ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC]SHINee 2Min:Hieina ' ไฮอินะ 'ดอกไม้ขาวแห่งบัลลังก์มังกร

    ลำดับตอนที่ #6 : chapter 5 : การเผชิญหน้า

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 54


    Part 5 การเผชิญหน้า



















    เพ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน นกน้อยตัวเดิมยังคงยอมถูกกักขังอยู่ในกรงไม้นั้น
    มีสักครั้งไหมที่จะลองทำลายกรงไม้แล้วปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ 
    นกน้อยแม้จะอยู่ในฐานะ ‘สัตว์เลี้ยง’แสนรักของผู้สูงศักดิ์ มันจะต่างอะไร 
    เมื่อก็ยังเป็นแค่นกน้อย ที่ไร้แรงกำลังจะโบยบินหนีไปด้วยปีกบางเบาของมันเอง


    เจ้านกน้อยตรงหน้าเขา ส่งเสียงร้องดังราวกับว่ามีความสุข มันกินอิ่มนอนหลับ ชีวิตที่แสนสบาย
    ไม่ต้องดิ้นรนหาอาหารมาประทังชีวิตดังเช่นเจ้าฝูงนกนอกกรงทั้งหลายนั่น





    มันมีความสุข… 





    มันพอใจ









    ?

















    “สิ่งสำคัญของทุกชีวิตไม่ใช่อิ่มท้อง หรอกหรือ เจ้านกน้อย” 

    มือเรียวหยิบให้อาหารอย่างที่เคยทำเป็นประจำ น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา 
    มองภาพสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนอย่างเหนื่อยอ่อน 



    “แกมาทำอะไรกับไอ้นกบ้าของแกอยู่ตรงนี้คิบอม!” เสียงเข้มเรียกให้เจ้าของใบหน้าคมเฉียบ
    หันไปมองอย่างตกใจ รอยย่นบนหน้าผากกับคิ้วหนาที่ขมวดเป็นปมยุ่ง ของผู้เป็นบิดาบ่งบอกถึงความไม่พอใจนัก

    “อาป๊า ผมมาให้อาหารเจ้าวิลโลมัน ถึงเวลากินอาหารของมันแล้ว อาป๊ามีอะไรหรือครับ” 
    เอ่ยตอบไปตามปกติ พลางมองดูเจ้านกพันธุ์คอกคาเทลตัวน้อยในกรงไม้ของตน อย่างไม่สนใจบิดาที่ดูโกรธเกรี้ยว

    “ฉันว่า เวลานี้แกควรจะไปเรียนรู้งานในห้องเครื่องโอสถนะ แกก็รู้ว่านายท่านกำลังต้องการคนดูแลคนใหม่“

    “ แทมินมีคนที่เล็งอยู่แล้วล่ะ” 

    “ใคร?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “ก็ไอ้คนงานหน้าตี๋ๆที่อาป๊าเพิ่งรับมาไงเล่า” 

    “ไอ้คนที่ชื่ออีอนยูน่ะเหรอ” คิบอมพยักหน้ารับเบาๆ สายตาหวานยังคงสนใจสัตว์เลี้ยงของตน

    “นายท่านคิดยังไง มันก็แค่ไอ้เด็กกำพร้า ที่มาขอทำงานแลกข้าวกิน 
    เรื่องนี้ฉันว่าไม่เข้าท่า แกรีบไปจัดการไป แกควรจะต้องเป็นคนที่ดูแลห้องเครื่องโอสถคนต่อไป 
    แกก็รู้ว่าหน้าที่นี้มันสำคัญ จะให้ตกไปอยู่ในมือของไอ้พวกคนงานกระจอกๆได้ยังไง ”

    เซียวฟงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ครุ่นคิดหนักกับเรื่องดังกล่าว

    “ตลกน่าอาป๊า มีที่ไหนให้ที่ปรึกษาพรรคไปทำงานที่ห้องนั้น อีกอย่างผมมีงานอย่างอื่นที่ต้องทำ 
    พรุ่งนี้ก็ต้องไปมาเก๊ากับแทมิน งานสำคัญรอผมอยู่เยอะไป ผมว่าที่อาป๊าคิดไม่เข้าท่า”

    “เจิ้งหมิง!!!” น้ำเสียงเข้มเอ่ยอย่างโมโห เอ่ยเรียกชื่อภาษาของตนอย่างที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้บ่อยหนัก หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ

    “แกเป็นคนของตระกูลหลีใช่ไหม ถ้าใช่ ไม่ว่างานอะไรแกก็ต้องทำ 
    ยิ่งวันนี้แกได้ขึ้นรับตำแหน่งแล้ว แกยิ่งต้องทำ อะไรก็ต้องทำ มันเป็นหน้าที่ แกเข้าใจไหม” 




    ร่างบางวางมือจากการให้อาหารสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนอย่างจำยอม ใบหน้าที่โมโหเกรี้ยวกราดของบิดา 
    ที่ไม่ค่อยปรากฏต่อใคร หากไม่ใช่ลูกชายอย่างเขา ใบหน้าที่เขาพยายามไม่รับรู้ เดินเลี่ยงออกมาแม้แสนจะต่อต้าน














    นกน้อยยังคงยอมอยู่ในกรงของมัน รอคอยเวลาที่จะได้กินอาหารอีกครั้ง











































    “พี่อนยู ได้ข่าวว่าพี่จะได้เป็นหัวหน้าของห้องเครื่องโอสถนี้ใช่มั๊ย” 

    ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นผู้คัดเลือกพันธุ์ไม้ที่ถูกเก็บมาใหม่ประจำห้องเครื่องโอสถ เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น 
    ทำให้เหล่าชายอีกสี่ห้าคนหันมามองเป็นตาเดียวก่อนจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย


    “เฮ้ย พวกแกกินอะไรกันมาวะ ถึงมาเรียกฉันว่าพี่” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ 
    ขณะที่มือเรียวของเขายังคงง่วนอยู่กับการหยิบเอาพืชพรรณดีขึ้นมาดมกลิ่นอย่างพิจารณา


    “โธ่พี่อนยู ต่อไปพี่จะได้ดิบได้ดีแล้ว จะให้เรามาเรียกเหมือนเดิมได้ยังไงกันเล่า ต้องเรียกพี่อนยูสิ 
    จากนี้ไปพี่จะเป็นคนที่พวกเรานับถือ จริงไหมพวกเรา” เหล่าบรรดาชายหนุ่มต่างพยักหน้าเป็นเสียงเดียว 

    “ใช่ๆ พี่ ฉันเองก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน คนเขาพูดกันทั้งพรรค 
    เขาบอกว่านายท่านจะให้พี่เป็นหัวหน้าที่นี่ จริงใช่ไหมพี่ บอกพวกเรามาเถอะ” 


