-- Hidden Content partฉันอ่านข้อความถัดมาแล้วแน่นิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง
และก็เป็นเวลาไล่เลี่ยกันที่ขุนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขามองหลังจากลืมตาขึ้นคือฉันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
เขา“ตื่นตอนไหน ทำไมไม่ปลุก”
“เพิ่งตื่นเมื่อกี้” ฉันให้คำตอบ “เดี๋ยวกลับแล้ว”
ว่าจบก็หยัดตัวขึ้น ไม่ลืมจัดผมจัดเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง
แต่จังหวะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านร่างสูงที่นั่งทำหน้างงอยู่บนโซฟา
ชายกระโปรงทรงเอก็ถูกคว้าไว้โดยเจ้าของห้อง เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าขุนกำลังทำตาปริบๆ
ขัดกับภาพลักษณ์เหมือนอยากให้ฉันอยู่ต่ออีกหน่อย
“ยังไม่ได้เล่นเกม” จริงสินะ...
ก่อนมาที่นี่ฉันโทรคุยกับเขาว่าจะขอเล่นเกมแก้เซ็งสักหน่อย
แต่เอาเข้าจริงกลับมานั่งหลับอยู่ในคอนโดฯ เขาตั้งนานสองนาน กว่าจะรู้ตัวก็ค่ำมากแล้ว
“ว่างๆ เดี๋ยวมาใหม่”
ฉันถอนหายใจหลังพูดจบเมื่อพบว่ามือข้างนั้นยังคงรั้งชายกระโปรงฉันไว้เช่นเดิม
“ว่างของเธอคงปีหน้า” ขุนทำหน้าเซ็งจัด เขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่จะอยากทำอะไรไร้สาระเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ
คำว่าอยากมาเล่นเกมแก้เซ็งของฉัน...อย่างมาก็เล่นแค่ตาสองตาเดี๋ยวก็เบื่อ
อะไรที่เขาว่าดี ไม่เคยใช้ได้ผลกับฉันเลย
มันก็นับตั้งแต่ที่ฉันกลายเป็นอีกคนแล้ว
“อย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลย” ฉันถอนหายใจอีกครั้ง
ขุนชอบบอกว่าฉันเป็นเด็กน้อย แต่เขาไม่รู้ตัวเลยสินะว่าตัวเองไม่ต่างอะไรไปจากเด็กสามขวบเวลาอยู่กับฉัน
“เออ” ขุนยอมปล่อยมือออกจากชายกระโปรงแต่โดยดี
ไม่ลืมลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินนำหน้าไปตรงประตูห้อง
ทำไมต้องไปส่ง
ระหว่างทางไม่มีผีที่ไหนมาหลอกฉันหรอก
ทำตัวน่าโมโหจริงๆ “กลับดีๆ ถึงแล้วหยอดมา”
“อืม” ฉันพยักหน้าเนือยๆ พร้อมทั้งเดินออกมาจากห้องสุดหรูของหมอนั่น
“เกล หยุดก่อน” ทว่าก้าวเท้าจากมาเพียงไม่กี่ก้าว
เสียงทุ้มกังวานที่เพิ่มระดับความเข้มข้นจริงจังก็ทั้งฉุดทั้งรั้งให้ฉันหยุดฝีเท้าไว้
“หืม?” เมื่อเอี้ยวหน้ากลับไปมองจึงพบว่าระยะห่างระหว่างเรามีประมาณสามเมตรเห็นจะได้
ขุนยืนอยู่ตรงกรอบประตู สายตาของเขามีบางอย่างซุกซ่อนไว้ แต่ฉันไม่ได้พยายามจะอ่านมันสักเท่าไหร่
“ถ้าทนไม่ไหวจะให้ไปรับก็ได้นะ”
“...”
“ห้องฉันกว้าง เธอนอนได้”
“ขอบใจ” ฉันเอ่ยขอบคุณสั้นๆ แล้วเดินทางจากมาทันที
ไม่รู้สึกแปลกใจกับความเอาใจใส่ที่ขุนมีให้
เพราะเขาทำแบบนี้กับฉันนานแล้ว เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย น้องชาย และคนที่คอยบรรเทาความเจ็บปวดในใจฉัน
ถึงแม้บางครั้งการกระทำของเขาจะแปลกจนอดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ก็ตาม
Me :: ส่งโลเคชันมา
เมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว ฉันจัดการส่งไลน์ไปหาผาอีกครั้ง
ซึ่งเขาก็ส่งโลเคชันมาให้ฉันทันทีคล้ายว่ารออยู่นานแล้ว
เมื่อตรวจสอบเส้นทางแล้วพบว่าไม่ได้อยู่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่
ฉันจึงสตาร์ตรถทันที ตั้งใจว่าจะอยู่คุยกับผาแค่สอง-สามนาทีตามที่เขาขอ เนื่องจากตอนนี้ค่ำมากแล้ว
อีกทั้งฝนยังตกหนัก...
ทว่าเมื่อรถเคลื่อนตัวมาบนถนนเส้นใหญ่ที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยฝน
ฉันเริ่มสัมผัสได้ว่าล้อรถมันแกว่งและควบคุมยากกว่าที่ควรจะเป็น
สติสตังที่ยังอยู่ครบถ้วนสั่งให้ฉันหาที่จอดเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนเดินทาง
หากแต่ความโชคร้ายมันกลับไม่ได้จบลงตรงนั้น...เมื่อตัวเบรกเองก็ควบคุมไม่ได้
ฉันเบรกรถไม่ได้...
“เวรเอ๊ย...” ฉันสบถอย่างหัวเสียเมื่อล้อรถส่ายไปมาอย่างเสียการควบคุมในตอนที่ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
เลวร้ายไปกว่านั้นคืออีกไม่กี่เมตรข้างหน้าเป็นสี่แยกไฟแดง
สัญญาณเตือนให้รถหยุด...แต่เบรกในมือกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี
ปรี๊น!
หูฉันอื้อเมื่อได้ยินเสียงแตรรถจากทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
หัวใจฉันบีบรัดจนแน่นไปหมดทั้งอกเมื่อถึงจุดที่ควรจอดแล้วแต่รถยังคงไหลไปข้างหน้า
ซึ่งตรงนั้น...มีทั้งนักเรียน นักศึกษา คนแก่ และบางคนที่จูงหมอข้ามไปอีกฟากผ่านทางมาลาย
ฉันต้องเบรก แต่เบรกไม่ได้
ทำไม่ได้
ปรี๊ด!!!
เอี๊ยด...
โครม...ผมเหลือบมองเกลที่อ่อนล้าเกินกว่าจะส่งเสียงปลุก
และด้วยความที่ระยะระหว่างเรามีไม่มากนักทำให้ปลายจมูกผมเฉียดหน้าผากเธออย่างหมิ่นเหม่
รู้สึกว่า...ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ถ้าหากยังปล่อยไว้แบบนี้สวบ...
จังหวะที่ผมครุ่นคิดว่าจะปล่อยให้เกลซบแบบนี้ต่อไปหรือจะอุ้มแล้วพาไปนอนบนเตียงดีๆ
ยัยคนร้ายกาจก็ขยับตัวเล็กน้อย...เป็นการขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดจนแทบจะไร้ช่องว่างระหว่างกัน
เพื่อนคนนี้ไว้ใจในตัวผมมากกว่าคนอื่นๆ รอบตัวเธอ
เพราะไว้ใจ ถึงกล้ามาหาผมถึงคอนโดฯ
เพราะไว้ใจ ถึงกล้าที่แสดงด้านที่เหนื่อยล้าออกมา
แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม
เพราะไว้ใจ ถึงกล้าหลับปุ๋ยอยู่พื้นที่ของผม
เพราะไว้ใจ ถึงกล้าที่จะซบไหล่ผม
ให้ผมเป็นอีกหนึ่งที่พึ่งพิงสำหรับเธอ
ทุกอย่างเพราะความไว้ใจ
“เกล เมื่อย” ผมถอนหายใจเมื่อคิดถึงความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่พยุงความสัมพันธ์ของเราได้จนทุกวันนี้
ก่อนจะใช้มืออีกข้างสะกิดเกลเบาๆ ทว่าเธอกลับขมวดคิ้ว
ทำเสียงฮึดฮัดราวกับไม่พอใจที่มีคนรบกวนเวลาอันมีค่าของเธอ
รองพื้นเปื้อนเสื้อผมหมดแล้ว...
ดูท่าจะโบกมาหนาพอสมควร
คงไม่อยากให้ใครเห็นรอยช้ำบนแก้มรวมถึงความบวมของดวงตาที่ดูก็รู้ว่าคงผ่านเรื่องแย่ๆ
มาในตอนเช้า
เกลผ่านอะไรร้ายๆ มาเยอะ
เธอควรเจออะไรดีๆ ในชีวิตบ้าง
แต่จนปัจจุบันเธอก็ยังต้องมาแอบนั่งเสียใจและคอยปกปิดบาดแผลในความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ
เป็นแบบนี้ทุกทีเลย
“...” หลังจากแสดงอาการหงุดหงิดออกมาทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่
เจ้าตัวก็นิ่งสนิทอีกครั้งในท่วงท่าเดิม
ยังคงซบผมเหมือนเดิม หายใจรดซอกคอกันเหมือนเดิม
ได้...
