ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 : แขกที่ไม่ต้องการต้อนรับ
Part4 แขกที่ไม่ต้องการต้อนรับ
'ทำไมไม่พูดล่ะ'
เสียงใสของเด็กชายตัวน้อย ดังขึ้นถามเด็กผู้ชายตัวโตกว่าข้างๆอย่างแปลกใจ
เมื่อคนข้างๆอยู่ดีๆก็หยุดพูดไปเฉยๆ ทั้งๆที่เมื่อกี๊ ก็ยังยืนคุยสนุกถึงเจ้าก้อนหิมะกลางฤดูหนาวของกรุงลอนดอน
ที่ร่วงหล่นเต็มพื้นจนขาวโพลนไปหมด
'คิดถึงบ้าน'
'โรงเรียนเลิกแล้ว เดี๋ยวได้กลับบ้านแล้ว'
'บ้านพี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ บ้านพี่อยู่ไกล'
'บ้านเราก็อยู่ไกล บ้านเราอยู่โซล บ้านนายอยู่ไหน'
'บ้านพี่ก็อยู่โซล'
' งั้นก็ไกลเท่ากัน ไม่สิ ไม่เท่ากัน เพราะเรามีบ้านอยู่เซี่ยงไฮ้ด้วย บ้านเราที่เซี่ยงไฮ้มีเพื่อนชื่อคิบอมด้วยนะ '
' เก่งจังนะ ตัวเล็กนิดเดียว ห่างบ้านมาตั้งไกล ไม่ร้องไห้เลย' คนตัวโตหันมามองคนข้างๆที่ยังยืมยิ้มหวานให้เขาอย่างเอ็นดู
'แม่เราสอนให้เข้มแข็ง แม่เราเป็นหัวหน้าพรรค ลูกชายหัวหน้าพรรคไม่ควรร้องไห้'
'ลูกชายใคร ก็ร้องไห้ได้ทั้งนั้น'
'ไม่ ไม่ได้ เป็นลูกชายหัวหน้าพรรค ร้องไห้ไม่ได้จริงๆ ยังไงก็ห้ามร้อง ห้ามร้องให้ใครเห็น'
'ถ้างั้น แทมินอยากจะร้องไห้เมื่อไรก็มาร้องไห้กับพี่สิ ไม่มีใครรู้หรอก'
'ได้เหรอ?' เสียงเล็กเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
'ได้สิ พี่จะไม่บอกใคร ถ้าแทมินร้องไห้ พี่จะไม่บอกใคร เรารู้แค่สองคน' เด็กตัวโตกว่าเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
'พูดจริงๆเหรอมินโฮ' คนตัวสูงกว่าพยักหน้ารับเบาๆ
'งั้นตกลง '
ดอกไม้หล่น ดวงใจคนพลันรานแยก ความทรงจำร้าวแหลกเอ่อนองหล้า
ถูกซ่อนอำพรางอยู่อย่างลึกล้ำ ณ เบื้องหลังรอยหมึกนั้น
เช้ง เช้ง เช้ง
ดาบเซเบอร์สองเล่มถูกควบคุมให้เคลื่อนไหวตอบโต้กัน
ด้วยท่วงท่าลีลาอันสวยงามและน่าเกรงขามของชายหนุ่มสองคนในชุดกีฬาฟันดาบสีขาวเนื้อดี
ที่กำลังประลองฝืมืออย่างเข้มข้น อยู่ในห้องซ้อมของพรรคหลันหลงที่อยู่ไม่ห่างจาก
ตัวคฤหาสน์หลังงามนัก ศิลปะการต่อสู้ที่ต้องใช้ทักษะและไหวพริบ
ผู้ประลองงัดเอาความสามารถออกมาใช้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
แม้ภาพที่ปรากฏตรงหน้าจะพอให้ทำเนาเดาได้ว่าใครจะเป็นผู้มีชัยในการประลองครั้งนี้
แต่ชายหนุ่มอีกสองคนที่ก้าวเข้ามาใหม่ กลับมองภาพนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยเพราะลีลาและชั้นเชิงที่นับว่าพบเจอได้ยาก
จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้สายตาทั้งสองคู่จับจ้องมันด้วยความชื่นชม
หนึ่งนั้นดูจะตื่นเต้นกับการได้ชมการต่อสู้ที่ปรากฏต่อสายตาแบบชัดเจน
อีกหนึ่งกลับมองภาพนั้นด้วยสายตาชื่นชมและแสนเคยชิน
