ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ชีวิตในโรงเรียน (2)
                  เมื่อขึ้นปีสอง สิ่งที่ต่างออกไปจากปีหนึ่งนอกจากความรู้สึกของการเป็นพี่มากขึ้นเพราะไม่ได้เป็นน้องใหม่คนสุดท้องอย่างเมื่อก่อนแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากวิชาหลักที่ต้องเรียนเหมือนกันทุกคนเพิ่มขึ้นอีก 1 วิชานั่นก็คือ วิชาภูมิศาสตร์เอออร์ต้า รวมกับของเดิมอีก 4 วิชา คือ วิชาวิชาประวัติศาสตร์เอออร์ต้า วิชาว่าด้วยการฝึกทักษะการใช้อาวุธชนิดต่างๆ วิชาการใช้พลังออลซอร์ท และวิชาจริยธรรม รวมเป็น 5 วิชา ส่วนวิชาเลือกอิสระที่ต้องเรียนตามที่เลือกไว้ในปีหนึ่ง ปีนี้ก็มีเพิ่มให้เลือกมากขึ้นอีก 3 วิชา คือ วิชาอัญมณีศาสตร์ วิชาการทูต และวิชาคหกรรม (?!!?) แต่เป็นวิชาอิสระที่ไม่บังคับลงเรียน จะเลือกเพิ่มก็ได้หรือไม่ก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจูปิไตไม่พลาดลงเพิ่มอีกสองวิชา คือ การทูตกับอัญมณี เมอลินด้าลงวิชาที่ถนัดที่สุด คือ วิชาคหกรรม เคอัสนี่คงไม่ต้องพูดถึง ไม่คิดจะเรียนอะไรเพิ่มอีกแล้ว เจมิไน นาธาน และเอลไลย่าก็ไม่ลงเรียนอะไรเพิ่มอีกเช่นกัน ที่ผิดคาดที่สุดก็คงจะเป็นแอมเบอร์ที่ลงเรียนเพิ่มอีก 2 วิชา สถิติเดียวกันกับจูปิไตที่ทำทุกคนอึ้ง วิชาที่ลงเพิ่มก็คือ วิชาอัญมณี เธอลงด้วยเหตุผลที่ว่า ”อัญมณีกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน” อีกวิชาที่ลงก็พาทุกคนอึ้งกันอีกเป็นรอบที่สอง วิชาคหกรรม คราวนี้ให้เหตุผลว่า “ฉันก็ต้องหัดเป็นแม่บ้านแม่เรือนไว้สิยะ จะแต่งเข้าตระกูลแอชเชอร์ทั้งที ไม่เพียบพร้อมไปหมดอย่างกุลสตรีที่ดีพึงจะเป็นก็คงไม่ได้”
                 
                  สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสุดท้ายก็คงเป็นตารางสอนของวิชาโปรดอย่างวิชาว่าด้วยการฝึกทักษะการใช้อาวุธชนิดต่างๆและวิชาการใช้พลังออลซอร์ทที่เปลี่ยนจากวันศุกร์มาเป็นวันพฤหัสบดี วันดีในปีนี้ของเอลไลย่าจึงเปลี่ยนจากวันศุกร์มาเป็นวันพฤหัสไปโดยปริยาย เพราะเป็นวันเดียวที่เรียนวิชาปฏิบัติกลางแจ้งทั้งวัน ไม่ต้องมานั่งเรียนวิชาการเครียดๆอยู่แต่ในห้องเรียนอย่างที่พาลพาหนังตาจะปิดเอาให้ได้อย่างวิชาแรกของวันจันทร์ที่กำลังจะเริ่มเรียนอยู่ในขณะนี้
                 
                  วิชาประวัติศาสตร์เอออร์ต้า
                 
                  “อรุณสวัสดิ์นักเรียนที่รักทุกคน”
                 
                  เสียงทักทายพร้อมรอยยิ้มของศาสตราจารย์ราสทาน่า เรเซส ผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ กับผมสีดำสนิทที่ถูกทำให้ฟูฟ่องจนดูเหมือนขนมสายไหม หรือที่แอมเบอร์บอกว่าโดน “ตีโป่ง” มา อายุของศาสตราจารย์ราสทาน่านั้นคงราวๆ 50 ปี สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดในตัวศาสตราจารย์ ถ้าไม่นับใบหน้าที่ถูกแต่งเอาไว้อย่างหนาราวกับฉาบเอาไว้ด้วยแป้งแล้ว คงจะหนีไม่พ้นรองเท้าหุ้มส้นสีดำหัวแหลม ที่เคอัสคิดว่าแหลมพอจะใช้แทงคนแทนมีดได้ทีเดียว และได้แต่ภาวนาว่าศาสตราจารย์คงจะไม่คิดอยากจะใช้มันกับนักเรียนของเธอ
     
