ตอนที่ 4 : [two-shot] Always (WENGI) -- shot 1
can wait
.
I will believe in you
.
even in our fate
.
.
.
--------------------------------------------------------------
Shot. 1
10 ปีก่อน...
มันเป็นช่วงปิดเทอมหนึ่งตอนสมัยมัธยม ช่วงเดือนพฤศจิกายนเห็นจะได้ ด้วยความที่น้องชายของแม่ฉันกำลังจะแต่งงานกับสาวในฝันเสียที งานแต่งจึงถูกจัดอย่างเรียบง่ายที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาวที่อยู่ต่างจังหวัดในประเทศไทย ส่งผลให้ฉันที่มีเชื้อไทยครึ่งนึงจากแม่ต้องพาร่างของตัวเองนั่งเครื่องมายังประเทศที่แม่เกิด
หลังจากอยู่บนเครื่องบินนานกว่าห้าชั่วโมงเพื่อแวะไปหาคุณยายที่กรุงเทพมหานครเสร็จก็ต้องเดินทางไปยังจังหวัดทางภาคเหนืออีกสิบชั่วโมงด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลที่ใครสักคนในครอบครัวฝั่งแม่ขับพาไปในคืนนั้นเลย
มันเป็นการเดินทางที่คนขี้เซาอย่างฉันหลับแทบตลอดทาง พอตื่นมาอีกทีก็เห็นเพียงป่าเขาสลับทุ่งข้าวไร่นาดูแปลกตายิ่งนัก ฉันมองวิวรอบข้างที่ไหลไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถยนต์จนกระทั่งรถค่อยๆชะลอและจอดลงในที่สุด
สถานที่ที่เรามาเป็นหมู่บ้านที่เจ้าสาวอยู่ซึ่งมีขนาดเล็กมากจนน่าประหลาดใจ ฉันที่ไม่ค่อยได้มาไทยเท่าไหร่นักลองพยายามเดินสำรวจดูสักสิบถึงสิบห้านาทีก็เดินหมดหมู่บ้านแล้ว ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่สิ่งก่อสร้างล้วนทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ มีทุ่งหน้าเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเพราะชาวบ้านที่นี่นิยมทำนาเป็นอาชีพหลัก แม่ยังบอกอีกว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งอยู่บนภูเขา ต้องนั่งรถกว่าชั่วโมงกว่าจะเข้าตัวเมืองได้ ฉันที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่แปลกใจกับระยะเวลาที่เราเดินทางมาเนิ่นนาน
ไม่รู้ว่าเพราะหมู่บ้านเล็กหรือฉันความจำดีเกินไปทำให้ฉันสามารถจำหน้าคนในหมู่บ้านนี้ได้เกือบทั้งหมู่บ้าน แต่ไม่รู้ชื่อพวกเขาหรอกนะ อาจเพราะไม่ได้อาศัยอยู่ที่ไทยบ่อยเหมือนคนอื่น ทำให้ฉันไม่กล้าสื่อสารภาษาแม่กับใครสักเท่าไหร่
แต่ยกเว้นเด็กผู้หญิงคนนึงนะ
