ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC]SHINee 2Min:Hieina ' ไฮอินะ 'ดอกไม้ขาวแห่งบัลลังก์มังกร

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 : ห้องเครื่องโอสถ

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 54


    Part 3 ห้องเครื่องโอสถ


    'เขาบอกว่า เขาชื่อ ชเว มินโฮ ค่ะ”

    ‘ใคร?’

    ชื่อไม่คุ้น ไม่คลับคล้ายคลับคราว่าเคยได้ยิน


    ‘คนเคยรู้จักน่ะคิบอม’

    กระนั้นหรือ ?


    ‘จะลงไปเจอเขาไหม?’


    ‘ประตูบ้านของตระกูลอี้ทุกหลัง ไม่เคยปิดไม่ต้อนรับใคร’

















               ริ้วบันไดที่ทอดยาวสู่เบื้องล่างห้องรับแขก ร่างสูงของแขกคนแรกภายใต้ สรรพนามใหม่ ‘นายท่าน’ ของเขา
    นั่งรอเงียบๆ ภายในถ้วยน้ำหวานเบื้องหน้าที่สาวรับใช้นำมาวางต้อนรับแขกคนสำคัญ
    ยังคงเต็มเปี่ยมด้วยของเหลวใสสีสวย การขยับไหวของธาตุอากาศที่แปลกไปเพราะการมาของใครคนหนึ่ง
    ทำให้ใบหน้าคมไหววูบไปชั่วเสี้ยววินาที

            เก้าอี้ไม้เพียงตัวหนึ่งที่แสนสูงส่ง ที่ไม่ได้มีไว้สำหรับคนทุกคนที่อยากจะสัมผัส ร่างบางย่อตัวลงนั่งบนพื้นไม้มันวาวนั้น
    แขนเรียววางลงบนพนัก ก่อนขาข้างขวาจะทิ้งน้ำหนักลงบนท่อนขาซ้ายอีกข้างอย่างพอใจ
    มือเรียวข้างขวายกขึ้นสะบัดเบาๆ เหล่าชายหญิงที่ยืนนิ่ง ตามหน้าที่ โค้งคำนับผู้เป็นนาย ก่อนกุลีกุจร จากพื้นที่นั้นไป

    “สวัสดีครับ คุณชเวมินโฮ”

    น้ำเสียงนุ่มกล่าวทักทาย แขกคนสำคัญที่นั่งนิ่งบนชุดโต๊ะไม้รับแขกโบราณที่ดูมีค่าราคาอันประเมินได้ยากยิ่ง
    ใบหน้าคมคายหันมองเจ้าบ้าน อย่างมีท่าทีแปลกใจ ก่อนจะเหลือบมองของเหลวสีหวานในถ้วยน้ำเบื้องหน้า
    ปากบางเริ่มเอ่ยกล่าวประโยคเรียบ

    “ไม่ยักรู้มาก่อน ว่าพรรคหลันหลงอันยิ่งใหญ่ จะต้อนรับแขก ด้วยน้ำหวาน”

    ประโยคคำถามที่ฟังดูเหมือนไม่ได้จะแยแสกับคำตอบ ดวงหน้าหวานปรายตามอง
    สิ่งที่ถูกกล่าวถึงแวบหนึ่งก่อนจะหันมาเอ่ยตอบคำถาม อย่างใจเย็น


    “น้ำชาของเราไม่ได้มีค่า แค่เอาไว้รับแขก” นัยน์ตาหวานเชิดขึ้นอย่างถือตัว อีกฝ่ายเพียงแค่พ่นลมเบาออกทางจมูก


    “ผมชักอยากจะลองชิมน้ำชาของคุณซะแล้วสิ” ดวงตาคมกระหยิ่มอย่างไม่เกรงใจ

    “น้ำชาของเรา ก็ไม่ใช่ของที่ใครนึกอยากจะลอง แล้วได้ลอง”
    ริมฝีปากบางบนใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกล่าวตอบ

    “ถ้าอย่างนั้น ผมต้องทำยังไง ถึงจะได้ลิ้มรสของมันสักครั้ง”

