัดฝึกยิงน้อยที่สุดเพราะกลัวเล็บหัก จูปิไตฝึกมากที่สุด มีพัฒนาการดีที่สุด เมอลินด้าถึงจะไม่ค่อยดีในตอนแรกแต่ก็พัฒนาขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง ช้าๆแต่ชัวร์ นาธานเพียงจับคันศร ได้ลูกธนูแทบจะไม่ต้องเล็งก็ ฟึ่บ! เข้าทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้เจ้าตัวจึงกลายเป็นครูฝึกคนพิเศษที่เพื่อนๆต้องคอยพึ่งพา ส่วนคนสุดท้าย เจมิไนก็เก่งจนน่าหมั่นไส้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องคาดเดา
               
                วันนี้ขยับออกไปไกลกว่าเดิมก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก
               
                เคอัสเดินเข้าไปกอดคอทักทายเจ้าหุ่นรูปคนอย่างสนิทสนม เจ้าหุ่นที่แสนจะน่าสงสารเพราะโดนยิงจนตัวเป็นรูพรุนไปหมดแล้วแต่ก็ยังไม่เคยคิดจะขยับหลบแม้สักครั้ง อีก 6 ตัวของสีอื่นๆก็มีสภาพที่ไม่ค่อยจะต่างกันนัก
               
                  “เจอกันอีกแล้วนะ อาเฮียตุ๊ดซี่” เคอัสตบบ่ามันเบาๆสองสามครั้ง
                 
                “วันนี้คงต้องรบกวนเฮียช่วยเจ็บตัวฟรีอีกแล้ว ลำบากหน่อยนะ”
               
                “มันจะลำบากก็ตอนยอมรับชื่อทุเรศๆจากนายเนี่ยแหละ” เอลไลย่ากล่าว ก่อนเดินเข้าไปกอดคอหุ่นจากอีกข้าง
                 
                “ใช่มั้ยล่ะ จึ๊กกระดึ๊บ”
               
                “หนอย!! อย่างกับชื่อของตัวเองดีนักล่ะ จึ๊กดึ๊บดึ๊บอะไรไม่รู้ ปัญญาอ่อน”
                 
                  “ไม่ใช่จึ๊กดึ๊บดึ๊บนะ จึ๊กกระดึ๊บต่างหากล่ะ ชื่อเต็มคือ จึ๊กกระดึ๊บ จึ้บจึ้บ จึ๋งจึ๋ง”
               
                  “ชื่อเต็มตุ๊ดซี่ เดอะร็อคที่สอง ดีกว่าตั้งเยอะ จึ๊กบ้าจึ๊กบออะไรจำยาก”
                 
                  “คือจะเถียงกันอีกนานมั้ยฉันจะได้นั่งรอก่อน”
               
                  จูปิไตที่หยิบลูกธนูรอจะเล็งอยู่บ่น
               
                  “ขอโทษครับคุณพ่อ!!” ทั้งสองตอบพร้อมกันก่อนผละออกจากหุ่นไปนั่งหงอยอยู่ข้างๆแทน
                 
                  จูปิไตส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายอย่างที่เจ้าตัวมักจะทำทุกครั้งกับเจ้าพวกตัวแสบ แต่เพียงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสมาธิก็แน่วแน่ จูปิไตเล็ง และ
                 
                  ฟึ่บ!
                 
                  คลาดเคลื่อนไป 0.098 ซม. นับว่ายังอยู่ในสถิติเดิม ความเบี่ยงเบนเฉลี่ยยังอยู่ในขั้นที่ไม่เรียกว่าน่าพอใจนัก
                 
                  สำหรับเขาคนเดียว
                 
                  “โอ้โห จูปิไต เก่งจังจ้ะ” เมอลินด้าตบมือชื่นชม
                 
                  “นั่นสิ จะเก่งเกินหน้าเกินตาอาจารย์แล้วล่ะมั้งเนี่ย” แอมเบอร์พูดโดยไม่ได้ละสายตาออกจากเล็บที่กำลังนั่งขัดอยู่
                 
