ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Is It Really YOU' My PET(s) คฤหาสน์อลวน สัตว์เลี้ยงอลเวง!

    ลำดับตอนที่ #2 : +DAY 00+ ปฐมบทฉบับขนมปังรสจืด(?)

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 56









    DAY 00 :: ปฐมบทฉบับขนมปังรสจืด(?)

    ...

    “ขนมปังรสจืดแล้วกัน”

    “เฮ้ นายนะวันๆจะเอาแต่ส่งแป้งผสมยีสต์ไร้รสสัมผัสแบบนั้นเข้าไปส่งมอบพลังงานให้กับร่างกายจริงๆเรอะ!!!

    “ถ้านายกำลังถามฉันว่าฉันจะกินขนมปังรสจืดทุกวันจริงๆรึเปล่าล่ะก็...ใช่”

    ...

    เดี๋ยวสิ...แล้วทำไมต้องขนมปังรสจืด(?)

    ...

     

              สำหรับนิยายสไตล์นี้(?) บางทีคงต้องขึ้นต้นด้วยบรรยากาศราวเทพยายของการตื่นนอนยามเช้าของตัวเองสินะ...อะไรอย่างพวก ท้องฟ้าสดใส แสงแดดรำไรส่องผ่านผ้าม่านผืนบาง และเสียงนกที่เล็ดลอดเข้ามา ช่างเป็นฉากเปิดตัวที่เฟอร์เฟ็คจริงๆ...

     

              “พี่ชายยยยยยยยยยยยยยยย ย”

     

              ...มันก็แค่ความฝันแหละครับ

     

              ตุ้บ! อ่า...ตอนนี้เป็นยามเช้าก็จริง แต่สำหรับผม เลอร์ลีส รีลเพียร์ เด็กหนุ่มมัธยมปลายปีสองหน้าตาบ้านๆคนหนึ่งแล้ว คงจะไม่มีฉากเปิดตัวที่เฟอร์เฟ็คอย่างในเทพนิยายแต่อย่างไร นอกจากน้ำหนัก 34 กิโล. ที่กดลงมาเต็มๆนี่หรอกครับ

     

              “พี่ชายๆๆๆๆ ๆ ตื่นสิฮะๆ”

     

              สงสัยเพราะเห็นผมยังไม่มีการเคลื่อนไหว เจ้าของน้ำหนัก 34 กิโล. ถึงได้เรียกพร้อมกับเขย่าตัวผมแบบนี้ ...เขย่าเบาๆก็ได้ครับคุณน้องชาย ไหล่จะหลุด(?)

     

              “พ...พี่ชาย ย...อย่าบอกนะว่า.... ม๊ายยยยยยย ย พี่ชาย อย่าเพิ่งจากผมไปสิฮะ ตื่นสิฮะ ตื่นๆๆๆ ๆ พี่ช๊ายยยยยยยยยย ย”

     

              อ่า...เสียงระดับ 180 เดซิเบล(?)ขึ้นที่ดังอยู่ข้างหูผมมันเหมือนจะทำให้ขี้หูกระโดดออกมาเต้นระบำโคคาโคล่า(?)ได้ยังไงอย่างงั้นเลยล่ะครับ เชื่อเถอะว่าถ้าผมไม่ตื่นตอนนี้...ผมก็ไม่มีสิทธิ์ได้ตื่นอีกตลอดกาล(?)

     

              “ตื่นแล้วๆ”

     

              บอกออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียฉบับคนเพิ่งตื่นนอนธรรมดาๆ แต่ดูเหมือนมันจะมีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้เสียงง้องแง้งระดับ 180 เดซิเบลอัพข้างๆหูหยุดลงได้

     

              “พี่ชาย...โล่งอกไปที”

     

              เมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่พบไม่ใช่เพดานห้องตามปกติแต่อย่างใด แต่มันคือใบหน้าของเด็กอายุ 9 ขวบ เจ้าของน้ำหนัก 34 กิโล. ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งแหมะอยู่บนตัวของผมหลังจากที่กระโดดชาร์ตตัวมาจากระยะหน้าประตูห้องและลงจอดลงบนตัวผมได้อย่างพอดิบพอดี(?)

