ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #4 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 4 [อัปครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 61



    -E P I S O D E 04-

    Aey Describe

    “ฉันมีเรื่องจะคุย” คำบอกกล่าวของเกลทำให้หัวคิ้วผมขมวดกันชั่วครู่หนึ่ง “ไปคุยข้างใน”

    “...” ผมไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ยัยมารร้ายก็แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างตัวผมและกรอบประตูกระทั่งเจ้าตัวสามารถเข้าไปอยู่ด้านในได้สำเร็จ

    ใช่ ห้องนอนผม พื้นที่ผม อาณาเขตผม

    ...เสนอหน้ามาหาถึงที่เลยนะคราวนี้

    เมื่อเกลต้องการความเป็นส่วนตัวผมจึงไม่ขัดข้อง ตัดสินใจปิดประตูและล็อกอย่างดี จากนั้นก็หันกลับไปเจ้าของร่างบางที่กำลังยืนกอดพิงกรอบหน้าต่าง ใบหน้านิ่งสนิทหากแต่ซ่อนรังสีดุร้ายกำลังจดจ้องผมในระยะสามเมตร 

    เธอเป็นผู้หญิงประเภทไม่ตกใจเวลาเห็นผู้ชายอยู่สภาพเปลือยหรือกึ่งเปลือย

    บางทีเธอคงเห็นจากผมเป็นสิบๆ ครั้งจนชาชิน...หรือเห็นจากไอ้ผา ผัวแสนรักที่เธอเคยไปนอนค้างด้วย

    “นายไปค้างบ้านยัยกิ่งมา?” ผมสลัดเรื่องน่ารำคาญนั่นทิ้งลงถังขยะเมื่อน้ำเสียงห้วนจัดและเย่อหยิ่งของเกลดังขึ้น ผมสบตาเธออีกครั้ง...เห็นความคุกรุ่นก่อตัวอยู่ในดวงตาคู่นั้นเป็นปริมาณมาก

    เรื่องกิ่ง...

    “ต้องการคำตอบแบบไหนล่ะ” ผมยกมือเสยผมเปียกชื้นขึ้นทั้งๆ ที่ยังมองสบตาเกล เป็นจังหวะเดียวกันที่สองเท้าก้าวเท้าไปหาเธอกระทั่งระยะห่างลดลงและเหลือเพียงเอื้อมแขนเดียว

    เกลไม่ไหวติง ไม่ตกใจ

    “อย่ากวนตีน” เกลกดเสียง หลุบตามองสารรูปผมด้วยสายตาที่หนักไปทางขยะแขยง “ฉันเห็นของของนายที่บ้านยัยนั่น ตอบดีๆ ว่าไปทำไม นายทำอะไรน้องฉัน”

    “ถ้าฉันทำขึ้นมาจริงๆ เธอจะทำไมเหรอเกล” ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปบีบคางยัยผู้หญิงอวดดี เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นเธอก็ปัดมันออกพร้อมฝากรอยเล็บไว้บริเวณหลังมือผม

    ไม่เคยมีครั้งไหนไม่ได้เลือด

    “ทำคนพี่ไม่ได้ถึงไปลงกับคนน้อง เพิ่งรู้ว่านายจนตรอกขนาดนี้แล้ว” เกลกำหมัดแน่น...เธอเดือดดาลเสมอเมื่อมีใครมารังควานกิ่ง เด็กคนนั้นเป็นสิ่งที่เธอรักที่สุดในชีวิตรองจากแม่

    “งั้นเธอก็มาให้ฉันทำสิ” ผมใช้มือข้างที่เคยบีบคางสอดไปยึดผมกลุ่มหนึ่งใต้ท้ายทอยเธอ แรงรั้งดังกล่าวส่งผลให้ใบหน้าได้รูปขยับเข้ามาใกล้ผมโดยปริยาย เหนือสิ่งอื่นใด...ริมฝีปากผมอยู่เหนือปลายจมูกเธอพอดี เรากำลังแลกเปลี่ยนลมหายใจกันและกันผ่านสายตาเกลียดชัง "มาให้ขยี้หน่อยสิ ในฐานะผัวเก่าที่พี่เกลเกลียดก็ได้"

    ผมจะขยี้เธอซ้ำๆ จนกว่าจะพอใจ จากนั้นก็ใช้เท้าเขี่ยทิ้ง

    แค้นเหรอ? 

    เปล่า...

    สะใจล้วนๆ

    เพียะ!

