ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC]SHINee 2Min:Hieina ' ไฮอินะ 'ดอกไม้ขาวแห่งบัลลังก์มังกร

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 9 : งานเลี้ยงร้อยบุปผา

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 54



    Part 9 : งานเลี้ยงร้อยบุปผา















    ฟ้าดำมืดสนิท ในซอยที่เงียบสงัด มีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟนีออนที่ติดอยู่บนเสาไฟสูง ที่สาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง 
    ทุกบ้านในซอยต่างค่อยพากันปิดไฟดวงสุดท้าย เป็นสัญญานพวกเขากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราสำหรับค่ำคืนนี้แล้ว 

    มินโฮนั่งอยู่เงียบๆภายในรถยนต์สีดำหรู ที่ถูกดับเครื่องยนต์มากว่าสองชั่วโมง 
    สายตาคมเข้มคอยสอดส่องรอบๆตัวอยู่ตลอดเวลา… 


    เขากำลังรอคอยการมาของใครคนหนึ่ง…


    ที่อาจจะทำให้อะไรบางอย่างที่มันแล่นพล่านอยู่ภายในใจหยุดลงไปได้บ้าง


    เข็มของนาฬิกาเรือนสวยบนข้อมือซ้ายบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดจะสนใจมัน 






    ข้อความที่ส่งมาในโทรศัพท์ เมื่อตอนหัวค่ำ




    …แทมินบาดเจ็บสาหัส นายจะแก้ตัวว่ายังไง





    ข้อความนั้น…ดังก้องอยู่ในหัวเขา 













    แสงอาทิตย์อ่อนๆยามเช้าตรู่ที่สาดกระทบกระจกหน้ารถ ทำให้เปลือกตาบางค่อยๆปรือขึ้น ปรับรับแสง 
    มือหนายันกายขึ้นจากเบาะที่นั่งคนขับที่ถูกปรับเอนลงจนสามารถงีบหลับได้สบาย

    ภาพของเด็กชายคนหนึ่ง ที่กำลังปิดประตูรั้วหน้าบ้าน หิ้วกระเป๋าใบโตเดินไปโบกรถเมล์เพื่อไปโรงเรียน
    ชายหนุ่มเรียกสติกลับมาจนพอจะเข้าได้ว่า…


    นี่คือเช้าของการเริ่มต้นวันใหม่










    แค่ตั้งใจจะงีบหลับสักพัก… 







    นี่คืออีกหนึ่งความผิดพลาดของมินโฮ














    มินโฮนึกโกรธตัวเองอย่างหนัก… เขาพลาดนัดสำคัญ




























    ในห้องทำงานส่วนตัว มีเพียงชายเจ้าของห้องที่เดินวนไปมาอย่างวุ่นวาย ความน่าสงสัยของอะไรหลายๆอย่าง 
    ทำให้คิบอมต้องคิดอย่างจริงจังอีกครั้ง


    กระดาษใบเดิมที่มีข้อความแปลกประหลาดถูกหยิบขึ้นมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า 
    แต่ไม่ว่าจะจ้องมองมันอย่างไร ปริศนาที่อยู่ในใจก็ยังคงเป็นข้อสงสัยเหมือนเดิม





    ‘เลยเจ็ด…ศูนย์ และ สี่ มีความสัมพันธ์กันยังไงนะ?” 





    เขาคิดจนหัวแทบจะระเบิด นี่คือปริศนาที่ทำให้เขาแทบไม่มีเวลาสะสางงานที่รออยู่มากมาย 
    คิบอมรับภาระหนักขึ้นอีกหลายเท่าตัว… ภาระในส่วนของแทมิน ตกมาอยู่ที่เขาแทบทั้งหมด






    งานในเขตเซี่ยงไฮ้ซบเซาไปมาก ลูกค้าหลายรายยังเกรงกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา 
    นักเลงหลายกลุ่มที่ตั้งตัวอยากลองดี ทำตัวลอบกัดไม่เว้นแต่ละวัน


    แต่ไยนักเลงกลุ่มเล็กๆ จะอาจหาญเอาชนะเจ้าพ่อระดับสูงได้


    ผลสุดท้ายของคนพวกนั้น คือ…ตาย



    คิบอมไม่ได้ออกคำสั่ง แค่เพียงหัวหน้ากลุ่มเล็กๆของพรรค ก็พอสำหรับการปิดเหตุการณ์น่ารำคาญ




    เพราะรายได้ที่ขาดทุนไปมากของกิจการในเซี่ยงไฮ้ และรายจ่ายของหลันหลง
    ถูกแบ่งมาสำหรับการจัดงานสำคัญมากเป็นพิเศษ 
    ทำให้บรรดากลุ่มผู้ปกครองระดับล่างที่ไม่ภักดีต่อพรรคหาเหตุผล ก่อความวุ่นวาย







    … คืออีกหนึ่งเรื่องที่ต้องสะสาง




    จัดการคนนอกบางคน ไม่ต้องร้อนถึงคนในคฤหาสน์หลันหลง
    แต่จัดการคนใน คงต้องให้คุณแทมินไปสั่งสอนด้วยตัวเอง






    คิบอมเดินวนเวียนไปมาในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยตู้หนังสือของตน
    เกือบทั้งหมดคือหนังสือที่ตกทอดจากบรรพบุรุษตระกูลหลีที่ดำรงตำแหน่งเดียวกันกับเขา
    คิบอมแทบไม่มีเวลาได้เปิดอ่านมัน… 

    ทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของตำแหน่งของเขา เขาเรียนรู้มันจากสถานการณ์จริงแทบทั้งสิ้น






    มือเรียวทาบลงบนกระจกใสบนหน้าต่างที่ทอดไปเห็นแปลงสวนดอกไม้ของตนพอดิบพอดี
    ดวงตาหยุดชะงักลง เลิกคิดเรื่องเดิมไปชั่วครู่ 



    ดวงตานั้นทอดมองแปลงดอกไม้ขนาดไม่ใหญ่มากนักของตนด้วยสายตาที่ผิดแปลกไป 
    หากมองไปจากตรงนี้ ในทุกวันที่แสงจันทร์ยังไม่โผล่ขึ้นมาประดับฟ้ายามราตรี 
    เขาก็คงพอจะมองเห็นเจ้าดอกกุหลาบสีแดง ที่ยังคงหุบกลีบไว้ ก่อนจะรีบลงไปดูด้วยตัวเอง




    ดอกไม้สีแดง ดูบางตาลงไปมาก








    ภาพนั้นทำให้เขาใจหายอย่างบอกไม่ถูก ดอกไม้สีแดงของเขา 
    ไม่เคยถูกตัดออกไปจากต้นของมันจนนี้เหลือแต่กิ่งเช่นนี้ 

