ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Selected Part 2
Selected Part:2
By:I-See-IIMin
“จินกิ!”
เสียงแผดดังท่าทางเอาเรื่องของใครบางคน ทำเอาคนที่นั่งเล่นเกมส์อย่างใจจดใจจ่อต้องสะดุ้งเฮือก
จอยส์ในมือหลุดร่วงลงไปกองกับพื้น โดยที่เจ้าของไม่คิดจะไปเก็บมัน เพราะสติหลุดไปกับภัยร้ายที่จะมาเยือน
ก่อนจะหันไปเห็นต้นเสียงที่ยืนจ้องหน้าเขม็ง
“ทำอะไรเอาไว้ฮะ” น้องชายตัวเล็กจ้องพี่ชายที่นั่งทำหน้าสำนึกผิดด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“แหะ แหะ” จินกิส่งยิ้มเจื่อนๆให้น้องชาย รู้ตัวดีหนักหนาว่าไปก่อเรื่องอะไรมา แทมินมองจินกิด้วยความโกรธบนระอา
“แทมินอา ก็มินโฮเค้าชอบนายมากเลยนี่นา พี่อยากช่วยมัน ยังไงซะมันก็เป็นเพื่อนที่พี่รักที่สุด นายเองก็รู้จักกับมันมาตั้งนาน
ถ้าแฟนนายมันไม่ดี ก็รับเพื่อนพี่คนนี้ไว้พิจารณาหน่อยสิ น้า แทมินอา”
น้ำเสียงออนอ้อนราวกับเด็กยิ่งทำให้แทมินรู้สึกหงุดหงิดใจเข้าไปอีก
“โอ้ย ผมไม่รู้จะทำไงกับพี่ดีนะ นี่พวกพี่เล่นอะไรกันเนี่ย แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่”คนตัวเล็กบ่นอย่างหัวเสีย
หันสายตาหนีภาพพี่ชายที่กำลังนั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“รู้ใช่มั๊ยว่าต้องทำยังไง”
“รู้ค้าบบบ” จินกิตอบรับเสียงอ่อย รับรู้ในชะตากรรมในสิ่งที่ตัวเองไปก่อไว้
“อืม ดีละ พนักงานในบริษัทคงดีใจที่ได้เห็นหน้าพี่”
รู้ใช่มั๊ยว่าจินกิต้องทำยังไง?
ก็วางเกมส์ซะ
เลิกอู้
เลิกอ้าง
ท่านประธานอี จินกิ
จะกลับมาอีกครั้ง
ต้องกลับไปทำงานกับเค้าสักที
ก็เพราะ
ท่านรองจะไปเดท !
รู้อยู่แล้วว่าพี่ชายตัวดี มันเตรียมงานกับเพื่อนรัก มาเรียบร้อยลงตัว ดูทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่อีจินกิต้องการซะเหลือเกิน
งานนี้ยอมลงทุนมาทำงานแลกกับการหาแฟนใหม่ให้น้องเลยแน่ะ สงสัยข้อเสนอใหม่จะไม่ธรรมดาจริงๆ
งั้นขอลืม… เรื่องงอนกับแฟนไปก่อนน่ะ
ไอ่แฟนแสนไม่น่ารักคนนั้น อี แทมิน ขออนุญาตลืม…ชั่วคราว
ก็ข้อเสนอตรงหน้า…มันน่าสนใจชะมัด
“แทมินอา แฟนสุดที่รักของพี่ คุยกับพี่ก่อนน้า”
“พี่เลิกพูดอย่างนี้สักทีได้มั๊ย พี่จงฮยอน ผมเบื่อจะแย่แล้วนะ” มินโฮหันมองคนที่นั่งเบาะข้างๆเขาแวบหนึ่ง
มือเรียวคว้าหมับไปที่โทรศัพท์ของแทมิน ก่อนจะกดวางสายพร้อมทั้งปิดเครื่องเสร็จสรรพ แล้วหันไปจดจ่อกับทางตรงหน้าตามเดิม
โดยไม่สนใจเสียงดังแว่วของปลายสายที่พยายามพูดสุดฤทธิ์
“เวลานี้คุณไม่ควรจะสนใจคนอื่น”
“พาผมมาที่นี่ทำไม” แทมินเอ่ยขึ้นหลังจากเครื่องยนต์ถูกดับสนิท ดวงตาหวาน
จ้องมองป้ายขนาดใหญ่ที่ผนึกอยู่บนอาคารสีน้ำตาลหลังใหญ่ ออกจะนึกแปลกใจอยู่สักหน่อยกับสถานที่ที่ไม่ค่อยชินตา
ห้องสมุด
“นั่งรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ” มินโฮกดไหล่บางของอีกฝ่ายให้นั่งลงกับเก้าอี้ไม้
ในมุมหนึ่งที่ค่อนข้างห่างจากโต๊ะตัวอื่น ของห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เงียบสงัดราวกับไร้สิ่งมีชีวิต
ผู้คนมากมายนั่งเปิดหนังสือเงียบๆอยู่ในโลกของตัวเอง มีบางกลุ่มที่พูดคุยปรึกษาหารือกันด้วยเสียงเบาย่อมๆ
ราวกับเกรงว่าหากมีเสียงใดหลุดเล็ดรอดออกไปให้ใครคนอื่นได้ยิน เขาคงจะกลายเป็นตัวประหลาดสำหรับสถานที่แห่งนี้
คนตัวสูงเดินห่างออกไปแล้ว แทมินมองแผ่นหลังของใครคนนั้นหายไปช้าๆ
นึกสงสัยกับการกระทำแปลกๆของคนที่ขับรถพาเขามาที่นี่
ผู้ชายที่เปิดประตูมาสมัครงานใน ‘ ตำแหน่งพิเศษ’ ของท่านรองประธานได้อย่างไม่เกรงใจ
ซ้ำยังได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสนับสนุนที่น่าหมั่นไส้ที่สุด ‘อีจินกิ’
ไม่คิดสักนิดว่าพี่ชายจะร่วมมือกับเพื่อนสนิท ทำเรื่องอะไรได้น่าพิลึกพิลั่นขนาดนี้
แล้วนี่จะมีอะไรมาให้เขาตกใจอีกล่ะ
ร่างบางยกยิ้มให้กับตัวเองเบาๆ ก่อนจะก้มลงมองหนังสือเล่มบางบนโต๊ะตรงหน้า ตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนปก
ทำให้ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันได้คิด
‘เวียนนา เมืองในฝัน’
ไม่นานนักมือเรียวก็อดไม่ได้จะขอเปิดเข้าสัมผัสกับสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
ภาพของตึกที่ถูกออกแบบอย่างวิจิตรงดงาม บรรยากาศอันน่าหลงใหลของเมืองที่เรียกได้ว่า ‘โรแมนติก’
ดึงให้เขาหลงเพลิดเพลินกับมันได้ไม่ยาก
เวลาผ่านไป ห้องสี่เหลี่ยมยังคงเงียบงันเฉกเช่นเดิม แทมินยังคงหลงเข้าซึบซับกับบรรยากาศ
ของสถานที่ต่างๆในหนังสือเล่มนั้นราวกับได้สัมผัสกับของจริง อย่างลืมตัว
แต่แล้ว…
“สวัสดีครับ ผม ชเวมินโฮ หมายเลขหนึ่ง คุณแทมินช่วยรับผมไว้พิจารณาด้วยนะครับ”
คนตัวเล็กหลุดสมาธิกับสิ่งที่สนใจเมื่อครู่อย่างตกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตามเสียงที่โสตประสาทได้ยิน
ดวงตาหวานตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
ดวงตาโต สายตาคมเข้มราวกับจะดูดทุกสิ่งที่ให้หลอมเป็นหนึ่งเดียว สายตานั้นถูกมองผ่านเลนส์ใสในกรอบสีเข้ม
ยิ่งทำให้ใบหน้าคมสันได้รูป น่าหลงใหลเข้าไปอีก ทั้งยังรับกันดีกับจมูกโด่ง
รอยยิ้มหยักเล็กน้อย ที่ยกขึ้นเมื่อคนตัวเล็กจ้องมองเขาอย่างตกใจ
คนตัวสูงพยายามจะวางหนังสือที่หอบวางซ้อนกันเป็นตั้งๆในอ้อมแขน ให้วางลงบนโต๊ะไม้อย่างเงียบที่สุด
แทมินยังคงมองร่างสูงที่ทำตัวเงอะๆงะๆไม่วางตา เสื้อผ้าชุดเดิมที่ได้เห็นในเวลาก่อนหน้านี้
ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อนถูกสวมทับด้วยกั๊กสีน้ำเงินเข้มเข้ากัน
รวมทั้งกางเกงสีดำขายาว มันช่างรับกันดีกับแว่นที่เขาสวมใส่
‘ ใครมาลืมเด็กแว่นที่ไหนไว้ตรงนี้ ’
ให้ตายเถอะ พ่อหนอนหนังสือ เนิร์ทชะมัด
คิดเหรอว่า…ผู้ชายใส่แว่น มันจะทำให้เผลอใจ ได้ทุกคน
ใช่…มันก็คงไม่ทุกคน
แต่สำหรับ ผู้ชายที่ชื่อชเวมินโฮ
ให้ตายยังไง ก็หลงว่ะ!
