ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อันดราคาซัคค์

    ลำดับตอนที่ #3 : ชีวิตในโรงเรียน (2)

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 48




                      เมื่อขึ้นปีสอง…สิ่งที่ต่างออกไปจากปีหนึ่งนอกจากความรู้สึกของการเป็นพี่มากขึ้นเพราะไม่ได้เป็นน้องใหม่คนสุดท้องอย่างเมื่อก่อนแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากวิชาหลักที่ต้องเรียนเหมือนกันทุกคนเพิ่มขึ้นอีก 1 วิชานั่นก็คือ วิชาภูมิศาสตร์เอออร์ต้า รวมกับของเดิมอีก 4 วิชา คือ วิชาวิชาประวัติศาสตร์เอออร์ต้า วิชาว่าด้วยการฝึกทักษะการใช้อาวุธชนิดต่างๆ วิชาการใช้พลังออลซอร์ท และวิชาจริยธรรม รวมเป็น 5 วิชา ส่วนวิชาเลือกอิสระที่ต้องเรียนตามที่เลือกไว้ในปีหนึ่ง ปีนี้ก็มีเพิ่มให้เลือกมากขึ้นอีก 3 วิชา คือ วิชาอัญมณีศาสตร์ วิชาการทูต และวิชาคหกรรม (?!!?) แต่เป็นวิชาอิสระที่ไม่บังคับลงเรียน จะเลือกเพิ่มก็ได้หรือไม่ก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจูปิไตไม่พลาดลงเพิ่มอีกสองวิชา คือ การทูตกับอัญมณี เมอลินด้าลงวิชาที่ถนัดที่สุด คือ วิชาคหกรรม เคอัสนี่คงไม่ต้องพูดถึง…ไม่คิดจะเรียนอะไรเพิ่มอีกแล้ว เจมิไน นาธาน และเอลไลย่าก็ไม่ลงเรียนอะไรเพิ่มอีกเช่นกัน ที่ผิดคาดที่สุดก็คงจะเป็นแอมเบอร์ที่ลงเรียนเพิ่มอีก 2 วิชา…สถิติเดียวกันกับจูปิไตที่ทำทุกคนอึ้ง วิชาที่ลงเพิ่มก็คือ วิชาอัญมณี เธอลงด้วยเหตุผลที่ว่า ”อัญมณีกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน” อีกวิชาที่ลงก็พาทุกคนอึ้งกันอีกเป็นรอบที่สอง…วิชาคหกรรม…คราวนี้ให้เหตุผลว่า “ฉันก็ต้องหัดเป็นแม่บ้านแม่เรือนไว้สิยะ จะแต่งเข้าตระกูลแอชเชอร์ทั้งที ไม่เพียบพร้อมไปหมดอย่างกุลสตรีที่ดีพึงจะเป็นก็คงไม่ได้”

                      

                      สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสุดท้ายก็คงเป็นตารางสอนของวิชาโปรดอย่างวิชาว่าด้วยการฝึกทักษะการใช้อาวุธชนิดต่างๆและวิชาการใช้พลังออลซอร์ทที่เปลี่ยนจากวันศุกร์มาเป็นวันพฤหัสบดี วันดีในปีนี้ของเอลไลย่าจึงเปลี่ยนจากวันศุกร์มาเป็นวันพฤหัสไปโดยปริยาย…เพราะเป็นวันเดียวที่เรียนวิชาปฏิบัติกลางแจ้งทั้งวัน ไม่ต้องมานั่งเรียนวิชาการเครียดๆอยู่แต่ในห้องเรียนอย่างที่พาลพาหนังตาจะปิดเอาให้ได้อย่างวิชาแรกของวันจันทร์ที่กำลังจะเริ่มเรียนอยู่ในขณะนี้…

                      

                       วิชาประวัติศาสตร์เอออร์ต้า…

                      

                       “อรุณสวัสดิ์นักเรียนที่รักทุกคน”