     

              ผมมองใบหน้าที่แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกับเลยของน้องชายตัวเองที่กำลังแผ่รังสีความโชตะออกมา(?) คนตรงหน้าคือ เจมส์ รีลเพียร์ น้องในไส้แท้ๆของผมซึ่งแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลยซักนิด เริ่มตั้งแต่ดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่โตตามฉบับเด็ก ป.5(?) เส้นผมตัดสั้นระต้นคอสีม่วงแดงเข้ม แล้วไหนจะยังใบหน้าหวานติดเจ้าเล่ห์นิดๆที่ฉายแววหล่อแต่เด็ก(?)อีก เมื่อเทียบกับผม เด็กหนุ่มหน้าตาบ้านๆธรรมดาๆ มีผมสั้นสีน้ำตาลแบบธรรมดาๆ แล้วก็ต้องตาสีเขียวแบบธรรมดาๆอีกคู่(?) จะให้บอกใครก็คงไม่มีทางเชื่อครับว่านี่น่ะน้องชายผม

     

              “พี่ชายฮะ วันนี้ไปส่งผมที่โรงเรียนหน่อยสิฮะ”

     

              หลังจากที่เห็นผมแน่นิ่งไปอีกครั้ง(?) เจ้าน้องชายผู้แสนจะหล่อเกินหน้าเกินตาก็ค่อนๆปีน(?)ลงจากตัวผม เขาบอกพร้อมส่งสายตาที่ไม่ต่างจากลูกหมาหิวนม(?)มาให้ แน่นอนว่าจริงๆแล้วผมก็ต้องไปส่งเขาทุกเช้าอยู่แล้ว ...เพราะมันเป็นทางผ่านไปโรงเรียนน่ะครับ

     

              “รู้แล้วๆ”

     

             ผมเอ่ยบอกปัดๆไป ก่อนจะเริ่มธุระยามเช้าของตัวเอง บ้านหลังนี้ เป็นบ้านที่ไม่ได้ใหญ่ขนาดหรูหราโอ่อ่าระดับคฤหาสน์ แต่ก็ไม่ได้เล็กเท่ารังหนูแต่อย่างใด เรียกว่าเป็นบ้านขนาดพอเหมาะสำหรับครอบครัวเล็กๆที่มีกันอยู่ 4 คน มีบริเวณพอสมควร อยู่กันได้แบบไม่อึดอัด และยิ่งโดยเฉพาะกับครอบครัวของผมที่มักจะมีคนอยู่บ้านแค่ 2 คน เท่านั้น นั่นก็คือผมกับน้องชาย ส่วนพ่อกับแม่...คงไม่มีอะไรจะอธิบายได้ชัดเจนไปกว่าคำว่า บ้างาน กันทั้งคู่

     

              ผมใช้เวลาจัดการกับตัวเองไม่นานก็เดินลงมาชั้นล่าง เลี้ยวเข้าไปหยิบนมรสจืดที่อัดแน่นอยู่เต็มตู้เย็นด้วยอภินันทนาการจากคุณแม่บังเกิดเกล้าขึ้นมาดื่มพอเป็นพิธี จากนั้นก็วกเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเรียกน้องชาย ซึ่งมักจะใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นเสียส่วนใหญ่

     

              “...เพิ่มความสวย เฉียบ คม ให้กับผู้หญิงทุกคนเพียงแค่ปัดมาสคาร่าXXX...”

     

              เสียงของทีวีที่เปิดอยู่ดังเข้ามาให้ได้ยิน ผมมองทีวีหน้าจอใหญ่คับบานที่คุณพ่อซื้อมาด้วยเหตุที่ว่าหาเวลาไปโรงหนังกับคุณแม่ไม่ค่อยได้ จึงซื้อมาติดไว้ที่บ้านเพื่อวันไหนอยากดูจะได้ไม่ต้องระเห็จไปรอรอบหนัง ในจอกำลังฉายโฆษณามาสคาร่ารุ่นใหม่ของบริษัทXXXอยู่ พรีเซนเตอร์คือหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามซึ่งถูกแต่งหน้าให้ดูสวยเฉียบและเซ็กซี่ด้วยหุ่นขนาดคัพไม่ต่ำกว่าDของเธอ(?)

