ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF: 2Min] Selected : TrueMin 3 ตอนจบ

    ลำดับตอนที่ #3 : Selected Part 3 END

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 54


    Selected Part 3 END

    By : I-See-IImin










     




    บนรถตู้ที่พาพวกเขาทั้งสี่ไปถึงกระบี่คิบอมก็ได้เล่าให้แทมินฟังว่า จินกิอยากจะชวนคิบอมมาเที่ยวด้วยกัน 
    แต่จงฮยอนดันอยากจะตามมาด้วย แต่จินกิกลัวว่าถ้าแทมินรู้ว่าจงฮยอนมาด้วย แทมินจะไม่ยอมมาเที่ยวกับเขา 
    ก็เลยให้จงฮยอนกับคิบอมไปนั่งต่างหากตอนขึ้นเครื่อง แทมินก็เลยหายสงสัยกับตอนที่พี่ชายของเขาบอกว่า
    ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแล้วหายไปเป็นนานสองนาน จริงๆแล้วคงจะไปนัดแนะกับพี่คีย์ซะมากกว่า





    ผู้ชายที่ชื่อจินกิ…นี่มันจริงๆเล้ย






























    “เดี๋ยวพี่จะลงไปเล่นน้ำกับคีย์นะ นายจะไปด้วยกันไม๊” 
    จินกิเอ่ยถามเมื่อน้องชายเปิดประตูให้เขาแทรกตัวเข้ามาในห้องของแทมิน

    “ไม่เอาละ ไม่อยากไปเป็น ก ข ค คนเค้าสวีทกัน” พูดพลาง เดินกลับไปนั่งดูทีวีบนโซฟาตัวยาวตามเดิม

    “เอ๋ ทำไมพูดงั้นเล่า นายก็ชวนแฟนตัวเตี้ยของนายไปเล่นด้วยกันสิ คิคิ” จินกิหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี 
    พร้อมๆกับแอบสังเกตปฏิกิริยาของน้องชาย

    “ไม่ตลกนะพี่จินกิ เมื่อไรพี่จะเลิกพูดแบบนี้ ผมว่าผมอธิบายพี่ไปชัดเจนแล้วนะ” จินกิมุ่ยหน้าลง อย่างรู้สึกผิดนิดๆ

    “แทมินยังไงนายก็น่าจะลงไปดูมันหน่อยนะ พี่เห็นมันนั่งอยู่ใต้ต้นมะพร้าว
    ดีไม่ดีพี่ว่ามันจะโดนลูกมะพร้าวหล่นใส่หัว พี่ขี้เกียจพามันส่งโรงบาล”

    จินกิมองน้องชายก่อนจะเดินออกจากห้อง ทิ้งให้อีกฝ่ายนั่งมองจอภาพขนาดใหญ่ทั้งๆที่ไม่ได้สนใจมันสักนิด













    …แฟน ?
















    เข็มยาวของนาฬิกาเดินวนผ่านไปอีกหนึ่งรอบ แทมินยังคงนั่งๆนอนๆอยู่ในห้องพักของโรงแรมอย่างแสนเบื่อหน่าย 
    เจ้าตัวเปิดม่านสีสวย ภาพของทะเลสีครามยามเย็นช่างสวยงามและดึงดูดให้เขาลงไปสัมผัสซะเหลือเกิน
    แทมินจัดการปิดทีวีก่อนจะพาตัวเองไปยังบริเวณที่มองเห็นผ่านหน้าต่างเมื่อสักครู่





    เท้าเรียวก้าวลงบนพื้นทรายนิ่มอย่างเชื่องช้าๆ ดวงตาหวานทอดมองคลื่นทะเลที่พัดเข้าฝั่งอย่างใจเย็น 
    อีกด้านหนึ่งแทมินมองเห็นคิบอมกับพี่ชายของตน ยังคงเล่นน้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 

    อีกมุมใกล้ๆกัน ใต้ต้นมะพร้าวมีจงฮยอนอีกคนนั่งหลับอย่างไร้ท่า แทมินมองเขาก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เดินเลี่ยงออกมาอีกทาง



    พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว ท้องฟ้าที่นี่เลยค่อนข้างจะสวยกว่าปกติที่แทมินเคยเห็น 
    คนตัวเล็กนั่งมองภาพนั้นอยู่บนโขดหิน เกลี่ยวคลื่นสีขาวกระทบกับโขดหินฟังดูเป็นเสียงที่ช่างเข้ากับ
    บรรยากาศตอนนี้ซะเหลือเกิน นึกอยากขอบใจพี่ชายที่ลากเค้ามาที่นี่ ด้วย














    “อ่ะแฮ่ม… ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวครับ ไม่ไปเล่นน้ำกับพวกพี่ๆคุณเหรอ”เสียงทุ้มนุ่มที่ข้างๆหูของแทมิน 
    พร้อมๆกับใครบางคนที่นั่งลงข้างๆกายเขา

    “คุณมาที่นี่ได้ไงมินโฮ” แทมินหันไปถามคนข้างตัวอย่างแปลกใจ ไม่นึกว่ามินโฮจะมาอยู่ที่นี่ได้

    “คุณมายังไงผมก็มาแบบนั้นล่ะน้า” คนตัวสูงพูดพลางมองเกลียวคลื่นเบื้องหน้า

    “ไม่ใช่ หมายถึงว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

    “ผมก็มาจีบคุณน่ะสิ” มินโฮพูดหน้าตาย อีกฝ่ายอ้าปากค้างก่อนจะพ่นลมพรืดออกมาอย่างเอือมระอา



    “ยังไม่เลิกเล่นอีกเหรอคุณ” 

    “ใครว่าผมเล่น ผมเอาจริง” 

    “พี่จินกิรู้รึเปล่าว่าคุณมา”

    “มีเหรอที่มันจะไม่รู้ ก็ผมเป็นคนชวนมันมา”

    “หมายความว่าไง” แทมินถามอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ

    “แหม ก็ชเวมินโฮหมายเลขสาม เป็นเจ้าของทริปนี่คุณ”คำตอบของคนข้างๆทำเอาแทมินต้องตกใจอีกครั้ง 
    ผู้ชายคนนี้เล่นไม่เลิกจริงๆ ครั้งนี้ยอมลงทุนมาไกลถึงกระบี่เลยแน่ะ…พี่ชายนั่นก็อีกคน แผนสูงนักเชียว

    “แต่ผมไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นเค้าจะมาด้วย” มินโฮพูดพลางใช้หางตามองไปอีกคนที่ยังนั่งหลับอยู่ใต้ต้นมะพร้าวไม่รู้เรื่องรู้ราว 

    “เขามาก็ช่างเค้าสิ ทำไม คุณหึงผมเหรอ” 

    “เปล๊า ก็แค่ไม่ชอบคนตัวเตี้ย คุยด้วยแล้วขี้เกียจก้ม” ว่าแล้วก็แสร้งทำเป็นลุกขึ้นเดินออกไป 
    แทมินมองตามอีกฝ่าย ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม ก่อนจะลุกตามไปอีกคน





































    รุ่งเช้าของอีกวันคณะเดินทางก็ต้องนั่งเรือไปยังที่แห่งหนึ่ง ที่ชเวมินโฮเป็นคนจัดการพาไป 
    เจ้าหน้าที่บอกว่าที่ตรงนั้นเป็นจุดดำน้ำที่สวยมากแห่งหนึ่ง นักท่องเที่ยวที่ชอบการดำน้ำ มักจะไม่พลาดที่จะไปที่นั่น 

    งานนี้คิบอมดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร เลยพลอยทำให้จินกิตื่นเต้นตามคนรักของตนไปด้วย 
    แทมินได้แต่นั่งมองพี่ชายกับคนรักนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงชมบรรยากาศของท้องทะเล 
    ราวกับอยู่กันสองคนท่ามกลางเหล่าเกลียวคลื่นสีสวย 

    อีกด้านมินโฮนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ถึงจุดดำน้ำที่พวกเขากำลังจะไปถึง ส่วนจงฮยอน 
    รายนั้นให้เหตุผลว่ากลัวปลาตอด( - - เอ่อ…) ก็เลยขออยู่รอที่โรงแรม
