                      

                       เสียงทักทายพร้อมรอยยิ้มของศาสตราจารย์ราสทาน่า เรเซส ผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ กับผมสีดำสนิทที่ถูกทำให้ฟูฟ่องจนดูเหมือนขนมสายไหม หรือที่แอมเบอร์บอกว่าโดน “ตีโป่ง” มา อายุของศาสตราจารย์ราสทาน่านั้นคงราวๆ 50 ปี…สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดในตัวศาสตราจารย์ ถ้าไม่นับใบหน้าที่ถูกแต่งเอาไว้อย่างหนาราวกับฉาบเอาไว้ด้วยแป้งแล้ว คงจะหนีไม่พ้นรองเท้าหุ้มส้นสีดำหัวแหลม ที่เคอัสคิดว่าแหลมพอจะใช้แทงคนแทนมีดได้ทีเดียว และได้แต่ภาวนาว่าศาสตราจารย์คงจะไม่คิดอยากจะใช้มันกับนักเรียนของเธอ

          

                       ศาสตราจารย์ปราดสายตาคมกริบไปรอบห้องเพียงปราดเดียวก็รู้ว่านักเรียนของเธอมาครบแล้วทุกคน…หากว่าไม่…เธอก็สามารถจะบอกได้ในทันทีว่า ใคร สีไหน…ที่จะต้องเสียใจในภายหลังกับการโดดเรียนวิชาของเธอ…

                      

                       “ทุกคนเปิดหนังสือเรียนไปที่หน้า 165”

                      

                       เกิดเสียงพั่บๆของหน้ากระดาษที่ถูกพลิกด้วยความรวดเร็วดังไปทั่วทั้งห้อง

                      

                       “บทที่ 15 มหาสงครามแห่งยุคมืด”

                      

                        บทเรียนที่กำลังจะเริ่มเรียนในวันนี้ทำให้เคอัสที่กำลังตั้งท่าเตรียมจะหลับอย่างปกติต้องสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งฟังทันที เช่นเดียวกันกับเอลไลย่าและนักเรียนปีหนึ่งสีน้ำเงินทุกคนที่มองหน้ากันและกันก่อนเตรียมพร้อมตั้งใจฟังเต็มที่

                      

                       “ ยุคมืดเริ่มต้นในปีเอออร์ที่ 1221 ด้วยน้ำมือของชายผู้มีความโลภมากคนหนึ่งผู้มีนามว่าเมเนส ซาร์  ในวันที่ 7 พฤศจิกายน  เมเนสร่วมกับสาวกของเขาบุกเข้ายึด’หอคอยออกอรี’ แห่งเมืองแอนทีคก้า หรือที่รู้จักทั่วไปตามตำนานกันในนาม ‘หอคอยผู้พิทักษ์’ โดยหอคอยนี้ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของเมเนส ในวันต่อมาวันที่ 8 พฤศจิกายน แอนทีคก้าก็โดนเมเนสยึดโดยสมบูรณ์โดยใช้เวลาเพียง 10 ชม. ไม่นานนักเมเนสก็เริ่มขยายอิทธิพลไปยังเมืองอื่นๆ โดยเริ่มจากเมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับแอนทีคก้าทางทิศตะวันออก นั่นก็คือ เมือง เตคการ์รา ก่อนขยายไปยังเมืองทางทิศใต้และทิศตะวันตกซึ่งก็คือ…”

                      

                        คำพูดของศาสตราจารย์ที่เหลือผ่านหูเอลไลย่าไปราวกับสายลมที่ผ่านเข้ามาทางหูซ้ายแล้วทะลุออกไปทางขวา เพราะในใจของเธอในยามนี้เกิดความสงสัยขึ้นมามากมาย…ทำไมถึงไม่มี?…ไม่มีเอ่ยถึงแม้แต่นิดเดียว…ชนวนสงครามที่สำคัญที่สุด…สิ่งที่ทำให้หอคอยออเกอรีได้รับขนานนานว่า หอคอยผู้พิทักษ์…สิ่งที่ทำให้เมเนสเลือกหอคอยนั่นเป็นศูนย์บัญชาการ…สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เมเนส ซาร์มีสาวกมากมาย…สิ่งที่เมเนส ซาร์ต้องการมากที่สุด…

                      

                        คัมภีร์โอเมน!!!