     

              “คุณแม่สวยจังนะฮะ พี่ชาย”

     

              ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผู้หญิงที่กำลังเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาในทีวีนั้นคือคุณแม่แท้ๆของพวกผม โรซาน่า รีลเพียร์ นักแสดงสาวสวยผู้เป็นเจ้าแห่งวงการบันเทิง เธอเป็นหญิงสาวที่ต่อให้บอกว่ามีลูกมาแล้วถึงสองคนก็คงไม่มีใครเชื่อ หรือต่อให้บอกว่าตอนนี้เธออายุเฉียดเลขสี่เข้าไปทุกทีแล้วก็ยังคงเชื่อยาก เนื่องด้วยความสวย หุ่นดี ตามแบบฉบับนางแบบในอุดมคติ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมผมถึงไม่ได้รับยีนส์ความหน้าตาดีมากจากแม่บ้าง สิ่งที่ได้มาจากแม่เห็นทีจะมีแต่เส้นผมสีน้ำตาลเข้มนี่เท่านั้น ผิดกับคุณน้องชายที่ได้รับยีนส์ความหน้าตาดีจากทั้งพ่อและแม่มาเต็มๆ

     

              “อืม ไปโรงเรียนได้แล้ว”

     

              คิดแล้วก็ได้แต่ปลงครับ ...ช่วยบอกทีเถอะว่าผมเป็นพระเอกของเรื่องนี้จริงๆ แม้แต่ความหน้าตาดียังสู้เด็ก 9 ขวบไม่ได้(?) ผมมองเจมส์ที่กดปิดทีวี ก่อนจะกระโดดมาคล้องแขนผมเอาไว้เหมือนกลัวว่าผมจะหายไปได้เพียงแค่เขาคลาดสายตาซัก 3 วิ.ยังไงอย่างงั้น

     

              และแล้วเรื่องราวยามเช้าของผมก็จบลง...ซะเมื่อไรล่ะ เพราะเพียงแค่เปิดประตูออกมา สายตาผมก็ปะทะเข้ากับสิ่งมีชีวิตที่มีหน้าตาเหมือนเสือผู้หญิงที่ฟันสาวมาวันละไม่ต่ำกว่า 3 คน(?) ส่วนสูงเฟอร์เฟ็คเหยียบที่ 180 อัพ(?) ผิดกับผมที่ถึงจะอายุ 17 แล้วก็ยังสูงเพียงแค่ 170 กว่าๆเท่านั้น

     

              “ทักทายยามอพอลโลผ่านพ้นนิทราสุขสมอารมณ์หมายนะมายสหายสุดสนิทมิตรเพื่อนยากผักผลไม้จิ้มเกลือ”

     

              “อรุณสวัสดิ์ เอล”

     

              ผมเอ่ยตอบคำพูดยาวเฟื้อยที่จับใจความอะไรแทบไม่ได้ของสิ่งมีชีวิตที่หน้าตาเป็นอันตรายต่อผู้หญิงทั้งหลาย(?) คนตรงหน้าคือคนแปลกๆที่ไปได้มาไหนด้วยกันกับผมบ่อยๆ และเรียกผมว่าเพื่อนสนิท ทั้งๆที่ผมก็ไม่รู้ว่าผมไปเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าหมอนี่ตั้งแต่เมื่อไร เอลไมน์ เซเลเวียร์ เด็กหนุ่มผู้มีเส้นผมสีครีมตัดสั้นแต่ก็ไม่ได้สั้นจนเกรียน เรียกว่าอยู่ในระดับกำลังดูดี(?) ดวงตาสีแดงคมช่วยขับให้ใบหน้าดูหล่อเหลา ประกอบกับหุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นความใฝ่ฝันของผู้ชายหลายคน เรียกได้ว่าดูจะเฟอร์เฟ็คกว่าผมไปเสียทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องรอยหยักได้สมอง...อย่าคิดว่าผมมีรอยหยัดในสมองสูงกว่าคนปกติทั่วไปล่ะครับ แต่ไอ้คุณเพื่อนมันมีรอยหยักในสมองน้อยกว่าคนทั่วไปหลายเท่าต่างหาก

     

              “พี่ชาย ไปเถอะฮะ”

     

              เจมส์เรียก หลังจากที่ผมหลุดไปอยู่ในภวังค์เรื่องของความเฟอร์เฟ็คของไอ้คุณเพื่อนได้ซักพัก เขากระตุกแขนผมยิกๆ ท่าทางเมินเฉยเอลไมน์ราวกับว่าเขาเป็นธาตุอากาศ