                  ศาสตราจารย์ปราดสายตาคมกริบไปรอบห้องเพียงปราดเดียวก็รู้ว่านักเรียนของเธอมาครบแล้วทุกคน หากว่าไม่ เธอก็สามารถจะบอกได้ในทันทีว่า ใคร สีไหน ที่จะต้องเสียใจในภายหลังกับการโดดเรียนวิชาของเธอ
                 
                  “ทุกคนเปิดหนังสือเรียนไปที่หน้า 165”
                 
                  เกิดเสียงพั่บๆของหน้ากระดาษที่ถูกพลิกด้วยความรวดเร็วดังไปทั่วทั้งห้อง
                 
                  “บทที่ 15 มหาสงครามแห่งยุคมืด”
                 
                    บทเรียนที่กำลังจะเริ่มเรียนในวันนี้ทำให้เคอัสที่กำลังตั้งท่าเตรียมจะหลับอย่างปกติต้องสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งฟังทันที เช่นเดียวกันกับเอลไลย่าและนักเรียนปีหนึ่งสีน้ำเงินทุกคนที่มองหน้ากันและกันก่อนเตรียมพร้อมตั้งใจฟังเต็มที่
                 
                  “ ยุคมืดเริ่มต้นในปีเอออร์ที่ 1221 ด้วยน้ำมือของชายผู้มีความโลภมากคนหนึ่งผู้มีนามว่าเมเนส ซาร์  ในวันที่ 7 พฤศจิกายน  เมเนสร่วมกับสาวกของเขาบุกเข้ายึด’หอคอยออกอรี’ แห่งเมืองแอนทีคก้า หรือที่รู้จักทั่วไปตามตำนานกันในนาม ‘หอคอยผู้พิทักษ์’ โดยหอคอยนี้ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของเมเนส ในวันต่อมาวันที่ 8 พฤศจิกายน แอนทีคก้าก็โดนเมเนสยึดโดยสมบูรณ์โดยใช้เวลาเพียง 10 ชม. ไม่นานนักเมเนสก็เริ่มขยายอิทธิพลไปยังเมืองอื่นๆ โดยเริ่มจากเมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับแอนทีคก้าทางทิศตะวันออก นั่นก็คือ เมือง เตคการ์รา ก่อนขยายไปยังเมืองทางทิศใต้และทิศตะวันตกซึ่งก็คือ ”
                 
                    คำพูดของศาสตราจารย์ที่เหลือผ่านหูเอลไลย่าไปราวกับสายลมที่ผ่านเข้ามาทางหูซ้ายแล้วทะลุออกไปทางขวา เพราะในใจของเธอในยามนี้เกิดความสงสัยขึ้นมามากมาย ทำไมถึงไม่มี? ไม่มีเอ่ยถึงแม้แต่นิดเดียว ชนวนสงครามที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ทำให้หอคอยออเกอรีได้รับขนานนานว่า หอคอยผู้พิทักษ์ สิ่งที่ทำให้เมเนสเลือกหอคอยนั่นเป็นศูนย์บัญชาการ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เมเนส ซาร์มีสาวกมากมาย สิ่งที่เมเนส ซาร์ต้องการมากที่สุด
                 
                    คัมภีร์โอเมน!!!
                 
                    ราวกับว่าคัมภีร์ไม่ได้มีส่วนสำคัญอะไร ราวกับว่าคัมภีร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามนั้น ราวกับว่า คัมภีร์โอเมนไม่มีจริง!!
                  “ศาสตราจารย์ราสทาน่าคะ” เสียงของนักเรียนคนหนึ่งเรียกพร้อมทั้งชูมือขวาขึ้นสูงโบกไปมาในอากาศจนศาสตราจารย์ต้องหยุดชะงักการสอน
                 
                  “ว่าอย่างไรจ๊ะไฮดิ?“ แม้น้ำเสียงจะอ่อนหวาน และรอยยิ้มจะปรากฏอยู่บนริมฝีปากแดงแปร๊ดนั่น แต่เอลไลย่าสามารถบอกได้จากแววตาว่าศาสตราจารย์ไม่พอใจจะให้เด็กนักเรียนขัดขึ้นมาระหว่างที่เธอกำลังสอน เธอชอบที่จะให้นักเรียนถามเมื่อเธอสอนเสร็จแล้ว นั่นก็คือพอดีเสียงกริ่งหมดชั่วโมง หรือเลยเวลาพักรับประทานอาหารไปแล้ว 10 นาที
                 
                  “แล้วเรื่องของคัมภีร์โอเมนล่ะคะ?”
                 
