ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF: 2Min] Selected : TrueMin 3 ตอนจบ

    ลำดับตอนที่ #2 : Selected Part 2

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 54


    Selected Part:2
    By:I-See-IIMin




















    “จินกิ!” 








    เสียงแผดดังท่าทางเอาเรื่องของใครบางคน ทำเอาคนที่นั่งเล่นเกมส์อย่างใจจดใจจ่อต้องสะดุ้งเฮือก 
    จอยส์ในมือหลุดร่วงลงไปกองกับพื้น โดยที่เจ้าของไม่คิดจะไปเก็บมัน เพราะสติหลุดไปกับภัยร้ายที่จะมาเยือน 
    ก่อนจะหันไปเห็นต้นเสียงที่ยืนจ้องหน้าเขม็ง



    “ทำอะไรเอาไว้ฮะ” น้องชายตัวเล็กจ้องพี่ชายที่นั่งทำหน้าสำนึกผิดด้วยสายตาอาฆาตแค้น 


    “แหะ แหะ” จินกิส่งยิ้มเจื่อนๆให้น้องชาย รู้ตัวดีหนักหนาว่าไปก่อเรื่องอะไรมา แทมินมองจินกิด้วยความโกรธบนระอา 


    “แทมินอา ก็มินโฮเค้าชอบนายมากเลยนี่นา พี่อยากช่วยมัน ยังไงซะมันก็เป็นเพื่อนที่พี่รักที่สุด นายเองก็รู้จักกับมันมาตั้งนาน 
    ถ้าแฟนนายมันไม่ดี ก็รับเพื่อนพี่คนนี้ไว้พิจารณาหน่อยสิ น้า แทมินอา” 

    น้ำเสียงออนอ้อนราวกับเด็กยิ่งทำให้แทมินรู้สึกหงุดหงิดใจเข้าไปอีก

    “โอ้ย ผมไม่รู้จะทำไงกับพี่ดีนะ นี่พวกพี่เล่นอะไรกันเนี่ย แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่”คนตัวเล็กบ่นอย่างหัวเสีย 
    หันสายตาหนีภาพพี่ชายที่กำลังนั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ 


    “รู้ใช่มั๊ยว่าต้องทำยังไง”


    “รู้ค้าบบบ” จินกิตอบรับเสียงอ่อย รับรู้ในชะตากรรมในสิ่งที่ตัวเองไปก่อไว้


    “อืม ดีละ พนักงานในบริษัทคงดีใจที่ได้เห็นหน้าพี่”








    รู้ใช่มั๊ยว่าจินกิต้องทำยังไง?





    ก็วางเกมส์ซะ








    เลิกอู้ 








    เลิกอ้าง






    ท่านประธานอี จินกิ 






    จะกลับมาอีกครั้ง








    ต้องกลับไปทำงานกับเค้าสักที









    ก็เพราะ













    ท่านรองจะไปเดท !











    รู้อยู่แล้วว่าพี่ชายตัวดี มันเตรียมงานกับเพื่อนรัก มาเรียบร้อยลงตัว ดูทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่อีจินกิต้องการซะเหลือเกิน 
    งานนี้ยอมลงทุนมาทำงานแลกกับการหาแฟนใหม่ให้น้องเลยแน่ะ สงสัยข้อเสนอใหม่จะไม่ธรรมดาจริงๆ




    งั้นขอลืม… เรื่องงอนกับแฟนไปก่อนน่ะ 


    ไอ่แฟนแสนไม่น่ารักคนนั้น อี แทมิน ขออนุญาตลืม…ชั่วคราว


    ก็ข้อเสนอตรงหน้า…มันน่าสนใจชะมัด
























    “แทมินอา แฟนสุดที่รักของพี่ คุยกับพี่ก่อนน้า”

    “พี่เลิกพูดอย่างนี้สักทีได้มั๊ย พี่จงฮยอน ผมเบื่อจะแย่แล้วนะ” มินโฮหันมองคนที่นั่งเบาะข้างๆเขาแวบหนึ่ง 
    มือเรียวคว้าหมับไปที่โทรศัพท์ของแทมิน ก่อนจะกดวางสายพร้อมทั้งปิดเครื่องเสร็จสรรพ แล้วหันไปจดจ่อกับทางตรงหน้าตามเดิม 
    โดยไม่สนใจเสียงดังแว่วของปลายสายที่พยายามพูดสุดฤทธิ์


    “เวลานี้คุณไม่ควรจะสนใจคนอื่น” 
























    “พาผมมาที่นี่ทำไม” แทมินเอ่ยขึ้นหลังจากเครื่องยนต์ถูกดับสนิท ดวงตาหวาน 
    จ้องมองป้ายขนาดใหญ่ที่ผนึกอยู่บนอาคารสีน้ำตาลหลังใหญ่ ออกจะนึกแปลกใจอยู่สักหน่อยกับสถานที่ที่ไม่ค่อยชินตา




    ห้องสมุด






    “นั่งรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ” มินโฮกดไหล่บางของอีกฝ่ายให้นั่งลงกับเก้าอี้ไม้ 
    ในมุมหนึ่งที่ค่อนข้างห่างจากโต๊ะตัวอื่น ของห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เงียบสงัดราวกับไร้สิ่งมีชีวิต 