     

              “อ่าๆ ไปเถอะ”

     

              แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของผมซักเท่าไรครับ เพราะงั้นผมจะไม่ถามถึงสาเหตุที่น้องชายตัวเองมีปฏิกิริยาไม่เป็นมิตรกับคนอื่นเช่นนี้ ผมเดินไปตามแรงดึงของน้องชาย แต่แน่นอนว่าคุณเพื่อนที่พ่นออกมาแต่ละคำเป็นภาษาที่ห่างไกลคำว่าภาษามนุษย์ย่อมไม่ทน(?)ที่จะเห็นตัวเองเป็นธาตุอากาศ

     

              “อะไร เจ้าเยาวชนขาดสารอาหารไร้การเจริญเติบโตเหมือนถัวงอก(?)เดินได้ลอยตามลมขวางเส้นทางสู่ความสำเร็จคิดมองเห็นแต่เสาไฟฟ้าข้างบ้านของเพื่อนของแม่ของน้องของอาของปู่ของบรรพบุรุษของหมาข้างบ้านหรือยังไงฮ่ะ!?

     

              “...”

     

              สตั้นท์...บอกได้คำเดียวว่าเจมส์กำลังสตั้นท์กับภาษามนุษญ์ต่างดาวXXXที่เอลไมน์พ่นออกมาครับ หลังจากสตั้นท์ไปได้ราวๆ 3 วิ. แล้ว เจ้าตัวก็เบนดวงตาคู่โตมาสบตาผมปิ๊งๆเหมือนต้องการจะสื่อความหมายบางอย่าง โอเค ผมรู้ครับว่าเขาอยากรู้ว่าไอ้สิ่งที่เจ้าคุณเพื่อนมันพูดมันแปลว่าอะไร

     

              “มันบอกว่า ไอ้เตี้ยขวางโลก คิดจะเมินกันรึไง!? น่ะ”

     

              หลังจากที่กลั่นน้ำกรองเนื้อออกมาได้เรียบร้อยแล้ว เลอร์ลีสทรานสเลท(?)ก็ทำงานออกมา ประมวลผลคำพูดยาวราวๆ 3 บบรทัดให้จบลงใน 10 พยางค์ด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนเช่นเคย แต่แน่นอนว่าทั้งคุณน้องชายและคุณเพื่อนบังเกิดเกล้าก็มีปฏิกิริยาตอบรับที่...ดี?

     

              “โอ้วมายก๊อดพระเจ้าจอร์ชมะเขือเทศแตงกวามะละกอปลาช่อยัดไส้ใส่พริกขี้หนู ไอ้คุณเพื่อนบังเกิดเกล้าไม่เซาะกราวเหมือนเสาไฟฟ้าหัก 4 ส่วน(?)แถวนี้ นายสุดยอดพระเจ้าจอร์ชลื่นกล้วยมาก!!!

     

              มันกำลังชมผมครับ(?) ตีความออกมาได้ว่า สุดยอดเลยเพื่อน ฉลาดไม่เหมือนไอ้เตี้ยนี่ น่ะครับ... แถมยังเอื้อมมือมาตบไหล่ผมป้าบๆอีกต่างหาก เหมือนผมกอบกู้โลกได้ยังไงอย่างงั้น...

     

              “หน่อย! ไอ้มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์อันตรายเอ๊ยยยย ย เอามือนายออกไปจากพี่ชายฉันเดี๋ยวนี้นะ!!! เดี๋ยวเกิดพี่ชายฉันติดเชื้อประหลาดๆแบบนายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ ปล่อยๆๆๆ ๆ ปล่อยเลย!

     

              เจมส์มักจะฟิวส์ขาดบ่อยๆเวลาสนทนากับเอลไมน์เป็นปกติครับ ต่อจากนั้นเจ้าตัวก็ปัดมือที่วางอยู่บนไหล่ผมออกไปดังเพี๊ยะ! แล้วลากผมไปด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิมจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง แน่นอนว่ามีหรือที่ขาของเด็ก 9 ขวบ มันจะสู้ขาของไอ้พวกสูง 180 อัพอย่างไอ้คุณเพื่อนได้ ขณะที่เจมส์ต้องวิ่งพร้อมกับลากผมไปด้วย เอลไมน์ก็ทำแค่เดินชิลๆก็ตามพวกเราทันแล้วครับ ...บอกผมทีว่าโลกนี้มีความยุติธรรมอยู่ที่ไหน(?)