จะทนอีกหน่อยก็ได้
End Describe
Gale Describe
ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าค่ำมากๆ แล้ว
เป็นการงีบที่ยาวนานที่สุดเลยมั้งตั้งแต่จำความได้
ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันยังหลับในลักษณะของการซบไหล่ขุนด้วย
“...” ฉันนั่งตั้งสติครู่หนึ่งก่อนจะมองเจ้าของไหล่หนาที่ฉันทั้งพิงทั้งซบมาหลายชั่วโมง
มีคราบรองพื้นเลอะอยู่จำนวนหนึ่ง แถมบริเวณนั้นยังมีรอยแดงๆ
เพราะถูกกดทับเป็นเวลานานอีกด้วย
ทำไมไม่ปลุก
ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาต้องเมื่อยมากๆ
ฉันขมวดคิ้วและเคลื่อนสายตาขึ้นไป
จนพบว่าตอนนี้ขุนนั่งคอพับและหลับสนิท ท่อนแขนข้างขวาโอบไหล่ฉันอยู่...
ครืดๆ
ฉันต้องละความสนใจจากเพื่อนตัวยักษ์เมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายส่งสัญญาณเตือน
ครั้นล้วงขึ้นมาดูก็พบว่ามีคนส่งไลน์มา
Pah :: คิดถึงจัง
Pah :: เช็กจากเบอร์...เธออยู่แถวสุขุมวิทเหรอ ทำไรแถวนั้น?
Me :: มาทำธุระ
ฉันตอบสั้นๆ โดยเลี่ยงการอธิบายที่ยาวยืด
Pah :: ฉันอยู่แถวๆ นี้พอดี เจอกันหน่อยไหม
สองนาทีก็ได้“ตาฝาดไปเอง” ฉันปัดมือขุนออกแล้วตั้งใจว่าจะเลี่ยงไปอีกทางเพื่อไม่ให้เวลาที่ยืดเยื้อนี้ทำให้หมอนั่นเห็นร่องรอยน่าสมเพชที่ฉันพยายามปิดบัง
แต่ไอ้เพื่อนดื้อด้านกลับรวบมือข้างนั้นของฉันไว้...เป็นการรวบที่มีความเถื่อนอยู่เล็กๆ
ทว่าก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก“ไม่นะ”
ขุนปฏิเสธโดยที่นัยน์ตาคมกริบยังคงตรึงไว้เพียงฉัน
บอกเลยนะ ถ้าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ขุน
ถ้าเป็นคนอื่น...ฉันไม่ยอมให้มองด้วยสายตาแบบนี้ ไม่ยอมให้จับมือแบบนี้ ไม่ยอมให้เอาแต่ใจกับฉันแบบนี้
ไม่มีทางแน่ๆ
“เมื่อคืนคงดูซีรีส์หนักไป”
ฉันแก้ตัว “มันเศร้านิดหน่อย”
“อย่างเธอดูซีรีส์เศร้าๆ?”
ขุนหรี่ตาคล้ายว่าอ่านออกหมดทุกอย่าง ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาหรอก
ผู้ชายคนนี้ช่างสังเกต บางครั้งเขามองเห็นถึงบาดแผลในจิตใจฉันด้วยซ้ำ “อย่าโกหกเลยเกล
เธอร้องไห้มาแน่ๆ”
“ฉันเป็นใคร?” ฉันเริ่มหงุดหงิด
“เป็นยัยเกลใจร้าย” ขุนให้คำตอบ “แต่สำหรับฉันเธอเป็นเด็กน้อย”
ว่าแล้วมือหนาก็เปลี่ยนมาวางไว้เหนือศีรษะ ออกแรงเล็กน้อยคล้ายการลูบไล้
น้ำหนักหนึ่งในสี่ส่วนบริเวณนั้นทำให้ฉันต้องย่นคิ้วด้วยความรำคาญ
ปฏิกิริยานั้นทำให้ขุนยอมละมือออกแล้วเดินหายเข้าไปในครัว
ฉันไม่ได้สงสัยอะไรในตัวเขามากอยู่แล้วจึงเดินไปนั่งบนโซฟาสีดำสนิทในส่วนของห้องนั่งเล่น
ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีร่างสูงในชุดสบายๆ ก็กลับมาพร้อมขนมขบเคี้ยวมากมาย
ขุนนำมันมากองไว้บนโต๊ะทรงเตี้ยด้านหน้าฉัน
กะจากสายตาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบอย่าง
“อะไร” แน่นอนว่านั่นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม
“เอามาให้ ของหวานทำให้อารมณ์ดี” และคำตอบของเขาก็ทำให้ความสงสัยถูกไขกระจ่าง
แต่...
“ฉันไดเอต”
“น้ำหนัก 45 ยังจะไดเอต”
ขุนขมวดคิ้ว สีหน้าท่าทางของเขาทำให้มุมปากฉันยกขึ้นเล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น “ยิ้มอะไร
ฉันดุเธออยู่นะ” ทว่าเขากลับมองเห็นมัน...
น่ารำคาญจริง
End Describe
Khun Describe
เกลหลับไปตอนไหนไม่รู้
แล้วหลับตรงไหนไม่หลับ ดันมาซบผม
หายใจรดซอกคอผมด้วยเนี่ยสิ...เป็นภาพที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวฉัน
รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่นึกถึงมัน ความรู้สึกนั้น...เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่มีทางลืม“เฮ้ย แกเป็นไรเนี่ย” ม่าเหมี่ยวเป็นคนแรกที่ถลาเข้าไปดูอาการของอีแพรที่ตอนนี้เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติ
ส่วนฉันยังยืนอยู่ตรงนี้...มองดูสีหน้าเจ็บปวดของมันอย่างเฉยชา
“ฉะ ฉันกินยา แล้วมันก็...” อีแพรสะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นภาษา
แต่เพียงเท่านั้นก็ชัดเจนแล้วว่ามันกินยาชนิดไหนถึงได้มีสภาพแบบนี้ได้
“โอ๊ยอีโง่ ทำอะไรไม่คิด” ม่าเหมี่ยวด่าฉาดไปหนึ่งที
แต่ถึงปากจะสาดคำที่อาจทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก มันก็ยังเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้
รู้ว่าควรพาคนทรมานใกล้ตายไปหาหมอมากกว่าจะเสียเวลามานั่งสั่งสอน “อีเกล! มาช่วยพยุงหน่อย”
“ฮึก...” เป็นอีแพรที่เคลื่อนสายตามาทางฉัน
สีหน้าของมันแทบจะให้คำตอบทุกอย่าง ฉันมองเห็นการคุกเข่ากราบเท้าฉันเพื่อให้เข้าไปช่วยผ่านนัยน์ตาคู่นั้น
เห็นการละทิ้งศักดิ์ศรีอันน้อยนิดเพียงเพราะไม่อยากให้ตัวเองทรมานจนตายไปซะก่อน
ฉันไม่สนใจ
ต่อให้มันชักดิ้นชักงอตรงหน้า...ฉันก็ไม่แคร์
“จัดการกันเองแล้วกัน ขอตัว”
ฉันทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินจากมาโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไป
‘ทำไมต้องให้คนอื่นคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเลย
ไม่มีปัญญาจัดการชีวิตตัวเองก็อย่าอยู่ให้รกโลกเลยเหอะ’ ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมันเคยพูดกับฉันแบบนี้
และตอนนั้น...ฉันแทบจะไม่มีลมหายใจหลงเหลืออยู่
“หน้าเยิน”
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีฉันก็มาหาขุนที่คอนโดฯ
พอดีเบื่อๆ ไม่อยากกลับบ้าน
เลยตั้งใจว่าจะมานั่งเล่นเกมในห้องหมอนั่นให้หายเซ็งแล้วค่อยกลับ
แต่ทันทีที่ขุนเห็นหน้าฉัน
คำทักทายแรกก็อย่างที่เห็น...