    หากเป็นยามปกติ มันคงจะได้ร่วงโรยและเหี่ยวแห้งไปตามวิถีของมัน








    ผู้ชายคนนั้น… คิบอมให้ดอกไม้แก่เขาไปแล้ว



















    ก๊อก ก๊อก ก๊อก



    เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้คิบอมเรียกสติกลับมา ก่อนจะหันกลับมายังพื้นที่ห้องทำงานของตน 
    ก่อนเอ่ยให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยินว่า





    “เชิญ”






    ลูกน้องคนสนิทของคิบอม ‘เผย ม่านเจียง เดินเข้ามา กล่าวทักทายอย่างนอบน้อม ยื่นซองกระดาษ ให้แก่เขาแล้วเอ่ยว่า

    “จากนายท่านครับ” คิบอมพยักหน้ารับ ม่านเจียงกลับออกไปอย่างรู้หน้าที่


    คิบอมรีบเปิดซองก่อนคลี่กระดาษสีขาวออกอ่าน ก่อนจะเก็บมันลงในลิ้นชักอย่างเรียบร้อย











    ก๊อก ก๊อก ก๊อก


    เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คิบอมส่งเสียงอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา



    หญิงสาวค่อยๆดันประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ก้าวเข้ามาภายในพื้นที่ของคิบอม รอยยิ้มหวานคือคำทักทายที่ปรากฏขึ้น
    คิบอมเพียงยิ้มรับเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า


    “สวัสดีครับ นายหญิง” 




    “เอ่อ …คือว่า คุณคิบอมคะ… แทมินจะกลับมาทันงานนี้ไหม?” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างเกรงใจ 

    “ขอโทษนะครับที่ผมต้องตอบว่า ไม่มีใครทราบจนกว่าจะถึงวันนั้น แต่เท่าที่ผมพอจะบอกนายหญิงได้ 
    คือนายท่านยังอาการไม่ดีขึ้น แต่นายหญิงไม่ต้องเป็นห่วง นายท่านมีแพทย์ที่เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด” 



    อี้เฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เตรียมจะขอตัวออกไป เพราะเกรงว่าจะรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไป 
    แต่เมื่อนึกถึงคำถามที่ตั้งใจว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานออก ก็จำต้องหันมากล่าวธุระสำคัญอีกประการว่า



    “คุณคิบอม เราจำเป็นต้องเชิญใครมางานนี้บ้าง” 

    ประโยคคำถามของหญิงสาว ทำให้คิบอมนึกถึงประโยคสุดท้ายที่อนยูเอ่ยกับเขาในคืนวันนั้นว่า





    ‘คุณคิบอมครับ งานครั้งนี้เราจำเป็นต้องเชิญแขกคนสำคัญให้มากที่สุดนะครับ’





    ประโยคคล้ายคำสั่งของอนยู และข้อความในจดหมายของแทมินที่เขาเพิ่งได้รับ ทำให้คิบอมตัดสินใจเอ่ยตอบไปว่า





    “ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับพรรคเราครับ”


























    ท่ามกลางบรรยากาศของกรุงโซลที่กำลังเดินทางมาถึงช่วงต้นของฤดูหนาว แสงอรุณแรกของวันค่อยโผล่พ้นขอบฟ้า 
    แสงสีทองอ่อนๆให้ประกายความอบอุ่นแก่หลายชีวิต ดอกไม้สีขาวนวลแย้มกลีบบ้านสะพรั่งรับเหล่าแสงอรุณนั้น






    คือวันแห่งความงดงามของสีขาวบริสุทธิ์ 







    ไฮอินะเบ่งบานเต็มพื้นที่ของคฤหาสน์หลันหลงยิ่งกว่าวันใดในรอบสิบปี สีขาวนวลครอบคลุมพื้นที่ทุกบริเวณ 
    ทุกการทอดมองของทุกสายตา คือภาพของดอกไม้ที่บานสะพรั่งสวยงามดุจดั่งปุยเมฆสีขาว







    ทุกชีวิตในอาณัติของหลันหลง รอคอยการมาถึงของวันนี้ 

    วันที่ไฮอินะจะเบ่งบานแสดงความยิ่งใหญ่และศักดิ์ศรีของมันเอง








    การรอคอยในรอบสิบปีมาถึงแล้ว วันที่ไฮอินะจะบานอย่างเต็มที่ยิ่งกว่าวันใดๆ 
    เป็นประเพณีที่พรรคหลันหลงจะจัดงาน เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ดอกไม้ที่สูงส่งของพวกเขา 

    และถือเป็นการเคารพและระลึกถึงบรรพชนของหลันหลง
    รวมทั้งเป็นการขอบคุณเหล่ามวลไม้ ที่เป็นดั่งสายธารเลี้ยงหลันหลงให้เจริญรุ่งเรืองมาได้ถึงทุกวันนี้ 




    อี้เหวินซานผู้ก่อตั้งหลันหลง เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องยาและพืชพรรณนานาชนิด 
    ในสมัยราชวงศ์ชิง เป็นจุดเริ่มต้นและก่อกำเนิดให้เกิดการค้าขายจากพืชหลากชนิด 
    ทั้งยังคงทำรายได้ให้หลันหลงจนถึงทุกวันนี้



    เช่นนั้น เหล่าดอกไม้และพืชพรรณคือหัวใจและเกียรติยศศักดิ์ศรีของหลันหลง



    มีคำกล่าวของอี้เหวินซานที่ กล่าวไว้ว่า









    ‘ดอกไม้ พืชพรรณ และสมุนไพร คือ มารดาของเรา’









    เวลาย่ำรุ่งของวันนี้ อนยูยังคงตรวจดูความพร้อมของเหล่าพืชพรรณที่จะถูกใช้ในวันนี้อย่างรอบคอบ 
    มีพืชพรรณหลายชนิดรวมถึงดอกซุ่ยเซียนแห้งที่เคยถูกสั่งให้เก็บไว้อย่างดี ก็ถึงเวลาที่ต้องออกมาตากในยามนี้ 

    สำหรับวันนี้จะไม่มีการทำลายดอกไม้หรือพรรณไม้ใดๆให้หลุดล่วงจากต้นของมัน 
    นับตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนจนวินาทีสุดท้ายของวัน



    ทุกๆอย่างได้เตรียมพร้อมมาในช่วงหลายวันนี้แล้ว 
    ทุกๆงานดำเนินไปอย่างราบรื่น เตรียมพร้อมแล้วสำหรับวันนี้