    “สำหรับอะไรที่ล้ำค่ามาก ก็คงต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าเสมอเหมือนหรือมากกว่ามัน”
    คนร่างเล็กเอ่ยตอบราบเรียบคล้ายไม่แยแส ก่อนจะตัดบทด้วยประโยคใหม่

    “ขอโทษด้วยครับ คุณมีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ ผมไม่ได้มีเวลาไว้สำหรับคุณแค่คนเดียว” 
    อีกฝ่ายสะดุดกับประโยคที่ได้ยินแวบหนึ่ง ก่อนยกยิ้มบางที่มุมปาก แค่นเสียงออกมาอย่างไม่หวั่นเกรง



    “ฮึ!”

    “นั่นสินะครับ ผมควรต้องเจียมตัวหน่อยว่ากำลังนั่งคุยอยู่กับ ‘เจ้าพ่อ’ แห่งพรรคเลื่องชื่อ”
    น้ำเสียงเข้มเอ่ยอย่างประชดชัน ร่างสูงปรายตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา เหล่าอาภรณ์บนร่างเล็กดูแปลกตา
    กางเกงขายาวสีดำกับเสื้อแขนยาวคอจีนสีน้ำตาล กระดุมทั้งหลายถูกออกแบบให้อยู่เยื้องไปด้านข้างตามแบบของชาวจีน

    แทมินยังคงเฉยเมยอยู่ในอาการเดิม อีกฝ่ายนิ่งลงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่เป็นกิจธุระ


    “ผมแค่มาทวงสัญญา”  นัยน์ตาหวานเบิกขึ้นอย่างตกใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะกลับมาในอาการเดิม



    “และคุณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับมันไป” 



    “คุณต้องการอะไร?”

    “ผมก็แค่มาทวงในสิ่งที่ผมน่าจะได้ และมันคงไม่ยากเกินไปสำหรับหัวหน้าพรรคหลันหลงที่ยิ่งใหญ่อย่างคุณ”

    ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ ร่างสูงเปล่งเสียงออกมาดังก้อง ขานเรียกใครสักคนที่นั่งรอคอยซ่อนตัวอยู่อีกห้องให้ได้ยิน

    “แจฮา มานี่”


    สิ้นเสียงเข้ม ร่างเล็กของเด็กชายหน้าตาหล่อเหลาดูได้ลักษณะ ก็ปรากฏกายขึ้น
    จากส่วนสูงที่ประเมินได้น่าจะมีอายุประมาณราว 8 ขวบ ร่างเล็กๆของเด็กชายเดินก้าวเข้ามาอย่างระแวดระวัง
    แทมินปรายตามองคนที่ปรากฏกายโดยไม่คาดคิด อย่างพิจารณา เด็กชายตัวเล็กโค้งให้แทมินอย่างสุภาพอ่อนน้อม

    [b]“คุณก็แค่รับเด็กคนนี้ไว้ในปกครองของคุณ[/b]”

    นัยน์ตาหวานกระตุกไหววูบกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ยังคงซุกซ่อนภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย

    “มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องยอมรับเอาเด็กที่ไม่รู้ว่าต้นตระกูล เผ่าพันธุ์มาจากไหน มาไว้ในบ้าน” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามราบเรียบ
    มินโฮส่งสายตาให้เด็กตัวเล็กข้างๆ กลับไปรอในที่เดิม

    เมื่อร่างเล็กหายไปจากครรลองสายตา ใบหน้าคมหันมองคนที่ยังคงแสดงอาการนิ่งไม่หวั่นไหว ก่อนจะเอ่ยว่า

    “คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับเขา แต่คุณจำเป็นต้องยอมรับในสิ่งที่คุณพูด”
    น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว ทักท้วงถึงความหลัง ในสิ่งที่ร่างบางจำต้องนึกย้อนจำ

















    'แค่เอ่ยปาก ผมก็ยินดีจะให้ทุกอย่าง ตามที่พี่ต้องการ’