    ก่อนจะเปลี่ยนชุดเพื่อลงไปดำน้ำกับจินกิและคิบอมที่ลงไปก่อนแล้ว ครีมกันแดดราแพงถูกหยิบขึ้นมาใช้เป็นครั้งที่สองของวัน 
    ฝ่ามือนุ่มนิ่มค่อยเทครีมกันแดด ก่อนจะพยายามป้ายมันไปยังแผ่นหลังของตนอย่างทุลักทุเล





    “ให้ผมทาให้นะ” แทมินตกใจหันไปมองเสียงจากด้านหลัง 

    มินโฮไม่ได้ยิ้มรับอะไร สายตาคมดูตั้งอกตั้งใจ มือหนาคว้าหมับที่ขวดครีมกันแดด 
    ก่อนจะเทมันออกมา มินโฮค่อยๆทามันลงบนแผ่นหลังขาวเนียนอย่างใจเย็น 
    แทมินได้แต่ก้มหน้างุด รู้สึกร้อนผ่าวๆวิ่งมาที่ใบหน้าจนต้องหลบสายตาคมไม่กล้ามองอีกฝ่าย 



    สายตาคมเข้มมองแผ่นหลังขาวเนียนนั้นอย่างเผลอไผล ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจจะทาครีมให้คนตัวเล็กเฉยๆ 
    แต่อยู่ดีๆความรู้สึกแปลกๆมันก็แล่นเข้ามา พาลจะทำให้มือหนาของเขา ขยับเขยื้อนต่อไม่ได้ซะอย่างนั้น 
    ร่างสูงตั้งสติอีกครั้งก่อนจะค่อยๆบรรจงทาครีมต่อไป สัมผัสเบาๆที่ได้รับนั้นทำให้แทมินรู้สึกผ่อนคลาย
    และรู้สึกดีอย่างเหลือเชื่อ แต่ลมหายใจอ่อนนุ่มต้องกระตุกเมื่อดวงตาหวานหันไปเห็นสายตาล้อเลียนของจินกิ
    ที่มองขึ้นมาจากข้างล่าง



    “พะ…พอได้แล้ว ขอบคุณมาก ผมลงไปดำน้ำดีกว่า” ว่าแล้วแทมินก็รีบหยิบชุดสำหรับดำน้ำไปเปลี่ยน 
    ไม่ทันได้เห็นว่าอีกคนที่นั่งอยู่ก็เงียบงันทำอะไรไม่ถูก นอกจากยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปาก





















    เหล่าฝูงปลาสีสวย ลวดลายแปลกตา ปะการังหลากสีที่ธรรมชาติได้บรรจงแต่งแต้มขึ้น 
    ช่างแสนวิจิตรและน่าประทับใจ แทมินหลงชื่นชมกับมันอย่างเพลิดเพลิน 


    คิบอมเองก็ดำผุดดำว่ายขึ้นมาเหนือน้ำบ้างเพราะต้องคอยตะโกนไปบนเรือเมื่อคราวที่
    ตัวเองเห็นฝูงปลาแปลกๆว่ายน้ำมา บอกจินกิที่ขึ้นไปนั่งพักข้างบนเรือเพราะหมดแรงก่อนใครเพื่อน
    แต่พอคิบอมเอ่ยถึงเหล่าฝูงปลาที่แสนน่าตื่นเต้น สุดท้ายก็เลยอดลงไปดำน้ำเล่นกับคนรักอีกสักรอบไม่ได้

    ฝ่ายมินโฮ รายนั้นเป็นนักดำน้ำตัวยง บางทีก็หายไปจากครรลองสายตาของคนอื่น 
    แต่เจ้าหน้าที่บอกแล้วว่าไม่น่าเป็นห่วง เพราะคนนั้นเค้าคงจะเคยดำน้ำบ่อยๆ ถึงได้ดูท่าว่าเชี่ยวชาญเกินใคร



















    มือเรียวถอดเอาแว่นตาอันใหญ่ที่ใส่ดำน้ำออกขึ้นคาดไว้บนศรีษะ ก่อนดวงตาหวานจะมองหาคนอื่นๆ 
    กลับเห็นแต่เพียงนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่กำลังเพลินเพลินและตื่นเต้นกับการดำน้ำ 
    แทมินพยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ สงสัยอีกสามคนคงจะยังไม่ขึ้นจากน้ำ ท่าทางคงกำลังเพลินอยู่ล่ะมั้ง 






    “เป็นไงครับ สวยไหมครับ” เสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้นข้างหูให้ตกอกตกใจอีกครั้ง แทมินหันควับไปทางต้นเสียง 
    ใบหน้าคมเข้มที่พรมด้วยหยดน้ำทั่วใบหน้า บนศีรษะมีแว่นตาดำน้ำอันใหญ่ๆคาดอยู่ ดวงตาหวานคมจ้องมองคนตัวเล็กอย่างกระหยิ่ม

    “ทำไมชอบโผล่มาให้ตกใจนะ”


    “ธรรมชาติมันสวยแบบนี้ไงล่ะครับ ชเวมินโฮหมายเลขสามถึงได้หลงใหลมันนักหนา” 
    ใบหน้าคมกวาดมองธรรมชาติรอบกายอย่างสดชื่นกับไอแดดอ่อนๆ น้ำทะเลสีคราม ทั้งทิวเขาสีเขียวที่รายล้อม


    “ผมเป็นพวกรักธรรมชาติ มวลไม้ สายลม ไอดิน กลิ่นแดด ครับ ว๊าววว สดชื่นจริงเล้ย” 
    แทมินมองคนที่ทำท่าทางราวกับว่าตัวเองจะหลอมรวม เป็นหนึ่งเดียวกับเกลียวคลื่นในทะเลอย่างหมั่นไส้



    ร่างเล็กกะว่ามุดลงไปใต้เกลียวคลื่นอีกครั้งปล่อยให้อีกคน
    หลับตาพริ้มฝันกลางวันกับเหล่าธรรมชาติ ไอดิน กลิ่นแดด ที่ว่าต่อไป 
    แต่สายตาก็พลันไปเห็นขวดใสที่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก กำลังถูกคลื่นพัดมาทางเค้าทั้งสอง 



    “คุณนั่นขวดอะไรน่ะ”

    แทมินชี้ไปทางขวดใบนั้นก่อนจะร้องบอกมินโฮที่ยังคงทำหน้าตาละมุนละไม 
    อีกฝ่ายก็เลยมองตามไปทางที่แทมินบอก


    “โอ้ย ไม่ไหวเลย ใครกันนะช่างทำร้ายธรรมชาติได้ลงคอ มันน่าโดนพ่อสักที” มินโฮพูดอย่างเจ็บปวดทำสีหน้าทุกข์ร้อน 
    ฝ่ามือหนาตีกระทบน้ำทะเลสีครามอย่างเดือดดาล กระเด็นใส่หน้าอีกคนข้างๆจนต้องหลับตาปี๋

    “นี่ๆ กระเด็นเต็มหน้าผมหมดล่ะ อย่าเว่อให้มันมากคุณ ไปขวดเก็บมาไป๊” มือเรียวลูบน้ำจากหน้าป้อยๆ 
    ก่อนพยักเพยิดบอกให้คนตัวสูงไปเก็บขวดมา

    “คุณก็ไปเก็บสิครับ” 

    “แล้วทำไมคุณไม่ไปเก็บ ไหนว่ารักธรรมชาตินักหนา”

    “นี่คุณ ผมน่ะทำมานักต่อนักแล้ว.. คุณควรหัดทำตัวให้เข้ากับธรรมชาติ ดูแลและรักษาธรรมชาติบ้าง 
    คุณรู้มั๊ยว่าถ้าคุณไม่เก็บขวดใบนี้ มันจะเกิดอะไรบ้าง กว่าขวดมันจะย่อยสลาย ต้องใช้เวลากี่ร้อยล้านปี 
    แล้วกว่าถึงตอนนั้น ถ้าเกิดมีเรือมาชนจนขวดแตก กุ้ง หอย ปู ปลา ที่โดนเศษขวดตำจะต้องเป็นยังไง 
    คราวนี้ น้ำทะเลจะกลายเป็นสีแดงฉาน โอ้วว!!! ไม่นะ มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ…”