    ผู้คนมากมายนั่งเปิดหนังสือเงียบๆอยู่ในโลกของตัวเอง มีบางกลุ่มที่พูดคุยปรึกษาหารือกันด้วยเสียงเบาย่อมๆ 
    ราวกับเกรงว่าหากมีเสียงใดหลุดเล็ดรอดออกไปให้ใครคนอื่นได้ยิน เขาคงจะกลายเป็นตัวประหลาดสำหรับสถานที่แห่งนี้


    คนตัวสูงเดินห่างออกไปแล้ว แทมินมองแผ่นหลังของใครคนนั้นหายไปช้าๆ 
    นึกสงสัยกับการกระทำแปลกๆของคนที่ขับรถพาเขามาที่นี่ 
    ผู้ชายที่เปิดประตูมาสมัครงานใน ‘ ตำแหน่งพิเศษ’ ของท่านรองประธานได้อย่างไม่เกรงใจ 
    ซ้ำยังได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสนับสนุนที่น่าหมั่นไส้ที่สุด ‘อีจินกิ’








    ไม่คิดสักนิดว่าพี่ชายจะร่วมมือกับเพื่อนสนิท ทำเรื่องอะไรได้น่าพิลึกพิลั่นขนาดนี้








    แล้วนี่จะมีอะไรมาให้เขาตกใจอีกล่ะ







    ร่างบางยกยิ้มให้กับตัวเองเบาๆ ก่อนจะก้มลงมองหนังสือเล่มบางบนโต๊ะตรงหน้า ตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนปก 
    ทำให้ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันได้คิด





    ‘เวียนนา เมืองในฝัน’





    ไม่นานนักมือเรียวก็อดไม่ได้จะขอเปิดเข้าสัมผัสกับสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน 
    ภาพของตึกที่ถูกออกแบบอย่างวิจิตรงดงาม บรรยากาศอันน่าหลงใหลของเมืองที่เรียกได้ว่า ‘โรแมนติก’ 
    ดึงให้เขาหลงเพลิดเพลินกับมันได้ไม่ยาก







    เวลาผ่านไป ห้องสี่เหลี่ยมยังคงเงียบงันเฉกเช่นเดิม แทมินยังคงหลงเข้าซึบซับกับบรรยากาศ
    ของสถานที่ต่างๆในหนังสือเล่มนั้นราวกับได้สัมผัสกับของจริง อย่างลืมตัว













    แต่แล้ว…




















    “สวัสดีครับ ผม ชเวมินโฮ หมายเลขหนึ่ง คุณแทมินช่วยรับผมไว้พิจารณาด้วยนะครับ”

    คนตัวเล็กหลุดสมาธิกับสิ่งที่สนใจเมื่อครู่อย่างตกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตามเสียงที่โสตประสาทได้ยิน 
    ดวงตาหวานตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า






    ดวงตาโต สายตาคมเข้มราวกับจะดูดทุกสิ่งที่ให้หลอมเป็นหนึ่งเดียว สายตานั้นถูกมองผ่านเลนส์ใสในกรอบสีเข้ม 
    ยิ่งทำให้ใบหน้าคมสันได้รูป น่าหลงใหลเข้าไปอีก ทั้งยังรับกันดีกับจมูกโด่ง 
    รอยยิ้มหยักเล็กน้อย ที่ยกขึ้นเมื่อคนตัวเล็กจ้องมองเขาอย่างตกใจ 

    คนตัวสูงพยายามจะวางหนังสือที่หอบวางซ้อนกันเป็นตั้งๆในอ้อมแขน ให้วางลงบนโต๊ะไม้อย่างเงียบที่สุด 
    แทมินยังคงมองร่างสูงที่ทำตัวเงอะๆงะๆไม่วางตา เสื้อผ้าชุดเดิมที่ได้เห็นในเวลาก่อนหน้านี้ 
    ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อนถูกสวมทับด้วยกั๊กสีน้ำเงินเข้มเข้ากัน 
    รวมทั้งกางเกงสีดำขายาว มันช่างรับกันดีกับแว่นที่เขาสวมใส่













    ‘ ใครมาลืมเด็กแว่นที่ไหนไว้ตรงนี้ ’













    ให้ตายเถอะ พ่อหนอนหนังสือ เนิร์ทชะมัด 


























    คิดเหรอว่า…ผู้ชายใส่แว่น มันจะทำให้เผลอใจ ได้ทุกคน














    ใช่…มันก็คงไม่ทุกคน











    แต่สำหรับ ผู้ชายที่ชื่อชเวมินโฮ












    ให้ตายยังไง ก็หลงว่ะ!












