-- Hidden
Content part ฉันเงียบเมื่อได้ฟังคำตอบของผา ไม่ใช่เพราะเชื่อ
แต่เงียบเพื่อไตร่ตรองระหว่างนั้นฉันไม่ลืมตรึงสายตาไว้ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย
เฝ้ามองการแสดงออกของคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนอย่างเงียบเชียบ ชั่ววินาทีหนึ่ง...ผาแอบเคลื่อนสายตาไปอีกทางคล้ายกับกลัวการจ้องตา
โกหก
เรื่องที่เขาพูดมันอาจจะจริง แต่จริงน้อย
จริงมากฉันก็ไม่รู้
และฉันมั่นใจว่าเรื่องมันไม่ได้มีแค่นี้แน่
ผาคิดว่าฉันแทะหญ้าเป็นอาหารเหรอ เขาน่าจะรู้ว่าฉันเป็นยังไง...
“เกล” เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบโต้อะไรเลย
ผาจึงบีบมือฉันแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเป็นการทำลายความเงียบที่ค่อยๆ
แปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัด “ยังรู้สึกแย่อยู่?”
“เปล่า” ฉันปฏิเสธ “ถ้านั่นคือคำตอบทั้งหมดของนาย
งั้นฉันขอตัวกลับ” ว่าแล้วก็สลัดฝ่ามือของเขาออก
ทว่าหมุนตัวเดินจากมาได้เพียงสองก้าวเท่านั้น ผาก็คว้าข้อมือฉันไว้อีกรอบ
“เปล่าอะไร เธอกำลังโกรธ” น้ำเสียงของผาแสดงความวิตกกังวลอย่างชัดเจน
ฉันไม่ได้หันไปมองเขา แต่รับรู้ได้... “ที่ไม่ได้เยี่ยมตอนเธอเจ็บ ขอโทษ
ขอโทษสำหรับทุกเรื่อง”
“...” รู้อะไรไหม สำหรับฉัน คำขอโทษมันกินไม่ได้
และจะบอกอะไรให้เอาบุญ
ที่เขาไม่ไปเยี่ยมฉันตอนนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
ฉันไม่เคยเก็บเอามาคิดเป็นตุเป็นตะ
ไม่เคยมองว่านั่นคือปัญหาจนต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
สำหรับฉันแล้ว ทุกๆ ความสัมพันธ์จำเป็นต้องมีระยะห่าง
ยิ่งผาไม่ได้รักฉันตั้งแต่แรก
การที่เขาไม่แคร์ฉันมากอย่างที่คู่รักคู่อื่นๆ เป็นกัน ฉันมองว่าไม่แปลก
เพราะฉันเองก็ไม่เคยรักเขาเหมือนกัน
“ต่อไปนี้จะไม่ทำให้รู้สึกแย่อีก
ไปรับไปส่งที่มอได้ถ้าต้องการ”
“ไม่ดีกว่า” ฉันยังคงปฏิเสธ และครั้งนี้ฉันตัดสินใจหันกลับไป
ส่งรอยยิ้มบางชนิดให้ผาเล็กน้อย “ถ้าอยากได้อะไรเมื่อไหร่จะบอกเอง”
“...” ผามองหน้าฉันราวกับพยายามอ่านความคิดที่ซ่อนเอาไว้
“ไม่ต้องห่วง เรายังเป็นแฟนกันอยู่”
ฉันยื่นปลายคิ้วไปเกาคางผาสองสามที “ฉันไม่ไปไหนหรอก”
ผาคือผลประโยชน์ และฉันจะเก็บเขาไว้ข้างตัวแบบนี้จนกว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามหมากที่วางไว้ฉันที่เฝ้ามองการแสดงออกของเขาตั้งแต่แรกเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ไม่ได้เก็บเอามาคิดจนปวดหัว รอราวๆ สามถึงสี่นาทีเห็นจะได้
แพนก็เดินออกมาโดยมีผาเดินตามาติดๆทุกๆ ย่างก้าวของผา
ฉันรับรู้ได้ถึงความกังวลบางชนิดที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัวเขา แต่อะไรคือเหตุผลที่เขาแสดงออกแบบนั้นฉันก็ไม่รู้
“มีอะไรจะพูดไหม?” เมื่อผาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
สิ่งแรกที่ฉันทำคือเปิดโอกาสให้เขาได้พูดหรืออธิบายอะไร
ส่วนแพน เจ้าเด็กมอมแมมคนนั้นเดินกลับไปซ่อมรถต่อโดยปฏิกิริยาที่เขามีให้ยังคงเฉยชาเหมือนหลายนาทีก่อน
แปลก...
ปกติแพนเป็นเด็กอัธยาศัยดี ร่าเริง
ไม่ได้มีนิสัยเงียบขรึมอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้
“ไปคุยข้างในก็ได้ ตรงนี้ร้อน” ผาพูดพร้อมทั้งเหลือบมองหน้าผากฉัน
ซึ่งคงยังมีรอยแผลเป็นให้ดูต่างหน้า
อันที่จริงฉันสามารถใช้รองพื้นกลบรอยแผลน่าเกลียดๆ
พวกนี้ได้ แต่เพราะปากแผลยังปิดไม่สนิทดี ฉันเลยไม่อยากทำให้มันระคายเคือง ใจจริงไม่ได้อยากแต่งหน้าด้วยซ้ำ
แต่ใครมันจะกล้าหน้าสดออกไปข้างนอก
“ไม่ได้ร้อนขนาดนั้น” ฉันปฏิเสธและยังคงจ้องหน้าผา
ชั่ววินาทีหนึ่งนัยน์ตาสีเข้มฉายแววกังวล “ท่าทางนายมีพิรุธนะผา”
“...?” ผาทำหน้าสงสัย
ตามขมับเริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมออกมา ลักษณะคล้ายคนที่ถูกจับได้เวลาทำเรื่องชั่วร้าย
“มีอะไรอยากจะพูดก็พูดมาให้หมด
ฉันให้เวลานายสิบนาที” ฉันจ้องหน้าเขาอย่างเด็ดขาด แต่น้ำเสียงไม่ได้ขึงขังหรือดุดันอะไร
เรียกได้ว่าธรรมดาเหมือนตอนคุยกันปกติ เพียงแต่ประโยคนั้นซ่อนความกดดันไว้หลายส่วน
และเป็นส่วนที่ทำให้ผาเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงการแสดงออก
“ฉันขอโทษ...”
ไม่กี่วินาให้หลังผาจึงเอ่ยมันออกมา
ไม่เพียงเท่านั้น
เขายังคว้ามือฉันไปจับไว้...กระชับแน่นไม่ให้ฉันสลัดออก
ขอโทษ?
ไปทำอะไรมาถึงได้รู้สึกผิดกับฉันขนาดนี้
“...” ฉันนิ่งและมองเลยไหล่เขาไปเพื่อมองนาฬิกาที่ติดไว้เหนือประตูทางเข้า
สิบนาทีคือสิบนาที
ถ้าเกินกว่านี้...ฉันจะไม่รอ
“ขอโทษที่ไม่ได้ไปเยี่ยม ตอนเธอประสบอุบัติเหตุเป็นวันเดียวกันที่ญาติฝั่งพ่อฉันเสียพอดี
ฉันต้องเลือก” ฉันประมวลคำพูดเหล่านั้นในใจ “...อยากไปหาแทบตาย แต่ญาติก็สำคัญ
เข้าใจใช่ไหม?”
“แค่นี้?” ฉันเลิกคิ้ว
ถามจริง...
“เรื่องที่นัดมาเจอแล้วเธอต้องเจ็บตัวด้วย
ฉันเป็นคนผิด” ฉันค่อยๆ ถอนหายใจ “อยากต่อยฉันไหม?”
“...”อึกเขาเผลอกลืนน้ำลายลงคอโดยอัตโนมัติ และเสียงที่ดังออกไปทำให้เกลรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
เกลเอียงคอเล็กน้อยขณะมองเอย์ในเงาของกระจก...
วูบหนึ่งเกลรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ ถ้าไม่นับรวมนิสัยชอบต่อยตีกับการทำตัวผิดระเบียบล่ะก็...เอย์คงเป็นผู้ชายที่สาวๆ
หลายคนน่าจะชื่นชอบ ด้วยเครื่องหน้าได้รูป ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน
ริมฝีปากหยักลึกสีส้มอ่อน
ไหนจะผิวขาวละเอียดกับรูปร่างสูงโปร่งโดดเด่นกว่านักเรียนชายคนไหนๆ
ปกติเขาเป็นคนดูดีมากอยู่แล้ว ยิ่งใบหน้าได้รูปถูกชโลมด้วยน้ำจนเปียกชื้น...ปฏิเสธยากจริงๆ
ว่าเด็กผู้ชายคนนี้น่าดึงดูดจนเกลต้องรีบกระชากสติตัวเองกลับมา
เห็นคนหล่อ ใครก็ต้องชื่นชมอยู่แล้ว
ไม่ใช่เรื่องแปลก
จะแปลกก็ตรงที่อยู่ดีๆ ผิวแก้มสองข้างเหมือนมีเปลวไฟที่มองไม่เห็นมาสุมนี่แหละ
ร้อนผ่าวไปหมดเลย...
