ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : ใจจึงเชื่อ
Part 7 ใจจึงเชื่อ
“แน่ใจแล้วใช่ไหม?”
“อืม”
รถเก๋งคันงามแล่นเข้าจอดอย่างไม่รีบร้อน ทันทีที่รถยนต์สีดำหรูจอดสนิท
ประตูทั้งสองข้างของที่นั่งด้านหลังถูกเปิดออกโดยชายสองคนที่ วิ่งเข้ามาทำหน้าที่ของตน
ชายหนุ่มสองคนก้าวลงจากรถ ก่อนเผยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชายทั้งสองทำความเคารพผู้อาวุโสกว่าที่ยืนรอรับอยู่ ชายวัยกลางคนยิ้มรับ ก่อนเอ่ยทักทาย
“นึกไม่ถึง ว่าคุณแทมินจะมาหาผมถึงที่นี่”
“ก็คุณหลิวเคยบอกไว้ เราจะได้พบกันอีกครั้ง เมื่อคุณหลิวไม่ได้ไปพบผม ผมก็เลยมาหาคุณหลิวเสียเอง”
ชายวัยกลางคนหัวเราะร่าอย่างพอใจ พาชายทั้งสองเดินเข้าคฤหาสน์หลังงามไป
ชุดน้ำชาถูกยกออกมาเสิร์ฟโดยหญิงรับใช้สองคน แขกคนสำคัญทั้งสองพลางจิบอย่างรู้มารยาท
“อาจจะไม่แปลกและรสชาติดีเหมือนน้ำหวานที่คฤหาสน์ตระกูลอี้
แต่ผมก็ยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำมาต้อนรับคุณแทมินและคุณคิบอม”
ชายหนุ่มทั้งสองละจากการดื่มชาอย่างรวดเร็ว แทมินรีบโบกมือปฏิเสธ พลางยิ้มรับเจ้าของไมตรี
“ไม่ครับ น้ำชาของตระกูลหลิวรสชาติดีทีเดียว” แทมินรีบบอกกล่าว พร้อมรอยยิ้ม
ชายวัยกลางคนนึกกระหยิ่มดีใจที่ได้เห็นท่าทางผ่อนคลาย ซึ่งพบได้เห็นได้น้อยครั้งของอีกฝ่าย
“แล้วคุณแทมินมาหาผมถึงเซี่ยงไฮ้มีธุระอะไรพิเศษหรือเปล่าครับ” หลิวอี้เหวินเอ่ยถาม แทมินวางแก้วในมือก่อนตอบ
“ผมจะมาคุยกับคุณหลิวเรื่อง คุณหนูอี้เฟย” อี้เหวินยิ้มขึ้นทันใด แทมินกล่าวต่อ
“ผมตกลงจะแต่งงานกับคุณหนูอี้เฟยครับ” คราวนี้ชายวัยกลางคนยิ้มกว้าง นัยน์ตานั้นประกายความดีใจอย่างที่สุด
“น่ายินดี เป็นเรื่องที่น่ายินดี ทั่วทั้งพรรคจินคงจะดีใจกันยกใหญ่
เป็นข่าวดีจริงๆครับ ขอบคุณคุณแทมินที่ตอบตกลง ผมจะรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกอี้เฟย”
คิบอมลอบสงสัยในใจ เหตุใด หลิวอี้เหวินจึงแสดงกิริยาดีใจเสียเต็มประดา
ริมฝีปากบางรีบเอ่ยถามไม่ทันคิดไตร่ตรอง
“ทำไมคุณหลิวถึงอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับแทมินนักล่ะครับ?”
แทมินหันควับ ส่งสายตาตำหนิ ชายวัยกลางคนยิ้มอีกหน เอ่ยตอบคำถามใจเย็น
“ไม่มีพ่อคนไหน ที่จะไม่อยากเห็นลูกมีความสุขหรอกครับ”
ชายหนุ่มทั้งสองนิ่งไป เข้าใจในความหมายของอีกฝ่าย สิ่งที่ทั้งสองคิดไม่ผิดพลาด
จากแววตาของหญิงสาวในวันนั้นชัดเจนในความรู้สึกที่แสดงออกต่อแทมิน
แทมินนึกชื่นชมในผู้ชายตรงหน้า หากแต่คิบอมนิ่งงัน ในใจรู้สึกสะดุดบางอย่าง
ไม่มีพ่อคนไหน?
คำถามเกิดขึ้นในใจ ชายหนุ่มบังเกิดความรู้สึกอิจฉาในผู้หญิงที่ตนแอบชื่นชมในความงามของเธอไม่น้อย
ผู้หญิงที่ทั้งสวย เพียบพร้อมทุกด้าน และอยู่ท่ามกลางความรักของผู้คนรอบกาย
ทั้งอีกไม่นานก็จะได้ครองคู่กับชายที่ตนรัก
หลิวอี้เฟยคนนั้น อยู่ท่ามกลางความรัก
แล้วคิมคิบอม?
“แน่ใจแล้วเหรอแทมิน?”
หญิงสาวเอ่ยถามเสียงหวาน ชายหนุ่มข้างๆที่กำลังยืนชื่นชมความงาม
ในแปลงดอกไม้ของคฤหาสน์ตระกูลหลิว หันหน้ามาด้วยความแปลกใจ
“แน่ใจเรื่องอะไรอี้เฟย”
ชายหนุ่มปรับน้ำเสียงและท่าทางราวกับสนิทสนมกับหญิงข้างตัวมาแสนนาน
แม้จะเป็นการแสดงละคร หากแต่หญิงข้างๆกลับไม่ได้สงสัยอะไร
“เรื่องแต่งงานของเรา”
“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ อี้เฟยไม่ดีใจเหรอ”
“เปล่าเราดีใจ แต่แทมินต่างหากที่ดูไม่ดีใจ” แทมินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เอ่ยถามว่า
“หน้าเราดูแย่ขนาดนั้นเหรอ”
หญิงสาวพยักหน้ารับเบาๆ
“คงเพราะเราทำงานหนัก ช่วงนี้มีเรื่องต่างๆมากมาย อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้ว อี้เฟยอย่าเก็บไปคิดเลยนะ ”
หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ เธอไม่อยากเป็นอีกเรื่องทำให้แทมินต้องคิดมาก
เท่านี้ชายหนุ่มคงจะมีเรื่องมากพอแล้ว แต่ความรู้สึกบางอย่างในใจก็พาลทำให้หญิงสาวต้องกลัดกลุ้มไม่น้อย
ชายหนุ่มทั้งสองกลับไปแล้ว สองพ่อลูกเดินกลับเข้าตัวคฤหาสน์
การเจรจาเรื่องสำคัญผ่านไปอย่างเรียบร้อย งานแต่งงานจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
ชายวัยกลางคนรู้สึกพอใจอย่างยิ่งกับเรื่องทั้งหมด พลางมองหน้าลูกสาวคนสวย หากแต่ต้องแปลกใจ
เมื่อใบหน้างดงามนั้นกลับปรากฏความกังวลที่แสดงออกอย่างเด่นชัด
“เป็นอะไรไปลูก ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น?”