    วาจา วจีหวาน กรีดลึกหนักกว่าคมกริช
    กลับมาเกี่ยวพันตัวเรา สามพันปี เยียวยามิมอดหาย












    หัวใจหวานวูบไหวกระตุกเร่งไร้จังหวะ ลมหายใจเชื่องช้าตรงกันข้าม
    ปรายตามองอีกหนึ่งชีวิตที่ยังหายใจอยู่ร่วมกัน แม้แสนจะรังเกียจ 


    หากผมจำได้…กลิ่นลมหายใจของใครที่เดินเข้ามาในวันนั้น คือสิ่งที่น่ารังเกียจเกินสิ่งใด

    “ถ้าอย่างนั้น…ผมจำเป็นต้องรู้จักพ่อแม่ของเด็กคนนี้ ”

    “คุณไม่ต้องกลัวหรอก ว่าผมจะเอาลูกใครทีไหนมาให้คุณเลี้ยง”

    “คุณรู้จักเขาดี พ่อของเขา ชื่อ ‘ชเวมินโฮ’ ที่นั่งอยู่ตรงนี้"






    ก้อนเนื้อในหน้าอกถูกทิ่มแทงอย่างไร้ความปรานี
    สายตาเบิกโพลงอย่างว่างเปล่าเพียงชั่ววินาที เท้าเรียวหมดแรงจะหยัดยืนลุกหนี

    อารมณ์หวั่นไหว ถูกซ่อนภายใต้หน้ากากไร้อารมณ์










    ความเปล่าเปลี่ยวแยกตัวออกมา
    หัวเราะให้กับคำสัญญาที่ฉันเป็นผู้มอบให้










    “หากคุณไม่เชื่อ ผมยินดีจะแสดงผลตรวจดีเอ็นเอ”

    “ผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณมีลูกชาย” ร่างเล็กเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย อีกฝ่ายยิ้มเยาะเบาๆก่อนแค่นเสียงตอบ

    “จำเป็นที่คุณต้องรู้เหรอ?”

    “ลูกของคุณทำไมคุณไม่เลี้ยงเอง”

    “เด็กที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ จะยกให้ใครก็คงไม่เป็นไร”  น้ำเสียงนุ่มเอ่ยราวกับไม่รู้สึกใดใดกับวาจาของตน 
    ร่างเล็กมองอีกฝ่ายอย่างตระหนก

    “คุณพูดออกมา ไม่คิดหรือว่า ถ้าเด็กได้ยินจะรู้สึกยังไง”

    “ผมกับเขา …เราเข้าใจกันดี ความรักของพ่อที่อยู่ใต้ความกดดันจากสังคมน่ะ
    จะมีเด็กคนไหนต้องการ เป็นใครก็ต้องดีใจไม่ใช่เหรอที่ได้อยู่ในกรงทอง ท่ามกลางความสุขสบาย เงินทองนับหมื่นแสน”


    “แล้วแม่ของเขา?”

    “ตายไปแล้ว เธอได้ตายไปแล้ว” เขาเอ่ยอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวด

    “คุณไม่จำเป็นต้องเอ่ยตกลงหรอก เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ
    ต่อไปชีวิตของผมคงจะเป็นอิสระจากทุกสิ่งเสียที ยินดีที่คุณไม่ลืมคำพูดของตัวเอง”
    ร่างสูงดึงตัวลุกขึ้น  เท้าสองข้างกำลังจะก้าวเดินออกไป แต่กลับต้องหยุดด้วยเสียงของอีกฝ่าย

    “น้ำหวานของเรา แม้จะดูเหมือนของสำหรับเด็ก  แต่น้ำหวานของเรามีหลายรส หลากสี หลายกลิ่น
    ถูกปรุงมาจากหม้อต้มหลายร้อยใบแตกต่างกัน น้ำหวานทุกถ้วยถูกคัดสรรมาอย่างดี
    เพื่อให้เหมาะสมสำหรับผู้ที่ควรจะดื่มมัน ยังไงซะ คุณคงไม่กลับมาที่นี่แล้ว คุณจะไม่ลองดื่มน้ำหวานที่ถูกเลือกมาให้คุณหน่อยหรือ?”


    มินโฮมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ก่อนจะยกยิ้มเบาๆ มือหนาคว้าถ้วยน้ำหวานเบื้องหน้า ยกดื่มจนหมดเพียงอึกเดียว







    “ใช้ได้…”













    เหม่อมองด้วยสายตาเบิกกว้างอย่างว่างเปล่า
    หลังจากอ่านข้อความไว้วางใจนั้นแล้ว ฉันจะจากไปในไม่ช้านี้[








    "เขามาทำไมหรือ?"


    "เอาของมาให้''



    "ชเวมินโฮเป็นคนยังไงกันนะ?"



    'ไม่รู้สิคิบอม ฉันไม่รู้จักเขา"









    "คิบอม  รู้ไหม ยี่สิบปี เริ่มทำความรู้จักใครสักคนใหม่ ยังไม่สาย"

























    “คิบอม พรุ่งนี้นายช่วยไปจัดการเรื่องสินค้าที่จะลงท่าเรือที่ไต้หวันด้วย”  คนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
    หลังโต๊ะทำงานไม้ขนาดใหญ่ของห้อง เอ่ยสั่งคนที่อยู่ตรงหน้าเรียบๆ อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยปากพูด

    “หัวหน้าพรรคจิน ท่าทางอยากจะเจอนายเต็มแก่”  คิ้วเรียวของแทมินเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ

    “ทำไม?”

    “ก็เขาอยากจะเสนอลูกสาวให้นายยังไงล่ะ”

    “สวยเหรอ?”

    “ไม่เคยเห็นหน้าหรอก แต่ได้ยินจากพวกลูกน้องพูดกันว่า สวยมาก”
    ใบหน้าหวานของแทมินปรากฎยิ้มจางๆ ริมฝีปากบางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


    “สวยยังไงก็คงต้องรอไปก่อน บังเอิญว่าหัวหน้าพรรคหลันหลงคนใหม่กับกำลังสนุกกับงานซะด้วยสิ”

    “นายจะไม่พบเขา?”

    “เปล่าหรอก แค่ยังไม่ใช่ช่วงนี้ อยากจัดการเรื่องงานให้เรียบร้อย ยังไงก็นัดวันมา ฉันไม่อยากให้เสียไมตรี
    แถมจะโดนข้อหาอื่นตามด้วยเปล่าๆ ฉันคงยังไม่พร้อมชักอาวุธในตอนนี้”

    สายตาคมของคิบอมประกายความพอใจอย่างแสดงออก แทมินไม่ตอบรับอะไร ก้มจัดการกับเอกสารตรงหน้าต่อ





    เด็กชายอีแทมิน คนที่เคยถูกฝึกให้เรียนการต่อสู้มาเกือบทุกรูปแบบพร้อมกันๆกับคิมคิบอม
    หรือแม้กระทั่งจับมือกันวิ่งออกจากกรอบที่ถูกตราไว้ เพียงแค่อยากจะลองเล่นซนเหมือนเด็กทั่วๆไป
    เด็กชายตัวเล็กสองคนที่เคยลูกลงโทษมาพร้อมๆกัน  เดินทางผ่านกาลและเวลามาด้วยกัน






    ถึงตอนนี้ …ก็เติบโตขึ้น บนเส้นทางที่ทั้งสองต่างไม่ได้เลือก










    เลือดในตัวนาย เข้มข้นไม่แพ้คนอื่นสินะ แทมิน






































    ป๊อก!! ป๊อก!! ป๊อก!!

    แซ่ะ!! แซ่ะ!! แซ่ะ!!


    ตุ่บ!! ตุ่บ!! ตุ่บ!!