    จังหวะที่ริมฝีปากผมขยับเข้าไปใกล้จนเฉียดกลีบปากสีแดงก่ำที่เคยลิ้มลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มือข้างหนึ่งของยัยมารร้ายก็เหวี่ยงเต็มแก้มผมจนได้ยินเสียงผิวหนังกระทบกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอยังสำทับด้วยการใช้ปลายเล็บแหลมคมจิกบนรอยช้ำ

    “โตแล้วสมองไม่พัฒนา ทุเรศจริงๆ” หลังจากประทุษร้ายผมจนได้เลือดกลับมาเป็นของแถม เธอก็ผลักผมออกห่างตัวเอง ไม่ลืมกวาดสายตามองสารรูปผมตั้งแต่หัวจดเท้า และสิ่งสุดท้ายที่นัยน์ตาเดือดดาลหยุดไว้คือใบหน้าผม “ฉันขอเตือนนาย อย่ายุ่งกับยัยกิ่งอีก”

    “...” ผมแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินคำเตือนที่มาพร้อมกับสายตาข่มขู่

    “ยัยนั่นสะอาดเกินกว่านายจะแตะต้อง”

    หมับ!

    หลังจากปรามาสกันแล้ว เกลก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป แต่วินาทีที่แขนเราเฉียดกัน เป็นผมเองที่คว้าข้อมือของเธอไว้ เป็นข้างเดียวกันกับที่มือที่ใช้ตบผมเมื่อครู่นี้

    แน่นอนว่าการรั้งนั้นทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องหยุดฝีเท้าไว้

    “แล้วฉันเหมาะกับใคร?” ผมถามโดยที่ข้อมือของเธอยังถูกกระชับแน่นจนแทบจะกลายเป็นการบีบเค้น “เหี้ยๆ อย่างฉันเหมาะกับใครเหรอ”

    “ไม่ใช่ฉันก็แล้วกัน” เกลให้คำตอบแทบทันที แววตาดูแคลนของเธอทำให้ผมเดือดอยู่ในอก แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ...

    ถ้าเธอต้องการแบบนี้ผมก็ไม่ขัดข้อง

    ได้เลยเกล ได้เลย...

     

    เดือนกว่าๆ ผ่านไป

    “เดี๋ยวนี้แกชักจะเอาใหญ่แล้วนะเกล!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายในเช้าวันจันทร์ทำให้ผมที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จต้องออกจากห้องเเล้วลงบันไดไปชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นต้นตอของเสียง

    กระทั่งเห็นว่าจุดเกิดเหตุมาจากโต๊ะอาหาร ผมจึงหยุดเท้าไว้ มองภาพนั้นจากบันไดขั้นที่สูงที่สุด

    “เกลเป็นแบบนี้อยู่แล้ว” เกลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พ่อจะเอาอะไรมากกับเกล”

    “แต่แกเอาเงินหลายแสนไปใช้จนหมดในหนึ่งเดือน!” พ่อใช้มือทุบโต๊ะดัง ตุ๊บ’ คล้ายโมโหกับพฤติกรรมของเกลและใกล้หมดความอดทนแล้ว หากแต่เกลกลับตักข้าวต้มเข้าปากเงียบๆ ไม่สะทกสะท้านต่ออาการเกรี้ยวกราดของพ่อเลยสักนิดเดียว “เด็กอย่างแกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนั้นไปใช้อะไร”

    “เกลมีเรื่องต้องจ่าย”

    “อะไรล่ะ!” พ่อขึ้นเสียง หน้าแดงก่ำ “เห็นแกกลับบ้านดึกทุกวันไม่ใช่ว่าเอาเงินไปละลายกับเหล้าหมดแล้วเหรอ”

    “...”

    “หรือเอาไปให้แฟนจนๆ ของแกผลาญเล่นหมดแล้ว เกล! ตอบพ่อมา”

    “ถ้าพ่ออยากจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่” วูบหนึ่งผมเห็นไหล่ทั้งสองข้างของเกลสั่นไหว แต่สีหน้าของเธอยังคงปกติดี เรื่องเก็บความรู้สึกเธอทำได้ดีเสมอ “ในสายตาพ่อ เกลคงเป็นแค่เด็กเสเพล”

    เพียะ!

    พ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อใช้ฝ่ามือขนาดใหญ่ฟาดลงบนแก้มขาวๆ ของเธอ

    เกลหน้าหันไปตามแรงตบ...และเธอหันมาทางผมพอดี

    ผมเห็นเกลน้ำตาคลอ แต่เมื่อพบว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ ทั้งแอบมองและแอบฟัง เธอจึงเม้มริมฝีปากปริ่มเลือดไว้ กักกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไปมองหน้าพ่ออีกครั้ง “พอใจยังคะ?”

    “...” พ่อที่ทั้งโกรธและรู้สึกผิดไปในคราวเดียวไม่ได้ตอบอะไร เพราะฉะนั้นเกลจึงลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบันไดมา เธอคงอยากอยู่คนเดียวในห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ หรือบางทีอาจจะเข้าไปร้องไห้

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ลังเลที่จะเข้าไปกอดเธอ

    แต่ตอนนี้...ผมแค่มอง

    มองแล้วรู้สึก...สมน้ำหน้า

    ตึง...

