ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #16 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 14 [อัปครบ]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.88K
      604
      8 พ.ค. 62

    อัปต่อ

     ขุนถามเหมือนจะติดตลกนิดหน่อย แต่ในครั้งที่ฉันช้อนสายตาขึ้นมองเขาตรงๆ ฉันกลับมองเห็นบางอย่างแฝงไว้ในดวงตาสีเข้มคู่นั้น

    ทำตัวเป็นสาวน้อยบอบบางไปได้ ถ้าเบื่อเขาจริง ฉันคงไม่คบกับเขาได้จนทุกวันนี้หรอก

    อีกอย่างนะ...คนเบื่อกันที่ไหนจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ หื้ม?

    “เหอะ” เพราะไม่รู้จะตอบอะไร ฉันเลยแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งครั้งแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

    ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำ ก็คงต้องนอนพักผ่อนเก็บแรง หายจากอาการน่ารำคาญนี่เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

     

    Aey Describe

    “เรื่องใหญ่มากเลยเหรอ?”

    “...”

    “ทำไมไม่เล่าอะไรให้กูฟังบ้างง่า”

    ไอ้ดินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมและเกล คือ...มันรู้แค่ว่าเราทะเลาะกัน แต่ไม่ได้รู้ลึกรู้จริงไปถึงแก่นของเรื่อง เนื่องจากผมไม่ได้บอกมันอย่างละเอียดยิบไง

    หลังเหตุการณ์วันนั้น มันถามผมไม่หยุดหย่อน จนเวลาผ่านไปแล้วหลายวัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยู่ด้วยกันเพียงสองคน มันก็มักจะวกกลับมาถามเรื่องเกลอยู่เสมอ

    เมื่อวานผมบอกไปแล้วว่านี่ไม่ใช่แค่การทะเลาะเบาะแว้งหรือผิดใจกันธรรมดาๆ ทั่วไป มันเลวร้ายยิ่งกว่านั้น

    เอาจริงๆ...ผมว่าตัวเองควรพอกับเรื่องนี้ได้แล้ว

    ผมพอกับผู้หญิงคนนั้นมาสักพักแล้ว แต่ก็มีเหตุการณ์นำพาให้เราสองคนกลับมาเจอกันอยู่เสมอเลย

    อย่างล่าสุด...ตอนเช้าวันนี้ผมเจอเธอที่คาเฟ่แห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัย เธอนั่งอยู่ในร้านคนเดียว ไม่ยิ้มแย้ม ไม่พูดคุยกับใคร กระทั่งเธอเคลื่อนสายตามาเจอผมซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งเข้าพอดี

    นั่นเป็นการเจอกันของเราในรอบหลายวัน นับตั้งแต่ที่ผมทำเธอเจ็บตัว

    เกลมองผมแค่แวบเดียวเท่านั้นจึงลากสายตาไปอีกทาง ทำเหมือนสิ่งที่เพิ่งพบเจอคือความไร้ค่าในชีวิต ไม่อยากเสียเวลาจะมองมากไปกว่านี้

    ผิดจากผม

    ซึ่งใช้เวลาจดจ้องเธอจากตรงนั้นอยู่หลายนาที

    ผมบอกตัวเองว่าพอแล้ว ไม่แคร์แล้ว เกลียดมากๆ จนไม่อยากยุ่งแล้ว แต่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย

    รักหรือเกลียด คนรู้ดีที่สุดคือผม

    น่าสมเพชฉิบหายว่าไหม...

    “...”

    “หลายวันมานี้เหมือนกูพูดกับต้นไม้เลยมึงว่าป่ะ” ไอ้ดินพรูลมหายใจออกมาเมื่อผมยังคงให้คำตอบไปเป็นความเงียบสงัด แม้จะมีเสียงดนตรีดังอยู่ตลอดเวลาก็ตาม

    ตอนนี้เราสองคนอยู่ที่แอลกอฮอล์ เพื่อนคนอื่นๆ บอกว่าจะตามมาทีหลัง ส่วนผมและมันล่วงหน้ามากันก่อน

    “...”

