คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 5 (อัปเดต 100%)
บทที่ 5
มือเล็กสานเชือกซ้อนทับไปมาอยู่สักพักใหญ่จนเป็นรูปร่าง โดยมีสามชายหนุ่มนั่งจ้องสิ่งที่นางกระทำจนแล้วเสร็จ แต่คนถักเชือกสานกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดกับผลงานของตัวเองในมือ
“ท่านว่ามันใช้ได้หรือยัง?” รุ่ยเซียงเอ่ยถามกั่วเหยาและเกอฟู่ โดยชายทั้งสองนั่งประกบข้างนางทั้งซ้ายขวาไว้
“หัดทำครั้งแรกแล้วมาได้ไกลขนาดนี้ถือว่าดี” เกอฟู่ชื่นชม
“ข้าว่ามันยังยุ่งเหยิงเกินไป” กั่วเหยากล่าวตามจริง
รุ่ยเซียงฟังแล้วก็คิดเหมือนกับกั่วเหยา นางยังไม่พอใจกับเชือกถักของตัวเอง ยิ่งหน้าบึ้งยามเห็นความเบี้ยวและการเดินเส้นถักที่ยังผิดเพี้ยนจากที่เจินกุ้ยเหรินเคยสอนอีก นางยิ่งผิดหวังกับฝีมือของตัวเองแบบดิ่งลงเหวขั้นสุด รุ่ยเซียงคงไม่เหมาะกับงานเย็บปักถักร้อย งานที่ใช้แรงคงเหมาะกับนางมากกว่า
“ว่าแต่...”
ชายหนุ่มทั้งสามคนหันมองรุ่ยเซียงเป็นตาเดียว
“พวกท่านสามคนมาอยู่ที่บ้านข้าได้ไงเหรอเจ้าคะ?” นี่แหละที่นางอยากรู้ โดยเฉพาะกั่วเหยากับเกอฟู่ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองของตระกูลจื่อฟู แต่กับหลี๋เจี่ยดูไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไรหากเขามาอยู่ที่นี่ แล้วพ่อของนางหายไปไหน?
“แบบหัวหน้าตระกูลเขาคุยกันน่ะนะ” เกอฟู่ยักไหล่
“อยู่ที่นี่ไปเจ้าก็เอาแต่นั่งถักเชือก ออกไปเที่ยวเล่นกับพวกข้าดีกว่า” กั่วเหยาชวน
“กว่าพวกท่านลุงจะคุยกันเสร็จน่าจะอีกนาน ข้าเห็นด้วยที่เจ้าจะออกไปเที่ยวเล่น” หลี๋เจี่ยสนับสนุนอีกเสียง
สามเสียงย่อมมากกว่าหนึ่งเสียง จริงๆ วันนี้รุ่ยเซียงขี้เกียจออกจากบ้าน นางกำลังหมกมุ่นอยู่กับการถักเชือกให้ชินอ๋อง ทั้งสามหนุ่มหันไปทางหลินเอ๋อที่ยืนรอว่าคุณหนูจะตอบอย่างไรกับคุณชายทั้งสามคน ทว่าดวงตาของทั้งสามกำลังบอกกับนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง พาไปข้างนอกเดี๋ยวพวกเขาดูแลเอง หลินเอ๋อจำใจพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ กั่วเหยาและเกอฟู่รีบหิ้วแขนพารุ่ยเซียงออกจากบ้านไปทันที ส่วนหลี๋เจี่ยจุ๊ปากเป็นเชิงสั่งว่าอย่าไปบอกเรื่องนี้ให้หัวหน้าตระกูลทั้งสองรู้ว่าพวกเขาหนีเที่ยว หลินเอ๋อแทบอยากตบหน้าตัวเองให้ช้ำกับความเอาแต่ใจของคุณชายทั้งสามที่นำความซวยมาให้นาง
ชายหนุ่มทั้งสามต่างสบายใจที่สามารถพารุ่ยเซียงออกจากภวังค์เชือกถักได้ นางเปลี่ยนความสนใจมาเป็นอาหารตามริมทางในเมืองลั่วหยางแทน พวกเขาคิดถูกจริงๆ ที่พานางออกมาแบบนี้ ไม่ว่าหญิงสาวอยากจะกินอะไรพวกเขาก็ซื้อให้นางหมด มือเล็กๆ ทั้งสองของรุ่ยเซียงจึงเต็มไปด้วยของกิน รวมถึงของเล่นบางอย่างที่พอให้มือของนางถือได้
“เอานางออกจากบ้านตั้งแต่แรกก็จบแล้ว”
“อุดอู้อยู่ในนั้นได้ไงตั้งสามวัน”
สองพี่น้องตระกูลจื่อซูพอใจที่เห็นรุ่ยเซียงอารมณ์ดี
“ช่วงนี้พวกท่านมาหาท่านลุงบ่อยเนอะ” หลี๋เจี่ยเปิดประเด็น
ชายหนุ่มทั้งสามเดินทิ้งช่วงกับรุ่ยเซียงอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้ปล่อยให้นางคลาดสายตา ไม่อย่างนั้นคงเกิดเรื่องแน่
“จะมีเรื่องอะไรอีกล่ะ ข้าเบื่อความงี่เง่าของพวกผมงอกผมดำจะแย่อยู่แล้ว”
“พูดดังเดี๋ยวก็โดนลักพาตัวไปทิ้งแม่น้ำหรอก” กั่วเหยาเตือนเกอฟู่
“มันก็น่ารำคาญจริงๆ นั้นแหละ ดีแล้วที่ข้าสอบตกบัณฑิตทุกปี” หลี๋เจี่ยหัวเราะอย่างผู้มีชัย เขาสนใจตำแหน่งหน้าที่การงานในราชสำนักก็จริง แต่มันเป็นเพียงโรงละครงิ้วอันฉาบฉวยของพวกมักใหญ่ใฝ่สูง เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถหาความสุขแท้จริงให้กับชีวิตได้ ต้องทนอยู่กับความหวาดระแวงจากสายตาผู้คนมากมายที่หวังในลาภยศและอำนาจ
“เจ้าก็พูดได้สิ เจ้าตัวลอยอยู่ข้างนอกนี่”
“แต่ข้าว่าดีนะ อยู่ข้างนอกทำอะไรได้สะดวกกว่าเยอะ” เกอฟู่คิดว่าดี อย่างน้อยยังมีคนไว้ใจคอยสืบเรื่องราวได้อย่างลับๆ ขณะที่พวกเขาอยู่ภายในต้องทนรับแรงกดดันจากสายตาของเหล่าขุนนางและหวงตี้ ใช่...พวกเขายืนอยู่กลางดงแร้งและอีกหนึ่งมังกรในนั้น ก็เหมือนกับเอาชีวิตของตัวเองไปแขวนเป็นเหยื่ออยู่ท่ามกลางผู้หิวกระหาย จะรอดตายได้ต้องหาทางดิ้นรน
“ถึงอยู่ข้างนอกก็ต้องระวังคำพูดบ้างนะ” หลี๋เจี่ยกล่าวเตือน พวกเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะคาบข่าวไปบอกพวกขุนนางหรือเปล่า
พอสายตาของทั้งสามคนเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังกลุ่มแสดงกายกรรม พวกเขารีบเดินตามนางไปทันทีก่อนจะโดนฝูงคนหลั่งไหลเข้ามาชมการแสดง มือใหญ่ของกั่วเหยาวางลงบนศีรษะของคนที่มักทำอะไรตามใจตัวเองอย่างรุ่ยเซียง จนนางเงยหน้ามองอย่างสงสัย
“อย่าเที่ยวเดินไปไหนคนเดียว รู้ไหมว่าอันตราย?”