    เสียงปิดประตูที่ดังสนั่นลงไปถึงชั้นล่างบ่งบอกสภาพอารมณ์ของเกลได้อย่างดี แต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่จึงยักไหล่เนือยๆ แล้วเดินลงไปนั่งตรงโต๊ะอาหารซึ่งพ่อยังคงไม่ไปไหน ส่วนแม่...ท่านน่าจะเข้าห้องน้ำ เห็นบ่นๆ ว่าท้องผูกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

    เพราะรู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไร ผมจึงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวประจำ จากนั้นก็ตักข้าวต้มเข้าปากเงียบๆ

    “ให้ตาย...” น่าจะประมาณสองนาทีให้หลัง เสียงบ่นพึมพำจากฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้นฉุดผมจากข้าวต้มร้อนๆ ที่กินจนจะหมดถ้วยอยู่แล้ว

    ผมเงยหน้าขึ้นมองท่านโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไร เห็นร่องรอยความเจ็บปวดชัดเจนจากแววตาของท่าน ถ้าไม่ได้ตาฝาดไปเหมือนมีหยาดน้ำใสคลอเคล้าตรงกระบอกตา ก็คง...ไม่ได้ตั้งใจตบเกลจนเลือดกบปากมั้ง

    “เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นครับ” สุดท้ายผมก็ตัดสินใจปลอบโยนท่าน

    “พ่อไม่ได้ตั้งใจทำร้ายมันนะ แต่...” พ่อเม้มริมฝีปากอย่างขมขื่น “แต่ช่วงนี้มันทำตัวมีปัญหามากจริงๆ”

    “คงเครียดเรื่องเรียนมั้งครับ ปีสามได้ข่าวว่าเรียนหนัก” ผมแก้ต่างราวกับเข้าข้างเกลอย่างเต็มที่ แต่จริงๆ แล้วผมแค่อยากเป็นเด็กดีให้แม่สบายใจมากกว่า ถ้าผมทำให้พ่อหมดกังวลเรื่องพฤติกรรมอันน่าปวดหัว แม่เองก็พลอยสบายใจไปด้วย

    “เราขึ้นไปดูพี่มันหน่อยได้ไหมเอย์” คำขอของพ่อทำให้ผมยิ้มตอบเล็กน้อยทั้งที่ในใจไม่อยากทำ ถ้าเสนอหน้าเข้าไปหาเธอ...มีหวังเราได้ทำสงครามกันอีกแน่ๆ “ตอนนี้พ่อคงทำอะไรไม่ได้นอกจากหวังพึ่งเรา”

    “ได้ครับ” ผมตอบสั้นๆ

    ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็เดินย้อนขึ้นไปบนห้อง หยุดเท้าตรงประตูสีขาวที่ปิดสนิทและคาดว่าคงลงกลอนอย่างดีแล้ว แต่เมื่อลองหมุนลูกบิดดูกลับพบว่ามันไม่ได้ถูกล็อกอย่างที่ควรจะเป็น

    ผมว่าเกลคงรู้สึกแย่เกินกว่าจะมาสนใจสิ่งรอบตัว คิดดูดีๆ แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก

    เมื่อแน่ใจว่าห้องไม่ได้ถูกล็อก ผมจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องเธอทันที ภาพแรกที่เห็นคือข้าวของภายในห้องระเกะระกะรกหูรกตา แจกันและแก้วน้ำแตกกระจายอยู่บนพื้นเหมือนเธอเอาความอึดอัดทั้งหมดมาลงที่พวกมัน

    ผมมองภาพพวกนั้นเพียงแป๊บเดียวก็กวาดสายตาหาเจ้าของห้อง จนพบว่าประตูห้องน้ำถูกแง้มไว้เล็กน้อย...

    ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงนั้น มองร่างบางในชุดนักศึกษาผ่านช่องว่างของประตูที่กำลังนั่งบนชักโครกร้องไห้ตัวสั่นสะท้านอยู่คนเดียว...เป็นการร้องไห้ที่ดูทรมานและเจ็บปวดในแบบที่ผมเห็นบ่อยนับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเธอ

    เวลาเกลร้องไห้ เธอจะตัวเเดง ดูน่าสงสาร

    แต่...ผมมาเพื่อดู ไม่ใช่มาเพื่อปลอบโยน

    คนอย่างเกล เจ็บแค่นี้เธอไม่ตายง่ายๆ หรอก

    End Describe

     

    Gale Describe

    ฉันเสียเวลาไปกับการนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องน้ำนับชั่วโมง คิดว่าตัวเข้มแข็งพอจะทนอดทนอดกลั้นกับสถานการณ์เฮงซวยนี้ได้ แต่สุดท้าย...พ่อก็ยังมีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันอยู่ดี

    ที่สำคัญ...ฉันเหมือนรับรู้อยู่ตลอดเวลาว่ากำลังถูกจ้องมอง แต่คิดว่าคงเพ้อเจ้อไปเอง เพราะออกมาก็ไม่เจอใคร ไม่พบร่องรอยการมาเยือนของใครคนไหน