“เล่นอะไรอีกละ”
“จุ๊ จุ๊ อย่าเสียงดังไปครับ ที่นี่ห้องสมุด เราต้องเงียบที่สุด ไม่อย่างงั้นมันจะรบกวนคนอื่นเขา”
คนตัวสูงยกนิ้วเรียวขึ้นจุ๊ปาก ก่อนจะมองไปรอบๆเป็นสัญญาณแสดงให้คนตัวเล็กระมัดระวังกับการใช้เสียงในสถานที่แห่งนี
้
“จะไม่อธิบายอะไรหน่อยเหรอครับ”เสียงเล็กดังขึ้นเบาๆ เขาพยายามที่จะใช้เสียงให้น้อยลงจากเมื่อครู่
คนตัวสูงที่เอาแต่นั่งอ่านชื่อหนังสือที่ตนเลือกมาเป็นกอง เพื่อจะเลือกสักเล่มที่จะเริ่มต้นอ่านก่อน
แต่ทันทีที่ได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใบหน้าคมเข้มก็เผยอขึ้น ดวงตาคมมองใบหน้าหวานอีกครั้ง
“ก็บอกไปแล้ว ผมก็คือชเวมินโฮหมายเลขหนึ่ง… ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าหงุดหงิดและไม่เข้าใจ
กับการตอบคำถามของเขา คนตัวสูงจึงตัดสินใจเอ่ยต่อไปว่า
“จะอธิบายสั้นๆละกัน นะครับ …ผมก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อมินโฮ ผมชอบอ่านหนังสือมาก
เวลาอ่านหนังสือก็ไม่อยากจะสนใจอะไร ที่นี่ก็คงจะเหมาะกับผม มันโอเคมากนะ
มีหนังสือทุกอย่างที่อยากจะอ่าน แล้วก็ไม่มีใครกล้ามารบกวน”
พูดจบแค่นั้นเขาก็ก้มลงสนใจกับหนังสือที่เลือกได้เมื่อครู่ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพอใจในคำตอบที่ได้รับหรือไม่
คนตัวเล็กมองเขาอยากจะเอาเรื่อง แต่ติดว่าไม่อาจใช้เสียงเกินมาตรฐานได้ในที่แห่งนี้
“นี่ คิดว่าพูดแค่นั้นแล้วผมจะเข้าใจคุณเหรอ คุณชเวมินโฮหมายเลขหนึ่งงง”
น้ำเสียงท่อนสุดท้ายจงใจบีบเสียงเน้นย้ำเพื่อแขวะอีกฝ่ายที่ทำให้เขารู้สึกหัวเสีย
“นั่นไง คุณก็เข้าใจแล้วว่าผมคือชเวมินโฮหมายเลขหนึ่ง”เขาตอบเสียงเรียบ อย่างไม่รู้สึกรู้สา
ยิ่งทำให้แทมินประสาทเสียหนักเข้าไปใหญ่
“คุณจะไม่บอกอะไรผมมากกว่านี้ใช่มั๊ย?”แทมินต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการขมกลั้นอารมณ์
พยายามจะเอ่ยถามคนตัวสูงต่อไปไม่ลดละ
“ผมบอกแล้วใช่มั๊ยว่าเวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร”
ให้ตายเถอะ แทมินอยากจะขย้ำผู้ชายตรงหน้าจะเต็มอด
แต่ทำได้แค่เพียงถลึงตาใส่โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้เงยหน้าขึ้นมารับรู้
ร่างบางจึงทำได้แค่เพียง ก้มลงสนใจกับหนังสือเปิดดูค้างไว้เมื่อครู่ต่ออย่างยั้งอารมณ์
ให้ตายเถอะ!! …บอกทีว่านี่คือการเดทของผู้ชายที่ชื่อ มินโฮ
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ดวงตาคมภายในกรอบแว่นสีเข้ม ก็ละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้า
มองภาพอีกฝ่ายที่กำลังนั่งดูรูปพร้อมกับอ่านตัวหนังสือประกอบใต้ภาพอย่างเพลินเพลิด
“แล้วคุณล่ะ ชอบอ่านหนังสือหรือเปล่า” คนที่กำลังสนในทัศนียภาพของภาพที่ถูกพิมพ์ลงบนหนังสือเล่มหนา
ยังคงสนใจมันอย่างไม่ละสายตา ทำราวกับว่าไม่ยินคำถามของอีกฝ่าย
“นี่ ตอบผมหน่อยสิ” คนตั้งคำถามยังคงพยายามที่จะให้อีกฝ่ายหันมาสนใจเขาให้ได้ แทมินนึกกริ่มในใจ
‘เวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร’
ก็ใครล่ะมันพูดไว้
เวลาผ่านไป คนตัวสูงยังคงมองภาพของอีกคนที่ไม่ได้จะสนใจเขาแม้แต่น้อย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นอีกว่า
“แทมินครับ คุยกับผมแปบนึงนะครับ” มือเรียวยื่นเข้ามาปิดหนังสือที่วางอยู่ต่อหน้าคนตัวเล็ก
ทำให้อีกฝ่ายต้องหลับตาข่มกลั่นความรู้สึกหงุดหงิด ก่อนจะตอบไปอย่างตัดรำคาญว่า
“ก็ชอบอ่านบ้าง”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มที่จะตอบคำถามเขา คนตัวสูงก็ทำท่าจะเอ่ยถามต่อ แต่แทมินก็รีบชิงพูดตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถามอะไร
“สมัยเรียนต้องอ่านโดยเฉพาะภาษา เพราะต้องไปเรียนอยู่ต่างประเทศคนเดียว …มันจำเป็นก็เลยต้องอ่าน
พอแล้วนะคุณไม่ต้องถามอะไร เวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร คุณคงเข้าใจนะ”
คำตอบที่ได้รับทำเอามินโฮสะอึก ขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ ไม่น่าไปพูดดักตัวเองเอาไว้ แต่ทำไงได้ เขาก็แค่พูดตามความเป็นจริง
“คุณอ่านที่ไหนล่ะ ผมเห็นคุณดูแต่รูป” ดวงหน้าหวานเงยขึ้น
ส่งสายตาไม่พอใจให้คนตัวสูงแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือตามเดิม
เพราะไม่อยากจะเสียเวลาถกเถียงกับคนตรงหน้าให้รำคาญใจ
เมื่อภาพสุดท้ายของหนังสือเล่มหนาจบลง แทมินยกแขนซ้ายขึ้นก่อนจะมองดูนาฬิกาบนข้อมือ
นี่เขาเพลิดเพลินกับการดูรูปเมืองในฝันนั่นนานถึงสองชั่วโมงเชียวหรือ แทมินปิดหนังสือเล่มนั้น
พลางจะขยับตัวให้หายเมื่อย แต่เสียงจากอีกฝ่ายก็ดังขึ้น
“คุณช่วยไปหยิบหนังสือให้ผมหน่อย”
เสียงเรียบดังขึ้นทั้งที่เจ้าตัวยังคงก้มหน้าก้มตาสนใจตัวหนังสือตรงหน้า แทมินมองอีกฝ่ายค้อน
“ทำไมไม่ไปหยิบเอง”
“คุณไม่เห็นเหรอว่าผมอ่านหนังสืออยู่ คุณอ่านจบแล้วก็ช่วยเป็นธุระให้ผมหน่อย”
แน่ะ ทั้งที่ตั้งใจอ่านหนังสือขนาดนั้นยังรู้อีกว่าแทมินดูภาพในหนังสือจบหมดแล้ว
เมื่อไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายตอบว่าอะไร มินโฮจึงเงยหน้าขึ้นก่อนจะชี้นิ้วเรียวไปยังชั้นหนังสือมุมหนึ่งที่เขียนไว้ว่า
‘ท่องเที่ยว’
“อยู่ตรงชั้นนั้นน่ะ เป็นหนังสือหน้าปกเดียวกันกับที่คุณอ่านนั่นแหละ มันเขียนว่า ‘เวียนนา เมืองในฝัน สอง’”
พุดจบก็ทำท่าหันไปสนใจกับหนังสือตามเดิม แทมินมองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถลึงตาใส่อย่างหมั่นไส้
แต่สุดท้ายก็ยอมลุกไปแต่โดยดี
ดวงตาหวานกวาดสายตามองหาหนังสือตามลักษณะที่มินโฮบอกมา นิ้วเรียวไล่ตามสันหนังสือที่เรียงกันอยู่
ก่อนจะมาหยุดที่หนังสือเล่มหนึ่งที่ตัวหนังสือสลักที่สันอย่างหนาว่า ‘เวียนนา เมืองในฝัน 2’
ก่อนจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปให้อีกคนที่นั่งสั่งเป็นคุณชาย แทมินก็อดไม่ได้อีกครั้งที่จะเปิดดูภาพข้างใน
เพราะอยู่ดีๆก็มีหนังสือ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศในฝันของตนมาวางอยู่บนโต๊ะ
แถมยังมีคนบางคนเปิดโอกาสให้มาหยิบอีกเล่มอีกแน่ะ จะไม่ให้แทมินขอแอบดูก่อนสักนิดได้ยังไง
แทมินค่อยๆเปิดไล่ไปทีละหน้าตามใจอยาก ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างมีความสุข
ก่อนจะสะดุดกับหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งที่ได้ซุกซ่อนกระดาษสีขาว อีกใบที่ถูกพับครึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น
แทมินค่อยๆคลี่กระดาษสีขาวแผ่นนั้นออกมาอย่างช้าๆ ปรากฏภาพของลายมือที่ถูกเขียนไว้อย่างบรรจง
ริมฝีปากบางต้องยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าระเรื่อสีขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นิ้วเรียวพับเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ก่อนจะเดินถือหนังสือเล่มหนาไปวางไว้บนโต๊ะ จนคนที่นั่งอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากการอ่านหนังสือ
“ผมไม่ใช้แล้วล่ะ คุณเอาไปเก็บเถอะ” เขาบอกพลางยกมือขึ้นปัดๆ
แทมินอยากจะขย้ำผู้ชายตรงหน้านี้อีกซะสุดจะกลั้นอารมณ์ เป็นอีกครั้งที่เขาต้องถลึงตาใส่คนน่าหมั่นไส้ อย่างน่าโมโห
‘มันสมควรที่อีแทมินจะรับ คุณชเวมินโฮ หมายเลขหนึ่งไว้พิจารณาไม๊ล่ะ ฮึ!’