“เจ้าค่ะ” นางรับปาก แต่เผลอทีไรชอบเดินไปเรื่อยตลอด
กั่วเหยาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องดูแลเด็กคนนี้ตั้งแต่เด็กจนนางถึงวัยแตกเนื้อสาว แถมบิดายังรับนางมาเป็นบุตรสาวบุญธรรมอีก ถือว่านางเป็นน้องสาวคนเล็กของตระกูลจื่อฟูไปโดยปริยาย เลี้ยงง่ายและหายตัวง่ายเช่นกัน...ประมาณชอบหนีเที่ยวตั้งแต่ยังเล็ก คนนำขบวนเที่ยวต้องโบ๊ยความผิดให้เกอฟู่ ทำรุ่ยเซียงนิสัยเสียแต่เล็ก
“ดูสิๆ” มือน้อยกำชายเสื้อของกั่วเหยาเอาไว้แน่น
ดูกี่ทีนางก็ยังไม่ถึงวัยออกเรือนอย่างที่พวกเขาคิด รุ่ยเซียงยังตื่นตาตื่นใจกับการแสดงกายกรรม ไม่ว่าจะเป็นการปีนเสาขนาดเท่าลำไผ่ การพ่นไฟ การตีลังกาโหนกันไปมา หรือจะเป็นการแสดงอันน่าหวาดเสียวจนนางเผลอจับแขนทั้งกั่วเหยากับเกอฟู่ไว้ไม่ยอมปล่อย ชีวิตของนางเหมาะกับข้างนอกมากกว่าส่งไปอยู่ตำหนักอ๋อง ยังดีที่อันหวงตี้เลื่อนงานอภิเษกออกไปอย่างไม่มีกำหนด กั่วเหยานึกไม่ออกเลยว่านางจะใช้ชีวิตอย่างไร
แปะๆๆ
การแสดงกายกรรมจบลงอย่างงดงาม ผู้คนต่างปรบมือชื่นชมด้วยความตื่นเต้น เสียงพูดคุยเกี่ยวกับการแสดงกายกรรมยังมีอยู่เป็นเนื่องๆ ตั้งแต่ออกมาจากบ้านเกอฟู่มองหาร้านเหล้าหรือโรงน้ำชาที่ไม่มีคนชุกชุมมากนักเพื่อคุยกับหลี๋เจี่ยและพารุ่ยเซียงไปกินข้าว นางเอาแต่จมอยู่กับถักเชือกจนลืมเวลากินข้าว ขืนปล่อยให้นางกินแต่ขนมอย่างเดียวคงไม่ทำให้ท้องนางอิ่มง่ายๆ ช่างเป็นหญิงกินจุที่ไม่สมกับรูปร่างเพรียวบางของตัวเองเลย
“อ่ะ...ข้าเจอโรงน้ำชาที่อยากนั่งแล้ว ไปนั่งกันที่นั่นเถอะ” เกอฟู่ชี้ไปทางโรงน้ำชาซึ่งอยู่ห่างจากย่านการค้าพอสมควร มีคนเดินผ่านไปผ่านมาน้อย และดูสงบอย่างที่เขาต้องการ
“เซียงเซียงมาทางนี้มา”
รุ่ยเซียงมัวแต่หยิบซาลาเปาจากร้านค้าข้างทางจนทำให้กั่วเหยารีบคว้าแขนของนางให้ตามพวกเขาไปติดๆ ไม่ทันนางได้จ่ายเงินค่าของกินดี หลี๋เจี่ยจัดการจ่ายเงินให้เรียบร้อยก่อนรีบตามทั้งสามคนไป
“เซียงเซียงนั่งกินข้าวคนเดียวได้ใช่ไหม พี่จะไปคุยงานกัน” หลังกั่วเหยาจับรุ่ยเซียงนั่งลงได้ เขาก็ให้เกอฟู่เปิดห้องพักเอาไว้เพื่อคุยงานส่วนตัวระหว่างเขา เกอฟู่และหลี๋เจี่ย
“ได้” รุ่ยเซียงรับปาก
“เจ้าอยากกินอะไรเจ้าก็สั่งเลย เดี๋ยวพี่คุยงานเสร็จจะมาจ่ายเงินให้”
“เจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่ว่ากินอิ่มแล้วจะลุกไปเที่ยวเล่นที่ไหนได้นะ ถ้าพวกพี่คุยงานเสร็จช้าต้องนั่งรอ”
รุ่ยเซียงเงียบไปครู่ใหญ่หลังได้ยินว่าอาจเสร็จช้า
“ว่าไง?” กั่วเหยาถามซ้ำ
“ก็ได้ นั่งรอก็ได้”
เด็กสาวตรงหน้ารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ก็ไม่อาจไว้ใจได้ว่านางจะนั่งรอจนเบื่อแล้วเผลอเดินไปเที่ยวอีก เขาเลยสั่งกับเสี่ยวเอ้อให้จับตาดูน้องสาวเอาไว้ หากนางทำท่าจะลุกออกจากร้านต้องรีบห้ามนาง ทำอย่างไงก็ได้ให้นางนั่งรอพวกเขาจนกว่าจะคุยเสร็จ ก่อนให้เงินจำนวนหนึ่งกับเสี่ยวเอ้อเป็นค่าตอบแทน
ไม่นานอาหารชุดใหญ่ก็เต็มโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นของคาวของหวานและกับแกล้ม ไม่พอยังมีสุราหนึ่งไหวางไว้บนเก้าอี้ข้างๆ ตัวรุ่ยเซียง ใครจะว่านางหิวจนหน้ามืดตามัวก็ช่าง ในเมื่ออาหารมื้อนี้นางไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน นางจะกินล้างกินผลาญอย่างไงก็ได้ คติของนางคือกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ในเมื่อตอนนี้นางยังไม่หายหิว ฉะนั้นก็ต้องซัดอาหารตรงหน้าให้หายหิวถึงจะมีแรงทำกิจกรรมอย่างอื่น
ครืด!!!
เก้าอี้ตรงข้ามกับรุ่ยเซียงถูกเลื่อนออก ก่อนมันจะถูกนั่งด้วยใครบางคนที่เป็นผู้เลื่อนมันออกมา รุ่ยเซียงมัวแต่ใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปาก พอสายตาเลื่อนไปยังคนที่ร่วมโต๊ะด้วย มือถือตะเกียบกลับชะงักคาปากตัวเองพร้อมๆ กับงับข้าวค้างไว้ในปาก นางเริ่มรู้สึกว่าข้าวเริ่มแข็งมากกว่านิ่มจนเกินจะกลืนลงด้วยซ้ำพอเห็นหน้าคนคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับนาง
“ท่าทางเจ้ามีความสุขเสียจริงเลยนะ”
คำประชดหรือเปล่า...รุ่ยเซียงอยากขว้างอะไรสักอย่างไล่คนตรงหน้าไปให้ไกลๆ ถ้าไม่เพราะสีหน้าแสดงออกมาอย่างนั้นนางคงคิดว่าพูดลอยๆ นี่มัน...ประชดชัดๆ
“ไม่คิดเลยนะเจ้าคะว่าจะพบท่านอ๋องที่นี่” ตามมารยาทไปอย่างนั้นแหละ
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าเจ้ายังอุตส่าห์เที่ยวเล่นได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
นี่เขากำลังหมายถึงเรื่องที่เฉิงตูสินะ จริงๆ มันผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ถ้าไม่นับรวมเวลาที่รุ่ยเซียงถูกกักบริเวณคงใช่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนางแล้ว อีกอย่างเรื่องนี้จบตั้งแต่อยู่ในมือของอันหวงตี้ จะเรียกว่าจบสุดก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
“ไม่คิดว่าเจ้าจะสบายอกสบายใจกับเรื่องนี้หน่อยหรือไง?”