     

              หลังจากนั้นยามเช้าของผมก็จบลงครับ ...เริ่มจากออกจากบ้าน ไปส่งน้องชาย น้องชายง้องแง้งเล็กน้อยราวๆ 35 นาที(?)ไม่ยอมเข้าโรงเรียนและจะไปเรียนห้องเดียวกับผมให้ได้จนคุณครูของมาลากตัวไปแม้ว่าจะโดนกรงเล็บพิฆาตของเจมส์เข้าไป 1 ดอก จากนั้นก็เดินไปโรงเรียนที่ผมอยู่ ซึ่งก็ไม่ไกลจากโรงเรียนของเจมส์เสียเท่าไร เดินไปราวๆ 15 นาทีก็ถึง แต่แน่นอนว่าตลอดระยะเวลา 15 นาทีนั้นผมต้องทนฟังภาษามนุษย์ต่างดาวของเอลไมน์ซึ่งพูดทีมีความยาวไม่ต่ำกว่า 5 บรรทัด(?) ที่มีเนื้อความอยู่เพียงไม่ถึง 15 พยางค์(?) แน่นอนว่าล้วนแล้วแต่เป็นการนินทาน้องชายของผมล้วนๆ ซึ่งผมในฐานะพี่ชายที่ดีก็...ฟังไปเงียบๆครับ(?)

     

              แล้วในที่สุดเราก็มาถึงโรงเรียน นั่งเรียนในช่วงเช้าซึ่งเต็มไปด้วยคาบเรียนน่าเบื่อ เอลไมน์หลับไปตั้งแต่ 15 นาทีแรกและตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อออดหมดคาบช่วงเช้าดังขึ้น...นี่เป็นเหตุผลที่รอยหยักในสมองมันไม่เจริญเติบโตซักทีครับ

     

              ช่วงพักกลางวันของเราเต็มไปด้วยความเรียบง่ายไร้สีสัน(?) ผมตัดสินใจเลือกระหว่างขนมปังรสจืดกับลูกชิ้นปิ้งรสจืด(?)อยู่ซักพัก จนในที่สุดก็ได้ขนมปังรสจืดมากิน ขณะที่เอลไมน์ก็วิ่งไปเหมาโยเกิร์ตจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆมา 1 โหล แล้วเราก็ขึ้นไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจกันบนดาดฟ้าอันเงียบสงบ(?) จนกระทั่งออดเข้าเรียนดังขึ้น เอลไมน์ตัดสินใจนอนอยู่บนดาดฟ้า ปล่อยให้พระเอกผู้จืดชืดไร้จุดขาย(?)เดินมาเข้าห้องเรียนเพียงลำพัง(?)

     

              แล้วคาบเรียนช่วงบ่ายก็เริ่มขึ้นด้วยความน่าเบื่ออีกครา จนกระทั่งเลิกเรียน นี่เป็นเวล่าที่ผมรู้สึกว่าตัวเองจะป๊อปปูล่าร์(?)มากที่สุดเพราะมีโทรศัพท์เข้ามาติดๆกันถึง 3 สาย ...ซะทีไหนล่ะ

     

              ติ๊ดดดด ด ติ๊ดดดด ด...

     

              เสียงโทรศัพท์ฉบับธรรมด๊า ธรรมดา ที่ผมไม่คิดจะเปลี่ยนริงโทนดังเข้ามาเป็นครั้งที่ 1 บนหน้าจอโชว์รูปของสาวสวยเอาไว้ ...อย่าเข้าใจผิดครับ นั่นน่ะ...