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะ”
หลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเอย์ก็เลือกที่จะเอ่ยขอโทษ
ไม่ลืมลากสายตาไปตรึงไว้บริเวณใบหน้ารูปไข่ของเกลแทนการมองอะไรที่ต่ำกว่านั้น
ไอ้เอย์ ใจเย็นๆ ก่อน
ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป
ระดับมึง...ถ้าอยากได้อะไร
สักวันหนึ่งมึงก็ต้องได้
พี่สาวคนนี้ก็เช่นกัน
End past event
“ไปตามผามาที”
อาการฉันดีขึ้นมาจนใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว
และวันนี้เป็นวันแรกที่เข้าเรียนหลังจากทำเรื่องลาไปหลายวัน
มีงานมากมายที่ต้องสะสาง รวมถึงควิซที่ต้องสอบย้อนหลังด้วย
โชคดีที่ไม่ใช่งานใหญ่งานยากอะไร
คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานก็จัดการเสร็จ
เมื่อสบายใจเรื่องนี้ไปได้เปราะหนึ่ง
ฉันก็คิดได้ว่ามีเรื่องที่ยังคาราคาซังอยู่
นั่นคือเจ้าของดอกไม้กับข้อความขอโทษสั้นๆ ในวันนั้น ลองคิดดูแล้ว...คนที่ทำแบบนี้ได้คงหนีไม่พ้นผา
เขาอาจจะรู้สึกผิดเพราะวันนั้นเป็นคนนัดเจอฉัน
คิดง่ายๆ คือถ้าฉันไม่ออกไป ฉันอาจจะปลอดภัยและไม่เจ็บตัว
แต่เมื่อคิดอีกที
ยังไงฉันก็ต้องประสบอุบัติเหตุอยู่แล้ว เนื่องจากสายเบรกมันถูกตัด
ไม่ว่าฉันจะขับรถไปที่ไหนยังไงก็เป็นอันตรายต่อตัวเองอยู่วันยันค่ำ
และใช่
ประโยคก่อนหน้านี้เป็นของฉันเอง
ฉันบอกให้แพนไปตามผา
ซึ่งคาดว่าเจ้าตัวน่าจะอยู่ข้างใน
แพนพยักหน้ารับและเดินหายเข้าไปในอู่โดยไม่มองหน้าฉัน
เหมือนเขาพยายามหลบตาฉัน...Past Event“เกลโดนทำโทษอีกแล้วเหรอ” เอย์ในสภาพเสื้อนักเรียนหลุดลุ่ยเอ่ยถามเจ้าของร่างบางที่กำลังขมักขะเม้นกับการใช้ฟองน้ำเช็ดขอบซิงก์ล้างหน้า
จริงๆ เอย์ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะในแต่ละอาทิตย์มักจะเจอเธอตามจุดต่างๆ
ของโรงเรียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาหลังเลิกเรียนแบบนี้
เธอมักโดนลงโทษให้ทำความสะอาด
ปัดกวาด เช็ดถู หรือยกของเป็นประจำ
เขาเห็นแทบทุกวัน...เพราะเขาเองก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทจนถูกลงโทษบ่อยไม่ต่างไปจากเธอ
แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมรอบนี้เธอถึงมาอยู่ในห้องน้ำชายได้
บางทีบทลงโทษก็เกินเหตุไปหน่อย
ถ้าจะให้ทำความสะอาดห้องน้ำ ควรเป็นห้องน้ำหญิงอย่างเดียวพอแล้ว
“อื้อ เหมือนเดิมแหละ”
เกลเงยหน้าขึ้นพร้อมส่งยิ้มเจื่อนๆ
ให้นายอชิระที่ขณะนี้อยู่ในชุดนักเรียนไม่เป็นระเบียบ เสื้อออกนอกกางเกงไม่พอ
มือข้างขวายังคีบบุหรี่มาด้วย
อายุแค่นี้ก็สูบบุหรี่แล้ว
เกลคิดในใจ แต่พูดอะไร
เธอไม่มีสิทธิ์ไปตักเตือนอะไรเขาหรอก
“เอย์ก็โดนเหมือนกัน”
เอย์พยายามชวนคุย
หลายครั้งแล้วที่เขาทำใจดีสู้เสือแล้วเดินหน้าสานต่อความสัมพันธ์กับเกล
แต่ผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างจะเก็บตัว ไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์สักเท่าไหร่
แต่ยังไง...เอย์ก็มองว่าน่ารักและน่าค้นหาไปพร้อมกัน
ผู้หญิงอายุเยอะกว่าใครว่าไม่ดี
สำหรับเอย์ มันท้าทาย
“อือ”
เกลพยักหน้าอีกรอบเพราะไม่รู้จะสนทนาอะไรอีก สิ่งที่เธอควรให้ความสนใจคือการทำความสะอาดห้องน้ำชาย
ขืนลีลาชักช้าแล้วกลับบ้านค่ำ เธอคงถูกพ่อตำหนิอีกแน่ๆ
“...” เอย์ยืนมองเกลอยู่พักหนึ่ง
จากวิถีการมองเห็น...เขาสำรวจการเคลื่อนไหวของเกลแทบจะทุกสเต็ป แม้กระทั่งการย่นจมูกเหมือนไม่ชอบกลิ่นควันบุหรี่
เอย์บี้บุหรี่กับผนัง
โยนมันใส่ถังขยะ จากนั้นก็เดินไปตรงซิงก์เพื่อล้างหน้าล้างตาให้สะอาดสะอ้าน
แต่จังหวะที่เขามองเข้าไปในกระจก...ภาพสะท้อนของเกลก็ทำให้เขาชะงักไป
เอย์เพิ่งเห็นชัดๆ
ว่าเสื้อนักเรียนสีขาวของเกลมีรอยเปียกเป็นวงกว้าง
คงเกิดอะไรขึ้นสักอย่างก่อนเขาเข้ามาที่นี่
คำถามที่ว่า ‘เธอไปทำทีท่าไหนถึงเปียก’
ควรจะเป็นประเด็นหลัก แต่ตอนนี้ในหัวเอย์มีแต่คำว่า ‘ขาว’ และ ‘ใหญ่’เพียะ!สิ้นคำขู่อันไร้ชั้นเชิง
ฉันไม่ลังเลที่จะปัดมือเขาออก จากนั้นก็ใช้มือข้างขวาของตัวเองฟาดลงบนแก้มข้างเดียวกันด้วยความแรงระดับหนึ่ง
ซึ่งมั่นใจว่าความแรงนั้นจะต้องสร้างรอยแดงไว้บนผิวแน่ๆ
แสบดีนะ แต่รู้ไหม...ประโยค ‘อยากได้อะไรต้องลงทุน’
ยังใช้กับฉันได้เสมอ
“โอ๊ย...”
ตึง
ไม่กี่วินาทีให้หลัง
ฉันล้มตัวลงกับพื้นอย่างน่าสงสาร ทำหน้าตาเหมือนกำลังเจ็บปวดทรมาน...ซึ่งเพียงไม่นานทั้งพ่อทั้งสายธารก็วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาอย่างร้อนอกร้อนใจ
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ทั้งสองเห็นคือฉันที่นั่งอยู่บนพื้น
ในขณะที่แก้มซีกขวาคงปรากฏรอยแดงเป็นปื้นๆ ให้เห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉันเบ้หน้าโดยอัตโนมัติ
ไม่ลืมยกมือกุมความแสบบริเวณผิวแก้มไปด้วย
จะตบฉันเหรอเอย์ ไม่ต้องหรอก ฉันทำเองได้...
“นี่มันอะไรกัน!”
เป็นพ่อที่โพล่งถามขึ้นอย่างตกใจ ไม่ลืมพุ่งเข้ามาพยุงฉันอย่างเป็นห่วง
อากัปกิริยานั้นของท่านทำให้หัวใจฉันพองโตอย่างยากจะปฏิเสธ
รู้ทั้งรู้ว่าความรู้สึกที่ท่านมีให้มันไม่ได้ครึ่งสายธารเลยก็ตาม “เอย์ทำอะไรพี่”
ฉันแอบคิดนิดหน่อยว่าเอย์ต้องพยายามปฏิเสธ
มันเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำเมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี
“...” ทว่า...เอย์กลับยืนนิ่ง
มองหน้าพ่อสลับฉันด้วยสายตาอ่านยาก
ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุด
การที่เขาไม่พยายามทำอะไรเลยนั่นเท่ากับว่าเขายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
ยอมรับ...ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนทำ
“เอย์ เงียบแบบนี้หมายความว่าไง
เราไม่ได้ทำพี่เกลหรอกใช่ไหมลูก?” สายธารเข้ามาจับมือลูกชาย แสดงความกังวลออกมาผ่านแววตาและน้ำเสียง
“เอย์ เรารังแกพี่ได้ยังไง”
“ถามพี่เกลดูแล้วกัน”
เอย์เลี่ยงที่จะให้คำตอบโดยสายตาแปลกประหลาดยังคงทอดมองมาที่ฉันราวกับจะสื่อเป็นนัยๆ
ว่า ‘เรื่องมารยา ฉันสู้เธอไม่ได้หรอก’
“ไปเอาพฤติกรรมแบบนี้มาจากใคร!” พ่อขึ้นเสียง
นัยน์ตาของท่านแดงก่ำ “พ่อต้องทำโทษเรา”
“คุณ...” เส้นเสียงที่สายธารเค้นออกมาทั้งแหบแห้งและอ่อนแรง
คงไม่อยากให้พ่อทำอะไรรุนแรงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนล่ะมั้ง
“พ่อขอกักบริเวณเราหนึ่งอาทิตย์”
“ได้ครับ” ว่าจบ
เอย์ก็เดินหายเข้าไปในห้อง...
เขายอมรับว่าทำทั้งที่ไม่ได้ทำ ยอมให้พ่อกักบริเวณเป็นการลงโทษทั้งๆ
ที่เขาจะอธิบายและปฏิเสธเรื่องราวทั้งหมดก็ได้
ทำตัวพ่อพระผิดเวลา
ฉันไม่สงสารหรอกนะ
สมน้ำหน้ามากกว่า“ไอ้ผาส่งมาเหรอ” ความสงสัยที่แผ่กระจายอยู่ในหัวกลับมากระจุกตัวเป็นก้อนอีกครั้งเมื่อคำถามพร้อมน้ำเสียงกวนประสาทดังขึ้นไม่ไกล
ฉันไม่มองหน้าเขาให้เสียเวลา เพราะฟังจากเสียงนั่นก็รู้แล้วว่าเป็นใครพึ่บ
เพราะไม่อยากเสวนาด้วย
ฉันจึงวางช่อดอกไม้ที่เพิ่งได้มาไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็เดินไปยังประตูห้องซึ่งจำได้ว่าก่อนเข้ามาได้จัดการปิดไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่คงลืมล็อก...เอย์ที่ตามฉันอยู่ห่างๆ ตั้งแต่โรงพยาบาลถึงได้สลอนหน้าอยู่ตรงกรอบประตูแบบนี้
บทจะหายหัวก็หายเหมือนไปตายที่ไหนสักที่
บทจะอยู่
ก็อยู่ติดเป็นเงายิ่งกว่าสัมภเวสี
“...” เมื่อหยุดตรงบริเวณประตูห้อง
ฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเขา เป็นการใช้สายตาเพื่อส่งสัญญาณให้เขาไปไกลๆ
แต่เอย์กลับไม่ไหวติง
ยังยืนกอดอกพิงกรอบประตูอย่างสบายใจเฉิบ เขาทำเหมือนบ้านหลังนี้เป็นบ้านของตัวเองเลย
ตระกูลนี้...กินบนเรือนขี้บนหลังคาจริงๆ
“จะล็อกห้องทำไม
เกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรู้” คำถามนั้นฟังเผินๆ เหมือนกำลังเป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้โง่
“ตายขึ้นมากลัวเก็บศพไม่ทัน”
“ฉันเคยทรมานจนเกือบตาย ปกตินายก็ไม่สนอยู่แล้วไหม?”
ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ วันนี้ เดือนนี้ หรือปีนี้ แต่เป็นเมื่อหลายปีก่อน
ฉันไม่ได้อาลัยอาวรณ์และคิดถึงอดีตที่กลับไปแก้ไขไม่ได้
แต่เอย์เป็นหนึ่งในบุคคลที่เปลี่ยนแปลงฉัน การกระทำของเขาเป็นส่วนหนึ่งที่บ่มเพาะสภาพจิตใจของฉัน...ผ่านมาขนาดนี้แทนที่เขาจะสำนึกสำเหนียกแล้วกดใส่หัวไว้บ้าง
แต่ก็ยังเลวชาติไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
“เคยสน” เอย์ตอบสั้นห้วน “แต่ตอนที่เอย์สน
พี่เกลมองไม่เห็นเอง”
เขาก็ยังมองว่าเป็นความผิดของฉันอยู่ดี
เอย์ไม่เคยรู้ว่าฉันสูญเสียอะไรไปบ้าง
ไม่เคยรู้อะไรเลย
“ถอย จะปิดประตู” ฉันเลิกสนใจทุกอย่างแล้วเอื้อมมือไปหมายจะปิดประตูตามที่ปากบอกจริงๆ
แต่เอย์ยังคงนิ่ง ทำตัวขวางโลกไม่เปลี่ยน “เป็นตัวอะไร
เวลาพูดภาษาคนช่วยฟังให้มันรู้เรื่อง”
“...” เขายังหน้าด้าน
“ลืมไป
กับนายต้องใช้การเห่าถึงจะเข้าใจ”
หมับ!