                      

                        ราวกับว่าคัมภีร์ไม่ได้มีส่วนสำคัญอะไร ราวกับว่าคัมภีร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามนั้น …ราวกับว่า…คัมภีร์โอเมนไม่มีจริง!!



                       “ศาสตราจารย์ราสทาน่าคะ” เสียงของนักเรียนคนหนึ่งเรียกพร้อมทั้งชูมือขวาขึ้นสูงโบกไปมาในอากาศจนศาสตราจารย์ต้องหยุดชะงักการสอน

                      

                       “ว่าอย่างไรจ๊ะไฮดิ?“ แม้น้ำเสียงจะอ่อนหวาน และรอยยิ้มจะปรากฏอยู่บนริมฝีปากแดงแปร๊ดนั่น แต่เอลไลย่าสามารถบอกได้จากแววตาว่าศาสตราจารย์ไม่พอใจจะให้เด็กนักเรียนขัดขึ้นมาระหว่างที่เธอกำลังสอน เธอชอบที่จะให้นักเรียนถามเมื่อเธอสอนเสร็จแล้ว…นั่นก็คือพอดีเสียงกริ่งหมดชั่วโมง หรือเลยเวลาพักรับประทานอาหารไปแล้ว 10 นาที

                      

                       “แล้วเรื่องของคัมภีร์โอเมนล่ะคะ?”

                      

                       เอลไลย่านึกขอบคุณไฮดิที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาถาม…ช่างถามได้ตรงกับใจเธอดีแท้…

                      

                       จากรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นหัวเราะด้วยความขบขัน ศาสตราจารย์ราทาน่าก้าวเข้ามาใกล้ไฮดิมากขึ้น

                      

                       “ของอย่างนั้นน่ะมีจริงทีไหนกันจ๊ะ?…มาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่านะ…เจ้าเมืองและผู้มีอำนาจในเมืองต่างๆร่วมมือกันวางแผนเพื่อจะนำเอกราชกลับคืนมาสู่เมืองของตนอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อวันที่…”

          

                       “แต่ศาสตราจารย์คะ”

                      

                       ไฮดิยกมือโบกไปมาในอากาศอีกครั้ง

                      

                       “หนูเคยได้ยินมาว่า…”

                      

                       “มันก็เป็นแค่เพียงเรื่องเล่าเท่านั้นแหละจ๊ะ”

                      

                       “ต…แต่ว่า…”

                      

                       สายตาที่แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนของศาสตราจารย์ที่มองตรงมายังเธอเพียงคนเดียวทำให้ไฮดิไม่สามารถจบประโยคของเธอได้…

                      

                       “คัมภีร์โอเมนไม่มีจริงหรอกไฮดิ ผู้คนเพียงแต่แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อเพียงจะทำให้เรื่องสงครามฟังดูไม่น่าเบื่อก็เท่านั้นเอง หนูอย่าไปเชื่อเรื่องเหลวไหลไร้สาระอย่างนั้นเลย”

                      

                       ไม่มีจริง?!!!

                      

                       คัมภีร์โอเมนน่ะหรือเหลวไหลไร้สาระ?!!