                  “แบบนี้ฉันคงจะนั่งเฉยๆอย่างเจมิไนได้แล้วสิ” นาธานยิ้ม ลูกศิษย์เอกเก่งขนาดนี้ก็แปลว่าไม่ต้องให้สอนแล้ว นาธานทรุดตัวลงนั่งข้างๆเจมิไนที่ก็พยักหน้าให้จูปิไตเป็นเชิงเห็นด้วยกับเพื่อนคนอื่นๆ
                 
                  “ยังหรอก ยัง ”
                 
                  จูปิไตล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบอะไรบางอย่างออกมา ก่อนยืดสิ่งนั้นออกแล้วลูกธนูสีเข้มก็ปรากฏอยู่ในมือของจูปิไต ไม่ถึงวินาที ลูกธนูก็พุ่งออกไปปักที่หุ่น โดยที่ปลายธนูห่างจากของเดิมเพียง 0.098 ซม.
                 
                  หรือจะพูดง่ายๆ
                 
                  เข้าเป้า 100%!!!
   
                  “แบบนี้สิ ค่อยยังชั่ว”
   
                  จูปิไตกล่าว ก่อนก้าวสวบๆตรงไปยังหุ่นและดึงธนูสีเข้มออกมา
   
                  “แต่เสียดาย เวลาสอบจริงศาสตราจารย์คริปตอนก็คงจะให้ใช้ธนูไม้อยู่ดี” พูดอย่างเสียดายขณะเปลี่ยนธนูเหล็กให้กลับเป็นลูกเหล็กลูกกลมๆเหมือนเดิมแล้วหย่อนเข้ากระเป๋าเสื้อ
   
                  “ถ้ามีออลซอร์ทควบคุมไม้ก็สบายไปแล้ว ”
               
                  “เอาน่า ตอนสอบปามีดครั้งก่อนนายก็ได้เปรียบไปแล้วไม่ใช่หรือไง? ให้ชาวบ้านชาวช่องเขาได้เปรียบกันบ้าง ผลัดๆกัน”
               
                  เอลไลย่ากล่าว ก่อนลุกขึ้นมาหยิบคันธนูและลูก ตั้งท่าจะยิงบ้าง
               
                  “จะยิงล่ะนะจึ๊กกระดึ๊บ”
               
                  เอลไลย่าใช้สมาธิตั้งใจเล็งเต็มที่ และในที่สุดก็ปล่อยมือ
               
                  ลูกธนูปักลงบนดินห่างจากตัวหุ่นเกือบๆ 10 เมตร
               
                  “อ้าว! ทำไมไม่ถึงล่ะ?”
               
                  ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น เสียงนกหวีดของศาสตราจารย์คริปตอนก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของนักเรียนทุกคน สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ศาสตราจารย์อย่างตั้งใจรอคำสั่ง
   
                  “เอาล่ะพอได้แล้วสำหรับเป้านิ่ง ทีนี้ครูจะให้ทุกคนได้ลองฝึกยิงเป้าที่เคลื่อนไหวได้ดู”
   
                  เสียงเฮดังลั่นมาจากพวกเด็กๆที่เบื่อการยิงเป้านิ่งแล้ว  เปลี่ยนเป็นเป้าอย่างอื่นเสียได้ก็ดี แต่ว่า จะไหวหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง
   
                  ศาสตราจารย์คริปตอนพาพวกนักเรียนเดินมายังอีกฟากหนึ่งของสนามฝึก และสิ่งที่พวกเขาได้พบก็คือ
   
                  เป้ารูปทรงกลม 7 สีที่ผูกเชือกห้อยไว้กับต้นไม้ แกว่งเป็นจังหวะเท่าๆกัน
   
                  เอ่อ แล้วเป้าที่รู้จังหวะการเคลื่อนที่
   
                  มันต่างจากเป้านิ่งตรงไหน?!!
   