อี้เหวินเอ่ยถามอย่างห่วงใย หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนเอ่ยขอตัวขึ้นห้องนอนของตนไป
ชายวัยกลางคนได้แต่มองด้วยความแปลกใจในอาการของอีกฝ่าย
ข่าวเรื่องงานแต่งงานของหัวหน้าพรรคหลันหลงเป็นที่กล่าวถึงไป ทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลอี้ในกรุงโซล
ทั่วทุกบริเวณเอ่ยถึงเรื่องนี้ เหล่าพ่อบ้านแม่บ้าน คนงานทั้งหลาย ต่างพากันพูดคุยกันอย่างดีใจ
“นายท่านจะแต่งงานแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นในขณะรับประทานอาหารเย็นในโรงอาหาร
“จริงเหรอ?”
“จริงสิ ฉันได้ยินคนเขาพูดกันมา เรื่องนี้คุณเซียวฟงออกมาประกาศเองว่าเป็นเรื่องจริง”
“แล้วนายท่านแต่งงานกับใคร”
“ก็คุณหนูลูกสาวหัวหน้าพรรคจินไง คนที่สวยๆน่ะ”
“อ๋อออ งั้นไม่แปลกใจหรอก เพราะได้ยินมาว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่นายท่านเด็กๆ”
“ใช่ๆ งานแต่งงานจะมีขึ้นอีกสองอาทิตย์”
“อ้าววว”
“แกอ้าวอะไร”
“อย่างนี้ก็ต้องเร่งเตรียมงานแล้วสิวะ”
“ก็ใช่ไง แล้วแกสงสัยอะไร”
“อย่างนี้เรื่องขึ้นตำแหน่งของพี่อนยูของพวกเรา ก็ต้องเลื่อนออกไปสิวะ โธ่” ชายหนุ่มเอ่ยร้องอย่าเสียดาย
“จริงด้วย” ชายหนุ่มอีกสามเห็นตามอีกฝ่ายว่า พลางถอนหายใจ อย่างเสียดายเช่นกัน
ในขณะที่ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงยังคงคีบข้าวในถ้วยเข้าปากอย่างไม่เดือดร้อนใจอะไร
ชายหนุ่มทั้งสี่หันไปมองอนยูอย่างแปลกใจ เพราะอีกฝ่ายดูท่าจะเอร็ดอร่อยกับอาหารตรงหน้าเสียเหลือเกิน
“พี่อนยู พี่จะไม่เซ็งหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งตัดสินใจเอ่ยขึ้น อีกสามรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
อีกฝ่ายหันมามองสหายทั้งสี่ของตนแวบหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะกลับไปหันกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าตามเดิม
ชายหนุ่มอีกสี่คนเห็นท่าทางของอีกฝ่ายจึงนึกได้ว่า ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง ที่จะกวนใจอนยูตอนที่กำลังมีความสุขกับอาหาร
จึงได้แต่สงบปากสงบคำไม่เอ่ยถามอะไรต่อ
พอข้าวในถ้วยที่ถูกเติมเป็นครั้งที่สามหมดลง ชายหนุ่มดื่มน้ำตาม ก่อนวางแก้วลงอย่างสบายใจ
กำลังจะลุกขึ้นเอาถ้วยทั้งหมดไปเก็บ แต่พลันเห็นสายตาวิงวอน
จากชายหนุ่มทั้งสี่ที่นั่งรอตนกินข้าวอยู่ ริมฝีปากบางจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“นายท่านจะแต่งตั้งฉันเป็นหัวหน้าห้องเครื่องโอสถวันพรุ่งนี้”
พูดจบก็รีบเดินจากไปอย่างไม่สนใจ ชายทั้งสี่ที่มองหน้ากันเลิ่กลักก่อนจะตะโกนร้องอย่างดีใจ
จนผู้คนทั้งหลายในโรงอาหารที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ ต้องหันมามองต้นเสียงอย่างตกใจ
ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งห่างออกไปไม่ไกลนัก แสยะปากขึ้นด้วยความไม่พอใจ
มือหนากระแทกแก้วน้ำอย่างโมโห หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นในอาการของชายผู้นั้น
[เฮ้ย มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงวะ!!!]
ปลายสายตอบรับอย่างตกใจ น้ำเสียงร้อนรนอย่างโมโห ชายหนุ่มรีบกรอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
“นั่นสิครับ ผมไม่คิดว่ามันจะเลื่อนตำแหน่งให้ไอ้อนยูเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนไม่มีใครรู้เรื่องสักคน”
[มันต้องมีอะไรแน่ๆ ปกติการมอบตำแหน่งนี้ ต้องมีการบอกกล่าวให้คนรู้เรื่องก่อน]
“ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องนี้ผมจัดเอง”
[ดี เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของแก ฮงกี อย่าให้พลาดล่ะ]
“ครับ” ปลายสายวางไป มือหนากำโทรศัพท์แน่น นึกเคียดแค้นในใจ
ชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวผู้หนึ่งผ่านทางเดินทั้งหลายเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ผ่านบันไดขนาดกลางๆลงไปยังชั้นใต้ดินของบ้าน
ก่อนจะไปหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่ง หญิงสาวเคาะประตูสามครั้ง
ก่อนจะบิดกลอน ผายมือให้ชายหนุ่มเข้าไป ก่อนตนจะเดินกลับไปในทางเดิม
ชายหนุ่มกวาดตามองบรรยากาศภายในห้อง มีกลิ่นธูปหอมและกำยานฟุ้งไปทั่ว
แสงสว่างที่สาดส่องเข้ามามีเพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มค่อยๆเดินลึกเข้าไปในทางเดินยาวช้าๆ
ก่อนจะปรากฏภาพชายสองคนและหญิงสาวอีกประมาณห้าหกคนที่ยืนรออยู่แล้ว
เบื้องหลังของพวกเขา เป็นภาพดอกไม้สีขาวนวลขนาดใหญ่ ทั้งยังมีรูปปั้นเทพเจ้าองหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกัน
ดูจากสภาพทั้งหมดของห้องแล้ว ทราบได้ว่า คงไม่มีใครได้มีโอกาสย่ำกรายเข้ามาเท่าไรนัก