    ทุกๆคนได้ทำกันอย่างเต็มที่… ด้วยหัวใจ









    พิธีในตอนเช้าคือการเคารพเหล่าบรรพชน 
    และรวมถึงการร้องเพลงขับกล่อมดอกไม้และมวลไม้ทุกชนิด
    ในบริเวณของคฤหาสน์หลันหลง นี่ถือเป็นการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ








    แม้นไร้ลมหายใจ แม้นไม่อาจเอ่ยวจี เอื้อนคำเจรจา เฉกเช่นดอกไม้งาม 
    หรือแม้ดั่งวิญญาณที่สูญสลาย หากแต่ทำคุณงามความดีแก่เรา ก็ถือเป็นผู้มีพระคุณที่จักต้องทดแทน





    พิธีกรรมและงานในวันนี้เป็นครั้งแรกสำหรับ ช่วงเวลาของหลันหลงที่ตำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคโดย อี แทมิน 
    จึงเป็นงานต้อนรับหัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างเป็นทางการ จากเหล่าผู้อยู่ภายใต้การปกครองของหลันหลงด้วย



    หากแต่ในวันนี้…หัวหน้าพรรคไม่สามารถมาร่วมพิธีกรรมใดได้
    มีเพียงคิมคิบอมที่คอยทำหน้าที่แทน


    แม้เป็นเช่นนั้น ทุกคนก็ต่างพร้อมใจจัดงานนี้กันอย่างเต็มที่ แม้ผู้ปกครองของพวกเขาจะไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ก็ตาม

















    กระทั่ง…ตะวันคล้อยลับฟ้า เป็นเวลาของงานเลี้ยงขอบคุณเหล่าดอกไม้และผู้มีพระคุณของหลันหลง 
    อันหมายถึงบรรดาพรรคต่างๆที่เคยร่วมธุรกิจหรือแม้แต่ลูกค้าที่มอบไมตรีให้แก่กัน


    ที่เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงขอบคุณเหล่าดอกไม้และพืชพรรณนานาชนิด ก็เพราะว่า
    งานนี้จะใช้ดอกไม้และพืชพรรณในการปรุงอาหาร โดยไม่ใช้เนื้อสัตว์ใดๆ
    ดอกไม้และพืชพรรณจะถูกนำมาปรุงอาหารคาวหวานหลากชนิดที่สามารถทำให้ผู้ลิ้มลอง ได้เข้าใจ
    และรับรู้ถึงสรรพคุณและความมหัศจรรย์ที่มีอยู่ในดอกไม้ และพืชพรรณเหล่านั้นอย่างแท้จริง




    ดอกไม้มิได้มีเพียงกลิ่นหอม หากแต่มีคุณค่าเฉพาะตัวของมันเอง 







    งานเลี้ยงที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นประเพณีสำคัญในรอบสิบปี จัดขึ้นในค่ำคืนของวันที่ดอกไฮอินะเบ่งบานอย่างเต็มที่














    “ งานเลี้ยงร้อยบุปผา ”





















    ท่ามกลางบรรยากาศของค่ำคืน พื้นที่โล่งกว้างขวางนอกตัวคฤหาสน์หลันหลง 
    ถูกแต่งแต้มด้วยแสงไฟที่ประดับประดาอย่างสวยงาม 


    บรรดาเหล่าสาวงามที่แต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีในชุดจีนสีขาวชมพูในแบบเดียวกันทั้งหมด 
    ต่างเดินเรียงรายทำหน้าที่ของตน แขกคนสำคัญที่เดินทางมาถึงถูกต้อนรับโดยการล้างมือด้วยน้ำต้มดอกมู่เจิน 
    ก่อนจะเดินตามสาวงามไปยังโต๊ะที่ถูกจัดไว้สำหรับการรับประทานอาหารในค่ำคืนนี้







    คิมคิบอมในชุดจีนสีน้ำเงินเข้มเดินกล่าวทักทายแขกเหรื่อพร้อมๆ
    กับนายหญิงคนใหม่ที่สวมใส่ชุดจีนสีชมพูหวาน สวยงามสะดุดตา 



    คิบอมจัดการสั่งพี่เลี้ยงสองคน ให้คอยดูแลควบคุมไม่ให้แจฮาไปเล่นซนจนเสียงาน 

    เด็กชายผู้นี้ทำให้คิบอมต้องประหลาดใจ 
    กับเหตุการณ์ที่ผ่านมายังคงสามารถวิ่งเล่นสนุกสนานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



    หากเป็นเด็กคนอื่นก็อาจจะรู้จักเกรงกลัวและลดความซุกซนลงไปได้บ้าง
    หากวันนี้แจฮายังคงยิ้มร่าเริงเหมือนเช่นเคย 






    บรรยากาศภายในงานนั้น หอมอบอวลได้ด้วยกลิ่นของดอกไฮอินะที่ยังคงบานสะพรั่งทั่วทุกบริเวณ

    ด้วยความงามของการตกแต่งในงาน ด้วยสีสันของดอกไม้ยามค่ำคืน 
    กลิ่นหอมที่ยังลอยล่อง คือบรรยากาศที่ทำให้ทุกชีวิตรู้สึกผ่อนคลายและสุขสงบอย่างเอ่ยไม่ได้


    นี่คือบรรยากาศงานเลี้ยงที่หาไม่ได้ ณ ที่ใดบนพื้นปฐพีนี้ นอกเสียจากคฤหาสน์หลันหลง






    แขกคนสำคัญทั้งหลายต่างเอ่ยถามถึงอาการของแทมิน และจากคำตอบของคิบอม 
    ทำให้ทุกๆคนต่างรู้สึกผิดหวังที่ค่ำคืนนี้จะไม่มีคนสำคัญที่สุดมาร่วมงาน




    คิบอมและอี้เฟยนั้นต่างยุ่งอยู่กับการพูดคุยอย่างเป็นมิตรกับแขกในงาน 






    “คุณคิบอมคะ อีกสักพักคุณพ่อคงจะมาถึงค่ะ” อี้เฟยแอบกระซิบกับคิบอม อีกฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยถามว่า

    “แล้วคุณหลิวหายดีแล้วเหรอครับ” 

    คิบอมนั้นทราบข่าวว่าคุณหลิวอี้เหวิน หัวหน้าพรรคจินนั้นบาดเจ็บสาหัส 
    เพราะเป็นคนช่วยลูกสาวให้รอดชีวิตมา จึงนึกแปลกใจที่สามารถมาร่วมงานได้



    “คุณพ่อท่านอยากมาร่วมงานนี้มากค่ะ ท่านตั้งใจจะมาให้ได้ โชคดีที่ท่านแข็งแรงขึ้นเยอะ” 



    “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นข่าวดีครับ” 

















