ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชีวิตในโรงเรียน (1)
                 
                  “เอลไลย่า!!”
                 
                  เด็กสาวสะดุ้งตื่นตามเสียงเรียกทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นอย่างไม่ค่อยรู้สึกอยากสักเท่าใดนัก ผมสีเดียวกันกับนัยน์ตาที่ถูกรัดไว้อย่างลวกๆปลิวไสวไปตามสายลมขณะที่เจ้าตัวขยี้ตาทั้งสองข้าง
                 
                  “หาตั้งนาน มาแอบหลับอยู่นี่เอง ”
                 
                  ‘เอลไลย่า เอิร์ทธิเนส’ ดันตัวลุกขึ้นมาครึ่งนั่งครึ่งนอนท่ามกลางทุ่งดอกไม้หลากสีสันที่สูงบดบังเธอเอาไว้ กลิ่นดอกไม้อบอวลในบรรยากาศช่างหอมหวนชวนให้สดชื่น แตกต่างกับกลิ่นอับชื้นในตรอกเล็กๆนั่นอย่างสิ้นเชิง ท้องฟ้าเบื้องบนกระจ่างใสและไม่ได้ถูกบดบังด้วยตึกสูงๆ ไม่มีตรอก ไม่มีชายหนุ่มผมบลอนด์ที่เห็นเพียงเบื้องหลัง ไม่มีหญิงชรา ไม่มีสร้อยไข่มุก ไม่มี
                 
                    เอลไลย่าเริ่มนึก ใช่แล้ว เธอไม่ได้อยู่ในตรอกเล็กๆแห่งนั้น เพียงแต่ผล็อยหลับไปภายใต้ผ้าห่มล่องหนที่ถักทอด้วยสายลมอันอบอุ่นท่ามกลางดอกไม้หลากสีสัน ก็แค่ฝันเท่านั้นเอง
                 
                    ฝันหรอกเหรอ แต่ ราวกับได้ไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ช่างเหมือนจริงอะไรอย่างนี้
                 
                    เอลไลย่าล้มตัวลงนอนและหลับตาลงอีกครั้ง ภาพเมื่อครู่ยังคงกระจ่างชัดอยู่ในความทรงจำ โดยเฉพาะ ตัวอักษรประหลาดนั่น มันคงจะเป็นเพียงแค่ฝัน แต่ถึงกระนั้นมันก็สร้างความสับสนว้าวุ่นในจิตใจของเธออย่างยิ่ง เมื่ออักษรเหล่านั้นเป็นอักษรที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี ภาษาที่เธอสามารถเข้าใจอย่างที่ไม่มีใครที่ไหนบนดาวเคราะห์แห่งนี้ทำได้
                 
                    ภาษาเทพ!!
                 
                    “เฮ้!! จะหลับต่ออีกหรือไง ตื่นได้แล้ว ไปกินข้าวกัน”
                 
                    ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันผู้มีนัยน์ตาสีแดงกับผมสีน้ำตาลแดงที่เมื่อก่อนเคยตั้งชี้ไปชี้มา บัดนี้ยาวลงมาจนไม่ตั้งชี้อีกต่อไปและถูกซอยเป็นทรงจนเรียกได้ว่าดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนขึ้นเป็นกอง
                 
                    “เป็นถึงองค์ชายรัชทายาท แต่ไม่ได้มีความอดทนเอาซะบ้างเลย วันข้างหน้าจะเป็นนักปกครองที่ดีได้ยังไง”
                 
                    เอลไลย่าบ่นขณะดันตัวลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน พยายามจะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด และไม่คิดถึงความฝันเมื่อครู่ ไม่อยากให้คนอื่นต้องมากังวลไปกับเธอเพราะแค่เรื่องฝัน กังวลเรื่องอะไรไม่เป็นเรื่อง
                 
                    ‘เคอัส แฟลมไมร์’ ยื่นมือออกไปช่วยเอลไลย่าลุก แต่ก็ยังคงไม่ยอมแพ้
                 
                    “รู้มั้ยว่าฉันใช้เวลานานแค่ไหนในการตามหาเธอเนี่ย ยังเรียกว่าไม่มีความอดทนได้ยังไง?”
                 
                    “นานแค่ไหนล่ะ?”
                 
                    “เป็นชั่วโมงแล้ว หิวจะแย่ หิ้วท้องรอได้นานขนาดนี้ต้องมีความอดทนระดับฉันเท่านั้นแหละที่ทำได้”
                 
                    เอลไลย่าหัวเราะขำ ก่อนออกเดินนำเพื่อนกลับไปยังหอพักสีน้ำเงินแห่งโรงเรียน S.O.S.
                 