“ถ้าท่านอ๋องจะกล่าวให้ข้ารู้สึกผิด บอกเลยว่าข้าไม่ได้รู้สึกผิดอะไรสักนิด เพราะเดิมทีข้ากับท่านพ่อก็ไม่เคยไปยุ่งยากอะไรกับพวกท่านอยู่แล้ว” รุ่ยเซียงหมายถึงชินอ๋องและขุนนางผู้ใหญ่คนนั้น
“นี่เจ้าคิดว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ?” ชินอ๋องกำหมัดแน่น ไม่คิดเลยว่านางจะกล้าพูดจี้ใจดำหน้าตาเฉย
“หากไม่ใช่...หรือท่านจะบอกว่าข้าเป็นคนของหวงไท่โฮ่ว” รุ่ยเซียงวางตะเกียบลง “ถ้าท่านคิดอย่างหลังก็เสียใจด้วย ข้ากับท่านพ่อไม่ได้คิดอยากเสนอตัวไปเป็นเครื่องมือของใครทั้งนั้น ไม่ว่ากับราชวงศ์หรือขุนนางมาก่อน”
“พ่อของเจ้าสอนเจ้ามาอย่างนั้นใช่ไหม?”
“เรื่องแบบนี้ท่านพ่อไม่ต้องสอนข้า ข้าสามารถตัดสินใจเองได้ ใครจะบ้าเอาตัวเองไปอยู่กับสมรภูมิอำนาจของพวกท่านกัน ท่านอาจเลิศเลอในหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง ฐานะ หรือแม้แต่หน้าตาจนใครๆ ต่างอยากเข้าหา แต่กับข้าไม่ใช่ ท่านเห็นว่าข้าอยากเฉียดเข้าใกล้ท่านไหม ก็ไม่นี่”
“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียวเหรอ ว่าเจ้าไม่ได้สนใจตำแหน่ง ‘หวังเฟย’ หรือแม้แต่อำนาจเพื่อตระกูลของตัวเอง”
“ตระกูลของข้าก็อยู่ดีๆ อำนาจมันทำให้มีความสุขไหมล่ะ?”
พอถูกหญิงตรงหน้าย้อนถามกลับ ชินอ๋องแทบสะอึกไปชั่วอึดใจ แววตาของนางจริงจังมากกว่าทุกเรื่อง นางไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของชินอ๋องสักคำ แม้ว่าจะถูกยัดเหยียดว่านางต้องการอำนาจมากมายแค่ไหน แต่ความไม่ใส่ใจต่อคำพูดหรือสิ่งสวยหรูตรงหน้าดูท่าจะไร้ค่าในสายตาของนางอย่างสิ้นเชิง
“ข้าชอบอยู่แบบนี้มากกว่า ไม่ต้องมีใครมายุ่งด้วยจะรู้สึกขอบคุณอย่างมาก” สรุปคือรุ่ยเซียงรำคาญ แล้วนางก็ลงมือกินข้าวต่อ อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเฉยๆ พานทำให้อาหารเสียรสชาติโดยใช่เรื่อง รุ่ยเซียงไม่คิดเหมือนกันว่าเจอหน้าชินอ๋องปุ๊บ เปิดประเด็นด้วยเรื่องเก่าๆ ปั๊บ ความหรรษาช่วงรับประทานอาหารมันกลายเป็นความจืดชืดอย่างช่วยไม่ได้ นี่นางควรโทษใครดี
“แต่งานอภิเษกของพวกเราถูกเลื่อนออกไป เจ้าคิดว่าดี”
“ดี...เพราะมันไม่มีผลกระทบอะไรกับข้าหรือท่านพ่อของข้า”
คำตอบของนางชัดเจนพอ ชินอ๋องไม่พอใจอยู่อีกสิ่งคือทำไมรุ่ยเซียงอยู่กับกั่วเหยากับเกอฟู่ สองคนนี้เป็นคนของราชสำนักโดยตรง แม้ตระกูลจื่อฟูจะไม่ขึ้นกับอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตาม แสดงว่าสองคนนั้นต้องเอาเรื่องทางราชสำนักมาคุยกับนางแน่ๆ ชินอ๋องไม่สามารถกล่าวหารุ่ยเซียงลอยๆ ได้ ต่อให้ความคิดของเขากำลังก่อกวนอยู่
“แล้วเจ้ายังออกมาเที่ยวเล่นทั้งๆ ที่ถูกพวกขุนนางเพ่งเล็ง เจ้าไม่กลัวอันตรายเกิดขึ้นกับเจ้าเลยรึ?” มันเป็นคำถามหยั่งเชิง เพราะไม่รู้ว่านางรู้เรื่องเสนาบดีเฉินถูกทำโทษแล้วหรือยัง
“ก็ช่างพวกเขา ท่านพ่อข้าไม่ได้ทำอะไรพวกเขาแท้ๆ พวกเขามายุ่งกับพวกเราทำไม!?!” น้ำเสียงเริ่มขึงตึง ยิ่งถูกถามอะไรที่นางไม่สนใจ ความรำคาญยิ่งทวีคูณขึ้น
“เจ้าควรห่วงความปลอดภัยของตัวเอง ไม่ใช่ยังสบายใจแล้วยังออกมาเที่ยวแบบนี้”
“ข้าก็อยู่กับบ้านแล้วไง แต่ถ้าท่านไม่ให้ข้าออกมาข้างนอก แล้วข้าจะทำงานอย่างไง?”
“เจ้าก็ไม่ต้องทำ ให้คนอื่นไปทำแทนก็จบ!” สักพักชินอ๋องต้องหยุด...แล้วเขาจะห่วงนางทำไม
“เพิ่งจะเกิดเรื่องที่เฉิงตูมาหยกๆ ท่านจะให้ข้าโยนงานให้คนอื่นได้ยังไงกัน” รุ่ยเซียงไม่เข้าใจว่าชินอ๋องต้องการอะไรจากนางกันแน่
ชัดเจนยิ่งกว่าคำตอบใดๆ นางให้ความสำคัญกับงานในโรงผลิตกระดาษและร้านค้าในเครือมากกว่าพวกขุนนาง ท่าทางของนางดูไม่ชอบใจด้วยเวลาพูดถึงขุนนางเหล่านั้นที่เคยเล่นงานโรงผลิตกระดาษสาขาเฉิงตูและร้านค้ากู่จิ้นซึ่งอยู่ในความปกครองของตระกูลมู่ฉิง และต่อให้บังคับให้รุ่ยเซียงอยู่แต่ในบ้านมากกว่ามาเที่ยวเล่นหรือมาทำงานด้านนอก เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะอยู่บ้านนานๆ ได้
“แล้วข้าจะบอกให้ท่านรู้ไว้ด้วย ข้าเป็นคุณหนูตระกูลมู่ฉิงก็จริง แต่ไม่สามารถอยู่บ้านกินๆ นอนๆ ได้เหมือนคุณหนูตระกูลอื่นเขา ชีวิตข้าต้องทำงาน ถ้าไม่ทำงานพ่อของข้าก็จะทอดทิ้งข้าเพราะข้าขี้เกียจ!” ใช่...รุ่ยเซียงไม่สามารถขี้เกียจได้ ถึงอยากขี้เกียจก็ไม่ได้ การทำงานเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและติดเป็นนิสัย มันไม่ใช่ข้อเสียแต่กลับเป็นข้อดีของนางที่ถูกสอนให้รู้จักทำงานและเห็นคุณค่าของเงินในคราวเดียวกัน
ชินอ๋องฟังแล้วได้แต่สะกดกลั้นความขำเอาไว้ เขาไม่คิดเลยว่าคนตัวเล็กจะคิดว่าพ่อตัวเองจะทอดทิ้งลงคอด้วยเหตุผลว่านางขี้เกียจ และหากเขายังถามหยั่งเชิงนางไม่จบอยู่แบบนี้ รุ่ยเซียงคงไม่มีทางกินข้าวได้อย่างสบายใจจนของเหลือเต็มโต๊ะแน่นอน ชินอ๋องต้องเริ่มคิดใหม่เมื่อหางตาของเขาเห็นไหสุราวางอยู่ข้างตัว อายุสิบหกแต่ดื่มเหล้าเป็นไหแล้วนี่นะ...นางยังมีอะไรให้น่าตกใจอีกหรือไม่
“ใครสอนให้เจ้าดื่มสุรา”
“ท่านพ่อไง?”