    “เล่นอะไรอีกละ”

    “จุ๊ จุ๊ อย่าเสียงดังไปครับ ที่นี่ห้องสมุด เราต้องเงียบที่สุด ไม่อย่างงั้นมันจะรบกวนคนอื่นเขา”
    คนตัวสูงยกนิ้วเรียวขึ้นจุ๊ปาก ก่อนจะมองไปรอบๆเป็นสัญญาณแสดงให้คนตัวเล็กระมัดระวังกับการใช้เสียงในสถานที่แห่งนี




    “จะไม่อธิบายอะไรหน่อยเหรอครับ”เสียงเล็กดังขึ้นเบาๆ เขาพยายามที่จะใช้เสียงให้น้อยลงจากเมื่อครู่ 
    คนตัวสูงที่เอาแต่นั่งอ่านชื่อหนังสือที่ตนเลือกมาเป็นกอง เพื่อจะเลือกสักเล่มที่จะเริ่มต้นอ่านก่อน 
    แต่ทันทีที่ได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใบหน้าคมเข้มก็เผยอขึ้น ดวงตาคมมองใบหน้าหวานอีกครั้ง

    “ก็บอกไปแล้ว ผมก็คือชเวมินโฮหมายเลขหนึ่ง… ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าหงุดหงิดและไม่เข้าใจ
    กับการตอบคำถามของเขา คนตัวสูงจึงตัดสินใจเอ่ยต่อไปว่า

    “จะอธิบายสั้นๆละกัน นะครับ …ผมก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อมินโฮ ผมชอบอ่านหนังสือมาก 
    เวลาอ่านหนังสือก็ไม่อยากจะสนใจอะไร ที่นี่ก็คงจะเหมาะกับผม มันโอเคมากนะ 
    มีหนังสือทุกอย่างที่อยากจะอ่าน แล้วก็ไม่มีใครกล้ามารบกวน” 

    พูดจบแค่นั้นเขาก็ก้มลงสนใจกับหนังสือที่เลือกได้เมื่อครู่ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพอใจในคำตอบที่ได้รับหรือไม่ 
    คนตัวเล็กมองเขาอยากจะเอาเรื่อง แต่ติดว่าไม่อาจใช้เสียงเกินมาตรฐานได้ในที่แห่งนี้

    “นี่ คิดว่าพูดแค่นั้นแล้วผมจะเข้าใจคุณเหรอ คุณชเวมินโฮหมายเลขหนึ่งงง”
    น้ำเสียงท่อนสุดท้ายจงใจบีบเสียงเน้นย้ำเพื่อแขวะอีกฝ่ายที่ทำให้เขารู้สึกหัวเสีย

    “นั่นไง คุณก็เข้าใจแล้วว่าผมคือชเวมินโฮหมายเลขหนึ่ง”เขาตอบเสียงเรียบ อย่างไม่รู้สึกรู้สา 
    ยิ่งทำให้แทมินประสาทเสียหนักเข้าไปใหญ่


    “คุณจะไม่บอกอะไรผมมากกว่านี้ใช่มั๊ย?”แทมินต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการขมกลั้นอารมณ์ 
    พยายามจะเอ่ยถามคนตัวสูงต่อไปไม่ลดละ



    “ผมบอกแล้วใช่มั๊ยว่าเวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร” 


    ให้ตายเถอะ แทมินอยากจะขย้ำผู้ชายตรงหน้าจะเต็มอด 
    แต่ทำได้แค่เพียงถลึงตาใส่โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้เงยหน้าขึ้นมารับรู้ 
    ร่างบางจึงทำได้แค่เพียง ก้มลงสนใจกับหนังสือเปิดดูค้างไว้เมื่อครู่ต่ออย่างยั้งอารมณ์










    ให้ตายเถอะ!! …บอกทีว่านี่คือการเดทของผู้ชายที่ชื่อ มินโฮ














    เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ดวงตาคมภายในกรอบแว่นสีเข้ม ก็ละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้า
    มองภาพอีกฝ่ายที่กำลังนั่งดูรูปพร้อมกับอ่านตัวหนังสือประกอบใต้ภาพอย่างเพลินเพลิด





    “แล้วคุณล่ะ ชอบอ่านหนังสือหรือเปล่า” คนที่กำลังสนในทัศนียภาพของภาพที่ถูกพิมพ์ลงบนหนังสือเล่มหนา 
    ยังคงสนใจมันอย่างไม่ละสายตา ทำราวกับว่าไม่ยินคำถามของอีกฝ่าย


    “นี่ ตอบผมหน่อยสิ” คนตั้งคำถามยังคงพยายามที่จะให้อีกฝ่ายหันมาสนใจเขาให้ได้ แทมินนึกกริ่มในใจ


    ‘เวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร’ 



    ก็ใครล่ะมันพูดไว้










    เวลาผ่านไป คนตัวสูงยังคงมองภาพของอีกคนที่ไม่ได้จะสนใจเขาแม้แต่น้อย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นอีกว่า

    “แทมินครับ คุยกับผมแปบนึงนะครับ” มือเรียวยื่นเข้ามาปิดหนังสือที่วางอยู่ต่อหน้าคนตัวเล็ก 
    ทำให้อีกฝ่ายต้องหลับตาข่มกลั่นความรู้สึกหงุดหงิด ก่อนจะตอบไปอย่างตัดรำคาญว่า

    “ก็ชอบอ่านบ้าง”

    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มที่จะตอบคำถามเขา คนตัวสูงก็ทำท่าจะเอ่ยถามต่อ แต่แทมินก็รีบชิงพูดตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถามอะไร

    “สมัยเรียนต้องอ่านโดยเฉพาะภาษา เพราะต้องไปเรียนอยู่ต่างประเทศคนเดียว …มันจำเป็นก็เลยต้องอ่าน 
    พอแล้วนะคุณไม่ต้องถามอะไร เวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร คุณคงเข้าใจนะ” 