    ผมเงียบเหมือนเดิม ไม่ลืมยกเหล้าขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก ผลสุดท้าย ไอ้ดินเลยถอนหายใจออกมาอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าคอตามไป

    เวลาผ่านไปราวๆ สองชั่วโมง ผมปลีกตัวออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติสุข กระทั่งขากลับ ผมบังเอิญพบเข้ากับใครบางคนที่เดินสวนมา

    เธอเป็นผู้หญิงซึ่งจัดว่าสะสวยมากคนหนึ่ง แต่ผมรู้ดีที่สุดว่าเธอสวยเพียงรูปแต่จูบไม่หอม

    เธอคนนั้นชื่อแพร...เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนเกลที่มหาวิทยาลัย

    จะเรียกว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปากเต็มคำก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่หรอกในความเป็นจริง เพราะสองคนนี้มีเรื่องบาดหมางกันมาตั้งแต่หลายปีก่อน รุนแรงชนิดที่ว่าเคยเกือบฆ่าแกงกันมาแล้ว

    “ไง ไม่ค่อยได้เจอเลยนะช่วงนี้” ตอนแรกผมคิดว่าจะเดินผ่านไป เพราะไม่มีความจำเป็นต้องทักทายหรือพูดคุยด้วยอยู่แล้ว จนกระทั่งแพรคว้าชายเสื้อเชิ้ตที่ผมสวมอยู่ ทำให้ผมที่เดินผ่านร่างเธอแค่นิดเดียวกันหันกลับไปมอง

    เป็นการมองที่เงียบเชียบและปราศจากความรู้สึกใด

    ผิดจากแพร เธอส่งยิ้มมาให้ผม

    “อืม” ผมตอบแค่นั้น

    “เย็นชาจังเลยเอย์ ไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อน” แพรยังคงยิ้มให้ผม ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างเราอีกด้วย

    เป็นความจริงที่ว่าเราสองคนเคยรู้จักกัน คลุกคลีกัน ใกล้ชิดกัน มันมากจนถึงขั้นจูบกัน แต่...ผมไม่รู้สึกอะไรกับเธอ

    ในตอนนั้นผมมีเหตุผลในการเข้าไปในชีวิตเธอ ส่วนเธอก็ถูกดึงดูดเข้ามาด้วยกลวิธีของผม

    เรื่องมันจบไปนานมากแล้ว

    จบแบบไม่สวยเท่าไหร่ด้วย...

    “ปล่อย”

    ผมไม่อยากอยู่ฟังแพรพล่ามอะไรน่ารำคาญจึงกดเสียงบอกให้เธอเอามือออกจากชายเสื้อผมเดี๋ยวนี้

    เธอน่าจะรู้ว่าตอนผมรำคาญใครมากๆ มันเป็นยังไง

    หรือเพราะถูกไอ้ผาทำร้ายจิตใจมากๆ เข้า เลยกลายเป็นคนไม่กลัวความเจ็บปวดงั้นใช่ไหม “อย่าให้พูดซ้ำสองนะแพร”

    เมื่อแพรยังคงไม่ไหวติง ผมจึงใช้สายตาชนิดหนึ่งซึ่งเธอเองน่าจะพอมองออกว่ากำลังรู้สึกในทิศทางไหน จนท้ายที่สุดเจ้าตัวถึงยอมละฝ่ามือออก หากแต่สีหน้าของเธอเป็นปกติ ไม่แสดงออกถึงความหวั่นเกรง

    ซึ่งทันทีที่แพรปล่อย ผมก็ไม่รอให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ จึงเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมองแม้แต่หางตา

    ทว่าผมกลับรับรู้ได้จากเบื้องหลัง มีคนจ้องมองอยู่จนแทบนาทีสุดท้าย ก่อนที่ก้นผมจะสัมผัสบนเก้าอี้ตัวที่นั่งเป็นประจำกับกลุ่มเพื่อน

    นานมาแล้วที่ผมกับแพรไม่ได้พูดคุยกัน ตั้งแต่เหตุการณ์ในตอนนั้น...มันเหมือนว่าเรากลายเป็นคนแปลกหน้า แต่ทำไมวันนี้เธอกลับมีความกล้าที่จะเข้ามาทักทายผม

    ได้แต่หวังว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้คิดแผนชั่วๆ อะไรอีกนะ

    ผมกลัวว่าคราวนี้มันอาจจะไม่ได้จบแค่การ เจ็บตัวเหมือนในอดีต...

    End Describe.

     

    อาการฉันดีขึ้นจนกลับมาเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ร่องรอยจากการกระทำของเอย์ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง

    เอาล่ะ...