    “โอ้ย พอ พอ มากไปละ คุณนี่มันเว่อจริงๆเลยนะ ถ้าผมไปเก็บคุณจะเลิกเว่อมั๊ย? โอเค ถ้าคุณเลิกเว่อ ผมไปเก็บเอง” 
    แทมินพูดตัดบท ว่ายน้ำไปอย่างตัดรำคาญก่อนที่อีกฝ่ายจะพร่ำเพ้อไปมากกว่านี้











    เมื่อว่ายน้ำมาใกล้เป้าหมาย คนตัวเล็กก็ยื่นลำแขนไปคว้าขวดใบนั้นมาไว้ในมือ 
    พออยู่ใกล้สายตาแทมินก็พลันเห็นกระดาษสีขาวถูกพับแนบกับจุกไม้ที่ปิดปากขวดไว้ 
    ด้วยความสงสัย นิ้วเรียวจึงค่อยๆดึงจุกไม้ออกจากปากขวดระมัดระวังไม่ให้กระดาษใบนั้นหล่นลงไปในขวด

    น่าแปลกใจที่กระดาษสีขาวแผ่นนั้นยังเปียกน้ำไม่มาก เหมือนกับว่าเพิ่งจะโดนน้ำได้ไม่นาน นิ้วเรียวคลี่กระดาษออก 
    ลายมือคุ้นตาที่เขียนอย่างบรรจงปรากฏต่อสายตาอีกครั้ง แม้จะมีบางตัวที่พร่าเลือนเพราะเปียกน้ำไปบ้าง 
    แต่ก็เพียงต่อการจับใจความได้ไม่ยากเย็นนัก

    ทั้งๆที่ริมฝีบางไม่ได้กระตุกยิ้มแต่อย่างใด แต่ดวงตาสวยกลับประกายความพอใจอย่างไม่รู้ตัว 
    แทมินเก็บกระดาษไว้ให้อยู่ในสภาพเดิม นิ้วเรียวปิดจุกไม้เข้าที่เดิม ก่อนจะว่ายน้ำกลับไปหาใครอีกคน








    “โอ้ยยย!! แย่จริงๆ ใครกันนะ มันช่างมันทำร้ายธรรมชาติอันแสนงดงามได้ลงคอ แหม๊ มันน่าจะเจอแม่เข้าสักที” 
    แทมินพูดขึ้นเมื่อว่ายน้ำไปถึงตรงที่อีกฝ่ายรออยู่ แสร้งทำเป็นเดือดดาล 
    ฝ่ามือเรียวตีน้ำทะเลตรงหน้ากระเด็นเข้าปากมินโฮที่กำลังจะอ้าปากพูด แถมยังเปียกหน้าเต็มเปา


    “คุณว่าไม๊” ใบหน้าน่ารักหันไปถาม คนข้างๆที่กำลังลูบน้ำออกจากใบหน้าคมเข้มป้อยๆ


    “ค..ครับ ครับ” คนตัวสูงตอบอย่างเรียบร้อยไม่กล้าเถียง ในขณะที่คนถามอมยิ้มกริ่มอย่างสบายใจ
























    กว่าคณะทัวร์เล็กๆของพวกเขาจะกลับมาถึงที่พัก ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว แน่นอนล่ะ 
    คนที่ทำให้ทุกคนต้องมาถึงช้ามากขนาดนี้ คงไม่ใช่ใครนอกจาก คิมคิบอม ที่ไม่ยอมเลิกดำน้ำสักทีแม้แดดจะเริ่มออกเปรี้ยงๆ 
    แต่เจ้าตัวไม่ยักจะเกรงกลัว ทั้งๆที่จินกิก็พูดนักหนาว่า ไม่อยากกลับไปแล้วต้องฟังคิบอมบ่นว่าตัวเองดำขึ้นเยอะที่มาเมืองไทย 
    แถมคิบอมยังตื่นเต้นกับสถานที่แปลกตาที่ได้เห็นมาทั้งวันมากเป็นพิเศษ 
    ก็เลยทำให้ต้องใช้เวลาแวะเที่ยวแต่ละที่ในโปรแกรมของวันนานไปหน่อย


    เพราะเหนื่อยล้ามาทั้งวันทุกคนถึงขอตัวแยกย้ายกันไปอาบน้ำและพักเอาแรง สักสองสามชั่วโมง 
    ก่อนจะนัดแนะลงมาทานอาหารมื้อเย็นที่ริมชายหาด 



    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเบื่อห้องนอนในโรงแรมหรูหรืออย่างไร แต่คนตัวเล็กขอเลือกลงมาเดินเล่นตากลมยามเย็นที่ชายหาดด้านล่างดีกว่า 
    ดวงตาคู่สวยทอดมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะ ค่อยๆเลือนหายละลายไปกับน้ำทะเลที่ประกายสีส้มอ่อนๆระยิบระยับ 


    มือเรียวหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วออกจากกระเป๋ากางเกง กดปุ่มไล่ไปเรื่อยๆ ดวงตากลมจ้องมอง
    ตัวเลขสองตัวในหน้าปฏิทินเป็นครั้งที่ร้อย นึกทบทวนถึงอะไรบางอย่าง ภาพของวันวานลอยล่องวนเวียน
    เข้ามาในห้วงความคิด ก่อนที่ดวงตาหวานของแทมินจะเหม่อมองท้องทะเลสีครามอีกครั้ง





































    ยังจำได้อยู่รึเปล่านะ?


    วันแรกที่เราเจอกันน่ะ ? จำได้รึเปล่า?





























    คนตัวเล็กดันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เท้าเรียวก้าวฉับๆเร็วเท่าความคิดก่อนจะเดินหายเข้าไปในลิฟท์ของโรงแรม





    มีอะไรบางอย่าง?

    อะไรบางอย่างที่ยังค้างคา













    ก๊อก ก๊อก ก๊อก




    เอี๊ยดดด…





    ประตูไม้สีน้ำตาลหม่นเปิดออกตามแรงดึงของคนที่อยู่ข้างใน 
    เจ้าของห้องทำหน้าตาแปลกใจก่อนจะยิ้มรับและเอ่ยเชิญให้คนที่อยู่ด้านนอกเข้ามา































    หลังจากอาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็ว มินโฮก็จัดการหยิบคีย์การ์ดก่อนจะปิดไฟและออกจากห้องไป 
    ท่อนขายาวๆก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉงไปยังลิฟท์ที่อยู่ห่างออกไปจากห้องของตน 
    แต่พลันสายตากลับเหลือบไปเห็นร่างของคนตัวเล็กๆที่แสนคุ้นตา กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องของใครบางคน
    ที่อยู่ชั้นเดียวกันกับเขา ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิด ใบหน้าของเจ้าห้องที่ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเขา ‘จงฮยอน’ 


    ลมหายใจอ่อนนุ่มนั้นแทบหยุดลง เท้าทั้งสองข้างก้าวไม่ออก ด้านรู้สึกด้านชาบางอย่างแล่นพล่านขึ้นมา
    จนแทบจะล้มลงไป ห้วงความคิดกำลังประมวลผลอย่างหนัก พอรู้ตัวอีกที คนทั้งสองก็หายจากสายตาไปแล้ว 
    เหลือแต่เพียงประตูไม้ตัวเดิมที่ถูกปิดอย่างเรียบร้อย































    อาหารรสเลิศถูกยกออกมาเสิร์ฟโดยบริกรหนุ่มของโรงแรม ทุกคนบนโต๊ะต่างรับประทานอาหารอย่างเรียบร้อย 
    ดวงตาหวานของแทมินสอดส่องหาใครบางคน ที่ไม่เห็นตั้งแต่อาหารมื้อเย็นที่ริมหาดเมื่อวาน 

    แม้อาหารของเช้านี้จะถูกยกออกมาเสิร์ฟเป็นอย่างที่สามแล้ว แต่เขากลับยังไม่เห็นร่างสูงๆของใครคนนั้น 
    จินกิมองท่าทางแปลกๆของน้องชาย ก่อนจะเอ่ยเรียบๆออกมาว่า



    “มินโฮมันกลับโซลไปแล้วล่ะ” 


















    ‘ก็ชเวมินโฮหมายเลขสาม เป็นเจ้าของทริปนี่คุณ’ 








    เป็นเจ้าของทริปแล้วกลับไปก่อนได้ยังไง คุณชเวมินโฮหมายเลขสาม ฮึ!!
