    คำตอบที่ได้รับทำเอามินโฮสะอึก ขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ ไม่น่าไปพูดดักตัวเองเอาไว้ แต่ทำไงได้ เขาก็แค่พูดตามความเป็นจริง

    “คุณอ่านที่ไหนล่ะ ผมเห็นคุณดูแต่รูป” ดวงหน้าหวานเงยขึ้น 
    ส่งสายตาไม่พอใจให้คนตัวสูงแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือตามเดิม 
    เพราะไม่อยากจะเสียเวลาถกเถียงกับคนตรงหน้าให้รำคาญใจ












    เมื่อภาพสุดท้ายของหนังสือเล่มหนาจบลง แทมินยกแขนซ้ายขึ้นก่อนจะมองดูนาฬิกาบนข้อมือ 
    นี่เขาเพลิดเพลินกับการดูรูปเมืองในฝันนั่นนานถึงสองชั่วโมงเชียวหรือ แทมินปิดหนังสือเล่มนั้น 
    พลางจะขยับตัวให้หายเมื่อย แต่เสียงจากอีกฝ่ายก็ดังขึ้น



    “คุณช่วยไปหยิบหนังสือให้ผมหน่อย” 

    เสียงเรียบดังขึ้นทั้งที่เจ้าตัวยังคงก้มหน้าก้มตาสนใจตัวหนังสือตรงหน้า แทมินมองอีกฝ่ายค้อน



    “ทำไมไม่ไปหยิบเอง” 

    “คุณไม่เห็นเหรอว่าผมอ่านหนังสืออยู่ คุณอ่านจบแล้วก็ช่วยเป็นธุระให้ผมหน่อย” 
    แน่ะ ทั้งที่ตั้งใจอ่านหนังสือขนาดนั้นยังรู้อีกว่าแทมินดูภาพในหนังสือจบหมดแล้ว
    เมื่อไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายตอบว่าอะไร มินโฮจึงเงยหน้าขึ้นก่อนจะชี้นิ้วเรียวไปยังชั้นหนังสือมุมหนึ่งที่เขียนไว้ว่า 






    ‘ท่องเที่ยว’






    “อยู่ตรงชั้นนั้นน่ะ เป็นหนังสือหน้าปกเดียวกันกับที่คุณอ่านนั่นแหละ มันเขียนว่า ‘เวียนนา เมืองในฝัน สอง’” 
    พุดจบก็ทำท่าหันไปสนใจกับหนังสือตามเดิม แทมินมองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถลึงตาใส่อย่างหมั่นไส้ 
    แต่สุดท้ายก็ยอมลุกไปแต่โดยดี










    ดวงตาหวานกวาดสายตามองหาหนังสือตามลักษณะที่มินโฮบอกมา นิ้วเรียวไล่ตามสันหนังสือที่เรียงกันอยู่ 
    ก่อนจะมาหยุดที่หนังสือเล่มหนึ่งที่ตัวหนังสือสลักที่สันอย่างหนาว่า ‘เวียนนา เมืองในฝัน 2’ 



    ก่อนจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปให้อีกคนที่นั่งสั่งเป็นคุณชาย แทมินก็อดไม่ได้อีกครั้งที่จะเปิดดูภาพข้างใน 
    เพราะอยู่ดีๆก็มีหนังสือ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศในฝันของตนมาวางอยู่บนโต๊ะ
    แถมยังมีคนบางคนเปิดโอกาสให้มาหยิบอีกเล่มอีกแน่ะ จะไม่ให้แทมินขอแอบดูก่อนสักนิดได้ยังไง 
    แทมินค่อยๆเปิดไล่ไปทีละหน้าตามใจอยาก ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างมีความสุข 

    ก่อนจะสะดุดกับหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งที่ได้ซุกซ่อนกระดาษสีขาว อีกใบที่ถูกพับครึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น




    แทมินค่อยๆคลี่กระดาษสีขาวแผ่นนั้นออกมาอย่างช้าๆ ปรากฏภาพของลายมือที่ถูกเขียนไว้อย่างบรรจง




    ริมฝีปากบางต้องยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าระเรื่อสีขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นิ้วเรียวพับเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อ 
    ก่อนจะเดินถือหนังสือเล่มหนาไปวางไว้บนโต๊ะ จนคนที่นั่งอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากการอ่านหนังสือ 














    “ผมไม่ใช้แล้วล่ะ คุณเอาไปเก็บเถอะ” เขาบอกพลางยกมือขึ้นปัดๆ 
    แทมินอยากจะขย้ำผู้ชายตรงหน้านี้อีกซะสุดจะกลั้นอารมณ์ เป็นอีกครั้งที่เขาต้องถลึงตาใส่คนน่าหมั่นไส้ อย่างน่าโมโห 












    ‘มันสมควรที่อีแทมินจะรับ คุณชเวมินโฮ หมายเลขหนึ่งไว้พิจารณาไม๊ล่ะ ฮึ!’