    เสียงดังเซ็งแซ่ดังระคนปนกัน ฟังไม่เป็นศัพท์ของเหล่าเครื่องทำยาจีน หลากหลายชนิด
    เท้าเรียวก้าวย่างเข้ามาภายในห้องโถงไม้กว้างขนาดใหญ่ กลิ่นหอมหวลของเครื่องเทศไม้หอม
    ฟุ้งกระจายแตะจมูกสวย ดวงตาหวานกวาดมองบรรดาพ่อบ้านและสาวผู้รับใช้
    ที่กำลังง่วนอยู่กับการปรุงยา และน้ำหวานในรับผิดชอบของตน


    ด้านขวาสุดของโรงยาแห่งนี้ เหล่าชายผู้เที่ยงตรงในการวัดและชั่งตวง ตักพันธุ์ไม้แห้งออกจากลิ้นชัก
    สูงหลายสิบชั้นเรียงรายต่อกันเป็นแถวนับหลายร้อยๆช่อง ก่อนส่งให้ชายที่ถือถาดไม้รองด้วยกระดาษสีน้ำตาล
    รอรับพันธุ์ไม้สรรพคุณดี ก่อนจะเดินไปส่งให้ อีกส่วนที่กำลังง่วนอยู่กับการ
    สับยาด้วยเครื่องสับและบดยาแบบโบราณที่วางเรียงกันนับร้อยเครื่อง

    ใกล้ๆกับชายหลายสิบคนที่ยืนเรียงกันทำหน้าที่สับและบดยากันอย่างขะมักเขม้น
     หญิงรับใช้หลายคนรอรับยาที่ผ่านการสับและบดแล้วส่งไปให้ สาวรับใช้อีกส่วนที่กำลังเท
    เครื่องผสมตามอัตราส่วนที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ลงไปในหม้อต้มที่เต็มไปด้วยไอร้อนฟุ้งเต็มที่


    ทั่วทั้งห้องเครื่องโอสถแห่งนี้ หอมหวลด้วยกลิ่นจากเครื่องเทศและดอกไม้แห้ง
    ผสมปนรวมกับกลิ่นของไอน้ำที่กำลังเดือดได้ที่ในหม้อต้มยาโบราณ







    ตรงมุมหนึ่ง ชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามยืนตรวจตรา เหล่าบรรดาชายหญิงที่ถือหม้อต้มยา
    และน้ำหวานเดินเรียงแถวเพื่อจะเอ่ยขานชื่อของของเหลวที่อยู่ในหม้อของตน
    พร้อมทั้งกลิ่น รสชาติ และไม่ลืมกล่าวถึงผู้ที่จะได้ดื่มมันอีกไม่ช้า

    เท้าเรียวเดินไปถึงมุมที่ชายรูปร่างท่าทางคุ้นตายืนอยู่ ปากบางเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม

    “เซียวฟง ทำงานหนักจังนะ”

    “อ้าว! นายท่าน ขออภัย กระผมไม่หันได้สังเกต ไม่คิดว่านายท่านจะมาที่นี่” ชายผู้นั้นเอ่ยอย่างนอบน้อม
    โค้งคำนับให้กับผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า ก่อนจะเรียกให้ชายสูงวัยคนหนึ่งมาทำหน้าที่แทนตน แล้วเดินก้าวเคียงคู่ตามคนตัวเล็กไป

    “ห้องเครื่องโอสถของเรายังคงทำงานขยันขันแข็งไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อสมัยผมยังเป็นเด็ก
    ที่มาวิ่งเล่นกับพวกพี่เลี้ยง”
    เสียงหวานเอ่ยเรียบ พร้อมกับการก้าวย่างช้าๆเดินสำรวจพร้อมกับชายอาวุโสกว่า

    “เป็นความประสงค์ของนายท่านทุกรุ่นที่อยากจะคงสภาพ ของห้องเครื่องยาจีนแบบโบราณให้ได้มากที่สุด
    ทั้งยาและน้ำหวานของเรายังคงได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย”
    เซียวฟงยังคงเอ่ยกับผู้เป็นนายอย่างสุภาพ อีกฝ่ายแต่เพียงพยักหน้ารับเบาๆ