    กระเป๋าใบใหญ่ถูกยกขึ้นมาเก็บในห้องนอนกว้างของแทมิน เด็กรับใช้สองคนออกไปแล้ว 
    เหลือเพียงร่างบางที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่อย่างเหนื่อยล้า 
    ส่วนจินกินั้นขอตัวไปส่งคิบอมที่บ้าน ถึงแม้ว่ารายนั้นจะมีจงฮยอนกลับบ้านด้วยอยู่แล้วก็ตาม 




    ยิ้มบางเบา ยกมือขึ้นโบกอำลา ก่อนจากกันที่สนามบิน…

    จงฮยอนเดินตามหลังจินกิ และคิบอมกลับบ้านไปแล้ว






















    แสงแดดยามเช้าสอดส่องลอดผ่านม่านสีขาวสะอาด เปลือกตาบางของคนตัวเล็กที่พยายามดันกายลุกจากที่นอน 
    กระพริบถี่เพื่อปรับรับแสงใหม่ของวัน ก่อนจะเคลื่อนกายไปยังห้องน้ำ จัดการธุระยามเช้าตามปกติ


    มือเรียวยกขึ้นเช็ดผมที่เปียกชุ่มด้วยผ้าขนหนูสีขาว ก่อนจะค่อยๆก้าวเดินมาเตียงนอนหลังใหญ่ 
    สายตาเหลือบไปเห็นซองกระดาษสีขาวสะอาดตาทำให้ร่างบางต้องหยุดนิ่ง 
    มือเรียวอีกข้างคว้าซองกระดาษนั้นขึ้นมาอย่างแปลกใจ ไม่แน่ใจว่าเมื่อไร ที่มันมานอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแบบนี้ 



    นิ้วเรียวค่อยๆแกะซองออกอย่างระมัดระมัง บางสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในทำให้คิ้วเรียวต้องขมวดเป็นปมอย่างสงสัย 
    กระดาษใบหนึ่งถูกหยิบออกมา ทิ้งให้ของอีกชิ้นยังคงนอนนิ่งอยู่ในซองนั้น ลายมือคุ้นตาปรากฏขึ้นอีกครั้ง…













    ‘แทมินยังจำครั้งแรกที่เราเจอกันได้ไหม?’

    ‘กลับไปหาวันนั้น เดินไปด้วยกันนะ’








































    เที่ยวบินที่ OS023 


    เครื่องบินลงจอดที่สนามบินกรุงเวียนนาอย่างปลอดภัย


    การเดินทางมาต่างประเทศครั้งที่สองในชีวิต หนแรกที่มีทั้งพ่อแม่และพี่ชายมาด้วย 
    เด็กชายตัวเล็กก็เลยอุ่นใจ ครั้งนี้แทมินจำต้องเยือนต่างแดนด้วยตัวคนเดียว



    แทมินพาตัวเองออกจาเกทได้ไม่ยากเท่าไรนัก คงเป็นเพราะสนามบินที่ไม่ได้ใหญ่มากพอจะให้เดินหลงจนวุ่นวาย 
    ทั้งยังมีป้ายบอกทางชัดเจน คนที่กำลังเริ่มต้นการผจญภัยก็เลยพอจะเอาตัวรอดไปก่อนได้ 






    เวียนนา…เมืองในฝัน
    ได้มาเหยียบมันจริงๆแล้วสินะ
























    เด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ในเมืองที่แทบจะไม่รู้จักใครสักคน






    ภาษาเกาหลีและอังกฤษที่เคยถูกหัดให้เรียนมาแทบตาย สุดท้ายก็แทบจะต้องพับเก็บใส่กระเป๋า
    มันคงจะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้นับครั้งได้



    ภาษาเยอรมัน จำเป็นที่สุดในเวลานี้









    ยังมีเวลาอีกตั้งมากมาย ให้ได้รู้จักและทักทายกับเพื่อนใหม่ๆ
    คงอีกหลายปี…ที่เขาต้องเรียนรู้มันด้วยตัวเอง 


















    กระเป๋าใบใหญ่ถูกวางลงอย่างไม่ค่อยปรานี ร่างเล็กแทบจะล้มตัวลงนอนกับเตียงนอนนุ่มของที่พักแห่งใหม่ซะให้ได้ 
    แต่ติดที่ว่ามีภารกิจบางอย่างที่ต้องทำให้สำเร็จก่อนสิ่งอื่นใด






    ‘พอไปถึงที่โน่นแล้ว ลูกจะต้องรีบไปหาป้าอึนยองก่อนนะลูก’



    ข้าวของที่ขนมายังไม่ถูกจัดให้เข้าที่เข้าทาง เสื้อโค้ทตัวใหญ่ถูกหยิบขึ้นมาใส่อีกครั้ง 
    มือเรียวหยิบกระเป๋าเป้ใบเก่งที่ไม่ลืมยัดแผนที่อันแสนสำคัญไว้ภายในแล้ว















    เจ้าของใบหน้าหวานกวาดมองหาที่นั่งว่างทันทีที่ก้าวขึ้นมาบนรถไฟ เท้าเรียวค่อยๆก้าวอย่างระมัดระวัง 
    ดวงตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นเบาะนั่ง ที่มีเพียงชายคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เพียงคนเดียว 

    ดวงตาหวานประกายความดีใจขึ้นเล็กๆ ขายาวรีบก้าวไปยังจุดหมายใหม่















    กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกวางลงก่อน บนที่นั่งริมทางเดิน ก่อนที่เจ้าของมันจะก้าวไปนั่งที่ข้างๆติดหน้าต่าง 
    แทมินเอนกายอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาหวานลอบมองผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม 
    เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเงียบๆ สายตาคมเข้มที่ลอดผ่านกรอบสีเข้มกำลังเพ่งอ่านตัวอักษรตรงหน้าอย่างมีสมาธิ 
    ไม่อาจแน่ใจได้ว่าใครคนนั้นจะรับรู้ได้รึเปล่าว่ามีเขาอีกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้









    รถไฟสายยาวกำลังแล่นออกจากกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ตามเวลาปกติของมัน



    เหล่าต้นไม้สีสวยที่เรียงรายอยู่นอกหน้าต่าง เป็นสีขาวโพลนเพราะหิมะในฤดูหนาวของออสเตรีย 

    ผ้าพันคอสีน้ำตาลหม่นฝีมือคุณแม่ที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้เป็นประจำ ถูกจัดให้เข้าที่เข้าทาง มือบางกระชับเสื้อโค้ทตัวใหญ่ให้แน่นขึ้น 
    ก่อนจะหยิบเอาหนังสือข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศออสเตรีย ที่ถูกเขียนโดยคนเกาหลีขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง


    แต่เพราะความเหนื่อยล้าของการเดินทางทั้งวัน ศีรษะเล็กที่ยุ่งเหยิงไปด้วยกลุ่มผมสีทองเอนหาหน้าต่างข้างๆเพื่อพักพิง 
    เปลือกตาบางของแทมินค่อยๆปิดลงก่อนจะเผลอหลับไปในที่สุด



































    มือหนาของใครบางคนเขย่าไหล่บาง ของคนที่เผลอหลับอย่างไม่ได้สติ ทำให้คนตัวเล็กค่อยๆงัวเงียตื่นขึ้น 
    เปลือกตาบางกระพริบถี่ๆ ภาพแรกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือดวงตากลมโตที่มองผ่านกรอบแว่นสีเข้มอย่างสงสัย


    เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอะไรบางอย่างที่แทมินฟังไม่ค่อยเข้าใจ ใครคนนั้นแทมินจำได้ว่าคือคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา 
    คนๆนั้นยังคงพยายามจะถามต่อไปเมื่อเห็นว่าใบหน้าน่ารักนั้นยังขมวดคิ้วเรียวเป็นปม และยังคงไม่ยอมเอ่ยตอบคำถามเขา




    เพราะความรู้สึกมึนงงในหัวเพราะเพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ ทั้งยังต้องฟังคำถามด้วยภาษาแปลกๆที่ไม่สามารถแปลออกได้ 
    แทมินเองไม่รู้จะพูดหรือตอบอะไรไปในตอนนี้ 




    เมื่อพยายามจะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแต่กลับไม่เป็นผลสำเร็จ ใครคนนั้นดูเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดสักนิด 
    มือเรียวจึงรีบเปิดกระเป๋าเป้ใบใหญ่ควานหาหนังสือเล่มหนึ่งออกมาช่วยชีวิต








    ริมฝีปากบางพยายามอย่างมากที่จะเอ่ยอะไรสักอย่างที่หาได้จากในหนังสือ ทั้งคำกล่าวทักทาย 
    ทั้งประโยคคำถาม ประโยคขอความช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งคำกล่าวแสดงความยินดี! 