                  เอลไลย่านึกขอบคุณไฮดิที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาถาม ช่างถามได้ตรงกับใจเธอดีแท้
                 
                  จากรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นหัวเราะด้วยความขบขัน ศาสตราจารย์ราทาน่าก้าวเข้ามาใกล้ไฮดิมากขึ้น
                 
                  “ของอย่างนั้นน่ะมีจริงทีไหนกันจ๊ะ? มาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่านะ เจ้าเมืองและผู้มีอำนาจในเมืองต่างๆร่วมมือกันวางแผนเพื่อจะนำเอกราชกลับคืนมาสู่เมืองของตนอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อวันที่ ”
     
                  “แต่ศาสตราจารย์คะ”
                 
                  ไฮดิยกมือโบกไปมาในอากาศอีกครั้ง
                 
                  “หนูเคยได้ยินมาว่า ”
                 
                  “มันก็เป็นแค่เพียงเรื่องเล่าเท่านั้นแหละจ๊ะ”
                 
                  “ต แต่ว่า ”
                 
                  สายตาที่แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนของศาสตราจารย์ที่มองตรงมายังเธอเพียงคนเดียวทำให้ไฮดิไม่สามารถจบประโยคของเธอได้
                 
                  “คัมภีร์โอเมนไม่มีจริงหรอกไฮดิ ผู้คนเพียงแต่แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อเพียงจะทำให้เรื่องสงครามฟังดูไม่น่าเบื่อก็เท่านั้นเอง หนูอย่าไปเชื่อเรื่องเหลวไหลไร้สาระอย่างนั้นเลย”
                 
                  ไม่มีจริง?!!!
                 
                  คัมภีร์โอเมนน่ะหรือเหลวไหลไร้สาระ?!!
                 
                  คัมภีร์ที่เธอกับเพื่อนทั้ง 6 คนต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปแย่งชิงคืนมา คัมภีร์ที่ทำให้ชีวิตของเธอและเพื่อนๆเมื่อปีที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรที่เรียกว่า ‘ความสงบสุข’ อย่างชาวบ้านชาวช่องเขาบ้าง คัมภีร์ที่ทำให้จูปิไต นาธาน เคอัส เมอลินด้า แอมเบอร์ และเจมิไน กลายเป็นเด็กที่’ไม่ธรรมดา’ แม้จะดูธรรมดาในสายตาของทุกคน ทุกคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย
                 
                  เพราะสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนรวมทั้งหลักฐานแสดงการมีอยู่ของคัมภีร์ที่ไม่ใช่คำพูดปากเปล่าอย่าง ‘อนุเสาวรีย์ผู้พิทักษ์’ ถูกปิดเป็นความลับ ทำให้ดูเหมือนว่า เรื่องคัมภีร์โอเมนนั้น เป็นแค่นิทานหรือตำนานเล่าขานที่คนแก่เล่ากล่อมให้เด็กๆเข้านอน ก็เท่านั้น แม้แต่ประวัติศาสตร์ยังไม่จารึกถึง
                 
                  “มาต่อกันที่แผนการการกอบกู้เอกราชที่น่าตื่นเต้นกันต่อนะจ๊ะ เมื่อวันที่ ”
                 
                  กรี๊งงงงงงงงงงงงง!!!!
                 
                  เสียงกริ่งดังบอกสัญญาณหมดเวลา ศาสตราจารย์ราสทาน่าแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน เธอยืนกอดอก เคาะเท้าข้างขวาเป็นจังหวะ รอจนกระทั่งเสียงกริ่งเงียบ
                 
                  “แผนการที่ว่า เริ่มต้นในวันที่ 20 มกราคมในอีก 4 ปีถัดมา ซึ่งก็คือปีเอออร์ที่ 1225 ”
                 