    “คงต้องเร่งทำงานกันมากขึ้นหน่อยนะ  ตอนนี้หลายบริษัทต้องการยาคุณภาพดีจากเรา”

    “กระผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”

    “ความจริงนี่ไม่ใช่หน้าที่ของเซียวฟงไม่ใช่หรือ ควรจะพักได้แล้วนะ ทำงานกับแม่มาก็มาก”
    ร่างบางเอ่ยอย่างเห็นใจคนข้างๆ ที่ร่างกายซูบผอมไปมาก แม้จะสิ้นวาระการทำงานในหน้าที่อันทรงเกียรติของตน
    แต่ก็ยังมิวายมาช่วยงานที่ห้องเครื่องยาอย่างตั้งใจ

    “ไม่ได้หรอกครับ เพราะผู้คุมห้องเครื่องโอสถของเราเพิ่งจะเสียไปด้วยโรคหัวใจ ยังมองไม่เห็นใครที่มีคุณสมบัติพอมาทำหน้าที่ต่อ
    กระผมจึงต้องมาดูแลแทนด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้น เกรงว่าจะเสียงานเอาได้ครับ” แทมินพยักหน้ารับอย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ

    “ผมคงต้องเร่งหาคนมาทำหน้าที่นี้แทนแล้วสินะ เซียวฟงจะได้ไม่ต้องมาลำบาก ผมเกรงใจ”
    ชายอาวุโสกำลังจะเริ่มเอ่ยพูดตอบ แต่กลับถูกตัดบทด้วยเสียงนุ่มของอีกฝ่าย

    “เอาล่ะ เดี๋ยวผมขอตัวไปทางนั้นก่อนนะ”











    “น้ำหวานที่เสิร์ฟให้แขกของฉันเมื่ออาทิตย์ก่อน คือชุดไหน” เสียงนุ่มเอ่ยถามหญิงสองคนที่กำลังเช็ครายชื่อยา
    และน้ำหวานที่ถูกส่งออกจากห้องเครื่องโอสถตามหน้าที่ของตน  หญิงทั้งสองเงยหน้าขึ้นจากตัวอักษรบนแผ่นกระดาษในมือ
    ก่อนจะโค้งคำนับทำความเคารพชายตรงหน้าอย่างนอบน้อม

    “ของคุณมินโฮ เป็นน้ำหวาน ชนิดหนึ่งร้อยยี่สิบสาม กลิ่นสี่ร้อยสิบสี่ เนื้อสีน้ำที่สี่สิบห้า
    จากพันธุ์ไม้แถวสามสิบสี่ ชั้นสิบ กับ แถวยี่สิบสอง ชั้นห้าค่ะ”

    หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยตามตัวอักษรที่ถูกบันทึกในสมุดเล่มหนาของตนอย่างคล่องแคล่ว

    “พันธุ์ไม้แค่สองตัวหรือ?”  หญิงสาวพยักหน้ารับคำเบาๆ

    “รสชาติเป็นไง?”

    “ค่อนข้างจะขมค่ะ” สิ้นคำของหญิงสาว ดวงตาหวานสะท้อนรอยยิ้มกระหยิ่มอย่างพึงพอใจ

    “งั้นหรือ”

    “ความจริงแล้ว ถึงจะเป็นน้ำสีเขียวหวานน่าทาน
    แต่เป็นน้ำหวานที่รสชาติขมที่สุดตั้งแต่ถูกยกออกไปเสิร์ฟแขกของนายท่านทุกรุ่นค่ะ”


    เสียงหวานของหญิงสาวยังคงเอ่ยน้ำเสียงนอบน้อม ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นพอใจอย่างที่สุด




    น้ำหวานของตระกูลอี้ ไม่ได้หวานสมชื่อไปซะทุกถ้วยหรอกนะ






    “ใครเป็นคนคัด?” เสียงนุ่มเอ่ยถามหญิงตรงหน้าอีกครั้ง

    “วันนั้นคุณเซียวฟงยังไม่กลับจากเซี่ยงไฮ้ จึงไม่ได้คัดด้วยตัวเอง มีผู้ชายอีกคนมาคัดแทนค่ะ”

    “ใคร?”

