-- Hidden
Content partคำบอกกล่าวที่ฟังยังไงก็รับรู้ได้ถึงความขยะแขยงทำให้ฉันมือสั่นไม่ได้สั่นเพราะกลัว ไม่ได้สั่นเพราะเสียใจ
แต่สั่นเพราะ...
“แล้วใครใช้ให้นายอุ้มฉันออกมา”
ฉันถามอย่างมีน้ำโห และคำถามนั้นทำให้ฉันเห็นบางอย่างจากแววตาเขา แต่มันกลับปรากฏออกมาเพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น
ก่อนจะเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย “ฉันขอนายเหรอเอย์”
“ไม่ได้ขอ” เอย์ตอบทันที “แล้วฉันต้องทำไง”
“...”
“ต้องปล่อยเธอไว้คนเดียวเหมือนที่เธอทำกับฉันเมื่อเดือนก่อนเหรอ?”
คำพูดของเอย์แฝงไปด้วยความโกรธ ความเสียใจ
ความเจ็บปวดในแบบที่ฉันเองก็สามารถรับรู้ได้
ฉันจ้องหน้าเขา เหมือนจะเห็นหยาดน้ำตาคลอหน่วย
แต่...ฤทธิ์แอลกอฮอล์มีส่วนที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น ดื่มมากๆ ตาก็แดงก่ำได้เหมือนกัน
“แค้นนักทำไมไม่ทำ” ฉันถามเสียงเรียบ ข่มความรู้สึกบางชนิดไว้ใต้ขั้วหัวใจ...
“ถ้าฉันทำจริงเธอทนไม่ได้หรอก”
“...”
“ฉันเจ็บ แต่คนที่เจ็บกว่ามันคือเธอ
น่าจะรู้ตัวดี”
หึ เขาจะไปรู้อะไร
Aey Describe
ผมตื่นขึ้นมาในห้องๆ
หนึ่งแล้วพบว่าตัวเองนอนเปลือยอยู่บนเตียงกับผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกตามตรงว่าคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
เธอเปลือยเหมือนผม...
รอยช้ำเต็มตัว
มุมปากปริ่มเลือด
เกล...?
“เหี้ย” ผมสบถออกมาอย่างลืมตัวเมื่อพบว่าเกลหลับสนิทอยู่ข้างๆ
พร้อมลักฐานซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น
ยิ่งเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องแล้วเจอกับเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้
หัวใจผมยิ่งกระตุกวูบ...
เมื่อคืนผมเจอเกลที่แอลกอฮอล์
ผมคุยกับเธออย่างดุเดือด และเพราะความโมโห...หลังแยกกับเธอผมก็ดื่มต่ออีก
ผมว่าผมคงเมามาก นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย
ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนอื่นยังพอทน
แต่นี่ดัน...เป็นเกล
ผมเก็บความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นกลางอกไว้เงียบๆ
ก่อนจะสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างราวๆ ห้านาที
มีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือผมพบเศษกระจกที่แตกกระจายอยู่ข้างๆ
ประตูห้องราวกับเกิดสงครามขนาดย่อมในช่วงเวลาที่ผมไร้สติ
กระจกแตกขนาดนี้ เรา...รุนแรงกันขนาดไหน?“ทำอะไรของนาย!” ฉันผลักเขาออกอย่างรุนแรง
และไม่ลืมถามอย่างโมโหแต่ผลักเขาออกด้วยความรุนแรงระดับไหนก็ไร้ประโยชน์
ในเมื่อห้องน้ำที่นี่ค่อนข้างคับแคบ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ที่ๆ คนสองคนจะมายืนอัดกันได้เป็นเวลานาน
ดังนั้น...อยากให้เขาถอยไปไกลแค่ไหน สุดท้ายเราก็ยังอยู่ใกล้มากอยู่ดี
“ไล่แล้วไม่ไป นึกว่าอยากเข้ามาด้วย”
เอย์ตอบด้วยสีหน้าตายด้าน
ก่อนจะก้มหน้าเตรียมรูดซิปกางเกงโดยที่ฉันยังยืนหงุดหงิดอยู่ตรงนี้
เหมือนเขาจะมึนๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์นิดหน่อย
“เอย์” นั่นทำให้ฉันต้องเรียกชื่อเขา
“มีอะไรว่ามา” เอย์เหมือนจะฟังฉัน
แต่ขณะเดียวกันก็พยายามจะจัดการธุระส่วนตัวไปด้วย
ปกติเขาจะไม่ทำอะไรแบบนี้ เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเมานิดๆ...