ร่างบางเดินถือหนังสือเล่มนั้นไปเก็บอย่างหงุดหงิด ดวงตาคมของใครอีกคนจ้องมองภาพนั้นยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดีคนเดียวเงียบๆ
ดวงตะวันยามเช้ายังโผล่พ้นจากขอบฟ้าได้ไม่เท่าไรนัก ท้องฟ้าภายนอกยังมีสีเข้มที่แกมด้วยสีส้มอ่อนๆอย่างสวยงาม
ร่างบางยังคงตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างแสนสบาย
Rttttt
เสียงดังของโทรศัพท์ปลุกให้ร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอนสีขาว ตื่นขึ้นอย่างหงุดหงิด
ทั้งที่จำได้ว่าวันนี้คงไม่ต้องรีบตื่นไปทำงานแต่เช้า เพราะมีพี่ชายคนดีเข้าบริษัทแทนมาเป็นวันที่สองแล้ว
แต่พอได้ยินเสียงอันน่าหนวกหูของโทรศัพท์ที่ดังขึ้นรบกวนโสตประสาท ก็เลยทำพลอยทำให้หัวเสียเข้าไปอีก
เพราะนึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาไม่ต้องเข้าบริษัท
[ตื่นได้แล้วครับ วันนี้คุณมีนัดกับผมนะ] เสียงนุ่มดังขึ้นทันทีที่นิ้วเรียวกดรับสาย
[เฮ้ ! ฮัลโหล คุณได้ยินผมมั๊ย ทำไมมันเงียบงี้ล่ะ] ปลายสายเอ็ดขึ้นตกใจ
เพราะไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากแทมินที่ยังคงงัวเงียไม่สร่างนอน ร่างบางยังคงหลับตาทั้งๆที่ในมือถือโทรศัพท์มือถือแนบหู
[แทมิน แทมินคุณฟังอยู่รึเปล่า คุณตื่นรึยังเนี่ย เฮ้ ] แทมินได้ยินเสียงจากปลายสายแว่วๆ
แต่ก็พอจะจับใจความได้ ด้วยคงยังอยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ร่างเล็กยังคงสนทนาอย่างงงๆ
“ตื่นแล้วน่า คุณอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”แทมินกรอกเสียงลงโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ หากให้เลือกได้
ตอนนี้เขาอยากจะเอนกายลงไปบนเตียงนอนนุ่มๆแล้วหลับฝันให้สบายต่อมากกว่า
[ผมอยู่หน้าบ้านคุณแล้ว รีบอาบน้ำแต่งตัวซะนะ ผมให้เด็กรับใช้ของคุณเตรียมชุดไว้ให้แล้ว รีบลงมาล่ะ ผมจะรอ]
ว่าแล้วปลายสายก็วางสายไป มือเรียวของแทมินปล่อยโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจ โชคดีที่มันตกลงบนเตียงนอนนุ่ม
ร่างบางทำท่าว่าจะเคลิ้มหลับอีกหน แผ่นหลังเล็กค่อยๆเอนลงบนเตียงนอนสีขาวนั้น เขากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
“จ๊ะเอ๋!!”
เสียงดังลั่นของใครบางคนที่เปิดประตูห้องนอนของแทมินเข้ามาอย่างไม่ได้ขออนุญาต
ทำเอาคนที่กำลังจะหลับต้องสะดุ้งตื่นอย่างตกใจ เปลือกตาบางลืมขึ้นอย่างตระหนก ใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆเตียงนอนของเขา
ร่างเล็กค่อยๆเรียกสติให้ชัดเจนและพิจารณาร่างนั้นอย่างถ้วนถี่
“มินโฮ…” แทมินเอ่ยขึ้นอย่างๆงง เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกทำหน้ายิ้มแย้มอย่างกวนอารมณ์
“ครับ… ผม ชเวมินโฮ ครับผม” คนตัวสูงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี แต่ต้องปรับไปเป็นสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตางงๆอีกหน
“คุณลุกไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ” เขาเอ่ยอย่างออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเครียด แทมินยังคงมองอย่างงงๆ
“ไหนคุณบอกว่า คุณอยู่หน้าบ้านไง แล้วเข้ามาในห้องผมได้ยังไง”
แม้สติจะกลับมาเกือบเต็มร้อยแล้วเพราะเสียงดังลั่นของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ แต่น้ำเสียงของแทมินที่เอ่ยถามยังคงงัวเงีย
“ขืนผมรอคุณอยู่หน้าบ้านจริงๆ ผมก็รอเก้อสิ คุณน่ะตื่นง่ายกับคนอื่นเค้าซะที่ไหนล่ะ
ผมก็ต้องแกล้งหลอกคุณอย่างนี้แหละ โผล่มาให้คุณตกใจเล่น สนุกดี”
คนตัวสูงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีก่อนจะออกแรงดึงแขนอีกคนให้ลุกขึ้นจากเตียง
แต่คนตัวเล็กยังคงแข็งขืนอยากจะนอนต่อ มินโฮจึงแสร้งทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยว่า
“คุณจะอาบเองหรืออยากมีคนช่วย” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาหวานของแทมินเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ
“ม..ไม่ อาบเอง ค ใครอยากให้คุณอาบให้กัน” เสียงเอ่ยอย่างติดๆขัดๆ
แขนทั้งสองประสานทับที่ร่างกายเสมือนไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่อย่างนั้น
ดวงตาหวานมองหน้าอีกฝ่ายอย่างระแวง มินโฮได้แต่หัวเราะน้อยๆให้กับอาการนั้น
“นี่ สำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่า ใครจะอยากอาบน้ำให้คุณ
ผมจะเรียกไอ่จินกิมาอาบให้ต่างหากเล่า โถ่ นึกว่าผมพิศวาสคุณนักเหรอ” มินโอทำเป็นพยักเพยิดหน้าอย่างหยิ่งๆ
“นี่!..อย่ามาทำหน้าแบบนั้นนะ ผ..ผม ก็ ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย” ร่างเล็กพูดก่อนจะวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำไป
“เฮ้ยย!! นี่คุณเอาชุดอะไรมาให้ผมใส่” เสียงโวยวายดังขึ้นจากคนที่อยู่ในห้องน้ำ
ที่ต้องตกใจกับเสื้อผ้าที่คนตัวสูงบอกว่าให้เด็กรับใช้เตรียมไว้ให้
“ก็ชุดของคุณไงครับ คุณรีบใส่ๆแล้วออกมาเร็วๆเถอะน่า เอาล่ะผมให้เวลาคุณอีกแค่ห้านาที
ผมจะลงไปรอคุณหน้าบ้าน ถ้าภายในห้านาทีคุณยังแต่งตัวไม่เสร็จ
คราวนี้แหละ ผมจะขึ้นมาช่วยคุณแต่งตัวเอง อ้อ แต่เปล่าพิศวาสหรอกนะ อย่าหลงตัวเองล่ะ”
คนตัวสูงเอ่ยตอบให้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง อีกฝ่ายได้แต่นึกหมั่นไส้อยู่ในห้องน้ำคนเดียว
แทมินมองชุดในมืออย่างปลงๆก่อนจะยอมใส่แต่โดยดี ความจริงชุดที่ว่าก็ไม่ได้แปลกประหลาดหรือน่าเกลียดอะไร
แต่แค่ตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่ายังไงเสื้อผ้าชุดนี้อยู่ ตัวเองก็แทบลืมไปแล้วว่าเคยมีเสื้อผ้าชุดนี้ ก็ไม่ได้ใส่มาตั้งหลายปีแน่ะ
ร่างเล็กพลางมองชุดที่ตัวเองสวมใส่ ในขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนนที่ทอดยาวไปถึงหน้าประตูบ้าน
มันถูกรายล้อมไปด้วยไม้ดัดที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยงามเต็มคฤหาสน์ของเขา
“คุณทำท่าอะไรของคุณตลกชะมัด” แทมินเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน
มองอีกฝ่ายที่ยืนกระโดดกระเต้นทำท่าทำท่างแปลกๆ
“คุณมาช้าไปสองนาที แต่ผมหยวนให้” เขาเอ่ยทั้งๆที่ยังคงทำท่าทางแปลกประหลาดนั้น
“นี่ยืนมองอะไรเล่า มาวอร์มอัพด้วยกันสิ” มินโอบอกพลางส่งสายตาเรียกอีกฝ่ายให้เข้ามา
แทมินมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ก็เลยพอจะ ออ เออ เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
ร่างสูงในชุดกางเกงวอร์มสีดำกับเสื้อแจ็คเจ็ตอะดิดาสสีน้ำเงิน รองเท้าผ้าใบสีขาวแซมด้วยสีฟ้าอ่อนๆ
คล้ายๆกับแทมินที่อยู่ในชุดกางเกงวอร์มสีดำ เสื้อยืดแขนสั้นออกกำลังกายสีเขียว กับรองเท้าผ้าใบสีขาว
“แนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมชเวมินโฮหมายเลขสอง ผมเป็นนักกีฬา เล่นกีฬ่าแทบทุกประเภท
ผมจะชวนคุณออกกำลังกายให้แข็งแรง แล้วคุณจะประทับใจในเดทของผม” คนตัวสูงพูดพลางยิ้มมุ่งมั่นอย่างมีเป้าหมาย
แทมินเริ่มรู้สึกได้ถึงภัยที่กำลังจะมาเยือน
“นี่เร็วๆเข้าสิ …วิ่งเร็วเข้า เอ้า แข็งแรงกันหน่อย วู๊วว ”
มินโฮร้องขึ้นอย่างเรียกพลัง
คนตัวสูงวิ่งอย่างมีความสุขสดใสกระปรี้กระเปร่า ในขณะที่อีกฝ่ายที่วิ่งตามมาอยู่ไม่ไกล ทำท่าคล้ายจะเป็นลม
“นี่คุณ… ไปกินกระทิงมารึไง วิ่ง…ร เร็วชะมัด รอผม ด…ด้วยสิ”
คนตัวเล็กพูดพลางกระหืดหระหอบอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามจะเร่งฝีเท้าให้ทันอีกฝ่าย
สุดท้ายร่างเล็กก็ต้องมานั่งหอบแฮ่กๆ อยู่ข้างสนามบาสในบ้าน เรียกเอาออกซิเจนเข้าปอดให้เต็มที่
ให้สาสมกับที่คนตัวสูงมาปลุกเค้าแต่เช้าแล้วพาไปวิ่งรอบหมู่บ้านเสียหลายรอบ
ทั้งๆที่แทมินเองยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการออกกำลังกายมาซะหลายปี ร่างกายเล็กๆเลยค่อนข้างจะปรับตัวไม่ทัน
ต่างจากอีกฝ่ายที่ยังคงบ้าพลังมีแรงเหลือ พอจะไปเล่นกับเจ้าลูกบาสสีส้มอยู่คนเดียวอย่างเมามันส์
จุดนี้…แทมินยอมรับ
ชเวมินโฮหมายเลขสองน่ะ เล่นกีฬาเก่ง หาตัวจับได้ยาก แข็งแรง มาดแมน สมกับเป็นผู้ชายที่สาวๆพึงจะใฝ่ฝัน
แต่
เค้าเนี่ยสิจะตายเพราะความบ้าพลังของไอ่ผู้ชายนักกีฬาคนนี้
คิดว่าคนอื่นเค้าจะถึกเหมือนตัวเองรึไงฮึ!