    ใบหน้าเรียบร้อยของหญิงสาวเคลื่อนมองไปยังมุมหนึ่ง ที่เป็นห้องคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่เพิ่งถูกเก็บมาใหม่ๆ
    นิ้วเรียวของเธอชี้ไปยังชายชุดสีดำคนหนึ่ง ที่กำลังช่วยชายอีกสามสี่คนทำงานอย่างขะมักขเม้น

     “เป็นคนงานใหม่ ชื่อ อีอนยูค่ะ”





























    “งานที่ฉันสั่งเป็นไง” เสียงนุ่มของแทมินเอ่ยขึ้นบนโต๊ะนั่งเล่น กลางสวนที่ร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้นับร้อยต้น
    ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของเขา ชายทั้งสองเฝ้ามองการฝึกซ้อมดาบของลูกน้องชายบางส่วน

    “เรียบร้อยดี อ้อ! ทางพรรคไฮ่หลงของน้านาย ก็ไปส่งสินค้าวันเดียวกัน
    แต่เท่าที่เห็นมีแค่ลูกน้องคนสนิทไปคุม ฉันเองก็เพิ่งเห็นหน้าครั้งแรก”


    “ชื่ออะไร?”

    “คิมจงฮยอน” แทมินมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย ปากบางเอ่ยขึ้นเรียบๆ

    “ไม่คิดว่าปาร์คจองซู จะส่งแค่ลูกน้องไปทำงานสำคัญขนาดนั้น”

    “ไม่แปลกหรอก นายคนนั้นน่ะ รักเสียยิ่งกว่าลูก ได้ยินมาว่า เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก”

    “แค่เด็กเก็บมาเลี้ยงจะรักสักแค่ไหนเชียว”

    “ฉันเองก็ไม่รู้หรอก อีกไม่นาน คงได้เจอกันเป็นทางการแน่” คิบอมเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
    ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เขาได้พบที่ไต้หวันในวันนั้น ค่อนข้างจะเป็นที่เคารพยำเกรงไม่แพ้เจ้าของพรรคตัวจริง
    แค่ตำแหน่งลูกน้องสนิทมือซ้าย แต่กลับทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม






    สายตาคมเข้มที่มองมาด้วยความเหยียดหยาม ใบหน้าเรียบเฉยไม่เป็นมิตร
    สายตาคมที่รู้สึกต้องชะตา ...แต่ คิบอมไม่คิดไว้ใจสายตาคู่นั้นเลย









    “แล้วเรื่องเด็กแจฮา?”ชายหนุ่มผมสีดำเข้มในชุดเสื้อคอจีนแบบเดียวกับคนตัวเล็กที่นั่งข้างๆ โพล่งขึ้น

    “ก็ไม่เห็นเป็นไง ก็แค่เด็กคนเดียว” แทมินเอ่ยอย่างเมินเฉย ยังคงทอดมองเหล่าลูกน้องที่ยังคงฝึกอาวุธอย่างแข็งขัน

    “เอาเด็กที่ไหนไม่รู้ มาเลี้ยงดูปู่เสื่ออย่างดี นายไม่กลัวเหรอ ว่ามันจะกลับมาทำร้ายนาย”
    นัยน์ตาหวานเพ่งมองการเสียดสี ของคมดาบ อันเกิดจากการเคลื่อนไหวด้วยท่าทางสวยงามของนักต่อสู้ 
    ริมฝีปากบางเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ

    “เด็กตัวเล็กๆท่ามกลางอาวุธนับร้อยพันที่พร้อมจะสาดเข้าใส่ ก็ลองดู”

























    เท้าเรียวของคิบอมก้าวฉับๆอย่างว่องไว หนทางที่ทอดยาวรายล้อมด้วยดอกไม้สวย
    เบื้องหน้าของมันคือโรงสำหรับรับประทานอาหารของเหล่าพนักงาน คนงาน แม่บ้าน
    สาวรับใช้ หรือทุกๆคนที่ทำงานให้พรรคหลันหลง