เอย์ใช้มือข้างหนึ่งคว้าต้นแขนฉันทันที
เขาซ่อนความโมโหไว้ในดวงตาที่ขณะนี้กำลังสะท้อนภาพฉัน
“สภาพแบบนี้อย่าเพิ่งมาปากดี”
เอย์กำลังเตือนฉัน “เดี๋ยวจะตบด้วยปากให้ฟันร่วง...”อยากจะด่าว่าเหี้ยยังสงสารเหี้ยพอฉันเงียบให้
เอย์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
กินเวลาหลายนาทีที่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาจ้องมองในระยะประชิด แม้ไม่สามารถมองเห็นได้อย่าถนัดถนี่ว่าหมอนี่กำลังใช้สายตาแบบไหนมองกัน
แต่ยอมรับเลยว่าฉันรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าตอนเห็นหน้าเขาซะอีก
แกรก...
เสียงเหมือนมีใครสักคนเปิดประตูเข้ามาเปรียบกับระฆังสวรรค์
เพราะเสียงนั้นทำให้สถานการณ์น่าอึดอัดระหว่างเรายุติลง
เอย์ยอมผละออกอย่างเสียไม่ได้
ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ห้องทั้งห้องก็สว่างวาบเพราะแสงไฟ
ถึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียงดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสายธาร
มันเป็นคนเปิดไฟ...และในลำดับถัดมาฉันพบว่ามือข้างหนึ่งของมันหิ้วถุงเซเว่นมาด้วย
คงออกไปซื้อของมากินอะไรเทือกนั้น
“เอ้า...” เป็นไปดังคาดว่าสายธารจะตกใจเมื่อพบว่าในห้องนี้ที่ควรจะมีเพียงฉันกลับมีไอ้เวรอีกหนึ่งยืนหัวโด่อยู่ไม่ไกล
แถมสารรูปยังเละเทะดูไม่จืดอีกต่างหาก
ไปกัดกับหมาที่ไหนอีกก็ไม่รู้ “มาตอนไหนทำไมแม่ไม่รู้เลย
แถมได้แผลมาอีกแล้ว!”
ว่าแล้วสายธารก็พุ่งเข้าไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพื่อสำรวจบาดแผลบนใบหน้าอย่างเป็นห่วง
แต่ขณะเดียวกันก็ขุ่นเคืองที่หมอนั่นไม่เลิกนิสัยตีกับชาวบ้าน
“เอย์ไม่เจ็บหรอกแม่”
เอย์พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แถมยังยิ้มแบบเด็กๆ ให้สายธาร “ปัญหาของเอย์เอง
รับรองไม่เดือดร้อนถึงแม่กับพ่อหรอก”
“เดี๋ยวกลับบ้านเราโดนแน่”
สายธารเหมือนรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเทศนาลูกชายตัวเองจึงคาดโทษไว้ก่อน
แน่สิ...นี่มันที่ของฉัน แทนที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
แต่เอย์กลับปรากฏตัวแล้วทำระยำใส่ไม่เลิก
“กลับไปตอนนี้เลยก็ดี”
ฉันที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองปริปากขึ้นมา “แล้วช่วยเตือนลูกชายหน่อยว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันไม่เท่”
“...”
สายธารขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจสถานการณ์ ส่วนเอย์แน่นิ่งขณะที่นัยน์ตาคมกริบจดจ้องฉันไม่ห่าง
“มันต่ำตมและไร้สมอง” ฉันหลุบตามองเท้าเอย์
และหยุดไว้แค่เท้าของเขา “แต่เตือนไปคงไม่มีค่า เพราะแบบนี้ส่วนหนึ่งมันมาจากสายเลือด”
หลายวันผ่านไป
อาการฉันดีขึ้นตามลำดับจนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว
และเมื่อมาถึงบ้าน...ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้คือมีคนส่งช่อดอกไม้ขนาดเขื่องมาให้พร้อมการ์ดใบเล็กๆ
พร้อมข้อความสั้นๆ ว่า ‘ขอโทษ’
ลายมือหวัดๆ
แบบนี้มั่นใจว่าเป็นผู้ชายแน่
แต่ใครล่ะ?
แล้วขอโทษทำไม ขอโทษเรื่องอะไร?สัมผัสที่มอบให้อย่างหนักหน่วงทำให้ฉันที่ไม่ได้ตั้งตัวเกิดสำลักขึ้นมาท่ามกลางการสั่นระทึกของหัวใจ
เป็นธรรมดาของมนุษย์อยู่แล้วที่เมื่อถูกคุกคามในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแล้วจะตื่นตกใจ
สมองเองก็คล้ายจะหยุดทำงานไปชั่วขณะฉันพยายามตั้งสติแล้วเค้นเรี่ยวแรงที่หลงเหลืออยู่เพื่อผลักไสมันออกไป
แต่สภาพร่างกายในตอนนี้มันอ่อนแอเกินกว่าจะไปต่อกรกับใครได้
โดยเฉพาะผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ตะโบมจูบฉันด้วยสัมผัสหยาบคาย
อีเกล อย่ามาสำออยตอนนี้...
ฉันบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ริมฝีปากยังคงถูกเสียดสีด้วยกลีบปากซึ่งเต็มไปด้วยรสชาติอันคมปร่าของเลือด
ปลายลิ้นที่เคลื่อนไหวอย่างดุดันทำให้ฉันต้องใช้สองมืออ่อนแรงทุบตีชนิดที่ว่าไม่กลัวอีกฝ่ายจะเจ็บ
ปึก!
เรี่ยวแรงที่ฉันขุดขึ้นมาเพื่อใช้ในการผลักไสบุคคลปริศนาเหมือนเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี
เพราะหลังจากที่เสียงกระแทกระหว่างหมัดฉันและหัวไหล่ของอีกฝ่ายดังขึ้น
ไอ้คนระยำก็ยอมผละริมฝีปากออกไป...ผละออกโดยที่ระยะห่างยังคงน้อยนิดจนกระดาษแทบจะแทรกผ่านไม่ได้
ลมหายใจอุ่นร้อนเจือกลิ่นคาวน่าเวียนหัวเป่าระริมฝีปากที่รับรู้ได้ถึงความบวมเห่อ
ฉันมองเงาดำเหนือร่างตัวเองพร้อมคำสาปแช่งมากมาย มองทั้งๆ ที่ทุกอย่างยังคงมืดสลัวแม้สายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดของห้องนี้แล้วก็ตาม
แล้วรู้ไหม...
“อ่อนปวกเปียก”
เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นดังขึ้นอย่างใกล้ชิด แต่เพียงประโยคเดียวก็ให้คำตอบทั้งหมดกับฉัน
“ถอยไป!”
ฉันตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล ในอกเหมือนมีเปลวไฟขุมหนึ่งลุกโชนขึ้นมาจนไม่แน่ว่าฉันอาจหามีดมาสับเขาให้เป็นชิ้นๆ
ได้
ไม่น่าคิดให้ปวดหัวเลยเกล เพราะคนที่กล้าทำเรื่องต่ำตมแบบนี้มันมีแค่คนเดียวเท่านั้น
เอย์...
เขากลับมาพร้อมกลิ่นเลือด
กลับมาอย่างอุกอาจแถมยังทำตัวทุเรศกับฉันแบบนี้อีก
“ไม่” เอย์ไม่ทำตามที่ฉันสั่ง
อีกทั้งยังใช้ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะเบาๆ บริเวณไหปลาร้าฉัน จุดนั้นอยู่เหนือหน้าอกฉันเพียงนิดเดียว
เพราะแบบนั้น...ทุกครั้งที่หัวใจมีการเคลื่อนไหว ปลายนิ้วของเขาก็แนบลงมาจนคล้ายกับจะล้วงเข้าไปคว้าหัวใจฉันมาบีบให้เละคามือ
“เป็นใครมาสั่ง”
“หยุดสันดานเสียสักครั้งมันจะตายไหม?”
ฉันถามพร้อมทั้งมองเงาของเขา
“แล้วเธอ หยุดโง่มันจะตายไหม?” เอย์ยอกย้อนด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหมือนกำลังโดนดูถูก
โง่? ลองดูดีๆ ว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่กำลังทำเรื่องโง่เง่า
เขาหรือฉัน?
“ฉันเพื่อนเล่นนาย?”
ฉันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันภายใต้ความเดือดดาลที่ใกล้ปะทุเต็มที
“ไม่เคยพูดว่าเป็นเพื่อนเล่น”
เอย์กำลังกวนประสาทฉัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคลื่อนมือข้างที่เคยสัมผัสไหปลาร้ามาบีบคางฉันเบาๆ
“สำหรับฉัน เธอคือเมียเก่าเฮงซวย”
“...” เหรอ...
ถ้าฉันเฮงซวย แล้วเขาเรียกว่าอะไร?