    ร่างบางเดินถือหนังสือเล่มนั้นไปเก็บอย่างหงุดหงิด ดวงตาคมของใครอีกคนจ้องมองภาพนั้นยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดีคนเดียวเงียบๆ






































    ดวงตะวันยามเช้ายังโผล่พ้นจากขอบฟ้าได้ไม่เท่าไรนัก ท้องฟ้าภายนอกยังมีสีเข้มที่แกมด้วยสีส้มอ่อนๆอย่างสวยงาม 
    ร่างบางยังคงตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างแสนสบาย 





    Rttttt








    เสียงดังของโทรศัพท์ปลุกให้ร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอนสีขาว ตื่นขึ้นอย่างหงุดหงิด 
    ทั้งที่จำได้ว่าวันนี้คงไม่ต้องรีบตื่นไปทำงานแต่เช้า เพราะมีพี่ชายคนดีเข้าบริษัทแทนมาเป็นวันที่สองแล้ว 

    แต่พอได้ยินเสียงอันน่าหนวกหูของโทรศัพท์ที่ดังขึ้นรบกวนโสตประสาท ก็เลยทำพลอยทำให้หัวเสียเข้าไปอีก 
    เพราะนึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาไม่ต้องเข้าบริษัท




    [ตื่นได้แล้วครับ วันนี้คุณมีนัดกับผมนะ] เสียงนุ่มดังขึ้นทันทีที่นิ้วเรียวกดรับสาย

    [เฮ้ ! ฮัลโหล คุณได้ยินผมมั๊ย ทำไมมันเงียบงี้ล่ะ] ปลายสายเอ็ดขึ้นตกใจ 
    เพราะไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากแทมินที่ยังคงงัวเงียไม่สร่างนอน ร่างบางยังคงหลับตาทั้งๆที่ในมือถือโทรศัพท์มือถือแนบหู 

    [แทมิน แทมินคุณฟังอยู่รึเปล่า คุณตื่นรึยังเนี่ย เฮ้ ] แทมินได้ยินเสียงจากปลายสายแว่วๆ 
    แต่ก็พอจะจับใจความได้ ด้วยคงยังอยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ร่างเล็กยังคงสนทนาอย่างงงๆ

    “ตื่นแล้วน่า คุณอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”แทมินกรอกเสียงลงโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ หากให้เลือกได้ 
    ตอนนี้เขาอยากจะเอนกายลงไปบนเตียงนอนนุ่มๆแล้วหลับฝันให้สบายต่อมากกว่า

    [ผมอยู่หน้าบ้านคุณแล้ว รีบอาบน้ำแต่งตัวซะนะ ผมให้เด็กรับใช้ของคุณเตรียมชุดไว้ให้แล้ว รีบลงมาล่ะ ผมจะรอ] 
    ว่าแล้วปลายสายก็วางสายไป มือเรียวของแทมินปล่อยโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจ โชคดีที่มันตกลงบนเตียงนอนนุ่ม 



    ร่างบางทำท่าว่าจะเคลิ้มหลับอีกหน แผ่นหลังเล็กค่อยๆเอนลงบนเตียงนอนสีขาวนั้น เขากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง


















    “จ๊ะเอ๋!!” 


    เสียงดังลั่นของใครบางคนที่เปิดประตูห้องนอนของแทมินเข้ามาอย่างไม่ได้ขออนุญาต 
    ทำเอาคนที่กำลังจะหลับต้องสะดุ้งตื่นอย่างตกใจ เปลือกตาบางลืมขึ้นอย่างตระหนก ใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆเตียงนอนของเขา 
    ร่างเล็กค่อยๆเรียกสติให้ชัดเจนและพิจารณาร่างนั้นอย่างถ้วนถี่

    “มินโฮ…” แทมินเอ่ยขึ้นอย่างๆงง เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกทำหน้ายิ้มแย้มอย่างกวนอารมณ์ 

    “ครับ… ผม ชเวมินโฮ ครับผม” คนตัวสูงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี แต่ต้องปรับไปเป็นสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตางงๆอีกหน

    “คุณลุกไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ” เขาเอ่ยอย่างออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเครียด แทมินยังคงมองอย่างงงๆ

    “ไหนคุณบอกว่า คุณอยู่หน้าบ้านไง แล้วเข้ามาในห้องผมได้ยังไง”
    แม้สติจะกลับมาเกือบเต็มร้อยแล้วเพราะเสียงดังลั่นของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ แต่น้ำเสียงของแทมินที่เอ่ยถามยังคงงัวเงีย

    “ขืนผมรอคุณอยู่หน้าบ้านจริงๆ ผมก็รอเก้อสิ คุณน่ะตื่นง่ายกับคนอื่นเค้าซะที่ไหนล่ะ 
    ผมก็ต้องแกล้งหลอกคุณอย่างนี้แหละ โผล่มาให้คุณตกใจเล่น สนุกดี” 
    คนตัวสูงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีก่อนจะออกแรงดึงแขนอีกคนให้ลุกขึ้นจากเตียง
    แต่คนตัวเล็กยังคงแข็งขืนอยากจะนอนต่อ มินโฮจึงแสร้งทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยว่า

    “คุณจะอาบเองหรืออยากมีคนช่วย” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาหวานของแทมินเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ 

    “ม..ไม่ อาบเอง ค ใครอยากให้คุณอาบให้กัน” เสียงเอ่ยอย่างติดๆขัดๆ 
    แขนทั้งสองประสานทับที่ร่างกายเสมือนไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่อย่างนั้น
    ดวงตาหวานมองหน้าอีกฝ่ายอย่างระแวง มินโฮได้แต่หัวเราะน้อยๆให้กับอาการนั้น