คิบอมแอบลอบมองคนข้างๆที่กำลังมองภาพนั้นด้วยความตื่นเต้นระคนสงสัย ก่อนเสียงนุ่มจะเอ่ยขึ้น
“คุณแม่ของนายท่าน ให้นายท่านเรียนการต่อสู้แทบทุกอย่างมาตั้งแต่เล็กๆ
แต่กีฬาฟันดาบคือสิ่งที่นายท่านชื่นชอบและทำได้ดีที่สุด”
อนยูพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยใสใจ สมาธิทั้งหมดอยู่กับการจดจ้องในการต่อสู้เบื้องหน้า
การต่อสู้สิ้นสุดลง นักกีฬาทั้งสองถอดหน้ากากที่คลุมศีรษะออก
ก่อนจะเข้าไปทำความเคารพอีกฝ่าย นักกีฬาผู้ปราชัยเอ่ยขอโทษต่อนายของตนเอง
ก่อนจะเดินออกจากสนามไป
ชายหนุ่มอีกสองคนเดินเข้ามาในสนาม รับเอาหน้ากากอันใหญ่พร้อมกับดาบเซเบอร์
ในมือแทมินออกไปตามหน้าที่ของตน ก่อนที่แทมินจะเดินเลี่ยงออกมาอีกด้านที่คิบอมกับอนยูยืนรออยู่
มือเรียวคว้าขวดน้ำที่วางอยู่ขึ้นมาดื่มดับกระหาย พร้อมๆกับอนยูที่โค้งคำนับให้แก่แทมิน
แม้อากาศภายในห้องซ้อมจะค่อนข้างเย็นเพราะเครื่องปรับอากาศ แต่เนื่องจากการใช้พลังงานในการต่อสู้เป็นเวลานาน
ทำให้ร่างบางนั้นโทรมไปด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มร่างกาย
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เพื่อปรับสภาพให้ร่างกายที่เหนื่อยล้านั้นกลับสู่ภาวะปกติ เสียงหวานเอ่ยขึ้นเป็นการทักทายแขกของเขา
“อืม มาเร็วดีจัง ต้องมารอฉันซ้อมเลยสินะ”
อนยูหันไปมองคิบอมที่ยืนอยู่ข้างเขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอเท่าไรนัก ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้นายของตน ‘
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน นายชื่ออี อนยูใช่ไหม” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ
“เป็นคนที่ไหน ?”
“ไม่ทราบครับ” คิบอมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยว่า
“เป็นคนที่ไหน ไม่รู้ได้ยังไง บ้านตัวเองแท้ๆ”
“ก็ผมไม่รู้จริงนี่ครับ”
“เอ๊ะ!! นายนี่ความจำเสื่อมหรือไง ” คิบอมทำท่าว่าจะกล่าวว่าต่อ แต่ถูกเสียงปราบของแทมินห้ามไว้ก่อน
“พอก่อนคิบอม งั้นช่วยเล่าประวัติให้เราฟังทีอนยู”
“ผมเป็นลูกกำพร้า ถูกพ่อแม่ทิ้ง ยายเก็บผมมาเลี้ยง บ้านของยายอยู่ในชนบท เป็นบ้านหลังเล็กๆ
เราสองคนปลูกผักและทำอาหารกินเอง ใช้ชีวิตเรียบง่ายตามประสายายหลาน
ถึงยายจะจนแค่ไหนแต่ก็ดูแลผมเป็นอย่างดี แล้วก่อนที่ยายจะเสีย แกสั่งเสียให้ผมมาหางานทำที่โซล
โชคดีที่คุณเซียวฟงรับผมเข้าทำงาน ไม่อยากนั้นผมเองก็ไม่รู้จะไปซุกหัวนอนที่ไหน”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันเศร้าสร้อย
“แล้วรู้เรื่องพืชหรือไง ถึงได้ไปคัดน้ำหวานให้แขกของฉัน” แทมินเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ครับ ยายสอนผมมา”
“ยายเป็นคนจีนหรือยังไง?”