    “ถึงเราจะเป็นคนจน แต่ถ้าเป็นคนดีอย่างพี่ ขยันทำงานแบบนี้ แถมยังมีความรู้เรื่องยาอีกต่างหากนะ 
    ผมว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมกับพี่แล้ว พวกเราดีใจจริงๆที่จะมีพี่เป็นหัวหน้า ต่อไปพวกเราจะขยันทำงานยิ่งๆขึ้นไป 
    เอาพี่เป็นตัวอย่าง เผื่อสักวันจะได้ดิบได้ดีอย่างพี่บ้าง” 

    ชายอีกคนเอ่ยขึ้นสำทับ เรียกให้เหล่าชายพวกนั้นต้องพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยอีกหน 
    อนยูมองภาพนั้นพลางยกยิ้มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า

    “พวกแกอย่าเพิ่งมาเว่อแถวนี้ ฉันยังเป็นไอ้อนยูคนงานกระจอก ที่ทำงานแลกที่นอนแลกข้าวกินไปวันๆ 
    เรื่องที่พวกแกพูดฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าจริง… ฉันจะฉลองเว้ยยยยย” 
    ว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนหันไปจัดการกับงานตรงหน้าต่อ ชายทั้งหลายมองหน้ากันอย่างงงๆ 
    ก่อนพากันโห่ร้องอย่างดีใจ ทำให้บรรดาชายหญิงผู้สูงวัยที่กำลังง่วนกับการทำงานส่ายหน้าอย่างเอือมระอา 



    แต่แท้ที่จริงในใจ เรื่องนี้ก็ไม่มีใครคิดต่อต้าน อีอนยูหนุ่มที่ขยันขันแข็งทำงาน ทั้งยังมีความรู้เรื่องยาจนน่าแปลกใจ 
    แม้จะเป็นเพียงบุคคลที่มีฐานะอันต่ำต้อย หากแต่ก็เหมาะสมกับตำแหน่งอันสำคัญนี้เกินผู้ใดในเวลานี้













    คิบอมมองภาพตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องโอสถ ตำแหน่งที่แสนสำคัญสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
    หากใช่แค่เพียงฐานันดรศักดิ์ ความรู้ หรือความคิด แต่คนผู้นั้นต้องเหมาะสมด้วยความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่า ”ใช่” 


    มันจะแปลกแค่ไหนหากตำแหน่งนั้นตกมาอยู่ในมือของคนงานที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไรนัก 







    แทมินมองเห็นอะไรในชายผู้นี้?














    แล้วเขาล่ะมองเห็นอะไรในชายผู้นี้ ? …ถึงได้ไม่ชอบ









    หลังจากสังเกตเหตุการณ์อยู่นาน เท้าเรียวทั้งสองค่อยก้าวเข้าไปภายในอย่างใจเย็น 
    ผู้คนทั้งหลายต่างทำงานอย่างขะมักเขม้น 
    กลิ่นหอมของพืชพรรณดีและไอน้ำที่เดือดได้ที่ ยังคงลอยล่องให้ความรู้สึกที่ดีเฉกเช่นเดิม








    พลั่ก






    “ขะ.. ขอโทษครับ” 

    ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก หลังจากที่ซุ่มซ่ามเดินชนไหล่ของชายที่ปรึกษาพรรคอย่างจัง 
    ดวงตาคมของคิบอมมองอย่างไม่ค่อยพอใจ 



    “มีหม้อยาอยู่ในมือ ทำไมถึงเดินไม่ระวัง ถ้ามันหกขึ้นมาจะทำยังไง รู้ไม่ใช่เหรอว่า ยาพวกนี้มันสำคัญแค่ไหน” 
    คิบอมเอ่ยตำหนิอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจในความประมาทของอีกฝ่าย 
    โชคดีที่ยังพอประคองไม่ให้น้ำที่กำลังร้อนได้ที่หกออกมา ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นเรื่องใหญ่

    ชายหนุ่มผู้นั้นก้มหน้างุดหลบสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยขอโทษอย่างรู้ผิด แล้วเดินเลี่ยงออกมา 
    เพื่อจะไปยังจุดตรวจยา แต่เสียงหวานของคิบอมก็ดังขึ้นก่อน

    “เดี๋ยว ชื่ออะไรน่ะเรา” เขาถามเพื่อจะจดจำไว้ หากมีการทำผิดเป็นครั้งที่สองก็ควรจะได้รับโทษ

    “เอ่อ…อีฮงกีครับ” ว่าเสร็จก็รีบเดินหนีไป คิบอมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเดินไปสำรวจการทำงานภายในต่อ




























    มุมหนึ่งที่เป็นห้องเก็บพรรณพืชที่ถูกเก็บมาใหม่ๆ ชายห้าหกคนยังคงง่วนอยู่กับงานของตน 
    คิบอมมองภาพตรงหน้านิ่ง ลอบสังเกตอาการของใครคนหนึ่งที่กำลังขีดเขียนอะไรบางอย่างในสมุดอย่างมีสมาธิ 

    ลักษณะท่าทาง ดวงตาที่ฉายความตั้งอกตั้งใจ ภาพตรงหน้านี้…ทำให้ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างแล่นเข้ามาอย่างไม่ทันคิด 
    ดวงตาหวานเผลอมองภาพนั้นอย่างลืมตัว พิจารณาในอาการของอีกฝ่าย คิ้วเรียวสวยค่อยขมวดเป็นปม


    “มองอะไรครับคุณคิบอม” เสียงนุ่มดังขึ้นเรียกให้ใครบางคนที่ยืนนิ่งหลุดจากห้วงความคิดของตน

    “ปะ เปล่านิ” เสียงหวานเอ่ยตอบแก้ตัวพลางกลอกตาไปมาแก้เก้อ เขารู้สึกเสียหน้าไม่น้อย 
    ผู้ชายที่เขาแสดงออกนักหนาว่าไม่ชอบ ผู้ชายที่ดูไม่ค่อยจะยำเกรงเขาสักเท่าไร แต่เขากลับมายืนพิจารณาผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร

    “งั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปสนใจกับงานตรงหน้าต่อ 



    “อนยูตามออกไปคุยกับฉันข้างนอกด้วย” ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่รีรอ ใครอีกคนมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมลุกตามไปแต่โดยดี























    “นายรู้จักต้นไม้แทบทุกต้นใช่ไหม?” คิบอมเอ่ยคำถามขึ้นทันที ที่เขาทั้งสองเดินมาถึงบริเวณสวนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง 
    แม้จะมีดอกไม้ไม่มากมายนัก แต่ก็ล้วนเป็นดอกไม้ที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากเจ้าของของมัน 

    “ก็พอสมควรน่ะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางมองอีกฝ่ายที่เดินชื่นชมดอกไม้ของตนอย่างสบายใจ


    “อืม งั้นรู้ไหม นี่ดอกอะไร มีสรรพคุณอย่างไร?”