“เยินยังไง?” ฉันเงยหน้าพร้อมขมวดคิ้วอย่างจริงจัง
โบกรองพื้นชนิดที่เพื่อนผู้หญิงด้วยกันยังมองไม่ออก
แต่ผู้ชายอกสามศอกอย่างหมอนี่กลับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ
“มันบวมนิดหน่อย ปกติหน้าเรียว” ขุนที่ขยับเข้ามาใกล้เมื่อไหร่ไม่รู้ทำให้ฉันที่กำลังหงุดหงิดที่ปกปิดร่องรอยได้ไม่ดีพอต้องชะงัก
และต้องชะงักกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อขุนยื่นปลายนิ้วแข็งกระด้างมาสัมผัสใต้ขอบตาฉัน “ตาก็บวม...”ช่างมันเถอะ จะสนใจทำไมฉันสลัดเรื่องงี่เง่าออกจากหัวแล้วหันไปสนใจสารรูปตัวเองหน้ากระจก
จัดการเติมแป้ง เติมลิปให้ดูไม่โทรมเหมือนซอมบี้ เหนือสิ่งอื่นใด
ฉันไม่อยากให้ใครจับได้ว่าเพิ่งทำตัวน่าสมเพชอย่างการร้องไห้มา
อีเกลในสายตาคนรอบข้างต้องเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง
เจ็บได้ เสียใจได้ แต่ห้ามแสดงอาการให้ใครเห็นเด็ดขาด
ฉันมาถึงมหาวิทยาลัยในสี่สิบนาทีต่อมา
ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะเข้าเรียนสายเพราะมัวแต่เสียเวลาไปกับการทำตัวงี่เง่าในห้องน้ำนานสองนาน
แต่ยังนับว่าโชคดีที่วันนี้การเข้าห้องเรียนแบบเส้นยาแดงผ่าแปดจบลงตรงที่อาจารย์ยกคลาส
ส่วนงานมีให้ทำผ่านระบบอีเลิร์นนิ่ง
เพราะแบบนั้นฉันและกลุ่มเพื่อนจึงมานั่งเล่นกันใต้ตึกคณะ
ส่วนหนึ่งเพราะต้องคุยเรื่องงานกลุ่มที่ต้องส่งอาทิตย์หน้าด้วย
แต่...เอาเข้าจริงไม่มีใครพูดถึงเรื่องงานเลย
คนหนึ่งวุ่นอยู่กับการแต่งหน้าแต่งตาเพราะวันนี้ต้องไปกินข้าวที่บ้านแฟนเป็นครั้งแรก
อีกคนก็ส่องเพจผู้ชายหล่อแล้วทำหน้าหื่นไม่เลิก
บางคนหลับ บางคนเอาแต่นั่งกิน
ส่วนบางคน...ไปตายไหนแล้วไม่รู้
กลุ่มเพื่อนฉันค่อนข้างใหญ่
แต่ไม่ใช่กลุ่มที่สนิทสนมอะไรมากนักหรอก เหมือนคบกันเป็นกลุ่มก้อนไปแบบนั้น
ให้พูดถึงเรื่องความเชื่อใจก็อาจจะมีบ้าง มะเหมี่ยวและเฟรย์เข้าข่ายนั้น ทว่าฉันไม่กล้าให้พวกมันเต็มร้อย
เคยถูกหลอก ถูกหักหลังมาแล้ว
ฉันเลยระวังตัวเองมากขึ้น
เหตุการณ์ในอดีตได้ให้บทเรียนแก่ฉัน
“อีเกล ไปดูเพื่อนรักแกซิ
ตกส้วมตายห่าแล้วมั้งป่านนี้” การใช้ข้อศอกกระแทกแขนเป็นการสะกิดพร้อมคำพูดนั้นของมะเหมี่ยวทำให้ฉันที่นั่งเนือยๆ
ต้องหันกลับไปมองมัน
“...?” ฉันส่งความสงสัยผ่านแววตา
ทำท่าทางอยากรู้ไปแบบนั้น
ใจจริงอีนั่นจะเป็นตายร้ายดียังไงก็เรื่องมัน
อีกอย่าง ฉันเกลียดจริงๆ เวลามะเหมี่ยวเน้นคำว่า
‘เพื่อนรัก’ เวลาพูดถึงอีนั่น...ฟังแล้วอยากโก่งคออ้วก
“เห็นมันบ่นๆ ว่าปวดท้อง
หายไปสิบนาทีได้แล้วมั้ง ไปดูมันหน่อย”
“แกเป็นห่วงมันก็ไปดูเอง” ฉันบอกปัด
ผู้หญิงคนนั้นที่มะเหมี่ยวพูดถึงคือหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เป็นเพื่อนแค่ในนาม แต่ความจริงเราสองคนไม่ต่างอะไรไปจากศัตรู
และใช่ มันคือคนเดียวกันที่โดนรุมวันนั้นแล้วขอร้องให้ฉันช่วย
แต่ฉันเพิกเฉยไม่สนใจ
ผ่านมาพักใหญ่ๆ แล้วล่ะ ฉันแทบจะลืมไปเลย
“พวกแกสองคนนี่แบบ...” มะเหมี่ยวมองบนหนึ่งที
“งั้นไปด้วยกัน ฉันว่าจะไปฉี่พอดี” ว่าจบมันก็คว้ามือฉันทันที ก่อนออกแรงมหาศาลลากฉันไปห้องน้ำของคณะโดยไม่ถามกันสักคำว่าอยากไปไหม
มะเหมี่ยวเป็นแบบนี้มานานแล้ว มันรู้ว่าฉันและอีนั่นไม่ถูกกันเลยพยายามทำตัวเป็นคนกลางตั้งใจสมานรอยแผลระหว่างเราสองคน
แน่นอนว่าพยายามร้อยครั้งก็พลาดร้อยครั้ง
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องน้ำ
ฉันพบว่าในห้องน้ำหญิงมีอยู่ห้องหนึ่งประตูปิดสนิท คาดว่าอีนั่นอยู่ด้านใน
“อีแพร! อีดอก ตายแล้วเหรอคะ” มะเหมี่ยวมั่นใจว่าเป็นเพื่อนตัวเองเลยตะโกนเรียก
ใช่ ชื่อของมันคือแพร
แอ้ด...
เมื่อแน่ใจว่าคนเรียกคือมะเหมี่ยว
อีแพรจึงเปิดประตูห้องน้ำออกมา ภาพที่เห็นคือมันนั่งอยู่บนฝาชักโครก
กระโปรงนักศึกษาถูกเลิกขึ้น ใบหน้าอิดโรยมองเราสองคนราวกับคนใกล้ตาย
ฉันหลุบตามองเลือดตามเรียวขาและบนพื้นกระเบื้องสีขาว
“แก ฉันไม่ไหว...” อีแพรนั่งตัวสั่น
สีหน้าดูทรมาน ลักษณะคล้ายคนแท้งด้วยบางสาเหตุ
‘ฮึก...’
ผิดไหมที่ฉันจะบอกว่าภาพตรงหน้าทำให้นึกถึงตัวเองในครั้งอดีตตึง...เสียงปิดประตูที่ดังสนั่นลงไปถึงชั้นล่างบ่งบอกสภาพอารมณ์ของเกลได้อย่างดี
แต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่จึงยักไหล่เนือยๆ แล้วเดินลงไปนั่งตรงโต๊ะอาหารซึ่งพ่อยังคงไม่ไปไหน
ส่วนแม่...ท่านน่าจะเข้าห้องน้ำ เห็นบ่นๆ ว่าท้องผูกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
เพราะรู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไร
ผมจึงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวประจำ จากนั้นก็ตักข้าวต้มเข้าปากเงียบๆ
“ให้ตาย...” น่าจะประมาณสองนาทีให้หลัง
เสียงบ่นพึมพำจากฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้นฉุดผมจากข้าวต้มร้อนๆ ที่กินจนจะหมดถ้วยอยู่แล้ว
ผมเงยหน้าขึ้นมองท่านโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไร
เห็นร่องรอยความเจ็บปวดชัดเจนจากแววตาของท่าน
ถ้าไม่ได้ตาฝาดไปเหมือนมีหยาดน้ำใสคลอเคล้าตรงกระบอกตา ก็คง...ไม่ได้ตั้งใจตบเกลจนเลือดกบปากมั้ง
“เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นครับ”
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจปลอบโยนท่าน
“พ่อไม่ได้ตั้งใจทำร้ายมันนะ แต่...”
พ่อเม้มริมฝีปากอย่างขมขื่น “แต่ช่วงนี้มันทำตัวมีปัญหามากจริงๆ”
“คงเครียดเรื่องเรียนมั้งครับ
ปีสามได้ข่าวว่าเรียนหนัก” ผมแก้ต่างราวกับเข้าข้างเกลอย่างเต็มที่ แต่จริงๆ
แล้วผมแค่อยากเป็นเด็กดีให้แม่สบายใจมากกว่า ถ้าผมทำให้พ่อหมดกังวลเรื่องพฤติกรรมอันน่าปวดหัว
แม่เองก็พลอยสบายใจไปด้วย
“เราขึ้นไปดูพี่มันหน่อยได้ไหมเอย์”
คำขอของพ่อทำให้ผมยิ้มตอบเล็กน้อยทั้งที่ในใจไม่อยากทำ
ถ้าเสนอหน้าเข้าไปหาเธอ...มีหวังเราได้ทำสงครามกันอีกแน่ๆ “ตอนนี้พ่อคงทำอะไรไม่ได้นอกจากหวังพึ่งเรา”
“ได้ครับ” ผมตอบสั้นๆ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็เดินย้อนขึ้นไปบนห้อง
หยุดเท้าตรงประตูสีขาวที่ปิดสนิทและคาดว่าคงลงกลอนอย่างดีแล้ว
แต่ถึงเมื่อลองหมุนลูกบิดดูกลับพบว่ามันไม่ได้ถูกล็อกอย่างที่ควรจะเป็น
ผมว่าเกลคงรู้สึกแย่เกินกว่าจะมาสนใจสิ่งรอบตัว
ซึ่งถ้าลองคิดดูดีๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่
ดังนั้นจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องเธอทันที ภาพแรกที่เห็นคือข้าวของภายในห้องระเกะระกะรกหูรกตา
แจกันและแก้วน้ำแตกกระจายอยู่บนพื้นเหมือนเธอเอาความอึดอัดทั้งหมดมาลงที่พวกมัน
ผมมองภาพพวกนั้นเพียงแป๊บเดียวก็กวาดสายตาหาเจ้าของห้อง
จนพบว่าประตูห้องน้ำถูกแง้มไว้เล็กน้อย...
ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงนั้น
มองร่างบางในชุดนักศึกษาผ่านช่องว่างของประตูที่กำลังนั่งบนชักโครกร้องไห้ตัวสั่นสะท้านอยู่คนเดียว...เป็นการร้องไห้ที่ดูทรมานและเจ็บปวดในแบบที่ผมเห็นบ่อยนับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเธอ
ผมมาเพื่อดู ไม่ใช่เพื่อปลอบ
คนอย่างเกล เจ็บแค่นี้เธอไม่ตายง่ายๆ
หรอก
End Describe
Gale Describe
ฉันเสียเวลาไปกับการนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องน้ำนับชั่วโมง
คิดว่าตัวเข้มแข็งพอจะทนอดทนอดกลั้นกับสถานการณ์เฮงซวยนี้ได้ แต่สุดท้าย...พ่อก็ยังมีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันอยู่ดี
เอาจริงๆ ฉันเหมือนรับรู้อยู่ตลอดเวลาว่ากำลังถูกจ้องมอง
แต่คิดว่าคงเพ้อเจ้อไปเอง เพราะออกมาก็ไม่เจอใคร ไม่พบร่องรอยการมาเยือนของใครคนไหนเพียะ!จังหวะที่ริมฝีปากผมขยับเข้าไปใกล้จนเฉียดกลีบปากสีแดงก่ำที่เคยลิ้มลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
มือข้างหนึ่งของยัยมารร้ายก็เหวี่ยงเต็มแก้มผมจนได้ยินเสียงผิวหนังกระทบกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอใช้ปลายเล็บแหลมคมจิกบนรอยช้ำเป็นการสำทับอีกด้วย
“โตแล้วสมองไม่พัฒนา ทุเรศจริงๆ”
หลังจากประทุษร้ายผมจนได้เลือดกลับมาเป็นของแถม เธอก็ผลักผมออกห่างตัวเอง
ไม่ลืมกวาดสายตามองสารรูปผมตั้งแต่หัวจดเท้า
และสิ่งสุดท้ายที่นัยน์ตาเดือดดาลหยุดไว้คือใบหน้าผม “ฉันขอเตือนนาย
อย่ายุ่งกับยัยกิ่งอีก”
“...” ผมแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินคำเตือนที่มาพร้อมกับสายตาข่มขู่
“ยัยนั่นสะอาดเกินกว่านายจะแตะต้อง”
หมับ!
หลังจากปรามาสกันแล้ว
เกลก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป แต่วินาทีที่แขนเราเฉียดกัน
เป็นผมเองที่คว้าข้อมือของเธอไว้ เป็นข้างเดียวกันกับที่มือที่ใช้ตบผมเมื่อครู่นี้
แน่นอนว่าการรั้งนั้นทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องหยุดฝีเท้าไว้
“แล้วฉันเหมาะกับใคร?”
ผมถามโดยที่ข้อมือของเธอยังถูกกระชับแน่นจนแทบจะกลายเป็นการบีบเค้น “เหี้ยๆ
อย่างฉันเหมาะกับใครเหรอ”
“ไม่ใช่ฉันก็แล้วกัน”
เกลให้คำตอบแทบทันที แววตาดูแคลนของเธอทำให้ผมเดือดอยู่ในอก แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ...
ถ้าเธอต้องการแบบนี้ผมก็ไม่ขัดข้อง
ได้เลยเกล ได้เลย...
สี่สิบวันผ่านไป
“เดี๋ยวนี้แกชักจะเอาใหญ่แล้วนะเกล!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายในเช้าวันจันทร์ทำให้ผมที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จต้องเดินลงบันไดไปชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นต้นตอของเสียง
กระทั่งเห็นว่าจุดเกิดเหตุมาจากโต๊ะอาหาร
ผมจึงหยุดเท้าไว้ มองภาพนั้นจากบันไดขั้นที่สูงที่สุด
“เกลเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
เกลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พ่อจะเอาอะไรมากกับเกล”
“แต่แกเอาเงินหลายแสนไปใช้จนหมดในหนึ่งเดือน!” พ่อใช้มือทุบโต๊ะดัง ‘ตุ๊บ’ ราวกับโมโหกับพฤติกรรมของเกลและใกล้หมดความอดทนแล้ว
หากแต่เกลกลับตักข้าวต้มเข้าปากเงียบๆ
ไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์เกรี้ยวกราดของพ่อแม้แต่นิดเดียว “เด็กอย่างแกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนั้นไปใช้อะไร”
“เกลมีเรื่องต้องจ่าย”
“อะไรล่ะ!” พ่อขึ้นเสียง หน้าแดงก่ำ “เห็นแกกลับบ้านดึกทุกวันไม่ใช่ว่าเอาเงินไปละลายกับเหล้าหมดแล้วนะ”
“...”
“หรือเอาไปให้แฟนจนๆ
ของแกผลาญเล่นหมดแล้ว เกล! ตอบพ่อมา”
“ถ้าพ่ออยากจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่”
วูบหนึ่งผมเห็นไหล่ทั้งสองข้างของเกลสั่นไหว แต่สีหน้าของเธอยังคงปกติดี
เรื่องเก็บความรู้สึกเธอทำได้ดีเสมอ “ในสายตาพ่อ เกลคงเป็นแค่เด็กเสเพล”
เพียะ!
พ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นจากเก้าอี้
ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อใช้ฝ่ามือขนาดใหญ่ลงบนแก้มขาวๆ ของเธอ
เกลหน้าหันไปตามแรงตบ...และเธอหันมาทางผมพอดี
ผมเห็นเกลน้ำตาคลอ แต่เมื่อพบว่าผมยืนอยู่ตรงนี้
ทั้งแอบมองและแอบฟัง เธอจึงเม้มริมฝีปากที่ปริ่มเลือดไว้
กักกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไปมองหน้าพ่ออีกครั้ง “พอใจยังคะ?”
“...” พ่อที่ทั้งโกรธและรู้สึกผิดไปในคราวเดียวไม่ได้ตอบอะไร
เพราะฉะนั้นเกลจึงลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบันไดมา
เธอคงอยากอยู่คนเดียวในห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ หรือบางทีอาจจะเข้าไปร้องไห้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ลังเลที่จะเข้าไปกอดเธอ
แต่ตอนนี้...ผมแค่มอง
มองแล้วรู้สึก...สมน้ำหน้าAey Describe
“ฉันมีเรื่องจะคุย” คำบอกกล่าวของเกลทำให้หัวคิ้วผมขมวดกันในชั่วครู่หนึ่ง
“ไปคุยข้างใน”
“...” ผมไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ยัยมารร้ายก็แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างผมและกรอบประตูกระทั่งเจ้าตัวสามารถเข้าไปอยู่ด้านในได้สำเร็จ
ใช่ ห้องนอนผม พื้นที่ผม อาณาเขตผม
...เสนอหน้ามาหาถึงที่เลยนะคราวนี้
เมื่อเกลต้องการความเป็นส่วนตัวผมจึงไม่ขัดข้อง
ตัดสินใจปิดประตูและล็อกอย่างดี จากนั้นก็หันกลับไปเจ้าของร่างบางที่กำลังยืนกอดพิงกรอบหน้าต่าง
ใบหน้านิ่งสนิทหากแต่ซ่อนรังสีดุร้ายกำลังจดจ้องผมในระยะสามเมตร
เธอเป็นผู้หญิงประเภทไม่ตกใจเวลาเห็นผู้ชายอยู่สภาพเปลือยหรือกึ่งเปลือย
บางทีเธอคงเห็นจากผมเป็นสิบๆ ครั้งจนชาชิน...หรือเห็นจากไอ้ผา
ผัวสุดแสนรักที่เธอเคยไปนอนค้างด้วย
“นายไปค้างบ้านยัยกิ่งมา?” ผมสลัดเรื่องน่ารำคาญนั่นทิ้งลงถังขยะเมื่อน้ำเสียงห้วนจัดและเย่อหยิ่งของเกลดังขึ้น
ผมสบตาเธออีกครั้ง...เห็นความคุกรุ่นก่อตัวอยู่ในดวงตาคู่นั้นเป็นปริมาณมาก
เรื่องกิ่ง...
“ต้องการคำตอบแบบไหนล่ะ”
ผมยกมือเสยผมเปียกชื้นขึ้นทั้งๆ ที่ยังมองสบตาเกล
เป็นจังหวะเดียวกันที่สองเท้าก้าวเท้าไปหาเธอกระทั่งระยะห่างลดหลั่นลงและเหลือเพียงเอื้อมแขนเดียว
เกลไม่ไหวติง ไม่ตกใจ
“อย่ากวนตีน” เกลกดเสียง หลุบตามองสารรูปผมด้วยสายตาชนิดหนึ่ง
ชนิดที่หนักไปทางขยะแขยง... “ฉันเห็นสมบัติของนายที่บ้านยัยนั่น ตอบดีๆ ว่าไปทำไม
นายทำอะไรน้องฉัน”
“ถ้าฉันทำขึ้นมาจริงๆ เธอจะทำไมเหรอเกล”
ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปบีบคางยัยผู้หญิงอวดดี เสี้ยววินาทีเดียวเธอปัดมันออกพร้อมฝากรอยเล็บไว้บริเวณหลังมือผม
“นายจนตรอกขนาดนี้แล้วเหรอ ทำคนพี่ไม่ได้ถึงไปลงกับคนน้อง”
เกลกำหมัดแน่น...เธอเดือดดาลเสมอเมื่อมีใครมารังควานกิ่ง
เด็กคนนั้นเป็นสิ่งที่เธอรักที่สุดในชีวิตรองจากแม่
“งั้นเธอก็มาให้ฉันทำสิ” ผมใช้มือข้างที่เคยบีบคางสอดไปยึดผมกลุ่มหนึ่งใต้ท้ายทอยเธอ
แรงรั้งดังกล่าวส่งผลให้ใบหน้าได้รูปขยับเข้ามาใกล้ผมโดยปริยาย เหนือสิ่งอื่นใด...ริมฝีปากผมอยู่เหนือปลายจมูกเธอพอดี
เรากำลังแลกเปลี่ยนลมหายใจกันและกันผ่านสายตาเกลียดชัง “เอย์อยากขยี้พี่เกลจะแย่แล้วครับ...”