“ครับนายท่าน เป็นจีนที่อพยพตามพ่อแม่มาอยู่ที่เกาหลี ยายของผมมีความรู้เกี่ยวกับยาจีนค่อนข้างมาก”
“ถ้าอย่างนั้นบอกเรามา นายทำอย่างไร ในการคัดน้ำหวานถ้วยนั้นให้กับผู้ชายที่ชื่อ ชเวมินโฮ”
ริมฝีปากบางเอ่ยชื่อสุดท้ายก่อนสิ้นประโยคนั้นอย่างลำบากใจ แต่พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ
“ลักษณะของคุณมินโฮในวันนั้น สังเกตได้ว่าหยางในตัวค่อนข้างน้อยเกินไป รวมทั้งใบหน้าที่ดูหม่นหมอง
ผมเลยเลือกพันธุ์ไม้แถวสามสิบสี่ ชั้นสิบ แต่น่าแปลก จากที่ผมสังเกต คุณมินโฮน่าจะเป็นคนธาตุดิน
แต่ลักษณะของคุณมินโฮในวันนั้นค่อนข้างขัดต่อลักษณะของคนที่เกิดในธาตุดิน
ตอนนั้นผมลังเลใจอยู่สำหรับพันธุ์ไม้อีกตัวที่จะใส่ลงไป แต่สุดท้ายลมก็เลือกพันธุ์ไม้แถวยี่สิบสอง ชั้นห้า
ตอนแรกผมเองก็ตกใจที่เลือกพันธุ์ไม้ลงไปได้สองตัว แต่พอมันออกมา ผมกลับมั่นใจว่ามันเหมาะกับคุณมินโฮที่สุด”
อีอนยูเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมากว่าสองอาทิตย์
แต่เขาสามารถจดจำรายละเอียดทุกอย่างของมันได้เป็นอย่างชัดเจน เพียงเพราะว่ามันคืองานอันแสนสำคัญยิ่งในชีวิตของที่เขา
ที่คุณแม่บ้านเก่าแก่ของตระกูล เป็นผู้ให้โอกาสเขาได้ลองใช้ความสามารถทำงานนี้ดูเป็นครั้งแรก
“อืม”
แทมินพยักหน้ารับอย่างพอใจ ส่งสายตาให้คิบอมรับรู้ อีกฝ่ายนั้นแสดงสีหน้าไม่พอใจเท่าไร
นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับคนงานใหม่คนนี้อย่างหาเหตุผลไม่ได้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ประตูไม้สีน้ำตาลหม่น เปิดกว้างออก ร่างเล็กของคิมคิบอมแทรกตัวเข้ามาพร้อมๆกับบิดาของเขา
คนที่กำลังใช้สมาธิกับเอกสารที่วางอยู่เป็นกองบนโต๊ะไม้หลังใหญ่ เงยหน้าขึ้นมามองภาพของผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ
“มีคนมาหา แทมิน” คิบอมเอ่ยบอกด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี
“ใคร”
“คนที่นายไม่อยากต้อนรับมากที่สุด” สิ้นคำตอบของคิบอม บรรยากาศในห้องเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเซียวฟงจะเอ่ยออกมา
“ให้ผมไปด้วยไหมครับนายท่าน” ชายวัยกลางคนแสดงท่าทีห่วงใย
“ไม่ต้องหรอก”
“สวัสดีแทมินหลานรัก”
เสียงเข้มดังกังวาลของแขกคนสำคัญที่นั่งวางท่าอยู่บนโต๊ะรับแขกอย่างสบายใจ
เอ่ยกล่าวทักทายแม้ว่าแทมินและคิบอมที่เพิ่งจะก้าวเข้ามายังบริเวณห้องรับแขกนั้น
คนทั้งสองค่อยๆทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ประจำตัวของตนอย่างใจเย็น
แขกคนสำคัญยกยิ้มเบาๆก่อนจะหยิบถ้วยน้ำหวานสีฟ้าใสเบื้องหน้าขึ้นมาจิบอย่างอารมณ์ดี
“รสชาติดีเหมือนเดิมนะ” ปาร์คจองซูเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่สองหนุ่มยังคงอยู่ในอาการปกติ
“คุณจองซู มาถึงนี่ มีธุระอะไรเหรอครับ” ริมฝีปากบางของแทมินเอ่ยอย่างสุภาพ แขกคนสำคัญยิ้ม พลางส่วยหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ไม่ ไม่ ไม่ คุณจองซูที่ไหนกัน เรียกน้าสิหลานรัก เรามันคนกันเอง”