                      

                       คัมภีร์ที่เธอกับเพื่อนทั้ง 6 คนต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปแย่งชิงคืนมา…คัมภีร์ที่ทำให้ชีวิตของเธอและเพื่อนๆเมื่อปีที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรที่เรียกว่า ‘ความสงบสุข’ อย่างชาวบ้านชาวช่องเขาบ้าง…คัมภีร์ที่ทำให้จูปิไต นาธาน เคอัส เมอลินด้า แอมเบอร์ และเจมิไน กลายเป็นเด็กที่’ไม่ธรรมดา’ แม้จะดูธรรมดาในสายตาของทุกคน…ทุกคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย…

                      

                       เพราะสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนรวมทั้งหลักฐานแสดงการมีอยู่ของคัมภีร์ที่ไม่ใช่คำพูดปากเปล่าอย่าง ‘อนุเสาวรีย์ผู้พิทักษ์’ ถูกปิดเป็นความลับ…ทำให้ดูเหมือนว่า เรื่องคัมภีร์โอเมนนั้น เป็นแค่นิทานหรือตำนานเล่าขานที่คนแก่เล่ากล่อมให้เด็กๆเข้านอน…ก็เท่านั้น…แม้แต่ประวัติศาสตร์ยังไม่จารึกถึง…

                      

                       “มาต่อกันที่แผนการการกอบกู้เอกราชที่น่าตื่นเต้นกันต่อนะจ๊ะ…เมื่อวันที่…”

                      

                       กรี๊งงงงงงงงงงงงง!!!!

                      

                       เสียงกริ่งดังบอกสัญญาณหมดเวลา…ศาสตราจารย์ราสทาน่าแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน เธอยืนกอดอก เคาะเท้าข้างขวาเป็นจังหวะ รอจนกระทั่งเสียงกริ่งเงียบ…

                      

                       “แผนการที่ว่า เริ่มต้นในวันที่ 20 มกราคมในอีก 4 ปีถัดมา ซึ่งก็คือปีเอออร์ที่ 1225…”

                      

                       พระเจ้า…

                      

                       เลยเวลาพัก 10 นาทีไปแล้ว แต่แม่เจ้าประคุณที่เคารพยังคงจ้อต่อน้ำไหลไฟดับ…เด็กแต่ละคนก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะเรียนหนังสือต่อกันแล้ว ทุกคนต่างก็ภาวนาให้คุณนายเลิกสอนเสียที เพราะทุกวินาทีที่ศาสตราจารย์ยังคงสอนต่อนี้ หมายถึงพวกเขาต้องเข้าเรียนวิชาต่อไปสายด้วย ที่น่าสงสารหน่อยก็คงเป็นพวกที่ลงเรียนวิชาอวกาศและดวงดาว…เพราะห้องท้องฟ้าจำลองอยู่อีกฟากหนึ่งของปราสาท ต้องใช้เวลาราวๆ 10 นาทีถึงจะเดินไปถึง และยิ่งโดยเฉพาะศาสตราจารย์ผู้สอนคือศาสตราจารย์เซ็ธ…ชายที่เนี้ยบที่สุดในโรงเรียน และให้ความสำคัญกับการตรงต่อเวลายิ่งกว่าอะไร…

                      

                       แต่เคอัสกับเมอลินด้าก็ไม่ได้มีความกังวลเท่ากับอีกหลายๆคนที่ลงวิชานี้ เหตุเพราะมีเจมิไนลงเรียนด้วย…10 นาทีที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทางจึงเหลือเพียงไม่ถึงนาที…



                                                                 *********************



                       เวลาพักกลางวันเป็นเวลาที่เคอัสรอคอยมากที่สุด เพราะการใช้สมองมาตลอดทั้งเช้านั้น…หรือจะเรียกว่าการหลับรวดตลอดเช้า…เรียกน้ำย่อยในกระเพาะของเขาได้เป็นอย่างดี

                      

                       เมื่อทั้งกลุ่มได้มีโอกาสพบกันพร้อมหน้าพร้อมตา บทสนทนาแรกที่ถูกหยิบยกมาเห็นจะหนีไม่พ้นสิ่งที่ค้างคาใจมากที่สุด…คัมภีร์โอเมน

                      