    เวลาผ่านไปไม่นาน หลิวอี้เหวินเดินทางมาถึง 
    แต่ต้องอยู่ในสภาพที่นั่งบนรถเข็นเพราะ ขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกระเบิดตั้งแต่วันนั้น 

    แขกที่มาถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายคือ ปาร์คจองซู กับลูกน้องคนสนิททั้งสอง จงฮยอนและมินโฮ 
    จึงต้องนั่งร่วมโต๊ะกับหลิวอี้เหวินอย่างช่วยไม่ได้



    แม้จะไม่อยากเจรจากับคนผู้นั้นสักเท่าใด แต่ด้วยหน้าที่คิมคิบอมจึงจำต้องต้อนรับขับสู้อย่างสมเกียรติ


    ทุกโต๊ะอาหารนั้นยังคงว่างเปล่า มีเพียงผู้ร่วมโต๊ะที่ยังคงนั่งเจรจากันอย่างออกรส 
    คิบอมแอบลอบมองปาร์คจองซูเป็นระยะ ผู้เป็นเจ้านายนั้นนั่งเจรจาอยู่กับลูกน้องที่ชื่อจงฮยอน 
    และหันไปพูดคุยกับหลิวอี้เหวินในบางครั้ง 

    ส่วนมินโฮนั้นยังคงนั่งนิ่งๆมองบรรยากาศอย่างในงานไม่พูดจาใดๆกับใคร



    ผู้ชายที่มีใบหน้าเคร่งเครียดคนนั้น




    คิบอมนึกสงสัย… แทมินเคยรู้จักกับคนแบบนี้มาก่อนจริงๆหรือ?






    ภายใต้ใบหน้าที่หล่อเหลา ดวงตาคมเข้ม คิบอมไม่สามารถเดาได้ว่าชายผู้นั้นเป็นคนเช่นไร 
    แต่ชื่อของ ชเวมินโฮก็ถูกตราเอาไว้ในรายชื่อของคนที่ไม่น่าไว้ใจสำหรับคิบอม





    คิบอมพาแจฮาออกห่างชายกลุ่มนั้น ถึงอย่างไร แม้นฐานะใด เวลานี้ แจฮาคือ คนของหลันหลง













    เม้งงงงง









    เสียงระฆังทองดังกังวาน เป็นสัญญาณสำหรับการเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการ 
    หญิงสาวในชุดจีนสีขาวนั้น เดินเรียงรายยกถาดหยกที่มีชามขนาดเล็กๆสามใบ วางหน้าแขกในงานทุกท่าน 

    เมื่อหญิงสาวยกชามวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าแขกทุกท่านจนครบ ชายผู้หนึ่งในชุดจีนสีเขียวเข้มก็ก้าวเข้ามา
    ใบหน้าของเขาแม้จะโทรมอย่างสังเกตได้แต่ก็แต้มด้วยรอยยิ้มที่แสนจริงใจ





    …นี่คือครั้งแรก ที่รอยยิ้มของอนยูปรากฏต่อสายตา คิม คิบอม






    คนที่รู้สึกไม่ชอบ ไม่เคยคิดวางใจ กลับมีรอยยิ้มที่จริงใจถึงเพียงนี้หรือ?









    แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มสำหรับเขาหรอก





    รอยยิ้มนั้น… คิบอมหวังได้พบในสักวัน












    “ในนามของหลันหลง คุณแทมิน และผม อีอนยู หัวหน้าห้องเครื่องโอสถ 
    ขอมอบงานเลี้ยงร้อยบุปผานี้แก่ทุกท่าน เพื่อเป็นการขอบคุณอย่างจริงใจ”

    อีอนยูเอ่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ผู้คนในงานต่างมองเขา รอคอยในสิ่งที่หลันหลงจะมอบให้ 


    “ สำหรับอาหารอย่างแรกที่ทุกท่านจะได้รับประทานคือ…ข้าวต้ม 
    ชามทั้งสามใบที่วางอยู่ต่อหน้าทุกท่านคือข้าวต้มที่แตกต่างกันสามชนิด 
    ใบซ้ายสุดคือข้าวต้มดอกโบตั๋น ใบกลางคือข้าวต้มดอกจู้เจิ้น และใบขวามือคือข้าวต้มดอกบัว ”



    สิ้นคำของอนยู ทุกคนต่างเริ่มลงมือรับประทานข้าวต้มทั้งสามชามของตน 
    ข้าวต้มทั้งสามชามต่างให้รสชาติที่แตกต่างและกลิ่นหอมน่ารับประทานไม่แพ้กัน 



    “อร่อยจัง” เด็กชายเอ่ยชมอย่างจริงใจ คิบอมมองภาพของเด็กชายที่ก้มหน้าก้มตากินอย่างตั้งใจ 
    ดูท่าแล้วจะไม่สนใจมินโฮของตนที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งแม้แต่น้อย คิบอมพอใจในภาพนั้น ก่อนเอ่ยกับเด็กชายว่า

    “ยังไม่หมดแค่นี้หรอกนะ นี่แค่อย่างแรก” 
    เด็กชายตัวเล็กเงยหน้าขึ้น ก่อนยิ้มอย่างดีใจ เขารู้สึกตื่นกับงานเลี้ยงที่มีอาหารแปลกตาเช่นนี้



    “พี่คิบอมเคยกินแล้วเหรอครับ” 


    “ก็ต้องเคยสิ เมื่อสิบปีที่แล้วตอนอายุสิบสาม ” 


    “แล้วพี่แทมินล่ะครับ” แจฮาเอ่ยด้วยความสงสัย พลางตักข้าวต้มเข้าปาก รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย


    “ตอนนั้น พี่แทมินไปอยู่อังกฤษแล้วล่ะ” 

    อี้เฟยแอบลอบมองการสนทนาของคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ 
    รู้สึกแปลกใจกับท่าทางผ่อนคลายของคิบอม เธอเองยังไม่เคยเห็นชายหนุ่มในแบบนี้มาก่อน

    คุณคิบอมที่ใครก็เกรงใจนักหนา ที่จริงแล้ว ดูท่าทาง…ใจดี


    เด็กผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงได้สัมผัสด้านที่เรียบง่ายของคิบอม







    ‘ลูกชายของเพื่อนนายท่านที่เสียชีวิตไปแล้ว’ คิบอมเคยบอกกับเธอแบบนั้น














    เมื่อแขกต่างรับประทานข้าวต้มทั้งสามจนเสร็จ หญิงสาวต่างเข้ามาเก็บชามและยกถาดหยกขาวที่มีถ้วยสี่ใบ 
    ภายในมีอาหารน่าตาน่ารับประทาน วางต่อหน้าแขกทุกคน ก่อนที่อนยูจะกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า