                    โรงเรียน S.O.S (School Of Special) โรงเรียนสำหรับมนุษย์พิเศษที่มีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆแห่งหนึ่งของดาวเคราะห์ที่ชื่อ “เอออร์ต้า” ดวงนี้ ที่ซึ่งสอนให้มนุษย์พิเศษรู้จักควบคุมพลังของตนเองที่เรียกกันว่า “พลังออลซอร์ท” พลังที่สามารถควบคุมธาตุต่างๆได้ เป็นความสามารถที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆได้แต่ฝันถึง มนุษย์พิเศษทั่วทั้งดาวต่างก็ปรารถนาที่จะให้ลูกของตนได้มาอยู่ในรั้วโรงเรียนที่โด่งดังแห่งนี้ แต่จำนวนที่รับในแต่ละปีนั้นก็ช่างน้อยนิด คือ 49 คนต่อปีเท่านั้น โดยเด็กนักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็นสีๆทั้งหมด 7 สีด้วยกัน ได้แก่ สีม่วง สีฟ้า สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง โดยมีระดับชั้นตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 5 วิธีการสอบเข้านั้นก็อาศัยฝีมือและโชคอย่างที่ไม่มีโรงเรียนที่ไหนทำกัน ในความคิดของเอลไลย่า การที่คนอย่างเธอได้เข้ามาเรียนที่นี่นั้น อาศัยโชคโดยแท้
                 
                      ใช้เวลาไม่นานนัก เอลไลย่ากับเคอัสก็เดินทางมาถึงหอพักสีน้ำเงิน ภายในห้องนั่งเล่นมีคนนั่งอยู่ 5 คน ทั้งหมดล้วนเป็นเด็กนักเรียนปี 2 เช่นเดียวกับเอลไลย่า คงจะรอรับประทานอาหารอยู่
                 
                      “นาธาน เจ้านั่นกำลังเคี้ยวอะไรอยู่น่ะ?”
                 
                      เคอัสจ้องเขม็งไปยังกระต่ายสีขาวตัวน้อยในมือของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ปากเล็กๆของมันกำลังเคี้ยวอะไรบางอย่างตุ้ยๆอย่างน่าเอร็ดอร่อย
                 
                      “ขนมโมจิ”
                 
                      ‘นาธาน มาทอร่า’ ตอบด้วยรอยยิ้มอย่างที่เขามักจะมีอยู่บนใบหน้าอันแสนจะอบอุ่นนั้นอยู่เป็นนิตย์ ผมสีเทาที่ยาวประบ่าถูกซอยเป็นทรงอย่างเท่ห์ ดวงตาสีม่วงคู่นั้นมีแววเอ็นดูเจ้ากระต่ายสีขาวที่ชื่อ “ดุกดิก ดุ๊กดิ๊ก” ในอ้อมแขน นับเป็นภาพที่สาวๆได้เห็นแล้วต้องกรี๊ด!
                 
                      เด็กสาวท่าทางใจดีคนหนึ่งผละออกจากหนังสือนิยายตรงหน้า และปราดเข้าไปหากระต่ายน้อยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
                 
                      “นาธาน! เธอให้คุณดุกดิกกินของอย่างนั้นได้ยังไงกัน? มันไม่ดีต่อท้องของเขานะ”
                 
                      เจ้ากระต่ายสีขาวถูกเปลี่ยนมือมาอยู่กับเจ้าของที่แท้จริงทันที เด็กสาวลูบขนนุ่มๆของมันด้วยความห่วงใย แต่ดุกดิกก็ยังเคี้ยวขนมของมันอย่างไม่สนใจ
                 
                      “ไม่เป็นอะไรหรอกน่าเมอลินด้า กินแต่ผักกาดม่วงมันเบื่อจะแย่แล้ว”
                 
                      นัยน์ตาสีอำพันตวัดค้อน
                 
                      “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กระต่ายที่ไหนเขากินขนมโมจิกัน?”
                 
                      ประโยคหลังนั้น ‘เมอลินด้า คอสโมส’ จงใจพูดกับเจ้ากระต่ายในมือมากกว่าจะพูดกับนาธาน แต่เจ้าดุกดิกต้นเรื่องก็หาได้รู้เรื่องไม่ มันมองหาของที่พอจะเคี้ยวได้ต่อไป ลงท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ปลายผมสีน้ำตาลอ่อนของเมอลินด้าที่ถักเอาไว้เป็นเปียเดี่ยวยาวลงมาถึงกลางหลัง แต่เจ้าตัวปัดมันไปไว้ข้างหน้าทำให้กระต่ายน้อยแทะเล็มหางเปียได้อย่างสบายๆ
                 
                      “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ แต่ที่ฉันถามน่ะนะ เพราะอยากจะรู้ว่านายเอาขนมโมจิที่ไหนมาให้มันกินต่างหาก!” เคอัสจ้องหน้านาธานอย่างเอาเรื่อง
                 
                      “คงไม่ใช่ขนมโมจิสุดแสนอร่อยของฉันที่พ่อส่งมาให้จากบ้านหรอกนะ”
                 
                        นาธานยักไหล่ก่อนหยิบถุงขนมข้างๆขึ้นมา
                 
                      “ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่วางอยู่ตรงนี้ใช่ของนายรึเปล่าล่ะ?”
                 