เธอเป็นเด็กผู้หญิงผิวขาวจัดแบบคนเหนือ(แม่บอกว่างั้น) รูปร่างกลางๆค่อนไปทางอวบ ใบหน้าเรียวยาวรับกับปากแดงกระจับที่ชอบเบะเวลาไม่ได้ดั่งใจ จมูกรั้นยู่ลงตามคิ้วที่ขมวดเป็นปมจนฉันอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วไปกดลงที่หว่างคิ้วแล้วคลึงให้เธอเบาๆอยู่บ่อยครั้ง เธอเป็นเพื่อนคนแรกในหมู่บ้านนั้นของฉัน เธอชื่อว่า ‘ซืนวาน’ ฉันรู้จักกับเธอหลังจากที่อาสาไปช่วยญาติยกเก้าอี้สำหรับเลี้ยงโต๊ะจีนงานแต่ง จริงๆทุกคนในหมู่บ้านต่างมาช่วยกันจัดด้วยแหละ แต่ไม่มีใครที่ฉันจำได้แม่นเท่าเธอคนนี้
ฉันบอกซืนวานว่า ชื่อเธอออกเสียงคล้ายๆชื่อคนเกาหลีเลย เจ้าตัวทำเพียงเลิกคิ้วแล้วพูดว่า ‘เหรอ แล้วมันดีมั้ยล่ะ’ พอฉันตอบว่ามันดีมากๆเลยเธอก็ยิ้มจนแก้มยุ้ยนั่นแดงปลั่งดุจลูกมะเขือ ก่อนจะพูดขอบคุณขึ้นมาเบาๆ
ตลอดสองสัปดาห์ที่ฉันอาศัยอยู่หมู่บ้านนั้นและได้พูดคุยได้เล่นกับซืนวานมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก เสียงหัวเราะของซืนหวานทำให้โลกสดใสจนน่าประหลาด เวลาเธอยิ้มจนตาหยีส่งมาให้ฉัน มันสวยจนหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอเหมือนพระอาทิตย์ที่มอบความสุขและความสดชื่นให้ฉันตลอดเวลาเลย
แต่ว่าพระอาทิตย์ก็มีวันดับ การจากลาระหว่างฉันกับซืนวานก็เช่นกัน
มันเป็นวันธรรมดาวันนึงที่ไม่ใช่วันเสาร์หรือวันอาทิตย์เพราะซืนวานต้องนั่งสามแถวที่คนในหมู่บ้านรับจ้างขับอยู่เข้าไปในตัวเมืองเพื่อเรียนหนังสือ ฉันที่จำต้องกลับไปยังประเทศที่ตัวเองจากมาทำได้แค่ยิ้มมองหน้าซืนวานที่เริ่มเบะ ตากลมมีหยาดน้ำใสคลอหน่วงดูน่าสงสารจับใจนัก
“ตั้งใจเรียนนะวานอา”
“อือ”
เธอครางตอบในลำคอสั้นๆ ตอนนี้เราสองคนยืนไม่ไกลจากรถสามแถวที่กำลังจะพานักเรียนไปส่งตามโรงเรียนต่างๆในตัวเมือง แน่นอนซืนวานก็ต้องไปโรงเรียนเหมือนกัน
“ฉันมีของเล็กๆน้อยๆจะให้เธอนะวานอา”
“...”
“มันเป็นกำไรที่แม่ซื้อให้ฉันเป็นของขวัญวันเกิดน่ะ มันมีชื่อฉันสลักอยู่คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”
“เราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ล่ะซึลกิ”
ฉันส่งยิ้มให้กับคนถาม ปกติซืนวานจะไม่เรียกชื่อเต็มของฉัน เจ้าตัวเอาแต่เรียกว่ากิๆอยู่ตลอดโดยซืนวานให้เหตุผลว่าคนไทยถ้าสนิทกันก็เรียกชื่อกันสั้นๆแบบนี้แหละ ฉันจึงไม่ได้คัดค้านอะไรก็ปล่อยให้เจ้าตัวเรียกแบบนั้นไป
“สักวันหนึ่ง ถ้าเธอยังใส่สร้อยข้อมือนี้อยู่ เราจะได้เจอกันอีก”
--------------------------------------------------------------
ปัจจุบัน
“สรุปแกจะไปงานแต่งน้องเขามั้ย”
“ก็อยากไปหรอก แต่งานติดพันว่ะ กว่าจะตีตั๋วกลับจากโซลมาอีก คงยาก”