    แน่ล่ะ... อีกฝ่ายไม่มีทางเข้าใจเขา






    ให้ตายเถอะ!









    จินกิ!















    เรื่องนี้ต้องโทษเขา!




    ต้องโทษที่จินกิจัดตารางเวลาที่เหลือสองอาทิตย์สุดท้าย ก่อนเดินทางมาเรียนไกลถึงออสเตรียอย่างไม่ยุติธรรม 
    ภาษาเยอรมันถูกจัดให้เรียนน้อยกว่าการลากน้องชายไปนั่งเล่นเกมส์ด้วยกัน 






    แล้วเป็นยังไงล่ะจินกิ
    ดีจริงๆพี่ชายคนนี้











    คนตัวสูงหัวเราะน้อยๆให้กับอัปกิริยาท่าทางและการกระทำของอีกฝ่าย 
    ดวงตาคมแอบลอบมองตัวหนังสือในมือของอีกฝ่ายที่ถูกเปิดไปเปิดมาหลายรอบ 
    นิ้วเรียวของเขาชี้ไปยังอักษรเยอรมันประโยคหนึ่ง




    แทมินอ่านตัวอักษรเกาหลีที่ปรากฏคู่กับประโยคที่คนตัวสูงเพิ่งชี้ไป ก็พอจะเข้าใจขึ้นมาว่า












    “คุณจะไปที่ไหนครับ”




    ‘อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ปล่อยให้งงซะตั้งนาน’
    ริมฝีบางของแทมินยกยิ้มขึ้นอย่างมีความหวัง ก่อนจะรีบเอ่ยตอบไปว่า









    “ฮัลสตัทท์” 














































    นับเป็นโชคดีที่ใครคนนั้นปลุกเขาให้ตื่นขึ้น ก่อนจะถึงสถานีเมือง บาด อิสเชล ไม่กี่นาที 
    เพราะผู้โดยสารที่เดินทางจากเวียนนาจะไปฮัลสตัทท์ต้องเปลี่ยนขบวนรถที่นั่น 
    ถ้าไม่อย่างนั้นเค้าคงจะไปหลงอยู่ที่ไหนสักที่ไปแล้ว 



    แทมินเดินตามหลังผู้ชายออสเตรียหน้าเข้มคนนั้นขึ้นรถไฟอีกขบวน 
    ในใจแอบสงสัยในลักษณะ รูปร่าง หน้าตาที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนยุโรป 
    แต่เพราะความรู้ในภาษาเยอรมันที่มีอยู่อย่างน้อยนิด ก็เลยไม่กล้าปริปากเอยถามอะไรให้วุ่นวายอีก




    หลังจากที่ค้นพบวิธีสื่อสารกันแบบแปลกๆ จึงพอจะทราบว่าอีกฝ่ายก็กำลังจะเดินทางไปยังเมืองเดียวกันกับเขา 
    แทมินก็เลยเดินตามอีกคนมานั่งที่รถไฟขบวนใหม่ซะเลย คราวนี้คนตัวเล็กไม่กล้าหลับอีกแล้ว 



    ดวงตาคู่สวยทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างตลอดเส้นทาง ในขณะที่เพื่อนร่วมทางของเขาเอาแต่นั่งอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ 
    จนไม่แน่ใจว่าลืมแล้วรึยังว่ามีเขาอีกคนติดสอยห้อยตามมาด้วย














    แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเขาล่ะ ฮัศวินขี่ม้าขาวคนนี้!








































    เมืองเล็กๆท่ามกลางหุบเขา มีเพียงหมู่บ้านเล็กๆที่ถูกปลูกอยู่บนไหล่เขาเลียบทะเลสาบ 
    เมืองที่ได้รับการขึ้นชื่อให้เป็นมรดกโลก ถึงแม้การเดินทางจะค่อนข้างยากลำบาก รถไฟต้องนั่งถึงสองทอด 
    แถมยังต้องต่อเรือข้ามทะเลสาปจากสถานีรถไฟของเมืองมายังหมู่บ้านอีก แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับแทมิน เขาคิดว่ายังไงมันก็ ‘ คุ้ม! ’






    นอกจากเวียนนา เขาขอยกที่นี่เป็นเมืองในฝันอีกแห่งแล้วกัน
    'ฮัลสตัทท์ ' ราวกับเมืองในฝันจริงๆ หรือจะเป็นเมืองในเทพนิยายกันนะ
















    แทมินยื่นที่อยู่ของคุณป้าอึนยอง เพื่อนสนิทของคุณแม่ ให้กับฮัศวินขี่ม้าขาวของเขา 
    เท้าเรียวก้าวเดินตามหลังใครคนนั้นลัดเลาะตามถนนเล็กๆในหมู่บ้าน

    ดวงตาหวานเอาแต่สังเกตบรรดาบ้านเล็กๆน่ารักที่เรียงรายเต็มไปหมดอย่างตื่นเต้น 
    เป็นเพราะอยู่ในช่วงของฤดูหนาว หลังคาบ้านและท้องถนนถึงขาวโพลนได้ด้วยหิมะแทบทั้งสิ้น 
    แต่มันก็ช่างตัดกันได้อย่างลงตัวกับท้องทะเลสาปและท้องฟ้าสีครามเข้ม
















    การเดินทางแสนยาวไกลสิ้นสุดลง เท้าเรียวหยุดลงที่หน้าประตูไม้สีน้ำตาลอ่อนๆของบ้านเล็กๆน่ารักหลังหนึ่ง 
    นิ้วเรียวกดกริ่งที่ติดไว้ข้างๆประตูไม้หลังนั้น รอคอยให้ใครสักคน
    มาเปิดประตูให้เขาได้เขาไปหลบความหนาวโดยเร็วที่สุด












    เอี๊ยดดดดดดดด






    หญิงวัยกลางคนที่แทมินคุ้นหน้าดี ปรากฏกายขึ้นหลังจากที่ประตูไม้ถูกเปิดให้กว้างขึ้น 
    นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกันในดินแดนของออสเตรีย ไม่ใช่ในกรุงโซลที่ป้าอึนยองมักจะบินไปเยี่ยมคุณแม่อยู่บ่อยครั้ง 
    รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยนั้น หล่อนเข้ามาโอบกอดหลานชายอย่างดีใจ 


    ก่อนสายตาจะพลันไปเห็นอีกร่างที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง







    “อ้าวมินโฮ ทำไมกลับมาเร็วล่ะลูก?”












    ดูเหมือนว่าฮัศวินขี่ม้าขาวคนนี้ น่าจะโดนถีบตกม้าแล้วโดนม้ากระทืบดูสักครั้ง!!

































    “หมดบทของแม่แล้วใช่มั๊ย งั้นลูกสองคนเชิญตามสบายนะจ๊ะ 
    เดี๋ยวแม่จะขอตัวออกไปดูพ่อเขาสักหน่อย ออกไปตั้งนานละ” 

    หญิงวัยกลางคนที่ยังคงสวยไม่สร่างไปจากเมื่อ 6 ปีที่แล้วที่แทมินเจอเป็นครั้งแรกที่ออสเตรีย 
    เธอเดินไปหยิบอะไรบางอย่างในครัวก่อนจะเดินไปที่ประตู แล้วหันมาพูดอีกครั้งว่า


    “มินโฮ ทีหลังถ้าจะเล่นอะไรแบบนี้ ก็ช่วยให้บทแม่เยอะกว่านี้หน่อยนะลูก แบบนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าไรเลย”

    “แหม…แม่ครับ มันก็ต้องว่าไปตามความจริง หกปีที่แล้วเคยพูดไว้ยังไง ก็ต้องพูดแบบนั้น 
    ผมกับแทมินยังไม่เปลี่ยนบทเลยนะครับ จริงมั๊ยแทมิน?” 