                      “อย่าบอกนะว่า .” เคอัสตะลึงอ้าปากค้าง
                 
                      “ไม่น้าาาาา! ขนมโมจิของฉัน!!! นายเอาขนมโมจิฉันไปให้มันกินได้ไงเนี่ย?! ของยิ่งมีน้อยๆอยู่ด้วย นายรู้มั้ยว่าร้านนี้นะดังมากขนาดคนมารอต่อคิวซื้อกันตั้งแต่เช้ามืดเชียวนะ แถมในแต่ละวันก็มีจำนวนจำกัดด้วย”
                 
                      “แต่หวานไปหน่อยนะฉันว่า” เอลไลย่าพูดขึ้น
                 
                      “ใช่ๆ กินเยอะๆแล้วเลี่ยนนะเนี่ย ต้องกินกับชาถึงจะดี” นาธานช่วยเสริม
                 
                      เคอัสหันไปมองอีกครั้งก็พบว่าเอลไลย่าได้นั่งลงข้างๆนาธานแล้ว และทั้งสองก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวขนมโมจิที่ว่าอร่อยนักหนานั้นอย่างหน้าตาเฉย แถมยังร่วมกันวิจารณ์ขนมของเขาอีกต่างหาก
                 
                      “อะไรนะ?!!! นี่พวกนายกินขนมของชาวบ้านแล้วยังมาวิจารณ์ว่าไม่อร่อยอีกเหรอ?!! ทั้งๆที่มันสุดจะหอมหวาน นุ่มลึกในรสชาติซะขนาดนี้เนี่ยนะ?! ลิ้นไม่ถึงเอาซะเลย เออ!ไม่อร่อยก็ไม่ต้องกิน ดี ไม่เปลือง!! เสียดายของจริงๆให้พวกนายกินเนี่ย เอาคืนมาเลย”
                 
                      “โอ๊ย!! กับแค่ขนมไม่กี่ชิ้น โวยวายซะอย่างกับหางโดนไฟไหม้”
                 
                      ‘แอมเบอร์ อิลเลนนอยด์’ ตวาดขึ้นมาอย่างโมโห ขณะสะบัดผมสีน้ำตาลอ่อนตรงสลวยนั้นไปข้างหลังอย่างรำคาญ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่เล็บอันงดงามของเธอและก้มหน้าก้มตาขัดมันต่อไป
                 
                      “เจ๊ขัดกีบหน้าของตัวเองอยู่เงียบๆนั่นแหละ ไม่ต้องยุ่งเลย!”
                 
                      “ไม่ล่ะ! ช่วยขัดเขาของนายให้มันแหลมขึ้นดีกว่ามั้ง? โดนนกเอี้ยงเกาะจนสึกหมดแล้วนี่!”
                 
                      “หนอย!! เอาเวลาไปขัดนอของตัวเองให้แหลมเถอะ!!”
                 
                      “ต๊าย!!! ใครมีนอกันยะ?! หยาบคายที่สุด!!”
                 
                      “โอย พอเถอะ ฉันต้องการสมาธิ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนแกมรำคาญ
                 
                      “เชอะ!!” แอมเบอร์สะบัดหน้าอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมหยุดสงครามน้ำลายแต่โดยดี
                 
                      ผู้เป็นกรรมการห้ามมวยกำลังเคร่งเครียดอยู่กับหมากกระดานข้างหน้า นัยน์ตาสีเขียวที่เมื่อก่อนถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้กรอบแว่นหนา หลังจากผ่านการทำเลสิค ‘จูปิไต แพทริออน’ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นให้เกะกะอีกต่อไป คิ้วสีดำเช่นเดียวกันกับสีผมขมวดเข้ากันอย่างเคร่งเครียดเพราะต้องใช้สมองหนัก
                 
                      ตรงกันข้ามกับอีกฝั่งของกระดานที่นั่งกอดอกอยู่นิ่งๆ นัยน์ตาสีน้ำเงินที่เยือกเย็นไม่ได้ฉายแววกังวลแต่อย่างใด ผมสีดำนั้นยาวขึ้นกว่าเมื่อก่อนทำให้ดูดีไปอีกแบบ จากเมื่อก่อนที่เป็นขวัญใจของสาวๆที่เรียกได้ว่าเกือบจะทั้งโรงเรียน เดี๋ยวนี้จะเรียกว่าทั้งโรงเรียนก็คงไม่ผิด!!
                 
                      ‘เจมิไน แอชเชอร์’ เลื่อนหมากในกระดานไปยังจุดที่คิดเอาไว้แล้ว โดยที่ไม่ต้องสัมผัสตัวหมากแต่อย่างใด เพียงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางบังคับการเคลื่อนที่ของตัวหมากจากบนอากาศเท่านั้น
                 
                      “ให้ตาย ” จูปิไตผ่อนลมหายใจยาว หลังจากใช้เวลาพักหนึ่งคิดหาทางออกให้กับเจ้าหมากตัวน้อยที่กำลังโดนรุมกินจากทุกทิศทาง
                 
                      “ฉันเดาทางนายไม่ออกจริงๆ ทั้งๆที่ความน่าจะเป็นของทางเดินหมากมันก็ชัดเจนขนาดนั้น .เฮ้อ! เอาเถอะ เล่นกับนายใช้หลักความน่าจะเป็นมาช่วยไม่ได้เรื่องซะที แพ้อีกแล้วรึเนี่ย? ”
                 
                      “ต่อไปก็ไม่แน่ ” เจมิไนผู้สงวนถ้อยคำวาจากล่าวขึ้น และถ้าจูปิไตเข้าใจไม่ผิด นี่นับเป็นประโยคที่สามของวันนี้
                 