    เพราะการพูดถึงเขาเป็นเรื่องน่าหงุดหงิด ดังนั้นฉันจะไม่พูดถึงร่องรอยน่ารังเกียจพวกนี้อีกก็แล้วกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันเพิ่งมาถึงมหาวิทยาลัย มันควรจะเป็นวันธรรมดาและแสนน่าเบื่อเหมือนทุกที ถ้าไม่ติดตรงที่ว่า...มีบางอย่างแปลกๆ ไปตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในเขตของคณะ

    ฉันรับรู้ได้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมองมาที่ฉันอย่างให้ความสนใจ เป็นสายตาที่กล้าการันตีเลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

    ฉันเคลื่อนสายตาไปรอบๆ...ไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ว่าตัวเองกำลังเป็นที่สนใจด้วยบางสิ่ง

    แล้วอะไร?

    ฉันขบคิดอย่างเงียบเชียบ ไม่แสดงอาการอะไรออกไปเลยสักนิด

    จนกระทั่งมีนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งคาดว่าอายุน้อยกว่าเดินมาหาด้วยท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ จนเธอหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน

    “พี่คะ”

    “...?”

    ฉันมีคำถาม แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นอย่างเบาบาง

    “พี่จำหนูได้ไหมคะ...” ส่วนเด็กตรงหน้าฉันคนนี้ กำลังถามในสิ่งที่ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก “หนูคือคนที่เคยตกบันไดเมื่อหลายเดือนก่อน แล้วได้พี่ช่วยไว้ค่ะ”

    “...” ฉันยืนนิ่ง ครุ่นคิดอยู่ราวๆ สองนาทีก็มีภาพในอดีตย้อนเข้ามาในหัว

    จริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่เหตุการณ์ทั่วไปที่ฉันเจอได้บ่อยในชีวิตประจำวัน

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง...ซึ่งจะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างทำให้วันนั้นมีนักศึกษายืนรอลิฟต์กันเป็นจำนวนมาก แล้วพื้นฐานฉันเป็นคนไม่ชอบรอไง จึงตัดสินใจเดินลงบันไดแทน จำได้ลางๆ ว่ามีน้องนักศึกษาคนหนึ่งกำลังขนแฟ้มอะไรสักอย่างอย่างทุลักทุเลแล้วเกิดก้าวพลาดจนตกบันได

    สารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าฉันไม่ได้มีเจตนาอยากช่วยหรืออยากทำตัวเป็นคนดีของสังคมนัก แต่...รู้ตัวอีกทีดันช่วยน้องเขาเก็บแฟ้มเอกสารจำนวนมหาศาลพวกนั้นซะแล้ว

    ฉันก็แค่ช่วยถือของให้เฉยๆ ส่วนน้องคนนั้นเดินกระเผลกๆ ลงบันไดตามมาอีกที

    เหตุผลในตอนนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะดูจากรูปการแล้วน้องเขาคงเจ็บข้อเท้าและขาพอสมควร จะให้เดินกระเผลกทั้งๆ ที่ต้องหอบเอกสารกองยักษ์นี่ก็ไม่ใช่เรื่อง

    แค่นั้นเอง

    จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าน้องคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง เพราะฉันไม่ค่อยได้ใส่ใจ

    แล้วมันยังไงต่อ?

    “พี่อาจจะสงสัยว่าทำไมทุกคนเอาแต่มองพี่ คือมัน...” น้องนักศึกษาตรงหน้าอ้ำอึ้งอยู่ราวๆ ครึ่งนาทีกระทั่งปริปากเอ่ยต่อ “นี่ค่ะ”

    พูดพร้อมยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาตรงหน้าฉัน

    ฉันหลุบตามอง จากนั้นจึงช้อนสายตาขึ้นเป็นเชิงถามว่า มีอะไร?

    แต่ในท้ายที่สุด ฉันจำต้องก้มหน้าลงอีกรอบ ไม่ลืมยื่นมือไปรับโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาถือไว้ จดจ้องบางสิ่งบางอย่างที่แสดงอยู่บนหน้าจอ...ราวกับว่านี่คือเหตุผลของเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันกำลังเคลือบแคลงใจอยู่

    และแล้วฉันก็ได้คำตอบว่าทำไมคนถึงมองมาที่ฉันมากมายขนาดนี้

    ในหน้าจอโทรศัพท์บนมือฉัน...ปรากฏกระทู้เด็ดประจำมหาวิทยาลัยที่นักศึกษามักจะมาแชร์หนุ่มหล่อ สาวสวยและเรื่องอื้อฉาวภายในรั้วเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

    โดยหัวข้อกระทู้เด็ดประจำสัปดาห์นี้มีชื่อว่า คิดยังไงกับผู้หญิงที่มีผัวหลายคน?