    “ประเพณีของงานเลี้ยงร้อยบุปผา นั้นมี สามข้าวต้ม สี่กับ หกสุรา ห้าขนมเปี๊ยะ สามอาหารพิเศษและหนึ่งดนตรี”

    “และที่อยู่ต่อหน้าทุกท่านตอนนี้คือ สี่กับ ถ้วยทั้งสี่ใบคือ กับสำหรับวันนี้ 
    เกี๊ยวนึ่งใบยี่เถา เต้าหู้คลุกเจี้ยนหลัน ข้าวปั้นอบใบกึ้งไฉ่สามสี และถ้วยสุดท้ายคือแป้งทอดแย้มสรวล” 




    สิ้นคำของอนยู หลายคนที่ไม่เคยมาร่วมรับประทานอาหาร
    ในงานเลี้ยงร้อยบุปผามาก่อนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ 

    อนยูกล่าวขึ้นต่อว่า



    “เรามีปริศนาอยากให้ทุกท่านลองทายดู ว่ากับถ้วยสุดท้ายมีค่าเท่าไร?” 


    เกิดเสียงพูดคุยจอแจ หลายคนแปลกใจกับคำถาม
    หลายคนไม่เข้าใจในคำถาม บางคนส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะลองคิด





    เสียงเล็กๆของเด็กชายแจฮาดังขึ้นท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นว่า




    “ทองคำพันชั่งครับ” 





    อนยูยิ้มรับคำตอบนั้นด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วเอ่ยว่า

    “ถูกต้องครับ”




    เสียงปรบมือดังขึ้น ผู้คนในงานต่างจ้องมองเด็กชายอย่างชื่นชม แจฮาลุกขึ้นโค้งศีรษะพร้อมกับรอยยิ้มแทนคำขอบคุณ



    มินโฮมองภาพนั้น ก่อนจะปรบมือเหมือนเช่นคนอื่นๆ 




    “เป็นเรื่องราวในสมัยราชวงศ์ฮั่น ฮ่องเต้และนางสนมเดินชมอุทยานหลวงและพบกับดอกเป่าเซียง 
    ฮองเต้ได้กล่าวขึ้นว่า ‘บุปผาแย้มยิ้มสรวล’ นางสนมผู้นั้นจึงถามกลับในทันทีว่า 
    ‘รอยยิ้มนั้นขายได้หรือไม่’ ฮ้องเต้จึงตอบว่า ‘ได้ ต้องนำทองคำมาพันชั่ง’ 
    ดังนั้นดอกเป่าเซียงจึงเรียกอีกอย่างว่า ‘ดอกไม้ขายยิ้ม’ 

    กับในถ้วยสุดท้ายของเราจึงเรียกว่าแป้งทอดแย้มสรวล หรือแป้งทอดดอกเป่าเซียงนั่นเองครับ” 















    หลังจากกับทั้งสี่อย่าง ก็เป็นเวลาของหกสุรา และ ห้าขนมเปี๊ยะ 






    แจฮาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเมื่อคิบอมกล่าวถึงเหตุผล ที่ไม่มีสุราสักจอกวางอยู่ต่อหน้าเขา 
    แถมยังบอกว่าทราบดีว่าสุราไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเด็กอย่างเขา หรือแม้แต่ใครก็ตาม 
    แจฮาเอ่ยเช่นนั้นก่อนที่จะนั่งรอรับประทานขนมเปี๊ยะทั้งห้า อย่างเรียบร้อย


    ชายหนุ่มนึกเอ็นดูในความว่าง่ายของเด็กตัวเล็ก 




    แขกเหรื่อในงานรู้สึกถูกอกถูกใจกับรสชาติของอาหารทั้งคาวหวาน หลายคนที่เคยมาร่วมงานนี้เมื่อสิบหรือยี่สิบปีก่อน 
    ยังคงรู้สึกประทับใจในอาหารของค่ำคืนนี้แม้จะเป็นเมนูที่ตอนเคยรับประทานก็ตาม



    หลังจากที่เมนูทั้งหลายที่ได้มอบความอิ่มหนำสำราญให้แก่แขกในงานแล้ว 
    ทุกคนต่างรอคอยเมนูสุดท้ายของวัน เมนูที่จะไม่ซ้ำกันในแต่ละปี นั่นคือ…สามอาหารพิเศษ







    “อาหารอย่างสุดท้ายสำหรับค่ำคืนนี้ คือ อาหารพิเศษที่แต่ละครั้งของงานเลี้ยงร้อยบุปผาจะบรรจงสร้างสรรค์มาไม่เหมือนกัน ”



    หญิงสาวทั้งหลายเดินเข้าเสิร์ฟอาหารอย่างสุดท้าย อนยูมองภาพตรงหน้า อาหารที่เขาตั้งใจทำขึ้นปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกๆคนแล้ว 




    คิบอมที่อยากรู้อยู่แล้วว่าอาหารพิเศษสำหรับปีนี้คืออะไร แต่กลับได้คำตอบจากอนยูที่บอกให้รอดูในวันงาน 
    คิบอมมองอาหารที่วางอยู่ต่อหน้าตนอย่างแปลกใจ




    ‘เขาทำอะไรมานะ หน้าตาแปลกๆ’


    เมื่อพอลอบมองไปยังคนต้นเหตุ ฝ่ายนั้นก็ได้แต่มองมาทางเขาด้วยสายตาที่คิบอมเองก็ไม่เคยเห็น





    สายตาที่มองอย่างมีความหวัง

    สายตาที่มองด้วยคำขอโทษ



    ‘อนยู?’


    คิบอมพยายามควบคุมอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาครุ่นคิดอย่างนัก หัวใจนั้นเต้นอย่างรวดเร็ว หากแต่ไม่เป็นผล








    เมื่อเสียงในอดีตของใครบางคนดังก้องขึ้นมา พร้อมๆกับสายตาของอีอนยูที่มองมาทางเขา





    ‘ถ้านายเก่งพอ ฉันจะกลับมาเล่นด้วย’







    ดวงตาทั้งสองที่ประสานกัน ความรู้สึกบางอย่างของทั้งคู่ คนทั้งสองตกอยู่ในความคิดของตน 





    อนยูเรียกสติกลับมาและรีบกล่าวว่า

    “ที่อยู่ต่อหน้าทุกท่านนั้นคือสามอาหารพิเศษสำหรับปีนี้ ประกอบด้วย ขนมกรอบติงเชียง ขนมหมี่น้ำดอกชา และ…” 

    อนยูทิ้งจังหวะสุดท้าย มองหน้าคิบอมก่อนจะเอ่ยว่า









    “น้ำดอกพิริสเคีย”






    !!