                  “สิ่งที่เธอกำลังจะได้ฝึกกันในลำดับต่อไปนี้ คือการกะจังหวะ โดยเริ่มต้นจากจังหวะที่จับได้ง่ายที่สุดก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นเป้าที่เคลื่อนที่อย่างอิสระในที่สุด เอ้า! ทุกคนประจำที่ได้”
   
                  นักเรียนทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามเป้าของสีตน
   
                  “น่าเบื่อ ” เคอัสบ่นขณะเดินนำมายังเป้าเคลื่อนที่ของสีน้ำเงินที่อยู่ทางซ้ายสุดเหมือนทุกครั้ง
   
                  “นึกว่าจะได้หัดยิงอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อย”
   
                  “แล้วอะไรล่ะที่มันดีกว่านี้?” นาธานถามพลางหยิบลูกธนูขึ้นมา 2 ดอก และโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเล็งหรือกะจังหวะแต่อย่างใด เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังหวีดหวิวก็ดังขึ้นก่อนที่มันจะพุ่งสวบเข้าเสียบลูกทรงกลมสีน้ำเงินที่เคลื่อนที่อยู่อย่างแม่นยำ
   
                  “ก็จะไปรู้เหรอ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้เจ้านี่ก็แล้วกัน”
   
                  ทันทีที่เคอัสจบประโยค อะไรบางอย่างก็หล่นตุ๊บ!ลงมาข้างเท้าแอมเบอร์ เธอก้มลงหยิบมันขึ้นมาก่อนเอ่ย
   
                  “อะไรก็ได้งั้นเหรอ?”
   
                  “ใช่!!”
   
                  ด้วยความสงสัยของทุกคน แอมเบอร์ก็วิ่งไปหาศาสตราจารย์คริปตอนที่เดินดูพวกสีแดงอยู่อีกฟากหนึ่งห่างออกไปและกลับมาพร้อมกับเทปกาวม้วนใหญ่
               
                  “นั่นเอามาได้ไงน่ะ?” เคอัสถาม
               
                  “แล้วเอามาทำไมด้วย?”
             
                  “ก็ไปบอกศาสจารย์ว่าเป้าของพวกเรามันชำรุด เลยได้มา ส่วนเอามาทำไมนั้น ”
               
                  แอมเบอร์ชูลูกแอ๊ปเปิลในมือที่เก็บตกได้ขึ้นมา เคอัสมุ่นหัวคิ้วเพียงข้างเดียวขณะจ้องมองแอมเบอร์ด้วยความฉงน เธอสั่งให้ยืนนิ่งๆ แล้วจึงวางลูกแอ๊ปเปิลแหมะลงบนศีรษะของเคอัส ก่อนใช้เทปกาวพันอ้อมลูกแอ๊ปเปิลลงมายังคางเคอัสและอ้อมกลับไปที่ลูกแอ๊ปเปิลอย่างเดิมสองสามรอบ จากนั้นจึงก้าวออกมามองผลงานด้วยความพอใจ
   
                  “นี่ไงล่ะ เป้าที่จะยิงก็คือลูกแอ๊ปเปิล ส่วนนายจะเดินจะวิ่งหรือทำอะไรก็แล้วแต่นาย ระวังลูกธนูเอาไว้ก็เท่านั้นแหละ”
   
                  พูดจบแอมเบอร์ก็คว้าคันธนูมาจากมือนาธานและก้มลงหยิบลูกธนู เตรียมพร้อมยิงเป้าเคลื่อนที่อิสระทำเองตัวใหม่ทันที
   
                  “เฮ้ย! เอาจริงน่ะ?”
   
                  “ก็จริงน่ะสิ เป้าแอ๊ปเปิลนี่แหละคลาสสิคที่สุด นายเบื่อไม่ใช่เหรอ? ได้มาทำตัวเป็นเป้าจะได้ตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยไง”
   
                  “เจ๊!! บ้าไปแล้วหรือไง อย่างงี้มันคิดจะฆ่ากันชัดๆ”
   
                  “ฉันเล็งแอ๊ปเปิลไม่ได้เล็งนาย จะตายได้ไงยะ?”
   
                  “ก็นั่นแหละ! เจ๊เล็งอะไรชอบจะยิงโดนต่ำลงมาเยอะทุกที แบบนี้ตายแหงๆ ไม่เอา!!”
   