ชินอ๋องไม่อยากเชื่อเลยว่าเฟยหรงจะสอนให้นางรู้จักดื่มสุรา เป็นพ่อที่เถื่อนแบบผู้ชายจริงๆ นี่นางเป็นลูกสาวนะ ไม่ใช่ลูกชาย...
“ท่านจะดื่มเป็นเพื่อนข้าไหม?” ไม่นานรุ่ยเซียงก็ย่นคิ้ว “เหล้าสาลี่คงไม่ถูกปากท่านนัก แล้วที่นี่ไม่น่ามีสุราชั้นเลิศให้ท่านดื่มด้วย”
“ข้าดื่มได้ ข้าเป็นทหารกินอะไรก็ได้อยู่แล้ว”
“ก็ดี” รุ่ยเซียงแปลกใจกับอิริยาบถของชินอ๋อง หันไปสั่งเสี่ยวเอ้อให้นำถ้วยเหล้าและอุปกรณ์ทานอาหารให้ชินอ๋อง “อาหารพื้นๆ ง่ายๆ ท่านคงกินได้เช่นกัน”
กวนอารมณ์อยู่สินะเจ้าเด็กกินจุนี่! เห็นชินอ๋องเรื่องมากขนาดต้องระวังเรื่องของกินด้วยเชียว มันก็จริงอย่างที่นางว่า บนโต๊ะมีแต่อาหารง่ายๆ ไม่ได้ดูหน้าตาสวยหรูหรือน่ากินเมื่อเทียบกับตำหนักอ๋องหรือในวัง ที่แน่ๆ อย่าให้นางออกจากบ้านตัวเองบ่อยๆ เดินเที่ยวเล่นที ร้านค้าในลั่วหยางต่างพากันเรียกนาง หยิบยื่นของกินให้นางเป็นว่าเล่นโดยไม่คิดเก็บเงินบ้างก็มี ไม่กลัวว่าอาหารจะเป็นพิษเป็นภัยเลย แต่ว่าสั่งมาเยอะขนาดนี้นางจะกินหมดหรือเปล่า ในเมื่อนางกินจากข้างนอกมาไม่หยุด
“ท่านไม่ต้องห่วง ข้ากินหมดแน่นอน” เสียงหวานแทรกความคิดของชินอ๋องทันที
“ข้าเชื่อว่าเจ้ากินหมด”
รุ่ยเซียงยิ้มรับ คนตัวเล็กค่อยๆ กินอย่างไม่รีบร้อน อย่างไรกว่าสามหนุ่มจะคุยงานกันเสร็จก็อีกนาน อย่างน้อยตอนนี้รุ่ยเซียงมีเพื่อนนั่งกินข้าวอย่างชินอ๋อง ถึงเขาจะพูดจาไม่เข้าหูนางหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะวันนี้...พูดไม่เข้าหูเยอะมาก มันไม่ใช่เรื่องที่รุ่ยเซียงต้องสนใจ เวลานี้คือนางลืมเรื่องที่คุยหมดแล้ว แล้วให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าแทน
“ข้าเห็นเจ้ามากับกั่วเหยากับเกอฟู่”
คนถูกทักเงยหน้ามอง ดวงตาเริ่มฉายแววหวาดระแวง
“สองคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้าใช่ไหม?”
“ไม่”
“สักนิดก็ไม่พูด?”
“ใช่” หัวของนางตอนนี้กำลังคิดและพิจารณาประโยคของชินอ๋องอย่างใจเย็น รุ่ยเซียงต้องทำใจขนาดไหนเพื่อเตรียมรับมือกับคำถามที่อาจจู่โจมนางได้ทุกเมื่อ
ชินอ๋องสังเกตการกระทำของกั่วเหยาและเกอฟู่พอเข้าใจ ถ้าพวกเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับราชสำนักให้นางฟังจริงๆ คงไม่แยกรุ่ยเซียงให้นั่งกินข้าวคนเดียว แล้วไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวอย่างลับๆ แน่ ยังมีหลี๋เจี่ยที่อาจรู้เรื่องเกี่ยวกับราชสำนักและให้ความช่วยเหลืออยู่ภายนอก นับว่าพวกเขาฉลาดมากที่แยกหญิงสาวออกมา ดูจากนิสัยของรุ่ยเซียงด้วยแล้วน่าจะทำให้งานพังมากกว่าบรรลุเป้าหมาย มีหรือจะเก็บงำได้อย่างปกติ สุดท้ายที่แคลงใจมากๆ ไม่ถามก็ไม่ได้เพราะมันทำให้หงุดหงิดใจชินอ๋องเหลือเกิน
“แล้วเจ้าเป็นอะไรกับพี่น้องตระกูลจื่อซู?”
คนตรงหน้าเงียบกริบจับจ้องชินอ๋องไม่วางตา คำถามของเขาดูเถรตรงเกินไปสำหรับนางหรือเปล่า...
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรือพี่น้องตระกูลจื่อซูหรอก”
“...”
“...” เด็กสาวท่าทางไม่ยอมตอบง่ายๆ “สัญญาด้วยเกียรติของชินอ๋อง”
รุ่ยเซียงมองชินอ๋องอยู่นานพักใหญ่ ทั้งสงสัยทั้งหวั่นใจว่าชายตรงหน้าจะมาไม้ไหนกับนางกันแน่ เขาไม่ได้คิดจับผิดกั่วเหยากับเกอฟู่ หรือที่ถามออกมาเพราะอยากรู้เท่านั้น “ข้า...”
“...”
“ข้าเป็น ‘น้องสาว’ ของพวกเขา”
‘น้องสาว’ นี่นางพูดจริงหรือล้อเล่น อย่างรุ่ยเซียงมีความสัมพันธ์กับตระกูลจื่อซูแค่นั้นจริงๆ หรือมากกว่านั้น ทั้งกั่วเหยาและเกอฟู่ต่างดูห่วงใยและดูแลนางดีมาก ส่วนหลี๋เจี่ยช่างมันเถอะ...เห็นอยู่กับนางทีไรพานทำให้ชินอ๋องอารมณ์เสียเปล่าๆ
“น้องสาว?”