ผมจะขยี้เธอซ้ำๆ จนกว่าจะพอใจ จากนั้นก็ใช้เท้าเขี่ยทิ้ง --
ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 4 [อัปครบ]
-E P I S O D E 04-
Aey Describe
“ฉันมีเรื่องจะคุย” คำบอกกล่าวของเกลทำให้หัวคิ้วผมขมวดกันชั่วครู่หนึ่ง
“ไปคุยข้างใน”
“...” ผมไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ยัยมารร้ายก็แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างตัวผมและกรอบประตูกระทั่งเจ้าตัวสามารถเข้าไปอยู่ด้านในได้สำเร็จ
ใช่ ห้องนอนผม พื้นที่ผม อาณาเขตผม
...เสนอหน้ามาหาถึงที่เลยนะคราวนี้
เมื่อเกลต้องการความเป็นส่วนตัวผมจึงไม่ขัดข้อง ตัดสินใจปิดประตูและล็อกอย่างดี จากนั้นก็หันกลับไปเจ้าของร่างบางที่กำลังยืนกอดพิงกรอบหน้าต่าง ใบหน้านิ่งสนิทหากแต่ซ่อนรังสีดุร้ายกำลังจดจ้องผมในระยะสามเมตร
เธอเป็นผู้หญิงประเภทไม่ตกใจเวลาเห็นผู้ชายอยู่สภาพเปลือยหรือกึ่งเปลือย
บางทีเธอคงเห็นจากผมเป็นสิบๆ ครั้งจนชาชิน...หรือเห็นจากไอ้ผา
ผัวแสนรักที่เธอเคยไปนอนค้างด้วย
“นายไปค้างบ้านยัยกิ่งมา?” ผมสลัดเรื่องน่ารำคาญนั่นทิ้งลงถังขยะเมื่อน้ำเสียงห้วนจัดและเย่อหยิ่งของเกลดังขึ้น
ผมสบตาเธออีกครั้ง...เห็นความคุกรุ่นก่อตัวอยู่ในดวงตาคู่นั้นเป็นปริมาณมาก
เรื่องกิ่ง...
“ต้องการคำตอบแบบไหนล่ะ”
ผมยกมือเสยผมเปียกชื้นขึ้นทั้งๆ ที่ยังมองสบตาเกล
เป็นจังหวะเดียวกันที่สองเท้าก้าวเท้าไปหาเธอกระทั่งระยะห่างลดลงและเหลือเพียงเอื้อมแขนเดียว
เกลไม่ไหวติง ไม่ตกใจ
“อย่ากวนตีน” เกลกดเสียง หลุบตามองสารรูปผมด้วยสายตาที่หนักไปทางขยะแขยง “ฉันเห็นของของนายที่บ้านยัยนั่น ตอบดีๆ ว่าไปทำไม
นายทำอะไรน้องฉัน”
“ถ้าฉันทำขึ้นมาจริงๆ เธอจะทำไมเหรอเกล”
ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปบีบคางยัยผู้หญิงอวดดี เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นเธอก็ปัดมันออกพร้อมฝากรอยเล็บไว้บริเวณหลังมือผม
ไม่เคยมีครั้งไหนไม่ได้เลือด
“ทำคนพี่ไม่ได้ถึงไปลงกับคนน้อง เพิ่งรู้ว่านายจนตรอกขนาดนี้แล้ว” เกลกำหมัดแน่น...เธอเดือดดาลเสมอเมื่อมีใครมารังควานกิ่ง เด็กคนนั้นเป็นสิ่งที่เธอรักที่สุดในชีวิตรองจากแม่
“งั้นเธอก็มาให้ฉันทำสิ” ผมใช้มือข้างที่เคยบีบคางสอดไปยึดผมกลุ่มหนึ่งใต้ท้ายทอยเธอ แรงรั้งดังกล่าวส่งผลให้ใบหน้าได้รูปขยับเข้ามาใกล้ผมโดยปริยาย เหนือสิ่งอื่นใด...ริมฝีปากผมอยู่เหนือปลายจมูกเธอพอดี เรากำลังแลกเปลี่ยนลมหายใจกันและกันผ่านสายตาเกลียดชัง "มาให้ขยี้หน่อยสิ ในฐานะผัวเก่าที่พี่เกลเกลียดก็ได้"
ผมจะขยี้เธอซ้ำๆ จนกว่าจะพอใจ จากนั้นก็ใช้เท้าเขี่ยทิ้ง
แค้นเหรอ?
เปล่า...
สะใจล้วนๆ
เพียะ!
จังหวะที่ริมฝีปากผมขยับเข้าไปใกล้จนเฉียดกลีบปากสีแดงก่ำที่เคยลิ้มลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มือข้างหนึ่งของยัยมารร้ายก็เหวี่ยงเต็มแก้มผมจนได้ยินเสียงผิวหนังกระทบกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอยังสำทับด้วยการใช้ปลายเล็บแหลมคมจิกบนรอยช้ำ
“โตแล้วสมองไม่พัฒนา ทุเรศจริงๆ”
หลังจากประทุษร้ายผมจนได้เลือดกลับมาเป็นของแถม เธอก็ผลักผมออกห่างตัวเอง
ไม่ลืมกวาดสายตามองสารรูปผมตั้งแต่หัวจดเท้า
และสิ่งสุดท้ายที่นัยน์ตาเดือดดาลหยุดไว้คือใบหน้าผม “ฉันขอเตือนนาย
อย่ายุ่งกับยัยกิ่งอีก”
“...” ผมแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินคำเตือนที่มาพร้อมกับสายตาข่มขู่
“ยัยนั่นสะอาดเกินกว่านายจะแตะต้อง”
หมับ!
หลังจากปรามาสกันแล้ว
เกลก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป แต่วินาทีที่แขนเราเฉียดกัน
เป็นผมเองที่คว้าข้อมือของเธอไว้ เป็นข้างเดียวกันกับที่มือที่ใช้ตบผมเมื่อครู่นี้
แน่นอนว่าการรั้งนั้นทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องหยุดฝีเท้าไว้
“แล้วฉันเหมาะกับใคร?”
ผมถามโดยที่ข้อมือของเธอยังถูกกระชับแน่นจนแทบจะกลายเป็นการบีบเค้น “เหี้ยๆ
อย่างฉันเหมาะกับใครเหรอ”
“ไม่ใช่ฉันก็แล้วกัน”
เกลให้คำตอบแทบทันที แววตาดูแคลนของเธอทำให้ผมเดือดอยู่ในอก แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ...
ถ้าเธอต้องการแบบนี้ผมก็ไม่ขัดข้อง
ได้เลยเกล ได้เลย...
เดือนกว่าๆ ผ่านไป
“เดี๋ยวนี้แกชักจะเอาใหญ่แล้วนะเกล!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายในเช้าวันจันทร์ทำให้ผมที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จต้องออกจากห้องเเล้วลงบันไดไปชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นต้นตอของเสียง
กระทั่งเห็นว่าจุดเกิดเหตุมาจากโต๊ะอาหาร
ผมจึงหยุดเท้าไว้ มองภาพนั้นจากบันไดขั้นที่สูงที่สุด
“เกลเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
เกลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พ่อจะเอาอะไรมากกับเกล”
“แต่แกเอาเงินหลายแสนไปใช้จนหมดในหนึ่งเดือน!” พ่อใช้มือทุบโต๊ะดัง ‘ตุ๊บ’ คล้ายโมโหกับพฤติกรรมของเกลและใกล้หมดความอดทนแล้ว
หากแต่เกลกลับตักข้าวต้มเข้าปากเงียบๆ
ไม่สะทกสะท้านต่ออาการเกรี้ยวกราดของพ่อเลยสักนิดเดียว “เด็กอย่างแกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนั้นไปใช้อะไร”
“เกลมีเรื่องต้องจ่าย”
“อะไรล่ะ!” พ่อขึ้นเสียง หน้าแดงก่ำ “เห็นแกกลับบ้านดึกทุกวันไม่ใช่ว่าเอาเงินไปละลายกับเหล้าหมดแล้วเหรอ”
“...”
“หรือเอาไปให้แฟนจนๆ
ของแกผลาญเล่นหมดแล้ว เกล! ตอบพ่อมา”
“ถ้าพ่ออยากจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่”
วูบหนึ่งผมเห็นไหล่ทั้งสองข้างของเกลสั่นไหว แต่สีหน้าของเธอยังคงปกติดี
เรื่องเก็บความรู้สึกเธอทำได้ดีเสมอ “ในสายตาพ่อ เกลคงเป็นแค่เด็กเสเพล”
เพียะ!
พ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นจากเก้าอี้
ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อใช้ฝ่ามือขนาดใหญ่ฟาดลงบนแก้มขาวๆ ของเธอ
เกลหน้าหันไปตามแรงตบ...และเธอหันมาทางผมพอดี
ผมเห็นเกลน้ำตาคลอ แต่เมื่อพบว่าผมยืนอยู่ตรงนี้
ทั้งแอบมองและแอบฟัง เธอจึงเม้มริมฝีปากปริ่มเลือดไว้
กักกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไปมองหน้าพ่ออีกครั้ง “พอใจยังคะ?”
“...” พ่อที่ทั้งโกรธและรู้สึกผิดไปในคราวเดียวไม่ได้ตอบอะไร
เพราะฉะนั้นเกลจึงลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบันไดมา
เธอคงอยากอยู่คนเดียวในห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ หรือบางทีอาจจะเข้าไปร้องไห้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ลังเลที่จะเข้าไปกอดเธอ
แต่ตอนนี้...ผมแค่มอง
มองแล้วรู้สึก...สมน้ำหน้า
ตึง...