“เชิญ อนยู”
แทมินเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนหญิงสาวสองคนจะน้ำชุดคลุมผ้าเนื้อดีสีครีมนวล
ปักด้วยลายดอกไม้สีน้ำเงินมาให้เขาใส่ ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย
“เอาละ ต่อไปเราจะมาเริ่มพิธี ขอให้อยู่ในความสงบด้วย” คิบอมกล่าวนิ่งไม่มองหน้าอีกฝ่าย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
หญิงสาวผู้หนึ่งที่มีถาดไม้อยู่ในมือกำลังจะเดินเข้ามา กลับต้องชะงักด้วยเสียงเคาะประตูของใครบางคน
คิบอมมองหน้าแทมินด้วยความแปลกใจ ก่อนแทมินจะพยักหน้าให้หญิงผู้หนึ่งเดินออกไปเปิดประตู
เวลาผ่านไปเล็กน้อย เธอเดินกลับมา ก่อนเอ่ยกระซิบบางอย่างกับแทมิน แทมินพยักหน้า ก่อนหญิงสาวจะเดินกลับไปยังประตู
สักครู่ปรากฏภาพชายผู้หนึ่งเดินตามหญิงสาวผู้นั้นเข้ามา คิบอมมองด้วยความแปลกใจ
ชายผู้นั้นคือคนที่เคยชนเขาจนเกือบจะทำหม้อยาหกเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง คิบอมจำได้เป็นอย่างดี อีฮงกี
เขาทำความเคารพแทมินและคิบอมอย่างนอบน้อม
ก่อนจะหันสายตาเหลือบไปมองอนยูที่ยืนอยู่ข้างๆแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกล่าวว่า
“หากนายท่านจักพิจารณาคนสามัญชน ให้รับตำแหน่งอันสำคัญ
กระผมใคร่ขอโอกาสให้นายท่านโปรดเมตตาพิจารณากระผมด้วยอย่าลำเอียง”
ชายหนุ่มเอ่ยกล่าวฉอเลาะ คิบอมนึกขันในใจ แทมินเหลือบมองอนยูแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ
“นายมีความสามารถอะไรถึงได้กล้าเสนอตัวกับเราถึงขนาดนี้”
“ผมเคยร่ำเรียนวิชาการแพทย์จีนและปรุงยามาหลายปี คิดว่าความรู้นั้นคงเสื่อมค่าไปหากไม่ได้นำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์”
“แล้วทำไมถึงไม่ไปเป็นแพทย์หรือเปิดร้านขายยาล่ะ”
“ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะผมไม่ได้เรียนจบมาจากที่ที่สามารถรับรองให้ผมเป็นแพทย์ได้
เพียงแค่อาจารย์ของผมท่านสอนให้เพียงเพราะไม่อยากให้การแพทย์แผนจีนสูญหายไป
เพียงแค่เรียนล่นๆไม่ได้ยึดถือจริงจัง แต่ผมกลับรักในวิชา และเห็นว่าถึงเวลาที่จะได้ใช้ประโยชน์แล้ว”
“ในเมื่อนายกล้าขอเราถึงขนาดนี้ เราก็จะไม่ใจดำ หากแต่ตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องโอสถมีได้เพียงผู้เดียว
นายมีความสามารถอะไรก็แสดงออกมาให้เราเห็น หากนายมีคุณสมบัติเพียงพอเราก็จะพิจารณานายทั้งสองอย่างเท่าเทียม”
อีฮงกี ยิ้มกระหยิ่มอย่างพอใจ อนยูไม่มีท่าทีอะไร แทมินหันไปกระซิบสั่งหญิงสาวผู้หนึ่งก่อนที่เธอจะเดินออกไป
เวลาผ่านไป ประตูห้องถูกเปิดอีกครั้ง หญิงสาวสี่คนเดินเข้ามา
พร้อมถาดไม้ในมือ แทมินผายมือให้อนยูและฮงกีไปนั่งยังโต๊ะตัวหนึ่ง
“ต่อไปนี้คือการพิสูจน์ความสามารถของนายทั้งสอง ไม่ใช่ตอบให้ถูกเยอะที่สุด
แต่นายทั้งสองต้องตอบให้ถูกทั้งหมด ที่เหลือนั้นเราจะเป็นผู้พิจารณาเอง”
ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้ารับ ก่อนหญิงสาวสองคนจะเดินเข้ามาวางถ้วยกระเบื้อง
ที่อยู่ในถาดของตนลงบนโต๊ะต่อหน้าชายหนุ่มทั้งสองคนละสิบใบ
“นี่คือน้ำหวานแบบพิเศษเกิดจากพืชหลายชนิดแตกต่างกัน อาจจะมีเพียงหนึ่ง สอง หรือ สามชนิดเป็นส่วนประกอบ
แต่ทั้งสิบถ้วยล้วน ไร้รส นายทั้งสองคนต้องตอบให้ถูกทั้งหมด
ว่าแต่ละถ้วยมีพืชใดบ้าง สามารถชิมและดมกลิ่นได้ เขียนคำตอบลงในกระดาษที่เตรียมไว้ให้ เชิญ”
ชายทั้งสองมองของเหลวสิบถ้วยตรงหน้าตน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นน้ำสีสวยแตกต่างกัน
อาจจะมีบางถ้วยที่สีใกล้เคียงกันบ้าง หากแต่ก็มีความเข้มอ่อนแตกต่างกันไป
บางคนไม่รู้หากสังเกตก็อาจคิดว่าเป็นของเหลวสีเดียวกันได้
แทมินและคิบอมลอบสังเกตท่าทางและวิธีการของคนทั้งคู่อย่างเงียบๆ แทมินเอ่ยกระซิบทีเล่นทีจริง
“นายเชียร์ใคร” คิบอมแปลกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแอบถามคำถามแบบนี้ในเวลาเช่นนี้
“ไม่ชอบทั้งคู่” คิบอมเอ่ยกระซิบเสียงเย็น แทมินยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะรีบปรับเป็นสีหน้าปกติ
ชายหนุ่มทั้งสองค่อยๆพิจารณาของเหลวในเบื้องหน้าของตน ฮงกียกถ้วยแรกขึ้นมาดมกลิ่น ก่อนจะค่อยพิจารณาสังเกตสีของมัน
ก่อนจะวางลง แล้วเลื่อนมือไปหยิบถ้วยที่ห้าที่มีสีใกล้เคียงกัน
ทำเช่นเดิมก่อนจะลองชิมรสชาติของทั้งสองถ้วย แม้ว่าแทมินจะบอกว่ามันไร้รสก็ตาม
ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียดครู่หนึ่ง ก่อนริมฝีปากจะยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ มือหนาขีดเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษ
ฝั่งอนยูนั้นเริ่มด้วยการสังเกตถ้วยกระเบื้องที่ใช้ใส่ของเหลวแต่ละใบ ก่อนจะตามด้วยการสังเกตลักษณะของสีและกลิ่น