                  ก่อนที่เคอัสจะได้เอื้อมไปแกะเทปกาวออก ลูกธนูก็พุ่งแหวกอากาศตรงดิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็ว และถ้าหากเขาไม่กระโจนหลบไปเสียก่อน เจ้าลูกธนูบ้านั่นคงจะเสียบทะลุศีรษะของเขาไปแล้ว!!
   
                  “โอ้! ขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยให้ลูกช้างรอด” เคอัสพนมมือเงยหน้ามองฟ้า
   
                  “จะให้ดีกว่านี้หน่อย ช่วยดลจิตดลใจให้เจ๊เขาเลิกคิดจะยิงผมก็จะดีมากเลยนะครับ แล้วก็ช่วยประทานสาวสวยๆมาเป็นเนื้อคู่ผมด้วยก็จะดีมาก แล้วก็ ”
   
                  ไม่ทันจะได้ขอพรต่อลูกธนูลูกที่สองก็ตามมาติดๆ เคอัสจะกระโดดหลบได้อย่างหวุดหวิด
   
                  “แหม พี่แอมเบอร์ล่ะก็ คิดจะทำตัวเป็นกามเทพยิงศรปักอกน้องเรียวเหรอฮะ? น้องเรียวกลัวฮ่ะ”
   
                  ด้วยประโยคและท่าทีแสนดัดจริตกรีดกรายนิ้วของน้องเรียวตัวปลอม เรียกฝนธนูให้พร่างพรายลงมาจากฟากฟ้าด้วยความโกรธาของพี่แอมเบอร์ เรียกเสียงเฮฮาของเพื่อนๆจนหลายสีเริ่มหันมามอง บ้างมองด้วยความขำ บ้างมองด้วยความอนาถ และบ้างที่มองด้วยความสมเพช
   
                  “น่าสนุกดีนี่ เป็นเป้าที่น่าสนใจ ถ้าจะขอลองยิงด้วยคนคงจะไม่ว่าอะไรนะ?”
   
                  เสียงเย็นๆดังขึ้นมาจากชายผมสีม่วงและนัยน์ตาสีเดียวกันที่เป้าของสีตนอยู่ใกล้กับสีน้ำเงินมากที่สุด เป็นน้ำเสียงที่ทำเอาเสียงรอบข้างพลันเงียบกริบกันไปหมด และไม่ทันจะได้รอคำตอบ ที่ข้างๆกันชายอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องท่าทางอมโรครีบส่งคันธนูกับลูกธนูให้ทันที แต่ก่อนที่จะได้ยกธนูขึ้นเล็ง เสียงๆหนึ่งก็ดังขัดขึ้น
   
                  “ไม่ได้หรอก เจ้านี่เป็นของฉัน นายอยากได้ก็คงต้องไปทำเอาเอง”
                  แอมเบอร์ตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้า ยังคงยกธนูขึ้นเล็งไปยังเคอัสที่ยืนนิ่งสีหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า แต่ภายในใจรู้สึกขอบคุณแอมเบอร์เป็นที่สุด ถึงจะทะเลาะและคอยกัดกันมาตลอด แต่ยังไง เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนอยู่วันยังค่ำ
   
                  แพทริค เซบาสเตียน แห่งสีม่วงใช้หางตามองแอมเบอร์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างเหยียดๆ ที่สื่อความหมายได้ว่า
   
                  อย่างเธอน่ะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก ระดับมันผิดกัน เธอน่ะเทียบฉันไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย ผยองไปเถอะ ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดจะลดตัวลงไปแข่งกับเธอหรอก
   
                  แอมเบอร์ที่ลดธนูลงและหันกลับมามองนั้น เพียงได้เห็นสายตาดูถูกเหยียดหยามก็เตรียมจะกระโจนเข้าใส่ทันที แต่เคอัสคว้าข้อมือเอาไว้ได้ทันและส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ต้องไม่เริ่มก่อน ไม่อย่างนั้นก็เข้าทางมันพอดีน่ะสิ!
   