                  พระเจ้า
                 
                  เลยเวลาพัก 10 นาทีไปแล้ว แต่แม่เจ้าประคุณที่เคารพยังคงจ้อต่อน้ำไหลไฟดับ เด็กแต่ละคนก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะเรียนหนังสือต่อกันแล้ว ทุกคนต่างก็ภาวนาให้คุณนายเลิกสอนเสียที เพราะทุกวินาทีที่ศาสตราจารย์ยังคงสอนต่อนี้ หมายถึงพวกเขาต้องเข้าเรียนวิชาต่อไปสายด้วย ที่น่าสงสารหน่อยก็คงเป็นพวกที่ลงเรียนวิชาอวกาศและดวงดาว เพราะห้องท้องฟ้าจำลองอยู่อีกฟากหนึ่งของปราสาท ต้องใช้เวลาราวๆ 10 นาทีถึงจะเดินไปถึง และยิ่งโดยเฉพาะศาสตราจารย์ผู้สอนคือศาสตราจารย์เซ็ธ ชายที่เนี้ยบที่สุดในโรงเรียน และให้ความสำคัญกับการตรงต่อเวลายิ่งกว่าอะไร
                 
                  แต่เคอัสกับเมอลินด้าก็ไม่ได้มีความกังวลเท่ากับอีกหลายๆคนที่ลงวิชานี้ เหตุเพราะมีเจมิไนลงเรียนด้วย 10 นาทีที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทางจึงเหลือเพียงไม่ถึงนาที
                                                            *********************
                  เวลาพักกลางวันเป็นเวลาที่เคอัสรอคอยมากที่สุด เพราะการใช้สมองมาตลอดทั้งเช้านั้น หรือจะเรียกว่าการหลับรวดตลอดเช้า เรียกน้ำย่อยในกระเพาะของเขาได้เป็นอย่างดี
                 
                  เมื่อทั้งกลุ่มได้มีโอกาสพบกันพร้อมหน้าพร้อมตา บทสนทนาแรกที่ถูกหยิบยกมาเห็นจะหนีไม่พ้นสิ่งที่ค้างคาใจมากที่สุด คัมภีร์โอเมน
                 
                  “พวกนายว่ามีคนคิดอย่างที่ศาสตราจารย์รา-ทา-หน้าคิดเยอะมั้ย? ที่ว่าคัมภีร์โอเมนไม่มีจริงน่ะ” เคอัสถามก่อนตักอาหารคำใหญ่ใส่ปากและเริ่มเคี้ยวอย่างน่าอร่อย
                 
                  “เยอะชัวร์” จูปิไตออกความเห็น
                 
                  “แล้วนายก็เลิกเรียกศาสตราจารย์แบบนั้นซะที”
                 
                  “งั้นเรียกศาสตราจารย์ราดหน้าแล้วกัน”
                 
                  “ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่เมื่อก่อนโรงเรียนของพวกเราก็เป็นสถานที่เก็บซ่อนคัมภีร์แท้ๆ แต่กลับปิดเรื่องเป็นความลับปล่อยให้ทุกคนเข้าใจผิดอย่างนี้” เมอลินด้ากล่าว
                 
                  “ดี ปล่อยให้เข้าใจกันแบบนี้ก็ดี ไม่มีคัมภีร์ ก็ไม่มีสงคราม ไหนๆคัมภีร์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่แล้วด้วย ฉันไม่ชอบทำตัวเป็นผู้พิทักษ์ ชอบให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายพิทักษ์ผู้หญิงตัวเล็กๆแสนบอบบางอย่างฉันมากกว่า”
                 
                  เคอัสหันมองแอมเบอร์อย่างหมั่นไส้กับประโยคหลังสุดๆจนแทบอยากจะส่งเจ้าอาหารที่เพิ่งหล่นลงท้องไปหมาดๆกลับออกมาใหม่แต่ก็นึกเสียดาย แต่ก็ยังไม่วายจะตอกกลับ
                 
                  “คงไม่มีชายหนุ่มที่ไหนโชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
                 
                  “เชอะ!!! คอยดูแล้วกันย่ะ”
                 
                  “เชอะ!!!” เคอัสเบ้ปากเลียนเสียงแหลมๆของแอมเบอร์
                 
                  “แล้วจะคอยดู อย่าให้รอนานจนฉันแก่ตายไปก่อนแล้วกัน”
                 
                  บทสนทนาเงียบไปพักหนึ่งเพราะทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า แต่แล้วนาธานก็ทำลายความเงียบขึ้น
                 
                  “เอลไลย่า ถามหน่อยสิ ฉันมีเรื่องหนึ่งคาใจมานานแล้ว”
                 
                  “เอาสิ” เอลไลย่าพยักหน้ารับ
                 
                  “ก็ จำตอนนั้นที่ลุงเรกิวลุสของเธอเล่าเรื่องตอนเธอเกิดได้มั้ย? เขาบอกว่าเธอน่ะถูกเมเนส ซาร์ตาของเธอใช้เธอเป็นเครื่องมือต่อรองให้พ่อของเธอร่วมมือกับเขาด้วยใช่มั้ย?”
                 