ของน้ำทั้งสิบใบเขาเขียนคำตอบลงไปทั้งหมด เว้นไว้เสียแต่ข้อสุดท้าย
คราวนี้อนยูเริ่มชิมตั้งแต่ถ้วยแรกช้าๆ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าแต่ละถ้วยล้วนไร้รสชาติ แต่เพื่อตรวจคำตอบที่ตนได้เขียนลงไป
ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มในใจที่ตนไม่จำเป็นต้องแก้คำตอบข้อไหน
“นายเล่นอะไรแทมิน” คิบอมกระซิบเบา
“เดี๋ยวก็รู้”
ด้านฮงกีนั้นหลังจากที่ค่อยๆพิจารณาถ้วยต่อไป แต่ละถ้วยเหลือของเหลวไว้เพียงเล็กน้อยที่ก้นถ้วย
ชายหนุ่มเริ่มเทของเหลวบางถ้วยผสมกัน สังเกตบางอย่างที่เกิดขึ้น ก่อนจะเริ่มเขียนคำตอบอีกครั้ง
ยังคงมีแต่น้ำหวานถ้วยสุดท้ายที่มีของเหลวเหลืออยู่เยอะ
แทมินยิ้มกับอาการของทั้งสองอย่างพอใจ น้ำหวานถ้วยสุดท้ายของคนทั้งคู่ดูจะสร้างความฉงนใจให้แก่พวกเขา
ของเหลวทุกถ้วย ไร้รส หากแต่ก็มีบางอย่างที่สามารถบอกได้ยามที่ได้ถูกกลืนผ่านลงไป ยกเว้นเสียแต่ถ้วยนี้
ชายหนุ่มทั้งสองเคร่งเครียดอย่างหนัก ใบหน้าของทั้งคู่ปรากฏความกังวลใจ
เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า แม้ว่าอาการภายในห้องนั้นจะค่อนข้างเย็นก็ตาม
เวลาผ่านไปชายทั้งสองยังคงพิจารณาน้ำหวานถ้วยสุดท้ายอย่างมีสมาธิ ชั่วครู่ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของอีฮงกี
เขาเขียนคำตอบลงไป ก่อนจะกลับมาชิมน้ำหวานอีกครั้ง เมื่อแน่ใจในคำตอบของตน
ชายหนุ่มหันมองคู่แข่งขันด้านข้างอย่างเหนือกว่า เขามั่นใจอย่างยิ่งในคำตอบข้อสุดท้ายนี้ พลางเอ่ยว่า
“เสร็จแล้วครับนายท่าน” แทมินพยักหน้ารับอย่างพอใจ ก่อนจะให้หญิงสาวรับกระดาษในมือของฮงกีมาให้
ฝ่ายอนยูนั้นยังคงคร่ำเคร่งกับการหาคำตอบข้อสุดท้าย แต่ไม่ได้สนใจกับท่าทีของอีกฝ่ายที่แสดงตนว่าเหนือกว่า
เวลาผ่านไปชายหนุ่มวางดินสอในมือ ก่อนจะยื่นกระดาษให้แก่หญิงสาว ลอบถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยอ่อน
แทมินตรวจตราคำตอบของทั้งสองอย่างรอบคอบ คิบอมจ้องมองคำตอบในกระดาษทั้งสองใบด้วยความตกใจ
ส่งสายตาเป็นคำถามไปยังแทมิน อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร เพียงยิ้มน้อยๆพอใจกับผลที่เกิดขึ้น
“น้ำหวานแต่ละถ้วยล้วนมีคุณสมบัติเฉพาะตัวของมัน ผู้ที่สามารถเข้าใจในธรรมชาติของมันเท่านั้น
ถึงจะสัมผัสได้ถึงรสที่แท้จริง หัวหน้าห้องเครื่องโอสถต้องเป็นผู้ที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง”
ชายหนุ่มทั้งสอง รอฟังคำตอบอย่างลุ้นระทึก
“ฉันขอแต่งตั้ง อีอนยูเป็นหัวหน้าห้องเครื่องโอสถโดยไม่มีผู้ใดมีสิทธิโต้แย้งใดใดทั้งสิ้น”
อีฮงกิเบิกตาขึ้นอย่างตกใจ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ผิดจากที่เขาคิดไว้ อนยูนั้นได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง ไม่แสดงอาการใดอีก
ชายหนุ่มผู้แพ้เอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนรน
“ทำไม ทำไมนายท่าน ผมมั่นใจว่าข้อสุดท้ายนั้นไม่ผิดแน่”
“ใช่ คำตอบข้อสุดท้ายของนายถูกต้อง”
“แต่ว่าคำตอบข้ออื่นนั้น ผิดทั้งหมด”
ชายหนุ่มนิ่งงัน มึนงงกับคำตอบที่ได้รับ เป็นไปได้อย่างไร
“ทุกสิ่งล้วนมีปริศนาในตัวเอง อย่าเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นเอ่ยบอกเพียงอย่างเดียว
ประสาทสัมผัสได้ทำหน้าที่ ตาดู หูฟัง สมองคิด ใจจึงเชื่อ”
ฮงกีออกจากห้องไปด้วยความพ่ายแพ่ พิธีการสำคัญเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“พิธีนี้เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย หากแต่ก็ศักสิทธิ์ ขอเพียงความซื่อสัตย์ในตัวนายก็เพียงพอ”
แทมินเอ่ยเรียบ พีธีดำเนินต่อ หญิงสาวเดินถือถาดน้ำหวานมาวางตรงหน้าอนยูอีกครั้ง
ชายหนุ่มดื่มน้ำหวานสามถ้วย ก่อนจะกล่าวคำสาบานอย่างมีสมาธิ
ขั้นตอนสุดท้ายคือการสักการะต่อเทพเจ้าเอียะอ้วงเอี้ย(ราชาแห่งยา)
พิธีการเสร็จสิ้น อนยูในตำแหน่งสำคัญคนใหม่กลับออกไปพร้อมๆกับหญิงสาวทั้งหลาย คิบอมได้โอกาสเอ่ยถามแทมิน
“ตกลงมันเป็นยังไงเรื่องน้ำหวาน”
แทมินยิ้มอย่างนึกขัน เอ่ยว่า
“ก็อย่างที่บอก อย่าเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นเอ่ยบอกเพียงอย่างเดียวประสาทสัมผัสได้ทำหน้าที่ ตาดู หูฟัง สมองคิด ใจจึงเชื่อ”
“หมายความว่ายังไง?” คิบอมยังคงไม่เข้าใจในคำพูดของอีกฝ่าย แทมินยิ้มบางๆแล้วเอ่ยว่า
“ฉันบอกว่าทั้งสิบถ้วยนั้นคือน้ำหวาน ไร้รส หากแต่พวกเขาก็ยังลองชิมรสมันอยู่ดี นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า
อย่างไรก็ต้องลองจริงๆ ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะได้ใช้ลิ้นชิมรสด้วยตนเองจริงๆ ถึงได้รู้ว่าถ้วยสุดท้ายนั้นมันมีรสชาติ
หากแต่ประกอบด้วยพืชมากถึงแปดชนิดรวมถึงมันเป็นเพียงถ้วยเดียวที่มีรสชาติ ถึงทำให้ค่อนข้างจะหาคำตอบได้ยาก”