“ใช่เจ้าค่ะ” หรือต้องอธิบายเพิ่ม
“น้องสาว...” ชินอ๋องเอ่ยซ้ำ
รุ่ยเซียงคิดว่านางต้องอธิบายให้ชินอ๋องเข้าใจ พูดลอยๆ เรื่องสถานะไปคงยากจะเชื่อได้ “ตอนข้าเริ่มจำความได้ข้าก็ถูกฝากเลี้ยงไว้กับตระกูลจื่อซู ท่านพ่อไม่สามารถพาข้าที่ยังเล็กไปค้าขายต่างเมืองได้ ท่านลุงเลยรับข้าเป็นลูกบุญธรรมแล้วเลี้ยงดูอยู่กับพวกพี่ๆ”
“อ่า...ข้าเข้าใจ”
เข้าใจจริงหรือเปล่า!?! รุ่ยเซียงไม่สามารถไว้ใจคำพูดนั้นได้เลย คิดไปคิดมาตัวเองกลับกลายเป็นลูกสาวทุกบ้านจริงๆ นางเข้าใจบริบทของเฟยหรงดีว่าไม่สามารถดูแลลูกสาวได้ตลอดตั้งแต่มารดาของนางเสียไป แต่ก็ไม่อาจทิ้งลูกสาวให้อยู่ลำพังโดยไม่มีใครดูแลได้ จะหาแม่นมให้นางก็ไม่น่าไว้ใจเท่าไร ฝากให้เพื่อนสนิทเลี้ยงย่อมปลอดภัยและน่าไว้ใจกว่า แถมกลายเป็นลูกรักของคนที่นำไปฝากเลี้ยงอีก เพราะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่งอแง ถึงเวลาหลับก็หลับ หาอะไรให้กินก็กินหมด นี่แหละรุ่ยเซียง
ชินอ๋องคิดว่าคำตอบของนางสมเหตุสมผล นางไม่มีเหตุผลอะไรจะกล่าวลอยๆ ยิ่งนางตอบได้ทันทีนั่นคือความจริง แม้ตอนแรกนางไม่เต็มใจอยากตอบเท่าไรนัก อย่างน้อยก็ดีที่นางไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับราชสำนักและใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวันที่ผ่านมา อาจมีบางอย่างไม่เหมือนเดิมนั่นคือเรื่องปลอดภัย หลายวันมานี้ลี่หลินรายงานเขาว่ามีคนจำนวนหนึ่งติดตามนางอยู่ห่างๆ ไม่คาดเดาก็พอรู้ว่าพวกเขามีเป้าหมายอะไร วันนี้ที่มานั่งกับนางด้วยเพื่อกันไม่ให้คนเหล่านั้นสามารถลงมือได้
“ท่านมัวแต่ชวนข้าคุย อาหารเย็นหมดกันพอดี รีบกินเถอะเจ้าค่ะ”
ชินอ๋องคิดว่ารุ่ยเซียงเป็นคนง่ายๆ แบบนี้ก็ดี นางรู้จักตัวเองว่าเรื่องไหนควรยุ่งหรือไม่ควรยุ่ง แม้เป็นคนเข้าถึงได้ง่ายและพูดคุยได้อย่างสบายใจ แต่เขาก็ไม่อยากให้นางใกล้ชิดใครไปมากกว่านี้อีก ไม่ใช่ห่วงแค่เรื่องความปลอดภัยเท่านั้น นางเป็นผู้หญิง นางไม่ใช่ผู้ชาย จะไปไหนมาไหนกับผู้ชายบ่อยๆ จนเป็นเรื่องปกติแบบนี้ไม่ได้ ต่อให้เป็นพี่น้องบุญธรรมก็ไม่ได้! ชินอ๋องอยากจับรุ่ยเซียงขังไว้ที่ห้องแทนที่จะออกมาข้างนอก สุดท้ายก็ทำอะไรนางไม่ได้อยู่ดี หากจับขังนางต้องหาทางหนีออกมาแน่ๆ นิสัยนางไม่น่ายอมคนง่ายๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องที่เฉิงตูยิ่งต้องระวังไม่ให้นางโมโหจนสติแตกหลุดทำเรื่องไม่คิดซ้ำสอง
ส่วนรุ่ยเซียงเวลานี้ ฝนตกแน่...ฟ้าผ่าแน่...ชินอ๋องชวนนางคุย!?! ก็ยังเป็นคนน่ากลัวสำหรับนางอยู่ดี
ผ่านไปสองชั่วยาม การพูดคุยกันระหว่างพี่น้องตระกูลจื่อฟูและหลี๋เจี่ยไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จสักที รุ่ยเซียงเองเริ่มเบื่อที่ต้องนั่งรออยู่แบบนี้ พอจะลุกก็โดนเสี่ยวเอ้อจับตาดูจนนางต้องนั่งลงอยู่กับที่ นางไม่มีอารมณ์อยากกินอยากดื่มอะไรแล้ว นางอยากกลับบ้าน!!! สุราหมดไปแล้วแปดไหแต่นางก็ยังไม่เมา จะเป็นยอดหญิงเกินวัยไปแล้ว
“ท่าทางเจ้าโดนลืมแล้วล่ะ”
“ท่านก็คิดอย่างนั้นเหรอ?” รุ่ยเซียงหันควับมาทางชินอ๋อง แน่นอนว่าหน้าสวยยับสุดๆ จากการนั่งรอ
“เช่นนั้นเจ้าออกไปเดินเล่นกับข้า” พูดจบ มือใหญ่คว้ามือเล็กพาออกจากโรงน้ำชา แต่กลับถูกเสี่ยวเอ้อขวางเอาไว้ทันทีที่ขาของรุ่ยเซียงกำลังก้าวออกจากโรงน้ำชา ชินอ๋องเลยจ้องเสี่ยวเอ้อนิ่ง “ทำอะไร?”
“คุณหนูต้องรอคุณชายก่อนขอรับ คุณชายสั่งให้คุณหนูรออยู่จนกว่าจะกลับมา”
“โห...” เสี่ยวเอ้อใจกล้าไม่เบาที่กล้าขวางแล้วยังพูดแบบนี้ต่อหน้าชินอ๋อง “ข้าพานางไปเดินเล่นเดี๋ยวพามาส่ง ไม่ต้องกลัวว่านางจะไม่กลับมา”
“แต่ว่า...”
“ข้าเป็นสามีนาง”
ทั้งเสี่ยวเอ้อกับรุ่ยเซียงหน้าเหวอกับประโยคล่าสุดของชินอ๋อง เขาหันมามองรุ่ยเซียงขยิบตานิดหน่อยให้นางไหลไปตามน้ำ ไม่อย่างนั้นนางต้องได้นั่งรอกั่วเหยากับเกอฟู่จนคลั่งตายแน่ รุ่ยเซียงจำใจพยักหน้าเออออตามชินอ๋องไป ทั้งๆ ที่ใจกำลังตะโกนบอกว่า ‘ไม่ใช่!!!’
“บอกคุณชายของเจ้าว่าสามีนาง พานางไปเดินเล่นเดี๋ยวเอามาส่ง”
พูดเหมือนเอาเด็กไปเล่นข้างนอกให้อารมณ์ดีเดี๋ยวพากลับมาส่ง จนรุ่ยเซียงแอบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความอาย เกิดมานางยังไม่เคยเจอใครหาข้ออ้างได้บ้าบอขนาดนี้มาก่อน แล้วยังยิ้มตีหน้าหรรษาราวกับกำลังพาภรรยาตัวเองไปจริงๆ ถ้าพูดว่าอาจะพาหลานไปเดินเล่นอันนี้นางเข้าใจ กลับใช้คำว่า ‘สามี’ ออกมา! พูดออกมาได้ยังไง!?!