    คนตัวสูงพูดแล้วพยักเพยิดไปขอความเห็นจากคนข้างๆ อีกฝ่ายได้แต่นั่งน่ามุ่ยอย่างงอนๆ 


    “แม่ว่าคราวนี้ลูกต้องได้ง้อแทมินอีกรอบแน่ๆ ข้อหาที่ทำให้น้องต้องมาสวมบท
    เป็นคนถูกอัศวินขี่ม้าขาวหลอกเข้าให้อีกเป็นหนที่สอง”


    “โถ่ …แม่ครับ แม่จะพูดให้แทมินงอนผมมากขึ้นอีกทำไม” 
    สายตาคมเข้มพยายามส่งความเห็นใจจากผู้เป็นแม่ ก่อนหันไปมองคนข้างๆที่ยังอยู่ในอาการกระเง้ากระงอน


    “ตอนนี้ผมรู้สึกพลาดยังไงก็ไม่รู้ ที่พาแทมินมารำลึกความหลังโดยทำเหมือนกับว่า มันเป็นช่วงเวลาเมื่อหกปีที่แล้ว
    พลาดที่ไม่น่าทำให้บทมันจบเอาตรงตอนหน้าบ้านที่แทมินรู้ความจริงว่าผมแกล้งเขา 
    รู้สึกรังสีอำมหิตมันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าจากครั้งแรกยังไงก็ไม่รู้”



    “ลูกต้องโทษตัวเอง เล่นอะไรพิลึกคน แม่ว่าให้ของขวัญครบรอบหกปีที่เจอกันกับแทมิน ด้วยวิธีนี้ไม่เวิร์ก… 
    เคลียร์กันเองนะลูกรัก แม่ไปล่ะ”อึนยองส่งยิ้มให้กำลังใจลูกชายตัวแสบของตนก่อนจะออกจากบ้านไป
















    อึนยองออกไปแล้ว ในห้องนั่งเล่นแสนน่ารักของบ้านถูกแทนที่ด้วยความเงียบ คนตัวเล็กยังคงนั่งเฉยไม่พูดไม่จา
    กับอีกฝ่าย มินโฮเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามพูดทำลายความเงียบขึ้นมา



    “แทมินอา …อย่างอนสิ ฉันก็แค่อยากให้เราลองมาสัมผัสความรู้สึกของครั้งแรกที่เราเจอกันไง 
    ไม่ดีหรอกเหรอ ฉันน่ะชอบออกนะ มันสมจริงเหมือนเดิมทุกอย่างเลย รู้สึกเหมือนได้ตกหลุมรักแทมินใหม่อีกรอบ”

    คนตัวสูงพยายามส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ หวังว่าอีกฝ่ายจะเลิกงอนเขา


    “นี่ตกลง สารภาพแล้วใช่มั๊ยว่าชอบฉันตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรกบนรถไฟเมื่อหกปีที่แล้ว แล้วน่ะ” 

    “ปะ…เปล่า เปล่าสักหน่อย ใครจะไปตกหลุมรักเด็กที่นอนหลับบนรถไฟไม่รู้เรื่อง 
    แถมยังพูดภาษาเยอรมันไม่เป็นอย่างนายได้ลงคอเล่า ไม่ชอบสักนิดเลยล่ะ โถ่ หลงตัวเอง” มินโฮเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งๆ


    “แล้วใครกันนะที่มันพยายามมาจีบฉันใหม่ ตอนที่รู้จากพี่ชายของฉันว่าฉันจะขอเลิกน่ะ 
    เอ…ใครกันนะ มีตั้งสามคนเลยนะ นายรู้จักบ้างรึเปล่ามินโฮ?” 


    “มีทั้ง ชเวมินโฮหมายเลขหนึ่ง หมายเลขสอง แล้วก็ชเวมินโฮหมายเลขสาม นายรู้จักสักคนบ้างรึเปล่าล่ะ ฮึ?” 
    คนตัวเล็กพูดพยายามส่งสายตาถามอีกฝ่ายอย่างใสซื่อ

    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเถียงอะไรต่อไม่ออก แทมินจึงพูดต่อไปว่า



    “ถ้านายยังนึกไม่ออกฉันจะบอกให้อีกก็ได้นะ"


    " ชเวมินโฮหมายเลขหนึ่งน่ะชอบอ่านหนังสือมากๆเลยล่ะ โอ้ยอย่าไปกวนเขาเชียวนะเวลาอ่านหนังสือน่ะ เขาไม่สนใจหรอก 
    ส่วนชเวมินโฮหมายเลขสองน่ะเหรอ คนนั้นน่ะ ทำเป็นบอกว่าชอบเล่นบาส เล่นกีฬาอะไร ฉันว่าจริงๆชอบกินลูกบาส ลูกฟุตบอล 
    หรือไม่ก็สระว่ายน้ำอะไรพวกนั้นมากกว่า ถึงได้บ้าพลัง แถม ถึกซะขนาดนั้น”


    “ส่วนคนสุดท้ายนะ นายชเวมินโฮหมายเลขสามน่ะ จริงๆแล้วเป็นลูกทะเล เกิดมาจากเปลือกหอยในง่ามปะการังน่ะ 
    น่ากลัวนะนายคนนี้น่ะ ฉันว่าจิตๆยังไงไม่รู้” แทมินพูดพลางยิ้มล้ออีกฝ่ายที่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออกข้างๆ 


    “น่าสนใจทั้งสามคนเลยนะเนี่ย นายว่ามั๊ยล่ะ”



    “เอ่อ…แทมิน แล้วนายเลือกรึยังว่าชอบคนไหน?”คนตัวสูงเอ่ยถามขึ้นอย่างรอคอยคำตอบ 
    ริมฝีปากบางของคนตัวเล็กยกยิ้มขึ้นเล็กๆ ดวงตาหวานจ้องมองดวงตาคมเข้มของอีกฝ่ายที่ตั้งใจรอฟังคำตอบ 


    “เลือกแล้ว…” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มของมินโฮในทันที 


    “ฉันเลือกแล้ว…ฉันเลือกผู้ชายที่ชื่อชเวมินโฮ เขาจะเป็นแบบไหนฉันก็รับได้ทั้งหมด
    ถึงแม้จะชอบหนีไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดโดยไม่ชวนฉันไปด้วย หรือจะชอบตื่นมาปลุกฉันไปออกกำลังกายทุกเช้า
    ตอนที่ฉันเรียนอยู่ที่เวียนนา แถมยังแอบเก็บชุดออกกำลังกายตอนนั้นของฉันไว้ ถึงแม้ว่าตั้งแต่กลับไปโซล
    ฉันแทบจะไม่ได้แตะจนลืมมันไปแล้วก็ตาม หรือจะเป็นชเวมินโฮที่รู้ว่าฉันน่ะเมาเรือ 
    แต่ก็ยังชอบพาฉันไปดำน้ำจนฉันหายเมาเรือไปจนได้ ดูแต่ละคนสิฉันรับเขาไปได้ยังไงนะ” 

    แทมินพูดพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ






    “แล้วรู้มั๊ย ว่าทำไมชเวมินโฮถึงไม่ยอมชวนอีแทมินไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดด้วยกัน ก็เพราะว่าชเวมินโฮเขารู้ตัวน่ะสิ 
    ว่าตั้งแต่วันแรกที่เจออีแทมินบนรถไฟ คนที่มีสมาธิในการอ่านหนังสือและไม่มีทางจะสนใจอะไรได้ 
    กลับต้องเสียสมาธิให้กับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ตรงหน้าเขาน่ะ 
    อย่างนี้จะให้เขาชวนอีแทมินไปอ่านหนังสือด้วยกันได้ยังไงล่ะ” 


    “ฉันน่ะพร้อมที่จะเป็นคนในอย่างที่นายอยากให้เป็น แบบไหนที่ใช่สำหรับนาย หรือจะให้เป็นทุกอย่าง ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น”


    รอยยิ้มหวานเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าน่ารัก ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายอย่างมีความสุข 
    ท่อนแขนเรียวเล็กโอบเข้าหาคนตัวสูง มินโฮแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มกว้างขึ้น 
    ท่อนแขนอบอุ่นรับกอดอีกฝ่ายอย่างมีความสุข