                       “พวกนายว่ามีคนคิดอย่างที่ศาสตราจารย์รา-ทา-หน้าคิดเยอะมั้ย?…ที่ว่าคัมภีร์โอเมนไม่มีจริงน่ะ” เคอัสถามก่อนตักอาหารคำใหญ่ใส่ปากและเริ่มเคี้ยวอย่างน่าอร่อย

                      

                       “เยอะชัวร์” จูปิไตออกความเห็น

                      

                       “แล้วนายก็เลิกเรียกศาสตราจารย์แบบนั้นซะที”

                      

                       “งั้นเรียกศาสตราจารย์ราดหน้าแล้วกัน”

                      

                       “ไม่เข้าใจเลย…ทั้งๆที่เมื่อก่อนโรงเรียนของพวกเราก็เป็นสถานที่เก็บซ่อนคัมภีร์แท้ๆ แต่กลับปิดเรื่องเป็นความลับปล่อยให้ทุกคนเข้าใจผิดอย่างนี้” เมอลินด้ากล่าว

                      

                       “ดี…ปล่อยให้เข้าใจกันแบบนี้ก็ดี…ไม่มีคัมภีร์…ก็ไม่มีสงคราม ไหนๆคัมภีร์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่แล้วด้วย ฉันไม่ชอบทำตัวเป็นผู้พิทักษ์…ชอบให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายพิทักษ์ผู้หญิงตัวเล็กๆแสนบอบบางอย่างฉันมากกว่า”

                      

                       เคอัสหันมองแอมเบอร์อย่างหมั่นไส้กับประโยคหลังสุดๆจนแทบอยากจะส่งเจ้าอาหารที่เพิ่งหล่นลงท้องไปหมาดๆกลับออกมาใหม่แต่ก็นึกเสียดาย…แต่ก็ยังไม่วายจะตอกกลับ…

                      

                       “คงไม่มีชายหนุ่มที่ไหนโชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง?”

                      

                       “เชอะ!!! คอยดูแล้วกันย่ะ”

                      

                       “เชอะ!!!” เคอัสเบ้ปากเลียนเสียงแหลมๆของแอมเบอร์

                      

                       “แล้วจะคอยดู อย่าให้รอนานจนฉันแก่ตายไปก่อนแล้วกัน”

                      

                       บทสนทนาเงียบไปพักหนึ่งเพราะทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า แต่แล้วนาธานก็ทำลายความเงียบขึ้น

                      

                       “เอลไลย่า…ถามหน่อยสิ…ฉันมีเรื่องหนึ่งคาใจมานานแล้ว”

                      

                       “เอาสิ” เอลไลย่าพยักหน้ารับ

                      

                       “ก็…จำตอนนั้นที่ลุงเรกิวลุสของเธอเล่าเรื่องตอนเธอเกิดได้มั้ย? เขาบอกว่าเธอน่ะถูกเมเนส ซาร์ตาของเธอใช้เธอเป็นเครื่องมือต่อรองให้พ่อของเธอร่วมมือกับเขาด้วยใช่มั้ย?”

                      

                       “ใช่…แล้วไง?”

                      

                       “ก็นั่นมันตั้ง 40 ปีมาแล้วไม่ใช่เหรอ?…แล้ว…ทำไมเธอยังไม่แก่ล่ะ?”

                      

                       “41 ปี ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง” จูปิไตแก้ แต่ไม่ได้มีแววของความสงสัยฉายในแววตาอย่างที่เจ้าตัวน่าจะเป็นเลยแม้แต่น้อย

                      

                       “นั่นแหละ…ว่าไงล่ะ?”

                      

                       “ก็คือ…ยังไงดีล่ะ…นายอยากจะอธิบายแทนมั้ยจูปิไต?” เอลไลย่าลังเลก่อนโยนไปให้คนอื่นตอบเสียอย่างนั้น

                      

                       “ก็ได้…คืออย่างนี้นะนาธาน…”

                      

                       “จริงๆแล้วเอลไลย่าเป็นป้าแก่ๆอายุ 40 กว่าปีที่ปลอมตัวมาในรูปของเด็กสาวหน้าตาดี เพื่อจะมาหลอกเด็กหนุ่มเอาไปขาย…เห็นสวยๆอย่างนี้ ที่จริงผ่านมีดหมอมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้ว…”

                      

                        โป๊ก!!