     

              “หวัดดีครับแม่”

     

              ...นั่นน่ะ แม่ผมเองครับ

     

              “รับโทรศัพท์ช้าจริงๆ มัวทำอะไรอยู่ แม่เชื่อว่าลูกไม่มีทางนั่งกระจุ๋งกระจิ๋งหนุ๋งหนิงกับแฟนอยู่แน่”

     

              เขากำลังด่าผมทางอ้อมว่า หน้าตาระดับผมที่ไม่ได้รับยีนส์ความหน้าตาดีมาเลยซักนิดไม่มีทางหาแฟนได้แน่นอน ประมาณนั้นแหละครับ แต่ความจริงผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกนะ...คิดแล้วก็เหลือบมองไปทางคุณเพื่อนตาแดงที่นั่งมองตาแป๋วอย่างที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันอยากใส่เกือกสุดๆแต่ตอนนี้ปากยังไม่ว่างเนื่องจากยัดโยเกิร์ตเข้าปากอยู่(?) แน่นอนว่าไอ้ที่มันซื้อน่ะ เงินผมครับ...คิดแล้วรู้สึกว่าอยากจะอยู่คนเดียวมากกว่านะ(?)

     

              “ครับๆ วันนี้จะกลับบ้านมั้ยครับ”

     

              แต่เถียงหม่อมแม่ไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรอกครับ เพราะงั้น...ปลงกับคำพูดเชือดเฉือนพวกนั้นเสียดีกว่า

     

              “ไม่ล่ะ วันนี้ต้องถ่ายละคร คงกลับไปไม่ได้”

     

              “แล้วจะกลับเมื่อไรครับ?”

     

              “ไม่รู้ เดี๋ยวจะกลับแล้วแม่โทรไปบอกอีกทีแล้วกัน แค่นี้นะ ผู้กำกับเรียกแล้ว”

     

              ติ๊ดดดด ด ติ๊ดดดด ด...

     

              แล้วก็กดตัดสายไป เป็นอันรู้ว่าวันนี้แม่ของผมจะไม่กลับบ้าน แล้ว...ทำไมเสียงริงโทนกับเสียงตอนโดนตัดสายมันถึงต้องเป็นเสียงเดียวกันด้วย(วะ)ครับ นี่ผมเป็นพระเอกที่จืดชืดเกินไปหรือเปล่า!?

     

              ติ๊ดดดด ด ติ๊ดดดด ด...

     

              เสียงโทรศัพท์ดังครั้งที่สองห่างกันไม่ถึง 2 นาที เป็นไงครับ ผมป๊อปปูล่าร์จริงๆ... คราวนี้ภาพที่ขึ้นมาคือหนุ่มหล่อขนาดที่ผมเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นผม(?)

     

              “สวัสดีครับ”

     

              “อืม ลีส นี่พ่อนะ วันนี้จะไปกลับบ้านน่ะเลยโทรมาบอก พอดีมีเคสท์ด่วนเข้ามา แค่นี้นะครับ ดูแลน้องด้วยล่ะ”

     

              ติ๊ดดดด ด ติ๊ดดดด ด...

     

             แล้วสายก็ถูกตัดไปอีกครา คนที่โทรมาคือพ่อของผมเองครับ มิลเลอร์ รีลเพียร์ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแม้อายุจะใกล้เลขสี่เต็มที่แล้วก็ตาม เขาเป็นหมอในโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่งที่ใช่งานหมอไม่ต่างจากทาสเสียเท่าไร นอกจากภาพที่ขึ้นมาทางหน้าจอโทรศัพท์เวลาที่เขาโทรมา เราก็ไม่ค่อยจะเจอหน้ากันหรอกครับ

     

              ติ๊ดดดด ด ติ๊ดดดด ด...

     

              เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 3 คราวนี้ภาพที่ขึ้นมาเป็นภาพของเด็กหนุ่มหน้าตาฉายแววหล่อแต่เด็ก น้องชายังเกิดเกล้าของผมที่โทรมาแทบจะในทันทีที่เขาเลิกเรียก

     

              “ฮัลโหลๆ พี่ชาย ผมเลิกเรียนแล้วนะฮะ”

     

              คราวนี้ผมไม่ต้องพูดอะไร ปลายสายก็เอ่ยขึ้นมาทันทีที่ผมกดรับ

     

              “อืม ต้องให้พี่ไปรับรึเปล่า? หรือจะไปไหน?”

     

              “ไม่ไปไหนหรอกฮะ พี่ชายมารับผมด้วยนะฮะ”

     

              “อืมๆ ได้ งั้นรอแปปนะ ตอนนี้พี่อยู่ร้านคาเฟ่หน้าโรงเรียน เดี๋ยวไป”

     

              “ร้านคาเฟ่!? พี่ชายไปกับใครฮะ เมื่อไร แล้วตอนนี้อยู่กับใคร กินอะไร ใครจ่าย ทำมิดีมิร้ายพี่รึเปล่าฮะ!?