    “นี่ สำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่า ใครจะอยากอาบน้ำให้คุณ 
    ผมจะเรียกไอ่จินกิมาอาบให้ต่างหากเล่า โถ่ นึกว่าผมพิศวาสคุณนักเหรอ” มินโอทำเป็นพยักเพยิดหน้าอย่างหยิ่งๆ


    “นี่!..อย่ามาทำหน้าแบบนั้นนะ ผ..ผม ก็ ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย” ร่างเล็กพูดก่อนจะวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำไป










    “เฮ้ยย!! นี่คุณเอาชุดอะไรมาให้ผมใส่” เสียงโวยวายดังขึ้นจากคนที่อยู่ในห้องน้ำ 
    ที่ต้องตกใจกับเสื้อผ้าที่คนตัวสูงบอกว่าให้เด็กรับใช้เตรียมไว้ให้

    “ก็ชุดของคุณไงครับ คุณรีบใส่ๆแล้วออกมาเร็วๆเถอะน่า เอาล่ะผมให้เวลาคุณอีกแค่ห้านาที 
    ผมจะลงไปรอคุณหน้าบ้าน ถ้าภายในห้านาทีคุณยังแต่งตัวไม่เสร็จ 
    คราวนี้แหละ ผมจะขึ้นมาช่วยคุณแต่งตัวเอง อ้อ แต่เปล่าพิศวาสหรอกนะ อย่าหลงตัวเองล่ะ” 

    คนตัวสูงเอ่ยตอบให้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง อีกฝ่ายได้แต่นึกหมั่นไส้อยู่ในห้องน้ำคนเดียว 

    แทมินมองชุดในมืออย่างปลงๆก่อนจะยอมใส่แต่โดยดี ความจริงชุดที่ว่าก็ไม่ได้แปลกประหลาดหรือน่าเกลียดอะไร 
    แต่แค่ตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่ายังไงเสื้อผ้าชุดนี้อยู่ ตัวเองก็แทบลืมไปแล้วว่าเคยมีเสื้อผ้าชุดนี้ ก็ไม่ได้ใส่มาตั้งหลายปีแน่ะ 












    ร่างเล็กพลางมองชุดที่ตัวเองสวมใส่ ในขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนนที่ทอดยาวไปถึงหน้าประตูบ้าน 
    มันถูกรายล้อมไปด้วยไม้ดัดที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยงามเต็มคฤหาสน์ของเขา 



    “คุณทำท่าอะไรของคุณตลกชะมัด” แทมินเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน 
    มองอีกฝ่ายที่ยืนกระโดดกระเต้นทำท่าทำท่างแปลกๆ

    “คุณมาช้าไปสองนาที แต่ผมหยวนให้” เขาเอ่ยทั้งๆที่ยังคงทำท่าทางแปลกประหลาดนั้น 

    “นี่ยืนมองอะไรเล่า มาวอร์มอัพด้วยกันสิ” มินโอบอกพลางส่งสายตาเรียกอีกฝ่ายให้เข้ามา 
    แทมินมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ก็เลยพอจะ ออ เออ เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง

    ร่างสูงในชุดกางเกงวอร์มสีดำกับเสื้อแจ็คเจ็ตอะดิดาสสีน้ำเงิน รองเท้าผ้าใบสีขาวแซมด้วยสีฟ้าอ่อนๆ 
    คล้ายๆกับแทมินที่อยู่ในชุดกางเกงวอร์มสีดำ เสื้อยืดแขนสั้นออกกำลังกายสีเขียว กับรองเท้าผ้าใบสีขาว 



    “แนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมชเวมินโฮหมายเลขสอง ผมเป็นนักกีฬา เล่นกีฬ่าแทบทุกประเภท 
    ผมจะชวนคุณออกกำลังกายให้แข็งแรง แล้วคุณจะประทับใจในเดทของผม” คนตัวสูงพูดพลางยิ้มมุ่งมั่นอย่างมีเป้าหมาย






    แทมินเริ่มรู้สึกได้ถึงภัยที่กำลังจะมาเยือน


































    “นี่เร็วๆเข้าสิ …วิ่งเร็วเข้า เอ้า แข็งแรงกันหน่อย วู๊วว ” 


    มินโฮร้องขึ้นอย่างเรียกพลัง 
    คนตัวสูงวิ่งอย่างมีความสุขสดใสกระปรี้กระเปร่า ในขณะที่อีกฝ่ายที่วิ่งตามมาอยู่ไม่ไกล ทำท่าคล้ายจะเป็นลม

    “นี่คุณ… ไปกินกระทิงมารึไง วิ่ง…ร เร็วชะมัด รอผม ด…ด้วยสิ” 
    คนตัวเล็กพูดพลางกระหืดหระหอบอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามจะเร่งฝีเท้าให้ทันอีกฝ่าย 