                      

                        มือของจูปิไตและนาธานที่นั่งขนาบข้างเขกป๊อกลงบนศีรษะคนตอบคำถามแทนพร้อมๆกัน

                      

                        “โอ๊ย!! หัวคนนะเฟ้ย เขกกันมาได้ ล้อเล่นหน่อยเดียว”

                      

                        เคอัสบ่นพลางลูบศีรษะตัวเองด้วยความเจ็บ

                      

                        “ใครบอกนายว่าฉันผ่านมีดหมอ…ที่จริงกินยาอายุวัฒนะหรอก…ไม่เอาดีกว่า ใช้วิธีสูบวิญญาณเด็กๆเพื่อจะทำให้ตัวเองไม่แก่ต่างหาก”

                      

                        “เอาเข้าไป…สรุปจะให้ฉันพูดมั้ยเนี่ย?”

                      

                        “ขอโทษจูปิไต…ไม่ขัดแล้ว…เอาเลยๆ” เอลไลย่าพูดเสียงอ่อย เพราะท่าทางคุณพ่อเริ่มจะอารมณ์ไม่ดี

                      

                        “สรุปว่าไง?” นาธานถามย้ำ ทุกคนตั้งใจรอฟังคำตอบจากจูปิไตเต็มที่ ยกเว้นเจมิไนที่ยกน้ำขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางที่ไม่สนใจเท่าใดนัก…เพราะรู้อยู่ก่อนแล้ว…

                      

                        “คืออย่างนี้…หมู่บ้านใบไม้สามใบน่ะนะ ไม่ได้เจ๋งแค่ล่องหนอย่างเดียว แต่เวทมนต์ที่ทำหมู่บ้านใบไม้สามใบล่องหน มีผลทำให้เวลาในหมู่บ้านเดินช้ากว่าปกติด้วย อัตราประมาณ 2.66666666 วัน ต่อ 1 วัน หรือก็คือ ข้างนอกประมาณ 2.67 วันเท่ากับเวลาในหมู่บ้านแค่วันเดียว ซึ่งก็เท่ากับว่าเวลาในหมู่บ้าน 15 ปี เท่ากับข้างนอก 40 ปี…”

                      

                         “หา…อีกรอบได้มั้ย?” เคอัสเกาหัวแกรกอย่างไม่เข้าใจเต็มที่

                      

                         “เฮ้อ…จะอธิบายให้คนฉลาดๆอย่างนายฟังยังไงดีนะ? เอาเป็นว่า ถ้านายใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านใบไม้สามใบนายจะแก่ช้า แบบว่าข้างในก็ดูเหมือนว่าเวลาเดินปกติ แต่โผล่ออกมาอีกที เพื่อนที่เคยเล่นมาด้วยกันม่องเท่งไปหมดแล้ว…แบบนี้โอเคมั้ย?”

                      

                         “สุดยอด! ว้าว…” แอมเบอร์อุทานพลางเพ้อฝันไปไกล

                      

                         “อย่างงี้ถ้าฉันไปอยู่ก็มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าช้าน่ะสิ…ตีนกาเอย กระเอย ร่องแก้มเอย ไหนจะเรื่องผมหงอก หัวล้านอีก…โฮะๆๆๆ”

                      

                         “แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไงล่ะจ๊ะ? ” เมอลินด้าถาม

                      

                         “ก็ฟังมาจากลุงเรกิวลุสตอนที่เจมิไนถามเมื่อตอนปิดเทอมน่ะสิ”

                      

                         ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อไป เอลไลย่าก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง…

                      

                         “เฮ้ย ! จูปิไต เด็กนายมา!!”