นี่ใช่ไม๊เดทของชเวมินโฮหมายเลขสอง
น่าประทับใจตายละ!!
แทมินมองค้อนอีกฝ่ายที่กำลังเล่นบาสอย่างเคร่งเครียดคนเดียว เห็นสีหน้าจริงจังแล้วนึกหมั่นไส้
ก่อนจะหันไปหยิบน้ำที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาดื่ม แต่เมื่อมือเรียววางขวดน้ำลง ดวงตาหวานก็ไม่เห็นใครอีกคนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ตุ่บ!
เสียงเบาๆซึ่งหากไม่อยู่ใกล้มากๆก็คงจะไม่ได้ยิน ลูกบาสสีล้มที่กลิ้งมาแต่ไกล กระทบกับเจ้าเก้าอี้หินอ่อน
ที่เขานั่งอยู่ แทมินก้มลงเก็บมัน ในใจคิดว่าจะเป็นของอีกคนที่คงแอบหนีไปเล่นที่ไหนเมื่อกี๊นี้
มือเรียวคว้าลูกบาสขึ้นไว้ในมือ สายกำลังจะสอดส่องหาเจ้าของมัน
แต่ดวงตาหวานก็พลันไปเห็นตัวอักษรที่ถูกเขียนไว้บนลูกบาสนั้น
เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกพอใจ ริมฝีปากยกยิ้มให้กับเจ้าลูกบาสในมือน้อยๆ
ก่อนจะต้องหุบลงเพราะตกใจกับเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทางด้านหน้าไม่ไกลจากเขานัก
“ส่งลูกบาสมาให้ผมด้วยครับ” คนตัวเล็กมองมินโฮอย่างเก้อๆ
ก่อนจะโยนเจ้าลูกบาสไปโดยไม่ทันได้มองว่ามันลอยไปไกลถึงคนอีกฝั่งของสนามหรือไม่ ร่างบางก็เดินหนีเข้าบ้านไปก่อนแล้ว
ตุ่บ!
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ทำท่าว่าหนักเอาการถูกวางลง อย่างไม่ค่อยจะปรานีจากเจ้าของมัน
ใบหน้าหวานของแทมินเงยหน้าขึ้นละสายตาจากตัวหนังสือในมือ อีจินกิในชุดกางเกงขาสั้นเท่าเข่า
เสื้อกล้ามสีขาวถูกสวมทับด้วยเสื้อเชิร์ตแขนสั้นสีส้มอ่อน กลุ่มผมสีดำถูกปิดด้วยหมวกสานใบขนาดพอดี
“ท๊าดาาา! ...เป็นไง ชุดพี่สวยอ่ะเปล่า เห็นชุดพี่แล้ว นายอยากจะไปเดินแถวๆชายหาดบ้างใช่ไม๊ล่า”
จินกิพูดพร้อมกับพายลำแขนออกเผยให้เห็นชุดที่แสนภูมิใจให้เต็มตา พลางพยักพเยิดหน้าอย่างเต็มภูมิ
“นี่พี่จะไปไหน?”
“ไปเที่ยว”
“ไปเที่ยว เที่ยวไหน?”
“ประเทศไทย”
“ห๊าาา ! ไปเมืองไทย ไปตอนนี้เนี่ยนะ แล้วไปกับใคร?”
“คุณจินกิค่ะ เสื้อผ้าและของใช้ของคุณแทมิน เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ให้ยกขึ้นรถเลยไม๊คะ”
จินกิพยักหน้ารับเด็กรับใช้คนหนึ่งที่วิ่งลงมาจากห้องแทมิน โดยที่เจ้าของห้องเองก็ไม่รู้เรื่องสักนิด
“หมายความว่าไง?”
“ก็หมายความว่า นายจะไปเที่ยวกับพี่น่ะสิ เอาล่ะนายเลิกอ่านหนังสือได้แล้ว ไปขึ้นรถ อย่างอื่นพี่จัดการให้แล้ว”
“เอ้า…เร็วเข้าสิ จะมางงอะไร เดี๋ยวก็ตกเครื่องกันพอดี” จินกิดึงแขนน้องชายของเขาให้ลุกขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่
รถยนต์ที่จะไปส่งที่สนามบินสตาร์ทเครื่องรอสองพี่น้องอยู่แล้ว แทมินได้แต่มึนงงกับการกระทำของพี่ชาย
ที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่คิดจะให้เค้าเตรียมตัวเตรียมใจก่อนสักนิด
ท่ามกลางความวุ่นวายของสนามบินสุวรรณภูมิ สองพี่น้องจัดการพาตัวเองออกจากเกทอย่างปกติ
เพียงแต่แทมินยังคงงงๆกับการได้มาเยือนต่างแดนแบบกระทันหัน
ในขณะที่พี่ชายของเขายังคงยิ้มแย้มอย่างกระชุ่มกระชวยกับการมาเที่ยวในครั้งนี้
ชอบนักล่ะ…อะไรที่ไม่ต้องทำงานน่ะ
จินกิสอดส่องสายตามองหาใครบางคน แต่มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับสนามบินที่มีคนพลุกพล่าน
นิ้วเรียวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขที่แสนจะคุ้นเคย
“ฮัลโหลที่รัก คุณอยู่ไหน” จินกิกรอกเสียงหวานเมื่ออีกทางเอ่ยรับสาย แทมินเหลือบมองพี่ชายอย่างแปลกใจ
ท่าทางเค้าคงจะได้เพื่อนร่วมทริปเพิ่มแน่ๆ
[จินกิ ฉันอยู่นี่…หันไปทางนั้นทำไมเล่า ทางนี้ ข้างหลังคุณนี่]
จากที่มองซ้ายมองขวาแล้วไม่พบอีกคนที่อยากเจอ ก็ต้องหันควับไปด้านหลังของตน
ก่อนฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีสุดๆ
“คิบอมมมมอา”จินกิตะโกนลั่นพลางวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างร่าเริง แทมินมองตามการเคลื่อนไหวของพี่ชาย
แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่ได้เห็น มีใครอีกคนยืนยิ้มแฉ่งให้เขาอยู่ข้างคิบอม… พี่ชายทำพิษอีกแล้ว
จินกิวิ่งเข้าไปโอบกอดคิบอมราวกับพระเอกนางเอกในนิยาย ที่วิ่งเข้ามาโอบกอดกันปานจะกลืนกิน
พอดีกันกับ ที่อีกคนที่ยืนข้างคิบอมเมื่อสักครู่เข้าวิ่งเข้ามาทำท่าจะกอดแทมินเช่นกัน
แต่โชคร้ายที่แทมินเบี่ยงตัวหลบ อีกฝ่ายก็เลยได้แต่ล้มคะมำไปบนพื้นอย่างเต็มแรง
“โอยยย…เจ็บจัง ที่รักทำกับผมอย่างนี้ได้ไง” เขาร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด
ค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
ท่าทางอีกสามคนจะไม่มีใครคิดช่วยเขาสักนิด แทมินมองอย่างไม่ค่อยจะแยแส แต่ในใจก็แอบนึกขันนิดๆ
“นี่ จินกิ อย่าเว่อได้ไม๊ ทำอย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นชาติงั้นแหละ นี่เราเพิ่งจากกันตอนขึ้นเครื่องที่อินชอนนะ…
พี่จงฮยอนอย่าสำออยลุกขึ้นมาเร็วๆ ที่นี่ไทยนะอย่าทำตัวเหมือนอยู่บ้าน ผมอายเค้า”
คิบอมบอกแบบเอือมระอาในท่าทางของจินกิ
ก่อนจะหันไปกรอกเสียงพี่ชายของตนที่กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงจะลุก
รู้ๆกันอยู่ว่าเสแสร้ง สงสัยอยากจะทำสำออยให้แทมินเห็นใจ
“แหมที่รักก็ผมคิดถึงคุณนี่ครับ จากอินชอนมาถึงสุวรรณภูมิมันก็ไกลอยู่น้า” จินกิยังคงออดอ้อนคนรักของตน
โดยไม่สนเหล่าสายตาของผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น
“ดะ..ดะเดี๋ยวนะครับ นี่พี่หมายความว่าไง ผมงงไปหมดแล้ว”
“แทมิน เอาไว้พี่จะเล่าให้ฟังบนรถนะ ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไปถึงกระบี่ช้า”
คิบอมว่าพลางลากกระเป๋าของตนนำไปก่อน โดยมีจินกิตามต่อไป แทมินมองจงฮยอนที่ทำหน้าทำตาขอความเห็นใจ
พลางเอามือลูบตูดตัวเองป้อยๆ ก่อนแทมินจะลากกระเป๋าของตัวเองตามพี่ทั้งสองไป
จงฮยอนก็ได้แต่ทำท่ากระเง้ากระงอนอย่างน้อยใจ ก่อนจะลากกระเป๋าตัวเองออกตามไปเป็นคนสุดท้าย
TBC
อยากอ่านคอมเม้น TT
By:I-See-IIMin
“จินกิ!”