“ใช่หรอ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเห็นเขามีความสุขกับคนใหม่หรอเพื่อน”
“ยุ่ง”
ฉันยู่ปากใส่ ‘พัคจอย’ เพื่อนลูกครึ่งไทยเกาหลีที่รู้จักกันตอนเข้ามหาลัย จอยเป็นผู้หญิงตัวสูง ใบหน้าสวยออกไปทางดุเหมือนคนกินรังแตนตลอดเวลาจนบางคนหรืออาจจะหลายๆคนไม่กล้าเข้าหารวมถึงฉัน เป็นโชคดีที่พวกเราได้ทำงานกลุ่มด้วยกันเลยสนิทกันในที่สุด
“เสียดายไปก็เท่านั้น น้องเขาเลือกคนนั้นแล้ว แกมีหน้าที่เดินจากไปและยืนได้ด้วยตัวคนเดียว”
“รู้แล้วน่า เฮ้อ! ท้อจังวะ”
หลังจากเรียนจบจากมหาลัยที่โซล ฉันก็กลับมายังบ้านเกิดของแม่เพื่อทำงานที่บริษัทญาติตามสาขาที่ได้เล่าเรียนมา ส่วนจอยเทียวไปเทียวมาระหว่างเกาหลีกับไทยด้วยภาระงานที่ต้องติดต่อข้ามประเทศอยู่บ่อยครั้งบ้าง กลับมาเที่ยวเล่นบ้านทางฝั่งนี้บ้าง รวมถึงมานัดเจอพูดคุยกับฉันบ้าง ถ้ามันคิดถึงกันน่ะนะ
“แล้วที่บอกจะไปต่างจังหวัดนี่ ไปจังหวัดอะไรวะ ไปวันไหน”
“น่านน่ะ ไปมะรืนนี้แล้ว”
“โห ไปกระทันหันจังวะ”
“แกต่างหากที่กระทันหัน ปุบปับนั่งเครื่องมาหากัน ว่างนักรึไงฮะถามหน่อย”
จอยทำเพียงยักคิ้วอย่างไม่ยี่หระ ยกแก้วน้ำดื่มสีอำพันขึ้นจิบช้าๆไม่ยอมตอบคำถามกันง่ายๆเหมือนจงใจกวนน้ำโหกันอย่างไรอย่างนั้น
“กวนตีนนะแก”
“ก็นะ”
“ขอให้โดนตีเพราะกวนตีนเข้าสักวัน”
“สาธุทรีไทม์จ้า”
“นั่นมันแต๊งกิ้ว… เอ๊ะ!”
“บอกไว้ก่อน ฉันไม่ได้จำนำข้าว!”
“...ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ”
นอกจากจอยจะเป็นคนหน้าดุนิสัยกวนอวัยวะเบื้องล่างแล้ว เจ้าตัวยังชอบเล่นมุกการเมืองอยู่บ่อยครั้ง เจ้าตัวให้เหตุผลว่าเพราะญาติชอบล้อว่าเจ้าตัวหน้าเหมือนนายกสักคนนึงหรือไรเนี่ยแหละ เจ้าตัวเลยจำๆเนื้อหาข่าวมาเล่นพอหอมปากหอมคอ โดยเฉพาะตอนสังสรรค์ ซึ่งหลายๆครั้งฉันก็ตามมุกที่เพื่อนสนิทเล่นไม่ทันเหมือนกัน
“เออนี่ ที่แกไปรอบนี้คือบ้านญาติใช่ม่ะ”
“อ่าหะ”
“ใช่ที่เดียวกับบ้านของเด็กผู้หญิงในความทรงจำแกป่ะ”
จอยถามพลางยกแก้วในมือขึ้นจิบอีกคราเป็นการหาเรื่องคุยเรื่อยเปื่อย ส่วนเรื่องเด็กผู้หญิงในความทรงจำจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก ‘วานซืน’ เด็กผู้หญิงที่ฉันฝากกำไลของตัวเองไว้ที่เธอนี่แหละ
“ใช่…”
“เขายังอยู่ดีมั้ยวะ ได้ถามญาติแกมั่งปะ”
“ถามแล้ว เห็นน้าว่าเขาย้ายไปอยู่นอกหมู่บ้านตั้งแต่มหาลัยแล้วไม่ยักกะกลับมาอีก สงสัยไปตั้งหลักปักฐานสร้างครอบครัวเรียบร้อยแล้วมั้ง”
“อืม… แล้วแกไม่ตามหาดูล่ะ ปั๊บปี้เลิฟแกเลยนะนั่น”