    สุดท้ายร่างเล็กก็ต้องมานั่งหอบแฮ่กๆ อยู่ข้างสนามบาสในบ้าน เรียกเอาออกซิเจนเข้าปอดให้เต็มที่ 
    ให้สาสมกับที่คนตัวสูงมาปลุกเค้าแต่เช้าแล้วพาไปวิ่งรอบหมู่บ้านเสียหลายรอบ 
    ทั้งๆที่แทมินเองยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการออกกำลังกายมาซะหลายปี ร่างกายเล็กๆเลยค่อนข้างจะปรับตัวไม่ทัน 
    ต่างจากอีกฝ่ายที่ยังคงบ้าพลังมีแรงเหลือ พอจะไปเล่นกับเจ้าลูกบาสสีส้มอยู่คนเดียวอย่างเมามันส์ 






    จุดนี้…แทมินยอมรับ






    ชเวมินโฮหมายเลขสองน่ะ เล่นกีฬาเก่ง หาตัวจับได้ยาก แข็งแรง มาดแมน สมกับเป็นผู้ชายที่สาวๆพึงจะใฝ่ฝัน















    แต่









    เค้าเนี่ยสิจะตายเพราะความบ้าพลังของไอ่ผู้ชายนักกีฬาคนนี้ 













    คิดว่าคนอื่นเค้าจะถึกเหมือนตัวเองรึไงฮึ!















    นี่ใช่ไม๊เดทของชเวมินโฮหมายเลขสอง























    น่าประทับใจตายละ!!










    แทมินมองค้อนอีกฝ่ายที่กำลังเล่นบาสอย่างเคร่งเครียดคนเดียว เห็นสีหน้าจริงจังแล้วนึกหมั่นไส้ 
    ก่อนจะหันไปหยิบน้ำที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาดื่ม แต่เมื่อมือเรียววางขวดน้ำลง ดวงตาหวานก็ไม่เห็นใครอีกคนอยู่ตรงนั้นแล้ว





    ตุ่บ!


    เสียงเบาๆซึ่งหากไม่อยู่ใกล้มากๆก็คงจะไม่ได้ยิน ลูกบาสสีล้มที่กลิ้งมาแต่ไกล กระทบกับเจ้าเก้าอี้หินอ่อน
    ที่เขานั่งอยู่ แทมินก้มลงเก็บมัน ในใจคิดว่าจะเป็นของอีกคนที่คงแอบหนีไปเล่นที่ไหนเมื่อกี๊นี้


    มือเรียวคว้าลูกบาสขึ้นไว้ในมือ สายกำลังจะสอดส่องหาเจ้าของมัน 
    แต่ดวงตาหวานก็พลันไปเห็นตัวอักษรที่ถูกเขียนไว้บนลูกบาสนั้น



    เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกพอใจ ริมฝีปากยกยิ้มให้กับเจ้าลูกบาสในมือน้อยๆ 
    ก่อนจะต้องหุบลงเพราะตกใจกับเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทางด้านหน้าไม่ไกลจากเขานัก




    “ส่งลูกบาสมาให้ผมด้วยครับ” คนตัวเล็กมองมินโฮอย่างเก้อๆ 
    ก่อนจะโยนเจ้าลูกบาสไปโดยไม่ทันได้มองว่ามันลอยไปไกลถึงคนอีกฝั่งของสนามหรือไม่ ร่างบางก็เดินหนีเข้าบ้านไปก่อนแล้ว

























    ตุ่บ!

    กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ทำท่าว่าหนักเอาการถูกวางลง อย่างไม่ค่อยจะปรานีจากเจ้าของมัน 
    ใบหน้าหวานของแทมินเงยหน้าขึ้นละสายตาจากตัวหนังสือในมือ อีจินกิในชุดกางเกงขาสั้นเท่าเข่า 
    เสื้อกล้ามสีขาวถูกสวมทับด้วยเสื้อเชิร์ตแขนสั้นสีส้มอ่อน กลุ่มผมสีดำถูกปิดด้วยหมวกสานใบขนาดพอดี 



    “ท๊าดาาา! ...เป็นไง ชุดพี่สวยอ่ะเปล่า เห็นชุดพี่แล้ว นายอยากจะไปเดินแถวๆชายหาดบ้างใช่ไม๊ล่า” 
    จินกิพูดพร้อมกับพายลำแขนออกเผยให้เห็นชุดที่แสนภูมิใจให้เต็มตา พลางพยักพเยิดหน้าอย่างเต็มภูมิ





    “นี่พี่จะไปไหน?”





    “ไปเที่ยว” 




    “ไปเที่ยว เที่ยวไหน?”





    “ประเทศไทย” 





    “ห๊าาา ! ไปเมืองไทย ไปตอนนี้เนี่ยนะ แล้วไปกับใคร?” 




    “คุณจินกิค่ะ เสื้อผ้าและของใช้ของคุณแทมิน เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ให้ยกขึ้นรถเลยไม๊คะ” 
    จินกิพยักหน้ารับเด็กรับใช้คนหนึ่งที่วิ่งลงมาจากห้องแทมิน โดยที่เจ้าของห้องเองก็ไม่รู้เรื่องสักนิด




    “หมายความว่าไง?” 