    คือแบบนี้นะ พอดีเราเป็นเพื่อนกับA แล้วทีนี้เราเพิ่งได้รู้ความจริงว่าเพื่อนอีกคน (ขอเรียกว่า B แล้วกัน) ที่อยู่ในกลุ่มด้วยกันคบกับแฟนนางอยู่ อันนี้ว่าเหี้ยแล้วนะ เราเพิ่งมารู้อีกว่าอีBเนี่ยดันไปมีใจให้เพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายด้วยอีกคน ยังจ้ะ! อีBยังไม่พอ ได้ข่าวว่ามันมีความสัมพันธ์กับน้องชายต่างแม่ของตัวเองด้วยนะ ยอมรับเลยนะว่าตอนแรกเราก็เห็นมันเป็นเพื่อนคนหนึ่งเหมือนกัน พอเจอแบบนี้แล้วผิดหวัง คบต่อไม่ลง ได้แต่สงสารAและโทษตัวเองที่ไม่เชื่อคำเตือนของAว่าอีBมันไม่ได้ดีอย่างที่คิด เฮ้ออออ

    อยากถามเพื่อนๆ ค่ะว่าคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้

    ปอลิง...ถ้าใครอยากรู้ว่าเรากำลังพูดถึงใครหลังไมค์มาถามได้เลย หรือถ้าใครรู้ก็บอกบุญเพื่อนๆ ด้วยนะจ๊ะ จะได้ไม่ไปเอามันทำเมีย

     

    หลังอ่านจบ ต่อให้ไม่มีการบอกชื่อออกมาอย่างตรงตัว ฉันก็สามารถทำความเข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้าของกระทู้หมายถึงใคร ในเมื่อทุกอย่างมันตรงฉันหมดทุกอย่าง

    อ้อ...

    ต่อให้ชื่อเจ้าของกระทู้จะเป็นชื่อที่ฉันไม่คุ้นเคยและไม่รู้จัก แต่บอกตามตรงว่าฉันค่อนข้างมั่นใจในการมีตัวตนของมัน คนๆ นี้เป็นคนที่ฉันคลุกคลีด้วยแถมยังให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ จึงรู้สไตล์การพิมพ์เป็นอย่างดี

    สุดท้ายแล้วเพื่อนดีๆ ที่ฉันต้องการก็ไม่มีอยู่จริง

    ฉันแค่นหัวเราะออกมาอย่างนึกสมเพช ก่อนจะสไลด์หน้าจอลงเพื่ออ่านคอมเม้นต์ต่างๆ ที่มีมาอย่างท่วมท้น

     

    ความคิดเห็นที่ 2

    จาก Bkkl123

    เอาจริงๆ ไอ้เรื่องชอบเพื่อนผู้ชายของตัวเองมันไม่แปลกหรอก แต่คบกับแฟนเพื่อนแถมยังมีความสัมพันธ์กับน้องชายต่างแม่นี่ไม่ไหวป่ะ จิตอ่อนๆ หรือเปล่าคนนี้

     

    ความคิดเห็นที่ 3

    จาก มุกมิกมหัศจรรย์

    บอกบุญหน่อยได้มั้ย อยากรู้จังว่าใคร คณะไหน อุอิ

     

    ฉันเลื่อนลงมาเรื่อยๆ กระทั่งเจอความคิดเห็นหนึ่งหลังจากการตั้งกระทู้ราวๆ สามชั่วโมง

     

    ความคิดเห็นที่ 31

    จาก ไม่ใช่เรื่องของมึงแล้วจะสาระแนทำไม?

    หลังไมค์ไปถามจขกท.ละ เพิ่งรู้ว่าเป็นคนคณะเดียวกัน

    แปะรูป***

     

    แล้วก็ใช่ รูปนั้นเป็นรูปของฉัน...เป็นรูปที่ถ่ายกับขุน

    รูปที่ฉันเป็นคนถ่ายเองกับมือ

    อย่างนี้นี่เอง...แท้ที่จริงแล้วโทรศัพท์ไม่ได้ถูกใครหน้าไหนเอาไป เป็นฝีมือของเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนที่ฉันพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเชื่อใจมาก

    อีมะเหมี่ยว มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม?  