     

              ...เป็นชุดครับ ยิ่งกว่าแม่ยิ่งกว่าพ่อก็ต้องยกให้น้องชายที่ดูจะเป็นห่วงผมแทบทุกฝีก้าวว่าจะสะดุดฝุ่นตายรึเปล่าอะไรแบบนั้นนี่แหละครับ

     

              “ไม่เป็นไรๆ พี่มากับเอลน่ะ”

     

              “อะไรนะ พี่ชายไปกับมนุษย์ต่างดาวที่ไม่รู้ว่าหนีมาจากศรีธัญญาแบบนั้นน่ะเหรอฮะ!?

     

              “เอาน่า...เดี๋ยวพี่ไปรับแล้วกัน แค่นี้นะ”

     

              ติ๊ดดดด ด ติ๊ดดดด ด....

     

              ผมรีบกดตัดสายก่อนที่คุณน้องชายจะได้เอ่ยอะไรต่อไป ดูเหมือนว่าทั้งเจมส์และเอลไมน์จะไม่ค่อยถูกกันจริงๆ ผมมองเวลาเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้น โดยมีดวงตาสีแดงจ้องตามตาไม่กระพริบ ไม่ได้ต้องสงสัยว่าทำไมถึงตอนนี้แล้วมันยังไม่พูดอะไร ปากมันยังไม่ว่างครับ ต้องจัดการกับโยเกิร์ตอีก 4 ถ้วย

     

              “ไปรับเจมส์น่ะ นายนั่งกินไปเรื่อยๆแล้วกัน ตังค์ฉันจ่ายแล้ว”

     

              เมื่อผมเห็นว่ามันพยักหน้ารับเรียบร้อย ผมก็เดินออกจากร้านคาเฟ่ไป 15 นาที ถัดมา ผมก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าโรงเรียนประถมของคุณน้องชายบังเกิดเกล้า ซึ่งกำลังยืนคอยอยู่หน้าประตู

     

              “ไอ้มนุษย์ต่างดาวนั่นล่ะฮะ?”

     

              แม้เสียงจะน่ารัก ใบหน้าจะใส่ซื่อ แถมยังแผ่ออร่าความโชตะออกมา(?) แต่วาจากลับเหลือร้ายใช้ได้ เอาเถอะ นี่แหละครับน้องชายผม

     

              “ยังอยู่ที่คาเฟ่นั่นแหละ”

     

              เมื่อได้ฟังคำตอบ เจมส์ก็พยักหน้ารับเล็กน้อย ท่าทางจะดูพึงพอใจมาก

     

              “วันนี้พ่อกับแม่ไม่กลับบ้านนะ”

     

              คราวนี้เจ้าตัวก็ยังคงพยักหน้ารับ แม้ท่าทางจะหงอยลงมาเล็กน้อยก็ตาม

     

              “ฮะ งั้นวันนี้พี่ชายต้องเป็นคนข้าวเย็นให้ผมกินนะ!

     

              “รู้แล้วน่า”

     

              ...และแล้ว 1 วันของผมก็จบลงด้วยประการฉะนี้แล... เป็นชีวิตธรรมดาอันแสนจืดชืดที่ดำเนินมากว่า 17 ปี และดูท่าเหมือนว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงไปในเร็วๆนี้...ล่ะมั้ง?

     





     

     --------------------------------------------------
    โซนนี้ขอทอล์กครับ ฮ่า(?)
    หลังจากที่นั่งกลั่นกรอง(?)ความคิดซักพัก อ่าห์(???) แต่งเลยแล้วกัน...
    สุดท้ายก็นั่งคิดถึงบทนำแบบธรรมดาๆให้เหมาะกับชีวิตพระเอกอันแสดจืดชืดซักหน่อย ฮา
    เนื่องจากว่าอันตัวผมก็มิได้มีความสามารถมากมายอะไรในการแต่งนิยาย ชอบไม่ชอบบ้างก็ ;;;w;;; ทำใจย์ครับ(?)
    ว่าแต่...ทำไมต้องขนมปังรสจืดนะ...???

     

     








     






    25 HOURs
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×