    “ก็หมายความว่า นายจะไปเที่ยวกับพี่น่ะสิ เอาล่ะนายเลิกอ่านหนังสือได้แล้ว ไปขึ้นรถ อย่างอื่นพี่จัดการให้แล้ว”



    “เอ้า…เร็วเข้าสิ จะมางงอะไร เดี๋ยวก็ตกเครื่องกันพอดี” จินกิดึงแขนน้องชายของเขาให้ลุกขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่ 
    รถยนต์ที่จะไปส่งที่สนามบินสตาร์ทเครื่องรอสองพี่น้องอยู่แล้ว แทมินได้แต่มึนงงกับการกระทำของพี่ชาย 
    ที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่คิดจะให้เค้าเตรียมตัวเตรียมใจก่อนสักนิด

























    ท่ามกลางความวุ่นวายของสนามบินสุวรรณภูมิ สองพี่น้องจัดการพาตัวเองออกจากเกทอย่างปกติ 
    เพียงแต่แทมินยังคงงงๆกับการได้มาเยือนต่างแดนแบบกระทันหัน 
    ในขณะที่พี่ชายของเขายังคงยิ้มแย้มอย่างกระชุ่มกระชวยกับการมาเที่ยวในครั้งนี้






    ชอบนักล่ะ…อะไรที่ไม่ต้องทำงานน่ะ








    จินกิสอดส่องสายตามองหาใครบางคน แต่มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับสนามบินที่มีคนพลุกพล่าน 
    นิ้วเรียวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขที่แสนจะคุ้นเคย





    “ฮัลโหลที่รัก คุณอยู่ไหน” จินกิกรอกเสียงหวานเมื่ออีกทางเอ่ยรับสาย แทมินเหลือบมองพี่ชายอย่างแปลกใจ 
    ท่าทางเค้าคงจะได้เพื่อนร่วมทริปเพิ่มแน่ๆ




    [จินกิ ฉันอยู่นี่…หันไปทางนั้นทำไมเล่า ทางนี้ ข้างหลังคุณนี่] 
    จากที่มองซ้ายมองขวาแล้วไม่พบอีกคนที่อยากเจอ ก็ต้องหันควับไปด้านหลังของตน 
    ก่อนฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีสุดๆ

    “คิบอมมมมอา”จินกิตะโกนลั่นพลางวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างร่าเริง แทมินมองตามการเคลื่อนไหวของพี่ชาย 
    แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่ได้เห็น มีใครอีกคนยืนยิ้มแฉ่งให้เขาอยู่ข้างคิบอม… พี่ชายทำพิษอีกแล้ว


    จินกิวิ่งเข้าไปโอบกอดคิบอมราวกับพระเอกนางเอกในนิยาย ที่วิ่งเข้ามาโอบกอดกันปานจะกลืนกิน 
    พอดีกันกับ ที่อีกคนที่ยืนข้างคิบอมเมื่อสักครู่เข้าวิ่งเข้ามาทำท่าจะกอดแทมินเช่นกัน 
    แต่โชคร้ายที่แทมินเบี่ยงตัวหลบ อีกฝ่ายก็เลยได้แต่ล้มคะมำไปบนพื้นอย่างเต็มแรง 


    “โอยยย…เจ็บจัง ที่รักทำกับผมอย่างนี้ได้ไง” เขาร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด 
    ค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล 
    ท่าทางอีกสามคนจะไม่มีใครคิดช่วยเขาสักนิด แทมินมองอย่างไม่ค่อยจะแยแส แต่ในใจก็แอบนึกขันนิดๆ


    “นี่ จินกิ อย่าเว่อได้ไม๊ ทำอย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นชาติงั้นแหละ นี่เราเพิ่งจากกันตอนขึ้นเครื่องที่อินชอนนะ… 
    พี่จงฮยอนอย่าสำออยลุกขึ้นมาเร็วๆ ที่นี่ไทยนะอย่าทำตัวเหมือนอยู่บ้าน ผมอายเค้า” 

    คิบอมบอกแบบเอือมระอาในท่าทางของจินกิ 
    ก่อนจะหันไปกรอกเสียงพี่ชายของตนที่กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงจะลุก 
    รู้ๆกันอยู่ว่าเสแสร้ง สงสัยอยากจะทำสำออยให้แทมินเห็นใจ

    “แหมที่รักก็ผมคิดถึงคุณนี่ครับ จากอินชอนมาถึงสุวรรณภูมิมันก็ไกลอยู่น้า” จินกิยังคงออดอ้อนคนรักของตน 
    โดยไม่สนเหล่าสายตาของผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น


    “ดะ..ดะเดี๋ยวนะครับ นี่พี่หมายความว่าไง ผมงงไปหมดแล้ว” 

    “แทมิน เอาไว้พี่จะเล่าให้ฟังบนรถนะ ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไปถึงกระบี่ช้า” 
    คิบอมว่าพลางลากกระเป๋าของตนนำไปก่อน โดยมีจินกิตามต่อไป แทมินมองจงฮยอนที่ทำหน้าทำตาขอความเห็นใจ 
    พลางเอามือลูบตูดตัวเองป้อยๆ ก่อนแทมินจะลากกระเป๋าของตัวเองตามพี่ทั้งสองไป 
    จงฮยอนก็ได้แต่ทำท่ากระเง้ากระงอนอย่างน้อยใจ ก่อนจะลากกระเป๋าตัวเองออกตามไปเป็นคนสุดท้าย












    TBC




    อยากอ่านคอมเม้น TT

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×