    คิบอมเอ่ยไล่ถามดอกไม้แทบทุกชนิดที่เขามีอยู่ หากแต่ชายหนุ่มอีกคนกลับตอบมันได้ถูกต้องทุกประการ 
    คิบอมก็จนปัญญาในการจะหาเรื่องมาทดสอบความรู้ของอีกฝ่าย คงจะเหลือเพียงดอกไม้ชนิดเดียวเท่านั้น …






    ดวงตาหวานทอดมองกลีบดอกไม้ที่ยังคงหุบไม่ยอมเบ่งบาน ดั่งเช่นดอกไม้ชนิดอื่น 
    ถูกปลูกอยู่ข้างในสุดของสวนดอกไม้ของเขาแห่งนี้ แท้จริงคือดอกไม้สีแดงที่เติบโตอย่างสวยงาม 


    ใครทุกคนในพรรคหลันหลงต่างรู้ดี คุณคิบอม…รักดอกไม้สีแดง 








    ดอกไม้สีแดงพวกนี้…อย่าไปบังอาจแตะต้อง













    ดอกไม้สีแดง รูปร่างคล้ายดอกกุหลาบทั่วไป หากแต่มีหนามแหลมคมมากกว่านั้น….ไม่มีใครรู้จักชื่อมองมัน



    นอกเสียจาก…ผู้ที่ปลูกมันขึ้นมา










    “แล้วดอกนี้ล่ะ” 

    นิ้วเรียวชี้ไปยังเจ้าดอกไม้แสนรักแสนหวงของตน ดวงตาหวานมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างท้าทาย 
    ริมฝีปากบางกระตุกขึ้นอย่างมีชัย …ยอมแพ้เสียเถิด อนยู




    หากแต่ดวงตาคู่นั้นของอนยูกับมีปฏิกิริยาที่แปลกออกไป…ความรู้สึกนั้น คาดคะเนไม่ได้




    ชายหนุ่มนิ่งงัน มองดวงหน้าหวานของอีกฝ่ายอย่างสับสน ดวงตาทั้งสองประสานกัน 
    ดวงตาหวานของคิบอมที่เคยฉายแววความั่นใจกับค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน 




    อนยูค่อยๆเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา











    “พีริสเคีย” 







    “พีริสเคีย ดอกไม้ที่เบ่งบานด้วยแสงจันทร์ในยามราตรี ความสวยงามและหนามอันแหลมคมของมัน
    มักจะเกี่ยวเอาผู้ที่พบเห็นให้กลับมาชื่นชมเสมอ ความหมายของมันก็คือ …ความจงรักภักดี”




    ดวงตาหวานเบิกขึ้นชั่ววินาที ความรู้สึกบางอย่างแล่นพล่านขึ้นมา ไม่มีวาจาวจีใดเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางนั้น 
    ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจที่ยังไหวอย่างไม่เป็นจังหวะ ดวงตาทั้งคู่ยังคงจดจ้องกันอย่างไม่ยอมละสายตา 
    ก่อนที่คนตัวสูงผละตัวเองออกไป ทิ้งให้อีกฝ่ายยังคงนิ่งอยู่ตรงนั้น เพียงผู้เดียว












    “พีริสเคีย”


    ร่างทั้งร่างนั้นสะท้านด้วยเหตุผลที่ไม่อาจหาได้ 
    ริมฝีปากบางเอ่ยพึมพำชื่อเจ้าดอกไม้แสนรักอย่างแผ่วเบา มีเพียงเขาเองเท่านั้นที่ได้ยินมันอย่างชัดเจน…











    ดอกไม้ของข้า…






















































    โรงแรมหรูระดับสิบดาวริมฝั่งแม่น้ำกลางใจเมืองมาเก๊า
    ถูกจัดเป็นสถานที่นัดแนะประชุมครั้งสำคัญ ของเหล่านักธุรกิจระดับสูงที่เรียกกันว่ากลุ่ม 14K 



    ชั้นสิบแปดของโรงแรมถูกจัดรับการมาเยือนของบรรดานักธุรกิจอย่างสมศักดิ์ศรี 
    เหล่าชายผู้องอาจในชุดสูทชั้นดีทยอยเข้ามาถึงบริเวณห้องประชุม ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง


    ร่างบางของแทมินทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นุ่มที่ถูกจัดไว้ ก่อนคิบอมจะนั่งลงทางฝั่งขวามือข้างๆกัน 
    บรรดาหัวหน้าพรรคในเครือข่ายของพรรคหลันหลง ที่มาเข้าร่วมการประชุมต่างโค้งคำนับแทมิน ก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งของตน 
    หากแต่ผู้ที่ไม่ใช่ต่างมองชายหนุ่มอายุน้อยอย่างไม่เป็นมิตร ไร้เหตุผลจะให้ซึ่งความเคารพยำเกรงในผู้เยาว์วัยกว่า




    ผู้เข้าประชุมนั่งที่ประจำตำแหน่งอย่างเรียบร้อย เอ่ยกล่าวทักทายกันพอเป็นพิธี 
    สายตาหลายคู่กวาดมองรอบๆ มีเพียงเก้าอี้ที่ว่างอยู่เพียงสามตัวเท่านั้น 
    คนทั้งหลายต่างพากันหันไปซุบซิบกับคนของตัวเองถึงผู้ที่มาถึงช้าที่สุดของการประชุม



    ประตูห้องถูกเปิด ชายวัยกลางคนปรากฏกายขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มอีกสองคนที่อยู่ด้านหลัง 
    ชายทั้งสามเดินเข้ามาอย่างมั่นใจ ไม่สนเหล่าสายตาหลายคู่ที่มองอย่างตำหนิ 
    ชายวัยกลางคนที่เดินนำเข้ามาก่อน นั่งลงบนเก้าอี้ตัวกลาง 
    ก่อนชายที่ใส่หมวกสีดำจะนั่งลงข้างขวาของเขา และตามด้วยชายตัวสูงอีกคนที่นั่งลงข้างซ้าย




    ใบหน้าทั้งสาม ไร้ซึ่งความรู้สึกที่จะบ่งบอกให้รู้ว่า… เกรงใจ





    “เอาล่ะ ในเมื่อมากันครบแล้ว ผม โจว เจี๋ยหลุน ในฐานะผู้รักษาการหัวหน้ากลุ่ม สิบสี่เคของเรา ขอเริ่มการประชุม ณ บัดนี้” 
    ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บริเวณด้านหน้าสุด ข้างตำแหน่งหัวโต๊ะที่ยังว่างไว้ เอ่ยขึ้นด้วยภาษาอังกฤษที่ตนร่ำเรียนมาเป็นอย่างดี 
    เพราะผู้เข้าประชุมในวันนี้มีทั้งคนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลี รวมถึงชาวยุโรปที่มีสองสามคน