                  “ใช่ แล้วไง?”
                 
                  “ก็นั่นมันตั้ง 40 ปีมาแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้ว ทำไมเธอยังไม่แก่ล่ะ?”
                 
                  “41 ปี ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง” จูปิไตแก้ แต่ไม่ได้มีแววของความสงสัยฉายในแววตาอย่างที่เจ้าตัวน่าจะเป็นเลยแม้แต่น้อย
                 
                  “นั่นแหละ ว่าไงล่ะ?”
                 
                  “ก็คือ ยังไงดีล่ะ นายอยากจะอธิบายแทนมั้ยจูปิไต?” เอลไลย่าลังเลก่อนโยนไปให้คนอื่นตอบเสียอย่างนั้น
                 
                  “ก็ได้ คืออย่างนี้นะนาธาน ”
                 
                  “จริงๆแล้วเอลไลย่าเป็นป้าแก่ๆอายุ 40 กว่าปีที่ปลอมตัวมาในรูปของเด็กสาวหน้าตาดี เพื่อจะมาหลอกเด็กหนุ่มเอาไปขาย เห็นสวยๆอย่างนี้ ที่จริงผ่านมีดหมอมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้ว ”
                 
                    โป๊ก!!
                 
                    มือของจูปิไตและนาธานที่นั่งขนาบข้างเขกป๊อกลงบนศีรษะคนตอบคำถามแทนพร้อมๆกัน
                 
                    “โอ๊ย!! หัวคนนะเฟ้ย เขกกันมาได้ ล้อเล่นหน่อยเดียว”
                 
                    เคอัสบ่นพลางลูบศีรษะตัวเองด้วยความเจ็บ
                 
                    “ใครบอกนายว่าฉันผ่านมีดหมอ ที่จริงกินยาอายุวัฒนะหรอก ไม่เอาดีกว่า ใช้วิธีสูบวิญญาณเด็กๆเพื่อจะทำให้ตัวเองไม่แก่ต่างหาก”
                 
                    “เอาเข้าไป สรุปจะให้ฉันพูดมั้ยเนี่ย?”
                 
                    “ขอโทษจูปิไต ไม่ขัดแล้ว เอาเลยๆ” เอลไลย่าพูดเสียงอ่อย เพราะท่าทางคุณพ่อเริ่มจะอารมณ์ไม่ดี
                 
                    “สรุปว่าไง?” นาธานถามย้ำ ทุกคนตั้งใจรอฟังคำตอบจากจูปิไตเต็มที่ ยกเว้นเจมิไนที่ยกน้ำขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางที่ไม่สนใจเท่าใดนัก เพราะรู้อยู่ก่อนแล้ว
                 
                    “คืออย่างนี้ หมู่บ้านใบไม้สามใบน่ะนะ ไม่ได้เจ๋งแค่ล่องหนอย่างเดียว แต่เวทมนต์ที่ทำหมู่บ้านใบไม้สามใบล่องหน มีผลทำให้เวลาในหมู่บ้านเดินช้ากว่าปกติด้วย อัตราประมาณ 2.66666666 วัน ต่อ 1 วัน หรือก็คือ ข้างนอกประมาณ 2.67 วันเท่ากับเวลาในหมู่บ้านแค่วันเดียว ซึ่งก็เท่ากับว่าเวลาในหมู่บ้าน 15 ปี เท่ากับข้างนอก 40 ปี ”
                 
                    “หา อีกรอบได้มั้ย?” เคอัสเกาหัวแกรกอย่างไม่เข้าใจเต็มที่
                 
                    “เฮ้อ จะอธิบายให้คนฉลาดๆอย่างนายฟังยังไงดีนะ? เอาเป็นว่า ถ้านายใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านใบไม้สามใบนายจะแก่ช้า แบบว่าข้างในก็ดูเหมือนว่าเวลาเดินปกติ แต่โผล่ออกมาอีกที เพื่อนที่เคยเล่นมาด้วยกันม่องเท่งไปหมดแล้ว แบบนี้โอเคมั้ย?”
                 