“ฉันไม่ได้อยากเข้ามา นายกระชากฉันเข้ามาเอง”
ฉันมองหน้าเขา
“อืม” เอย์พยักหน้าเนือยๆ “ดูเธอเซ้าซี้ก็เลยพาเข้ามา”
“ฉันไม่ได้เซ้าซี้ อย่าสำคัญตัวผิด”
ความหงุดหงิดในก่อนหน้าที่ว่ามากแล้ว พอเจอประโยคล่าสุดของเขาเข้าไป
ปริมาณก็เพิ่มขึ้นจนฉันต้องสวนกลับอย่างไม่ลังเล
นั่นทำให้เอย์ที่ก้มหน้าในตอนแรกต้องเงยหน้าขึ้น
นัยน์ตาคมกล้าสงบนิ่งเอามากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความดุดันในแบบที่ไม่สามารถเห็นได้บ่อยๆ
“แล้วเสนอหน้ามาทำไม”
น้ำเสียงในคราวนี้ของเอย์เย็นเยียบ มันมาพร้อมกับระยะห่างที่ลดลง... “ไม่เซ้าซี้แล้วโผล่หัวมาให้เห็นทำไม?”
“แล้วคิดว่าฉันอยากมาหานายนักเหรอ” ฉันถามกลับ
จ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว
ไม่ได้อยากมาทะเลาะ
เพราะฉันเองก็คิดว่ามันเสียเวลา
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการคุยกันดีๆ ระหว่างเราสองคนถือเป็นเรื่องยากมาก
“แล้วเธอเป็นใคร”
“...”
“คนที่เดินตามต้อยๆ ฉันเมื่อกี้เป็นใคร?”
เอย์เหมือนจะสมเพชฉันกรายๆ
“ฉันเดินตามนายเอง” ฉันยอมรับ “แต่ฉันทำเพราะอยากได้โทรศัพท์คืน
ได้ยินไหมเอย์” เกลียดจริงๆ พวกเข้าข้างตัวเอง เขาคิดว่าสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง
“ทำไมต้องมาเอาคืน” เอย์ทำหน้าสงสัยนิดหน่อย “คิดว่าฉันเอาของเธอไปเหรอ”
“...” และตอนนี้กลับกลายเป็นฉันเองที่สงสัย
หมายความว่า...โทรศัพท์ของฉันไม่ได้อยู่ที่เขา?
แล้วมันอยู่ที่ใคร?
“แค่อุ้มเธอออกมาจากลิฟต์เพราะความเวทนาก็เต็มกลืน...”วูบนั้นฉันเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขา
จนพบว่าเจ้าของใบหน้าเรียบตึงกำลังมองฉันอยู่เช่นกัน สายตาคู่นั้นคล้ายกับจะตำหนิฉันอยู่หน่อยๆ
และบางทีอาจกำลังด่าทอกันอย่างรุนแรงในใจก็ได้“อย่ามาแตะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพยายามผลักเอย์ออกไป
แต่เขาเหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ถึงไม่มีท่าทีใดๆ ต่อคำบอกกล่าวของฉันเลย
และถ้าไม่ได้คิดไปเอง
ฉันรับรู้ได้นิดหน่อยว่าอ้อมกอดนั้นแนบแน่นกว่าเดิมพอประมาณ
แต่ไม่ได้อึดอัดจนหายไม่ออก เหมือนเอย์ต้องการประคองไม่ให้ฉันล้มมากกว่า
การกลับมาเจอกันอีกครั้งของเราไม่ควรเป็นแบบนี้
ฉันไม่อยากคุยกับเขา
ไม่อยากเห็นหน้าเขา แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก
เพราะทุกครั้งที่ฉันภาวนาให้เขาหายไปจากชีวิต เขายิ่งเข้ามามีบทบาทต่อสภาพอารมณ์และความรู้สึกฉันมากขึ้น
ชาติที่แล้วทำบาปร่วมกันมาหรือไง
ให้ตาย...