    “สำหรับเรื่องที่เราจะประชุมในครั้งนี้ ก็คงต้องเป็นเรื่องการเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสิบสี่เค
    แทนคุณเสี่ยวหมานที่เสียชีวิตไป อย่างที่เราทราบกันดี ในช่วงหลังมานี้กลุ่มของเราเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง 
    ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะเรามีผู้นำที่ดีอย่างคุณเสี่ยวหมาน เพราะฉะนั้นการจะเลือกผู้ที่มาดำรงตำแหน่งสืบต่อไป 
    ก็คงจะต้องเลือกกันให้ดี ใครข้อนี้ใครมีข้อเสนออย่างไร”



    “ผมว่า เราคงไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาอะไรหรอกครับ กว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกเรา 
    ก็เป็นบรรดาหัวหน้าพรรคเครือข่ายของหลันหลงทั้งนั้น ตำแหน่งนี้จะตกไปอยู่ในมือใคร 
    ถ้าไม่ใช่คุณแทมินหัวหน้าพรรคหลันหลงคนปัจจุบัน” ชายญี่ปุ่นคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไร 



    “คงไม่ได้หรอกมั้งครับ เราก็รู้กันดีว่า ตำแหน่งหัวหน้าต้องให้ผู้ที่เหมาะสมด้วยวุฒิภาวะ ความสามารถ 
    และอำนาจ ถึงจะเป็นลูกชายของหัวหน้ากลุ่มคนเก่า แต่เด็กตัวแค่นี้เหรอ จะมาเป็นหัวหน้าผม ฮึ!” 

    ชายญี่ปุ่นอีกคนเอ่ยขึ้นพลางมองแทมินด้วยสายตาเหยียดหยาม แทมินยังคงนิ่งไม่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อะไร


    "กลุ่มสิบสี่เคของเรา เป็นที่จับตามองจากวงการอุตสาหกรรมและธุรกิจมากมาย 
    ผู้ที่เป็นผู้นำ ต้องถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีทั้งความกล้าหาญ ความสามารถ และประสบการณ์ "

    ชายไต้หวันอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น



    "ผมเองก็คิดว่าคุณแทมินยังเด็กเกินไปที่จะมารับหน้าที่นี้ คงต้องวัดความสามารถกันอีกยาว"


    “แต่ถ้าให้พูดกันตามความจริง คุณแทมินมีสิทธิในข้อนี้มากที่สุดไม่ใช่เหรอครับ” 
    นายเฟิง หัวหน้าพรรคเหวิน หนึ่งในพรรคเครือข่ายของหลันหลง เอ่ยขึ้นตามความคิดของตน 
    ก่อนชายญี่ปุ่นผู้หนึ่งที่นั่งฟังอยู่จะลุกขึ้นมาเอ่ยว่า


    “โธ่ คุณเฟิง จะเอ่ยเข้าข้างพวกเดียวกันอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะครับ เราก็ต้องพิจารณากันไป 
    อย่าหาว่าผมอะไรเลยนะครับ แต่ถามจริงๆเถอะ คุณแทมินครับ แค่เรื่องพี่ชายของตัวเองหาตัวคนฆ่าได้หรือยังครับ?” 






    !!! ทุกสายตา จับจ้องไปยังชายหนุ่มที่ยังคงไม่เอ่ยวาจาใด 
    หากแต่คนข้างตัวของเขาแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นมาชกหน้าใครบางคนเสียไม่ได้ หากไม่ถูกมือบางของแทมินรั้งไว้ 








    คำถามหนึ่งผุดขึ้นในความคิดของหลายคนในห้องแห่งนี้















    … ลูกชายคนโตของอี้เสี่ยวหมานเสียชีวิตไปด้วยโรคประจำตัวไม่ใช่หรือ?













    เที่ยวเอาไปป่าวประกาศแล้วสินะ




    มืออีกข้างกำหมัดแน่น นัยน์ตาหวานฉายแววความโทสะ กระแสจิตพุ่งไปยังผู้ชายที่มีศักดิ์เป็นน้าของตน 
    ที่ยังคงนั่งวางท่าสบายใจ ไร้ความรู้สึกเดือดร้อนอะไรกับเหตุการณ์ตรงหน้า




    …รู้อยู่แก่ใจดี คนที่ต้องถูกเอ่ยเรียกว่าน้า ร้ายกาจกว่างูพิษตัวไหน






    หากแต่ไม่คิดว่า จะแว้งกัดไม่ทันตั้งตัวถึงเพียงนี้











    ทรยศได้แม้กระทั่งคนที่หมดลมหายใจไปแล้ว !

























    “เอ้า ว่ายังไงล่ะครับคุณแทมิน?” 

    หนุ่มชาวญี่ปุ่นยังคงเอ่ยถาม ทั้งที่น้ำเสียงแสดงออกชัดว่าไม่ได้ต้องการคำตอบ เพียงแต่ต้องการให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้




    “มันหมายความว่ายังไงครับคุณแทมิน เป็นเรื่องจริงเหรอครับ ถ้าอย่างนั้น 
    ทำไมคุณเสี่ยวหมานต้องปิดบังเรื่องมานานขนาดนี้ด้วยล่ะครับ”




    “มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมครับ”













    คนทั้งหลายรอคอยคำตอบ 
























    “ครับ… มันเป็นเรื่องจริง” 
    คิบอมส่งสายตาอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยมาทางแทมิน พยายามจะรั้งไม่ให้อีกฝ่ายพูดเรื่องทั้งหมดออกมา

    ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศของห้อง ไม่มีใครเอ่ยวาจาใดใดออกมา












    “ตลกสิ้นดี!” 