     

    ฉันได้รู้เหตุผลว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงเอาเรื่องนี้มาบอก

    เธอบอกฉันว่าตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทน พอได้อ่านกระทู้แล้วรู้ว่าเป็นฉัน แถมประจวบเหมาะที่เห็นว่าฉันดูงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอดีด้วย จึงไม่รีรอในการเอาต้นตอของเรื่องมาบอกให้รู้

    ฉันรับรู้แล้วส่งโทรศัพท์คือเธอ...

    “หนูกำลังรวบรวมคนรู้จักแล้วแจ้งลบกระทู้อยู่ค่ะ คิดว่าอีกไม่นานกระทู้น่าจะปลิว...” เด็กคนนั้นรับโทรศัพท์ไปถือไว้ก่อนจะพูดบางสิ่งออกมา

    รวบรวมคนรู้จักเพื่อแจ้งลบกระทู้?

    เรื่องตกบันไดวันนั้น สำหรับฉันมันคือการบังเอิญไปเจอแล้วช่วยเหลือแบบไม่ได้เต็มใจมากกว่า ความจริงไม่ต้องพยายามตอบแทนฉันขนาดนี้ก็ได้

    “ไม่ต้องหรอก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา” ฉันยอมพูดคุยกับเธอในที่สุด “ขอบใจ” ก่อนทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินขึ้นลิฟต์มา พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่ยังคงจับจ้องฉันไม่ห่าง

    ใส่ใจเรื่องเรียนให้มันได้ครึ่งหนึ่งกับการแส่เรื่องฉันหน่อยนะ

    ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นมาถึงห้องเรียนคาบแรก ฉันพบว่าเพื่อน (เก่า) ในกลุ่มมากันครบหมดแล้ว พวกมันนั่งอยู่เกือบหน้าสุด กำลังพูดคุยอะไรกันอย่างสนุกสนาน ในจังหวะที่ฉันก้าวเท้าเข้าไป หนึ่งในนั้นหันมาเห็นพอดีจึงสะกิดคนที่เหลือให้หันมามอง

    ทั้งเฟรย์ มะเหมี่ยว อีแพร และคนอื่นๆ

    สายตาที่ใช้จ้องมองฉันมีความเหยียดหยัดอย่างมหาศาล มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าขยะแขยงที่ได้เห็นฉันมากแค่ไหน

    โดยปกติแล้ว ฉันคงจะสาวเท้าเข้าไปหาแล้วถามตรงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น พอถึงจุดที่ทนไม่ไหวอาจจะจิกหัวตบเรียงตัวด้วยความโมโห แต่รอบนี้ฉันเลือกทีนิ่งเฉยแล้วทิ้งตัวลงนั่งหลังสุดของห้อง

    จนเวลาผ่านไปได้พักหนึ่ง อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา ทำให้นักศึกษาหลายๆ คนที่กำลังกระจายตัวกันเป็นจุดๆ แถมยังพูดคุยเสียงดังต้องกลับไปนั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดังเดิม

    ในช่วงเวลาเรียนไม่มีอะไรน่าสนใจมากนักจนกระทั่งอาจารย์ให้ทำงานกลุ่มโดยอิงกลุ่มเดิมจากงานรอบที่แล้ว

    แน่นอนว่าฉันอยู่กลุ่มเดียวกับพวกมันทั้งหมด นั่นเท่ากับว่ารอบนี้ฉันก็ต้องทำรายงานร่วมกับพวกมัน

    แต่...

    “อาจารย์คะ กลุ่มตอนแรกมีเจ็ดคน รอบนี้ทำหกคนได้ไหมคะ?”

    เป็นอีแพรเองที่ยกมือขึ้นถามอาจารย์ เดิมทีแล้วกลุ่มทำรายงานของเรามีทั้งหมดเจ็ดคน ที่มันบอกว่าเหลือหกคน นั่นเท่ากับว่าสมาชิกคนที่เจ็ดที่ต้องตัดออกคือฉันคนนี้

    ภาพนี้คล้ายๆ ตอนฉันเรียนมัธยมไม่มีผิดเพี้ยน จะต่างจากเดิมก็ตรงที่...ฉันไม่ได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

    “อ้าว ทำไมล่ะ?”