เสียงแผดดังท่าทางเอาเรื่องของใครบางคน ทำเอาคนที่นั่งเล่นเกมส์อย่างใจจดใจจ่อต้องสะดุ้งเฮือก
จอยส์ในมือหลุดร่วงลงไปกองกับพื้น โดยที่เจ้าของไม่คิดจะไปเก็บมัน เพราะสติหลุดไปกับภัยร้ายที่จะมาเยือน
ก่อนจะหันไปเห็นต้นเสียงที่ยืนจ้องหน้าเขม็ง
“ทำอะไรเอาไว้ฮะ” น้องชายตัวเล็กจ้องพี่ชายที่นั่งทำหน้าสำนึกผิดด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“แหะ แหะ” จินกิส่งยิ้มเจื่อนๆให้น้องชาย รู้ตัวดีหนักหนาว่าไปก่อเรื่องอะไรมา แทมินมองจินกิด้วยความโกรธบนระอา
“แทมินอา ก็มินโฮเค้าชอบนายมากเลยนี่นา พี่อยากช่วยมัน ยังไงซะมันก็เป็นเพื่อนที่พี่รักที่สุด นายเองก็รู้จักกับมันมาตั้งนาน
ถ้าแฟนนายมันไม่ดี ก็รับเพื่อนพี่คนนี้ไว้พิจารณาหน่อยสิ น้า แทมินอา”
น้ำเสียงออนอ้อนราวกับเด็กยิ่งทำให้แทมินรู้สึกหงุดหงิดใจเข้าไปอีก
“โอ้ย ผมไม่รู้จะทำไงกับพี่ดีนะ นี่พวกพี่เล่นอะไรกันเนี่ย แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่”คนตัวเล็กบ่นอย่างหัวเสีย
หันสายตาหนีภาพพี่ชายที่กำลังนั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“รู้ใช่มั๊ยว่าต้องทำยังไง”
“รู้ค้าบบบ” จินกิตอบรับเสียงอ่อย รับรู้ในชะตากรรมในสิ่งที่ตัวเองไปก่อไว้
“อืม ดีละ พนักงานในบริษัทคงดีใจที่ได้เห็นหน้าพี่”
รู้ใช่มั๊ยว่าจินกิต้องทำยังไง?
ก็วางเกมส์ซะ
เลิกอู้
เลิกอ้าง
ท่านประธานอี จินกิ
จะกลับมาอีกครั้ง
ต้องกลับไปทำงานกับเค้าสักที
ก็เพราะ
ท่านรองจะไปเดท !
รู้อยู่แล้วว่าพี่ชายตัวดี มันเตรียมงานกับเพื่อนรัก มาเรียบร้อยลงตัว ดูทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่อีจินกิต้องการซะเหลือเกิน
งานนี้ยอมลงทุนมาทำงานแลกกับการหาแฟนใหม่ให้น้องเลยแน่ะ สงสัยข้อเสนอใหม่จะไม่ธรรมดาจริงๆ
งั้นขอลืม… เรื่องงอนกับแฟนไปก่อนน่ะ
ไอ่แฟนแสนไม่น่ารักคนนั้น อี แทมิน ขออนุญาตลืม…ชั่วคราว
ก็ข้อเสนอตรงหน้า…มันน่าสนใจชะมัด
“แทมินอา แฟนสุดที่รักของพี่ คุยกับพี่ก่อนน้า”
“พี่เลิกพูดอย่างนี้สักทีได้มั๊ย พี่จงฮยอน ผมเบื่อจะแย่แล้วนะ” มินโฮหันมองคนที่นั่งเบาะข้างๆเขาแวบหนึ่ง
มือเรียวคว้าหมับไปที่โทรศัพท์ของแทมิน ก่อนจะกดวางสายพร้อมทั้งปิดเครื่องเสร็จสรรพ แล้วหันไปจดจ่อกับทางตรงหน้าตามเดิม
โดยไม่สนใจเสียงดังแว่วของปลายสายที่พยายามพูดสุดฤทธิ์
“เวลานี้คุณไม่ควรจะสนใจคนอื่น”
“พาผมมาที่นี่ทำไม” แทมินเอ่ยขึ้นหลังจากเครื่องยนต์ถูกดับสนิท ดวงตาหวาน
จ้องมองป้ายขนาดใหญ่ที่ผนึกอยู่บนอาคารสีน้ำตาลหลังใหญ่ ออกจะนึกแปลกใจอยู่สักหน่อยกับสถานที่ที่ไม่ค่อยชินตา
ห้องสมุด
“นั่งรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ” มินโฮกดไหล่บางของอีกฝ่ายให้นั่งลงกับเก้าอี้ไม้
ในมุมหนึ่งที่ค่อนข้างห่างจากโต๊ะตัวอื่น ของห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เงียบสงัดราวกับไร้สิ่งมีชีวิต
ผู้คนมากมายนั่งเปิดหนังสือเงียบๆอยู่ในโลกของตัวเอง มีบางกลุ่มที่พูดคุยปรึกษาหารือกันด้วยเสียงเบาย่อมๆ
ราวกับเกรงว่าหากมีเสียงใดหลุดเล็ดรอดออกไปให้ใครคนอื่นได้ยิน เขาคงจะกลายเป็นตัวประหลาดสำหรับสถานที่แห่งนี้
คนตัวสูงเดินห่างออกไปแล้ว แทมินมองแผ่นหลังของใครคนนั้นหายไปช้าๆ
นึกสงสัยกับการกระทำแปลกๆของคนที่ขับรถพาเขามาที่นี่
ผู้ชายที่เปิดประตูมาสมัครงานใน ‘ ตำแหน่งพิเศษ’ ของท่านรองประธานได้อย่างไม่เกรงใจ
ซ้ำยังได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสนับสนุนที่น่าหมั่นไส้ที่สุด ‘อีจินกิ’
ไม่คิดสักนิดว่าพี่ชายจะร่วมมือกับเพื่อนสนิท ทำเรื่องอะไรได้น่าพิลึกพิลั่นขนาดนี้
แล้วนี่จะมีอะไรมาให้เขาตกใจอีกล่ะ
ร่างบางยกยิ้มให้กับตัวเองเบาๆ ก่อนจะก้มลงมองหนังสือเล่มบางบนโต๊ะตรงหน้า ตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนปก
ทำให้ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันได้คิด
‘เวียนนา เมืองในฝัน’
ไม่นานนักมือเรียวก็อดไม่ได้จะขอเปิดเข้าสัมผัสกับสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
ภาพของตึกที่ถูกออกแบบอย่างวิจิตรงดงาม บรรยากาศอันน่าหลงใหลของเมืองที่เรียกได้ว่า ‘โรแมนติก’
ดึงให้เขาหลงเพลิดเพลินกับมันได้ไม่ยาก
เวลาผ่านไป ห้องสี่เหลี่ยมยังคงเงียบงันเฉกเช่นเดิม แทมินยังคงหลงเข้าซึบซับกับบรรยากาศ
ของสถานที่ต่างๆในหนังสือเล่มนั้นราวกับได้สัมผัสกับของจริง อย่างลืมตัว
แต่แล้ว…
“สวัสดีครับ ผม ชเวมินโฮ หมายเลขหนึ่ง คุณแทมินช่วยรับผมไว้พิจารณาด้วยนะครับ”
คนตัวเล็กหลุดสมาธิกับสิ่งที่สนใจเมื่อครู่อย่างตกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตามเสียงที่โสตประสาทได้ยิน
ดวงตาหวานตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
ดวงตาโต สายตาคมเข้มราวกับจะดูดทุกสิ่งที่ให้หลอมเป็นหนึ่งเดียว สายตานั้นถูกมองผ่านเลนส์ใสในกรอบสีเข้ม
ยิ่งทำให้ใบหน้าคมสันได้รูป น่าหลงใหลเข้าไปอีก ทั้งยังรับกันดีกับจมูกโด่ง
รอยยิ้มหยักเล็กน้อย ที่ยกขึ้นเมื่อคนตัวเล็กจ้องมองเขาอย่างตกใจ
คนตัวสูงพยายามจะวางหนังสือที่หอบวางซ้อนกันเป็นตั้งๆในอ้อมแขน ให้วางลงบนโต๊ะไม้อย่างเงียบที่สุด
แทมินยังคงมองร่างสูงที่ทำตัวเงอะๆงะๆไม่วางตา เสื้อผ้าชุดเดิมที่ได้เห็นในเวลาก่อนหน้านี้
ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อนถูกสวมทับด้วยกั๊กสีน้ำเงินเข้มเข้ากัน
รวมทั้งกางเกงสีดำขายาว มันช่างรับกันดีกับแว่นที่เขาสวมใส่
‘ ใครมาลืมเด็กแว่นที่ไหนไว้ตรงนี้ ’
ให้ตายเถอะ พ่อหนอนหนังสือ เนิร์ทชะมัด
คิดเหรอว่า…ผู้ชายใส่แว่น มันจะทำให้เผลอใจ ได้ทุกคน
ใช่…มันก็คงไม่ทุกคน
แต่สำหรับ ผู้ชายที่ชื่อชเวมินโฮ
ให้ตายยังไง ก็หลงว่ะ!