    ช่างมันเถอะ จะสนใจทำไม

    ฉันสลัดเรื่องงี่เง่าออกจากหัวแล้วหันไปสนใจสารรูปตัวเองหน้ากระจก จัดการเติมแป้ง เติมลิปให้ดูไม่โทรมเหมือนซอมบี้ เหนือสิ่งอื่นใด ฉันไม่อยากให้ใครจับได้ว่าเพิ่งทำตัวน่าสมเพชอย่างการร้องไห้มา

    อีเกลในสายตาคนรอบข้างต้องเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง

    เจ็บได้ เสียใจได้ แต่ห้ามแสดงอาการให้ใครเห็นเด็ดขาด

     

    ฉันมาถึงมหาวิทยาลัยในสี่สิบนาทีต่อมา ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะเข้าเรียนสายเพราะมัวแต่เสียเวลาไปกับการทำตัวงี่เง่าในห้องน้ำนานสองนาน แต่ยังนับว่าโชคดีที่วันนี้การเข้าห้องเรียนแบบเส้นยาแดงผ่าแปดจบลงตรงที่อาจารย์ยกคลาส ส่วนงานมีให้ทำผ่านระบบอีเลิร์นนิ่ง

    เพราะแบบนั้นฉันและกลุ่มเพื่อนจึงมานั่งเล่นกันใต้ตึกคณะ ส่วนหนึ่งเพราะต้องคุยเรื่องงานกลุ่มที่ต้องส่งอาทิตย์หน้าด้วย แต่...เอาเข้าจริงไม่มีใครพูดถึงเรื่องงานเลย

    คนหนึ่งวุ่นอยู่กับการแต่งหน้าแต่งตาเพราะวันนี้ต้องไปกินข้าวที่บ้านแฟนเป็นครั้งแรก

    อีกคนก็ส่องเพจผู้ชายหล่อแล้วทำหน้าหื่นไม่เลิก

    บางคนหลับ บางคนเอาแต่นั่งกิน

    ส่วนบางคน...ไปตายไหนแล้วไม่รู้

    กลุ่มเพื่อนฉันค่อนข้างใหญ่ แต่ไม่ใช่กลุ่มที่สนิทสนมอะไรมากนักหรอก เหมือนคบกันเป็นกลุ่มก้อนไปแบบนั้น ให้พูดถึงเรื่องความเชื่อใจก็อาจจะมีบ้าง มะเหมี่ยวและเฟรย์เข้าข่ายนั้น ทว่าฉันไม่กล้าให้พวกมันเต็มร้อย

    เคยถูกหลอก ถูกหักหลังมาแล้ว ฉันเลยระวังตัวเองมากขึ้น

    เหตุการณ์ในอดีตได้ให้บทเรียนแก่ฉัน

    “อีเกล ไปดูเพื่อนรักแกซิ ตกส้วมตายห่าแล้วมั้งป่านนี้” การใช้ข้อศอกกระแทกแขนเป็นการสะกิดของมะเหมี่ยวทำให้ฉันที่นั่งเนือยๆ ต้องหันกลับไปมองมัน  

    “...?” ไม่ลืมส่งความสงสัยผ่านแววตา

    ทำท่าทางอยากรู้ไปแบบนั้น ใจจริงอีนั่นจะเป็นตายร้ายดียังไงก็เรื่องมัน

    อีกอย่าง ฉันเกลียดจริงๆ เวลามะเหมี่ยวเน้นคำว่า เพื่อนรักเวลาพูดถึงอีนั่น...ฟังแล้วอยากโก่งคออ้วก

    “เห็นมันบ่นๆ ว่าปวดท้อง หายไปสิบนาทีได้แล้วมั้ง ไปดูมันหน่อย”

    “แกเป็นห่วงมันก็ไปดูเอง” ฉันบอกปัด ผู้หญิงคนนั้นที่มะเหมี่ยวพูดถึงคือหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เป็นเพื่อนแค่ในนาม แต่ความจริงเราสองคนไม่ต่างอะไรไปจากศัตรู

    และใช่ มันคือคนเดียวกันที่โดนรุมทำร้ายในวันนั้นแล้วขอร้องให้ฉันช่วย แต่ฉันเพิกเฉยไม่สนใจ

    ...ผ่านมาพักใหญ่ๆ แล้ว 

    “พวกแกสองคนนี่แบบ...” มะเหมี่ยวมองบนหนึ่งที “งั้นไปด้วยกัน ฉันว่าจะไปฉี่พอดี” ว่าจบมันก็คว้ามือฉันทันที ก่อนออกแรงมหาศาลลากฉันไปห้องน้ำของคณะโดยไม่ถามกันสักคำว่าอยากไปไหม

    มะเหมี่ยวเป็นแบบนี้มานานแล้ว มันรู้ว่าฉันและอีนั่นไม่ถูกกันเลยพยายามทำตัวเป็นคนกลางตั้งใจสมานรอยแผลระหว่างเราสองคน แน่นอนว่าพยายามร้อยครั้งก็พลาดร้อยครั้ง

    ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องน้ำ ฉันพบว่าในห้องน้ำหญิงมีอยู่ห้องหนึ่งประตูปิดสนิท คาดว่าอีนั่นอยู่ด้านใน

    “อีแพร! อีดอก ตายแล้วเหรอคะ” มะเหมี่ยวมั่นใจว่าเป็นเพื่อนตัวเองเลยตะโกนเรียก

    ใช่ ชื่อของมันคือแพร

    แอ้ด...