“...” เอย์ไม่พูดอะไรแต่ยังคงตระกองร่างฉันไว้
ส่วนฉันเองก็ยังพยายามต่อต้านและผลักไสเขาออกทุกครั้งที่มีโอกาส
ไม่มีอะไรเป็นใจสักอย่าง สารรูปไม่เอื้ออำนวย
หายใจแทบไม่ออก ยืนก็แทบจะไม่ไหว
ถ้ายังไม่มีใครมาช่วย
อาการฉันอาจหนักกว่านี้ก็ได้
ความกลัวที่ขยายเป็นวงกว้างภายในจิตใจเริ่มทำให้ฉันวิตกกังวล
เป็นความรู้สึกชนิดเดียวกับตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กแล้วเผชิญกับอาการเหล่านี้
ฉันจำมันได้ดี
และมันกลับมาเล่นงานฉันอีกครั้งในรอบหลายปี
ฉันกลืนน้ำลายถี่ขึ้น
เริ่มไม่ไหวที่จะฝืนตัวเองแล้ว แต่ปากมันหนักอึ้ง...ไม่อยากพูดอะไรออกไปให้ผู้ชายคนนี้ได้ยิน
จนกระทั่งฉันไม่สามารถมองเห็นอะไรอีกเลยนอกจากความมืด
กับเสียงทุ้มคุ้นหูที่ดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้ายว่า “พี่เกล...”
ฉันตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องห้องหนึ่ง
พิจารณาจากภาพรวมแล้วคงเป็นห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็โรงพยาบาลใกล้ๆ นี้
ฉันตั้งสติแล้วทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น
จนกระทั่งได้คำตอบในเวลาต่อมาว่าก่อนหน้านี้ตัวเองติดอยู่ในลิฟต์กับเอย์
ฉันหายใจไม่ออก อึดอัด
ความรู้สึกทรมานที่อธิบายไม่ได้ทำให้หมดสติไป สุดท้ายก็มาฟื้นที่นี่ ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว
“ฟื้นละแล้วเหรออีเกล!”
เสียงแหลมจนแสบหูทำให้ฉันต้องเคลื่อนสายตากลับไปมอง เป็นมะเหมี่ยวเพื่อนฉันเอง “สลบนานมากค่ะ
นึกว่าตาย”
นั่นปาก?
“...” ฉันไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยกมือคลึงศีรษะตัวเองเนื่องจากยังรู้สึกมึนๆ
อยู่
“รู้ไหม
ฉากที่น้องเอย์อุ้มแกออกมาจากลิฟต์อ่ะ เท่ระเบิดระเบ้อไปเลย”
“...”
ฉันชะงักเมื่อได้ยินชื่อใครบางคน
“ฉันล่ะปวดใจจริงๆ
ที่แกเอาแต่ว่าน้อง ฉันก็เห็นน้องเขาดูเป็นห่วงแกดีนะ” มะเหมี่ยวยังไม่หยุดพูด พอรู้อยู่ว่ามันติ่งเอย์
การมองเขาในแง่ดีของมันเป็นสิ่งที่ฉันไม่ควรแปลกใจด้วยซ้ำ “ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นน้องชายแก
ฉันคิดว่าเอย์คงเป็นผัวที่รักเมียมาก กลัวเมียตายอะไรทำนองนี้ไปซะแล้ว” จริงๆ ตึกนี้มีปัญหาลิฟต์เสียบ่อยมาก
แต่บางทีปัญหามันก็มาจากระบบไฟที่ไม่ได้เรื่อง และครั้งนี้...เห็นได้ชัดเจนว่าสาเหตุมาจากไฟที่ดับลงอย่างกะทันหันนับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่ในนี้ไม่ได้มืดมากจนมองอะไรไม่เห็น
แต่เรื่องโชคร้ายคือเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันมองเห็นตัวเองในวัยเด็กซึ่งตอนนั้นฉันมีอาการแพนิกขั้นรุนแรงจนต้องทำการรักษา
ฉันเคยกลัวที่แคบ
ซึ่งนั่นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่
แต่ต่อมาเหตุการณ์ลิฟต์เสียก็ทำให้ฉันกลายเป็นคนกลัวการขึ้นลิฟต์ ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเป็นปกติอย่างทุกวันนี้ได้
แล้วดู...