    อาจารย์ถามราวกับอยากรู้เหตุผล

    “อีกคนเหมือนจะอยากทำคนเดียวค่ะ” คราวนี้เป็นอีมะเหมี่ยวที่ให้คำตอบ

    ไม่ใช่แค่พูด...แต่มันยังเหลือบหางตามองฉันซึ่งนั่งอยู่หลังสุดของห้องเป็นการสำทับด้วย

    “ไม่ได้สิ งานนี้ค่อนข้างจะเป็นงานใหญ่ ถ้าเป็นไปได้ให้ทำกันเป็นกลุ่มนะคะ ทำคนเดียวไม่ไหวหรอก” อาจารย์ว่ามาแบบนั้น “ฉะนั้นอาจารย์ไม่อนุญาตให้หนึ่งในพวกเธอทำคนเดียวนะ เข้าใจไหม?”

    “ค่ะ”

    อีแพรและอีมะเหมี่ยวตอบรับพร้อมเพรียงกัน สีหน้าดูหงุดหงิดไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

    กระทั่งอาจารย์เดินออกจากห้องไป มายด์...หนึ่งในกลุ่มนั้นจึงเดินเข้ามาหาฉัน เป็นคนที่ฉันไม่ค่อยสนิทด้วย ไม่ค่อยได้พูดถึง

    แต่เท่าที่รู้จักกันมา คนๆ นี้ไม่ค่อยมีพิษมีภัยเท่าไหร่ หมายถึง...ดูไม่ค่อยอะไรกับฉัน เป็นพวกอะไรก็ได้ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

    ถึงจะบอกแบบนั้น ฉันก็รับประกันไม่ได้หรอก ในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครที่ฉันสามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้อีกแล้ว

    เหลือแค่ตัวของฉันเองเท่านั้น

    “เกล...พอดีเราต้องแบ่งหัวข้อกันทำนะ” มายด์พูดอย่างนั้น “รู้นะว่าแกอยากทำเองคนเดียว แต่งานมันเยอะมากเลย แบ่งกันทำตามที่อาจารย์บอกน่ะดีแล้ว เรื่องพวกนั้น...ฉันอยากให้แกไปคุยด้วยดีๆ อย่าเป็นกันแบบนี้เลยนะ ยังไงก็เพื่อนกันอ่ะ...”

    “ฉันไม่ได้เริ่ม” ฉันบอกเสียงห้วน “ทำไมต้องไปคุยดีๆ คนที่ควรมาคุยกับฉันควรเป็นพวกมันมากกว่าไหม”

    “โอเคๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้วก็ได้” มายด์คงสังเกตเห็นความหงุดหงิดจากสีหน้าและน้ำเสียงได้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ขอไลน์อีกรอบหน่อยนะ คืนนี้จะแอดเข้ากลุ่มน่ะ ไว้มาสุ่มเลขกัน ใครได้หัวข้อไหนก็รับผิดชอบส่วนนั้นไปเนอะ”

    ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมมายด์ถึงพูดแบบนั้นทั้งๆ ที่ก็น่าจะรู้ว่าโทรศัพท์ของฉันถูกมะเหมี่ยวขโมยไป นั่นเพราะมันคงเห็นว่าฉันมีโทรศัพท์เครื่องใหม่นั่นล่ะ

    เพิ่งไปซื้อมาใหม่เมื่อวาน

    “...” ฉันไม่ตอบอะไร จนกระทั่งมายด์เดินกลับไปที่โต๊ะ พวกที่เหลือก็ให้ความสนใจมายด์เหมือนอยากเม้าท์ว่ามาคุยอะไรกับฉันบ้าง

    ฉันมองตรงไปยังพวกมัน ก่อนจะเน้นโฟกัสแค่อีแพรกับอีมะเหมี่ยว มองอย่างเงียบเชียบโดยที่มันสองตัวไม่รู้เลยว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่

     

    ตกดื่นวันเดียวกัน

    “มีเรื่องไม่สบายใจอีกหรือเปล่า” เสียงทุ้มคุ้นหูของขุนดังขึ้นในระหว่างที่ฉันนอนสไลด์โทรศัพท์เครื่องใหม่อย่างเหนื่อยหน่าย

    หมอนั่นเดินเข้ามาพร้อมโอวัลตินร้อนๆ กับขนมปังสองแผ่น กลิ่นหอมหวนทำให้ฉันอดเหลือบมองไม่ได้ แต่ด้วยความที่เพิ่งกินข้าวมาเมื่อชั่วโมงก่อน จึงไม่รู้สึกหิวมากเท่าไหร่นัก

    ขุนนี่ขุนสมชื่อ...มีอะไรก็ขนมาให้ฉันกินหมด คงอยากขุนให้ฉันอ้วนเป็นหมูอย่างที่เคยบอกจริงๆ ล่ะมั้ง