เสี่ยวเอ้อมองรุ่ยเซียงเพื่อขอคำตอบยืนยันว่าชายคนนี้คือสามีของนางจริงๆ
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อลองไปถามท่านเฟยหรง แต่เจ้าน่าจะได้ยินชาวบ้านพูดคุยว่าคุณหนูหมั้นหมายกับใครไว้อยู่” ไม่รอให้รุ่ยเซียงตอบ รีบชิงก่อนนางจะเลี่ยงพร้อมจับมือเล็กไว้แน่น
เสี่ยวเอ้อมองหน้าชินอ๋องสลับกับรุ่ยเซียงอยู่หลายรอบ ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อเริ่มซีดลงฉับพลัน เหงื่อซึมออกโดยไม่รู้ตัว เมื่อประจักษ์แล้วว่าตรงหน้าคือชินอ๋องผู้เป็นพระอนุชาของอันหวงตี้และยังเป็นแม่ทัพของแผ่นดิน เจ้าของร่างสูงใหญ่มีดวงตาคมเข้มดุจพยัคฆ์กำลังยิ้มให้กับเสี่ยวเอ้อ จนเจ้าของร่างผอมแห้งแรงน้อยยอมหลีกทางให้ชินอ๋องพาตัวรุ่ยเซียงออกจากโรงน้ำชาโดยดี
“ไปเดินย่อยอาหารกับข้า แล้วค่อยกลับมาหาพี่ของเจ้า” พอเห็นว่าร่างบางยังขืนไม่ยอมเดิน ชินอ๋องเลยออกแรงนิดนึงจนทำให้เจ้าของร่างเล็กตัวปลิวมายืนอยู่ข้างๆ และเดินไปพร้อมกันได้สำเร็จ
“แล้วทำไมข้าต้องไปกับท่าน” เสียงหวานโหยหวนแผ่วเบา ไม่อยากไปกับชินอ๋องมากขนาดไหนก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ปากบอกพารุ่ยเซียงออกกำลังย่อยอาหารด้วยการเดิน พอเดินได้สักพักคนตัวเล็กเริ่มแวะร้านนั้นทีร้านนี้ทีตามเสียงเรียกของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าซึ่งคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี คราวนี้นางเล่นแวะทุกร้านไม่ซ้ำกับตอนแรกที่เดินมากับสองพี่น้องตระกูลจื่อซูและหลี๋เจี่ย ไม่นานขนมเริ่มเต็มไม้เต็มมือพร้อมของเล่นอีกนิดหน่อยตามประสาเด็กที่ได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ ชินอ๋องเห็นว่านางไม่ควรกินเยอะมากกว่านี้อีกแล้ว รีบลากนางให้ห่างจากร้านของกินข้างทางไปร้านอื่นที่ไม่ใช่ของกินแทน พอจะเดินผ่านหอคณิกาอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง ซึ่งตั้งเด่นสง่าเป็นสถานที่รวมเหล่าสาวงามมากความสามารถในหลายๆ ความหมายและเป็นแหล่งที่ชายมากมายต่างทุ่มทุนเงินให้อย่างมหาศาลเพื่อหญิงงามเลื่องชื่อที่สุด มีร่างบางระหงเดินปรี่เข้ามาหารุ่ยเซียงทันทีที่ได้เห็นหน้าและโอบกอดนางเอาไว้แน่นจนแก้มทั้งสองของรุ่ยเซียงเหมือนซาลาเปากำลังโดนบีบ ขนาดชินอ๋องยังตกใจกับหญิงงามแปลกหน้าที่แสดงความรักใคร่รุ่ยเซียงมากมาย
“เซียงเซียงน้อยของอี้เยี่ยนยังกินจุเก่งไม่เปลี่ยนเลยนะ” มือเล็กจับๆ บีบๆ แก้มนุ่มนิ่มของรุ่ยเซียง ก่อนหอมแก้มซ้ายแก้มขวาของเด็กน้อยแต่เป็นสาวแล้วด้วยความเอ็นดู
ชินอ๋องเห็นเช่นนั้นรีบคว้ารุ่ยเซียงคืนจากนางทันที “ทำอะไรกับภรรยาคนอื่นน่ะ!!!”
อี้เยี่ยนและรุ่ยเซียงพากันขมวดคิ้วกับคำพูดของชินอ๋องที่แสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจน ‘ภรรยา’ ซึ่งยังไม่ได้เป็นแบบทางการเคี้ยวขนมค้างงงๆ พลางโบกมือปฏิเสธสื่อสารกับอี้เยี่ยน กลับโดนมือใหญ่รวบมือเอาไว้ไม่ให้นางสื่อสารกับหญิงคณิกาตรงหน้า
“ตายจริง เซียงเซียงน้อยของข้ามีสามีแล้วรึ แต่ข้ายังไม่ได้ยินข่าวว่าเจ้าแต่งงานเลย”
ถูกต้อง...บ้านนางยังไม่จัดพิธีอะไรสักอย่างจะมีสามีตัวโตอยู่ข้างกายรุ่ยเซียงได้อย่างไร นางเลยแอบยกนิ้วโป้งเห็นด้วยกับคำพูดของอี้เยี่ยน ถ้าไม่ติดว่าขนมเต็มปากรุ่ยเซียงคงตอบว่าใช่ไปตั้งนานแล้ว
“จะแต่งหรือยังไม่แต่ง แต่อีกไม่นานนางก็เป็นภรรยาของข้าอยู่ดี!” ชินอ๋องเถียงคอเป็นเอ็น
“หืม...” อี้เยี่ยนส่งสายตาหวานเชื่อมให้รุ่ยเซียง ยิ้มยกมุมปากเล็กน้อย “หรือว่าท่านคือชินอ๋อง?”
“ใช่! แล้วจะทำไม?”
“จิ้งจอกน้อยของข้าเสน่ห์แรงใช่ย่อย อยู่เฉยๆ ก็มีคนหลงรักนางขนาดนี้ ข้าเสียดายจริงๆ ที่จิ้งจอกน้อยของข้ากำลังเข้าไปอยู่ในถ้ำเสือ” อี้เยี่ยนเปรียบเปรยรุ่ยเซียงเป็นจิ้งจอกน้อย ส่วนชินอ๋องเป็นดั่งเสือตัวร้ายที่กำลังพรากจิ้งจอกน้อยของนางไปต่อหน้าต่อตา ทว่าหอคณิกาเป็นแหล่งความลับของเหล่าขุนนางมากมาย ข่าวคราวเกี่ยวกับชินอ๋องมีหรือนางจะไม่รู้ แต่น้องสาวของนางนี่สิ น่าจะยังไม่รู้ว่าบัดนี้อ๋องรูปงามถูกคาดโทษจากอันหวงตี้
ชินอ๋องไม่ไว้ใจนางคณิกานามอี้เยี่ยนมากนัก เป็นถึง ‘อี้จี้’ กลับมีแววตาชวนยั่วยวนแฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ ดวงตานั้นไม่ได้เอียงมองบุรุษเช่นเขาเลย นางกลับมอบสายตาแสนน่าชังนั้นให้กับรุ่ยเซียงแทน คนตัวเล็กในอ้อมแขนเขาช่างไม่รู้อันตรายของคนตรงหน้าสักนิด กลับยิ้มตอบให้อี้เยี่ยนราวคนสนิทสนมมานาน ท่าทางของนางแสดงออกมาเช่นนั้น
“ท่านอ๋อง...ท่านจะเอาเซียงเซียงไป ท่านก็ต้องผ่านด่านหวงตี้ไปก่อน ท่านถึงจะได้นางไปนะ”
“ด่านเหรอ? คุยเรื่องอะไรกันน่ะ?” รุ่ยเซียงสงสัยคำพูดอี้เยี่ยน พริบตาเดียวนางถูกหมุนตัวแล้วโดนกดหัวด้วยมือใหญ่ของชินอ๋องให้ซบกับแผงอกกว้างของเขาเอาไว้ ทำให้นางขยับไม่ได้ “อะไรกัน?”