อยากจะด่าว่าเหี้ยยังสงสารเหี้ย[Verse 1]I found a love for meDarling, just dive right in and follow my leadWell, I found a girl, beautiful and sweetOh, I never knew you were the someone waiting for me‘Cause we were just kids when we fell in loveNot knowing what it wasI will not give you up this timeBut darling, just kiss me slow, your heart is all I ownAnd in your eyes, you’re holding mineผมค้นพบความรักหนึ่งสำหรับผมแล้วที่รัก คุณแค่เริ่มทำโดยไม่ต้องคิดสิ่งใด และตามผมมาผมได้เจอผู้หญิงคนหนึ่ง ที่สวยงามและอ่อนหวานโอ้ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าคุณเป็นหนึ่งคนที่รอคอยผมเพราะว่าในตอนที่เราตกหลุมรักนั้น เรายังเป็นแค่เด็กที่ไม่รู้เรื่องราวใด ๆ แต่ในตอนนี้ผมจะไม่มีทางล้มเลิกไปแต่ที่รัก แค่ค่อย ๆ จูบผมอย่างช้า ๆ ปล่อยให้หัวใจทั้งหมดของคุณนั้นเป็นของผมและให้ในสายตาของคุณนั้น จับจ้องแต่ผม[Chorus]Baby, I’m dancing in the dark with you between my armsBarefoot on the grass, listening to our favourite songWhen you said you looked a mess, I whispered underneath my breathBut you heard it, darling, you look perfect tonightที่รัก ผมจะเต้นรำท่ามกลางความมืดไปกับคุณที่อยู่ในอ้อมแขนของผมเราจะเหยียบย่ำบนผืนหญ้า และฟังเพลงที่เราชอบไปด้วยกันในตอนที่คุณพูดว่าคุณดูไม่ดีเลย ผมได้กระซิบอย่างแผ่วเบาแต่คุณได้ยินมันแล้ว ที่รัก คุณดูดีสมบูรณ์แบบแล้วในคืนนี้[Verse 2]Well I found a woman, stronger than anyone I knowShe shares my dreams, I hope that someday I’ll share her homeI found a love, to carry more than just my secretsTo carry love, to carry children of our ownWe are still kids, but we’re so in loveFighting against all oddsI know we’ll be alright this timeDarling, just hold my handBe my girl, I’ll be your manI see my future in your eyesแล้วผมก็ได้ค้นพบผู้หญิงคนหนึ่ง ที่แข็งแกร่งเกินกว่าใคร ๆ ที่ผมนั้นได้รู้จักเธอได้แบ่งปันความฝันของผม และผมหวังหว่าวันหนึ่งผมจะได้อยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับเธอผมได้พบความรักที่มันกำลังสานต่อไปเรื่อย ๆ มากกว่าความลับใด ๆ ก็ตามและเพื่อที่จะสานต่อความรัก เพื่อที่จะมีลูก ๆ ของเรากันเรานั้นเป็นแค่เด็ก แต่เรานั้นมีความรักที่ต่อสู้ไปอย่างที่สุดผมรู้ ว่าเราจะไปด้วยกันได้ในตอนนี้ที่รัก แค่จับมือของผมเป็นผู้หญิงของผม ผมจะเป็นผู้ชายของคุณเองผมเห็นอนาคตของผมอยู่ในนัยน์ตาของคุณบทความแนะนำ : เรียนต่อต่างประเทศ ข้อมูลการเรียนต่อของแต่ละประเทศ[Chorus 2]Baby, I’m dancing in the dark, with you between my armsBarefoot on the grass, listening to our favorite songWhen I saw you in that dress, looking so beautifulI don’t deserve this, darling, you look perfect tonightที่รัก ผมจะเต้นรำท่ามกลางความมืดไปกับคุณที่อยู่ในอ้อมแขนของผมเราจะเหยียบย่ำบนผืนหญ้า และฟังเพลงที่เราชอบไปด้วยกันในตอนที่คุณพูดว่าคุณดูไม่ดีเลย ผมได้กระซิบอย่างแผ่วเบาแต่คุณได้ยินมันแล้ว ที่รัก คุณดูดีสมบูรณ์แบบแล้วในคืนนี้[Instrumental][Chorus 3]Baby, I’m dancing in the dark, with you between my armsBarefoot on the grass, listening to our favorite songI have faith in what I seeNow I know I have met an angel in personAnd she looks perfectI don’t deserve thisYou look perfect tonightที่รัก ผมจะเต้นรำท่ามกลางความมืดไปกับคุณที่อยู่ในอ้อมแขนของผมเราจะเหยียบย่ำบนผืนหญ้า และฟังเพลงที่เราชอบไปด้วยกันผมเชื่อในสิ่งที่ผมได้เห็นในตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าผมได้พบกับนางฟ้าคนนั้นจริง ๆและเธอดูสมบูรณ์แบบผมดูไม่เหมาะสมเลยกับเธอคนนั้นคุณช่างดูสวยสมบูรณ์แบบในคืนนี้I left my girl back homeI don’t love her no moreAnd she’ll never fucking know thatThese fucking eyes that I’m staring atLet me see that assLook at all this cashAnd I emptied out my cards to herNow I’m fucking leaning on thatฉันทิ้งสาวน้อยของฉันไว้ที่บ้านฉันไม่รักเธออีกแล้วล่ะแต่เธอไม่มีทางรู้หรอกดวงตาคู่นี้ ที่ฉันกำลังจ้องมองอยู่นั้นขอฉันดูบั้นท้ายนั้นหน่อยสิดูเงินทั้งหมดนี่วงเงินบัตรเครดิตฉันหมดทุกใบเพื่อเธอตอนนี้ฉันก็กำลังดื่ม Lean อยู่Bring your love baby I could bring my shameBring the drugs baby I could bring my painI got my heart right hereI got my scars right hereBring the cups baby I could bring the drankBring your body baby I could bring you fameAnd that’s my motherfucking words tooJust let me motherfucking love youที่รัก มอบความรักให้ฉัน ส่วนฉันจะมอบความละอายของฉันให้เธอที่รัก มอบยาเสพติดให้ฉัน ส่วนฉันจะมอบความเจ็บปวดของฉันให้เธอฉันมีหัวใจอยู่ตรงนี้มีบาดแผลอยู่ตรงนี้เอาแก้วมาหน่อยสิที่รัก ฉันจะเอาเหล้ามาเองมอบร่างกายเธอมาให้ฉัน แล้วฉันจะทำให้เธอโด่งดังนั่นคือคำสัญญาของฉันขอแค่ให้ฉันได้รักเธอก็พอนะListen ma I’ll give you all I gotGet me off of thisI need confidence in myselfListen ma I’ll give you all of meGive me all of itI need all of it to myselfฟังนะ ฉันจะมอบทุกๆอย่างที่ฉันมีให้เธอช่วยทำให้ฉันเลิกรู้สึกแบบนี้ซักทีฉันต้องการความมั่นใจในตัวตัวเองฟังนะ ฉันจะมอบทุกๆอย่างที่ฉันมีให้เธอหากเธอมอบทุกๆอย่างให้ฉันฉันต้องการมันทั้งหมดเลยSo tell me you love meOnly for tonightOnly for one nightEven though you don’t love meJust tell me you love meI’ll give you what I needI’ll give you all of meEven though you don’t love meบอกทีว่าเธอรักฉันแค่คืนนี้คืนเดียวก็พอแค่เพียงคืนเดียวก็พอแล้วถึงแม้เธอไม่ได้รักฉันก็ตามแค่บอกว่าเธอรักฉันฉันจะยกให้เธอในสิ่งที่ฉันต้องการยกทุกๆอย่างที่ฉันมีให้เธอถึงแม้เธอจะไม่ได้รักฉันก็ตามLet me see you danceI love to watch you danceTake you down another levelAnd get you dancing with the devilTake a shot of thisBut I’m warning youI’m on that shit that you can’t smell babySo put down your perfumeขอฉันดูเธอเต้นหน่อยนะฉันชอบจริงๆเวลาเธอเต้นจะพาเธอดิ่งลงเหวไปให้ลึกกว่านี้ทำให้เธอได้ไปเต้นรำกับปีศาจลองนี่เข้าไปสิแต่ฉันเตือนเธอนะฉันกำลังเมาในสิ่งที่เธอดมไม่ได้หรอกวางน้ำหอมนั่นลงเถอะBring your love baby I could bring my shameBring the drugs baby I could bring my painI got my heart right hereI got my scars right hereBring the cups baby I could bring the drankBring your body baby I could bring you fameAnd that’s my motherfucking word tooSo let me motherfucking love youที่รัก มอบความรักให้ฉัน ส่วนฉันจะมอบความละอายของฉันให้เธอที่รัก มอบยาเสพติดให้ฉัน ส่วนฉันจะมอบความเจ็บปวดของฉันให้เธอฉันมีหัวใจอยู่ตรงนี้มีบาดแผลอยู่ตรงนี้เอาแก้วมาหน่อยสิที่รัก ฉันจะเอาเหล้ามาเองมอบร่างกายเธอมาให้ฉัน แล้วฉันจะทำให้เธอโด่งดังนั่นคือคำสัญญาของฉันขอแค่ให้ฉันได้รักเธอก็พอนะListen ma I’ll give you all I gotGet me off of thisI need confidence in myselfListen ma I’ll give you all of meGive me all of itI need all of it to myselfฟังนะ ฉันจะมอบทุกๆอย่างที่ฉันมีให้เธอช่วยทำให้ฉันเลิกรู้สึกแบบนี้ซักทีฉันต้องการความมั่นใจในตัวตัวเองฟังนะ ฉันจะมอบทุกๆอย่างที่ฉันมีให้เธอหากเธอมอบทุกๆอย่างให้ฉันฉันต้องการมันทั้งหมดเลยSo tell me you love meOnly for tonightOnly for one nightEven though you don’t love meJust tell me you love meI’ll give you what I needI’ll give you all of meEven though you don’t love meบอกทีว่าเธอรักฉันแค่คืนนี้คืนเดียวก็พอแค่เพียงคืนเดียวก็พอแล้วถึงแม้เธอไม่ได้รักฉันก็ตามแค่บอกว่าเธอรักฉันฉันจะยกให้เธอในสิ่งที่ฉันต้องการยกทุกๆอย่างที่ฉันมีให้เธอถึงแม้เธอจะไม่ได้รักฉันก็ตามเอย์รู้จักขุนในฐานะเพื่อนที่ฉันไว้ใจ
ขุนรู้จักเอย์ในฐานะน้องชายต่างสายเลือดของฉัน
“มึงน่ะกลับไป”
คิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงที่เอย์ใช้เริ่มมีความเข้มข้นกว่าตอนแรก
ฟังจากตรงนี้ยังรับรู้ได้ว่าเขากำลังไม่สบอารมณ์ “พี่กู กูดูแลเองได้”
ดูแลเหรอ?
ยังเสแสร้งเก่งเหมือนเดิมเลยนะ
“ดูแลหรืออยู่ทำตัวแย่ๆ
ให้เกลเจ็บปวด?” ขุนยังคงโทนเสียงไว้เหมือนเดิม แต่รูปประโยคเปลี่ยนไปแล้ว
สองคนนี้ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
แต่ฉันมองเห็นกลุ่มพลังงานฆ่าฟันจากสองคนนั้นเสมอเวลาได้เจอหน้ากัน
“เจ็บปวด?”
คำถามนั้นราวกับเจือเสียงหัวเราะไว้ด้วย “เจ็บตัวน่ะใช่ แต่เจ็บที่ใจ...ยัยนั่นไม่เคยได้สัมผัสหรอก”
“ระวังเกลมาได้ยิน” ขุนปรามเอย์
เขาใส่ใจฉันแม้กระทั่งในเวลาที่ฉันไม่อยู่
ส่วนเอย์ ชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลัง
“เป็นเพื่อนที่ดีจังนะ”
เอย์คล้ายกับจะส่งคำชมให้คู่สนทนา แต่รังสีการประชดประชันรุนแรงเกินไปจนฉันมองรู้สึกขยะแขยงทั้งๆ
ที่ไม่ได้มองหน้าเขา “ถามจริง คิดไรกับเกลไหม”
“...”
คำถามดังกล่าวส่งผลให้เกิดเดดแอร์ไปชั่วขณะหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเอย์เอาสมองหรือส้นเท้าคิดถึงได้กล้ายิงคำถามไร้สาระพรรค์นั้นออกมาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าฉันและขุนเป็นเพื่อนกัน
เพื่อนที่มีทั้งความรักและความเชื่อใจในแบบที่คนนอกอย่างเขาไม่มีทางได้สัมผัส
“เงียบ?”
ความเงียบนั้นครอบคลุมทุกอย่างเป็นระยะเวลาหลายทีกระทั่งเอย์ที่คล้ายกับจะรอฟังเป็นฝ่ายเปิดปากเพื่อทำลายความอึดอัด
ขุนจะคิดอะไร? คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ตอบไปเลย
ไอ้สารเลวนั่นจะได้เลิกตอแยทำตัวเหมือนไม่ได้ฉีดวัคซีนกันโรคพิษสุนัขบ้าสักที
“เกลเป็นเพื่อนกู”
ในที่สุด...ขุนก็ให้คำตอบ ฉันรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ทำตัวพิเรนทร์
เพราะบางครั้งเขาก็มักจะทำตัวแปลกๆ กับฉัน
เป็นพฤติกรรมทีเล่นทีจริงที่ใครได้เห็นคงอดสับสนไม่ได้
“ยัยนั่นคิดกับมึงแค่เพื่อน
แต่มึง...ไม่ใช่” ตอนแรกฉันคิดว่าเอย์จะจบแล้วไปให้พ้นๆ แต่เขายังคงดื้อรั้นด้วยการจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องความรู้สึกของขุนไม่เลิก
เหมือนเอย์จงใจบีบบังคับให้ขุนพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่มีผิด
อยากให้ขุนคิดไม่ซื่อกับฉันขนาดนั้นเลย?