คิบอมลอบมส่งสายตาไม่พอใจแวบหนึ่งแต่ก็ปรับเป็นสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว
“คิดถึงหลานจังเลยนะ
เอ๊ะ เราไม่ได้เจอหน้ากันมากี่ปีแล้ว ก็ตั้งแต่แม่ของหลานส่งหลานไปเรียนที่ลอนดอนสินะ
อืม นานหลายปีทีเดียว โตขึ้นเป็นหนุ่มจนเกือบจำแทบไม่ได้แน่ะ
วันนี้น้า ก็เลยเอาของขวัญมาแสดงความยินดี ที่หลานได้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคหลันหลงรุ่นที่แปดน่ะสิ
ต้องขอโทษนะ ที่น้ามาช้าไปสักหน่อย ช่วงนี้งานเยอะจริงๆ ”
เขาเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แต่กลับไม่ทำให้ชายทั้งสองรู้สึกได้ดั่งสิ่งที่เขาแสดงออกมาได้เลย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะผมก็ไม่ได้ใส่ใจ” แทมินเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบ
คิบอมยกยิ้มเบาๆที่มุมปากอย่างรู้สึกพอใจ ปาร์คจองซูทำเมินราวกับไม่ได้ยิน พลางกวักเรียกลูกน้องที่ยืนอยู่ไม่ไกลเข้ามาหา
“ไปตามมันสองคนเข้ามา บอกว่าเอากล่องของขวัญเข้ามาได้”
ชายวัยกลางคนเอ่ยสั่งลูกน้องเบาๆ ก่อนที่ลูกน้องของเขาจะพยักหน้ารับคำ และเดินออกไป
“วันนี้ น้าจะแนะนำ คนสนิทของน้าให้หลานรู้จัก โชคดีอาจจะได้ร่วมงานกัน จริงมั๊ยหลานรัก”
จองซูมองชายทั้งสองตรงหน้าด้วยท่าทียิ้มแย้ม แทมินยังคงนั่งนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีใดๆ
“เอ้า มากันแล้ว” เสียงของจองซูเรียกให้แทมินและคิบอม หันไปยังผู้มาใหม่สองคน
ชายหนุ่มสองคนในสุดสูทสีดำ ท่าทางองอาจ บนศีรษะของคนตัวเล็กกว่าถูกสวมทับไว้ด้วยหมวกสีดำใบหนึ่ง
สองมือของเขาเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาอย่างไม่แคร์สายตาของผู้ใด
ในขณะที่ในมือของชายอีกคนที่สูงกว่า มีกล่องสี่เหลี่ยมที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีเงินเรียบหรู
ผูกติดด้วยโบสีแดงอย่างเข้ากัน เขาก้าวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทั้งแทมินและคิบอมมองภาพนั้นอย่างไม่วางตา บุคคลที่เดินเข้ามาอย่างไม่ค่อยมีมารยาท สายตาไม่ค่อยเป็นมิตรต่อใคร
คิบอมจำเขาได้ดี ‘คิมจงฮยอน’ เหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เขาได้พบกับผู้ชายคนนี้อย่างเป็นทางการจริงๆ
ชายหนุ่มอีกคนนั้น คิบอมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาค่อนข้างแปลกใจ และไม่รู้มาก่อนว่า
ปาร์คจองซูจะมีลูกน้องคนสนิทอีกคน คิบอมหันไปมองแทมินแวบหนึ่ง ใบหน้าหวานนั้นอยู่ในอาการเรียบเฉย
และช่างดูนิ่งเสียจนเขารู้สึกตกใจ นัยน์ตาหวานคู่นั้นทอดมองไปที่
ชายอีกคนที่เขาไม่รู้จักอย่างว่างเปล้า ยากนักที่จะจับความรู้สึกภายในจิตใจนั้นได้
ชายที่ตัวเล็กกว่าถอดหมวกใบโปรดของตนออก ก่อนจะโค้งให้กับแทมิน พร้อมๆกับชายอีกคนที่ถือกล่องของขวัญอยู่
ใบหน้าคมคาย ดวงตาคมที่ไม่ได้จ้องมองมายังเขา ส่วนสูงที่ทำให้ร่างนั้นดูสง่างาม แทมินจำทั้งหมดนั้นได้ดี
‘ชเวมินโฮ’
ความรู้สึกแปลบแล่นปรี่เข้ามาอย่างไม่ตั้งตัวอีกครั้ง ใบหน้าหวานชาวาบ
ดั่งถูกคำสาปให้ตราตรึงนิ่ง เขาแทบขยับกายไม่ออก
‘มินโฮ’
‘หืม?’