“หมายความว่า ” ดวงตาหวานปรากฏความเข้าใจอย่างแจ่มชัด แทมินพยักหน้ารับ
“ใช่แล้วคิบอม ฉันบอกว่าทั้งหมดนั้นเป็นน้ำหวาน และมีเพียงถ้วยสุดท้ายเท่านั้นที่มีรสชาติ ส่วนที่เหลือทั้งเก้าถ้วย ไม่ใช่น้ำหวาน”
คิบอมอึ้งกับคำตอบที่ชัดเจนอีกครั้ง
“สิ่งที่มนุษย์มักจะเชื่อก่อนสิ่งใด คือคำพูดของผู้อื่น การที่ฉันบอกว่าทั้งสิบถ้วยนั้นเป็นน้ำหวาน แต่มีคุณสมบัติพิเศษคือไร้รสชาติ
เขาทั้งสองก็ปักใจเชื่อไปเกือบทั้งหมดแล้วว่ามันคือน้ำหวานที่ไร้รสจริงๆ จึงเลือกที่จะสังเกตและดมกลิ่นเป็นอย่างแรก
แต่ด้วยอุปนิสัยของคนที่ใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องลองชิมเพื่อความแน่ใจ
แต่เมื่อถึงถ้วยสุดท้ายกลับพบว่ามันไม่เหมือนถ้วยอื่น เขาทั้งสองจึงเริ่มมีท่าทีลังเลใจอย่างที่เราเห็น”
“จากคำตอบของทั้งสอง ฉันเดาว่าฮงกี นั้นคงแปลกใจ คิดว่าถ้วยสุดท้ายต้องมีพืชอะไรพิเศษที่หาได้ยาก
แต่จากคำตอบของอนยูฉันรู้ว่า ในตอนนั้นเค้าสังเกตมาถูกต้องทั้งหมดว่าทั้งเก้าถ้วยเป็นเพียงน้ำเปล่าที่แต่งสี
แต่พอถึงถ้วยสุดท้ายเค้ากลับพบว่ามันเป็นน้ำหวานจริงๆ เพียงแต่ยังไม่มั่นใจเท่านั้นเอง”
คิบอมทึ่งในคำตอบของแทมิน ยิ้มอย่างพอใจ
“ทุกสิ่งต้องพิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น ใจจึงเชื่อ”
“พรุ่งนี้จะเป็นคืนเดือนมืดแล้วนะ เราคงจะไม่ได้เห็นพวกเจ้า เราคงคิดถึงพวกเจ้าแน่ๆ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหวาน พึมพำกับเหล่าดอกไม้สีแดงสดที่เบ่งบานรับแสงจันทร์นวลบนท้องนภา
ดวงตาหวานค่อยๆทอดขึ้นมองฟ้าท้องฟ้ายามราตรี ดวงจันทร์สีเหลือง
ยังคงสาดแสงส่องกระทบให้ดอกไม้ของเขา เบ่งบานอย่างสวยงาม
“พวกเจ้าก็เป็นแค่ดอกไม้ ที่รอคอยเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ให้ตัวเองได้เบ่งบาน”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยเพียงลำพัง
“ดวงจันทร์ไม่ส่องแสง ดอกไม้ก็ไม่อาจเบ่งบาน “
รอยยิ้มเศร้าปรากฏบนใบหน้าหวาน ทอดมองดอกไม้แสนรักของตนเป็นหนสุดท้าย ก่อนจะค่อยๆดึงตัวลุกขึ้น
รอคอยเวลาที่จะกลับมาชื่นชมดอกไม้ของตนอีกครั้ง
ชายหนุ่มค่อยเดินออกไป ก่อนจะหายไปกลับความมืดเงียบสงัดในยามราตรี
โดยไม่รับรู้เลยว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งที่ทอดมองร่างบางนั้นในความเงียบเพียงลำพัง
ชายหนุ่มยกมือหนาขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าคมเข้มอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในร้านขายสินค้าโบราณแห่งหนึ่ง
เป็นอีกครั้งที่เขาต้องพยายามกวาดสายตามองหาสิ่งของที่ตนตามหาอย่างเคร่งเครียด
เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยกลางคน มองตามสายตาของชายหนุ่มจนรู้สึกรำคาญ เธอจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ
“นี่พ่อหนุ่ม ต้องการอะไรก็บอกมาสิ มายืนจ้องอยู่ได้ จะเจอไหมล่ะ”
เธอกล่าวด้วยภาษาจีนที่มินโฮสามารถเข้าใจได้ เพราะเคยร่ำเรียนมา
“ผมต้องการแบบนี้ครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมยื่นภาพในมือให้เจ้าของร้าน เธอส่ายหน้าเบาๆอย่างอารมณ์เสีย
“ก็แค่นั้นแหละ รอเดี๋ยว” เธอพูดแล้วหายไปหลังร้าน
เวลาผ่านไปหญิงผู้นั้นกลับออกมา พร้อมกับชายชราผู้หนึ่ง ในมือมีไม้เท้าสีน้ำตาลอันหนึ่ง
หนวดเคราขาวยาวรุงรัง ร่างกายซูบผอม ดูไม่ค่อยแข็งแรง
“คนนี้แหละ” หญิงวัยกลางคนเอ่ย มินโฮมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจ หญิงผู้นั้นกวักมือเรียกให้มินโฮเดินเข้าไปหา
ชายหนุ่มช่างใจชั่วครู่ ก่อนค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองคน
เมื่อสังเกตในระยะอันใกล้ มินโฮเพิ่งได้รู้ว่าชายชราผู้นั้น เป็นคนตาบอด
ชายชราค่อยๆเอื้อมมือที่เหี่ยวย่นขึ้นมาแตะบนไหล่ของชายหนุ่ม ก่อนๆค่อยเลื่อนขึ้นไปบริเวณใบหน้าคม
สัมผัสที่ใบหน้านั้นอย่างพิจารณา ค่อยเอ่ยเสียงแหบพร่าเบาไร้เรี่ยวแรงว่า
“เหมือน เหมือน เหมือนเหลือเกิน” ชายหนุ่มแปลกใจในคำพูดของชรา
“เหมือนอะไรครับ”
“ช่างเหมือนเหลือเกิน” ชายชราไม่ตอบคำถามใดใด ได้แต่เอ่ยคำพูดเดิมซ้ำๆ
ก่อนจะค่อยๆร้องไห้ออกมาเบาๆ หญิงวัยกลางคน จึงผละเอาตัวของบิดาของตนออกมา
“กลับไปได้แล้วไป เอานี่ เอาของคุณคืนไป” หญิงวัยกลางคนเอ่ยพร้อมยื่นภาพใบเดิมให้แก่ชายหนุ่ม
ก่อนพาชายชรากลับเข้าไป มินโฮตกใจกับเหตุการณนั้น ไม่เข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน
นิ้วเรียวกดรับสายอย่างรวดเร็ว แม้ในใจยังคงค้างคากับเหตุการณ์เมื่อครู่
“ว่าไง”
[นายอยู่ไหน] เสียงของจงฮยอนที่คุ้นหูดังขึ้นจากปลายสาย
“เซี่ยงไอ้”
[นี่ต้องไปไกลถึงโน่นเลยเหรอวะ]
“อืม ก็ต้องหาจนกว่าจะเจอ”
[ช่างเป็นคนที่ทุ่มเทเสียจริงๆนะชเวมินโฮ]