ไอ้เด็กไร้หัวนอนปลายเท้า...สันดานแบบนี้เมื่อไหร่จะเลิกสักที
“กูไม่อยากทะเลาะ ไปไกลๆ ตีน” เห็นได้ชัดว่าขุนที่อายุเยอะกว่าและมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ตัวเองตบะแตก
เขาอดทนเก่ง แต่ถ้าเส้นความอดทนเกิดขาดผึงขึ้นมา...ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาอยู่ไหม
“กูก็ไม่ได้มาเพื่อทะเลาะ” เอย์พูด “กูแค่อยากรู้ความจริง”
“...”
“มึงชอบเกลใช่ไหม?”
อีกครั้งที่คำถามบ้าๆ นั่นถูกส่งออกไป
ฉันพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับความหงุดหงิดที่กำลังก่อตัวขึ้นในอก
ตั้งใจไว้แล้วว่าอีกหนึ่งนาที ถ้าเอย์ยังไม่เลิกทำตัวแบบนี้ฉันจะออกจากห้องน้ำแล้วเป็นฝ่ายไล่ตะเพิดเขาเอง
แต่แล้ว...
“ถ้าอยากรู้ขนาดนั้น
กูจะบอกให้เอาบุญ” ขุนใช้โทนเสียงดุดันในแบบที่ฉันไม่ค่อยได้ยิน “กูรู้สึกกับเกลแบบไหนมันไม่สำคัญ
จะในฐานะเพื่อน ในฐานะน้องสาว หรือในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง”
“...”
“มันสำคัญตรงที่กูอยากรักษายัยนั่นไว้”
“...”
“แล้วมึง...ทำอะไรให้พี่สาวตัวเองบ้างนอกจากเหี้ยไปวันๆ?”
“อยากรู้เหรอว่ากู ‘ทำ’ อะไรบ้าง?” เอย์...นายมันสุดจะบรรยายจริงๆ
ฉันกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือดเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวที่สื่อความหมายไปในทิศทางหนึ่ง
ซึ่งฉันไม่ได้เป็นควายที่จะมองไม่ออกว่าเอย์กำลังกวนโมโหขุน อีกทั้งยังแสดงความเหนือกว่าเพราะเขาได้ทำเรื่องระยำๆ
กับฉันมาหลายครั้งแล้ว
ฉันอยากให้เขาตายๆ ไปซะ
คนแบบนี้ไม่น่ามีที่ยืนอยู่ในสังคม
สกปรกเกินกว่าจะอยู่ร่วมโลกจริงๆ
“มึงทำอะไร?”
สงครามขนาดย่อมยังคงดำเนินต่อไปไร้ทีท่าจะหยุด
เพราะแบบนั้นฉันเลยยุติเหตุการณ์นั้นด้วยการเปิดประตูออกจากห้องน้ำไป สิ่งแรกที่ฉันทำคือมองไปยังพวกเขา...ซึ่งพวกเขาก็เคลื่อนสายตามาทางฉันพอดิบพอดี
เอย์อยู่ในชุดนักศึกษาไม่เป็นระเบียบ
ท่าทางกวนประสาทมากแม้จะมองจากระยะห่างหลายเมตร
ส่วนขุน... “เข้าห้องน้ำนานมาก
นึกว่าเป็นไร”
ประโยคแรกที่เขาถามฉันคือเรื่องเข้าห้องน้ำนาน
มีร่องรอยความกังวลนิดหน่อยในดวงตาคู่นั้น ดวงตาฉันเห็นความก้าวร้าวและดุดันหลงเหลืออยู่
คาดว่าเขากำลังหงุดหงิดเอย์ แต่คงไม่อยากมีเรื่อง
“โอเคดี” ฉันตอบเขา
จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปยังมารหัวขนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามขุน “ส่วนนาย ไปไหนก็ไป”
แน่นอนว่าฉันไล่เอย์
เขาไม่ควรมาอยู่ที่นี่แต่แรกด้วยซ้ำ
“มาหาเธอไม่ได้?”
เอย์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ท่อนแขนข้างขวาซึ่งเป็นข้างเดียวกับมือที่ซุกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงนักศึกษาปรากฏเส้นเลือดปูด
คล้ายว่าเขาเองก็คุกรุ่นไม่แพ้กัน
แล้วไง ใครสน
“ต้องให้บอก?” ฉันมองเขาอย่างเฉยชา “ฉลาดนักน่าจะรู้ว่าฉันไม่อยากเห็นหน้านายตั้งแต่แรก”
“แต่อยากเห็นหน้าไอ้ห่านี่?”
เอย์เหลือบมองขุนที่ยืนถอนหายใจอยู่ไม่ไกล เขาเห็นเราสองคนทะเลาะกันตลอด
มันก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติของสองพี่น้อง แต่จริงๆ ขุนไม่เลยว่าสาเหตุของความบาดหมางมันเริ่มมาจากตรงไหน
และนานเท่าไหร่แล้ว “ผัวเยอะดีนี่พี่เกล”
“...” คำปรามาสพร้อมรอยยิ้มเย็นๆ
ทำให้ฉันพยายามกดอารมณ์โกรธที่กำลังลุกลามไปทั้งอก
“พูดให้มันดีๆ ไอ้เอย์”
ขุนคงเห็นว่าฉันพยายามอดทนกับพฤติกรรมของเอย์จึงได้เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างฉัน
ไม่ลืมส่งคำเตือนให้หมอนั่นด้วย “เก็บหมาไว้ในปากหน่อยก็ได้
ไม่ต้องปล่อยมันมากัดคนอื่น”
เพล้ง!!
เอย์ไม่ตอบอะไรนอกจากเหวี่ยงมือไปปัดแจกันดอกไม้ใกล้ๆ
จนสิ่งนั้นหล่นกระแทกพื้น ซากแจกันที่ตอนนี้กระจัดกระจายเต็มพื้นเหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าอารมณ์ของเขาอยู่ในจุดเดือดมากแค่ไหน
เขาระบายอารมณ์ใส่สิ่งของก่อนจะมองหน้าฉันและขุนอย่างเชือดเฉือน
ไม่นานก็ออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงเสียงแตกของแจกันที่ยังคงบาดหูฉัน...
จะไปตายที่ไหนก็ไป --
ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 6 [อัปครบ]
-E P I S O D E 06-
หมอยังไม่ยอมปล่อยให้ฉันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
เพราะเหตุนั้นฉันจึงต้องนอนเบื่อหน่ายอยู่ในห้องพักผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
ถ้าจำไม่ผิด...นี่ก็หนึ่งอาทิตย์เข้าให้แล้ว
ถามว่าอาการดีขึ้นไหม แน่นอนสิว่ามันต้องดีขึ้น
แต่เอาจริงๆ
ฉันก็พอจะเดาได้ว่าทำไมถึงยังต้องพักรักษาตัวที่นี่ หนึ่งในสาเหตุคงเพราะเมื่อคืนฉันไข้ขึ้นหนัก
ประกอบกับการที่ยังเจ็บตามจุดที่มีแผล นี่อาจจะรวมไปถึงอาการเบื่ออาหารของฉันด้วยที่ทำให้หมอต้องเด็ดขาดและบอกให้ฉันรักษาตัวที่นี่ไปก่อน
น่ารำคาญ...
ไข้แค่นี้ เบื่ออาหารแค่นี้ ใครๆ
เขาก็เป็นกัน
อีกอย่าง รอดจากอุบัติเหตุมาได้ขนาดนี้
กับอีแค่ไม่สบายมันไม่ทำให้ฉันตายหรอก
“เกล พักผ่อนซะนะลูก
เดี๋ยวพ่อต้องกลับแล้ว พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า”
เสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ดึงฉันออกจากความหงุดหงิด เป็นพ่อนั่นเองที่ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินมาลูบศีรษะฉันอย่างอ่อนโยน
วินาทีที่เงยหน้าขึ้นมองท่าน
ฉันพบกับร่องรอยความกังวลที่ยังคงปรากฏชัดอยู่ในแววตาคู่นั้น
ในฐานะพ่อ
ท่านจะห่วงฉันบ้างมันก็ไม่ผิด แต่บอกตางตรงว่านี่ไม่สามารถเยียวยาบาดแผลทางใจที่เคยได้รับจากท่านหรอก
หลายครั้งแล้วที่ท่านทำฉันทรมานจนหายไม่ออก
หลายหนแล้วที่ท่านทำเหมือนฉันนั้นไร่ค่า และสุดท้ายท่านก็โอบกอดฉัน แสดงความรักต่อฉัน
พ่อทำเหมือนรักฉัน ทั้งที่ความจริงแทบจะไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตา
“...” ฉันไม่ตอบ
แต่ไม่ได้ปัดป้องฝ่ามืออบอุ่นของท่าน
ท่าทีเรียบเฉยที่ไม่ใช่ทั้งการตอบรับหรือปฏิเสธทำให้พ่อถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ก่อนจะพูดกับฉันว่า “พ่อรู้ว่าเราไม่โอเค แต่สายธารจะอยู่ดูแลเรา”
“...”
“สายธารจะไม่รบกวน แต่ถ้าเราต้องการอะไรก็บอกเขา”
คำบอกกล่าวซึ่งมีกลิ่นอายความหวังดีอยู่เต็มเปี่ยมส่งผลให้ฉันชำเลืองมองสายธารที่ยืนมองฉันอยู่ด้านหลังพ่อ
คงรู้ว่าฉันต้องปฏิเสธสินะถึงได้ทำท่าทางแบบนั้น
อีกครั้งที่ฉันไม่ตอบ มันไม่ใช่ว่าฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน แต่ฉันเหนื่อย เหนื่อยที่ต้องฉีกปากพูดว่าไม่เอามัน ไม่อยากเห็นหน้ามัน เพราะสุดท้ายแล้วพ่อก็เผด็จการเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่อยู่ดี
สองวันก่อนฉันทะเลาะกับท่านก็เพราะเรื่องอีนั่น
ทะเลาะกันจนฉันหน่ายที่จะพูดแล้ว
เมื่อเห็นว่าฉันไม่โต้ตอบอะไรมากไปกว่าการนิ่งเฉย
พ่อจึงหันกลับไปพูดอะไรสักอย่างกับสายธาร ก่อนจะบอกลาด้วยการจูบหน้าผากมันเบาๆ
เห็นแล้วพะอืดพะอม!