“เล่นอะไรอีกละ”
“จุ๊ จุ๊ อย่าเสียงดังไปครับ ที่นี่ห้องสมุด เราต้องเงียบที่สุด ไม่อย่างงั้นมันจะรบกวนคนอื่นเขา”
คนตัวสูงยกนิ้วเรียวขึ้นจุ๊ปาก ก่อนจะมองไปรอบๆเป็นสัญญาณแสดงให้คนตัวเล็กระมัดระวังกับการใช้เสียงในสถานที่แห่งนี
้
“จะไม่อธิบายอะไรหน่อยเหรอครับ”เสียงเล็กดังขึ้นเบาๆ เขาพยายามที่จะใช้เสียงให้น้อยลงจากเมื่อครู่
คนตัวสูงที่เอาแต่นั่งอ่านชื่อหนังสือที่ตนเลือกมาเป็นกอง เพื่อจะเลือกสักเล่มที่จะเริ่มต้นอ่านก่อน
แต่ทันทีที่ได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใบหน้าคมเข้มก็เผยอขึ้น ดวงตาคมมองใบหน้าหวานอีกครั้ง
“ก็บอกไปแล้ว ผมก็คือชเวมินโฮหมายเลขหนึ่ง… ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าหงุดหงิดและไม่เข้าใจ
กับการตอบคำถามของเขา คนตัวสูงจึงตัดสินใจเอ่ยต่อไปว่า
“จะอธิบายสั้นๆละกัน นะครับ …ผมก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อมินโฮ ผมชอบอ่านหนังสือมาก
เวลาอ่านหนังสือก็ไม่อยากจะสนใจอะไร ที่นี่ก็คงจะเหมาะกับผม มันโอเคมากนะ
มีหนังสือทุกอย่างที่อยากจะอ่าน แล้วก็ไม่มีใครกล้ามารบกวน”
พูดจบแค่นั้นเขาก็ก้มลงสนใจกับหนังสือที่เลือกได้เมื่อครู่ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพอใจในคำตอบที่ได้รับหรือไม่
คนตัวเล็กมองเขาอยากจะเอาเรื่อง แต่ติดว่าไม่อาจใช้เสียงเกินมาตรฐานได้ในที่แห่งนี้
“นี่ คิดว่าพูดแค่นั้นแล้วผมจะเข้าใจคุณเหรอ คุณชเวมินโฮหมายเลขหนึ่งงง”
น้ำเสียงท่อนสุดท้ายจงใจบีบเสียงเน้นย้ำเพื่อแขวะอีกฝ่ายที่ทำให้เขารู้สึกหัวเสีย
“นั่นไง คุณก็เข้าใจแล้วว่าผมคือชเวมินโฮหมายเลขหนึ่ง”เขาตอบเสียงเรียบ อย่างไม่รู้สึกรู้สา
ยิ่งทำให้แทมินประสาทเสียหนักเข้าไปใหญ่
“คุณจะไม่บอกอะไรผมมากกว่านี้ใช่มั๊ย?”แทมินต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการขมกลั้นอารมณ์
พยายามจะเอ่ยถามคนตัวสูงต่อไปไม่ลดละ
“ผมบอกแล้วใช่มั๊ยว่าเวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร”
ให้ตายเถอะ แทมินอยากจะขย้ำผู้ชายตรงหน้าจะเต็มอด
แต่ทำได้แค่เพียงถลึงตาใส่โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้เงยหน้าขึ้นมารับรู้
ร่างบางจึงทำได้แค่เพียง ก้มลงสนใจกับหนังสือเปิดดูค้างไว้เมื่อครู่ต่ออย่างยั้งอารมณ์
ให้ตายเถอะ!! …บอกทีว่านี่คือการเดทของผู้ชายที่ชื่อ มินโฮ
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ดวงตาคมภายในกรอบแว่นสีเข้ม ก็ละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้า
มองภาพอีกฝ่ายที่กำลังนั่งดูรูปพร้อมกับอ่านตัวหนังสือประกอบใต้ภาพอย่างเพลินเพลิด
“แล้วคุณล่ะ ชอบอ่านหนังสือหรือเปล่า” คนที่กำลังสนในทัศนียภาพของภาพที่ถูกพิมพ์ลงบนหนังสือเล่มหนา
ยังคงสนใจมันอย่างไม่ละสายตา ทำราวกับว่าไม่ยินคำถามของอีกฝ่าย
“นี่ ตอบผมหน่อยสิ” คนตั้งคำถามยังคงพยายามที่จะให้อีกฝ่ายหันมาสนใจเขาให้ได้ แทมินนึกกริ่มในใจ
‘เวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร’
ก็ใครล่ะมันพูดไว้
เวลาผ่านไป คนตัวสูงยังคงมองภาพของอีกคนที่ไม่ได้จะสนใจเขาแม้แต่น้อย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นอีกว่า
“แทมินครับ คุยกับผมแปบนึงนะครับ” มือเรียวยื่นเข้ามาปิดหนังสือที่วางอยู่ต่อหน้าคนตัวเล็ก
ทำให้อีกฝ่ายต้องหลับตาข่มกลั่นความรู้สึกหงุดหงิด ก่อนจะตอบไปอย่างตัดรำคาญว่า
“ก็ชอบอ่านบ้าง”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มที่จะตอบคำถามเขา คนตัวสูงก็ทำท่าจะเอ่ยถามต่อ แต่แทมินก็รีบชิงพูดตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถามอะไร
“สมัยเรียนต้องอ่านโดยเฉพาะภาษา เพราะต้องไปเรียนอยู่ต่างประเทศคนเดียว …มันจำเป็นก็เลยต้องอ่าน
พอแล้วนะคุณไม่ต้องถามอะไร เวลาผมอ่านหนังสือไม่อยากจะสนใจอะไร คุณคงเข้าใจนะ”
คำตอบที่ได้รับทำเอามินโฮสะอึก ขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ ไม่น่าไปพูดดักตัวเองเอาไว้ แต่ทำไงได้ เขาก็แค่พูดตามความเป็นจริง
“คุณอ่านที่ไหนล่ะ ผมเห็นคุณดูแต่รูป” ดวงหน้าหวานเงยขึ้น
ส่งสายตาไม่พอใจให้คนตัวสูงแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือตามเดิม
เพราะไม่อยากจะเสียเวลาถกเถียงกับคนตรงหน้าให้รำคาญใจ
เมื่อภาพสุดท้ายของหนังสือเล่มหนาจบลง แทมินยกแขนซ้ายขึ้นก่อนจะมองดูนาฬิกาบนข้อมือ
นี่เขาเพลิดเพลินกับการดูรูปเมืองในฝันนั่นนานถึงสองชั่วโมงเชียวหรือ แทมินปิดหนังสือเล่มนั้น
พลางจะขยับตัวให้หายเมื่อย แต่เสียงจากอีกฝ่ายก็ดังขึ้น
“คุณช่วยไปหยิบหนังสือให้ผมหน่อย”
เสียงเรียบดังขึ้นทั้งที่เจ้าตัวยังคงก้มหน้าก้มตาสนใจตัวหนังสือตรงหน้า แทมินมองอีกฝ่ายค้อน
“ทำไมไม่ไปหยิบเอง”
“คุณไม่เห็นเหรอว่าผมอ่านหนังสืออยู่ คุณอ่านจบแล้วก็ช่วยเป็นธุระให้ผมหน่อย”
แน่ะ ทั้งที่ตั้งใจอ่านหนังสือขนาดนั้นยังรู้อีกว่าแทมินดูภาพในหนังสือจบหมดแล้ว
เมื่อไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายตอบว่าอะไร มินโฮจึงเงยหน้าขึ้นก่อนจะชี้นิ้วเรียวไปยังชั้นหนังสือมุมหนึ่งที่เขียนไว้ว่า
‘ท่องเที่ยว’
“อยู่ตรงชั้นนั้นน่ะ เป็นหนังสือหน้าปกเดียวกันกับที่คุณอ่านนั่นแหละ มันเขียนว่า ‘เวียนนา เมืองในฝัน สอง’”
พุดจบก็ทำท่าหันไปสนใจกับหนังสือตามเดิม แทมินมองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถลึงตาใส่อย่างหมั่นไส้
แต่สุดท้ายก็ยอมลุกไปแต่โดยดี
ดวงตาหวานกวาดสายตามองหาหนังสือตามลักษณะที่มินโฮบอกมา นิ้วเรียวไล่ตามสันหนังสือที่เรียงกันอยู่
ก่อนจะมาหยุดที่หนังสือเล่มหนึ่งที่ตัวหนังสือสลักที่สันอย่างหนาว่า ‘เวียนนา เมืองในฝัน 2’
ก่อนจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปให้อีกคนที่นั่งสั่งเป็นคุณชาย แทมินก็อดไม่ได้อีกครั้งที่จะเปิดดูภาพข้างใน
เพราะอยู่ดีๆก็มีหนังสือ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศในฝันของตนมาวางอยู่บนโต๊ะ
แถมยังมีคนบางคนเปิดโอกาสให้มาหยิบอีกเล่มอีกแน่ะ จะไม่ให้แทมินขอแอบดูก่อนสักนิดได้ยังไง
แทมินค่อยๆเปิดไล่ไปทีละหน้าตามใจอยาก ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างมีความสุข
ก่อนจะสะดุดกับหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งที่ได้ซุกซ่อนกระดาษสีขาว อีกใบที่ถูกพับครึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น
แทมินค่อยๆคลี่กระดาษสีขาวแผ่นนั้นออกมาอย่างช้าๆ ปรากฏภาพของลายมือที่ถูกเขียนไว้อย่างบรรจง
ริมฝีปากบางต้องยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าระเรื่อสีขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นิ้วเรียวพับเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ก่อนจะเดินถือหนังสือเล่มหนาไปวางไว้บนโต๊ะ จนคนที่นั่งอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากการอ่านหนังสือ
“ผมไม่ใช้แล้วล่ะ คุณเอาไปเก็บเถอะ” เขาบอกพลางยกมือขึ้นปัดๆ
แทมินอยากจะขย้ำผู้ชายตรงหน้านี้อีกซะสุดจะกลั้นอารมณ์ เป็นอีกครั้งที่เขาต้องถลึงตาใส่คนน่าหมั่นไส้ อย่างน่าโมโห
‘มันสมควรที่อีแทมินจะรับ คุณชเวมินโฮ หมายเลขหนึ่งไว้พิจารณาไม๊ล่ะ ฮึ!’