เสียงปิดประตูที่ดังสนั่นลงไปถึงชั้นล่างบ่งบอกสภาพอารมณ์ของเกลได้อย่างดี
แต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่จึงยักไหล่เนือยๆ แล้วเดินลงไปนั่งตรงโต๊ะอาหารซึ่งพ่อยังคงไม่ไปไหน
ส่วนแม่...ท่านน่าจะเข้าห้องน้ำ เห็นบ่นๆ ว่าท้องผูกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
เพราะรู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไร
ผมจึงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวประจำ จากนั้นก็ตักข้าวต้มเข้าปากเงียบๆ
“ให้ตาย...” น่าจะประมาณสองนาทีให้หลัง
เสียงบ่นพึมพำจากฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้นฉุดผมจากข้าวต้มร้อนๆ ที่กินจนจะหมดถ้วยอยู่แล้ว
ผมเงยหน้าขึ้นมองท่านโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไร
เห็นร่องรอยความเจ็บปวดชัดเจนจากแววตาของท่าน
ถ้าไม่ได้ตาฝาดไปเหมือนมีหยาดน้ำใสคลอเคล้าตรงกระบอกตา ก็คง...ไม่ได้ตั้งใจตบเกลจนเลือดกบปากมั้ง
“เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นครับ”
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจปลอบโยนท่าน
“พ่อไม่ได้ตั้งใจทำร้ายมันนะ แต่...”
พ่อเม้มริมฝีปากอย่างขมขื่น “แต่ช่วงนี้มันทำตัวมีปัญหามากจริงๆ”
“คงเครียดเรื่องเรียนมั้งครับ
ปีสามได้ข่าวว่าเรียนหนัก” ผมแก้ต่างราวกับเข้าข้างเกลอย่างเต็มที่ แต่จริงๆ
แล้วผมแค่อยากเป็นเด็กดีให้แม่สบายใจมากกว่า ถ้าผมทำให้พ่อหมดกังวลเรื่องพฤติกรรมอันน่าปวดหัว
แม่เองก็พลอยสบายใจไปด้วย
“เราขึ้นไปดูพี่มันหน่อยได้ไหมเอย์”
คำขอของพ่อทำให้ผมยิ้มตอบเล็กน้อยทั้งที่ในใจไม่อยากทำ
ถ้าเสนอหน้าเข้าไปหาเธอ...มีหวังเราได้ทำสงครามกันอีกแน่ๆ “ตอนนี้พ่อคงทำอะไรไม่ได้นอกจากหวังพึ่งเรา”
“ได้ครับ” ผมตอบสั้นๆ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็เดินย้อนขึ้นไปบนห้อง
หยุดเท้าตรงประตูสีขาวที่ปิดสนิทและคาดว่าคงลงกลอนอย่างดีแล้ว
แต่เมื่อลองหมุนลูกบิดดูกลับพบว่ามันไม่ได้ถูกล็อกอย่างที่ควรจะเป็น
ผมว่าเกลคงรู้สึกแย่เกินกว่าจะมาสนใจสิ่งรอบตัว คิดดูดีๆ แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก
เมื่อแน่ใจว่าห้องไม่ได้ถูกล็อก ผมจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องเธอทันที ภาพแรกที่เห็นคือข้าวของภายในห้องระเกะระกะรกหูรกตา
แจกันและแก้วน้ำแตกกระจายอยู่บนพื้นเหมือนเธอเอาความอึดอัดทั้งหมดมาลงที่พวกมัน
ผมมองภาพพวกนั้นเพียงแป๊บเดียวก็กวาดสายตาหาเจ้าของห้อง
จนพบว่าประตูห้องน้ำถูกแง้มไว้เล็กน้อย...
ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงนั้น
มองร่างบางในชุดนักศึกษาผ่านช่องว่างของประตูที่กำลังนั่งบนชักโครกร้องไห้ตัวสั่นสะท้านอยู่คนเดียว...เป็นการร้องไห้ที่ดูทรมานและเจ็บปวดในแบบที่ผมเห็นบ่อยนับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเธอ
เวลาเกลร้องไห้ เธอจะตัวเเดง ดูน่าสงสาร
แต่...ผมมาเพื่อดู ไม่ใช่มาเพื่อปลอบโยน
คนอย่างเกล เจ็บแค่นี้เธอไม่ตายง่ายๆ
หรอก
End Describe
Gale Describe
ฉันเสียเวลาไปกับการนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องน้ำนับชั่วโมง
คิดว่าตัวเข้มแข็งพอจะทนอดทนอดกลั้นกับสถานการณ์เฮงซวยนี้ได้ แต่สุดท้าย...พ่อก็ยังมีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันอยู่ดี
ที่สำคัญ...ฉันเหมือนรับรู้อยู่ตลอดเวลาว่ากำลังถูกจ้องมอง
แต่คิดว่าคงเพ้อเจ้อไปเอง เพราะออกมาก็ไม่เจอใคร ไม่พบร่องรอยการมาเยือนของใครคนไหน
ช่างมันเถอะ จะสนใจทำไม
ฉันสลัดเรื่องงี่เง่าออกจากหัวแล้วหันไปสนใจสารรูปตัวเองหน้ากระจก
จัดการเติมแป้ง เติมลิปให้ดูไม่โทรมเหมือนซอมบี้ เหนือสิ่งอื่นใด
ฉันไม่อยากให้ใครจับได้ว่าเพิ่งทำตัวน่าสมเพชอย่างการร้องไห้มา
อีเกลในสายตาคนรอบข้างต้องเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง
เจ็บได้ เสียใจได้ แต่ห้ามแสดงอาการให้ใครเห็นเด็ดขาด
ฉันมาถึงมหาวิทยาลัยในสี่สิบนาทีต่อมา
ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะเข้าเรียนสายเพราะมัวแต่เสียเวลาไปกับการทำตัวงี่เง่าในห้องน้ำนานสองนาน
แต่ยังนับว่าโชคดีที่วันนี้การเข้าห้องเรียนแบบเส้นยาแดงผ่าแปดจบลงตรงที่อาจารย์ยกคลาส
ส่วนงานมีให้ทำผ่านระบบอีเลิร์นนิ่ง
เพราะแบบนั้นฉันและกลุ่มเพื่อนจึงมานั่งเล่นกันใต้ตึกคณะ
ส่วนหนึ่งเพราะต้องคุยเรื่องงานกลุ่มที่ต้องส่งอาทิตย์หน้าด้วย
แต่...เอาเข้าจริงไม่มีใครพูดถึงเรื่องงานเลย
คนหนึ่งวุ่นอยู่กับการแต่งหน้าแต่งตาเพราะวันนี้ต้องไปกินข้าวที่บ้านแฟนเป็นครั้งแรก
อีกคนก็ส่องเพจผู้ชายหล่อแล้วทำหน้าหื่นไม่เลิก
บางคนหลับ บางคนเอาแต่นั่งกิน
ส่วนบางคน...ไปตายไหนแล้วไม่รู้
กลุ่มเพื่อนฉันค่อนข้างใหญ่
แต่ไม่ใช่กลุ่มที่สนิทสนมอะไรมากนักหรอก เหมือนคบกันเป็นกลุ่มก้อนไปแบบนั้น
ให้พูดถึงเรื่องความเชื่อใจก็อาจจะมีบ้าง มะเหมี่ยวและเฟรย์เข้าข่ายนั้น ทว่าฉันไม่กล้าให้พวกมันเต็มร้อย
เคยถูกหลอก ถูกหักหลังมาแล้ว
ฉันเลยระวังตัวเองมากขึ้น
เหตุการณ์ในอดีตได้ให้บทเรียนแก่ฉัน
“อีเกล ไปดูเพื่อนรักแกซิ
ตกส้วมตายห่าแล้วมั้งป่านนี้” การใช้ข้อศอกกระแทกแขนเป็นการสะกิดของมะเหมี่ยวทำให้ฉันที่นั่งเนือยๆ
ต้องหันกลับไปมองมัน
“...?” ไม่ลืมส่งความสงสัยผ่านแววตา
ทำท่าทางอยากรู้ไปแบบนั้น
ใจจริงอีนั่นจะเป็นตายร้ายดียังไงก็เรื่องมัน
อีกอย่าง ฉันเกลียดจริงๆ เวลามะเหมี่ยวเน้นคำว่า
‘เพื่อนรัก’ เวลาพูดถึงอีนั่น...ฟังแล้วอยากโก่งคออ้วก
“เห็นมันบ่นๆ ว่าปวดท้อง
หายไปสิบนาทีได้แล้วมั้ง ไปดูมันหน่อย”
“แกเป็นห่วงมันก็ไปดูเอง” ฉันบอกปัด
ผู้หญิงคนนั้นที่มะเหมี่ยวพูดถึงคือหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เป็นเพื่อนแค่ในนาม แต่ความจริงเราสองคนไม่ต่างอะไรไปจากศัตรู
และใช่ มันคือคนเดียวกันที่โดนรุมทำร้ายในวันนั้นแล้วขอร้องให้ฉันช่วย
แต่ฉันเพิกเฉยไม่สนใจ
...ผ่านมาพักใหญ่ๆ แล้ว
“พวกแกสองคนนี่แบบ...” มะเหมี่ยวมองบนหนึ่งที
“งั้นไปด้วยกัน ฉันว่าจะไปฉี่พอดี” ว่าจบมันก็คว้ามือฉันทันที ก่อนออกแรงมหาศาลลากฉันไปห้องน้ำของคณะโดยไม่ถามกันสักคำว่าอยากไปไหม
มะเหมี่ยวเป็นแบบนี้มานานแล้ว มันรู้ว่าฉันและอีนั่นไม่ถูกกันเลยพยายามทำตัวเป็นคนกลางตั้งใจสมานรอยแผลระหว่างเราสองคน
แน่นอนว่าพยายามร้อยครั้งก็พลาดร้อยครั้ง
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องน้ำ
ฉันพบว่าในห้องน้ำหญิงมีอยู่ห้องหนึ่งประตูปิดสนิท คาดว่าอีนั่นอยู่ด้านใน
“อีแพร! อีดอก ตายแล้วเหรอคะ” มะเหมี่ยวมั่นใจว่าเป็นเพื่อนตัวเองเลยตะโกนเรียก
ใช่ ชื่อของมันคือแพร
แอ้ด...