                      “จบกระดานแล้วก็ไปกินข้าวกันเถอะจ๊ะ เอลไลย่าก็มาแล้ว ” เมอลินด้าพูดพลางอุ้มกระต่ายน้อยลุกขึ้นยืน
                 
                      “ดีเหมือนกัน หิวจะแย่” เคอัสวิ่งไปยังโต๊ะอาหารเป็นคนแรก
                 
                      อีก 5 คนก็ทยอยกันตามเคอัสไปที่โต๊ะอาหารบ้าง ยกเว้นแอมเบอร์ที่ขอขัดเป็นเล็บสุดท้าย และในขณะที่วางที่ขัดเล็บลงข้างกายนั้นเอง เธอก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
                 
                      อะไรบางอย่างที่ใครบางคนทิ้งไว้
                 
                      พักหนึ่งต่อมาแอมเบอร์จึงไปโผล่ที่โต๊ะอาหาร เธอสังเกตว่ามีเพียงเพื่อนๆของเธอ 6 คนเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารของหอพักที่เป็นโต๊ะกระจกใสขนาด 35 คนนั่ง นักเรียนชั้นอื่นๆของสีน้ำเงินคงรับประทานอาหารเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว
                 
                      “เจ๊ไปทำอะไรมา? ชักช้าอืดอาด หรือใช้แค่ขาหลังเลยเดินไม่ถนัด ไม่ใช้ขาหน้าช่วยเดินอย่างปกติล่ะ?” เคอัสเริ่มโจมตีทันทีที่คู่กรณีมาถึง
                 
                      “บังอาจมาว่าผู้หญิงตัวเล็กๆน่ารักๆอย่างงี้ได้ยังไงกันยะ?!”
                 
                      “ตัวเล็กเหมือนช้างน้ำ น่ารักเหมือนตุ๊กแก”
                 
                      แอมเบอร์กัดฟันกรอดกำมือแน่น ก่อนระเบิดประโยคต่อมาด้วยเสียงความถี่สูงปรี๊ด
                 
                      “ถึงจะเป็นช้างน้ำก็เป็นช้างน้ำที่ตัวเล็กหุ่นดีที่สุด ถึงจะเป็นตุ๊กแกก็เป็นตุ๊กแกนางงามย่ะ!!!”
                 
                      “ช้างน้ำตัวเล็ก?! ตุ๊กแกนางงาม?!”
                 
                      เคอัสระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่ว ในขณะที่คนอื่นๆก็แอบอมยิ้ม แต่ก็รีบกลับมาเป็นสีหน้าปกติทันทีก่อนที่แอมเบอร์จะเห็น
                 
                      “ถ้างั้นดีเลย จะแนะนำให้รู้จักกับเคเค พาโกด้า”
                 
                      “ใคร?!”
                 
                      “ตุ๊กแกที่ฉันเลี้ยงไว้ ตุ๊กแกชั้นสูงของเจ้าชายรัชทายาทเลยนะ ฉันเสียสละยกให้เพราะเห็นว่าเหมาะสมกันดีไง ตุ๊กแกเจ้าชายกับตุ๊กแกนางงาม คงจะได้ลูกออกมาน่ารักน่าเอ็นดูเชียวละ พ่อเคเค แม่แอมเบอร์ ลูกอะไรดีล่ะ? แคมเคอร์ หรือ เอเบ เอ๊ะหรือจะเป็น แอมแอม ดี”
                 
                      ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยอารมณ์โกรธ แต่แอมเบอร์ถือไพ่เหนือกว่าไว้ในมือจึงพยายามสงบอารมณ์ และชูถุงขนมโมจิขึ้นมา
                 
                      “งั้นก็ขนมบ้านี่ก็ไม่ต้องกงต้องกินมันก็แล้วกัน!!! ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจถือมาให้!!!”
                 
                      นัยน์ตาสีแดงลุกวาวเมื่อมองมาเห็นขนมโมจิสุดที่รักในมือของแอมเบอร์จนถึงกับลืมชื่อตุ๊กแกน้อยตัวอื่นๆไปหมด โมจิจ๋า
                 
                      “โถ่ แอมเบอร์คนสวย ช่างมีน้ำใจ ถือมาให้ก็ไม่บอก ขอบคุณนะ”
                 
                      “โห เคอัส ทีเรื่องกินล่ะก็ แอมเบอร์คนสวยเชียวนะ” เอลไลย่าแขวะ   
                 
                      แต่เคอัสเมื่อได้ขนมมาก็ไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป ส่งขนมโมจิเข้าปากด้วยสีหน้าระรื่นทันที หากเพียงได้สัมผัสในรสชาติ ขนมโมจิก็กระเด็นกลับออกมาแทบจะในทันที น้ำในแก้วถูกกระดกรวดเดียวหมด ไม่พอ น้ำในแก้วของจูปิไตที่อยู่ข้างๆก็โดนไปด้วย
                 
                      “โฮะ ๆๆๆๆ”
                 
                      เสียงหัวเราะด้วยความสะใจของนางมารร้ายดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องอาหาร ในขณะที่เคอัสส่งสายตาอาฆาตแค้นตรงมาเพราะเพิ่งจะได้ลิ้มรสขนมโมจิคลุกเกลือไส้พริกป่นเข้าไปเต็มๆ!!!
                  “เอลไลย่า!!”
                 