“ไม่เอาดีกว่า ปล่อยให้เขาไปในทางที่เขาสร้างเถอะ ฉันก็แค่ความทรงจำชั่วขณะหนึ่งที่เขาอาจจะหลงลืมไปแล้วก็ได้”
“น่อว ฟังดูเศร้าๆจังค่ะคุณคัง ยังรักเขาอยู่ล่ะสิ”
“แกก็รู้ว่าไม่มีใครมาคนในใจฉันได้”
“จ้าๆ ฉันคงได้แต่อธิษฐานให้ใครสักคนเข้ามาทำให้แกลืมคนที่หนีแกไปแต่งงานได้สักทีนะ คังซึลกิเพื่อนรัก”
--------------------------------------------------------------
“ช่วยแม่ยกของลงรถหน่อยน้องกิ”
“ค่า”
ไม่กี่วันหลังจากที่เจอกับจอย ที่บ้านของฉันก็ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นอีกครั้งในรอบสิบปีนับตั้งแต่งานแต่งของน้าชายซึ่งตอนนี้กำลังจะทำบุญบ้านเป็นครั้งแรกตั้งแต่วางรกรากอยู่ที่นั่นด้วยสถานะทางการเงินที่ไม่คล่องตัวเท่าไหร่ในช่วงที่ผ่านมา โชคยังดีที่ธุรกิจของน้าชายดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นจนสามารถสร้างรายได้มากขึ้นให้กับครอบครัวและนำมาสู่งานบุญในที่สุด
กว่าครอบครัวฉันจะเดินทางมาถึงบ้านของน้าชายก็เป็นเวลามืดค่ำเสียแล้ว นอนหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องลุกมาแต่เช้าตรู่เพื่อช่วยงานโดยมีชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันมาช่วยงานในส่วนต่างๆที่ยังหลงเหลืออยู่ดูน่าประทับใจ
ฉันที่ไม่มีฝีมือในการทำครัวก็แยกตัวมาช่วยงานในส่วนอื่นให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะนิมนต์พระท่านมาสวด มันเป็นพิธีที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับเด็กในเกาหลีแบบฉันที่ชีวิตอาศัยอยู่อีกวัฒนธรรมนึง พึ่งจะได้อยู่ไทยนานๆก็หลังเรียนจบเนี่ยแหละ
“ซึลกิไปเดินเล่นได้นะลูก ไม่ต้องอยู่ช่วยแล้ว”
เสียงแม่บอกหลังจากเห็นฉันช่วยยกเก้าอี้เก็บหลังจากแขกเริ่มทยอยออกจากงาน
“ได้หรอแม่ จะไม่มีใครว่าหนูใช่มั้ยที่ไม่อยู่ช่วยต่อ”
“ไม่มีหรอก ใครจะกล้าว่าลูกแม่ล่ะ ไปเถอะ จักรยานอยู่หลังบ้านนะ ลูกอยากขี่รถเล่นไม่ใช่หรอ”
“ก็ใช่… งั้นหนูไปก่อนนะ”
ฉันบอกลาแม่ก่อนจะเดินอ้อมมาทางด้านหลังบ้านหาจักรยานคันที่แม่ว่าจนเจอจักรยานคันสีเหลืองเก่าๆที่ล้อเขรอะสนิมไปแล้วกว่าครึ่ง ด้วยความสงสัยว่ามันยังใช้งานได้มั้ย ฉันลองเอาเท้าเตะๆล้อดู จับแฮนด์ลากมันออกมาจากที่เก็บก่อนจะตัดสินใจคร่อมมันและปั่นออกมาจากบริเวณบ้าน
พอขี่จักรยานพ้นส่วนที่เป็นหมู่บ้านจะพบเพียงถนนที่เป็นคอนกรีต สองข้างทางเป็นไร่นายาวออกไปไกล เห็นผืนป่าเขาอยู่ไกลลิบๆถัดจากทุ่งนาไปอีก อากาศช่วงเดือนกุมภาพันธ์ยังคงเย็นผิดกับที่กรุงเทพฯที่ร้อนอบอ้าวน่ารำคาญใจ