หนึ่งนาทีให้หลัง ในห้องก็เหลือเพียงฉันและมัน
ฉัน 1 คน กับมัน 1 ตัว
“แม่จะนั่งตรงนี้นะ มีอะไรเรียกได้”
คำพูดของสายธารทำให้ฉันอยากอ้วกออกมาเป็นลิ่มเลือด แต่ก็ทำได้แค่หันหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากใช้สายตาไปกับการมองสิ่งปฏิกูล
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ขุนดูแลฉันสลับกับสายธาร เฟรย์กับมะเหมี่ยวมาเยี่ยมฉันด้วยเหมือนกัน เป็นการมาเยี่ยมพร้อมกับคำด่ามากมายซึ่งฉันไม่สนใจอะไรมากไปกว่าได้รู้ว่าอย่างน้อยๆ ก็มีคนเป็นห่วงฉันมากกว่าที่คิด
อ้อ ยัยกิ่งก็เพิ่งมาเยี่ยมฉันเมื่อวาน แต่มาได้แป๊บเดียวก็ต้องรีบกลับเพราะต้องดูแลยาย ท่านไม่รู้เรื่องฉัน และฉันคิดว่าท่านไม่ควรรู้ ไม่อย่างนั้นท่านจะเครียดจนส่งผลต่อสุขภาพ
ส่วนผา ฉันไม่ได้เจอเขาตั้งเเต่วันนั้นเเล้ว
และถ้าสงสัยว่า 'ใครบางคน' หายหัวไปไหน
ฉันเองก็ไม่รู้
ไม่อยากรู้ด้วย
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน
กระทั่งสัมผัสได้ถึงแรงยุบจากเตียงและลมหายใจร้อนผ่าวเจือกลิ่นเลือด
สัญชาตญาณสั่งให้ฉันเปิดเปลือกตาขึ้น
และสิ่งแรกที่ฉันเห็นความมืดสลัวภายในห้องพัก คาดว่าสายธารเป็นคนปิดไฟ
แต่ว่า...นั่นไม่ใช่ประเด็น
ฉันเห็นเงาสูงใหญ่ทาบอยู่เหนือร่าง
“อื้อ...” และเขา...โน้มหน้าเข้ามาใกล้เพื่อจูบฉัน!
จูบพร้อมกับกลิ่นเลือดจากริมฝีปากเขา
สัมผัสหนักหน่วงทำให้ฉันที่ไม่ได้ตั้งตัวเกิดสำลักท่ามกลางการสั่นระทึกของหัวใจ
เป็นธรรมดาของมนุษย์อยู่แล้วที่เมื่อถูกคุกคามในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจะตื่นตกใจ
สมองเลยคล้ายกับจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ
ฉันพยายามตั้งสติแล้วเค้นเรี่ยวแรงที่หลงเหลืออยู่เพื่อผลักไสมันออกไป
แต่สภาพร่างกายในตอนนี้อ่อนแอเกินกว่าจะไปต่อกรกับใครได้
โดยเฉพาะผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ตะโบมจูบฉันด้วยสัมผัสหยาบคาย
อีเกล อย่ามาสำออยตอนนี้...
ฉันบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาในขณะที่ริมฝีปากยังคงถูกนวดเน้นด้วยกลีบปากซึ่งเต็มไปด้วยรสชาติขมปร่าของเลือด
ปลายลิ้นที่เคลื่อนไหวอย่างดุดันทำให้ฉันต้องใช้สองมือทุบตีชนิดที่ว่าอีกฝ่ายจะตายก็ไม่เป็นไร
ปึก!
เรี่ยวแรงที่ฉันขุดขึ้นมาเพื่อใช้ในการผลักไสบุคคลปริศนาเหมือนเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี
เพราะหลังจากที่เสียงกระแทกระหว่างหมัดฉันและหัวไหล่ของอีกฝ่ายดังขึ้น
ไอ้คนระยำก็ยอมผละริมฝีปากออกไป...ผละออกโดยที่ระยะห่างยังคงน้อยนิดจนกระดาษบางๆ แทบจะแทรกผ่านไม่ได้
ลมหายใจอุ่นร้อนเจือกลิ่นคาวน่าเวียนหัวเป่าระริมฝีปากที่รับรู้ได้ถึงความบวมเห่อ
ฉันมองเงาดำเหนือร่างตัวเองพร้อมคำสาปแช่งมากมาย มองทั้งๆ ที่ทุกอย่างยังคงมืดสลัวแม้สายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดของห้องนี้แล้วก็ตาม
แล้วรู้ไหม...
“อ่อนปวกเปียก”
เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นดังขึ้นอย่างใกล้ชิด แต่เพียงประโยคเดียวก็ให้คำตอบทั้งหมดกับฉัน
“ถอยไป!”
ฉันตะเบ็งเสียงอย่างคุกรุ่น ในอกเหมือนมีเปลวไฟขุมหนึ่งลุกโชนขึ้นมาจนไม่แน่ว่าฉันอาจหามีดมาสับเขาให้เป็นชิ้นๆ
ได้
ไม่น่าคิดให้ปวดหัวเลยเกล เพราะคนที่กล้าทำเรื่องต่ำตมแบบนี้มันมีแค่คนเดียวเท่านั้น
เอย์...
เขากลับมาพร้อมกลิ่นเลือด
กลับมาอย่างอุกอาจแถมยังทำตัวทุเรศกับฉันแบบนี้อีก
“ไม่” เอย์ไม่ทำตามที่ฉันสั่ง
อีกทั้งยังใช้ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะเบาๆ บริเวณไหปลาร้าฉัน จุดนั้นอยู่เหนือหน้าอกฉันเพียงนิดเดียว
เพราะแบบนั้น...ทุกครั้งที่หัวใจมีการเคลื่อนไหว ปลายนิ้วของเขาก็แนบลงมาจนคล้ายกับจะล้วงเข้าไปเพื่อคว้าหัวใจฉันมาบีบให้เละคามือ
“เป็นใครมาสั่ง”
“หยุดสันดานเสียสักครั้งมันจะตายไหม?”
ฉันถามพร้อมทั้งมองเงาของเขา
“แล้วเธอ หยุดโง่มันจะตายไหม?” เอย์ยอกย้อนด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหมือนกำลังโดนดูถูก
โง่? ลองดูดีๆ ว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่กำลังทำเรื่องโง่เง่า
เขาหรือฉัน?
“ฉันเพื่อนเล่นนาย?”
ฉันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันภายใต้ความเดือดดาลที่ใกล้ปะทุเต็มที
“ไม่เคยพูดว่าเป็นเพื่อนเล่น”
เอย์กำลังกวนประสาทฉัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคลื่อนมือข้างที่เคยสัมผัสไหปลาร้ามาบีบคางฉันเบาๆ
“สำหรับฉัน เธอคือเมียเก่าเฮงซวย”
“...” เหรอ...
ถ้าฉันเฮงซวย แล้วเขาเรียกว่าอะไร?
เหอะ อยากจะด่าว่าเหี้ยยังสงสารเหี้ยเลย
พอฉันเงียบให้ เอย์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
กินเวลาหลายนาทีที่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาจ้องมองในระยะประชิด แม้ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างถนัดถนี่ว่าหมอนี่กำลังใช้สายตาแบบไหนมองกัน
แต่ยอมรับเลยว่าฉันรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าตอนเห็นหน้าเขาซะอีก
แกรก...
เสียงเหมือนมีใครสักคนเปิดประตูเข้ามาเปรียบกับระฆังสวรรค์
เพราะเสียงนั้นทำให้สถานการณ์น่าอึดอัดระหว่างเรายุติลง
เอย์ยอมผละออกอย่างเสียไม่ได้
ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ห้องทั้งห้องก็สว่างวาบเพราะแสงไฟ
ถึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียงดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสายธาร
มันเป็นคนเปิดไฟ...และในลำดับถัดมาฉันพบว่ามือข้างหนึ่งของมันหิ้วถุงเซเว่นมาด้วย
คงออกไปซื้อของมากินอะไรเทือกนั้น
“เอ้า...” เป็นไปดังคาดว่าสายธารจะตกใจเมื่อพบว่าในห้องนี้ที่ควรจะมีเพียงฉันกลับมีไอ้เวรอีกหนึ่งยืนหัวโด่อยู่ไม่ไกล
แถมสารรูปยังเละเทะดูไม่จืดอีกต่างหาก
ไปกัดกับหมาที่ไหนอีกก็ไม่รู้ “มาตอนไหนทำไมแม่ไม่รู้เลย
แถมได้แผลมาอีกแล้ว!”
ว่าแล้วสายธารก็พุ่งเข้าไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพื่อสำรวจบาดแผลบนใบหน้าอย่างเป็นห่วง
แต่ขณะเดียวกันก็ขุ่นเคืองที่หมอนั่นไม่เลิกนิสัยตีกับชาวบ้านสักที
“เอย์ไม่เจ็บหรอกแม่”
เอย์พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แถมยังยิ้มแบบเด็กๆ ให้สายธาร “ปัญหาของเอย์เอง
รับรองไม่เดือดร้อนถึงแม่กับพ่อแน่นอนครับ”
“เดี๋ยวกลับบ้านก่อน เราโดนแน่”
สายธารเหมือนรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเทศนาลูกชายตัวเองจึงออกปากคาดโทษไว้ก่อน
แน่สิ...นี่มันที่ของฉัน แทนที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
แต่เอย์กลับมาปรากฏตัวแล้วทำระยำใส่ไม่เลิก
“กลับไปตอนนี้เลยก็ดี”
ฉันที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนปริปากขึ้นมา “แล้วช่วยเตือนลูกชายหน่อยว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันไม่เท่”
“...”
สายธารขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจสถานการณ์ ส่วนเอย์แน่นิ่งขณะที่นัยน์ตาคมกริบจดจ้องฉันไม่ห่าง
“มันต่ำตมและไร้สมอง” ฉันหลุบตามองเท้าเอย์
และหยุดไว้แค่เท้าของเขา “แต่เตือนไปคงไม่มีค่า เพราะแบบนี้ส่วนหนึ่งมันมาจากสายเลือด”
หลายวันผ่านไป
อาการฉันดีขึ้นตามลำดับจนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว
และเมื่อมาถึงบ้าน...มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันอดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้คือมีคนส่งช่อดอกไม้ขนาดเขื่องมาให้พร้อมการ์ดใบเล็กๆ
ในนั้นมีข้อความสั้นๆ กำกับไว้ว่า ‘ขอโทษนะ’
ลายมือหวัดๆ
แบบนี้มั่นใจว่าเป็นผู้ชายแน่
แต่ใครล่ะ?
แล้วขอโทษทำไม ขอโทษเรื่องอะไร?
“ไอ้ผาส่งมาเหรอ” ความสงสัยที่แผ่กระจายอยู่ในหัวกลับมากระจุกตัวเป็นก้อนอีกครั้งเมื่อคำถามพร้อมน้ำเสียงกวนประสาทดังขึ้นไม่ไกล
ฉันไม่มองหน้าเขาให้เสียเวลา เพราะฟังจากเสียงนั่นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
พึ่บ
เพราะไม่อยากเสวนาด้วย
ฉันจึงวางช่อดอกไม้ที่เพิ่งได้มาไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็เดินไปยังประตูห้องซึ่งจำได้ว่าก่อนเข้ามาได้จัดการปิดไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่คงลืมล็อก...เอย์ที่ตามฉันอยู่ห่างๆ ตั้งแต่โรงพยาบาลถึงได้ยืนสลอนหน้าตรงกรอบประตูห้องแบบนี้
บทจะหายหัวก็หายเหมือนไปตายที่ไหนสักที่
บทจะอยู่
ก็อยู่ติดเป็นเงายิ่งกว่าสัมภเวสีไร้ญาติ
“...” เมื่อหยุดตรงบริเวณประตูห้อง
ฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเขา เป็นการใช้สายตาเพื่อส่งสัญญาณให้เขาไปไกลๆ
แต่เอย์ไม่ไหวติง
ยังยืนกอดอกพิงกรอบประตูอย่างสบายใจเฉิบ เขาทำเหมือนบ้านหลังนี้เป็นบ้านของตัวเองเลย
ตระกูลนี้...กินบนเรือนขี้บนหลังคาจริงๆ
“จะล็อกห้องทำไม
เกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรู้” คำถามนั้นฟังเผินๆ เหมือนกำลังเป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้โง่
“ตายขึ้นมากลัวเก็บศพไม่ทัน”
“ฉันเคยทรมานจนเกือบตาย ปกตินายก็ไม่สนอยู่แล้วไหม?”
ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ วันนี้ เดือนนี้ หรือปีนี้ แต่เป็นเมื่อหลายปีก่อน
ฉันไม่ได้อาลัยอาวรณ์และคิดถึงอดีตที่กลับไปแก้ไขไม่ได้
แต่เอย์เป็นหนึ่งในบุคคลที่เปลี่ยนแปลงฉัน การกระทำของเขาเป็นส่วนหนึ่งที่บ่มเพาะสภาพจิตใจของฉัน...ผ่านมาขนาดนี้แทนที่เขาจะสำนึกสำเหนียกแล้วกดใส่หัวไว้บ้าง
แต่ก็ยังเลวชาติไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
“เคยสน” เอย์ตอบสั้นห้วน “แต่ตอนที่เอย์สน
พี่เกลมองเห็นหรือเปล่า”
เขาก็ยังมองว่าเป็นความผิดของฉันอยู่ดี
เอย์ไม่เคยรู้ว่าฉันสูญเสียอะไรไปบ้าง ไม่เคยรู้อะไรเลย
“ถอย จะปิดประตู” ฉันเลิกสนใจทุกอย่างแล้วเอื้อมมือไปหมายจะปิดประตูตามที่ปากบอกจริงๆ
แต่เอย์ยังคงนิ่ง ทำตัวขวางโลกไม่เปลี่ยน “เป็นตัวอะไร
เวลาพูดภาษาคนช่วยฟังให้มันรู้เรื่องหน่อย”
“...” เขายังหน้าด้าน
“หรือต้องใช้การ 'เห่า' ถึงจะเข้าใจ”
หมับ!
เอย์ใช้มือข้างหนึ่งคว้าต้นแขนฉันทันที
เขาซ่อนความโมโหไว้ในดวงตาที่ขณะนี้กำลังสะท้อนภาพฉัน
“สภาพแบบนี้อย่าเพิ่งมาปากดี”
เอย์กำลังเตือนฉัน “เดี๋ยวจะตบด้วยปากให้ฟันร่วง...”
เพียะ!
สิ้นคำขู่อันไร้ชั้นเชิง
ฉันไม่ลังเลที่จะปัดมือเขาออก จากนั้นก็ใช้มือข้างขวาของตัวเองฟาดลงบนแก้มข้างเดียวกันด้วยความแรงระดับหนึ่ง
ซึ่งมั่นใจว่าความแรงนั้นจะต้องสร้างรอยแดงไว้บนผิวแน่ๆ
รู้ไหม...ประโยค ‘อยากได้อะไรต้องลงทุน’
ยังใช้กับฉันได้เสมอ
“โอ๊ย...”
ตึง
ไม่กี่วินาทีให้หลัง
ฉันล้มตัวลงกับพื้นอย่างน่าสงสาร ทำหน้าตาเหมือนกำลังเจ็บปวดทรมาน...และเพียงไม่นานทั้งพ่อทั้งสายธารก็วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาอย่างร้อนอกร้อนใจ
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ทั้งสองคนเห็นคือฉันซึ่งนั่งอยู่บนพื้น
ในขณะที่แก้มซีกขวาคงปรากฏรอยแดงเป็นปื้นๆ ให้เห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉันเบ้หน้าโดยอัตโนมัติ
ไม่ลืมยกมือกุมความแสบบริเวณผิวแก้มไปด้วย
จะตบฉันเหรอเอย์ ไม่ต้องหรอก ฉันทำเองได้...
“นี่มันอะไรกัน!”
เป็นพ่อที่โพล่งถามขึ้นอย่างตกใจ ไม่ลืมพุ่งเข้ามาพยุงฉันอย่างเป็นห่วง
อากัปกิริยานั้นของท่านทำให้หัวใจฉันพองโตอย่างยากจะปฏิเสธ
รู้ทั้งรู้ว่าความรู้สึกที่ท่านมีให้มันไม่ได้ครึ่งแม่คนใหม่อย่างสายธารเลยก็ตาม “เอย์ทำอะไรพี่”
ฉันแอบคิดนิดหน่อยว่าเอย์ต้องพยายามปฏิเสธ
มันเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำเมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี
“...” ทว่า...เอย์กลับยืนนิ่ง
มองหน้าพ่อสลับฉันด้วยสายตาอ่านยาก
ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุด
การที่เขาไม่พยายามทำอะไรเลยนั่นเท่ากับว่าเขายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
ยอมรับ...ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนทำ
“เอย์ เงียบแบบนี้หมายความว่าไง
เราไม่ได้ทำพี่เกลหรอกใช่ไหมลูก?” สายธารเข้ามาจับมือลูกชาย แสดงความกังวลออกมาผ่านแววตาและน้ำเสียง
“เอย์ เรารังแกพี่เหรอ ทำทำไม...”
“ถามพี่เกลดูแล้วกันว่าอะไรทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้”
เอย์เลี่ยงคำตอบโดยสายตาแปลกประหลาดยังคงทอดมองมาที่ฉันราวกับจะสื่อเป็นนัยๆ
ว่า ‘เรื่องมารยา ฉันสู้เธอไม่ได้หรอก’
“ไปเอาพฤติกรรมแบบนี้มาจากใคร!” พ่อขึ้นเสียง
นัยน์ตาของท่านแดงก่ำ “พ่อต้องทำโทษเรา”
“คุณ...” เส้นเสียงที่สายธารเค้นออกมาทั้งแหบแห้งและอ่อนแรง
คงไม่อยากให้พ่อทำอะไรรุนแรงกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนล่ะมั้ง
“พ่อขอกักบริเวณเราหนึ่งอาทิตย์”
“ได้ครับ” ว่าจบ
เอย์ก็เดินหายเข้าไปในห้อง...
เขายอมรับว่าทำทั้งที่ไม่ได้ทำ ยอมให้พ่อกักบริเวณเป็นการลงโทษทั้งๆ
ที่เขาจะอธิบายและปฏิเสธเรื่องราวทั้งหมดก็ได้
ทำตัวพ่อพระผิดเวลา ฉันไม่สงสารหรอกนะเอย์ อย่าเข้าใจผิดก็แล้วกัน
Past Event
“เกลโดนทำโทษอีกแล้วเหรอ”
เอย์ในสภาพเสื้อนักเรียนหลุดลุ่ยเอ่ยถามเจ้าของร่างบางที่กำลังขมักขะเม้นกับการใช้ฟองน้ำเช็ดขอบซิงก์ล้างหน้า
จริงๆ เอย์ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะในแต่ละอาทิตย์มักจะเจอเธอตามจุดต่างๆ
ของโรงเรียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาหลังเลิกเรียนแบบนี้
เธอมักโดนลงโทษให้ทำความสะอาด
ปัดกวาด เช็ดถู หรือยกของเป็นประจำ
เห็นแทบทุกวัน...เพราะเขาเองก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทจนถูกลงโทษบ่อยไม่ต่างไปจากเธอ
แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมรอบนี้เธอถึงมาอยู่ในห้องน้ำชายได้
บางทีบทลงโทษก็เกินเหตุไปหน่อย
ถ้าจะให้ทำความสะอาดห้องน้ำ ควรเป็นห้องน้ำหญิงอย่างเดียวพอแล้ว
“อื้อ เหมือนเดิมแหละ”
เกลเงยหน้าขึ้นพร้อมส่งยิ้มเจื่อนๆ
ให้นายอชิระที่ขณะนี้อยู่ในชุดนักเรียนไม่เป็นระเบียบ เสื้อออกนอกกางเกงไม่พอ
มือข้างขวายังคีบบุหรี่มาด้วย
อายุแค่นี้ก็สูบบุหรี่แล้ว
เกลคิดในใจ แต่พูดอะไรไม่ได้ เธอไม่มีสิทธิ์ไปตักเตือนอะไรเขา
“เอย์ก็โดนเหมือนกัน”
เอย์พยายามชวนคุย
หลายครั้งแล้วที่เขาทำใจดีสู้เสือแล้วเดินหน้าสานต่อความสัมพันธ์กับเกล
แต่ผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างจะเก็บตัว ไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์สักเท่าไหร่
แต่ยังไง...เอย์ก็มองว่าน่ารักและน่าค้นหาไปพร้อมกัน
ผู้หญิงอายุเยอะกว่าใครว่าไม่ดี
สำหรับเอย์ มันท้าทาย
“อือ”
เกลพยักหน้าอีกรอบเพราะไม่รู้จะสนทนาอะไรอีก สิ่งที่เธอควรให้ความสนใจคือการทำความสะอาดห้องน้ำชาย
ขืนลีลาชักช้าแล้วกลับบ้านค่ำ เธอคงถูกพ่อตำหนิอีกแน่ๆ
“...” เอย์ยืนมองเกลอยู่พักหนึ่ง
จากวิถีการมองเห็น...เขาสำรวจการเคลื่อนไหวของเกลแทบจะทุกสเต็ป แม้กระทั่งการย่นจมูกเหมือนไม่ชอบกลิ่นควันบุหรี่
เอย์บี้บุหรี่กับผนัง
โยนมันใส่ถังขยะ จากนั้นก็เดินไปตรงซิงก์เพื่อล้างหน้าล้างตาให้สะอาดสะอ้าน
แต่จังหวะที่เขามองเข้าไปในกระจก...ภาพสะท้อนของเกลก็ทำให้เขาชะงักไป
เอย์เพิ่งเห็นชัดๆ
ว่าเสื้อนักเรียนสีขาวของเกลมีรอยเปียกเป็นวงกว้าง
คงเกิดอะไรขึ้นสักอย่างก่อนเขาเข้ามาที่นี่
คำถามที่ว่า ‘เธอไปทำอีท่าไหนถึงเปียก’
ควรจะเป็นประเด็นหลัก แต่ตอนนี้ในหัวเอย์มีแต่คำว่า ‘โคตรขาว’ และ ‘ใหญ่ชะมัด’
อึก
เขาเผลอกลืนน้ำลายลงคอโดยอัตโนมัติ และเสียงที่ดังออกไปทำให้เกลรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
เกลเอียงคอเล็กน้อยขณะมองเอย์ในเงาของกระจก...
วูบหนึ่งเกลรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ ถ้าไม่นับรวมนิสัยชอบต่อยตีกับการทำตัวผิดระเบียบล่ะก็...เอย์คงเป็นผู้ชายที่สาวๆ
หลายคนน่าจะชื่นชอบ ด้วยเครื่องหน้าได้รูป ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน
ริมฝีปากหยักลึกสีส้มอ่อน
ไหนจะผิวขาวละเอียดกับรูปร่างสูงโปร่งโดดเด่นกว่านักเรียนชายคนไหนๆ
ปกติเขาเป็นคนดูดีมากอยู่แล้ว ยิ่งใบหน้าได้รูปถูกชโลมด้วยน้ำจนเปียกชื้น...ปฏิเสธยากจริงๆ
ว่าเด็กผู้ชายคนนี้น่าดึงดูดจนเกลต้องรีบกระชากสติตัวเองกลับมา
เห็นคนหล่อ ใครก็ต้องชื่นชมอยู่แล้ว
ไม่ใช่เรื่องแปลก
จะแปลกก็ตรงที่อยู่ดีๆ ผิวแก้มทั้งสองข้างเหมือนมีเปลวไฟที่มองไม่เห็นมาสุมนี่แหละ
ร้อนผ่าวไปหมดเลย...