ร่างบางเดินถือหนังสือเล่มนั้นไปเก็บอย่างหงุดหงิด ดวงตาคมของใครอีกคนจ้องมองภาพนั้นยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดีคนเดียวเงียบๆ
ดวงตะวันยามเช้ายังโผล่พ้นจากขอบฟ้าได้ไม่เท่าไรนัก ท้องฟ้าภายนอกยังมีสีเข้มที่แกมด้วยสีส้มอ่อนๆอย่างสวยงาม
ร่างบางยังคงตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างแสนสบาย
Rttttt
เสียงดังของโทรศัพท์ปลุกให้ร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอนสีขาว ตื่นขึ้นอย่างหงุดหงิด
ทั้งที่จำได้ว่าวันนี้คงไม่ต้องรีบตื่นไปทำงานแต่เช้า เพราะมีพี่ชายคนดีเข้าบริษัทแทนมาเป็นวันที่สองแล้ว
แต่พอได้ยินเสียงอันน่าหนวกหูของโทรศัพท์ที่ดังขึ้นรบกวนโสตประสาท ก็เลยทำพลอยทำให้หัวเสียเข้าไปอีก
เพราะนึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาไม่ต้องเข้าบริษัท
[ตื่นได้แล้วครับ วันนี้คุณมีนัดกับผมนะ] เสียงนุ่มดังขึ้นทันทีที่นิ้วเรียวกดรับสาย
[เฮ้ ! ฮัลโหล คุณได้ยินผมมั๊ย ทำไมมันเงียบงี้ล่ะ] ปลายสายเอ็ดขึ้นตกใจ
เพราะไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากแทมินที่ยังคงงัวเงียไม่สร่างนอน ร่างบางยังคงหลับตาทั้งๆที่ในมือถือโทรศัพท์มือถือแนบหู
[แทมิน แทมินคุณฟังอยู่รึเปล่า คุณตื่นรึยังเนี่ย เฮ้ ] แทมินได้ยินเสียงจากปลายสายแว่วๆ
แต่ก็พอจะจับใจความได้ ด้วยคงยังอยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ร่างเล็กยังคงสนทนาอย่างงงๆ
“ตื่นแล้วน่า คุณอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”แทมินกรอกเสียงลงโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ หากให้เลือกได้
ตอนนี้เขาอยากจะเอนกายลงไปบนเตียงนอนนุ่มๆแล้วหลับฝันให้สบายต่อมากกว่า
[ผมอยู่หน้าบ้านคุณแล้ว รีบอาบน้ำแต่งตัวซะนะ ผมให้เด็กรับใช้ของคุณเตรียมชุดไว้ให้แล้ว รีบลงมาล่ะ ผมจะรอ]
ว่าแล้วปลายสายก็วางสายไป มือเรียวของแทมินปล่อยโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจ โชคดีที่มันตกลงบนเตียงนอนนุ่ม
ร่างบางทำท่าว่าจะเคลิ้มหลับอีกหน แผ่นหลังเล็กค่อยๆเอนลงบนเตียงนอนสีขาวนั้น เขากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
“จ๊ะเอ๋!!”
เสียงดังลั่นของใครบางคนที่เปิดประตูห้องนอนของแทมินเข้ามาอย่างไม่ได้ขออนุญาต
ทำเอาคนที่กำลังจะหลับต้องสะดุ้งตื่นอย่างตกใจ เปลือกตาบางลืมขึ้นอย่างตระหนก ใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆเตียงนอนของเขา
ร่างเล็กค่อยๆเรียกสติให้ชัดเจนและพิจารณาร่างนั้นอย่างถ้วนถี่
“มินโฮ…” แทมินเอ่ยขึ้นอย่างๆงง เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกทำหน้ายิ้มแย้มอย่างกวนอารมณ์
“ครับ… ผม ชเวมินโฮ ครับผม” คนตัวสูงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี แต่ต้องปรับไปเป็นสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตางงๆอีกหน
“คุณลุกไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ” เขาเอ่ยอย่างออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเครียด แทมินยังคงมองอย่างงงๆ
“ไหนคุณบอกว่า คุณอยู่หน้าบ้านไง แล้วเข้ามาในห้องผมได้ยังไง”
แม้สติจะกลับมาเกือบเต็มร้อยแล้วเพราะเสียงดังลั่นของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ แต่น้ำเสียงของแทมินที่เอ่ยถามยังคงงัวเงีย
“ขืนผมรอคุณอยู่หน้าบ้านจริงๆ ผมก็รอเก้อสิ คุณน่ะตื่นง่ายกับคนอื่นเค้าซะที่ไหนล่ะ
ผมก็ต้องแกล้งหลอกคุณอย่างนี้แหละ โผล่มาให้คุณตกใจเล่น สนุกดี”
คนตัวสูงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีก่อนจะออกแรงดึงแขนอีกคนให้ลุกขึ้นจากเตียง
แต่คนตัวเล็กยังคงแข็งขืนอยากจะนอนต่อ มินโฮจึงแสร้งทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยว่า
“คุณจะอาบเองหรืออยากมีคนช่วย” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาหวานของแทมินเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ
“ม..ไม่ อาบเอง ค ใครอยากให้คุณอาบให้กัน” เสียงเอ่ยอย่างติดๆขัดๆ
แขนทั้งสองประสานทับที่ร่างกายเสมือนไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่อย่างนั้น
ดวงตาหวานมองหน้าอีกฝ่ายอย่างระแวง มินโฮได้แต่หัวเราะน้อยๆให้กับอาการนั้น
“นี่ สำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่า ใครจะอยากอาบน้ำให้คุณ
ผมจะเรียกไอ่จินกิมาอาบให้ต่างหากเล่า โถ่ นึกว่าผมพิศวาสคุณนักเหรอ” มินโอทำเป็นพยักเพยิดหน้าอย่างหยิ่งๆ
“นี่!..อย่ามาทำหน้าแบบนั้นนะ ผ..ผม ก็ ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย” ร่างเล็กพูดก่อนจะวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำไป
“เฮ้ยย!! นี่คุณเอาชุดอะไรมาให้ผมใส่” เสียงโวยวายดังขึ้นจากคนที่อยู่ในห้องน้ำ
ที่ต้องตกใจกับเสื้อผ้าที่คนตัวสูงบอกว่าให้เด็กรับใช้เตรียมไว้ให้
“ก็ชุดของคุณไงครับ คุณรีบใส่ๆแล้วออกมาเร็วๆเถอะน่า เอาล่ะผมให้เวลาคุณอีกแค่ห้านาที
ผมจะลงไปรอคุณหน้าบ้าน ถ้าภายในห้านาทีคุณยังแต่งตัวไม่เสร็จ
คราวนี้แหละ ผมจะขึ้นมาช่วยคุณแต่งตัวเอง อ้อ แต่เปล่าพิศวาสหรอกนะ อย่าหลงตัวเองล่ะ”
คนตัวสูงเอ่ยตอบให้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง อีกฝ่ายได้แต่นึกหมั่นไส้อยู่ในห้องน้ำคนเดียว
แทมินมองชุดในมืออย่างปลงๆก่อนจะยอมใส่แต่โดยดี ความจริงชุดที่ว่าก็ไม่ได้แปลกประหลาดหรือน่าเกลียดอะไร
แต่แค่ตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่ายังไงเสื้อผ้าชุดนี้อยู่ ตัวเองก็แทบลืมไปแล้วว่าเคยมีเสื้อผ้าชุดนี้ ก็ไม่ได้ใส่มาตั้งหลายปีแน่ะ
ร่างเล็กพลางมองชุดที่ตัวเองสวมใส่ ในขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนนที่ทอดยาวไปถึงหน้าประตูบ้าน
มันถูกรายล้อมไปด้วยไม้ดัดที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยงามเต็มคฤหาสน์ของเขา
“คุณทำท่าอะไรของคุณตลกชะมัด” แทมินเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน
มองอีกฝ่ายที่ยืนกระโดดกระเต้นทำท่าทำท่างแปลกๆ
“คุณมาช้าไปสองนาที แต่ผมหยวนให้” เขาเอ่ยทั้งๆที่ยังคงทำท่าทางแปลกประหลาดนั้น
“นี่ยืนมองอะไรเล่า มาวอร์มอัพด้วยกันสิ” มินโอบอกพลางส่งสายตาเรียกอีกฝ่ายให้เข้ามา
แทมินมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ก็เลยพอจะ ออ เออ เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
ร่างสูงในชุดกางเกงวอร์มสีดำกับเสื้อแจ็คเจ็ตอะดิดาสสีน้ำเงิน รองเท้าผ้าใบสีขาวแซมด้วยสีฟ้าอ่อนๆ
คล้ายๆกับแทมินที่อยู่ในชุดกางเกงวอร์มสีดำ เสื้อยืดแขนสั้นออกกำลังกายสีเขียว กับรองเท้าผ้าใบสีขาว
“แนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมชเวมินโฮหมายเลขสอง ผมเป็นนักกีฬา เล่นกีฬ่าแทบทุกประเภท
ผมจะชวนคุณออกกำลังกายให้แข็งแรง แล้วคุณจะประทับใจในเดทของผม” คนตัวสูงพูดพลางยิ้มมุ่งมั่นอย่างมีเป้าหมาย
แทมินเริ่มรู้สึกได้ถึงภัยที่กำลังจะมาเยือน
“นี่เร็วๆเข้าสิ …วิ่งเร็วเข้า เอ้า แข็งแรงกันหน่อย วู๊วว ”
มินโฮร้องขึ้นอย่างเรียกพลัง
คนตัวสูงวิ่งอย่างมีความสุขสดใสกระปรี้กระเปร่า ในขณะที่อีกฝ่ายที่วิ่งตามมาอยู่ไม่ไกล ทำท่าคล้ายจะเป็นลม
“นี่คุณ… ไปกินกระทิงมารึไง วิ่ง…ร เร็วชะมัด รอผม ด…ด้วยสิ”
คนตัวเล็กพูดพลางกระหืดหระหอบอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามจะเร่งฝีเท้าให้ทันอีกฝ่าย
สุดท้ายร่างเล็กก็ต้องมานั่งหอบแฮ่กๆ อยู่ข้างสนามบาสในบ้าน เรียกเอาออกซิเจนเข้าปอดให้เต็มที่
ให้สาสมกับที่คนตัวสูงมาปลุกเค้าแต่เช้าแล้วพาไปวิ่งรอบหมู่บ้านเสียหลายรอบ
ทั้งๆที่แทมินเองยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการออกกำลังกายมาซะหลายปี ร่างกายเล็กๆเลยค่อนข้างจะปรับตัวไม่ทัน
ต่างจากอีกฝ่ายที่ยังคงบ้าพลังมีแรงเหลือ พอจะไปเล่นกับเจ้าลูกบาสสีส้มอยู่คนเดียวอย่างเมามันส์
จุดนี้…แทมินยอมรับ
ชเวมินโฮหมายเลขสองน่ะ เล่นกีฬาเก่ง หาตัวจับได้ยาก แข็งแรง มาดแมน สมกับเป็นผู้ชายที่สาวๆพึงจะใฝ่ฝัน
แต่
เค้าเนี่ยสิจะตายเพราะความบ้าพลังของไอ่ผู้ชายนักกีฬาคนนี้
คิดว่าคนอื่นเค้าจะถึกเหมือนตัวเองรึไงฮึ!