อี้เยี่ยนหัวเราะชอบใจกับการกระทำเปิดเผยที่ตรงไปตรงมาของชินอ๋อง
“เจ้าอย่าพูดมากดีกว่า เรื่องของข้า...ข้าจัดการเองได้”
“ข้าก็หวังว่าท่านจะจัดการได้เร็ววัน แต่หนทางอาจยากสักหน่อย”
“ยากหรือไม่ยากข้าตัดสินใจเองได้ ไม่ต้องให้คนอย่างเจ้ามาบอก” ชินอ๋องไม่ชอบใจเลยที่โดนอี้เยี่ยนอ่านออก คนในตำหนักของเขาอาจได้ยินเรื่องที่เขาถูกคาดโทษระหว่างคุยกับจินเยว่แน่ แล้วเอามาพูดในหอคณิกาแห่งนี้ เขาชังนักกับสายตาเหยียดหยามนั้น!
“แน่นอนว่าท่านเป็นถึงท่านอ๋อง ข้าเองก็ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับท่านหรือขุนนางของท่าน”
“ข้าเองก็ไม่อยากให้เรื่องราชสำนักถึงหูนางคณิกาอย่างเจ้าเช่นกัน แต่ที่นี่คงไม่แพร่งพร่ายออกไปอยู่แล้ว”
“แต่ถ้ากับนางอาจไม่แน่” นิ้วเรียวสวยชี้มาทางรุ่ยเซียงซึ่งยังโดนปิดหูและถูกบังคับให้ซบอกร่างสูงเอาไว้ “ข้าเห็นนางวิ่งเล่นตั้งแต่เด็กๆ จนโตเป็นสาว ขืนท่านทำให้รอยยิ้มของนางหายไปก็แย่สิ”
“นี่เจ้า!”
“อย่าดังไปท่านอ๋อง นี่ข้าเป็นห่วงน้องสาวของข้า แม้นางไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ แต่นางเป็นเด็กดี”
“...”
“ข้าไม่อยากให้เด็กดีของข้าต้องถูกท่านเอาเปรียบเพราะเหตุผลทางการเมืองหรอกนะ” อี้เยี่ยนจุ๊ปากเบาๆ พลางยิ้มร้ายลึกก่อนเดินกลับเข้าหอคณิกาไป ทิ้งความเจ็บใจไว้ให้ชินอ๋องเป็นแผลใหญ่
ไม่คิดเลยว่าเขาต้องถูกหญิงคณิกาหยามเหยียดได้เจ็บแสบขนาดนี้ เรื่องชินอ๋องโดนโทษทัณฑ์ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป กลับถึงตำหนักต้องไปเค้นความจริงว่าใครเอาเรื่องนี้มาโพนทะนาให้อี้เยี่ยนได้ยิน สงสัยเขาให้เงินบ่าวหนักไปหน่อยเลยได้ใจเอาเงินมาเที่ยวหญิงงามเมืองแล้วหลุดปากเรื่องของเจ้านาย คนแบบนี้เลี้ยงไว้เสียข้าวสุกเปล่าๆ ต้องทรมานให้มันสำนึกก่อนจัดการเก็บทิ้งไปแบบเงียบๆ แน่นอนว่าหญิงคณิกาที่ได้ยินไม่มีทางปากพล่อยบอกคนอื่นง่ายๆ โดยเฉพาะหญิงคณิกาชั้นสูง นางไม่ทำเรื่องโง่ๆ ให้ตัวเองเดือดร้อนด้วยเรื่องแบบนี้ ถือว่าวางใจได้
ร่างของอี้เยี่ยนเดินหายไปจนลับสายตาดีแล้ว ชินอ๋องค่อยปล่อยรุ่ยเซียงให้เป็นอิสระ ดีที่เขาปิดหูนางไว้ทันก่อนนางจะได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยิน แต่...ก็ยังวางใจไม่ได้ คำพูดของอี้เยี่ยนเหมือนเตือนว่าหากเขาไม่ระมัดระวังให้ดี เรื่องที่นางรู้มาอาจเข้าหูรุ่ยเซียงได้เมื่อนางต้องการ
“...พี่สาวเข้าไปข้างในแล้ว”
ระหว่างรุ่ยเซียงพึมพำอยู่ ชินอ๋องรีบคว้าแขนนางพาไปทางอื่นแทน ต่อให้ต้องเดินอ้อมไปสักหน่อยก็ช่างมัน ทำยังไงก็ได้ไม่ให้นางเดินผ่านมาทางนี้อีก รุ่ยเซียงจะได้ไม่ต้องเจอกับอี้เยี่ยน ใช่! ต้องสั่งห้ามนาง!!!
“เซียงเซียง!!! ห้ามเดินผ่านหอคณิกาอีก!!!”
คนเพิ่งถูกเรียกชื่อครั้งแรกถึงกับขนลุกซู่ เหมือนถูกโซ่เส้นใหญ่ยักษ์อันหนักอึ้งล่ามไม่ให้ขยับ พร้อมคำสั่งลั่นดุจสายฟ้าแล่บ ทำเอาขาทั้งสองเหน็บกินขึ้นมาดื้อๆ
“ว่าไง!?!” เสือตัวใหญ่คำรามถามนางอีกครั้ง
“ค่ะ...เจ้าค่ะ”
“ดี! ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าเดินผ่านทางนี้ ข้าจะตามเจ้าทุกวัน!”
ไม่เอา!!! คิดบ้าอะไรของชินอ๋องอยู่ หรือโดนอะไรกระแทกหัวทำให้กลายเป็นแบบนี้บอกนางที!?! แล้วต้องทำยังไงไม่ให้รุ่ยเซียงเดินผ่านหอคณิกาหากนางมีเรื่องต้องเดินผ่านเส้นทางนี้ เขาจะให้นางเดินอ้อมเหรอ!?! เป็นไปไม่ได้ มันไกลนะ! แล้วทำไมนางต้องตกปากรับคำไม่ทันคิดด้วย!?!
ดวงตาคมกริบจ้องรุ่ยเซียงเขม็งประมาณว่า ‘เจ้าตกลงกับข้าแล้ว!’
เออ!!! เอาไงเอากัน ยังไม่อยากอายุสั้น แต่ดันสัญญาบ้าบอไปแล้วด้วย ให้ตายสิ!