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะ”
หลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเอย์ก็เลือกที่จะเอ่ยขอโทษ
ไม่ลืมลากสายตาไปตรึงไว้บริเวณใบหน้ารูปไข่ของเกลแทนการมองอะไรที่ต่ำกว่านั้น
ไอ้เอย์ ใจเย็นๆ ก่อน
ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป
ระดับมึง...ถ้าอยากได้อะไร
สักวันหนึ่งมึงก็ต้องได้
พี่สาวคนนี้ก็เช่นกัน
End past event
“ไปตามผามาที”
อาการฉันดีขึ้นมากจนใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว
และวันนี้เป็นวันแรกที่ได้เข้ามอจากทำเรื่องลาไปหลายวัน
มีงานมากมายที่ต้องสะสาง รวมถึงควิซที่ต้องสอบย้อนหลังด้วย
โชคดีที่ไม่ใช่งานใหญ่งานยากอะไร
คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานก็จัดการเสร็จ
เมื่อสบายใจเรื่องนี้ไปเปราะหนึ่ง ฉันก็นึกได้ว่ายังมีเรื่องที่คาราคาซังอยู่ นั่นคือเจ้าของช่อดอกไม้กับข้อความขอโทษบนกระดาษแผ่นหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน ลองคิดดูแล้ว...การกระทำแบบนี้คงเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากผา
เขาอาจจะรู้สึกผิดเพราะวันนั้นเป็นคนนัดเจอฉัน
คิดง่ายๆ คือถ้าไม่ออกไป ฉันอาจจะปลอดภัยและไม่เจ็บตัว
แต่เมื่อคิดอีกมุมหนึ่ง ตราบใดที่ใช้รถคันนั้นเป็นยานพาหนะ ชีวิตฉันก็เเขวนอยู่บนเส้นด้ายมาตั้งเเต่ต้นแล้ว ไม่มีใครเป็นคนผิดหรอก ยกเว้นว่า 'คนๆ นั้น' เป็นคนตัดสายเบรกรถฉันซะเอง
และใช่
ประโยคก่อนหน้านี้เป็นของฉันเอง
ฉันบอกให้แพนไปตามผา
ซึ่งคาดว่าเจ้าตัวน่าจะอยู่ข้างใน
แพนพยักหน้ารับและเดินหายเข้าไปในอู่โดยไม่มองหน้าฉัน
เหมือนเขาพยายามหลบตาฉัน...
ฉันที่เฝ้ามองการแสดงออกของเขาตั้งแต่แรกเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ไม่ได้เก็บเอามาคิดจนปวดหัว รอราวๆ สามถึงสี่นาทีเห็นจะได้
แพนก็เดินออกมาโดยมีผาเดินตามมาติดๆ
ทุกๆ ย่างก้าวของผา
ฉันรับรู้ได้ถึงความกังวลบางชนิดที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัวเขา แต่อะไรคือเหตุผลที่เขาแสดงออกแบบนั้นฉันก็ไม่รู้
“มีอะไรจะพูดไหม?” เมื่อผาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
สิ่งแรกที่ฉันทำคือเปิดโอกาสให้เขาได้พูดหรืออธิบายอะไร
ส่วนแพน เจ้าเด็กมอมแมมคนนั้นเดินกลับไปซ่อมรถต่อโดยปฏิกิริยาที่เขามีให้ยังคงเฉยชาเหมือนหลายนาทีก่อน
แปลก...
ปกติแพนเป็นเด็กอัธยาศัยดี ร่าเริง
ไม่ได้มีนิสัยเงียบขรึมอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้
“ไปคุยข้างในก็ได้ ตรงนี้ร้อน” ผาพูดพร้อมทั้งเหลือบมองหน้าผากฉัน
ซึ่งคงยังมีรอยแผลเป็นให้ดูต่างหน้า
อันที่จริงฉันสามารถใช้รองพื้นกลบรอยแผลน่าเกลียดๆ พวกนี้ได้ แต่เพราะปากแผลยังปิดไม่สนิทดี ฉันเลยไม่อยากทำให้มันระคายเคือง ใจจริงไม่ได้อยากแต่งหน้าด้วยซ้ำ แต่ใครมันจะกล้าหน้าสดออกไปข้างนอก ทางเลือกเดียวจึงหนีไม่พ้นการตบคูชั่นเพียงเลเยอร์เดียวพอให้หน้าไม่โทรมจนเกินไป
“ไม่ได้ร้อนขนาดนั้น” ฉันปฏิเสธและยังคงจ้องหน้าผา
ชั่ววินาทีหนึ่งนัยน์ตาสีเข้มฉายแววกังวล “ท่าทางนายมีพิรุธนะผา”
“...?” ผาทำหน้าสงสัย
ตามขมับเริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมออกมา ลักษณะคล้ายคนที่ถูกจับได้เวลาทำเรื่องชั่วร้าย
“มีอะไรอยากจะพูดก็พูดมาให้หมด
ฉันให้เวลานายสิบนาที” ฉันจ้องหน้าเขาอย่างเด็ดขาด แต่น้ำเสียงไม่ได้ขึงขังหรือดุดันอะไร
เรียกได้ว่าธรรมดาเหมือนตอนคุยกันปกติ เพียงแต่ประโยคนั้นซ่อนความกดดันไว้หลายส่วน
และเป็นส่วนที่ทำให้ผาเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงการแสดงออก
“ฉันขอโทษ...”
ไม่กี่วินาให้หลังผาจึงเอ่ยมันออกมา
ไม่เพียงเท่านั้น
เขายังคว้ามือฉันไปจับไว้...กระชับแน่นไม่ให้ฉันสลัดออก
ขอโทษ?
ไปทำอะไรมาถึงได้รู้สึกผิดกับฉันขนาดนี้
“...” ฉันนิ่งและมองเลยไหล่เขาไปเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาที่ติดไว้เหนือประตูทางเข้า
สิบนาทีคือสิบนาที
ถ้าเกินกว่านี้...ฉันจะไม่รอ
“ขอโทษที่ไม่ได้ไปเยี่ยม ตอนเธอประสบอุบัติเหตุเป็นวันเดียวกันที่ญาติฝั่งพ่อฉันเสียพอดี
ฉันต้องเลือก” ฉันประมวลคำพูดเหล่านั้นในใจ “...อยากไปหาแทบตาย แต่ญาติก็สำคัญ
เข้าใจใช่ไหม?”
“แค่นี้?” ฉันเลิกคิ้ว
ถามจริง...
“มีอีก ก็เรื่องที่นัดมาเจอแล้วเธอต้องเจ็บตัวไง ถ้าฉันไม่ส่งข้อความไปหาเธอ เธอคงไม่เป็นแบบนี้” ฉันค่อยๆ ถอนหายใจ “ฉันทำหน้าที่แฟนไม่ดีพอ เธอจะโกรธก็ไม่แปลก”
“...”
ฉันเงียบเมื่อได้ฟังคำตอบของผา ไม่ใช่เพราะเชื่อ
แต่เงียบเพื่อไตร่ตรอง
ระหว่างนั้นฉันไม่ลืมตรึงสายตาไว้ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย เฝ้ามองการแสดงออกของคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนอย่างเงียบเชียบ ชั่ววินาทีหนึ่ง...ผาแอบเคลื่อนสายตาไปอีกทางคล้ายว่ากลัวการจ้องตา
เรื่องที่เขาพูดมันอาจจะจริง แต่จริงน้อย จริงมากฉันก็ไม่รู้
ที่รู้ๆ ฉันมั่นใจว่าเรื่องมันไม่ได้มีแค่นี้แน่
ผาคิดว่าฉันแทะหญ้าเป็นอาหารเหรอ เขาน่าจะรู้ว่าฉันเป็นคนยังไง
“เกล” เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบโต้อะไรเลย
ผาจึงเรียกชื่อฉัน พร้อมทั้งกระชับมือข้างนั้นแน่นกว่าเดิมเป็นการทำลายความเงียบซึ่งกำลังจะเปลี่ยนเป็นความอึดอัด “ยังรู้สึกแย่อยู่?”
“เปล่า” ฉันปฏิเสธ “ถ้านั่นคือคำตอบทั้งหมดของนาย ฉันขอตัวกลับละกัน” ว่าแล้วก็สลัดฝ่ามือเขาออก
ทว่าหมุนตัวเดินจากมาได้เพียงสองก้าวเท่านั้น ผาก็คว้าข้อมือฉันไว้อีกรอบ
“เปล่าอะไร เธอกำลังโกรธ” น้ำเสียงของผาแสดงความวิตกกังวลอย่างชัดเจน
ฉันไม่ได้หันไปมองเขา แต่รับรู้ได้... “ที่ไม่ได้เยี่ยมตอนเธอเจ็บ ขอโทษ
ขอโทษสำหรับทุกเรื่อง”
“...” รู้อะไรไหม สำหรับฉัน คำขอโทษมันกินไม่ได้
และจะบอกอะไรให้เอาบุญ
ที่เขาไม่ไปเยี่ยมฉันตอนนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
ฉันไม่เคยเก็บเอามาคิดเป็นตุเป็นตะ
ไม่เคยมองว่านั่นคือปัญหาจนต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
สำหรับฉันแล้ว คิดว่าทุกๆ ความสัมพันธ์จำเป็นต้องมีระยะห่าง
ยิ่งผาไม่ได้รักฉันตั้งแต่แรก
การที่เขาไม่แคร์ฉันมากอย่างที่คู่รักคู่อื่นๆ เป็นกัน ฉันมองว่าไม่แปลก
เพราะฉันเองก็ไม่เคยรักเขาเหมือนกัน
“ต่อไปนี้จะไม่ทำให้รู้สึกแย่อีก
ไปรับไปส่งที่มอได้ถ้าต้องการ”
“ไม่ดีกว่า” ฉันยังคงปฏิเสธ และครั้งนี้ฉันตัดสินใจหันกลับไป
ส่งรอยยิ้มบางชนิดให้ผาเล็กน้อย “ถ้าอยากได้อะไรเมื่อไหร่จะบอกเอง”
“...” ผามองหน้าฉันราวกับพยายามอ่านความคิดที่ซ่อนเอาไว้
“ไม่ต้องห่วง เรายังเป็นแฟนกันอยู่”
ฉันยื่นปลายนิ้วไปเกาคางผาสองสามที “ฉันไม่ไปไหนหรอก”
ผาคือผลประโยชน์ และฉันจะเก็บเขาไว้ข้างตัวแบบนี้จนกว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามหมากที่วางไว้
---
MA-NELL'S ZONE
ความตาลปัตรนี้ บอกเลยว่ายากกก
เมย์เนี่ย เขียนยากT_T 5555
ติดเเท็ก #ผู้หญิงแพศยา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น