“นายมีอะไรพูดมาดีกว่า”
[นายจะกลับโซลเมื่อไร]
“ยังไม่แน่ใจ พรุ่งนี้ฉันคงต้องไปปักกิ่ง”
[อืม งั้นนายยังไม่ต้องกลับโซล อีกสองวันเจอกันที่เซี่ยงไฮ้]
“มีอะไร”
[คราวนี้มีงานสำคัญ]
ดวงหน้าหวานมองบิดาอีกครั้ง เอ่ยบอกประโยคด้วยเสียงเบา
“พ่อครับ ผมกำลังจะแต่งงานแล้วครับ”
ไม่อาจรับรู้ได้ว่าใครอีกคนจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เขาเอ่ยหรือไม่ ภาพความทรงจำเก่าๆก็หวนกลับมาอีกครั้ง
“มินโฮ มินโฮ จะไปไหน!!!”
เด็กหนุ่มร้องตะโกนถามด้วยความตกใจ
เมื่อเห็นภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หอบหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ กำลังจะก้าวออกจากรั้วบ้าน
แทมินรีบวิ่งมาที่ประตูหน้าบ้านของตนอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มบ้านข้างๆกำลังยกสัมภาระขึ้นแท็กซี่
“มินโฮ จะไปไหน?”
เด็กหนุ่มอีกคนวางของในมือ ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าหวานของอีกฝ่าย
“ปีนี้แทมินอายุเท่าไร” คิ้วเรียวขมวดอย่างแปลกใจ ก่อนจะค่อยๆนับไล่นิ้วอย่างครุ่นคิด
‘เรามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่สิบขวบ เรามาอยู่ได้ห้าปีแล้ว ถ้างั้น ’
“สิบห้า ปีนี้สิบห้าแล้วมินโฮ ทำไมเหรอ?”
“แทมินโตแล้วใช่ไหม โตแล้วต้องดูแลตัวเองนะ” คราวนี้แทมินขมวดคิ้วอย่างแปลกใจอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไง แล้วนี่นายจะไปไหน ไปเที่ยวใช่มั๊ย เอาเราไปด้วยสิ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างตื่นเต้น ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่ได้หรอก”
“ทำไม?” เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าอย่างผิดหวัง
“เราไม่ได้ไปเที่ยว”
“แล้วนายจะไปไหน?”
“จะไปโซล”
“นายจะกลับบ้าน?”
แทมินเอ่ยเสียงเศร้าสร้อยภายในจิตใจ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตนคงต้องเหงาเพียงลำพัง
เมื่อคนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดมาทั้งห้าปี กำลังจะกลับไปก่อนแล้ว
แทมินเอง ก็อยากจะกลับบ้านเหมือนกันนะ
เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยเสียงนุ่ม
“เปล่า เราไม่ได้กลับบ้าน”
“แล้วไปไหน?”
“บอกไม่ได้เหมือนกัน แต่แทมินไม่ต้องห่วงนะ ดูแลตัวเองดีๆ แล้วเราจะกลับมา”
“กลับมาจริงๆนะ”
“จริงสิ มินโฮจะกลับมารับแทมิน”
“จะกลับมา รับเรากลับบ้านใช่ไหม”
“ใช่ รอเราก่อนนะ”
“สัญญานะ”
“สัญญา มินโฮจะกลับมารับแทมินกลับบ้านด้วยกัน”
ชายหนุ่มค่อยปรือตาขึ้น หยาดน้ำใสๆไหลลงอาบแก้มนวลช้าๆ ภาพความทรงจำครั้งเก่า ปรากฏขึ้นในจิตใจ ให้ต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
ไม่มีใครมารับแทมินกลับบ้านทั้งนั้น
มีเพียงข้อความในจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องนอน
‘ชีวิตของนายไม่ได้มีเพียงแค่ตัวนาย นายยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องแบกเอาไว้ มันคงจะหนักเกินไปถ้านายจะแบกพี่ไว้อีกคน’
ข้อความที่ปรากฏขึ้น หลังจากที่เขาเองเพิ่งทราบข่าวการเสียชีวิตของแม่เพียงสามวัน
ก่อนที่จะมีชายหนุ่มอีกห้าคนมาพร้อมกับสิ่งที่เขาไม่ได้ต้องการที่สุด
‘ผมมารับคุณชายไปร่วมพิธีงานศพของนายท่านเสี่ยวหมานที่เซี่ยงไอ้ และมอบตำแหน่งหัวหน้าพรรคให้คุณชายต่อไป’
งานฉลองวิวาห์หรูจัดขึ้นอย่างสมเกียรติของคู่แต่งงาน ใช้สถานที่เป็นห้องบอลรูมของโรงแรมชื่อดัง
ภายในเครือธุรกิจของตระกูลอี้ กลางเมืองเซี่ยงไฮ้ แขกเหรื่อเป็นนักธุรกิจชั้นนำมากมายหลายสัญชาติ
เสียงเครื่องดนตรีจีนบรรเลงอย่างไพเราะ บรรดาเหล่าชายหญิงยืนจับกลุ่มพูดคุยทักทายกันอย่างยิ้มแย้ม
คิบอมดันไหล่กระแทกแทมินเบาๆพอให้รู้สึก ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปอีกทาง แทมินมองตามด้วยความสงสัย
แทมินมองภาพชายวัยกลางคนที่เดินมาพร้อมกับคนสนิททั้งสอง ในชุดสูทหรู
ตามติดมาด้วยชายหนุ่มอีกสองสามคนที่เดินเข้ามาคุ้มกัน
“เจ้าสาวสวยจังเลยนะแทมิน” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยท่าทีสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยรับอย่างเคอะเขิน
“ยินดีด้วยนะหลานชาย” แทมินพยักหน้ารับเบาๆอย่างเป็นมารยาท
คิบอมปรายตามองผู้ชายอีกสองคนด้านหลัง ที่ยืนหล่อเนี๊ยบในชุดสูท
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ เชิญตามสบาย” แทมินเอ่ยก่อนพาตัวอี้เฟยออกมา คิบอมเดินมาตามหลัง
ทั้งสามเดินห่างออกไป ชายวัยกลางคนกวาดตามองรอบๆงาน รอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปาก นึกบางอย่างในใจ
เวลาผ่านไป ผู้คนภายในงานมากขึ้นอย่างถนัดตา ชายวัยกลางคนเอ่ยกระซิบกับคนสนิทเบาๆ
“เรียบร้อยรึยัง?”
“ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ” จงฮยอนเอ่ยตอบอย่างระแวดระวัง
“มินโฮล่ะ”
“ประจำที่แล้วครับ ถึงเวลาทุกอย่างจะเรียบร้อย”
“ดีมาก กลับไปรอดูความสำเร็จพร้อมฉันดีกว่า”
จองซูเอ่ยพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย พลางมองดูผู้คนภายในงาน
คู่แต่งงานยังคงยืนทักทายแขกเหรื่อด้วยไมตรี เซียวฟงเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการทักทายเหล่านักธุรกิจที่รู้จักกันมานาน
ปาร์คจองซู ก้มมองนาฬิกาบนข้อมือของตนเอง ก่อนจะเดินนำลูกน้องทั้งหลายออกไปจากงานเงียบๆ
ดวงตาหวานกวาดมองผู้คนรอบๆ สอดส่องหาใครคนหนึ่งที่หายไป ก่อนจะตัดสินหันไปเอ่ยถามคนข้างๆ
“คิบอม”
“มีอะไรแทมิน”
“แจฮา ไปไหน ฉันไม่เห็นแจฮา” คิบอมพยายามมองหาเด็กชายตัวเล็กตามที่แทมินบอก
“นั่นสิ สงสัยจะไปเล่นซนอยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันไปตามเอง”
ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าออกไปจากห้องที่จัดงาน
แทมินมองตามร่างบางก่อนจะหายออกไป จึงกลับมาสนใจกับแขกของตนต่อ
ชายหนุ่มเดินตามหาเด็กชายตัวเล็กอย่างร้อนใจ ทั่วทั้งบริเวณโรงแรม
ทั้งเอ่ยถามกับบรรดาพนักงานทั้งหลาย แต่กลับไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย
คิบอมเดินเข้าไปหาในห้องน้ำชายที่อยู่ในมุมสุด แทบไม่มีคนมาใช้งาน
แต่ไม่พบเด็กชายตัวเล็ก เท้าเรียวกำลังจะก้าวออกจากประตูห้องน้ำ กลับต้องหยุดชะงัก
ชายหนุ่มห้าคนรูปร่างกำยำในชุดสีดำ ปิดบังหน้ามิดชิด ในมือหนามีปืนที่กำลังเล็งไปยังเด็กชายตัวเล็กที่ถูกจับเอาไว้
“พี่คิบอม” เด็กชายตัวเล็ก เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
เร็วเท่าความคิด มือเรียวกำลังจะคว้าเอาปืนที่พกออกมา กลับถูกห้ามไว้ด้วยเสียงหนึ่ง
“หยุดดีกว่าคุณคิบอม ส่งปืนมาให้ผม แล้วไปกับพวกผมดีดี”
ใครคนหนึ่งเอ่ยพร้อมเล็งปืนใบที่ศีรษะของเด็กชายตัวเล็ก ที่ตัวสั่นเทา
คิบอมมองภาพนั้น ก่อนจะค่อยๆ ส่งปืนให้กับชายชุดดำ
แทมินมองประตูบานใหญ่ของห้องบอลรูมของโรงแรมอย่างร้อนใจ แต่กลับไม่พบใครที่ตนรอคอยเสียที
ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงทั้งสองคน จึงหันไปเอ่ยกับหญิงด้านข้าง
“อี้เฟย เดี๋ยวเรามานะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ ชายหนุ่มผละตัวออกมา
ปัง!!!
เท้าเรียวกำลังจะก้าวออกไปจากตรงนั้น แต่กลับต้องหยุดชะงักลงในทันที ด้วยเสียงปืนดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณ
ใบหน้าหวานหันกลับไปมองภาพด้านหลังอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวในชุดแต่งงานสวยล้มลง เลือดแดงฉานเต็มชุดสีขาว เกิดเสียงร้องดังขึ้นทั่วทั้งห้อง
ผู้เป็นบิดารีบเข้ามาประคองร่างลูกสาวของตน ชายหนุ่มหลายคนกำลังจะวิ่งเข้ามา แต่กลับต้องหยุดด้วยเสียงหนึ่ง
“หยุดแค่นั้นล่ะ”
เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นทั่วทั้งห้อง ทุกคนมองหาต้นเสียง แต่กลับไม่มีร่องรอยของใครผู้นั้น
แสงสว่างดับวูบลงมีเพียงไฟสปอตไลท์ที่ส่องไปยังชายหนุ่มที่สำคัญที่สุดของงาน
“ไม่ใช่แค่เจ้าสาวของแก แต่คนต่อไปคือแก แทมิน “ ใครคนนั้นพูดอย่างไม่ยำเกรง
“และคนทั้งหมดในห้องนี้ ที่กำลังจะแหลกเป็นจุล!!”
“หมายความว่ายังไง” แทมินเอ่ยออกไปเสียงดัง พยายามมองหาต้นเสียง
“ฉันวางระเบิดไว้แล้ว พวกแกไม่รอดหรอก !!!”
สิ้นเสียงนั้น ไฟสปอตไลท์ที่ฉายมายังตัวแทมินดับไปทันที ทั่วทั้งห้องมืดสนิทและดังไปด้วยเสียงร้อง
และผู้คนที่วิ่งหาทางรอดอย่างไม่คิดชีวิต เกิดความโกลาหลขึ้นในทันใด ร่างบางมองภาพนั้นก่อนสติจะดับวูบไป
“พวกแกต้องการอะไร” คิบอมเอ่ยเสียงเข้ม ทั้งเขาและแจฮาถูกจับตัวขึ้นรถยนต์คันหนึ่ง
มีปืนกระบอกหนึ่งเล็งมายังทั้งคู่ตลอดเวลา
ไม่มีใครเอ่ยตอบคำถามคิบอม เด็กชายตัวเล็กยังคงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ฉันถามว่าพวกแกต้องการอะไร !!!!” ชายหนุ่มเอ่ยโมโห
“คุณคิบอมอย่าถามอะไรดีกว่า ไปกับพวกเราแล้วจะปลอดภัย”
รถยนต์ถูกเคลื่อนผ่านหน้าโรงแรม คิบอมมองออกไป
ก่อนดวงตาหวานจะเบิกโพลงอย่างตกใจ เมื่อเกิดเสียงดังและเปลวไฟที่ระเบิดออกมา
“แทมิน!!!”