                  เด็กสาวสะดุ้งตื่นตามเสียงเรียกทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นอย่างไม่ค่อยรู้สึกอยากสักเท่าใดนัก ผมสีเดียวกันกับนัยน์ตาที่ถูกรัดไว้อย่างลวกๆปลิวไสวไปตามสายลมขณะที่เจ้าตัวขยี้ตาทั้งสองข้าง
                 
                  “หาตั้งนาน มาแอบหลับอยู่นี่เอง ”
                 
                  ‘เอลไลย่า เอิร์ทธิเนส’ ดันตัวลุกขึ้นมาครึ่งนั่งครึ่งนอนท่ามกลางทุ่งดอกไม้หลากสีสันที่สูงบดบังเธอเอาไว้ กลิ่นดอกไม้อบอวลในบรรยากาศช่างหอมหวนชวนให้สดชื่น แตกต่างกับกลิ่นอับชื้นในตรอกเล็กๆนั่นอย่างสิ้นเชิง ท้องฟ้าเบื้องบนกระจ่างใสและไม่ได้ถูกบดบังด้วยตึกสูงๆ ไม่มีตรอก ไม่มีชายหนุ่มผมบลอนด์ที่เห็นเพียงเบื้องหลัง ไม่มีหญิงชรา ไม่มีสร้อยไข่มุก ไม่มี
                 
                    เอลไลย่าเริ่มนึก ใช่แล้ว เธอไม่ได้อยู่ในตรอกเล็กๆแห่งนั้น เพียงแต่ผล็อยหลับไปภายใต้ผ้าห่มล่องหนที่ถักทอด้วยสายลมอันอบอุ่นท่ามกลางดอกไม้หลากสีสัน ก็แค่ฝันเท่านั้นเอง
                 
                    ฝันหรอกเหรอ แต่ ราวกับได้ไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ช่างเหมือนจริงอะไรอย่างนี้
                 
                    เอลไลย่าล้มตัวลงนอนและหลับตาลงอีกครั้ง ภาพเมื่อครู่ยังคงกระจ่างชัดอยู่ในความทรงจำ โดยเฉพาะ ตัวอักษรประหลาดนั่น มันคงจะเป็นเพียงแค่ฝัน แต่ถึงกระนั้นมันก็สร้างความสับสนว้าวุ่นในจิตใจของเธออย่างยิ่ง เมื่ออักษรเหล่านั้นเป็นอักษรที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี ภาษาที่เธอสามารถเข้าใจอย่างที่ไม่มีใครที่ไหนบนดาวเคราะห์แห่งนี้ทำได้
                 
                    ภาษาเทพ!!
                 
                    “เฮ้!! จะหลับต่ออีกหรือไง ตื่นได้แล้ว ไปกินข้าวกัน”
                 
                    ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันผู้มีนัยน์ตาสีแดงกับผมสีน้ำตาลแดงที่เมื่อก่อนเคยตั้งชี้ไปชี้มา บัดนี้ยาวลงมาจนไม่ตั้งชี้อีกต่อไปและถูกซอยเป็นทรงจนเรียกได้ว่าดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนขึ้นเป็นกอง
                 
                    “เป็นถึงองค์ชายรัชทายาท แต่ไม่ได้มีความอดทนเอาซะบ้างเลย วันข้างหน้าจะเป็นนักปกครองที่ดีได้ยังไง”
                 
                    เอลไลย่าบ่นขณะดันตัวลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน พยายามจะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด และไม่คิดถึงความฝันเมื่อครู่ ไม่อยากให้คนอื่นต้องมากังวลไปกับเธอเพราะแค่เรื่องฝัน กังวลเรื่องอะไรไม่เป็นเรื่อง
                 
                    ‘เคอัส แฟลมไมร์’ ยื่นมือออกไปช่วยเอลไลย่าลุก แต่ก็ยังคงไม่ยอมแพ้
                 
                    “รู้มั้ยว่าฉันใช้เวลานานแค่ไหนในการตามหาเธอเนี่ย ยังเรียกว่าไม่มีความอดทนได้ยังไง?”
                 
                    “นานแค่ไหนล่ะ?”
                 
                    “เป็นชั่วโมงแล้ว หิวจะแย่ หิ้วท้องรอได้นานขนาดนี้ต้องมีความอดทนระดับฉันเท่านั้นแหละที่ทำได้”
                 
                    เอลไลย่าหัวเราะขำ ก่อนออกเดินนำเพื่อนกลับไปยังหอพักสีน้ำเงินแห่งโรงเรียน S.O.S.
                 