    ชื่อดอกไม้แปลกประหลาด สำหรับผู้ที่ไม่เคยพบเห็น ไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อ 
    คงไม่นึกแปลกใจหรือสงสัยอะไร หากแต่คนที่หวงแหนมันมาเกือบทั้งชีวิต…





    หัวใจทั้งดวงนั้นแทบหยุดเต้น


    ชื่อดอกไม้แสนรักถูกประกาศกร้าวกลางงาน 






    คิมคิบอม วางตะเกียบในมือ 




    อีอนยู?








    ชื่อนี้ทำให้เขาต้องรู้สึกถึงความจุกที่มีอยู่ในอก ชายหนุ่มไม่เอ่ยวาจาใด ยังคงนิ่งกับประโยคนั้น 
    จ้องมองคนที่ยังยืนยิ้มให้กับแขกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น 




    กับบางสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปด้วยตนเอง คิบอมไม่สิทธิโทษใคร




    ชายหนุ่มพยายามเรียกสติกลับมา จ้องมองอาหารตรงหน้าอีกครั้ง






    แปลก… ทำไมตอนที่คนยกมันมาเขาไม่ได้กลิ่นของพีริสเคียสักนิด 
    คิบอมมั่นใจว่า เขาสามารถจดจำกลิ่นของดอกไม้ของตนได้อย่างแม่นยำ 
    หากพิริสเคียอยู่ใกล้ของถึงเพียงนี้ หนำซ้ำยังวางอยู่ต่อหน้าคนทุกคนในทุกโต๊ะ เขาต้องได้กลิ่นของมันแน่




    ชายหนุ่มมองอี้เฟยและแจฮาที่รับประทานอาหารทั้งสามของตน ก่อนจะค่อยดมกลิ่นน้ำสีหวานที่อยู่ในถ้วยใบสุดท้ายอย่างตั้งใจ










    “ไม่มี” คิบอมเอ่ยพึมพำเบาๆ 

















    ไม่มีกลิ่นของพิริสเคียสักนิด!! 

    ถ้าคิบอมจำไม่ผิด นี่มันกลิ่นของไฮอินะชัดๆ!








    ทำไม อีอนยูถึงกล้านำไฮอินะ มาใช้ในงานเช่นนี้?




    สำหรับไฮอินะ กลิ่นหอมของมันยามเมื่ออยู่บนต้น อาจจะหอมจนยากจะลืม หากแต่ยามที่มันถูกนำมาปรุง
    ดั่งเช่นวันที่เขาดิ่มสาบานเข้ารับตำแหน่งนั้นกลิ่นของมันจะเปลี่ยนไป …และจะหอมมากเป็นร้อยเท่า







    คิบอมจำกลิ่นนั้นได้ดี กลิ่นของน้ำชา…ที่ใครๆก็ต้องการ







    ไม่แปลกใจเลย หากทุกคนในงานตอนนี้ดูจะชื่นชมอาหารพิเศษของปีนี้มาก น้ำในถ้วยสุดท้าย คงจะตราตรึงใจไปอีกนาน





    หากแต่สิ่งที่คิบอมสงสัยตอนนี้


    อีอนยู?




























    “และคำขอบคุณสุดท้ายจากหลันหลงที่ขอมอบให้แก่ทุกนั้นในค่ำคืนนี้ …หนึ่งดนตรี” 
    ในขณะที่คิบอมกำลังกล่าวอย่างภาคภูมิใจนั้น 







    ใครคนหนึ่งกำลังพยายามหาทางออกจากงาน เขาตัดสินใจใช้จังหวะนี้ เอ่ยขอตัวกับผู้เป็นนาย

    “ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำครับ”










    “หนึ่งดนตรีสำหรับค่ำคืนนี้ คือการบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีจีน …กู่เจิง 
    ผู้บรรเลงคือหญิงงามนามว่า ‘ไฉซือเหยียน’และนี่คือคำขอบคุณที่จะขับกล่อมทุกท่านอย่างจริงใจ”


    สิ้นเสียงของคิบอม บนเวทีของงาน ม่านผืนสวยค่อยเคลื่อนออก ก็ปรากฏภาพของหญิงสาวในชุดจีนเหลืองอ่อน
    ใบหน้างดงามนั้นถูกปิดไว้ด้วยผ้าปักลายดอกไม้สีขาว 
    เผยให้เห็นเพียงดวงตาอ่อนหวาน ที่ทำให้ใบหน้าที่ถูกปิดไว้นั้นงดงามยิ่งนัก









    เสียงดนตรีเริ่มบรรเลง เนิบช้า…หากแต่อ่อนหวาน


    เพียงโน้ตท่อนแรกของเสียงเพลง ผู้คนในงาน ดั่งตกอยู่ในมนต์ของดนตรี







    บทบรรเลงที่ขับกล่อมอย่างอ่อนหวานและแสนเศร้า เสียงดนตรีที่บ่งบอกถึงความทุกทรมานใจของใครคนหนึ่ง 




    ดั่งการรอคอยที่แสนเลือนราง แม้จะนานแสน แต่ยังคงมีแสงของความหวังประกายอยู่ที่หนทางแสนไกล




    สายใยที่ถูกถักทอบนความเจ็บปวด ใครคนหนึ่งยังคงเฝ้ารอ… ทุกกาลเวลา










    นํ้าตาอันสุกสกาวของเธอนั้น แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
    ไฮอินะสีขาวนวลได้เกี่ยวอดีตของเราสองไว้ด้วยกัน
































    เสียงดังของดนตรีที่บรรเลงโดยนักดนตรีที่กำลังขับกล่อมผู้คนในงานนั้น 
    เรียกให้ใครคนหนึ่งที่กำลังเดินหาอะไรบางอย่างด้วยความกระวนกระวายใจ ในความมืดเพียงลำพัง ต้องหยุดชะงักลง



    เท้าทั้งสองข้างหยุดนิ่ง ก่อนค่อยๆได้ยินเพียงเสียงของดนตรีอันไพเราะที่ดังมาแต่ไกล 




    ดวงตาเบิกขึ้นอย่างตกใจ ความรู้สึกบางอย่างวิ่งพล่านเข้ามา 

    แทบจะทันที ชเวมินโฮ รีบวิ่งกลับเข้าไปในงานอย่างรวดเร็ว…




















    เสียงปรบมือดังกึกก้อง ผู้คนในงานต่างยิ้มแย้มด้วยความประทับใจ นักดนตรีหายไปจากตรงนั้นแล้ว…
























