ชายหนุ่มพยายามจะดันตัวและเปิดประตูรถออกไป แต่กลับถูกมือหนาของชายคนหนึ่งดันเอาไว้
ดวงตาหวานปรากฏความกังวลใจและห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม
ร่างบางพยายามอย่างสุดแรงที่จะต้านทานแรงของชายพวกนั้น
แต่กลับไม่เป็นผล รถยนต์ถูกขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ชายผู้หนึ่งยืนมองภาพอาคารแห่งหนึ่งระเบิดออกมา อย่างสะใจ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าคร้าม
“พวกแกทำได้ดีมาก” จงฮยอนเพียงยิ้มรับ
“แล้วมินโฮ?”
“อีกไม่นานคงจะตามมาครับ”
ปาร์คจองซูไม่ตอบรับอะไร ยืนมองภาพตรงหน้าผ่านกระจกใสบนตึกสูงหลายสิบชั้นอย่างพอใจ
รถยนต์ถูกจอดลงริมถนนบริเวณชานเมือง ห่างจากตัวโรงแรมที่จัดงานหลายสิบกิโล ชายหนุ่มเปิดประตูรถออก
“เชิญลงได้ครับคุณคิบอม”
คิบอมที่ดวงตาเหม่อลอยนิ่งเฉย ใบหน้าหวานนั้นซีดลง
ค่อยๆหันมองผู้ชายที่เปิดประตูรถให้ตนอย่างเคียดแค้น เท้าเรียวค่อยๆก้าวลงจากรถยนต์
ก่อนเด็กชายตัวเล็กที่กำลังร้องไห้สะอื้นจะค่อยๆตามลงมา
ชายหนุ่มกอดเด็กชายตัวเล็กไว้แน่น มองชายทั้งหลายด้วยสายตาเจ็บปวด
“เจ้านายของเราฝากสิ่งนี้ไว้ให้คุณ” ชายผู้นั้นยืนซองสีขาวให้แก่คิบอม ก่อนจะขึ้นรถไป
รถยนต์เคลื่อนออกไปจากรวดเร็ว มีเพียงสายลมแรงที่กระแทกผ่านใบหน้า พัดพาหยาดน้ำตาของเด็กชายปลิวหายไป
นิ้วเรียวค่อยๆคลี่กระดาษออก ข้อความปรากฏขึ้น
คืนนี้จันทร์เต็มดวง ดอกไม้เบ่งบาน
The Moon 704
The Moon 704
ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อจากนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น นิ้วเรียวกดปุ่ม
ปรากฎข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าหวาน
เปลือกตาบางค่อยๆปรือขึ้น พร้อมๆกับสติที่กลับเข้ามา ภาพที่ปรากฏเป็นเพียงเพดานสีขาวที่ไม่ค่อยสะอาดตา
เขาค่อยๆลำดับความคิดทบทวนเหตุการณ์ จำได้เพียงภาพสุดท้ายที่ผู้คนวิ่งแตกตื่นท่ามกลางความมืด
ชายหนุ่มพยายามดันตัวลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง แต่กลับต้องล้มลงไปอีกครั้ง เพราะความเจ็บปวดที่แขนซ้ายที่แปลบเข้ามา
แทมินมองแขนซ้ายของตนที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวมีคราบเลือดสีแดงเปรอะเปื้อน
เขาถูกยิง!
ชายหนุ่มนึกขึ้น ก่อนจะค่อยๆมองไปรอบๆตัว บรรยากาศในห้องไม่คุ้นเคย เป็นเพียงห้องสีเหลี่ยมแคบๆ รู้สึกอุดอู้
ดวงตาหวานสะดุด หยุดกับภาพชายผมสั้นร่างสูงผู้หนึ่งในชุดสีดำ ที่ยืนหันหลังอยู่ตรงประตูที่เปิดกว้างออก
“ระวังอย่าให้แผลกระทบกระเทือน อีกไม่นานจะมีคนมารับคุณ”
เสียงเข้มดังขึ้น ก่อนชายผู้นั้นจะก้าวหายออกไป
ดวงตาหวานยังคงมองไปยังที่เดิมนิ่ง แม้จะเป็นเพียงประตูที่ถูกปิดลงแล้ว
เขาจำแผ่นหลังนั้นได้ดี
ทำไม?
ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง คิบอมพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเด็กชายตัวเล็กและชายหนุ่มอีกสองคน
ก่อนที่คิบอมจะต้องตกใจเพราะเห็นผ้าพันแผลที่แขนข้างซ้ายของแทมิน
“นายถูกยิง?”
“อืม แต่คงแค่ถากๆ เพราะเหมือนตอนนั้นฉันจะล้มลงพอดี”
คิบอมมองหน้าเพื่อนของตน น้ำตาเอ่อล้นเต็มดวงตาคู่สวย
“ฉันยังไม่ตายนะคิบอม ไม่ต้องร้อง” คิบอมยิ้มกว้างออกมา เงยหน้าขึ้นพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหล
เพราะไม่อยากให้แจฮาและลูกน้องอีกสองคนต้องเห็นน้ำตาของเขา
“นายมาได้ยังไง”
“ฉันกับแจฮาถูกจับตัวไป พวกมันปล่อยฉันลงข้างถนน แล้วก็มีข้อความส่งมาในโทรศัพท์บอกว่านายอยู่ที่นี่ แล้วนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
แทมินนิ่ง นึกถึงภาพด้านหลังของชายชุดดำที่เพิ่งจากไป
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน นายอย่าเพิ่งถามเลย ฉันอยากกลับแล้วล่ะ”
คิบอมพยักหน้ารับ ก่อนชายหนุ่มอีกคนจะเข้ามาช่วยประคองร่างบางนั้นลุกขึ้น
“กลับมาช้ากว่าเวลานะมินโฮ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้มินโฮที่กำลังจะเดินเข้าไปในตัวห้องต้องหยุดนิ่ง
ชายผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น ด้านหลัง แต่มินโฮก็ไม่ได้หันกลับไปมอง
“จะให้ฉันบอกคุณจองซูมั๊ย” จงฮยอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน
“เชิญ”
TBC
Talk : เจอกันตอนที่แปดนะคะ รักคนอ่านทุกคน ^^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น