ทำไมฉันต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์บัดซบที่สุดพร้อมๆ
กับผู้ชายคนนั้นด้วย
ตลกมาก บ้ามาก งี่เง่าจริงๆ
ไร้การเคลื่อนไหวของลิฟต์ ความมืดก็ยังห้อมล้อมเราไว้เช่นเดิม
และใช่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว มันเหมือนว่าเราต่างอยู่ในโลกของตัวเอง
แล้วจะทำยังไง
เวลาอยู่ในลิฟต์
สัญญาณมือถือจะไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้นจะติดต่อให้ใครมาช่วยก็เป็นทางเลือกที่โง่บรมเอามากๆ
อีกอย่างนะ
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ลมหายใจฉันยิ่งติดขัด ความกลัวในครั้งอดีตค่อยๆ
แทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกฉันทีละนิด ทีละนิด
จนสุดท้ายก็ต้องเอาหลังพิงลิฟต์อย่างไม่มีทางเลือก
มั่นใจว่าต้องมีเจ้าหน้าที่มาช่วย
แต่ถ้าช้าเกินไป...ฉันอาจช็อกได้
“ปลดกระดุมออก” และแล้วความเงียบทั้งหมดก็ถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มของเอย์
มันดังมาจากตรงนั้นในคราวแรก และเวลาต่อมาเขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน
“...” ฉันเงียบและมองหน้าเขา
พรึ่บ
กระทั่งเอย์ยื่นมือมากระชากกระดุมเสื้อนักศึกษาออกไปสามเม็ด
ฉันถึงได้ผลักเขาออกอย่างรุนแรง “ใครให้นายมายุ่ง”
ฉันถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนแรงขนาดนี้
คงเพราะอากาศมันไม่ถ่ายเท
พัดลมระบายอากาศภายในลิฟต์ก็เหมือนจะไม่ทำงานแล้วด้วย
เอย์ยังคงแข็งแรงและทนทานกับทุกสถานการณ์
มีเพียงฉันที่เริ่มหน้ามืด ประคองตัวเองไว้แทบไม่อยู่แล้ว
เอย์ไม่ได้ตวาดหรือทำอะไรที่รุนแรงกลับมา
เขาใช้เพียงสายตาเย็นชาที่ราวกับจะสื่อกรายๆ ว่า ‘ถ้าอยากตายก็ตามใจ’
ใช่ ฉันรู้ว่าเวลาเราหายใจไม่ออก
ให้รีบคลายชุดที่สวมทันที ทำยังไงก็ได้ให้หายใจได้สะดวกที่สุด
และเอย์เองคงบังเอิญเห็นท่าทีน่าสมเพชของฉันเข้า
วูบ หมับ...
จังหวะที่ฉันเซเพราะเริ่มยืนไม่ไหว
สมองมันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองอาจจะล้มลงไปกองกับพื้นแน่ แต่เปล่าเลย
เอย์โอบฉันไว้ได้ทัน
เขากอดฉัน...ก่อนจะมีเสียงหงุดหงิดดังขึ้นข้างหูว่า
“...โง่เอ๊ย”“นอนน้อยหรือไง”
เสียงทักของขุนในเช้าของวันต่อมาทำให้ฉันที่กำลังคิดอะไรเงียบๆ
ต้องตวัดสายตากลับไปมองเขาอย่างเคืองๆ “เมื่อคืนกลับกี่โมง?”แต่เพราะฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรมากไปกว่ามองค้อนแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก
ขุนจึงเปลี่ยนมาถามอีกเรื่อง
“ดึกอยู่” ฉันตอบ
ก่อนจะได้สายตาตำหนิเล็กๆ กลับมาจากขุนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เรื่องของเรื่องคือเมื่อวานเขาไม่อยู่คอนโดฯ
เพราะต้องไปทำธุระสำคัญที่บ้าน กอปรกับการที่ฉันเบื่อๆ ด้วย เลยเปลี่ยนชุดแล้วไปนั่งดื่มแก้เซ็งที่แอลกอฮอล์คนเดียว
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก ฉันไปไหนมาไหนคนเดียวบ่อยมาก
เป็นความเคยชินน่ะ
“กี่โมง” ขุนยังไม่หยุดถาม
นับวันยิ่งเหมือนพ่อเข้าไปทุกที
รำคาญอยู่เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่าหมอนั่นเป็นห่วงถึงได้ซักไซ้จนเกินจำเป็น
ยังพอเข้าใจได้ แต่อดหงุดหงิดไม่ได้จริงๆ
“น่าจะเกือบๆ ตีสาม” ฉันตอบอีก
และคำตอบนั้นทำให้ขุนถอนหายใจออกมาเหมือนเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของฉันอยู่ไม่น้อย
“ถ้าจะกลับดึก ทีหลังให้ฉันไปด้วย”
“เมื่อวานนายไม่อยู่เองไหม?”