                    โรงเรียน S.O.S (School Of Special) โรงเรียนสำหรับมนุษย์พิเศษที่มีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆแห่งหนึ่งของดาวเคราะห์ที่ชื่อ “เอออร์ต้า” ดวงนี้ ที่ซึ่งสอนให้มนุษย์พิเศษรู้จักควบคุมพลังของตนเองที่เรียกกันว่า “พลังออลซอร์ท” พลังที่สามารถควบคุมธาตุต่างๆได้ เป็นความสามารถที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆได้แต่ฝันถึง มนุษย์พิเศษทั่วทั้งดาวต่างก็ปรารถนาที่จะให้ลูกของตนได้มาอยู่ในรั้วโรงเรียนที่โด่งดังแห่งนี้ แต่จำนวนที่รับในแต่ละปีนั้นก็ช่างน้อยนิด คือ 49 คนต่อปีเท่านั้น โดยเด็กนักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็นสีๆทั้งหมด 7 สีด้วยกัน ได้แก่ สีม่วง สีฟ้า สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง โดยมีระดับชั้นตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 5 วิธีการสอบเข้านั้นก็อาศัยฝีมือและโชคอย่างที่ไม่มีโรงเรียนที่ไหนทำกัน ในความคิดของเอลไลย่า การที่คนอย่างเธอได้เข้ามาเรียนที่นี่นั้น อาศัยโชคโดยแท้
                 
                      ใช้เวลาไม่นานนัก เอลไลย่ากับเคอัสก็เดินทางมาถึงหอพักสีน้ำเงิน ภายในห้องนั่งเล่นมีคนนั่งอยู่ 5 คน ทั้งหมดล้วนเป็นเด็กนักเรียนปี 2 เช่นเดียวกับเอลไลย่า คงจะรอรับประทานอาหารอยู่
                 
                      “นาธาน เจ้านั่นกำลังเคี้ยวอะไรอยู่น่ะ?”
                 
                      เคอัสจ้องเขม็งไปยังกระต่ายสีขาวตัวน้อยในมือของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ปากเล็กๆของมันกำลังเคี้ยวอะไรบางอย่างตุ้ยๆอย่างน่าเอร็ดอร่อย
                 
                      “ขนมโมจิ”
                 
                      ‘นาธาน มาทอร่า’ ตอบด้วยรอยยิ้มอย่างที่เขามักจะมีอยู่บนใบหน้าอันแสนจะอบอุ่นนั้นอยู่เป็นนิตย์ ผมสีเทาที่ยาวประบ่าถูกซอยเป็นทรงอย่างเท่ห์ ดวงตาสีม่วงคู่นั้นมีแววเอ็นดูเจ้ากระต่ายสีขาวที่ชื่อ “ดุกดิก ดุ๊กดิ๊ก” ในอ้อมแขน นับเป็นภาพที่สาวๆได้เห็นแล้วต้องกรี๊ด!
                 
                      เด็กสาวท่าทางใจดีคนหนึ่งผละออกจากหนังสือนิยายตรงหน้า และปราดเข้าไปหากระต่ายน้อยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
                 
                      “นาธาน! เธอให้คุณดุกดิกกินของอย่างนั้นได้ยังไงกัน? มันไม่ดีต่อท้องของเขานะ”
                 
                      เจ้ากระต่ายสีขาวถูกเปลี่ยนมือมาอยู่กับเจ้าของที่แท้จริงทันที เด็กสาวลูบขนนุ่มๆของมันด้วยความห่วงใย แต่ดุกดิกก็ยังเคี้ยวขนมของมันอย่างไม่สนใจ
                 
                      “ไม่เป็นอะไรหรอกน่าเมอลินด้า กินแต่ผักกาดม่วงมันเบื่อจะแย่แล้ว”
                 
                      นัยน์ตาสีอำพันตวัดค้อน
                 
                      “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กระต่ายที่ไหนเขากินขนมโมจิกัน?”
                 
                      ประโยคหลังนั้น ‘เมอลินด้า คอสโมส’ จงใจพูดกับเจ้ากระต่ายในมือมากกว่าจะพูดกับนาธาน แต่เจ้าดุกดิกต้นเรื่องก็หาได้รู้เรื่องไม่ มันมองหาของที่พอจะเคี้ยวได้ต่อไป ลงท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ปลายผมสีน้ำตาลอ่อนของเมอลินด้าที่ถักเอาไว้เป็นเปียเดี่ยวยาวลงมาถึงกลางหลัง แต่เจ้าตัวปัดมันไปไว้ข้างหน้าทำให้กระต่ายน้อยแทะเล็มหางเปียได้อย่างสบายๆ
                 
                      “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ แต่ที่ฉันถามน่ะนะ เพราะอยากจะรู้ว่านายเอาขนมโมจิที่ไหนมาให้มันกินต่างหาก!” เคอัสจ้องหน้านาธานอย่างเอาเรื่อง
                 
                      “คงไม่ใช่ขนมโมจิสุดแสนอร่อยของฉันที่พ่อส่งมาให้จากบ้านหรอกนะ”
                 
                        นาธานยักไหล่ก่อนหยิบถุงขนมข้างๆขึ้นมา
                 
                      “ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่วางอยู่ตรงนี้ใช่ของนายรึเปล่าล่ะ?”
                 