    เมื่อแน่ใจว่าคนเรียกคือมะเหมี่ยว อีแพรจึงเปิดประตูห้องน้ำออกมา ภาพที่เห็นคือมันนั่งอยู่บนฝาชักโครก กระโปรงนักศึกษาถูกเลิกขึ้น ใบหน้าอิดโรยมองเราสองคนราวกับคนใกล้ตาย

    ฉันหลุบตามองเลือดตามเรียวขาและบนพื้นกระเบื้องสีขาว

    “แก ฉันไม่ไหว...” อีแพรนั่งตัวสั่น สีหน้าดูทรมาน ลักษณะคล้ายคนแท้งด้วยบางสาเหตุ

    ฮึก...

    ผิดไหมถ้าจะบอกว่าภาพตรงหน้าทำให้ฉันนึกถึงตัวเองในครั้งอดีต

    เป็นภาพที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวฉันยิ่งกว่ารอยสัก 

    รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่นึกถึงมัน ความรู้สึกนั้น...เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่มีทางลืม

    “เฮ้ย แกเป็นไรเนี่ย” มะเหมี่ยวเป็นคนแรกที่ถลาเข้าไปดูอาการของอีแพรที่ตอนนี้เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติ ส่วนฉันยังยืนอยู่ตรงนี้...มองดูสีหน้าเจ็บปวดของมันอย่างเฉยชา

    “ฉะ ฉันกินยา แล้วมันก็...” อีแพรสะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นภาษา แต่เพียงเท่านั้นก็ชัดเจนแล้วว่ามันกินยาชนิดไหนถึงได้มีสภาพแบบนี้ได้

    “โอ๊ยอีโง่ ทำอะไรไม่คิด” มะเหมี่ยวด่าฉาดไปหนึ่งที แต่ถึงปากจะสาดคำที่อาจทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก มันก็ยังเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้ รู้ว่าควรพาคนทรมานใกล้ตายไปหาหมอมากกว่าจะเสียเวลามานั่งสั่งสอน “อีเกล! มาช่วยพยุงหน่อย”

    “ฮึก...” เป็นอีแพรที่เคลื่อนสายตามาทางฉัน 

    สีหน้าของมันแทบจะให้คำตอบทุกอย่าง ฉันมองเห็นการคุกเข่ากราบเท้าเพื่อให้เข้าไปช่วยผ่านนัยน์ตาคู่นั้น เห็นการละทิ้งศักดิ์ศรีอันน้อยนิดเพียงเพราะไม่อยากให้ตัวเองทรมานจนตายไปซะก่อน

    ฉันไม่สนใจ

    ต่อให้มันชักดิ้นชักงอตรงหน้า...ฉันก็ไม่แคร์

    “จัดการกันเองแล้วกัน ขอตัว” ฉันทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินจากมาโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไป

    ทำไมต้องให้คนอื่นคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเลย ไม่มีปัญญาจัดการชีวิตตัวเองก็อย่าอยู่ให้รกโลกเลยเหอะ ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมันเคยพูดกับฉันแบบนี้

    และตอนนั้น...ฉันแทบจะไม่มีลมหายใจหลงเหลืออยู่

     

    “หน้าเยิน”

    หลังจากนั้นไม่กี่นาทีฉันก็มาหาขุนที่คอนโดฯ พอดีเบื่อๆ ไม่อยากกลับบ้าน เลยตั้งใจว่าจะมานั่งเล่นเกมในห้องหมอนั่นให้หายเซ็งแล้วค่อยกลับ

    แต่ทันทีที่ขุนเห็นหน้าฉัน คำทักทายแรกก็อย่างที่เห็น...

    “เยินยังไง?” ฉันเงยหน้าพร้อมขมวดคิ้วอย่างจริงจัง โบกรองพื้นชนิดที่เพื่อนผู้หญิงด้วยกันยังมองไม่ออก แต่ผู้ชายอกสามศอกอย่างหมอนี่กลับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

    “แก้มมันบวมนิดหน่อย ปกติหน้าเรียว” ขุนที่ขยับเข้ามาใกล้เมื่อไหร่ไม่รู้ทำให้ฉันซึ่งกำลังหงุดหงิดที่ปกปิดร่องรอยได้ไม่ดีพอเกิดการชะงัก และต้องชะงักกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อขุนยื่นปลายนิ้วแข็งกระด้างมาสัมผัสใต้ขอบตาฉันอย่างแผ่วเบา “ตาก็บวม...” 