    น้ำเสียงแสยะดังขึ้นจากหนุ่มไต้หวันผู้หนึ่ง แทมินลอบถอดหายใจเพียงน้อย 
    ดวงตาหวานพลันเหลือบไปสบเข้ากับดวงตาคมของใครบางคนที่แสนคุ้นเคย ที่นั่งอยู่เยื้องกัน 
    แววตานั้นไม่อาจบ่งบอกได้ว่ากำลังคิดอะไร สุดท้ายก็เป็นดวงตาหวานที่ละจากสายตาคู่นั้นเสียก่อน


    “พรรคหลันหลงอันเป็นที่นับถือของใครนักหนา แต่เบื้องลึกกับมีประวัติที่เน่าเฟะ 
    จนป่านนี้คนร้ายคนเดียวยังหาไม่ได้ น่าทุเรศ” 
    หนุ่มไต้หวันรูปร่างกำยำผู้นั้นยังคงเอ่ยต่อไป เป็นอีกครั้งที่คิบอมต้องยับยั้งไม่ตัวเองได้ใช้กำลังในวันนี้ 
    ในขณะที่แทมินยังคงนั่งเฉย ไม่ตอบโต้ใดใด




    “ผมเสียใจครับ ในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้าพรรคเฉิน พรรคเครือข่ายของหลันหลง 
    พรรคหลันหลงเห็นเราเป็นอะไรถึงได้โกหกกันได้ขนาดนี้”



    เสียงวิพากษ์วิจารณ์เอ่ยดูถูกเหยียดหยาม ต่างๆนานา ดังขึ้นทั่วทั้งที่นั้น แทมินเพียงแค่รับฟังในคำพูดของคนทุกคน








    “ผมว่าเรื่องนี้ ควรจะให้คุณแทมิน ชี้แจงว่าจะทำอย่างไรต่อไป” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้น 
    เรียกให้ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว ชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ปาร์คจองซู เขาเอ่ยอย่างสุภาพ 





    แทมินมองชายผู้นั้นอย่างไม่เข้าใจ มินโฮเพียงแค่ส่งสายตามายังคนตัวเล็กอย่างท้าทาย 
    ดวงตาหวานรับสายตานั้นอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนเอ่ยว่า



    “เพื่อเป็นการลบล้างมลทินทั้งหมด และ เพื่อพิสูจน์ในความสามารถของผมเอง ผมจะรีบหาตัวคนร้ายมาจัดการให้เร็วที่สุดครับ”






    การประชุมจบลงก่อนเวลาที่กำหนด เพียงเพราะเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ผู้เข้าร่วมประชุมต่างทยอยเดินออกไปจากห้องประชุม 
    ก่อนจะก้าวออกไปก็มิวายส่งสายตาเหยียดยามมาให้ชายหนุ่มตัวเล็กที่ยังคงนั่งอยู่ ที่เดิมกับเพื่อนสนิทของเขา





    คนทั้งห้องออกไปหมดแล้ว มีเพียงชายแค่ห้าคน 
    ปาร์คจองซูเดินเข้ามาหาหลานชายก่อนจะเอ่ยน้ำเสียง แสดงความห่วงใยที่จับได้ว่า…เสแสร้ง






    “น้าเอาใจช่วยนะหลานชาย”

































    “คุณแทมินครับ คุณหลิว ต้องการพบครับ” 

    ร่างเล็กทั้งสองที่กำลังจะก้าวไปยังลิฟท์ชะงักกับเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่ง 
    แทมินและคิบอมเหลียวหลังกับมายังชายผู้นั้น แทมินมองหน้าคิบอม ต้องการคำตอบ อีกฝ่ายยกยิ้มเบาๆก่อนจะเอ่ย

    “จำไม่ได้เหรอที่เคยบอก หัวหน้าพรรคจินอยากพบนายเต็มแก่” 
    สิ้นประโยคดวงตาหวานของแทมินเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างเข้าใจในคำพูดของเพื่อนสนิท ก่อนจะยิ้มเบาๆ เอ่ยกับผู้ชายแปลกหน้า

    “ที่ไหนล่ะ นำไปเลยสิ” 
    ชายผู้นั้น พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินนำออกไป ริมฝีปากบางของแทมินเป่าลมเบาออกมา ตามอารมณ์ของตน 
    ก่อนจะเดินตามชายผู้นั้น ส่วนคิบอมแอบยิ้มน้อยๆ ตามไปเป็นคนสุดท้าย















































    ห้องอาหารหรูในชั้นบนสุดของโรงแรมชื่อดัง ที่ออกแบบให้มองเห็นฝั่งแม่น้ำที่ประกายยามต้องแสงจันทร์ได้อย่างชัดเจน
    เสียงดนตรีบรรเลงคลอเบาๆ พอให้แขกได้สัมผัสกับรสชาติของอาหารที่ดียิ่งขึ้น

    โต๊ะตัวในติดริมกระจกใส ทอดมองบรรยากาศภายนอกได้เป็นอย่างดี 
    ชายวัยกลางคนที่ค่อนจะใกล้วัยชราเต็มทีนั่งรอบนเก้าอี้นุ่มพร้อมรอยยิ้ม ร่างบางทั้งสองเดินเข้าไปก่อนทำความเคารพตามมารยาท 


    หลิวอี้เหวิน หัวหน้าพรรคจิน ที่ถือว่าเป็นพรรคที่ได้รับการยอมรับอย่างมากในเซี่ยงไฮ้อีกพรรคหนึ่ง 
    เป็นอีกพรรคที่มีความใกล้ชิดกับพรรคหลันหลงแม้จะไม่ได้เป็นหนึ่งในพรรคเครือข่ายก็ตา
    ม เขาผายมือให้ทั้งสองนั่งลงพร้อมรอยยิ้ม 



    “ดีใจที่ได้พบกันอย่างเป็นการส่วนตัวเสียทีนะคุณแทมิน คุณคิบอม” 
    ภาษาจีนกลางที่คุ้นเคยถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน



    “เช่นกันครับ” แทมินตอบรับเรียบง่ายด้วยภาษาจีนที่เอื้อด้วยสถาณการณ์จะทำให้ต้องเปิดออกมาใช้


    “เป็นอย่างไรบ้างครับ สองเดือนกับการเป็นเจ้าพ่อ ผมว่าคุณแทมินทำได้ดีทีเดียว จากผลงานที่ผมเห็น คุณเสี่ยวมานที่เลี้ยงลูกชายมาดีจริงๆ” 
    เขาเอ่ยอย่างชื่นชมด้วยใจจริง เด็กผู้ชายที่ก้าวขึ้นมาในจุดที่หนักหนา 
    รับเรื่องราวหลายอย่าง แต่กลับสามารถดำเนินธุรกิจหลายอย่างของตระกูลให้มั่นคงต่อไปได้



    “ไม่หรอกครับ ผมแค่สานงานเก่า ตอนนี้ยังไม่มีงานอะไรที่จะเริ่มต้นด้วยตัวเองสักอย่าง คงต้องเรียนรู้กับสิ่งที่ครอบครัวสร้างไว้ให้เสียก่อน"



    “แต่ได้ข่าวว่าคุณแทมินจะเปิดภัตตาคารอาหารจีนที่โซลเร็วๆนี้ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมกัน ชอบธุรกิจอาหารหรือครับ” 
    แทมินและคิบอมหัวเราะน้อยๆให้กับคำถามของอีกฝ่ายก่อนแทมินจะเอ่ยตอบ