“ถ้ารั้งให้อยู่...ฉันก็พร้อมจะอยู่นะ
คราวหลังพูดออกมาเลย”
ฉันชะงักเล็กน้อยกับคำตอบที่ฟังแล้วส่งผลบางอย่างต่อหัวใจ
แต่ไม่นานนักฉันก็เอาทรายมากลบทับความรู้สึกส่วนนั้นไว้อย่างแนบแน่น
“ไปเรียนแล้ว”
ก่อนเรื่องในเช้าวันนี้จะจบตรงที่ฉันคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาจากคอนโดฯ
เขา มีเสียงคุ้นหูแว่วตามหลังมา มั่นใจว่าเป็นเสียงของขุน แต่ฉันฟังไม่ถนัด
ส่วนหนึ่งเพราะใกล้ได้เวลาเรียนแล้วฉันจึงไม่ได้สนใจตรงจุดนั้นสักเท่าไหร่
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงมหาวิทยาลัย
แต่เรื่องน่าปวดหัวคือวันนี้มีแข่งวอลเล่บอลที่ชั้นสี่ของตึกซึ่งเป็นโรงยิมประจำมหาวิทยาลัย
ทำให้มีคนยืนออหน้าลิฟต์กันเต็มไปหมด
ด้วยความที่เป็นคนขี้รำคาญ
ฉันเลยยอมเสียเวลายืนรอจนกว่าจำนวนนักศึกษาจะซาพอที่ตัวเองจะไม่รู้สึกอึดอัดเวลาเข้าไปยืนด้านใน
แต่ก็อย่างว่า ถ้ารอนานเกินไปจนเข้าเรียนสายมันก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง
ดังนั้นเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ฉันจึงต้องพาตัวเองเข้าไปในลิฟต์ทั้งที่คนยังแน่นขนัดแบบนี้
ผ่านไปไม่นานคนก็ทยอยลงจนเหลือฉันกับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่มุมลิฟต์
ฉันถอนหายใจออกมา
ยกมือเสยผมระบายความร้อนจากสถานการณ์เมื่อกี้เงียบๆ
เสียงลมหายใจของนักศึกษาผู้ชายคนนั้นทำให้ฉันที่ไม่ได้อยากจะสนใจตั้งแต่แรกต้องเคลื่อนสายตากลับไปมอง
และนั่นทำให้ฉันแน่นิ่งไป
เอย์...
ผู้ชายคนนั้นคือเอย์ เขายืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างที่ชอบทำ
การแต่งตัวไร้ระเบียบเหมือนเดิม นัยน์ตาคมกริบไม่ได้มองมาที่ฉัน
เขาจ้องมองตัวเลขของลิฟต์เหมือนพยายามจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
กึก!
แล้วเรื่องเฮงซวยมันก็ไม่ได้จบที่ตรงนั้น
เพราะไม่กี่วินาทีให้หลัง
ลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างปกติก็เกิดกระตุกและหยุดทำงานในที่สุด
ลิฟต์เสีย?