    ยามราตรีดึกสงัด หลังจากเก็บกวาดและดูแลสถานที่จนเรียบร้อย 
    ร่างกายที่ต่างเหนื่อยล้าเพราะการทำงานหนักติดต่อกันมาหลายอาทิตย์ 
    ทุกคนในคฤหาสน์หลันหลงก็เตรียมพร้อมจะเข้านอนและพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ 


    ในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็หลับใหล ใครคนหนึ่งในความมืด 
    สายตาคมเฝ้ามองยังชั้นบนสุดของคฤหาสน์ที่อยู่ห่างออกไป หน้าต่างที่มืดสนิท 
    เจ้าของห้องคงเข้านอนไปเสียแล้ว หรืออาจจะ…ยังไม่กลับมา



    ชเวมินโฮ มองไปยังที่ตรงนั้น ก่อนจะตัดสินใจ





    มือหนาสัมผัสอาวุธคู่กาย ตรวจสอบว่ามันยังอยู่ดี
    ก่อนจะกระโดดขึ้นบนกำแพงอิฐสูงด้านหลังคฤหาสน์ข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งเงียบๆ 



    ดวงตามองสำรวจรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะค่อยวิ่งด้วยความระมัดระวัง 
    เป้าหมายของเขาคือห้องนอนชั้นบนสุดของตัวคฤหาสน์ 




    ค่ำคืนนี้ดูเงียบสงัด มีเวรยามเฝ้าอยู่น้อยกว่าทุกคืน 
    หากแต่ชายหนุ่มอยู่ในชุดของคนงานในห้องเครื่องโอสถ เพราะถ้าหากมีข้อผิดพลาด
    ต้องเผชิญหน้ากับใครสักคน ก็คงพอจะอ้างไปได้ว่า เป็นคนของที่นี่





    ชายหนุ่มวิ่งตัดผ่าน บริเวณด้านข้างของทุ่งดอกไฮอินะ ที่ยังบานสะพรั่งเต็มพื้นที่ 
    เขามองดอกไม้เหล่านั้น ค่อยคลี่ยิ้มจางๆก่อนรำพึงในความมืดนั้นว่า





    “หากเจ้ายังบานอยู่ แปลว่าเธอยังปลอดภัยใช่หรือไม่?…โปรดให้โอกาสฉันได้รับรู้มันด้วยตนเอง”







    ชายหนุ่มเอ่ยแค่นั้น ก่อนจะรีบก้าวเดินต่อไปยังหน้าห้องเครื่องโอสถ 
    กลิ่นหอมของพืชพรรณนานาชนิดยังคงทำให้เขารู้สึกดี มีเสียงพูดคุยของใครบางคน 
    ชายหนุ่มรีบเลี้ยวตัวหลบ ก่อนคนกลุ่มนั้นจะออกมา




    “คนที่เล่นกู่เจิงในงานวันนี้ นี่ใครกันวะ ฉันไม่เคยเห็นหน้า” 
    ชายผู้หนึ่งเอ่ยถามกับเพื่อนของดขาที่กำลังเดินออกจากห้องเครื่องโอสถพร้อมกัน


    “ฉันก็ไม่รู้จักหรอก แต่ได้ยินคุณคิบอมบอกว่า 
    เป็นหลานของคนงานที่เคยทำงานที่นี่ตั้งแต่สมัยท่านเสี่ยวหมานแล้ว”

    “หลานใครวะ? ฉันรู้จักรึเปล่า”

    “แกจะรู้จักได้ยังไง ก็ลุงแกลาออกกลับไปอยู่เมืองจีนตั้งนานแล้ว” 

    ชายหนุ่มลอบฟังบทสนทนานั้นอยู่เงียบๆ จนชายทั้งสองเดินห่างออกไป 
    เขาครุ่นคิด รู้สึกขัดใจอะไรบางอย่างกับบทสนทนาเมื่อครู่




    “นี่นาย มาทำอะไรตรงนี้” 




    เสียงของชายคนหนึ่งจากด้านหลัง ทำให้เขาต้องหันไปมองอย่างตกใจ ก่อนจะรีบเอ่ยพัลวันว่า



    “เอ่ออ…ผมมาดูความเรียบร้อยครับ” โชคดีที่เขาอยู่ในชุดของคนงานในห้องเครื่องโอสถ ชายผู้นั้นจึงไม่ค่อยสงสัย 



    “ก็งานของห้องเครื่องโอสถ คุณอนยูตรวจความเรียบร้อยไปแล้วนี่”เขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “อ่อ ผมมาดูอีกที เผื่อมีอะไรไงครับ” ชายผู้นั้นส่ายหัวก่อนจะเริ่มหาวเพราะความง่วง ไม่อยากสนทนาอะไรต่อ จึงเอ่ยว่า

    “ไปนอนเถอะ ฉันง่วงมากแล้ว” เขาตัดบท ก่อนยกมือลา เดินนำไป 




    “เดี๋ยวครับพี่” 



    ชายผู้นั้นหันกลับมาแล้วถามว่า


    “อะไรอีกวะ”

    “เอ่อ… พี่เห็นนายท่านในงานไหมครับ” 

    “จะไปเห็นได้ยังไง นายท่านยังพักรักษาตัวอยู่เลย”

    “หมายความว่าไงครับ นายท่านบาดเจ็บจริงๆเหรอครับ”

    “เอ๊ะ! ไอ้นี่ ก็เออสิวะ ใครๆเขาก็รู้กันทั้งแหละว่านายท่านโดนระเบิดตอนงานแต่ง” 


    “โดนระเบิด?” มินโฮเอ่ยกลับตัวเองเบาๆ ด้วยความสงสัย อีกฝ่ายได้ยินจึงตอบว่า


    “ใช่ ตอนนี้บาดเจ็บสาหัส รักษาตัวอยู่จะมาเดินอยู่ในงานได้ไง 
    ก็มีแต่คุณคิบอมและคุณอี้เฟยที่ออกหน้าแทน แกไปอยู่ไหนมาเนี่ย” เขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “เอ่อ… พอดีผมลางานเพิ่งกลับมาวันนี้เองครับ”


    “อ๋อเหรอ” เขาพูดก่อนจะหันกลับ เดินตรงไปยังห้องนอนของตน เอ่ยอย่างงงๆ กับตัวว่า



    “ช่วงงานเลี้ยงร้อยบุปผา ลาได้ด้วยเหรอวะ?”