    สำหรับความรักน่ะ


    หากต้องเลือกใครสักคนสำหรับชีวิต ใครสักคนที่จะอยู่ข้างๆกันตลอดไป










    คนๆนั้น คงจะเป็นคนที่แสนสำคัญ









    คนแบบไหนกันนะ ที่จะได้เป็นคนๆนั้น














    ถ้าหากไม่รู้ ลองถามหัวใจดูสิ มันอาจจะเลือกคนที่ใช่ไว้ให้คุณแล้วก็ได้นะ


























    ค่ำคืนของบรรยากาศการฉลองคริสมาสต์กลางฤดูหนาวในกรุงเวียนนา 
    เมืองแห่งเสียงดนตรี ศิลปะอันงดงาม และความโรแมนติก 

    อาคารสถานต่างๆถูกประดับประดาด้วยไฟระยิบระยับสวยสดงดงาม 



    ชายหนุ่มสองคนก้าวเดินเคียงข้างกันบนถนนสายหนึ่งกลางกรุงเวียนนา รถไฟจากฮัสสตัทท์ออกตั้งแต่ช่วงเย็น 
    ก่อนจะมาถึงสถานีกรุงเวียนนาในเวลาสามทุ่ม 





    “แทมิน…ตกลงว่าเลิกงอนแล้วใช่ไม๊ เรื่องที่พานายมาสวมบทบาทเป็นตัวเองเมื่อหกปีที่แล้วน่ะ” 
    คนร่างสูงถามขึ้นในขณะที่ทั้งคู่กำลังก้าวเดินผ่านตลาดคริสมาสต์ที่ถูกจัดอยู่มากมาย


    “ความจริงแล้วฉันไม่ได้งอนนายหรอกนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ทำอะไรพิลึกๆตามนาย อย่างงี้หรอก 
    เพราะฉันเองก็สงสัยเหมือนกันว่านายเองจะยังจำครั้งแรกที่เราเจอกันได้ไหม?”


    “แต่นายก็ทำให้ฉันรู้แล้วว่า ความทรงจำในวันแรกของเรามันไม่เคยหายไปไหน มันชัดเจนอยู่ในใจเราเสมอ 
    ไม่อย่างนั้นนายกับฉันก็คงไม่สามารถทำทุกอย่าง ทุกคำพูด ทุกการกระทำ เวลา 
    หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เราใส่ได้เหมือนเดิมขนาดนั้นหรอกจริงมั๊ย”

    “นั่นสินะแทมิน นายน่ะหลับได้เหมือนเดิมเป๊ะเลย ฮ่าฮ่า ตลกชะมัด” คนตัวสูงหัวเราะชอบใจ ในขณะที่อีกฝ่ายมุ่ยหน้าลง



    กะจะซึ้งสักหน่อยนะชเวมินโฮ



    “หยุดเลยนะมินโฮ ก็คนมันเหนื่อยนิ่ ไม่ว่าจะตอนนั้น หรือเมื่อหกปีที่แล้ว ฉันก็ต้องลงจากเครื่องบิน 
    ข้าวของไม่ได้จัด แล้วรีบนั่งรถไฟไปหาป้าอึนยองเหมือนกันเลยนิ่ จะไม่ให้ฉันเหนื่อยจนหลับได้ยังไง”
    คนตัวเล็กพูดค้อนใส่อีกฝ่าย


    มินโฮได้แต่ยิ้มน้อยๆ กับอาการของคนข้างๆ ทั้งสองยังคงเดินเคียงคู่กันไป






















    “นี่แทมิน ฉันขออะไรอย่างนึงได้ไหม?”

    “ขออะไรล่ะ?” ใบหน้าหวานหันไปมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย มินโฮต้องการอะไรจากเขากันเหรอ?


    “นายช่วยเรียกฉันว่า…พี่มินโฮ สักครั้งได้ไม๊” คนตัวเล็กมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ นึกยังไงถึงมาขออะไรแบบนี้กันนะ 

    เขากับมินโฮเคยพูดอะไรกันแบบนี้ที่ไหนล่ะ เรียกกันให้เพราะๆน่ะเหรอ?

    อาจจะมีตอนที่มินโฮเดินเข้ามาเป็นชเวมินโฮทั้งสามหมายเลข
    คำว่า 'คุณ' กับ 'ผม' ก็เลยถูกนำมาใช้ตลอด แล้วถ้าจะหวานกันที่สุดก็คงจะมีแต่วันนี้ล่ะมั้ง 




    ใครจะไปพูดกัน สรรพนามที่ฟังดู แล้วเลี่ยนๆแบบนั้นน่ะ



    “ไม่เอาหรอก พูดไม่ลง เลี่ยนเกินไป” 
    ตัวเล็กพูดก่อน หันมองบรรยากาศข้างตัวไม่สนใจอีกฝ่ายที่กำลังทะท่ากระเง้ากระงอน 







    ก็อยากจะฟังสักครั้งไม่ได้รึไงเล่า

































    บรรยากาศสองข้างทางยังคงรายล้องด้วยร้านรวงที่ขายของเกี่ยวกับวันคริสมาสต์มากมาย 
    ทั้งโลลิป๊อบสีสวย ตุ๊กตาหิมะตัวเล็กๆน่ารัก ขนมที่ปั้นเป็นรูปซานต้าครอส หรือแม้แต่เครื่องรางที่เกี่ยวกับคริสมาสต์ 

    คนตัวเล็กยังคงชอบอกชอบใจกับบรรยากาศของเมืองในฝันของตนเฉกเช่นเดิม




    “นี่มินโฮ…”




    “หืมม?”




    “ขอบคุณนะ…ขอบคุณที่เก็บหนังสือสอนภาษาเยอรมันนั้นไว้ ขอบคุณที่เก็บหนังสือพิมพ์ฉบับเดิมที่นายอ่านตอนนั้น 
    ขอบคุณที่เก็บตั๋วรถไฟเที่ยวนั้น ขอบคุณที่เก็บหนังสือท่องเที่ยวออสเตรียที่อยู่ในมือฉันตอนหลับ 
    หนังสือเล่มที่ทำให้นายรู้ว่าฉันเป็นคนเกาหลี ขอบคุณที่หาที่นั่งเดิมมุมเดิม เวลาเดิม 
    ทุกๆอย่างที่เหมือนเดิม ขอบคุณจริงๆนะ มันเหมือนกับว่าฉันได้กลับไปในวันนั้นจริงๆ
    ถึงแม้ว่าจะต้องยอมเป็นคนเซ่อซ่า ฟังภาษาเยอรมันไม่ออกก็ตาม”




    “แต่เดี๋ยวนี้นายก็เข้าใจภาษาเยอรมันดีแล้วนี่นา…” มินโฮยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนหวาน


    “อ้อ…มีอย่างนึงที่ไม่เหมือนเดิมนะแทมิน” แทมินหันมองคนข้างๆอย่างแปลกใจ มินโฮยิ้มก่อนจะพูดว่า





    “ก็สีผมนายไงล่ะ ทั้งที่ตอนนั้นมันเป็นสีดำ แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นสีทองไปซะแล้ว ฮ่าฮ่า ”มินโอหัวเราะอย่างชอบใจ 
    อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มอย่างเขินๆ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก



    “มีอีกอย่างนะมินโฮ” คราวนี้เป็นมินโฮที่ต้องมองแทมินด้วยความแปลกใจ 








    ยังมีอะไรอีกนะ?