                    “สุดยอด! ว้าว ” แอมเบอร์อุทานพลางเพ้อฝันไปไกล
                 
                    “อย่างงี้ถ้าฉันไปอยู่ก็มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าช้าน่ะสิ ตีนกาเอย กระเอย ร่องแก้มเอย ไหนจะเรื่องผมหงอก หัวล้านอีก โฮะๆๆๆ”
                 
                    “แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไงล่ะจ๊ะ? ” เมอลินด้าถาม
                 
                    “ก็ฟังมาจากลุงเรกิวลุสตอนที่เจมิไนถามเมื่อตอนปิดเทอมน่ะสิ”
                 
                    ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อไป เอลไลย่าก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
                 
                    “เฮ้ย ! จูปิไต เด็กนายมา!!”
                 
                    ผู้ถูกเรียกสะดุ้งโหยงก่อนผลุบหายลงไปอยู่ใต้โต๊ะทันที เด็กชายปีหนึ่งสองคนเดินผ่านโต๊ะพวกเขาไป ทั้งสองชะเง้อมองหาใครคนหนึ่ง แต่เมื่อไม่พบจึงเดินจากไป
                 
                    “ไปแล้วๆ” เอลไลย่าสะกิดอีกครั้ง คนใต้โต๊ะโผล่ออกมาดูลาดเลาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่งจึงลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้ตามปกติ
                 
                    “เนื้อหอมจริงน้า” เคอัสยิ้มกริ่มในขณะที่คนเนื้อหอมแผ่รังสีอำมหิตไปให้ ทำให้พวกชอบหาเรื่องเปลี่ยนเป้าหมายแทน
                 
                    “แต่ก็ สู้รายนี้ไม่ได้” เคอัสชี้นิ้วโป้งไปที่ใครคนหนึ่งที่นั่งเงียบมาตลอดงาน
                 
                    เมื่อทุกคนหันไปมองก็พบว่า เจมิไนที่เคยนั่งอยู่อย่างสงบสุข บัดนี้มีทั้งสาวเล็กสาวใหญ่เดินผ่านด้านหลังกันอย่างขวักไขว่ ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มขณะมองมายังเป้าหมายที่รู้ทั้งรู้ว่าถูกมองถูกนินทา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร เพียงแต่นั่งกอดอกหน้าตาเฉยๆอย่างปกติ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
                 
                    “ต๊าย!! เดินพาเหรดกันเพ่นพ่านขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่ได้เกรงใจฉันที่เป็นแฟนตัวจริงซะบ้างเลย แต่ไม่เป็นไรหรอกนะจ๊ะเจมิไน แอมเบอร์คนนี้เข้าใจดีทุกอย่าง ก็คนมันเกิดมาหล่อจะให้ทำไงได้ใช่มั้ย? ขอเพียงสายตาของเธอมีแต่ฉันเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ”
                 
                    “แหวะ ช่วยด้วยคุณหมอ ผมจะอ๊วก” เคอัสหันไปหาจูปิไตและทำท่าทางคลื่นไส้สุดๆ คนถูกส่งบทหมอมาให้ได้แต่ส่ายหน้า คนไข้หลังจากหายจากอาการก็ยกน้ำขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้ม
                 
                    แอมเบอร์หรี่ตามองอย่างไม่พอใจ
                 
                    “แพ้ท้องหรือไงยะ?”
                 
                    พรืด!!
                 
                    น้ำที่กำลังดื่มพุ่งพรวดออกมาแทบจะไม่ทัน
                 
                    เสียงหัวเราะของคนอื่นๆดังขึ้น แต่เคอัสย่อมไม่ยอมง่ายๆ
                 
                    คิดว่าชนะแล้วหรือ? ยังเร็วไป
                 
                    เคอัสโผไปเกาะแขนเจมิไนด้วยท่าทางออเซาะ
                 
                    “ใช่แล้วฮ่ะ ลูกของเรา ”
                 
                    เท่านั้นส้อมก็พุ่งเฉียดใบหน้าของคนท้องไปปักอยู่บนพนักเก้าอี้ด้านหลัง ก่อนจะตามมาด้วย ช้อน แก้วโยเกิร์ต สลัดผักเพื่อสุขภาพ น้ำส้มคั้นสดๆ และอะไรก็ตามที่เจ้าตัวพอจะหาได้แถวนั้น แต่โชคก็ยังเป็นของเคอัสที่เลือกเกาะถูกคนทำให้หลบแรงแค้นของแม่นางได้อย่างหวุดหวิด
                 
                      นัดนี้ เคอัสชนะใส
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น