                      “อย่าบอกนะว่า .” เคอัสตะลึงอ้าปากค้าง
                 
                      “ไม่น้าาาาา! ขนมโมจิของฉัน!!! นายเอาขนมโมจิฉันไปให้มันกินได้ไงเนี่ย?! ของยิ่งมีน้อยๆอยู่ด้วย นายรู้มั้ยว่าร้านนี้นะดังมากขนาดคนมารอต่อคิวซื้อกันตั้งแต่เช้ามืดเชียวนะ แถมในแต่ละวันก็มีจำนวนจำกัดด้วย”
                 
                      “แต่หวานไปหน่อยนะฉันว่า” เอลไลย่าพูดขึ้น
                 
                      “ใช่ๆ กินเยอะๆแล้วเลี่ยนนะเนี่ย ต้องกินกับชาถึงจะดี” นาธานช่วยเสริม
                 
                      เคอัสหันไปมองอีกครั้งก็พบว่าเอลไลย่าได้นั่งลงข้างๆนาธานแล้ว และทั้งสองก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวขนมโมจิที่ว่าอร่อยนักหนานั้นอย่างหน้าตาเฉย แถมยังร่วมกันวิจารณ์ขนมของเขาอีกต่างหาก
                 
                      “อะไรนะ?!!! นี่พวกนายกินขนมของชาวบ้านแล้วยังมาวิจารณ์ว่าไม่อร่อยอีกเหรอ?!! ทั้งๆที่มันสุดจะหอมหวาน นุ่มลึกในรสชาติซะขนาดนี้เนี่ยนะ?! ลิ้นไม่ถึงเอาซะเลย เออ!ไม่อร่อยก็ไม่ต้องกิน ดี ไม่เปลือง!! เสียดายของจริงๆให้พวกนายกินเนี่ย เอาคืนมาเลย”
                 
                      “โอ๊ย!! กับแค่ขนมไม่กี่ชิ้น โวยวายซะอย่างกับหางโดนไฟไหม้”
                 
                      ‘แอมเบอร์ อิลเลนนอยด์’ ตวาดขึ้นมาอย่างโมโห ขณะสะบัดผมสีน้ำตาลอ่อนตรงสลวยนั้นไปข้างหลังอย่างรำคาญ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่เล็บอันงดงามของเธอและก้มหน้าก้มตาขัดมันต่อไป
                 
                      “เจ๊ขัดกีบหน้าของตัวเองอยู่เงียบๆนั่นแหละ ไม่ต้องยุ่งเลย!”
                 
                      “ไม่ล่ะ! ช่วยขัดเขาของนายให้มันแหลมขึ้นดีกว่ามั้ง? โดนนกเอี้ยงเกาะจนสึกหมดแล้วนี่!”
                 
                      “หนอย!! เอาเวลาไปขัดนอของตัวเองให้แหลมเถอะ!!”
                 
                      “ต๊าย!!! ใครมีนอกันยะ?! หยาบคายที่สุด!!”
                 
                      “โอย พอเถอะ ฉันต้องการสมาธิ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนแกมรำคาญ
                 
                      “เชอะ!!” แอมเบอร์สะบัดหน้าอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมหยุดสงครามน้ำลายแต่โดยดี
                 
                      ผู้เป็นกรรมการห้ามมวยกำลังเคร่งเครียดอยู่กับหมากกระดานข้างหน้า นัยน์ตาสีเขียวที่เมื่อก่อนถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้กรอบแว่นหนา หลังจากผ่านการทำเลสิค ‘จูปิไต แพทริออน’ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นให้เกะกะอีกต่อไป คิ้วสีดำเช่นเดียวกันกับสีผมขมวดเข้ากันอย่างเคร่งเครียดเพราะต้องใช้สมองหนัก
                 
                      ตรงกันข้ามกับอีกฝั่งของกระดานที่นั่งกอดอกอยู่นิ่งๆ นัยน์ตาสีน้ำเงินที่เยือกเย็นไม่ได้ฉายแววกังวลแต่อย่างใด ผมสีดำนั้นยาวขึ้นกว่าเมื่อก่อนทำให้ดูดีไปอีกแบบ จากเมื่อก่อนที่เป็นขวัญใจของสาวๆที่เรียกได้ว่าเกือบจะทั้งโรงเรียน เดี๋ยวนี้จะเรียกว่าทั้งโรงเรียนก็คงไม่ผิด!!
                 
                      ‘เจมิไน แอชเชอร์’ เลื่อนหมากในกระดานไปยังจุดที่คิดเอาไว้แล้ว โดยที่ไม่ต้องสัมผัสตัวหมากแต่อย่างใด เพียงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางบังคับการเคลื่อนที่ของตัวหมากจากบนอากาศเท่านั้น
                 
                      “ให้ตาย ” จูปิไตผ่อนลมหายใจยาว หลังจากใช้เวลาพักหนึ่งคิดหาทางออกให้กับเจ้าหมากตัวน้อยที่กำลังโดนรุมกินจากทุกทิศทาง
                 
                      “ฉันเดาทางนายไม่ออกจริงๆ ทั้งๆที่ความน่าจะเป็นของทางเดินหมากมันก็ชัดเจนขนาดนั้น .เฮ้อ! เอาเถอะ เล่นกับนายใช้หลักความน่าจะเป็นมาช่วยไม่ได้เรื่องซะที แพ้อีกแล้วรึเนี่ย? ”
                 
                      “ต่อไปก็ไม่แน่ ” เจมิไนผู้สงวนถ้อยคำวาจากล่าวขึ้น และถ้าจูปิไตเข้าใจไม่ผิด นี่นับเป็นประโยคที่สามของวันนี้
                 