แล้วทำไมต้องมาเสียตอนที่ฉันอยู่ในนี้กับเอย์สองคนด้วย
...น่าหงุดหงิดฉันเห็นเอย์ที่แอลกอฮอล์...เป็นครั้งแรกในรอบกี่วัน กี่อาทิตย์
หรือกี่เดือนไม่รู้ที่ได้เจอเขาอีกครั้ง ฉันยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้อยู่
มันเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางอกฉัน มันเสียดลึก มันตกใจ และรู้สึกแปลกประหลาดในคราวเดียว
ฉันเข้าใจว่าเอย์ตายแล้วมาตั้งแต่วันนั้น
แต่ว่าวันนี้...เขากลับยืนอยู่ตรงหน้า
จ้องฉันอย่างเฉยชา มองมาด้วยแววตาดำมืด
แล้วเขาก็เดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เอย์ยังไม่ตาย เขายังอยู่ดี
แต่เขาไม่ได้กลับบ้าน ไม่ค่อยได้ไปเรียน และไม่โผล่มาให้เห็น
นั่นอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ฉันไม่ได้เจอเขาเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น
ข่าวการตายของผู้ชายคนที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงเขาเป็นอย่างมากคงเป็นเรื่องบังเอิญ
ฉันไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ
จนกระทั่งวันนี้...
แล้วมันตลกร้ายตรงไหนรู้ไหม?
ในวันเดียวกันฉันเจอเขาถึงสองครั้งสองครา
ครั้งแรกที่ห้องน้ำ ครั้งที่สองตอนที่ฉันกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งพูดจาแทะโลมและพยายามจะลากไปไหนสักที่ด้วยกัน
ฉันมองเห็นเขาจากที่ไกลๆ ในสถานการณ์คับขัน
ไม่ได้ทำตัวน่าสงสาร ไม่ได้เรียกร้อง แต่ดินเพื่อนเขาดูท่าจะเป็นเดือดเป็นร้อนถึงเรียกให้เอย์มาดูฉัน
คงคิดว่าเอย์จะปรี่เข้ามาช่วยฉันล่ะสิ
แต่ไม่เลย
เขาเฝ้ามองฉันจากตรงนั้นราวกับมองเศษใบไม้แห้งๆ ใบหนึ่ง จนเมื่อมันตกลงบนพื้น ความสนใจทั้งหมดก็ถูกกระชากทิ้งไป
สุดท้าย เหตุการณ์มันก็จบลงตรงที่เขาไม่ใยดีฉัน
เพิกเฉยและเย็นชา ส่วนฉัน นับว่าโชคดีที่ตำรวจผ่านมาเห็นเลยปลอดภัย
ฉันหงุดหงิดตัวเองตรงที่ไม่สามารถหยุดคิดเรื่องนี้ได้ทั้งๆ
ที่กลับมาถึงคอนโดฯ ขุนแล้ว
ทั้งๆ ที่ทิ้งตัวนอนบนเตียงแล้วแท้ๆ
คนที่เราคิดว่าตายไปแล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
เป็นใครก็คงช็อก
แต่เอาเถอะ...
ฉันสลัดเรื่องน่ารำคาญออกจากหัวแล้วข่มตาหลับ
‘เอย์สัญญาว่าจะไม่ทำให้เกลเจ็บปวด’
‘พูดจริงๆ นะ...’
‘จริงสิ’
ทว่ากระทั่งในความฝัน
ผู้ชายคนนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอนกันไม่จบไม่สิ้นฉันเห็นเอย์ที่แอลกอฮอล์...เป็นครั้งแรกในรอบกี่วัน กี่อาทิตย์
หรือกี่เดือนไม่รู้ที่ได้เจอเขาอีกครั้ง ฉันยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้อยู่
มันเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางอกฉัน มันเสียดลึก มันตกใจ และรู้สึกแปลกประหลาดในคราวเดียว
ฉันเข้าใจว่าเอย์ตายแล้วมาตั้งแต่วันนั้น
แต่ว่าวันนี้...เขากลับยืนอยู่ตรงหน้า
จ้องฉันอย่างเฉยชา มองมาด้วยแววตาดำมืด
แล้วเขาก็เดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เอย์ยังไม่ตาย เขายังอยู่ดี
แต่เขาไม่ได้กลับบ้าน ไม่ค่อยได้ไปเรียน และไม่โผล่มาให้เห็น
นั่นอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ฉันไม่ได้เจอเขาเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น
ข่าวการตายของผู้ชายคนที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงเขาเป็นอย่างมากคงเป็นเรื่องบังเอิญ
ฉันไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ
จนกระทั่งวันนี้...
แล้วมันตลกร้ายตรงไหนรู้ไหม?