‘ไหนเคยบอกเราว่าพ่อแม่จนไง ทำไมถึงอยู่บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ล่ะ’
เสียงใสของเด็กชายตัวเล็กเอ่ยขึ้นถามในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ของบ้านแบบยุโรป
ราคาแพง ถึงแม้จะเป็นบ้านขนาดกลาง
แต่สไตล์การออกแบบและตกแต่งที่สวยหรู และมีเพียงเด็กผู้ช
ายข้างบ้านที่กำลังสอนการบ้านให้เขาอาศัยอยู่เพียงคนเดียว
ทำให้เด็กตัวเล็กรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ดูใหญ่โตเกินไปจนน่าฉงนใจ
‘ไม่ใช่ของพี่หรอก มีคนใจดีให้พี่อยู่’
‘ใจดีมากๆเลยเนอะ’
‘ใช่ เขาใจดีมาก เป็นคนส่งพี่มาเรียนที่นี่ ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่าง’
‘แล้วทำไมคนใจดี ต้องใจดีกับมินโฮด้วยล่ะ
‘เขาบอกว่า โตขึ้นไปต้องทำงานสำคัญให้เขา’
ปาร์คจองซู มองหลานชายแท้ๆอย่างอารมณ์ดี
แต่ใบหน้าหวานยังคงเรียบเฉยพยายามซุกซ่อนความรู้สึกลึกล้ำภายจิตใจให้สงบนิ่ง
“นี่ คิมจงฮยอน และ ชเวมินโฮ คนสนิทของน้า”
กล่องของขวัญสีเงินสวยหรูถูกวางไว้บนโต๊ะไม้เก่าแก่ที่ถูกดูแลรักษาอย่างดี ดวงตาหวานทอดมองเจ้าสิ่งนั้นอย่างไร้อารมณ์
การพบเจอที่ไม่ค่อยพึงใจ สายตาคมคู่นั้นไม่อาจรับรู้ได้ว่างจับจ้องที่สิ่งใด
เพียงแต่ดวงตาหวานพยายามจะเลี่ยงตัวให้ห่างจากมัน เจรจากับผู้เป็นน้าอย่างจำทน
ละทิ้งความรู้สึกบางอย่างที่กำลังสร้างความเคลือบแคลงในจิตใจ
ฉันปล่อยเธอไปไกลถึงพันลี้ แม้วันนี้ยังหวนกลับมาอย่างแยบยล
“นายสนใจ?”