    “ตาฝาดไปเอง” ฉันปัดมือขุนออกแล้วตั้งใจว่าจะเลี่ยงไปอีกทางเพราะไม่อยากให้เวลาที่ยืดเยื้อนี้ทำให้หมอนั่นเห็นร่องรอยน่าสมเพชที่ฉันพยายามปกปิด แต่ไอ้เพื่อนดื้อด้านกลับรวบมือข้างนั้นของฉันไว้...เป็นการรวบที่มีความเถื่อนอยู่เล็กๆ ทว่าก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก

    “ไม่นะ” ขุนปฏิเสธโดยที่นัยน์ตาคมกริบตรึงไว้เพียงฉัน

    บอกเลยนะ ถ้าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ขุน ถ้าเป็นคนอื่น...ฉันไม่ยอมให้มองด้วยสายตาแบบนี้ ไม่ยอมให้จับมือแบบนี้ ไม่ยอมให้เอาแต่ใจกับฉันแบบนี้

    ไม่มีทางแน่ๆ

    “เมื่อคืนคงดูซีรีส์หนักไป” ฉันแก้ตัว “มันเศร้านิดหน่อย”

    “อย่างเธอดูซีรีส์เศร้าๆ?” ขุนหรี่ตาคล้ายว่าอ่านออกหมดทุกอย่าง ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาหรอก ผู้ชายคนนี้ช่างสังเกต บางครั้งเขามองเห็นถึงบาดแผลในจิตใจฉันด้วยซ้ำ “อย่าโกหกเลยเกล เธอร้องไห้มาแน่ๆ”

    “ฉันเป็นใคร?” ฉันเริ่มหงุดหงิด

    “เป็นยัยเกลใจร้าย” ขุนให้คำตอบ “แต่สำหรับฉันเธอเป็นเด็กน้อย” ว่าแล้วมือหนาก็เปลี่ยนมาวางไว้เหนือศีรษะ ออกแรงเล็กน้อยคล้ายการลูบไล้ น้ำหนักหนึ่งในสี่ส่วนทำให้ฉันต้องย่นคิ้วด้วยความรำคาญ

    ปฏิกิริยานั้นทำให้ขุนยอมละมือออกแล้วเดินหายเข้าไปในครัว ฉันไม่ได้สงสัยอะไรในตัวเขามากอยู่แล้วจึงเดินไปนั่งบนโซฟาสีดำสนิทในส่วนของห้องนั่งเล่น ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีร่างสูงในชุดสบายๆ ก็กลับมาพร้อมขนมขบเคี้ยวมากมาย

    ขุนนำมันมากองไว้บนโต๊ะทรงเตี้ยด้านหน้าฉัน กะจากสายตาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบอย่าง

    “อะไร” แน่นอนว่านั่นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม

    “เอามาให้ ของหวานทำให้อารมณ์ดี” และคำตอบของเขาก็ทำให้ความสงสัยถูกไขกระจ่าง แต่...

    “ฉันไดเอต”

    “น้ำหนัก 45 ยังจะไดเอต” ขุนขมวดคิ้ว สีหน้าท่าทางของเขาทำให้มุมปากฉันยกขึ้นเล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น “ยิ้มอะไร ฉันดุเธออยู่นะ” ทว่าเขากลับมองเห็นมัน...

    น่ารำคาญจริง

    End Describe

     

    Khun Describe

    เกลหลับตอนไหนไม่รู้

    เธอซบผมไหล่ผมอยู่ ท่าทางเหน็ดเหนื่อย 

    เพื่อน...เธอจะเหนื่อยเเล้วพักที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้ เเต่ต้องไม่หายใจรดซอกคอกันแบบนี้

    เพื่อน...ได้ยินไหม?

    ผมเหลือบมองเกลที่อ่อนล้าเกินกว่าจะส่งเสียงปลุก และด้วยความที่ระยะระหว่างเรามีไม่มากนักทำให้ปลายจมูกผมเฉียดหน้าผากเธออย่างหมิ่นเหม่ รู้สึกว่า...ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ถ้าหากยังปล่อยไว้แบบนี้

    สวบ...

    จังหวะที่ผมครุ่นคิดว่าจะปล่อยให้เกลซบแบบนี้ต่อไปหรือจะอุ้มแล้วพาไปนอนบนเตียงดีๆ ยัยคนร้ายกาจก็ขยับตัวเล็กน้อย...เป็นการขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดจนแทบจะไร้ช่องว่างระหว่างกัน

    เพื่อนคนนี้ไว้ใจในตัวผมมากกว่าทุกๆ คนรอบตัวเธอ

    เพราะไว้ใจ ถึงกล้ามาหาผมถึงคอนโดฯ

    เพราะไว้ใจ ถึงกล้าแสดงด้านที่เหนื่อยล้าออกมา แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม

    เพราะไว้ใจ ถึงกล้าหลับปุ๋ยอยู่ในพื้นที่ของผม

    เพราะไว้ใจ ถึงกล้าที่จะซบไหล่ผม ให้ผมเป็นอีกหนึ่งที่พึ่งพิงสำหรับเธอ

    ทุกอย่างเพราะความไว้ใจ

    “เกล เมื่อย” ผมถอนหายใจเมื่อคิดถึงความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่พยุงความสัมพันธ์ของเราได้จนทุกวันนี้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างสะกิดเกลเบาๆ ทว่าเธอกลับขมวดคิ้ว ทำเสียงฮึดฮัดราวกับไม่พอใจที่มีคนรบกวนเวลาอันมีค่า

    รองพื้นเปื้อนเสื้อผมหมดแล้ว...