                      

                         ผู้ถูกเรียกสะดุ้งโหยงก่อนผลุบหายลงไปอยู่ใต้โต๊ะทันที…เด็กชายปีหนึ่งสองคนเดินผ่านโต๊ะพวกเขาไป ทั้งสองชะเง้อมองหาใครคนหนึ่ง แต่เมื่อไม่พบจึงเดินจากไป…

                      

                         “ไปแล้วๆ” เอลไลย่าสะกิดอีกครั้ง คนใต้โต๊ะโผล่ออกมาดูลาดเลาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่งจึงลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้ตามปกติ

                      

                         “เนื้อหอมจริงน้า” เคอัสยิ้มกริ่มในขณะที่คนเนื้อหอมแผ่รังสีอำมหิตไปให้ ทำให้พวกชอบหาเรื่องเปลี่ยนเป้าหมายแทน

                      

                         “แต่ก็…สู้รายนี้ไม่ได้” เคอัสชี้นิ้วโป้งไปที่ใครคนหนึ่งที่นั่งเงียบมาตลอดงาน

                      

                         เมื่อทุกคนหันไปมองก็พบว่า เจมิไนที่เคยนั่งอยู่อย่างสงบสุข บัดนี้มีทั้งสาวเล็กสาวใหญ่เดินผ่านด้านหลังกันอย่างขวักไขว่ ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มขณะมองมายังเป้าหมายที่รู้ทั้งรู้ว่าถูกมองถูกนินทา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร เพียงแต่นั่งกอดอกหน้าตาเฉยๆอย่างปกติ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้…

                      

                         “ต๊าย!! เดินพาเหรดกันเพ่นพ่านขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่ได้เกรงใจฉันที่เป็นแฟนตัวจริงซะบ้างเลย…แต่ไม่เป็นไรหรอกนะจ๊ะเจมิไน…แอมเบอร์คนนี้เข้าใจดีทุกอย่าง…ก็คนมันเกิดมาหล่อจะให้ทำไงได้ใช่มั้ย?…ขอเพียงสายตาของเธอมีแต่ฉันเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว…”

                      

                         “แหวะ…ช่วยด้วยคุณหมอ ผมจะอ๊วก” เคอัสหันไปหาจูปิไตและทำท่าทางคลื่นไส้สุดๆ คนถูกส่งบทหมอมาให้ได้แต่ส่ายหน้า คนไข้หลังจากหายจากอาการก็ยกน้ำขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้ม

                      

                         แอมเบอร์หรี่ตามองอย่างไม่พอใจ

                      

                         “แพ้ท้องหรือไงยะ?”

                      

                         พรืด!!

                      

                         น้ำที่กำลังดื่มพุ่งพรวดออกมาแทบจะไม่ทัน

                      

                         เสียงหัวเราะของคนอื่นๆดังขึ้น…แต่เคอัสย่อมไม่ยอมง่ายๆ…

                      

                         คิดว่าชนะแล้วหรือ?…ยังเร็วไป…

                      

                         เคอัสโผไปเกาะแขนเจมิไนด้วยท่าทางออเซาะ

                      

                         “ใช่แล้วฮ่ะ…ลูกของเรา…”

                      

                         เท่านั้นส้อมก็พุ่งเฉียดใบหน้าของคนท้องไปปักอยู่บนพนักเก้าอี้ด้านหลัง ก่อนจะตามมาด้วย ช้อน แก้วโยเกิร์ต สลัดผักเพื่อสุขภาพ น้ำส้มคั้นสดๆ และอะไรก็ตามที่เจ้าตัวพอจะหาได้แถวนั้น แต่โชคก็ยังเป็นของเคอัสที่เลือกเกาะถูกคนทำให้หลบแรงแค้นของแม่นางได้อย่างหวุดหวิด…

                      

                          นัดนี้ เคอัสชนะใส…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×