“เปล่า”
มินโฮเอ่ยตอบคิมจงฮยอนที่โพล่งตามขึ้นมา ขณะกำลังก้าวเดินไปยังรถยนต์ราคาแพงที่จอดรอรับเขาทั้งสองอยู่
“เห็นนายมองตลอด”
“แค่อยากเห็น ลูกของคนที่ทำให้นายท่านต้องเจ็บปวด ก็เท่านั้น”
“ก็ดี สนใจศัตรูของนายท่าน มีโทษแค่ตาย ฉันยังฉันไม่อยากหาคู่หูใหม่ จะหาให้เหมือนนายก็คงยากมินโฮ”
จงฮยอนกล่าวเรียบๆ เดินนำหน้าไปยังรถคันงามก่อนที่มินโฮจะก้าวเดินตามหลังไป
อาหารรสชาติดีถูกจัดให้เลือกทานนับสิบอย่าง ผู้ร่วมโต๊ะอาหารทั้งสามต่างรับประทานอย่างมีมารยาท
คิบอมแอบลอบมองอาการของเพื่อน กับใครทุกคนอาจจะมองเห็นว่าไม่แปลกออกไปอย่างไร
แต่สำหรับคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก กลับสามารถแยกความต่างนั้นได้อย่างง่ายดาย
“พี่แทมิน ทำไมไม่พูดล่ะครับ”
เสียงเล็กของเด็กชายอายุแปดขวบโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบ คิบอมส่งสายตาตำหนิไปให้ ก่อนจะเอ่ยว่า
“แจฮา นี่เวลากินข้าวนะ จะให้พูดได้ยังไง มันเสียมารยาทนะ รู้รึเปล่า” เสียงหวานเอ่ยสั่งสอนเด็กชายตัวเล็ก
“ไม่ใช่ครับ ปกติพี่แทมินก็พูดน้อย พ่อมินโฮบอกว่าพี่แทมินพูดเก่ง ผมอยู่ด้วยจะไม่เหงา"
"แต่ผมไม่ค่อยเห็นพี่แทมินพูดเลย ทำไมถึงพูดน้อยล่ะครับ”
แจฮาเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอย่างไร้เดียงสา แทมินค่อยๆหยุดนิ่งกับคำถามนั้น
แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป คิบอมที่นั่งอยู่ตรงข้าม ส่งสายตามาตำหนิอีกครั้ง
แต่เด็กน้อยไม่ได้สนใจ ยังคงรอคอยคำตอบจากใครคนนั้น
ร่างบางวางตะเกียบในมือลง มือเรียวหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ด ก่อนจะดึงตัวลุกขึ้น
“คิบอม กินข้าวเสร็จแล้ว นายไปตามเซียวฟง แล้วไปพบฉันที่ห้องทำงานด้วย”
กล่าวเพียงแค่นั้น ก็เดินก้าวออกไปจากบริเวณห้องรับประทานอาหารทันที
ร่างบางค่อยๆทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นุ่มตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน
ค่อยๆหมุนมันให้สายตาได้ทอดมองบรรยากาศ ของดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่งยามเย็นเบื้องหน้า
ลมหายใจอ่อนนุ่มเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เปลือกตาบางค่อยๆปิดลง ภาพวันวานฉายกลับเข้ามาสะท้อนในจิตใจอีกครั้ง
'ทำไมวันนี้พูดเยอะจัง' เด็กชายตัวเล็กเอ่ยถาม ตาแป๋ว
เรียกให้คนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆหันกลับมามอง ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
'เมื่อกี้ ยังถามว่าทำไมพี่ไม่พูด'
'ไม่ใช่ ก็ปกติพูดน้อย ทำไมถึงชอบพูดน้อยล่ะ'
'พูดเยอะไม่ดีหรอก' คำตอบของคนเป็นพี่ ทำให้เด็กชายตัวเล็กเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงใส
'พูดเยอะไม่ดียังไง เรายังชอบพูดเยอะๆเลย'
เสียงเจื้อยแจ้ว ตอบรับอย่างไร้เดียงสา มินโฮได้แต่ยิ้มให้กับทาท่างของอีกฝ่าย
จะมีใครช่างพูดช่างเจรได้เหมือนเด็กชายคนนี้อีกไหมนะ ก็เพราะเสียงใสๆนี่อย่างไร
ที่ทำให้เด็กผู้ชายตัวคนเดียว เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ห่างบ้าน ห่างพ่อแม่ มาใช้ชีวิตในเมืองที่ไม่รู้จักใครสักคน