    หมอนี่มันบ้าจริงๆ

    “เปล่า”

    ฉันตอบสั้นๆ

    “เหรอ หน้าเธอเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจตลอดเวลา”

    ขุนเอาโอวัลตินกับขนมปังวางไว้บนโต๊ะข้างๆ ก่อนทิ้งตัวนั่งบนเตียงเดียวกัน วินาทีต่อมาฉันพบว่าขุนกำลังเอามือเท้าศีรษะในขณะที่ใบหน้าของเขาหันมาทางฉันอย่างเปิดเผย “ยิ้มบ้างก็ได้”

    “อยากยิ้มเดี๋ยวยิ้มเอง”

    ฉันบอกไปแบบนั้น และไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหมอนี่ต้องนอนตะแคงมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น อึดอัด...

    “คำว่าอยากของเธอนี่ตอนไหน ชาติหน้าหรือเปล่า”

    “แล้วนายมายุ่งทำไมนัก?”

    ฉันเลิกสนใจโทรศัพท์ในที่สุด ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองขุนตรงๆ คิดว่าตอนนี้ท่าทางของฉันคงเอาเรื่องน่าดู แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะฉันทำแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วเวลาอยู่กับเขา

    “เหตุผลเป็นล้านเลย จะฟังไหมล่ะ?”

    ขุนว่า “ข้อแรก...เธอเป็นเพื่อนฉัน”

    “ถ้ามีเป็นล้าน ฉันขอหลับดีกว่า” ว่าแล้วฉันก็ทำท่าจะหลับจริงๆ แต่เปลือกตาปิดลงได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบางสิ่งเคลื่อนมาแตะบริเวณเอว ฉันพบว่าสิ่งนั้นคือนิ้วของขุนเอง เขาทำให้ฉันจักจี้จนสะดุ้งอย่างรุนแรง “ขุน!!

    “อยากให้ฟังถึงข้อสิบ” เขายังไม่หยุดเอานิ้วจี้ฉัน สุดท้ายฉันเลยยกเท้าถีบเขาอย่างแรง หวังให้ไอ้บ้านี่เลิกเล่นอะไรเป็นเด็กสักที

    ฉันไม่รู้หรอกว่าตัวเองบ้าจี้มากระดับไหน เพราะไม่ค่อยมีใครทำแบบนี้กับฉัน จะมีก็แต่ขุนเท่านั้นที่ชอบอะไรแปลกๆ กับฉันอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

    “ไม่ฟังแม่งแล้ว นายน่ารำคาญชะมัดเลยขุน!” ฉันตะเบ็งเสียงขุ่น แต่เพราะเขายังไม่เลิกเล่นสักที มันเลยกลายเป็นว่าคำพูดนั้นเจือเสียงหัวเราะ

    เข้าใจใช่ไหม อาการของคนบ้าจี้ ส่วนใหญ่จะหัวเราะอย่างไม่มีสาเหตุ  ฉันไม่ชอบให้ใครมาทำแบบนี้ใส่ แต่มันก็ห้ามให้ตัวเองหยุดหัวเราะไม่ได้จริงๆ

    ฉัน...ไม่เคยหัวเราะเสียงดังขนาดนี้เลย

    แปลก...

    “ต้องฟัง ถ้าไม่ฟังจะไม่ยอมหยุดนะ”

    “โอ๊ย ไอ้เวร”

    ฉันด่าพร้อมทั้งดิ้นและพยายามผลักเขาออกไปอย่างเต็มที่ แล้วไม่รู้ว่าเราสู้รบตบตีกันอีท่าไหนเหมือนกัน เพราะรู้ตัวอีกทีฉันก็เป็นฝ่ายขึ้นไปนั่งคร่อมทับเขาแล้ว

    ฉันได้สติและค้างไว้ด้วยท่าทางที่บ่งชัดว่ากำลังจะตบกะโหลกเขาให้ยุบไปครึ่งซีก...