นี่ใช่ไม๊เดทของชเวมินโฮหมายเลขสอง
น่าประทับใจตายละ!!
แทมินมองค้อนอีกฝ่ายที่กำลังเล่นบาสอย่างเคร่งเครียดคนเดียว เห็นสีหน้าจริงจังแล้วนึกหมั่นไส้
ก่อนจะหันไปหยิบน้ำที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาดื่ม แต่เมื่อมือเรียววางขวดน้ำลง ดวงตาหวานก็ไม่เห็นใครอีกคนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ตุ่บ!
เสียงเบาๆซึ่งหากไม่อยู่ใกล้มากๆก็คงจะไม่ได้ยิน ลูกบาสสีล้มที่กลิ้งมาแต่ไกล กระทบกับเจ้าเก้าอี้หินอ่อน
ที่เขานั่งอยู่ แทมินก้มลงเก็บมัน ในใจคิดว่าจะเป็นของอีกคนที่คงแอบหนีไปเล่นที่ไหนเมื่อกี๊นี้
มือเรียวคว้าลูกบาสขึ้นไว้ในมือ สายกำลังจะสอดส่องหาเจ้าของมัน
แต่ดวงตาหวานก็พลันไปเห็นตัวอักษรที่ถูกเขียนไว้บนลูกบาสนั้น
เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกพอใจ ริมฝีปากยกยิ้มให้กับเจ้าลูกบาสในมือน้อยๆ
ก่อนจะต้องหุบลงเพราะตกใจกับเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทางด้านหน้าไม่ไกลจากเขานัก
“ส่งลูกบาสมาให้ผมด้วยครับ” คนตัวเล็กมองมินโฮอย่างเก้อๆ
ก่อนจะโยนเจ้าลูกบาสไปโดยไม่ทันได้มองว่ามันลอยไปไกลถึงคนอีกฝั่งของสนามหรือไม่ ร่างบางก็เดินหนีเข้าบ้านไปก่อนแล้ว
ตุ่บ!
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ทำท่าว่าหนักเอาการถูกวางลง อย่างไม่ค่อยจะปรานีจากเจ้าของมัน
ใบหน้าหวานของแทมินเงยหน้าขึ้นละสายตาจากตัวหนังสือในมือ อีจินกิในชุดกางเกงขาสั้นเท่าเข่า
เสื้อกล้ามสีขาวถูกสวมทับด้วยเสื้อเชิร์ตแขนสั้นสีส้มอ่อน กลุ่มผมสีดำถูกปิดด้วยหมวกสานใบขนาดพอดี
“ท๊าดาาา! ...เป็นไง ชุดพี่สวยอ่ะเปล่า เห็นชุดพี่แล้ว นายอยากจะไปเดินแถวๆชายหาดบ้างใช่ไม๊ล่า”
จินกิพูดพร้อมกับพายลำแขนออกเผยให้เห็นชุดที่แสนภูมิใจให้เต็มตา พลางพยักพเยิดหน้าอย่างเต็มภูมิ
“นี่พี่จะไปไหน?”
“ไปเที่ยว”
“ไปเที่ยว เที่ยวไหน?”
“ประเทศไทย”
“ห๊าาา ! ไปเมืองไทย ไปตอนนี้เนี่ยนะ แล้วไปกับใคร?”
“คุณจินกิค่ะ เสื้อผ้าและของใช้ของคุณแทมิน เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ให้ยกขึ้นรถเลยไม๊คะ”
จินกิพยักหน้ารับเด็กรับใช้คนหนึ่งที่วิ่งลงมาจากห้องแทมิน โดยที่เจ้าของห้องเองก็ไม่รู้เรื่องสักนิด
“หมายความว่าไง?”
“ก็หมายความว่า นายจะไปเที่ยวกับพี่น่ะสิ เอาล่ะนายเลิกอ่านหนังสือได้แล้ว ไปขึ้นรถ อย่างอื่นพี่จัดการให้แล้ว”
“เอ้า…เร็วเข้าสิ จะมางงอะไร เดี๋ยวก็ตกเครื่องกันพอดี” จินกิดึงแขนน้องชายของเขาให้ลุกขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่
รถยนต์ที่จะไปส่งที่สนามบินสตาร์ทเครื่องรอสองพี่น้องอยู่แล้ว แทมินได้แต่มึนงงกับการกระทำของพี่ชาย
ที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่คิดจะให้เค้าเตรียมตัวเตรียมใจก่อนสักนิด
ท่ามกลางความวุ่นวายของสนามบินสุวรรณภูมิ สองพี่น้องจัดการพาตัวเองออกจากเกทอย่างปกติ
เพียงแต่แทมินยังคงงงๆกับการได้มาเยือนต่างแดนแบบกระทันหัน
ในขณะที่พี่ชายของเขายังคงยิ้มแย้มอย่างกระชุ่มกระชวยกับการมาเที่ยวในครั้งนี้
ชอบนักล่ะ…อะไรที่ไม่ต้องทำงานน่ะ
จินกิสอดส่องสายตามองหาใครบางคน แต่มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับสนามบินที่มีคนพลุกพล่าน
นิ้วเรียวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขที่แสนจะคุ้นเคย
“ฮัลโหลที่รัก คุณอยู่ไหน” จินกิกรอกเสียงหวานเมื่ออีกทางเอ่ยรับสาย แทมินเหลือบมองพี่ชายอย่างแปลกใจ
ท่าทางเค้าคงจะได้เพื่อนร่วมทริปเพิ่มแน่ๆ
[จินกิ ฉันอยู่นี่…หันไปทางนั้นทำไมเล่า ทางนี้ ข้างหลังคุณนี่]
จากที่มองซ้ายมองขวาแล้วไม่พบอีกคนที่อยากเจอ ก็ต้องหันควับไปด้านหลังของตน
ก่อนฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีสุดๆ
“คิบอมมมมอา”จินกิตะโกนลั่นพลางวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างร่าเริง แทมินมองตามการเคลื่อนไหวของพี่ชาย
แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่ได้เห็น มีใครอีกคนยืนยิ้มแฉ่งให้เขาอยู่ข้างคิบอม… พี่ชายทำพิษอีกแล้ว
จินกิวิ่งเข้าไปโอบกอดคิบอมราวกับพระเอกนางเอกในนิยาย ที่วิ่งเข้ามาโอบกอดกันปานจะกลืนกิน
พอดีกันกับ ที่อีกคนที่ยืนข้างคิบอมเมื่อสักครู่เข้าวิ่งเข้ามาทำท่าจะกอดแทมินเช่นกัน
แต่โชคร้ายที่แทมินเบี่ยงตัวหลบ อีกฝ่ายก็เลยได้แต่ล้มคะมำไปบนพื้นอย่างเต็มแรง
“โอยยย…เจ็บจัง ที่รักทำกับผมอย่างนี้ได้ไง” เขาร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด
ค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
ท่าทางอีกสามคนจะไม่มีใครคิดช่วยเขาสักนิด แทมินมองอย่างไม่ค่อยจะแยแส แต่ในใจก็แอบนึกขันนิดๆ
“นี่ จินกิ อย่าเว่อได้ไม๊ ทำอย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นชาติงั้นแหละ นี่เราเพิ่งจากกันตอนขึ้นเครื่องที่อินชอนนะ…
พี่จงฮยอนอย่าสำออยลุกขึ้นมาเร็วๆ ที่นี่ไทยนะอย่าทำตัวเหมือนอยู่บ้าน ผมอายเค้า”
คิบอมบอกแบบเอือมระอาในท่าทางของจินกิ
ก่อนจะหันไปกรอกเสียงพี่ชายของตนที่กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงจะลุก
รู้ๆกันอยู่ว่าเสแสร้ง สงสัยอยากจะทำสำออยให้แทมินเห็นใจ
“แหมที่รักก็ผมคิดถึงคุณนี่ครับ จากอินชอนมาถึงสุวรรณภูมิมันก็ไกลอยู่น้า” จินกิยังคงออดอ้อนคนรักของตน
โดยไม่สนเหล่าสายตาของผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น
“ดะ..ดะเดี๋ยวนะครับ นี่พี่หมายความว่าไง ผมงงไปหมดแล้ว”
“แทมิน เอาไว้พี่จะเล่าให้ฟังบนรถนะ ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไปถึงกระบี่ช้า”
คิบอมว่าพลางลากกระเป๋าของตนนำไปก่อน โดยมีจินกิตามต่อไป แทมินมองจงฮยอนที่ทำหน้าทำตาขอความเห็นใจ
พลางเอามือลูบตูดตัวเองป้อยๆ ก่อนแทมินจะลากกระเป๋าของตัวเองตามพี่ทั้งสองไป
จงฮยอนก็ได้แต่ทำท่ากระเง้ากระงอนอย่างน้อยใจ ก่อนจะลากกระเป๋าตัวเองออกตามไปเป็นคนสุดท้าย
TBC
อยากอ่านคอมเม้น TT
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น