    ดูท่าจะโบกมาหนาพอสมควร คงไม่อยากให้ใครเห็นรอยช้ำบนแก้มรวมถึงความบวมของดวงตาที่ดูก็รู้ว่าคงผ่านเรื่องแย่ๆ มาในตอนเช้า

    เกลผ่านอะไรร้ายๆ มาเยอะ

    เธอควรเจออะไรดีๆ ในชีวิตบ้าง แต่จนปัจจุบันเธอก็ยังต้องมาแอบนั่งเสียใจและคอยปกปิดบาดแผลในความรู้สึกอยู่เสมอ

    เป็นแบบนี้ทุกทีเลย

    “...” หลังจากแสดงอาการหงุดหงิดออกมาทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่ เจ้าตัวก็นิ่งสนิทอีกครั้งในท่วงท่าเดิม

    ยังคงซบผมเหมือนเดิม หายใจรดซอกคอกันเหมือนเดิม

    ได้...

    จะทนอีกหน่อยก็ได้

    End Describe

     

    Gale Describe

    ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าค่ำมากๆ แล้ว

    เป็นการงีบที่ยาวนานที่สุดเลยมั้งตั้งแต่จำความได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันยังหลับในลักษณะของการซบไหล่ขุนด้วย

    “...” ฉันนั่งตั้งสติครู่หนึ่งก่อนจะมองเจ้าของไหล่หนาที่ฉันทั้งพิงทั้งซบมาหลายชั่วโมง มีคราบรองพื้นเลอะอยู่จำนวนหนึ่ง แถมบริเวณนั้นยังมีรอยแดงๆ เพราะถูกกดทับเป็นเวลานานอีกด้วย

    ทำไมไม่ปลุก

    ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาต้องเมื่อย

    ฉันขมวดคิ้วและเคลื่อนสายตาขึ้นไป จนพบว่าตอนนี้ขุนนั่งคอพับและหลับสนิท ท่อนแขนข้างขวาโอบไหล่ฉันอยู่...

    ครืดๆ

    ฉันต้องละความสนใจจากเพื่อนตัวยักษ์เมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายส่งสัญญาณเตือน ครั้นล้วงขึ้นมาดูก็พบว่ามีคนส่งไลน์มา

    Pah :: คิดถึงจัง

    Pah :: เช็กจากเบอร์...เธออยู่แถวสุขุมวิทเหรอ ทำไรแถวนั้น?

    Me :: มาทำธุระ

    ฉันตอบสั้นๆ โดยเลี่ยงการอธิบายที่ยาวยืด

    Pah :: ฉันอยู่แถวๆ นี้พอดี เจอกันหน่อยไหม สองนาทีก็ได้

    ฉันอ่านข้อความถัดมาแล้วแน่นิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง และก็เป็นเวลาไล่เลี่ยกันที่ขุนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขามองหลังจากลืมตาคือฉันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา

    “ตื่นตอนไหน ทำไมไม่ปลุก”

    “เพิ่งตื่นเมื่อกี้” ฉันให้คำตอบ “เดี๋ยวกลับแล้ว”

    ว่าจบก็หยัดตัวขึ้น ไม่ลืมจัดผมจัดเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แต่จังหวะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านร่างสูงที่นั่งทำหน้างงอยู่บนโซฟา ชายกระโปรงทรงเอก็ถูกคว้าไว้โดยเจ้าของห้อง เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าขุนกำลังทำตาปริบๆ ขัดกับภาพลักษณ์เหมือนอยากให้ฉันอยู่ต่ออีกหน่อย

    “ยังไม่ได้เล่นเกม” จริงสินะ...

    ก่อนมาที่นี่ฉันโทรคุยกับเขา บอกว่าจะขอเล่นเกมแก้เซ็งสักหน่อย แต่เอาเข้าจริงกลับมานั่งหลับอยู่ในคอนโดฯ เขาตั้งนานสองนาน รู้ตัวอีกทีก็ค่ำมากแล้ว

    “ว่างๆ เดี๋ยวมาใหม่” ฉันถอนหายใจหลังพูดจบเมื่อพบว่ามือข้างนั้นยังคงรั้งชายกระโปรงฉันไว้เช่นเดิม

    “ว่างของเธอคงปีหน้า” ขุนทำหน้าเซ็งจัด เขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่จะอยากทำอะไรไร้สาระเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ

    คำว่าอยากมาเล่นเกมแก้เซ็งของฉัน...อย่างมากคือเล่นแค่ตาสองตาเดี๋ยวก็เบื่อ อะไรที่เขาว่าดี ไม่เคยใช้ได้ผลกับฉันเลย

    “อย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลย” ฉันถอนหายใจอีกครั้ง

    ขุนชอบบอกว่าฉันเป็นเด็กน้อย แต่เขาไม่รู้ตัวเลยสินะว่าตัวเองไม่ต่างอะไรไปจากเด็กสามขวบเวลาอยู่กับฉัน

    “เออ” ขุนยอมปล่อยมือออกจากชายกระโปรงแต่โดยดี ไม่ลืมลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินนำหน้าไปตรงประตูห้อง

    ทำไมต้องไปส่ง ระหว่างทางไม่มีผีที่ไหนมาหลอกฉันหรอก

    ทำตัวน่าโมโหจริงๆ “กลับดีๆ ถึงแล้วหยอดมา”

    “อืม” ฉันพยักหน้าเนือยๆ พร้อมทั้งเดินออกมาจากห้องสุดหรูของหมอนั่น

    “เกล หยุดก่อน” ทว่าก้าวเท้าจากมาเพียงไม่กี่ก้าว เสียงทุ้มกังวานที่เพิ่มระดับความเข้มข้นจริงจังก็ทั้งฉุดทั้งรั้งให้ฉันหยุดฝีเท้าไว้

    “หืม?” เมื่อเอี้ยวหน้ากลับไปมองจึงพบว่าระยะห่างระหว่างเรามีประมาณสามเมตรเห็นจะได้ ขุนยืนอยู่ตรงกรอบประตู สายตาของเขามีบางอย่างซุกซ่อนไว้ แต่ฉันไม่ได้พยายามจะอ่านมันสักเท่าไหร่

    “ถ้าทนไม่ไหวจะให้ไปรับก็ได้นะ”

    “...”

    “ห้องฉันกว้าง เธอนอนได้”

    “ขอบใจ” ฉันเอ่ยขอบคุณสั้นๆ แล้วเดินจากมาทันที

    ไม่รู้สึกแปลกใจกับความเอาใจใส่ที่ขุนมีให้ เพราะเขาทำแบบนี้กับฉันนานแล้ว เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย น้องชาย และคนที่คอยบรรเทาความเจ็บปวดในใจฉัน

    ถึงแม้บางครั้งการกระทำของเขาจะแปลกจนอดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ก็ตาม

     

    Me :: ส่งโลเคชันมา

    เมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว ฉันจัดการส่งไลน์ไปหาผาอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ส่งโลเคชันมาให้ฉันทันทีคล้ายว่ารออยู่นานแล้ว

    เมื่อตรวจสอบเส้นทางแล้วพบว่าไม่ได้อยู่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ ฉันจึงสตาร์ตรถทันที ตั้งใจว่าจะอยู่คุยกับผาแค่สอง-สามนาทีตามที่เขาขอ เนื่องจากตอนนี้ค่ำมากแล้ว อีกทั้งฝนยังตกหนัก...

    ทว่าเมื่อรถเคลื่อนตัวมาบนถนนเส้นใหญ่ที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยฝน ฉันเริ่มสัมผัสได้ว่าล้อรถมันแกว่งและควบคุมยากกว่าที่ควรจะเป็น สติสตังที่ยังอยู่ครบถ้วนสั่งให้ฉันหาที่จอดเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนเดินทาง หากแต่ความโชคร้ายมันกลับไม่ได้จบลงตรงนั้น...เมื่อตัวเบรกเองก็ควบคุมไม่ได้

    ฉันเบรกรถไม่ได้...

    “เวรเอ๊ย...” ฉันสบถอย่างหัวเสียเมื่อล้อรถส่ายไปมาอย่างเสียการควบคุมในตอนที่ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เลวร้ายไปกว่านั้นคืออีกไม่กี่เมตรข้างหน้าเป็นสี่แยกไฟแดง สัญญาณเตือนให้รถหยุด...แต่เบรกในมือกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี

    ปรี๊น!

    หูฉันอื้อเมื่อได้ยินเสียงแตรรถจากทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หัวใจฉันบีบรัดจนแน่นไปหมดทั้งอกเมื่อถึงจุดที่ควรจอดแล้วแต่รถยังคงไหลไปข้างหน้า ซึ่งตรงนั้น...มีทั้งนักเรียน นักศึกษา คนแก่ และบางคนที่จูงหมาข้ามไปอีกฟากผ่านทางม้าลาย

    ฉันต้องเบรก แต่เบรกไม่ได้

    ทำไม่ได้

    ปรี๊ด!!!

    เอี๊ยด...


    ---

    MA-NELL'S ZONE

    เชื่อใจเราเถอะนะ 555555555

    เม้นต์ๆ ด้วยเด้อ ขยันอัปจนเหนื่อยเเล้ว กร๊ากก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×