    ชายผู้นั้นเดินจากไปแล้ว ชายหนุ่มทอดมองไปยังห้องหนึ่งในชั้นบนสุดของคฤหาสน์อีกครั้ง 




    “ ไม่ได้อยู่ในนั้นจริงๆหรือ? ”




















    ชั้นบนสุดของคฤหาสน์เงียบสงัด ชายหนุ่มพยายามปีนขึ้นระเบียงจากทางด้านหลัง 
    ประตูบานใหญ่ที่ริมระเบียงถูกล็อคไว้ ผ้าม่านสีสวยถูกปิดไว้เพียงด้านหนึ่ง 
    แสงจันทร์สาดกระทบผ่านกระจกใส จึงพอทำให้มองเห็นภายในห้อง



    มินโฮลอบมองจาก ด้านนอกอย่างระวัง ในห้องนอนนั้น 
    มีเพียงหญิงสาวที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่บนเตียงสี่เสาเพียงผู้เดียว 
    เขาพยายามสังเกตมองบริเวณรอบๆห้อง ไม่มีใครคนอื่นอีก ชายหนุ่มครุ่นคิดชั่วครู่ 




    “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” 





    เสียงหนึ่งดังขึ้น หญิงสาวภายในห้องกำลังมองมาทางนี้ ในมือบางนั้นมีปืนหนึ่งกระบอกเล็งมาทางนี้
    ชายหนุ่มรีบกระโดดลงอย่างรวดเร็ว 






    หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียง เดินมาตรงระเบียงช้าๆ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว 

































    หนทางเดิม ชายหนุ่มวิ่งตัดผ่านด้านข้างของทุ่งดอกไฮอินะ 
    ครั้งนี้สายตาคมสังเกตเห็นหอสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางดอกไม้นับพัน 
    แสงจันทร์ส่องกระทบทำให้เห็นหน้าต่างบานเล็กที่ถูกปิดไว้สนิทตรงชั้นบนสุด 



    เขาหยุดมองภาพนั้น เสียงหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล






    เสียงของดนตรีหวานค่อยๆดังขึ้น ชายหนุ่มตั้งใจฟังก่อนจะได้ยินมันอย่างชัดเจน



    เสียงของ…กู่เจิง


    เสียงดนตรีนั่น


    มันคือเพลงเดียวกับที่เขาได้ยินในวันนี้ที่งาน







    ท่วงทำนอง ที่คุ้นเคย ท่วงทำนองไพเราะ อ่อนหวานแต่เร้นด้วยความเศร้า


    รับฟังด้วยความมั่นใจ …เสียงเพลงดังมาจากหอสูงที่อยู่ตรงนั้น 




    ชายหนุ่มรีบวิ่งไปยังหอสูงนั้นอย่างรวดเร็ว !

























    ลมหายใจหอบถี่ เขามาถึงด้านล่างของหอสูง 
    ก่อนจะพยายามฟังเสียงของดนตรีอีกครั้ง หากแต่เสียงเพลงนั้นเงียบหายไปแล้ว 






    ชายหนุ่มหยุดยืนนิ่ง ไม่มีแม้เสียงดนตรีใด ดวงตาทอดมองไปยังชั้นบนสุดอย่างผิดหวัง 


    ก่อนจะตัดสินใจหันหลังกลับ หากแต่…




    ไม่ไกลจากเขา ใครคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางดอกไม้ทั้งมวล 






    หญิงสาวในชุดจีนสวยงาม กำลังจะเดินจากไป



    “เดี๋ยวก่อน” 



    มินโฮเรียกเธอไว้ ใครคนนั้นหยุดนิ่ง 




    “เธอเป็นใคร?” 




    หญิงผู้นั้นค่อยหันกลับมา ใบหน้านั้นถูกปิดด้วยผ้าปักลายดอกไม้สีขาว เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่มองตรงมายังเขา 






    “ไฉซือเหยียน” 








    ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ …เขามองเธอนิ่ง หญิงสาวเพียงยิ้มให้บางๆภายใต้ผ้าลายสวยผืนนั้น 


    บางสิ่งเกิดขึ้นในจิตใจ




    ดวงตาคมเข้ม ภายใต้กรอบใบหน้าที่หล่อเหลานั้น จดจ้องไปยังหญิงสาวด้วยความสงสัย


    “ไฉซือเหยียนเป็นใคร?” 






    “เป็นนักดนตรี” 



    หญิงสาวผู้นั้นตอบเรียบๆ ก่อนจะหันหลังกลับ



    “เสียงเพลงเมื่อกี้เป็นของเธอหรือเปล่า?”




    ในความมืดนั้น ชายหนุ่มเฝ้ารอคำตอบ ภาพตรงหน้ามีเพียงหญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางดอกไม้ทั้งมวล ก่อนจะมีเสียงดังขึ้นว่า









    “เสียงเพลงไม่ใช่ของนักดนตรีเท่านั้น…หากแต่เป็นของนักดนตรีและผู้ฟังดนตรี”
















    มินโฮมองภาพหญิงสาวเดินจากไป 


























    TBC


















    ขอบคุณข้อมูลจาก 'กระบี่อภิญญา' โดยเจิ้งฟง













    Talk: ไรเตอร์มีเรื่องอยากเล่ามากมายเลยค่ะ ความจริงตอนที่เก้านี้ อยากให้ออกมาดีกว่านี้
    แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างจึงออกมาเป็นเช่นฉะนี้ 

    มีสิ่งหนึ่งที่ไรเตอร์ควรจะบอกกับรีดเดอร์ที่น่ารักนานแล้ว แต่ไม่ไ่ด้บอกคือ


    ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นภายในฟิคเรื่องนี้ คือจินตนาการและความรักของผู้เขียน 
    หากมีข้อผิดพลาดหรือสิ่งใดที่ขัดกับความเป็นจริง อยากขอให้รีดเดอร์เข้าใจและให้อภัยไรเตอร์ด้วยนะคะ


    อ้อ อีกอย่างค่ะ อ่านฟิคเรื่องนี้ ต้องคิดเยอะๆค่ะ การกระทำของทุกตัวละคร ทุกเหตุุการณ์มีเหตุผล มีปัจจัยประกอบ
    ลองประกอบเรื่องราวแต่ละตอน การกระทำแต่ละอย่างเข้ากันดูนะคะ รีดเดอร์อาจจะเจออะไรดีๆ
    ทุกกระทำมีที่มามีเหตุผลเป็นของมันเองค่ะ ^^




    อยากตอบทุกเม้นเหมือนเดิม แต่เน็ตไม่อำนวย ช่วงนี้เล่นร้าน มีเวลาไม่มากค่ะ ขอบคุณรีดเดอร์ด้วยหัวใจนะคะ

    เม้นทุกเม้นมีความหมาย ยูสทุกยูสที่มาโพส ไรเตอร์อ่านด้วยความตั้งใจไม่น้อยกว่าห้ารอบทุกอัน





    หากมีสิ่งใดสงสัยโปรดถามนะคะ อยากตอบมากกกก



















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×