    “ไปตายอดตายอยากมาจากไหนนักหนาของมัน ทุกวันวะ”

    “ดูดุ๊ มันยังจะไปเติมอีก”

     “ท้องมันจะไม่แตกตายก่อนเหรอวะ”


    “ถ้าพรรคเราไม่รวยจริงนะ ฉันว่านายท่านมีหวังเจ๊งแน่”


    “นั่นสิวะ แมร่งงง กินโคดด โหด”


    เสียงซุบซิบนินทา ดังจอแจ ไปทั่วทั้งบริเวณเหล่านั้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายชุดสีดำ
    ที่กำลังต่อแถวไปตักข้าวรอบที่สามของมื้อ มือหนาของเขาหยิบเอาถ้วยไม้ที่อยู่ในหม้อข้าวขนาดใหญ่
    ก่อนจะรีบตักข้าวใส่ชามของตนจนพูนชาม ก่อนเดินก้าวฉับๆมายังโต๊ะนั่งรับประทานอาหาร
    มือเรียวหยิบตะเกียบคีบข้าวสวยพร้อมกับข้าวเลิศรสกินอย่างมูมมาม


    “มันเป็นใคร” เสียงหวานเฉียบของคิบอมที่ยืนดูการกระทำและเสียงซุบซิบเหล่านั้น ตั้งแต่เข้ามาถึงที่นี่
    เอ่ยถามชายคนหนึ่งที่ยืนดูแลความเรียบร้อยของโรงรับประทานอาหาร

    “มันชื่อ อีอนยูครับ”

    “มันเป็นคนงานใหม่ คุณเซียวฟงรับมาช่วยงานที่ห้องเครื่องโอสถ” คิ้วเรียวสวยของคิบอมเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ

    “มันบอกว่า ค่าแรงงานไม่เอา ขอแค่ข้าวกับที่พักครับ” คิบอมไม่ตอบอะไร
    แต่รับรู้ในประโยคนั้น เท้าเรียวเดินก้าวไปยังชายที่ถูกกล่าวถึงทันที









    “นี่! นายน่ะ หยุดกินก่อนได้ไหม” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือเรียวที่สะกิดไหล่ให้ชายเสื้อดำ
    ที่กำลังนั่งทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยให้หันมา ชายผู้นั้นหันมองคิบอมควับ
    ใบหน้าของเขาแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปกินต่ออย่างไม่สนใจ

    "นี่ๆ! หยุดกินก่อน"  ใครคนนั้นยังคงเอ่ยต่อไป อีีกฝ่ายได้แต่หันมามอง ก่อนจะชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไร


    "ยุ่งน่า!!"


    ชายหนุ่มที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ใกล้ๆนั้นต่างก้มศีรษะทำความเคารพ ชายคนนั้นอย่างไม่เป็นทางการ
    พลางสะกิดบอก คนที่นั่งกินอย่างไม่สนใจใคร ก่อนกระซิบเบาๆ


    "เฮ้ย!! นั่นคุณคิบอม ที่ปรึกษานายท่าน นะเว้ย"









    ตะเกียบในมือหยุดชะงัก











    อาหารที่เพิ่งถูกตักเข้าปาก แทบพุ่งออกมา






    "เอ่อออ.."







    "นายท่านอยากพบนาย อีอนยู"























    TBC



    Talk : มันสนุกบ้างไหม อะไรบ้างไหม? ชักหวั่นๆใจแล้วล่ะคะ ตอนนี้มาช้า
    ต้องขอโทษจากใจ เพราะติดสงกรานต์ + ปั่นSelected ผลที่ได้เลยเป็นชะนี้แล


    จะพยายามดำเนินเรื่องให้เร็ว แต่ต้องไปตามพล็อตอ่ะเน้ออ ^^
    ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจนะคะ


    เม้นให้หน่อยน้า คืออยากรู้จริงๆว่ามีคนอ่านสักแค่ไหน  สั้นยาวไม่ว่าจริงๆค่ะ ขอบคุณนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×