“เอาเป็นว่าตอนนี้กลับได้แล้ว ป่านนี้พี่ชายของเจ้าคงตามหาเจ้าให้วุ่น” ไม่รู้ว่าจับมือเล็กๆ นี้ไว้กี่ครั้งแล้ว รู้สึกเพียงแค่ว่าหากชินอ๋องปล่อยมือบอบบางนี้ไป รุ่ยเซียงอาจหายไปตลอดกาล เขาชายตามองช่องแคบซึ่งมีเงาดำทะมึนของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งหลบซ่อนอยู่ แอบตามนางมาจริงๆ ด้วยสินะ ไม่รู้ว่ากั่วเหยากับเกอฟู่ลืมไปหรือเปล่าว่ารุ่ยเซียงเป็นผู้หญิง ต่อให้นางรู้จักป้องกันตัวก็ไม่อาจสู้ผู้ชายจำนวนมากได้ คิดยกพวกมารุมผู้หญิงคนเดียวสมเป็นหมาหมู่...คนพวกนั้นถูกจ้างวานมา เป้าหมายคือรุ่ยเซียงชัดเจน ที่อี้เยี่ยนซึ่งเป็นนางคณิกาชั้นสูงลงทุนออกมานอกหอคณิกาแบบนั้น นางอาจเห็นกลุ่มคนพวกนี้แล้วเห็นรุ่ยเซียงเดินมาพอดี โดยไม่ทันมองว่าชินอ๋องมากับนางด้วย ไม่อย่างนั้นตอนเห็นครั้งแรกคงไม่ทักทายเสียงสบายใจ เห็นชัดว่ามีคนคอยเฝ้าระวังให้รุ่ยเซียงรอบทิศ วันนี้พวกชาวบ้านก็แปลกๆ เรียกเด็กคนนี้ให้แวะเกือบแทบทุกร้านค้า ไม่ใช่เฉพาะร้านของกินเท่านั้น ยังมีร้านค้าอื่นๆ คอยเป็นหูเป็นตาให้เฟยหรง
อย่างไรก็ตามไม่อาจปล่อยให้รุ่ยเซียงคลาดสายตาได้ ชินอ๋องกำลังคิดว่าถ้าเวลานี้เขาไม่ได้อยู่กับรุ่ยเซียง คนพวกนั้นอาจหาจังหวะทำอะไรกับนางแน่นอน จนป่านนี้คนพวกนั้นยังไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างนอกจากสะกดรอยตาม ชินอ๋องส่งสัญญาณให้ลี่หลินจัดการเก็บคนเหล่านั้นให้เงียบที่สุด เขาไม่ต้องการให้ใครรอดไปรายงานผู้ว่าจ้างได้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าใครเป็นคนว่าจ้างคนเหล่านั้นมา ขุนนางเหล่านั้นเริ่มอยู่ไม่สุขเพราะได้เห็นเสนาบดีเฉินถูกทำโทษ มันทำให้ชินอ๋องเริ่มทบทวนพวกขุนนางใหม่...ควรช่วยเหลือต่อไป หรือควรหาคนที่เป็นประโยชน์กับตัวเองดี
ใช่...ต้องหาหมากเดินเกมดีๆ สักตัว ไม่ใช่คนที่เอาแต่สร้างปัญหาแล้วไม่รู้ว่าตัวเองควรยืนอยู่จุดไหน พานทำให้คนอื่นเดือดร้อน โดนทำโทษขนาดนั้นแล้วยังไม่สะทกสะท้านนับว่าเป็นคนหยิ่งในอำนาจตัวเอง อำนาจเหล่านั้นถูกลิดรอนเมื่อไรก็ได้หากไม่มีประโยชน์หรือสร้างผลเสียย่อมถูกเขี่ยทิ้ง นี่คือสิ่งที่ชินอ๋องเรียนรู้มา โอกาสที่อันหวงตี้ให้มาต้องไม่ทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง เขาต้องมีสติให้มากกว่านี้
เผลอแป๊บเดียวคนตัวเตี้ยเดินย่องไปทางร้านขนมกับของเล่นตามเสียงเรียกของพวกพ่อค้าแม่ค้า ชินอ๋องส่ายหน้าจำใจต้องล็อกแขนรุ่ยเซียงเอาไว้ไม่ให้นางแวะไปที่ไหนอีก คนถูกจับไว้หน้าหงิกแทบขาดใจจากขนมและของเล่นตรงหน้า แม้นางถูกขัดใจก็ไม่ได้ร้องงอแงโวยวายอะไร ยอมเดินตามชินอ๋องไปโดยดี ได้แต่ทำตาดำๆ จ้องร้านค้าที่เรียกนางไม่หยุดหย่อนอย่างน่าเสียดาย
ปรากฏว่ามาส่งรุ่ยเซียงถึงโรงน้ำชาแล้วยังไม่มีเงาคนนั่งรอการกลับมาของนางสักคน นี่ก็ผ่านไปเกือบสองชั่วยามแล้วยังคุยกันยังไม่เสร็จอีก รุ่ยเซียงเองไม่ได้สนใจอะไร...นางคิดไว้อยู่แล้วว่าพวกเขายังไม่มารับ คนขี้เบื่ออย่างนางเลยเล่นป๋องแป๋งนั่งรอต่อไป
“เจ้าอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”
รุ่ยเซียงเงยหน้ามองชินอ๋อง ยามนี้นางเบื่อยิ่งนักที่ต้องอยู่เฉยๆ เพื่อรอสามหนุ่ม “อือ...ได้”
“...” ชินอ๋องตัดสินใจนั่งอยู่เป็นเพื่อน
“ท่านจะกลับแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อีกสักพักค่อยกลับ”
“หรือท่านจะเล่นป๋องแป๋งเป็นเพื่อนข้า”
“ใครจะไปเล่นกับเจ้า!” นี่เขาอยู่เป็นเพื่อนกับเด็กขี้เหงาคนนี้ได้ยังไง?
ความรู้เกี่ยวกับชนชั้นคณิกาในสมัยโบราณของจีน
นางคณิกาหรือนางโลมมีมาตั้งแต่สมัยโบราณก่อนคริสต์ศักราช หญิงงามทั้งหลายมีทั้งเต็มใจและถูกบีบบังคับให้เป็นนางคณิกา หญิงคณิกามาพร้อมรูปโฉมอันงดงาม กิริยาอ่อนหวานน่าหลงใหล พร้อมเสน่ห์อันยั่วยวนให้หลงในรูปลักษณ์ มีหน้าที่สร้างความบันเทิงให้แก่แขก ทั้งแสดงศิลปะการร่ายรำ ดนตรี รวมถึงปรนนิบัติให้ความสุขทางเพศ กว่าจะเป็นหญิงคณิกาไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเธอต้องผ่านการอบรมฝึกฝนไม่ว่าจะเป็นเรื่องมารยาท ศิลปะ และเสน่ห์ตราตรึงใจชาย ก่อนจะได้เข้าสู่หอนางโลมและทำหน้าที่
ขณะเดียวกันหญิงคณิกายังแบ่งชนชั้นหรือเกรดอย่างชัดเจน เช่น “อี้จี้” เป็นหญิงคณิกาชั้นเลิศที่เน้นขายความสามารถเป็นหลัก อาทิ ดนตรี ศิลปะ และสนทนาให้แขกเกิดความพึงพอใจและเสน่หา นำมาสู่การปรนเปรอด้วยทรัพย์สินและของมีค่าจากแขกจนยากถอนตัว หญิงคณิกาชั้นนี้จะยอมขายเรือนร่างให้ขึ้นอยู่กับความพอใจของเธอ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะยอมขายเรือนร่างให้บุรุษ เพราะพวกเธอเน้นขายความสามารถเป็นหลัก
หญิงคณิกาชั้นล่างเรียกว่า “เซ่อจี้” เป็นหญิงคณิกาที่ขายบริการทางเพศเป็นหลัก นั่นเพราะสมัยก่อนชนชั้นสูง พ่อค้า หรือแม้แต่นักเดินทางต่างต้องการปลดเปลื้องอารมณ์ทางเพศให้กับตัวเอง จึงทำให้มีหญิงขายบริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ความคิดเห็น