                  แพทริคหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจที่อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไร พลันสายตาก็หันไปเห็นคนคนหนึ่ง ที่เพียงเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของมันก็ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านอย่างห้ามไม่อยู่
   
                  “หึ ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ขอเป้าอันนี้ก็แล้วกัน”
   
                  ปลายธนูของแพทริคเล็งตรงไปยังใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่คนเดียวอย่างเงียบๆ ในขณะที่คนอื่นลุกขึ้นไปยืนดูเหตุการณ์กันหมดแล้ว นัยน์ตาสีน้ำเงินที่มองตรงมาอย่างไม่คิดจะหลบนั้นเย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกหนาว แต่ถึงอย่างนั้นระดับของคันธนูก็ยังคงไม่ลดลงไปกว่าศีรษะเป้าหมาย!
   
                  เสียงหัวเราะสดใสที่ดูเหมือนความความเครียดในบรรยากาศจะไม่ได้ซึมซับเข้าไปแม้แต่น้อยดังขึ้น เรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามอง
   
                    “ขำอะไรไม่ทราบ?” แพทริคถามอย่างรำคาญ
   
                  “ของอย่างนั้นน่ะใช้เป็นเป้าไม่ได้หรอก” เอลไลย่าพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
   
                  “ทำไม?! ทำไมจะใช้ไม่ได้? จะบอกให้รู้ไว้นะ อะไรก็ตามที่คนอย่างแพทริค เซบาสเตียนต้องการแล้วล่ะก็ ไม่เคยมีสิ่งไหนที่ไม่ได้ตามความต้องการ”
   
                  “มันก็ต้องมีครั้งแรกของทุกอย่างนั่นแหละ”
   
                  “แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน”
   
                  สิ้นเสียง ลูกธนูในมือแพทริคก็พุ่งออกจากคันธนูไปทันที!
             
                  เสี้ยววินาทีที่ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจ ลูกธนูก็แหวกอากาศตรงไปยังเป้าหมายที่ไม่คิดแม้แต่จะขยับหนี
               
                  กึก!
               
                  ลูกธนูหยุดกึกกลางอากาศห่างใบหน้าของเจมิไนไปเพียงฟุตเดียวราวกับชนอะไรบางอย่าง ในขณะที่เจมิไนยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่ส่วนเดียว!
               
                  เรียกเสียงฮือฮาจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะสาวๆที่เปลี่ยนสายตาจากชื่นชมเป็นคลั่งไคล้
               
                  วินาทีต่อมาลูกธนูก็ตกลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก นัยน์ตาสีน้ำเงินมีแววขบขันเมื่อมองเห็นสีหน้าของแพทริค
               
                  ซีดเผือด!
               
                  “ก็บอกแล้ว ”
               
                  เอลไลย่าพูดขณะเดินมาเก็บลูกธนูที่ตกลงมานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น มีเพียงเธอและเพื่อนเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมลูกธนูจึงไม่สามารถทำงานของมันได้สำเร็จ เพราะเกราะลมล่องหนที่ไม่มีใครมองเห็นถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรวดเร็วกันลูกธนูนั้นไว้ ถ้าเพียงเจมิไนไม่ได้มีความสามารถขนาดที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยความรวดเร็วขนาดนั้นแล้วล่ะก็
               
                  เขาก็คงจะต้องขยับตัว
               
                  เอลไลย่าคิดด้วยความขบขันก่อนโยนลูกธนูคืนให้แพทริค ไม่มีทางที่คนอย่างเจมิไนจะบาดเจ็บเพราะของพรรค์นี้ อย่างมากเจ้าตัวก็แค่ยกมือขึ้นมาจับลูกธนูเอาไว้ หรือไม่ก็แค่ขยับตัวหนีนิดหน่อย ก็เท่านั้นเอง
               
                  “หึ นายคิดว่าตัวเองแน่มากงั้นเหรอแอชเชอร์”
               
                  แพทริคพูดขึ้นหลังจากที่หายจากอาการตะลึง เขาพยักหน้าให้กับชไนเดอร์คนสนิทท่าทางอมโรคคนนั้นอย่างเป็นสัญญาณ ก่อนที่ชไนเดอร์จะดึงเป้าทรงกลมของสีม่วงที่แขวนอยู่ออกมา และเริ่มต้นออกเดินห่างออกไป ห่างออกไป ก่อนหยุดยืนนิ่ง
               
                  “ปีที่แล้วจำได้ว่านายเคยปามีดด้วยระยะที่ไกลขนาดนั้นใช่มั้ย?”
               