ในวันเดียวกันฉันเจอเขาถึงสองครั้งสองครา
ครั้งแรกที่ห้องน้ำ ครั้งที่สองตอนที่ฉันกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งพูดจาแทะโลมและพยายามจะลากไปไหนสักที่ด้วยกัน
ฉันมองเห็นเขาจากที่ไกลๆ ในสถานการณ์คับขัน
ไม่ได้ทำตัวน่าสงสาร ไม่ได้เรียกร้อง แต่ดินเพื่อนเขาดูท่าจะเป็นเดือดเป็นร้อนถึงเรียกให้เอย์มาดูฉัน
คงคิดว่าเอย์จะปรี่เข้ามาช่วยฉันล่ะสิ
แต่ไม่เลย
เขาเฝ้ามองฉันจากตรงนั้นราวกับมองเศษใบไม้แห้งๆ ใบหนึ่ง จนเมื่อมันตกลงบนพื้น ความสนใจทั้งหมดก็ถูกกระชากทิ้งไป
สุดท้าย เหตุการณ์มันก็จบลงตรงที่เขาไม่ใยดีฉัน
เพิกเฉยและเย็นชา ส่วนฉัน นับว่าโชคดีที่ตำรวจผ่านมาเห็นเลยปลอดภัย
ฉันหงุดหงิดตัวเองตรงที่ไม่สามารถหยุดคิดเรื่องนี้ได้ทั้งๆ
ที่กลับมาถึงคอนโดฯ ขุนแล้ว
ทั้งๆ ที่ทิ้งตัวนอนบนเตียงแล้วแท้ๆ
คนที่เราคิดว่าตายไปแล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
เป็นใครก็คงช็อก
แต่เอาเถอะ...
ฉันสลัดเรื่องน่ารำคาญออกจากหัวแล้วข่มตาหลับ
‘เอย์สัญญาว่าจะไม่ทำให้เกลเจ็บปวด’
‘พูดจริงๆ นะ...’
‘จริงสิ’
ทว่ากระทั่งในความฝัน
ผู้ชายคนนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอนกันไม่จบไม่สิ้นครอบครัวฉันรวย
เอาเงินปิดปากตำรวจสักล้านสองล้านคงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ฉันไม่ชอบทำอะไรที่มันเสียศักดิ์ศรี
นั่นต่างหากคือประเด็น
“ศพในข่าวอาจไม่ใช่มันก็ได้”
ขุนพูดในอีกแง่หนึ่งซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ฉันคิดอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีนัก
แต่ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด เขาสามารถทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายได้ และคิดว่า...เออ
มันก็อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่ามา
แต่นี่มันเหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองเกินไป
การที่เอย์ตาย
มันมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในความรู้สึกฉัน
เรื่องดีคือ...ฉันไม่ต้องเห็นเขาอีก
ถือเป็นการกำจัดคนเฮงซวยอีกหนึ่งออกไปจากสารบบ
เรื่องไม่ดีคือ...คำว่า ‘ฆาตกร’ มันจะอยู่ติดตัวฉันไปจนตาย
ฉันคงไม่มีความสุขนัก
ก็ต้องเลือกเอาว่าเป็นแบบที่หนึ่งหรือแบบที่สอง
“แต่ลักษณะเหมือนหมอนั่นเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
ฉันยังจำสิ่งที่นักข่าวคนนั้นรายงานได้ สีผมยังไง สีผิวแบบไหน
รูปร่างส่วนสูงประมาณเท่าไหร่
ใกล้เคียงเอย์เกินไป
มันคงไม่บังเอิญจนน่าตกใจขนาดนี้
ในโลกนี้...สำหรับฉันไม่มีอะไรคือความบังเอิญ
“ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ช่าง”
ขุนทำให้ฉันอดไม่ได้ที่ขมวดคิ้ว
ตอนนั้นฉันพบว่าปลายนิ้วแข็งกระด้างเคลื่อนมาสัมผัสผิวแก้มฉันแล้ว
ขุนเป็นแบบนี้มานานแล้ว คำพูด
ปฏิกิริยา การแสดงออกต่างๆ นานาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนจีบ
ฉันไม่เคยพยายามตีความหมายกับทุกสิ่งที่เขาทำ
เพราะอย่างที่บอกไป ยังไงขุนและฉันก็เหมาะกับการเป็นเพื่อนกันที่สุดแล้ว
“ทำไม?” ฉันถาม
“...เปล่า” คำตอบปริศนานั่นทิ้งความคาใจไว้ที่ฉันเป็นปริมาณมาก
ถ้าหากมีเวลามากพอ ฉันก็คงเลือกที่จะถามต่ออีกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่อย่างที่รู้...วันนี้ฉันมีควิซย่อย
เลยต้องกระชากความรู้สึกส่วนนั้นทิ้งไปและหันมาใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้
จนกระทั่งเวลาผ่านไป...