เมืองที่พูดคนละภาษา กลับไม่เคยรู้สึกเหงาเลยสักครั้งที่มีเสียงใสๆคอยกวนใจอยู่ข้างๆ
'พูดเยอะก็มีสิทธิพูดผิดเยอะ ก็เลยไม่ชอบพูดเยอะ'
'แต่วันนี้นายพูดเยอะนะ' คนตัวสูงกว่าหัวเราะเบาๆให้กับคำพูดของอีกฝ่าย ช่างจับผิดเสียจริง
'ขอพูดเยอะๆเหมือนแทมินสักวันได้ไหมล่ะ'
'ได้สิ แต่ระวังพูดผิดนะ'
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เรียกให้ใครบางคนตื่นขึ้นจากห้วงความคิด
ประตูไม้สีน้ำตาลหม่นถูกเปิดออกอีกครั้ง ชายสองคนที่แสนคุ้นตาก้าวเข้ามาในห้อง
“ให้ผมกับคิบอมมาพบ มีเรื่องอะไรหรือครับนายท่าน” ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างนอบน้อม
นิ้วเรียวของแทมินชี้ไปยังเจ้ากล่องสีเหลี่ยมสีเงินที่ผูกไว้ด้วยริบบิ้นสีแดง ชายทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“ไม่อยากรู้เหรอว่าปาร์คจองซูให้อะไรหัวหน้าพรรคหลันหลงคนใหม่”
มือเรียวเอื้อมหยิบเอากล่องสีเงินนั้นขึ้นมาแกะอย่างใจเย็น
สายตาทั้งสามคู่จับจ้องไปที่มันอย่างไม่ละสายตา
ทันทีที่กล่องถูกเปิดออก สายตาทั้งสามคู่ฉายแววความตกใจอย่างไม่คาดคิด
วัตถุสีดำที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น
“ปืน”
คนทั้งสามมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ก่อนดวงตาหวานของแทมินจะพลันไปเห็นกระดาษสีขาวซุกซ่อนอยู่
นิ้วเรียวค่อยๆคลี่มันออกมา ก่อนริมฝีปากบางจะเอ่ยข้อความที่ปรากฏแก่สายตาให้ ชายอีกสองคนได้ยิน
“ปืนที่ใช้ฆ่าพี่ชายคนโตของหลาน แม่ของหลานให้น้าเก็บไว้อย่างดีที่สุด”
ทั่วทั้งบริเวณห้องใหญ่นั้น นิ่งไปราวกับไร้สิ่งชีวิต
ชายทั้งสามต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตน ก่อนที่แทมินจะเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“มันหมายความว่ายังไงเซียวฟง อธิบายผมมาทุกอย่างที่เซียวฟงรู้ นี่คือคำสั่ง” ริมฝีปากบางเอ่ยเสียงเฉียบ
เซียวฟงมองสิ่งของที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมอีกครั้ง
ก่อนริมฝีปากแห้งผากจะค่อยๆกล่าวในสิ่งที่พยายามลืมเลือนออกมาอย่างยากเย็น
“คุณชายดงเฮ ถูกฆาตกรรมในห้องหนึ่งภายในบ้านหลังนี้ ฆาตกรหนีออกไปได้
มีเพียงปืนกระบอกเดียวที่ตกอยู่ ทุกคนช็อคกับเหตุการณ์นั้นมาก
คุณเสี่ยวหมานสั่งให้ทุกคนที่ตามเข้ามาแล้วเห็นเหตุการณ์ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
ไม่ต้องการให้ใครทั้งนั้นรับรู้ ตอนนั้นพวกเราพยายามปิดข่าวเป็นอย่างมาก
เพราะอำนาจของพรรคทำให้เรื่องนี้ไม่ถูกแพร่งพรายของไป ส่วนปืนกระบอกนั้นผมทราบแค่เพียงว่า
คุณเสี่ยวหมานได้ฝากให้ใครคนหนึ่งเก็บรักษาไว้อย่างดี เพื่อจะตามสืบหาคนร้าย
แต่ผมไม่ทราบคนๆนั้นก็คือคุณปาร์คจองซูน้องชายคุณเสี่ยวหมานครับ”
ร่างบางของชายหนุ่มทั้งสองที่ฟังเหตุการณ์ตามคำบอกเล่าของชายวัยกลางคน นิ่งงันไปกับเรื่องราวที่ได้รับรู้
แทมินพยายามเอ่ยถามคำถามออกมาอย่างควบคุมสติให้เป็นปกติ
“แล้วห้องนั้นคือห้องไหน”
“ห้องนี้ครับ”
TBC
Talk พลีสสสส ขอเม้นเถอะ ไรเตอร์จะขาดดดใจ ว้อนมากกกก นะค๊า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น