                  ชไนเดอร์เริ่มออกเดินห่างออกไปมากกว่าเดิมอีกครั้ง ห่างออกไป ห่างออกไปมากๆ
               
                  “คราวนี้มาดูกันว่า ฉันกับนาย จริงๆแล้วใครจะแน่กว่า”
               
                  แพทริคยกคันธนูขึ้น และเล็ง รอบข้างพลันเงียบเสียงอีกครั้งเมื่อธนูพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย ก่อนเสียบทรงกลมในมือของชไนเดอร์อย่างแม่นยำราวจับเสียบเอง
               
                  เสียงร้องชื่นชมดังมาจากคนในสีม่วงด้วยกันเอง และคนอื่นๆที่ไม่อยากจะเชื่อสายตา แพทริคมองเจมิไนอย่างท้าทาย
               
                  เจมิไนเพียงถอนใจอย่างเบื่อหน่าย อยากจะแน่กว่าก็แน่ไป ไม่มีใครห้าม
               
                  “เจมิไน ลุกสิ ” เอลไลย่าสั่ง แต่คนถูกสั่งให้ลุกก็ยังคงนั่งนิ่ง ทั้งส่ายหน้าปฏิเสธ
               
                  “ฉันรู้ว่านายไม่อยากโชว์ แต่รักษาศักดิ์ศรีของสีน้ำเงินไว้หน่อยเหอะ” จูปิไตพูดขึ้น
               
                  “ก็ให้นาธานไปยิงสิ” ประโยคแรกของวันหลุดออกมาจากเจ้าชายแห่งความเงียบ
               
                  “ก็มันท้านายอยู่เห็นๆ” นาธานตอบ
               
                  “ไกลขนาดนั้นจริงๆแล้วยิงไม่ได้ก็บอกมาเหอะน่า” เอลไลย่าพูดยิ้มๆ
               
                  เจมิไนถอนใจยาวอีกครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นหยิบธนูขึ้นมาแต่โดยดี
               
                  “จะไม่ยิงก็ได้นะฉันไม่ได้ว่าอะไร” แพทริคมองเจมิไนที่ไม่ได้มีใจจะสู้ด้วยสายตาดูถูก
               
                  แทนคำตอบ เจมิไนหลับตาลงเหมือนจะทำสมาธิก่อนยิง แต่แพทริคก็มารู้เอาทีหลังว่าเขาเข้าใจผิดมหันต์
               
                  ทำสมาธิที่ไหนกัน?
               
                  ห่างออกไปสุดลูกหูลูกตา หลับตายิง ลูกศรของเจมิไนก็เข้าเป้า 100%!!!
               
                  “โฮะๆๆๆ” เสียหัวเราะชั่วร้ายของแอมเบอร์ดังขึ้นกลบเสียงฮือฮาไปจนหมด
               
                  “ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้มาท้าแล้วรึไงยะ? ไอ้เป้านิ่งๆอย่างนี้น่ะนะ ต่อให้ไกลกว่านี้อีก 10 เท่า หลับตายิง 100 ดอกพร้อมกันเจมิไนยังทำได้เลยย่ะ”
               
                    เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกกลบด้วยเสียงนกหวีดของศาสตราจารย์คริปตอนที่แสนจะความรู้สึกช้า
               
                    “นั่นทำอะไรกันน่ะ?!”
               
                  ศาสตราจารย์ใช้ตาที่ดีเพียงข้างเดียวมองเหตุการณ์ปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
               
                  “รู้รึเปล่าว่าให้เพื่อนถือเป้าแล้วยิงกันอย่างนี้มันอันตรายแค่ไหน?!! ใครเป็นคนทำ?!!”
               
                  เจมิไนยกมือขึ้น ในขณะที่อีกคน ไม่คิดจะยก
               
                  “เจมิไน แอชเชอร์”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น