ฉันที่ขี่จักรยานออกมาไกลจากหมู่บ้านพอสมควรค่อยๆชะลอความเร็วลงและจอดลงข้างต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บนเนินสูงกว่าตรงจุดอื่นๆ พอมองออกไปทางทิศที่ฉันขี่จักรยานมาก็เห็นวิวท้องทุ่งนาจากมุมสูงให้ความรู้สึกแตกต่างจากการมองวิวเหล่านี้จากชั้นสองของบ้านน้า
ฉันไม่รู้หรอกว่ามันมีจุดสปอตใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นแบบนี้ถ้าไม่เคยมีใครคนนึงขี่จักรยานพาฉันมาจนถึงที่นี่
เด็กผู้หญิงในความทรงจำตอนนั้น...
ถึงจะจำทางแทบไม่ได้แล้ว จริงๆฉันขี่จักรยานหลงไปเกือบถึงทางลงเขาแล้ว ดีที่คุ้นๆว่าเพิ่งนั่งรถมาจากทางนี้เมื่อคืน
ฉันทิ้งตัวนั่งลงพิงหลังกับลำต้นไม้ใหญ่นั่น หยิบมือถือเครื่องเล็กขึ้นมาถ่ายรูปวิวที่ได้เห็น ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง มาเก็บเกี่ยวบรรยากาศและเก็บตกความทรงจำในวัยเยาว์ที่หล่นหายไปตามกาลเวลา แม้เด็กในความทรงจำคนนั้นจะไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านนี้อีกแล้วก็ตาม
ครืด!
เสียงล้อจักรยานบดกับพื้นดินเสียงดังจนฉันที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศจวนจะเคลิ้มหลับถึงกับสะดุ้งตัวลอยยืนขึ้นอัตโนมัติ ฉันหันขวับไปทางต้นตอของเสียงเห็นร่างของผู้หญิงผิวขาวคนนึงนั่งคร่อมจักรยานคันสีฟ้าดูใหม่กว่าของฉัน เจ้าหล่อนหอบจนตัวโยน ใบหน้าเรียวรูปไข่ที่มีหยาดเหงื่อผุดพรายรับกับผมสั้นระต้นคอดู เหมือนเธอจะรีบมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไรสักอย่าง
“ขอโทษนะคะ ที่นี่คงเป็นที่ประจำของคุณใช่มั้ยคะ”
ฉันเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตรหลังมองร่างบางของผู้หญิงผิวขาวคนนั้นลงจากจักรยาน หล่อนยกมือเสยผมในขณะคิ้วบางยังไม่เลิกขมวดกันเป็นปมน่าคลายปมมุ่นที่หว่างคิ้วนั่นจริงๆ
“ค่ะ ที่ประจำฉันเอง”
หล่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาพอๆกับเสียงลมพัดผ่านในตอนนี้ ดวงตากลมสวยหลุบต่ำลงไม่ยอมสบตากัน ปากแดงกระจับเบะดูขัดกับวัย เจ้าหล่อนทำท่าจะยกมือขึ้นทำท่าเหมือนจะกัดนิ้ว ท่าทางคุ้นตาอย่างน่าประหลาดใจ แต่อะไรบางอย่างบนข้อมือเล็กนั่นกลับทำให้ฉันชะงัก
“วานอา…”
“กว่าจะจำกันได้นะ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันอีกจริงๆ...กิ”
to be con.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