เมื่อแน่ใจว่าคนเรียกคือมะเหมี่ยว
อีแพรจึงเปิดประตูห้องน้ำออกมา ภาพที่เห็นคือมันนั่งอยู่บนฝาชักโครก
กระโปรงนักศึกษาถูกเลิกขึ้น ใบหน้าอิดโรยมองเราสองคนราวกับคนใกล้ตาย
ฉันหลุบตามองเลือดตามเรียวขาและบนพื้นกระเบื้องสีขาว
“แก ฉันไม่ไหว...” อีแพรนั่งตัวสั่น
สีหน้าดูทรมาน ลักษณะคล้ายคนแท้งด้วยบางสาเหตุ
‘ฮึก...’
ผิดไหมถ้าจะบอกว่าภาพตรงหน้าทำให้ฉันนึกถึงตัวเองในครั้งอดีต
เป็นภาพที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวฉันยิ่งกว่ารอยสัก
รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่นึกถึงมัน ความรู้สึกนั้น...เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่มีทางลืม
“เฮ้ย แกเป็นไรเนี่ย” มะเหมี่ยวเป็นคนแรกที่ถลาเข้าไปดูอาการของอีแพรที่ตอนนี้เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติ
ส่วนฉันยังยืนอยู่ตรงนี้...มองดูสีหน้าเจ็บปวดของมันอย่างเฉยชา
“ฉะ ฉันกินยา แล้วมันก็...” อีแพรสะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นภาษา
แต่เพียงเท่านั้นก็ชัดเจนแล้วว่ามันกินยาชนิดไหนถึงได้มีสภาพแบบนี้ได้
“โอ๊ยอีโง่ ทำอะไรไม่คิด” มะเหมี่ยวด่าฉาดไปหนึ่งที
แต่ถึงปากจะสาดคำที่อาจทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก มันก็ยังเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้
รู้ว่าควรพาคนทรมานใกล้ตายไปหาหมอมากกว่าจะเสียเวลามานั่งสั่งสอน “อีเกล! มาช่วยพยุงหน่อย”
“ฮึก...” เป็นอีแพรที่เคลื่อนสายตามาทางฉัน
สีหน้าของมันแทบจะให้คำตอบทุกอย่าง ฉันมองเห็นการคุกเข่ากราบเท้าเพื่อให้เข้าไปช่วยผ่านนัยน์ตาคู่นั้น
เห็นการละทิ้งศักดิ์ศรีอันน้อยนิดเพียงเพราะไม่อยากให้ตัวเองทรมานจนตายไปซะก่อน
ฉันไม่สนใจ
ต่อให้มันชักดิ้นชักงอตรงหน้า...ฉันก็ไม่แคร์
“จัดการกันเองแล้วกัน ขอตัว”
ฉันทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินจากมาโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไป
‘ทำไมต้องให้คนอื่นคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเลย
ไม่มีปัญญาจัดการชีวิตตัวเองก็อย่าอยู่ให้รกโลกเลยเหอะ’ ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมันเคยพูดกับฉันแบบนี้
และตอนนั้น...ฉันแทบจะไม่มีลมหายใจหลงเหลืออยู่
“หน้าเยิน”
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีฉันก็มาหาขุนที่คอนโดฯ
พอดีเบื่อๆ ไม่อยากกลับบ้าน
เลยตั้งใจว่าจะมานั่งเล่นเกมในห้องหมอนั่นให้หายเซ็งแล้วค่อยกลับ
แต่ทันทีที่ขุนเห็นหน้าฉัน
คำทักทายแรกก็อย่างที่เห็น...
“เยินยังไง?” ฉันเงยหน้าพร้อมขมวดคิ้วอย่างจริงจัง โบกรองพื้นชนิดที่เพื่อนผู้หญิงด้วยกันยังมองไม่ออก แต่ผู้ชายอกสามศอกอย่างหมอนี่กลับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“แก้มมันบวมนิดหน่อย ปกติหน้าเรียว” ขุนที่ขยับเข้ามาใกล้เมื่อไหร่ไม่รู้ทำให้ฉันซึ่งกำลังหงุดหงิดที่ปกปิดร่องรอยได้ไม่ดีพอเกิดการชะงัก
และต้องชะงักกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อขุนยื่นปลายนิ้วแข็งกระด้างมาสัมผัสใต้ขอบตาฉันอย่างแผ่วเบา “ตาก็บวม...”
“ตาฝาดไปเอง” ฉันปัดมือขุนออกแล้วตั้งใจว่าจะเลี่ยงไปอีกทางเพราะไม่อยากให้เวลาที่ยืดเยื้อนี้ทำให้หมอนั่นเห็นร่องรอยน่าสมเพชที่ฉันพยายามปกปิด แต่ไอ้เพื่อนดื้อด้านกลับรวบมือข้างนั้นของฉันไว้...เป็นการรวบที่มีความเถื่อนอยู่เล็กๆ
ทว่าก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก
“ไม่นะ”
ขุนปฏิเสธโดยที่นัยน์ตาคมกริบตรึงไว้เพียงฉัน
บอกเลยนะ ถ้าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ขุน
ถ้าเป็นคนอื่น...ฉันไม่ยอมให้มองด้วยสายตาแบบนี้ ไม่ยอมให้จับมือแบบนี้ ไม่ยอมให้เอาแต่ใจกับฉันแบบนี้
ไม่มีทางแน่ๆ
“เมื่อคืนคงดูซีรีส์หนักไป”
ฉันแก้ตัว “มันเศร้านิดหน่อย”
“อย่างเธอดูซีรีส์เศร้าๆ?”
ขุนหรี่ตาคล้ายว่าอ่านออกหมดทุกอย่าง ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาหรอก
ผู้ชายคนนี้ช่างสังเกต บางครั้งเขามองเห็นถึงบาดแผลในจิตใจฉันด้วยซ้ำ “อย่าโกหกเลยเกล
เธอร้องไห้มาแน่ๆ”
“ฉันเป็นใคร?” ฉันเริ่มหงุดหงิด
“เป็นยัยเกลใจร้าย” ขุนให้คำตอบ “แต่สำหรับฉันเธอเป็นเด็กน้อย”
ว่าแล้วมือหนาก็เปลี่ยนมาวางไว้เหนือศีรษะ ออกแรงเล็กน้อยคล้ายการลูบไล้
น้ำหนักหนึ่งในสี่ส่วนทำให้ฉันต้องย่นคิ้วด้วยความรำคาญ
ปฏิกิริยานั้นทำให้ขุนยอมละมือออกแล้วเดินหายเข้าไปในครัว
ฉันไม่ได้สงสัยอะไรในตัวเขามากอยู่แล้วจึงเดินไปนั่งบนโซฟาสีดำสนิทในส่วนของห้องนั่งเล่น
ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีร่างสูงในชุดสบายๆ ก็กลับมาพร้อมขนมขบเคี้ยวมากมาย
ขุนนำมันมากองไว้บนโต๊ะทรงเตี้ยด้านหน้าฉัน
กะจากสายตาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบอย่าง
“อะไร” แน่นอนว่านั่นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม
“เอามาให้ ของหวานทำให้อารมณ์ดี” และคำตอบของเขาก็ทำให้ความสงสัยถูกไขกระจ่าง
แต่...
“ฉันไดเอต”
“น้ำหนัก 45 ยังจะไดเอต”
ขุนขมวดคิ้ว สีหน้าท่าทางของเขาทำให้มุมปากฉันยกขึ้นเล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น “ยิ้มอะไร
ฉันดุเธออยู่นะ” ทว่าเขากลับมองเห็นมัน...
น่ารำคาญจริง
End Describe
Khun Describe
เกลหลับตอนไหนไม่รู้
เธอซบผมไหล่ผมอยู่ ท่าทางเหน็ดเหนื่อย
เพื่อน...เธอจะเหนื่อยเเล้วพักที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้ เเต่ต้องไม่หายใจรดซอกคอกันแบบนี้
เพื่อน...ได้ยินไหม?
ผมเหลือบมองเกลที่อ่อนล้าเกินกว่าจะส่งเสียงปลุก
และด้วยความที่ระยะระหว่างเรามีไม่มากนักทำให้ปลายจมูกผมเฉียดหน้าผากเธออย่างหมิ่นเหม่
รู้สึกว่า...ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ถ้าหากยังปล่อยไว้แบบนี้
สวบ...
จังหวะที่ผมครุ่นคิดว่าจะปล่อยให้เกลซบแบบนี้ต่อไปหรือจะอุ้มแล้วพาไปนอนบนเตียงดีๆ
ยัยคนร้ายกาจก็ขยับตัวเล็กน้อย...เป็นการขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดจนแทบจะไร้ช่องว่างระหว่างกัน
เพื่อนคนนี้ไว้ใจในตัวผมมากกว่าทุกๆ คนรอบตัวเธอ
เพราะไว้ใจ ถึงกล้ามาหาผมถึงคอนโดฯ
เพราะไว้ใจ ถึงกล้าแสดงด้านที่เหนื่อยล้าออกมา
แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม
เพราะไว้ใจ ถึงกล้าหลับปุ๋ยอยู่ในพื้นที่ของผม
เพราะไว้ใจ ถึงกล้าที่จะซบไหล่ผม
ให้ผมเป็นอีกหนึ่งที่พึ่งพิงสำหรับเธอ
ทุกอย่างเพราะความไว้ใจ
“เกล เมื่อย” ผมถอนหายใจเมื่อคิดถึงความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่พยุงความสัมพันธ์ของเราได้จนทุกวันนี้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างสะกิดเกลเบาๆ ทว่าเธอกลับขมวดคิ้ว ทำเสียงฮึดฮัดราวกับไม่พอใจที่มีคนรบกวนเวลาอันมีค่า
รองพื้นเปื้อนเสื้อผมหมดแล้ว...