    “...” ขุนเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างแปลกๆ ไป เขาจึงเงียบและยอมหยุดเสียงขบขันรวมไปถึงการกระทำน่าหงุดหงิด เขามองตาฉัน...มองเข้ามาอย่างลึกล้ำ

    ในตอนนั้นฉันรับรู้ได้ว่ามือข้างหนึ่งของขุนเคลื่อนมาวางไว้เหนือสะโพก สิ่งนั้นคือการรั้งไม่ให้ฉันลุกจากตัวเขา เป็นการรั้งไม่ให้ฉันหนีไปไหน มันบอกได้ว่าเขาพึงพอใจกับท่วงท่านี้

    ออกนอกหน้าเกินไปไหม

    “ปล่อย” ฉันเลยทำเสียงขึงขังกลับไป ไม่ตลกด้วยเลย

    “ฉันอยากให้เธอสดใสและมีความสุขในชีวิตมากกว่านี้เกล เลิกทำหน้าบึ้ง เลิกจริงจังไปซะทุกเรื่อง ต่อไปนี้อยากได้อะไรให้บอก อยากทำอะไรก็บอก เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว” อยู่ๆ เขาก็พูดจายาวยืดจนฉันชะงักไปในวูบหนึ่ง

    เป็นอะไร อารมณ์ไหนของมันอีก

    “นายมากกว่าไหมที่ชอบดึงดราม่า ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นอะไร” ฉันพูดอย่างปกติ ถึงแม้ว่าความจริง...สภาพจิตใจของฉันมันไม่ได้ปกติมาตั้งนานแล้วก็ตาม

    “ฉันรู้จักเธอดีนะ” ขุนยังคงจ้องมองฉัน มองอย่างทะลุทะลวง “สังเกตตลอดด้วยถึงรู้ว่าตอนไหนเธอเป็นหรือไม่เป็นอะไร”

    “...พอเถอะ”

    หยุดพูดแบบนี้สักที หมอนี่มันจะรู้ตัวไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ ทุกๆ คำพูดที่กลั่นออกมา มีผลทางความรู้สึกของฉันมากแค่ไหน

    ฉันไม่อยากรักเขามากไปกว่านี้ เป็นเพื่อนกันมันก็ดีแล้ว ความสัมพันธ์แบบนี้มันดีกว่า ฉันคิดแบบนั้น...

    ฉันไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ขุนกลับเคลื่อนฝ่ามือขึ้นมาประคองท้ายทอยฉัน ออกแรงพอประมาณจนฉันต้องขยับเข้าไปใกล้อย่างช่วยไม่ได้ ฉันขืนแรง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ระยะห่างระหว่างเราก็เหลือเพียงแค่กระดาษกั้นเท่านั้น

    กลายเป็นว่าตอนนี้...ปลายจมูกเราชนกัน ริมฝีปากแทบจะสัมผัสกันได้อยู่มะรอมมะร่อ

    อยู่ๆ อุณหภูมิรอบห้องก็อุ่นขึ้นทันตา แอร์สิบเก้าองศาไม่ได้ช่วยอะไรเลย

    “...” ขุนเองไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันไม่ได้โง่ขนาดมองไม่ออกว่าสถานการณ์มันกำลังจะดำเนินไปในทิศทางไหน

    ดังนั้นฉันเลยยันมือไว้กับหมอนใบที่ศีรษะขุนทับอยู่ เป็นการรั้งไม่ให้อะไรๆ มันอันตรายมากไปกว่านี้

    “อย่าทำแบบนี้ขุน” ฉันยอมเค้นเสียงในระยะห่างที่แสนอันตราย “...ถ้ามันเกิดขึ้น ระหว่างเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

    “รู้” ขุนพยักหน้าหนึ่งครั้ง

    แววตาแฝงเร้นไปด้วยความจริงจังระดับที่ฉันเองก็ไม่สามารถวัดได้ว่ามากขนาดไหน แต่มันมาก...มากกว่าทุกทีที่ได้มอง “ไม่ควรเกิดขึ้นใช่ไหม”

    “มีสมองลองคิดดู” ฉันเพิ่มความเข้มข้นของเสียง “อย่าทำอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก ฉันไม่ชอบ”

    “โอเค ผิดไปแล้ว”

    **************


    เมย์ขอหยุดอัปไว้แค่นี้ละกันเน้อ ขอบคุณสำหรับการติดตามและทุกๆ การสนับสนุนน้า ตอนนี้ถ้าใครอยากได้มีขายแบบอีบุ๊คเน้อ ราคา 309 บาทเท่านั้น จิ้มตรงนี้ 


    ขอฝากนิยายทำมือที่เมย์กำลังอัปอยู่ตอนนี้ด้วยจ้า แนวโรเเมนติกดราม่า เนื้อเรื่องไม่หนักมาก จิ้มที่รูปเยย




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×