    “ก็รถชอปเปอร์ไงล่ะ… ตอนนั้นที่นายเอามาง้อเรื่องที่หลอกฉันน่ะ 
    เอามาจอดไว้หน้าบ้านของฉันตอนที่กลับมาจากฮัสสตัทท์ถึงบ้านที่เวียนนาแล้วน่ะ นายควรจะเอามันมาง้อฉันนะ” 
    คนตัวเล็กพูดอย่างพยักเพยิดหน้า






    “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้กลับบ้านไป ก็ลองดูที่หน้าบ้านให้ดีสิ” ดวงตาหวานเบิกกว้างขึ้นอย่างแปลกใจ กับคำตอบของมินโฮ



    “อืม…คันที่สอง” มินโฮพยักหน้าด้วยยิ้มหวาน


    ใช่มันเป็นคันที่สองแล้วสำหรับรถชอปเปอร์ที่มินโฮซื้อให้แทมิน 
    คันแรก คันสีน้ำเงินนั้น มินโฮให้เพื่อง้อแทมิน แล้วก็เอาตามกลับแทมินไปใช้ที่เกาหลีต่อนั่นแหละ












    แทมินน่ะ...ชอบขี่ชอปเปอร์มาก





















    ถ้าอย่างนั้น… 






    มันก็คงมีเพียงแค่สีผมของฉันที่ไม่เหมือนเดิมสินะ มินโฮ










































    ชายหนุ่มทั้งสองเดินมาจึงบริเวณทาวน์ฮอลล์ เป็นบริเวณใจกลางของงานคริสมาสต์ของกรุงเวียนนา 
    พลุสีสวยถูกจุดขึ้นเต็มท้องฟ้ายามรัตติกาล มีคนมากมายที่ยืนอยู่หน้าทาวน์ฮอลล์ 
    อาคารหลังใหญ่ที่ถูกออกแบบก่อนสร้างมา อย่างสวยงาม ตรงกลางเป็นหอสูง มีนาฬิกาเรือนใหญ่ประดับอยู่
    ผู้คนๆรอบกายเหล่านั้น กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอ่อนหวานของค่ำคืนนี้ 

    คู่รักหลายคู่กำลังเต้นรำกันอย่างมีความสุข บางคนทอดมองพลุสีสวยอย่างตื่นเต้น
    หลายคนกำลังยกฝ่ามือขึ้นทาบกันเพื่ออธิษฐาน ตามความเชื่อของออสเตรียที่เชื่อว่าจะเป็นจริง




    ฝ่ามือของแทมินยกขึ้นทาบกัน แพขนตายาวปิดลง ดวงหน้าหวานก้มลงเพื่ออธิษฐานอย่างตั้งใจ มินโฮเพียงแค่ยิ้มบางๆกับภาพนั้นอย่างสุขใจ 








    คนตัวเล็กอธิษฐานเสร็จแล้ว ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ‘ขอให้คำอธิษฐานของผมเป็นจริงนะครับ’




    “นายขออะไรเหรอแทมิน”

    “ไม่บอกหรอก …มันเป็นความลับของคำอธิษฐานน่ะ” รอยยิ้มบางมีความสุขผุดขึ้นบนใบหน้าหวานอีกครั้ง 



















    “นี่แทมิน วันนั้นนายเข้าไปในห้องจงฮยอนทำไมเหรอ”










    เอ๋…วันไหนนะ?

    คิ้วเรียวสวยขมวดเป็นปม ความคิดแล่นนึกถึงอะไรบางอย่าง ก่อนริมฝีปากบางจะเอ่ยเล่า














    ‘ที่รัก…เข้ามาก่อนสิ’ 


    ‘พี่จงฮยอน ผมมีเรื่องบางอย่างที่ค้างคา จะคุยกับพี่ให้เข้าใจ’

    ‘เรื่องอะไรเหรอ?’

    ‘ผมอยากให้พี่เลิกเรียกว่าผมว่า แฟน หรือ ที่รัก สักที ยังไงซะ 
    มินโฮเขาก็ไม่หึงผมหรอก ถึงจะหึงเค้าก็คงจะไม่ยอมบอกหรอก’


    ‘แน่ใจเหรอแทมิน ’

    ‘แน่ใจสิ มินโฮน่ะ แค่คำว่ารัก ตลอดหกปีที่คบกันมา ผมยังไม่เคยได้ยินจากปากเขาสักคำเลย’

    ‘ก็เพราะอย่างนี้ไงล่ะ พี่ถึงอยากทำแบบนี้เพื่อช่วยนาย พี่ดูออกนะว่าเขาหึงเรา อีกไม่นานนายต้องได้ยินคำนั้นจากปากเขาแน่ๆ’



    ‘ช่างมันเถอะครับ ยังไงตอนนี้ผมก็ได้คำตอบแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างได้บอกอะไรกับผมมาตลอดแล้ว'

    'อีกอย่างคำว่าแฟน หรือ คำว่าที่รัก ผมอยากให้มันถูกเรียกจากปากของใครคนนั้นของผมมากกว่า 
    ผมคงไม่ชอบใจเท่าไรถ้ามันจะออกมาจากปากของคนอื่น' 


    ' แต่ผมก็รู้ว่าพี่ทำเพราะหวังดีต่อผม แผนของพี่น่ะดีมากๆเลย ขอบคุณนะครับสำหรับความหวังดี นะครับ…พี่ชาย’ 





    ‘แต่พี่ชักจะชินปากแล้วนี่นา แต่ว่ายังไงก็... ตกลงครับที่รัก…เฮ้ย! น้องชาย’


















    รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มทันทีที่ คนตัวเล็กเอ่ยเล่าเรื่องทั้งหมดจบ 



    “งั้นหมายความว่า เราจะไม่เลิกกันใช่มั๊ย? แทมิน” 
    ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายที่ยืนยิ้มให้กับบรรยากาศตรงหน้าอย่างรอคอยคำตอบ คนตัวเล็กเหลือบมองอีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นว่า


    “ก็คงต้องเลิก ก็เพราะนายยังไม่ตอบคำถามของฉัน ถ้าคำถามของฉันไม่มีคำตอบ ก็คงต้องเลิก” 
    คนตัวเล็กทำค้อนให้อีกฝ่าย มินโฮชักสีหน้าซีด ใบหน้ายังคงฉายแววความสงสัยกังวล


    “งั้นถามใหม่ก็ได้ โอกาสสุดท้ายแล้วนะ…” 


    ดวงตาหวานจ้องมองดวงตาคมของอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ ริมฝีปากบางค่อยๆเปิดออกเป็นคำพูดที่ว่า…




































    “นายรักฉันมั๊ย? มินโฮ”





































    “ก็ตอบไปแล้วไงครับ” 




    เอ๋? ตอนไหนนะ? ดวงตาหวานสะท้อนความสงสัยกับคำตอบนั้น














    “คำตอบของผม...”


    มือหนาเอื้อมไปสัมผัสมือนิ่มนิ่มของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ค่อยคลี่ยิ้มบาง ก่อนพูดว่า





    “อยู่บนกระดาษสีขาวที่ซ่อนไว้ในหนังสือที่ห้องสมุด 
    อยู่บนลูกบาสที่กลิ้งไปหาแทมินวันนั้น 
    อยู่ในกระดาษที่พับไว้กับจุกไม้ปิดขวดกลางทะเล คำตอบของผมก็คือ…”


































    “วันนี้มินโฮรักแทมิน …แทมินรักมินโฮหรือยัง?”








    ริมฝีปากบางของแทมินค่อยๆคลี่ยิ้มขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าหวานแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว ดวงตากลมสะท้อนความสุขอย่างเต็มหัวใจ 



























    คำตอบของนายน่ะ…




























    ฉันคิดว่ามันเป็นคำถามซะอีก























    ดีจังเลยนะ คำตอบที่เป็นทั้ง คำตอบที่ฉันรอคอย แถมยังเป็นคำถามที่นายถามฉันต่อ… นายนี่มันขี้โกงชะมัด เชวมินโฮ













    ท่ามกลางบรรยากาศของค่ำคืนแห่งความสุข ค่ำคืนของความรัก ดวงตาหวานสบตาคมของคนรักอย่างมีความหมาย 




















    “ไม่ใช่วันนี้ แต่ว่า...”
























    “แทมินรักพี่มินโฮ มาตั้งแต่เมื่อหกปีที่แล้ว แล้วครับ”
















    ผู้ชายสองคนที่พบกันครั้งแรกที่กรุงเวียนนา
    เมืองแห่งความโรแมนติก เมืองในฝันของหลายๆคน เมืองที่ทำให้คู่รักหลายๆคู่ได้สมหวัง 



    จากวันนั้นมา เป็นเวลาหกปีแล้ว ถึงแม้จะไม่ค่อยพูดอะไรที่คนรักกันควรจะพูดกัน ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำว่า “ รัก”… ที่หวานละมุน 

    แต่การกระทำทุกๆอย่างที่แสดงออกมาว่า “ใครคนนั้นได้ตกหลุมรักคุณแล้ว” มันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ






    แล้วคุณล่ะ





    “วันนี้ ...คุณรักเขาคนนั้นแล้วรึยัง?” 




































































    “จินกิฮยอง… ผมคงจะไม่มีวันโสดแล้วนะครับ”

















    END











    TalK :  ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ  อยากได้คอมเม้นน้าาาาาา ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×