    “เปล่าหรอกครับ ผมแค่เห็นว่าจิ้นฟงเหมียง ยังไม่มีเปิดที่โซล ก็เลยอยากลองทำดู จะได้เป็นการส่งเสริมอาหารจีนไปในตัวด้วยครับ” 
    หลิวอี้เหวิน ยิ้มอย่างแปลกใจ ในคำตอบของอีกฝ่าย 



    ภัตตาคารจิ้นฟงเหมียง แต่เดิมเป็นเพียงร้านอาหารจีนเล็กๆ ที่ถูกเปิดมาพร้อมๆกับร้านขายข้าวและโรงสีของตระกูลอี้ 
    ตั้งแต่สมัยของอี้เหวินซาน หัวหน้าพรรครุ่นที่หนึ่ง ที่ยังเป็นแค่ลูกชายของเจ้าของร้าน 


    ในช่วงเวลาที่ข้าวยากหมากแพง เพราะมีฝูงศัตรูพืชมาทำลายข้าว ที่กำลังใกล้จะเก็บเกี่ยวของเจ้าของร้านค้าข้าวทั้งหลาย 
    จนเสียหายทั้งหมด ประชาชนทั้งหลายเดือดร้อน แย่งกันซื้อข้าวครั้งละหลายสิบชั่ง ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นเอย่างรวดเร็ว 
    ซ้ำยังมีการกักตุนข้าวของพ่อค้า ประชาชนเกรงว่าจะอดข้าวจนตาย ทำให้ช่วงเวลาทั้งเป็นช่วงเวลาที่ลำบากเป็นอย่างยิ่ง


    แต่ด้วยปัญญาของอี้เหวินซานลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลอี้ ที่ใช้กลแต่งยุ้งฉาง ยกเพดานสูง ตบตาว่ามีข้าวอยู่เต็มยุ้ง 
    ประชาชนจะไม่อดตาย ทำให้ประชาชนยอมฟังและปัญหาต่างๆค่อยคลี่คลายไปในทางทีดี 
    นับว่าเป็นการแสดงฝีมือการเป็นผู้นำให้ประจักษ์ในสายตาของตระกูลอี้ทุกคน




    และเป็นครั้งแรกที่ชื่อเสียงของตระกูลอี้ถูกกล่าวถึงขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว




    กิจการของร้านจิ้นฟงเหมียงและร้านขายข้าว จึงขยายกิจการกลายมาเป็นภัตตาคารที่มีชื่อเสียงได้ในที่สุด



    ภัตตาคารจิ้นฟงเหมียง มีสาขาใหญ่อยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ต้นกำเนิดของร้านนั่นเอง 
    และมีสาขาย่อยทั้งใน ปักกิ่ง เกียวโต โตเกียว และมาเก๊า แต่กลับไม่มีเปิดอยู่ที่กรุงโซล 
    จึงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับการเปิดสาขาใหม่ครั้งแรกในเกาหลี



    “ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ ยังไงถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร พรรคจิน ยินดีเสมอนะครับ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ


    “ขอบคุณครับ” คนตัวเล็กตอบอย่างนอบน้อม

    “เอ่อ ผมคงจะต้องขอพูดเรื่องสำคัญในวันนี้แล้วล่ะครับ และผมขออนุญาตไม่อ้อมค้อมนะครับ” 

    ทั้งแทมินและคิบอมหันมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนแทมินจะหันไปยิ้มบางๆให้ชายอายุโสกว่าตรงหน้า




    “เชิญครับ”


    “ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งหากลูกสาวคนเล็กของผมจะได้แต่งงานกับคุณแทมิน 
    ทั้งอี้เฟยและคุณแทมินเองก็รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ อี้เฟยเองก็มีความผูกพันกับคุณแทมินมาก 
    ผมเห็นว่าคุณแทมินจะสามารถดูแลลูกสาวของผมได้ และเขาเองก็ไม่ขัดข้องอะไร คุณแทมินก็คงทราบดีว่าคนจีนอย่างเรา 
    จะต้องมีบุตรชายสักคนไว้สืบทอดตระกูล ผมมั่นใจว่าอี้เฟยจะสามารถให้กำเนิดลูกชายที่แข็งแรงแก่ตระกูลอี้ของคุณแทมินได้ 
    ผมคงต้องขอถามคุณแทมินว่าจะเห็นด้วยในเรื่องนี้หรือไม่” 


    ใบหน้าหวานซีดเผือก คิ้วเรียวของแทมินขมวดมุ่น ทำให้อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่ค่อยดี 


    “คุณแทมินไม่เห็นด้วยหรือครับ” หลิวอี้เหวินเอ่ยอย่างไม่ค่อยสู้ดี คิบอมรีบเอ่ยตอบก่อน เพราะเห็นในอาการไม่ค่อยดีของเพื่อน






    …เปล่าหรอก แทมินไม่ได้คิดเรื่องแต่งหรือไม่แต่งหรอกนะ แต่แทมินเคยรู้จักกับคนชื่ออี้เฟยด้วยหรือ?










    “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เพียงแต่ว่าแทมินเขาไม่ค่อยสบายครับ ผมว่าเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ คงต้องขอเวลาอีกสักนิด
    อีกอย่างแทมินกับอี้เฟยก็ยังไม่เคยเจอ เอ่อ ผม หมายถึง ไม่ได้พบหน้ากันมานานแล้ว เพราะแทมินก็ไปอยู่อังกฤษซะนาน 
    ยังไงพบว่าให้แทมินกับลูกสาวของท่านได้เจอกันก่อนดีไหมครับ” 


    คำตอบของคิบอมทำให้อีกฝ่ายคลายความกังวลใจลงก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับเพราะตอนนี้อี้เฟยก็อยู่กับผมที่นี่แล้ว แต่ว่าคุณแทมินไม่ค่อยสบาย ผมว่าเอาไว้โอกาสหน้าดีไหมครับ” 


    “ไม่เป็นไรครับคุณหลิว เชิญเธอเข้ามาเถอะครับ” แทมินค่อยเอ่ยอย่างเกรงใจ 


    “เอาอย่างนั้นหรือครับ”


    “ครับ”

    สิ้นคำตอบของร่างบาง ชายวัยกลางคนเอ่ยเรียกลูกน้อง ก่อนจะออกคำสั่งให้ไปตามลูกสาวของเธอที่คงจะอยู่ไม่ไกลจากบริเวณห้องอาหารนี้






















    “คุณพ่อคะ หนูมาแล้วค่ะ” เสียงหวานดังขึ้นเรียกให้ชายทั้งสาม หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง

    หญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับอีแทมิน ในชุดกระโปรงผ้าเนื้อดีสีฟ้าหวาน ยาวกลอมเข่า 
    เส้นผมตรงสวยถูกปล่อยให้ยาวสลวย ใบหน้าหวานถูกแต่งด้วยสีอ่อนๆดูสบายตา พร้อมรอยยิ้มหวานที่แต่งแต้มบนใบหน้าสวยของเธอ

    “อี้เฟยนั่งสิลูก” ผู้เป็นบิดาเอ่ยให้ลูกสาวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างตน ชายหนุ่มอีกสองคนมองผู้มาใหม่ 
    ใบหน้าหวานนั้นแทมินรู้สึกคุ้นตา แต่ไม่อาจจดจำได้ว่าเคยพบพานกันที่ใด ส่วนคิบอมนั้นมองหญิงสาวด้วยความชื่นชม
    ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับว่าได้ถูกแต่งแต้มและเสกสรรมาอย่างวิเศษ 
    หญิงสาวผู้นี้คือความสวยงามที่ไม่อาจหาได้ที่ใด สวย หวาน และดูมีพลัง ดั่งหญิงงามในผลงานชิ้นเอกของจิตรกร



    หญิงสาวยิ้มให้แก่แขกคนสำคัญทั้งสองด้วยไมตรี แทมินและคิบอมตอบรับไมตรีนั้นด้วยรอยยิ้มบางด้วยอาการเคอะเขินน้อยๆ




    “สวัสดีแทมิน จำเราได้ไหม?” 

    หญิงสาวเอ่ยถามเสียงหวาน ใบหน้านั้นแสดงออกซึ่งความกังวลเล็กๆ
    แทมินยิ้มรับเบาๆก่อนจะพยายามนึก แล้วหันไปหาคิบอมอย่างขอความช่วยเหลือ 
    คิบอมเพียงแค่ส่งสายตาให้อีกฝ่ายพยักหน้ารับ


    “เอ่อ…จำได้ครับ ทำไมจะจำไมได้ล่ะจริงมั๊ย” 

    รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าหวานของหญิงสาวและชายวัยกลางคนทันที



    “นั่นสินะ ก็แทมินกับอี้เฟย เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ อี้เฟยติดแทมินแจเลย พ่อพาไปเยี่ยมน้าเสี่ยวหวานที่โซลทีไรร้องดีใจทุกที”
    ชายชราหัวเราะชอบใจ ลูกสาวได้แต่ยิ้มอย่างเก้อๆ ในขณะที่แทมินยังคงเรียบเรียงเรื่องราวไม่ถูก แต่ก็ยังพยายามยิ้มให้อีกฝ่าย


    การสนทนาดำเนินไปอย่างออกรส เพราะชายสูงวัยพยายามจะพูดคุยอย่างเป็นกันเองให้อีกฝ่ายรู้สึกสนุกไปด้วย 
    หากแต่คิบอมรู้ดีว่า ภายใต้รอยยิ้มที่ส่งให้สองพ่อลูกอยู่เป็นระยะนั้น แฝงไว้ด้วยความกังวลใจอย่างเป็นที่สุด



    “ผมมั่นใจว่าคุณแทมินจะต้องหาตัวคนร้ายมาได้ ทางเรายินดีจะช่วยเหลือทุกอย่าง ผมเชื่อมั่นในตัวคุณครับ แล้วพบกันครับ” 


    ชายสูงวัยพูดทิ้งท้ายอย่างจริงใจก่อนจะเดินจากไป





    “แทมิน เรารู้ว่าแทมินทำได้ ไม่ต้องสนใจคำพูดของคนอื่นนะ”

    เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา พร้อมสายตาที่แสดงความห่วงใย ก่อนจะลาจากตามบิดาของเธอไป 



    แทมินตอบรับอย่างซาบซึ้ง คิบอมยิ้มน้อยๆ ก่อนนึกขึ้นในใจ






    ‘สวย อย่างนี้นี่เอง’



























    วิกาลคล้อยดึกสงัด รอบตึกใหญ่เวิ้งว้างมืดครึ้ม แสงจันทร์ใสเย็นส่องต้องใบบัวที่เปื่อยขาดเต็มสระ 
    ใกล้ๆกันมีเด็กชายอายุประมาณแปดขวบที่กำลังย่อตัว จ้องมองเจ้าตั๊กแตนตัวเขื่องบนโขดหินอยู่หลังพงหญ้า ข้างสระบัว 
    รออยู่ชั่วขณะ มันกระโดดไปข้างหน้า มือน้อยๆทั้งสองข้างครอบลงบนตัวเจ้าตั๊กแตน 
    ร้องเสียงลิงโลด “ จับได้แล้ว แทมินจับได้แล้วพี่ดงเฮ”




    พี่ชายมองดูน้องชายด้วยสีหน้าไม่ค่อยสดใส หากไม่ยอมคลาดสายตาจากน้องชาย 
    น้องชายตัวเล็กวิ่งเข้ามาหาพี่ชายของตนอย่างตื่นเต้น พลางจะเปิดมือน้อยๆให้อีกฝ่ายได้ชื่นชมเจ้าตั๊กแตนที่แสนภูมิใจ 


    “ปล่อยมันไปได้แล้วแทมิน ขึ้นไปรอพ่อแม่กับจินกิในบ้านกันเถอะ มืดแล้ว” 
    เด็กชายเอ่ยว่าก่อนจะพาน้องชายเอาเจ้าตั๊กแตนไปล่อยยังที่เดิมของมัน 
    น้องชายตัวเล็กมู่หน้าอย่างเสียดาย แต่ก็ยอมทำตามพี่ชายแต่โดยดี


























    พี่ชายตัวโต เดินนำน้องชายไปยังชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ ทั่วทั้งคฤหาสน์เงียบสงัดวังเวง คุณพ่อบ้านแม่บ้านคงกำลังจะเข้านอน 
    บรรดาลูกน้องทั้งหลายก็คงจะผลัดกันออกไปเฝ้ายามที่นอกบ้านเสียมากกว่า 
    ภายในบ้านจึงมีเพียงแค่เด็กชายสองคนที่ยังคงอยู่รอ พ่อ แม่ และ ลูกชายคนรอง ที่ออกไปทำธุระสำคัญข้างนอกตั้งแต่บ่าย



















    การเคลื่อนไหวของบางสิ่งบางอย่าง ไหววูบ จนเด็กชายคนพี่ต้องหันไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาเล็กกวาดมองรอบกายอย่างประหวั่น 
    ก่อนจะดันตัวน้องชายให้มาหลบอยู่ข้างหลัง นิ้วเรียวแตะขึ้นที่ริมฝีปากส่งสัญญาณให้น้องชายเบาเสียงให้เงียบที่สุด 

    ก่อนจะค่อยๆย่องไปยังห้องทำงานของผู้เป็นแม่









    ต้องมีใครสักคน…. เขาหายเข้าไปในนี้แหละ










    เด็กชายกระซิบบอกน้องชาย ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เด็กชายพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ สองพี่น้องเดินเข้าไปอย่างกล้าหาญ
    สูดผมหายใจลึก วิชาต่อสู้ป้องกันตัวใกล้ถึงเวลาจะเอาออกมาใช้ 








    ปัง!!