                      “จบกระดานแล้วก็ไปกินข้าวกันเถอะจ๊ะ เอลไลย่าก็มาแล้ว ” เมอลินด้าพูดพลางอุ้มกระต่ายน้อยลุกขึ้นยืน
                 
                      “ดีเหมือนกัน หิวจะแย่” เคอัสวิ่งไปยังโต๊ะอาหารเป็นคนแรก
                 
                      อีก 5 คนก็ทยอยกันตามเคอัสไปที่โต๊ะอาหารบ้าง ยกเว้นแอมเบอร์ที่ขอขัดเป็นเล็บสุดท้าย และในขณะที่วางที่ขัดเล็บลงข้างกายนั้นเอง เธอก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
                 
                      อะไรบางอย่างที่ใครบางคนทิ้งไว้
                 
                      พักหนึ่งต่อมาแอมเบอร์จึงไปโผล่ที่โต๊ะอาหาร เธอสังเกตว่ามีเพียงเพื่อนๆของเธอ 6 คนเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารของหอพักที่เป็นโต๊ะกระจกใสขนาด 35 คนนั่ง นักเรียนชั้นอื่นๆของสีน้ำเงินคงรับประทานอาหารเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว
                 
                      “เจ๊ไปทำอะไรมา? ชักช้าอืดอาด หรือใช้แค่ขาหลังเลยเดินไม่ถนัด ไม่ใช้ขาหน้าช่วยเดินอย่างปกติล่ะ?” เคอัสเริ่มโจมตีทันทีที่คู่กรณีมาถึง
                 
                      “บังอาจมาว่าผู้หญิงตัวเล็กๆน่ารักๆอย่างงี้ได้ยังไงกันยะ?!”
                 
                      “ตัวเล็กเหมือนช้างน้ำ น่ารักเหมือนตุ๊กแก”
                 
                      แอมเบอร์กัดฟันกรอดกำมือแน่น ก่อนระเบิดประโยคต่อมาด้วยเสียงความถี่สูงปรี๊ด
                 
                      “ถึงจะเป็นช้างน้ำก็เป็นช้างน้ำที่ตัวเล็กหุ่นดีที่สุด ถึงจะเป็นตุ๊กแกก็เป็นตุ๊กแกนางงามย่ะ!!!”
                 
                      “ช้างน้ำตัวเล็ก?! ตุ๊กแกนางงาม?!”
                 
                      เคอัสระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่ว ในขณะที่คนอื่นๆก็แอบอมยิ้ม แต่ก็รีบกลับมาเป็นสีหน้าปกติทันทีก่อนที่แอมเบอร์จะเห็น
                 
                      “ถ้างั้นดีเลย จะแนะนำให้รู้จักกับเคเค พาโกด้า”
                 
                      “ใคร?!”
                 
                      “ตุ๊กแกที่ฉันเลี้ยงไว้ ตุ๊กแกชั้นสูงของเจ้าชายรัชทายาทเลยนะ ฉันเสียสละยกให้เพราะเห็นว่าเหมาะสมกันดีไง ตุ๊กแกเจ้าชายกับตุ๊กแกนางงาม คงจะได้ลูกออกมาน่ารักน่าเอ็นดูเชียวละ พ่อเคเค แม่แอมเบอร์ ลูกอะไรดีล่ะ? แคมเคอร์ หรือ เอเบ เอ๊ะหรือจะเป็น แอมแอม ดี”
                 
                      ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยอารมณ์โกรธ แต่แอมเบอร์ถือไพ่เหนือกว่าไว้ในมือจึงพยายามสงบอารมณ์ และชูถุงขนมโมจิขึ้นมา
                 
                      “งั้นก็ขนมบ้านี่ก็ไม่ต้องกงต้องกินมันก็แล้วกัน!!! ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจถือมาให้!!!”
                 
                      นัยน์ตาสีแดงลุกวาวเมื่อมองมาเห็นขนมโมจิสุดที่รักในมือของแอมเบอร์จนถึงกับลืมชื่อตุ๊กแกน้อยตัวอื่นๆไปหมด โมจิจ๋า
                 
                      “โถ่ แอมเบอร์คนสวย ช่างมีน้ำใจ ถือมาให้ก็ไม่บอก ขอบคุณนะ”
                 
                      “โห เคอัส ทีเรื่องกินล่ะก็ แอมเบอร์คนสวยเชียวนะ” เอลไลย่าแขวะ   
                 
                      แต่เคอัสเมื่อได้ขนมมาก็ไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป ส่งขนมโมจิเข้าปากด้วยสีหน้าระรื่นทันที หากเพียงได้สัมผัสในรสชาติ ขนมโมจิก็กระเด็นกลับออกมาแทบจะในทันที น้ำในแก้วถูกกระดกรวดเดียวหมด ไม่พอ น้ำในแก้วของจูปิไตที่อยู่ข้างๆก็โดนไปด้วย
                 
                      “โฮะ ๆๆๆๆ”
                 
                      เสียงหัวเราะด้วยความสะใจของนางมารร้ายดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องอาหาร ในขณะที่เคอัสส่งสายตาอาฆาตแค้นตรงมาเพราะเพิ่งจะได้ลิ้มรสขนมโมจิคลุกเกลือไส้พริกป่นเข้าไปเต็มๆ!!!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น