ดูท่าจะโบกมาหนาพอสมควร
คงไม่อยากให้ใครเห็นรอยช้ำบนแก้มรวมถึงความบวมของดวงตาที่ดูก็รู้ว่าคงผ่านเรื่องแย่ๆ
มาในตอนเช้า
เกลผ่านอะไรร้ายๆ มาเยอะ
เธอควรเจออะไรดีๆ ในชีวิตบ้าง
แต่จนปัจจุบันเธอก็ยังต้องมาแอบนั่งเสียใจและคอยปกปิดบาดแผลในความรู้สึกอยู่เสมอ
เป็นแบบนี้ทุกทีเลย
“...” หลังจากแสดงอาการหงุดหงิดออกมาทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่
เจ้าตัวก็นิ่งสนิทอีกครั้งในท่วงท่าเดิม
ยังคงซบผมเหมือนเดิม หายใจรดซอกคอกันเหมือนเดิม
ได้...
จะทนอีกหน่อยก็ได้
End Describe
Gale Describe
ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าค่ำมากๆ แล้ว
เป็นการงีบที่ยาวนานที่สุดเลยมั้งตั้งแต่จำความได้
ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันยังหลับในลักษณะของการซบไหล่ขุนด้วย
“...” ฉันนั่งตั้งสติครู่หนึ่งก่อนจะมองเจ้าของไหล่หนาที่ฉันทั้งพิงทั้งซบมาหลายชั่วโมง
มีคราบรองพื้นเลอะอยู่จำนวนหนึ่ง แถมบริเวณนั้นยังมีรอยแดงๆ
เพราะถูกกดทับเป็นเวลานานอีกด้วย
ทำไมไม่ปลุก
ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาต้องเมื่อย
ฉันขมวดคิ้วและเคลื่อนสายตาขึ้นไป
จนพบว่าตอนนี้ขุนนั่งคอพับและหลับสนิท ท่อนแขนข้างขวาโอบไหล่ฉันอยู่...
ครืดๆ
ฉันต้องละความสนใจจากเพื่อนตัวยักษ์เมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายส่งสัญญาณเตือน
ครั้นล้วงขึ้นมาดูก็พบว่ามีคนส่งไลน์มา
Pah :: คิดถึงจัง
Pah :: เช็กจากเบอร์...เธออยู่แถวสุขุมวิทเหรอ ทำไรแถวนั้น?
Me :: มาทำธุระ
ฉันตอบสั้นๆ โดยเลี่ยงการอธิบายที่ยาวยืด
Pah :: ฉันอยู่แถวๆ นี้พอดี เจอกันหน่อยไหม
สองนาทีก็ได้
ฉันอ่านข้อความถัดมาแล้วแน่นิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง
และก็เป็นเวลาไล่เลี่ยกันที่ขุนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขามองหลังจากลืมตาคือฉันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
เขา
“ตื่นตอนไหน ทำไมไม่ปลุก”
“เพิ่งตื่นเมื่อกี้” ฉันให้คำตอบ “เดี๋ยวกลับแล้ว”
ว่าจบก็หยัดตัวขึ้น ไม่ลืมจัดผมจัดเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง
แต่จังหวะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านร่างสูงที่นั่งทำหน้างงอยู่บนโซฟา
ชายกระโปรงทรงเอก็ถูกคว้าไว้โดยเจ้าของห้อง เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าขุนกำลังทำตาปริบๆ
ขัดกับภาพลักษณ์เหมือนอยากให้ฉันอยู่ต่ออีกหน่อย
“ยังไม่ได้เล่นเกม” จริงสินะ...
ก่อนมาที่นี่ฉันโทรคุยกับเขา บอกว่าจะขอเล่นเกมแก้เซ็งสักหน่อย
แต่เอาเข้าจริงกลับมานั่งหลับอยู่ในคอนโดฯ เขาตั้งนานสองนาน รู้ตัวอีกทีก็ค่ำมากแล้ว
“ว่างๆ เดี๋ยวมาใหม่”
ฉันถอนหายใจหลังพูดจบเมื่อพบว่ามือข้างนั้นยังคงรั้งชายกระโปรงฉันไว้เช่นเดิม
“ว่างของเธอคงปีหน้า” ขุนทำหน้าเซ็งจัด เขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่จะอยากทำอะไรไร้สาระเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ
คำว่าอยากมาเล่นเกมแก้เซ็งของฉัน...อย่างมากคือเล่นแค่ตาสองตาเดี๋ยวก็เบื่อ อะไรที่เขาว่าดี ไม่เคยใช้ได้ผลกับฉันเลย
“อย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลย” ฉันถอนหายใจอีกครั้ง
ขุนชอบบอกว่าฉันเป็นเด็กน้อย แต่เขาไม่รู้ตัวเลยสินะว่าตัวเองไม่ต่างอะไรไปจากเด็กสามขวบเวลาอยู่กับฉัน
“เออ” ขุนยอมปล่อยมือออกจากชายกระโปรงแต่โดยดี
ไม่ลืมลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินนำหน้าไปตรงประตูห้อง
ทำไมต้องไปส่ง
ระหว่างทางไม่มีผีที่ไหนมาหลอกฉันหรอก
ทำตัวน่าโมโหจริงๆ “กลับดีๆ ถึงแล้วหยอดมา”
“อืม” ฉันพยักหน้าเนือยๆ พร้อมทั้งเดินออกมาจากห้องสุดหรูของหมอนั่น
“เกล หยุดก่อน” ทว่าก้าวเท้าจากมาเพียงไม่กี่ก้าว
เสียงทุ้มกังวานที่เพิ่มระดับความเข้มข้นจริงจังก็ทั้งฉุดทั้งรั้งให้ฉันหยุดฝีเท้าไว้
“หืม?” เมื่อเอี้ยวหน้ากลับไปมองจึงพบว่าระยะห่างระหว่างเรามีประมาณสามเมตรเห็นจะได้
ขุนยืนอยู่ตรงกรอบประตู สายตาของเขามีบางอย่างซุกซ่อนไว้ แต่ฉันไม่ได้พยายามจะอ่านมันสักเท่าไหร่
“ถ้าทนไม่ไหวจะให้ไปรับก็ได้นะ”
“...”
“ห้องฉันกว้าง เธอนอนได้”
“ขอบใจ” ฉันเอ่ยขอบคุณสั้นๆ แล้วเดินจากมาทันที
ไม่รู้สึกแปลกใจกับความเอาใจใส่ที่ขุนมีให้
เพราะเขาทำแบบนี้กับฉันนานแล้ว เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย น้องชาย และคนที่คอยบรรเทาความเจ็บปวดในใจฉัน
ถึงแม้บางครั้งการกระทำของเขาจะแปลกจนอดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ก็ตาม
Me :: ส่งโลเคชันมา
เมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว ฉันจัดการส่งไลน์ไปหาผาอีกครั้ง
ซึ่งเขาก็ส่งโลเคชันมาให้ฉันทันทีคล้ายว่ารออยู่นานแล้ว
เมื่อตรวจสอบเส้นทางแล้วพบว่าไม่ได้อยู่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่
ฉันจึงสตาร์ตรถทันที ตั้งใจว่าจะอยู่คุยกับผาแค่สอง-สามนาทีตามที่เขาขอ เนื่องจากตอนนี้ค่ำมากแล้ว
อีกทั้งฝนยังตกหนัก...
ทว่าเมื่อรถเคลื่อนตัวมาบนถนนเส้นใหญ่ที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยฝน
ฉันเริ่มสัมผัสได้ว่าล้อรถมันแกว่งและควบคุมยากกว่าที่ควรจะเป็น
สติสตังที่ยังอยู่ครบถ้วนสั่งให้ฉันหาที่จอดเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนเดินทาง
หากแต่ความโชคร้ายมันกลับไม่ได้จบลงตรงนั้น...เมื่อตัวเบรกเองก็ควบคุมไม่ได้
ฉันเบรกรถไม่ได้...
“เวรเอ๊ย...” ฉันสบถอย่างหัวเสียเมื่อล้อรถส่ายไปมาอย่างเสียการควบคุมในตอนที่ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
เลวร้ายไปกว่านั้นคืออีกไม่กี่เมตรข้างหน้าเป็นสี่แยกไฟแดง
สัญญาณเตือนให้รถหยุด...แต่เบรกในมือกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี
ปรี๊น!
หูฉันอื้อเมื่อได้ยินเสียงแตรรถจากทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
หัวใจฉันบีบรัดจนแน่นไปหมดทั้งอกเมื่อถึงจุดที่ควรจอดแล้วแต่รถยังคงไหลไปข้างหน้า
ซึ่งตรงนั้น...มีทั้งนักเรียน นักศึกษา คนแก่ และบางคนที่จูงหมาข้ามไปอีกฟากผ่านทางม้าลาย
ฉันต้องเบรก แต่เบรกไม่ได้
ทำไม่ได้
ปรี๊ด!!!
เอี๊ยด...
---
MA-NELL'S ZONE
เชื่อใจเราเถอะนะ 555555555
เม้นต์ๆ ด้วยเด้อ ขยันอัปจนเหนื่อยเเล้ว กร๊ากก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น