    ประตูเปิดออก ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่ง ยืนจ้องเด็กชายทั้งสองเขม็ง ก่อนจะจับเด็กทั้งสองโยนเข้ามาในห้อง ลงกลอนประตูแน่นหนา 
    เด็กชายทั้งสองค่อยๆยันกายลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวดจากแรงเหวี่ยง




    ดวงตากลมทั้งสองคู่เบิกโพลงอย่างตกใจ เมื่อแสงจันทร์ภายนอกสาดส่องตกกระทบใบหน้าคมคายของชายผู้นั้น




    ดงเฮอ้าปากกำลังจะเอ่ยร้องชื่อของบุคคลตรงหน้า แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้ฝ่ามือหนาฟาดลงบนต้นคอด้วยแรงมหาศาล 
    เด็กชายหมดสติ คนตัวเล็กข้างๆมองอย่างตกใจและหวาดหวั่น กำลังจะเคลื่อนกายไปยังพี่ชายของตนแต่กลับโดนมือหนาลากตัวออกมา 







    “ฮ่า ฮ่า ฮ่าา าา” เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เด็กชายตัวเล็กพยายามดันกายลุกขึ้นเพื่อจะต่อสู้กับอีกฝ่าย 
    หากแต่ขาข้างซ้ายที่ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง เจ็บปวดจนไม่อาจหยัดยืนได้ 
    คนตัวเล็กได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างอาฆาตแค้น มือหนาควักปืนออกมา เล็งมายังเด็กชายตัวเล็กตัวที่มองเขาอย่างไม่เกรงกลัว 







    ชายผู้นั้นยิ้มแสยะออกมา จ้องเขม็งเล็งปืนไปยังร่างเล็ก…


























    ดวงตาหวานโพล่งขึ้นอย่างตระหนก เหงื่อเหนียวๆผุดขึ้นเต็มใบหน้า ลมหายใจเร่งร้อนไม่เป็นจังหวะ 
    ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเพดานสีดำยามวิกาลภายในห้องนอนของตัวเอง 







    …คงจะฝันไป














    ภาพที่ได้เห็นราวกับเป็นความจริงที่ประสบอยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาเต้นระส่ำ 
    ก่อนจะเรียกสติของตัวเองให้กลับมา พลางคิดทบทวนว่าคงจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ 
    เปลือกตาบางกำลังจะปิดลงอีกครั้ง แต่หากเหลียวมองไปยังข้างตัว














    ปืนกระบอกหนึ่งเล็งมายังเขา!!!!





    ใครคนหนึ่งในชุดสีดำ ใบหน้าถูกปิดมิดชิด เผยให้เห็นเพียงดวงตาอำมหิต ร่างเล็กโดดตัวขึ้นหลีกให้พ้นจากวิถีกระสุนปืนของอีกฝ่าย 
    เสียงปืนดังปัง ลั่นสนั่นหวั่นไหวทั่วทั้งคฤหาสน์ ร่างบางหลบได้ทัน 

    ดวงตาหวานจ้องมองใครคนนั้นอย่างตกใจ ลมหายใจหอบ เหงื่อผุดเต็มร่างกาย


















    “หึหึ ไอ่เด็กฆาตกร !!"

















    เสียงฝีเท้าสนั่นพื้น หลายคนคงกำลังวิ่งมายังห้องนี้ ใครผู้นั้นไหวตัว ก่อนจะกระโดดออกหน้าต่างไป


    ประตูห้องถูกเปิดออก คิบอมวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยชายอีกหลายสิบคนที่ต่างวิ่งกันมาอย่างร้อนใจ 
    ไฟในห้องถูกเปิดให้สว่าง ร่างบางถลาตัวเข้าใส่เพื่อนสนิทที่กำลังนั่งพับเพียบอยู่ปลายเตียงใหญ่ 




    “มันเป็นใครแทมิน” 

    ร่างที่หายใจถี่ๆนั้น ส่ายหน้าอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะยันกายลุกขึ้น เคลื่อนตัวไปยังตู้หลังใหญ่อย่างรวดเร็ว





    มือเรียวหยิบกุญแจที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะไขกลอนลิ้นชักอย่างร้อนใจ 
    ทันทีที่ลิ้นชักถูกเปิดออก ดวงตาหวานเบิกขึ้นอย่างใจหาย ลมหายใจกระตุกวูบ






    “เกิดอะไรขึ้นแทมิน?” คิบอมส่งคำถามให้อีกฝ่ายทันที









    “ปืน”














    “ปืนกระบอกนั้น…หายไปแล้ว”




























    TBC











    Talk :

    4ตอนที่ผ่านมากับคอมเม้น16 เศร้าค่ะ บอกได้เลยว่าแทบไม่มีแรงแต่งต่อ มันท้อมากค่ะ คือเขียนเรื่องนี้ยากมาก
    ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไรเตอร์ไม่มีแรงแต่งแล้วค่ะ คงจะไม่อัพแล้วว มันท้อใจ ไม่มีกำลังใจ ถ้ายังมีคนอยากอ่านอยู่
    คอมเม้นสักหน่อยนะคะ เพราะไรเตอร์ก็อยากเขียน อยากเขียนด้วยกำลังใจ ไม่มีกำลังใจมันเขียนไม่ออก






    สำหรับคอมเม้นท์ที่ผ่านมา เมขอบคุณมากๆจริง เมยิ้มตลอดที่เห็นและได้อ่าน อ่านทวนหลายรอบด้วย
    ถ้าเมไม่ได้อัพ แล้วอยากอ่านจริง คุยกันนอกรอบได้นะคะ จะส่งให้พิเศษ เพราะยังไงก็ตั้งใจกับเรื่องนี้มาก
    ถ้ามีคนชอบจริงๆจะส่งให้เลยค่ะ




    เอารูป หลิวอี้เฟย มาให้ดูสักหน่อย คาดว่าคงพอได้เห็นหน้าเธอมาแล้ว เพราะเธอดังมาก
    แต่บางคนอาจจะไม่รู้ว่าเป็นเธอใช่ไม๊ล่า อิอิ




     Reduced: 94% of original size [ 720 x 407 ] - Click to view full image

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×