Aey Describe
“สภาพมึงนี่มันดูไม่ได้เลย”
“...”
“ไอ้เอย์! เหม่ออะไรของมึงวะ”
แรงตบบริเวณศีรษะทำให้ผมที่นั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบๆ
ต้องเคลื่อนสายตากลับไปมองเจ้าของฝ่ามือ
กระทั่งพบกับใบหน้าหงุดหงิดของไอ้ดิน...หนึ่งในเพื่อนที่ผมแสนจะไว้ใจ
ผมไม่ค่อยได้เล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังใช่ไหม
จริงๆ เรื่องมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ
เพื่อนก็เพื่อน แค่นั้น
และถ้าหากสงสัยว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน
ทำอะไรอยู่...
“กูง่วงเฉยๆ” ผมตอบแบบขอไปที
เป็นคำตอบที่ไม่ได้ผ่านการคิดเหมือนที่คนอื่นๆ ทำกัน
ผมแค่...อยากตัดบทแล้วนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า
เกือบเดือนแล้วนับตั้งแต่เรื่องในคืนนั้น
เกลเอาปากแทงผมจนขยับร่างกายแทบไม่ได้ ผมเจ็บ เลือดท่วม
ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามโทรหาใครสักคนที่สามารถติดต่อได้ในเวลานั้น
แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมเท่าไหร่ เพราะตอนนั้น...ไม่มีใครรับสายผมเลย
ไม่มีเลยสักคน
ตัวเลือกสุดท้ายจึงไปตกอยู่ที่กิ่ง
น้องสาวเกล
ผมไม่อยากรบกวนเธอนัก
แต่เพราะก่อนหน้านั้นเราคุยกันทางไลน์แล้วผมเผลอพิมพ์อะไรโง่ๆ ออกไป
นั่นทำให้กิ่งเข้าใจว่าผมคงอยากคืนดีกับเกลในฐานะคนรักแน่ๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่เธอวางแผนและยอมให้ชื่อเฟซกับพาสเวิร์ดมา
สุดท้ายเกลที่เป็นห่วงน้องสาวยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้จึงติดกับ
แล้วเรื่องมันก็เป็นอย่างที่เห็น
โชคร้ายซ้ำสองตรงที่กิ่งไม่รับโทรศัพท์
ซึ่งผมคิดว่าเธอคงนอนแล้วจึงไม่ได้รบกวนอะไรอีก
ผมปล่อยให้ตัวเองนอนอย่างหมดสภาพอยู่ตรงนั้นและรอให้รถสักคันผ่านมา
ไม่ได้นับว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
แต่น่าจะราวๆ
สิบชั่วโมง...ในครั้งที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองใกล้เข้าสู่ความตายขึ้นเรื่อยๆ
พละกำลังเฮือกหนึ่งก็ทำให้ผมกัดฟันแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
อยากจะทำการเคลื่อนไหวมันรวดเร็วกว่านี้ แต่ทำไม่ได้
เพราะปากกายังปักอยู่ที่สีข้างผม
ผมไม่สามารถดึงมันออกด้วยตัวเองได้
เพราะการทำโดยไม่รู้อะไรอาจทำให้ผมยิ่งเสียเลือดมากกว่าเดิม
ผมเดินไปเรื่อยๆ
จนท้องฟ้ากลับมาสว่าง และกิ่งที่คาดว่าจะตื่นแล้วก็ติดต่อกลับมา
เธอเป็นคนช่วยผมไว้เป็นครั้งที่สอง
ดูแลผมเหมือนตอนโดนอัดครั้งนั้นไม่มีผิด
กิ่งพาผมไปโรงพยาบาล นอนพักที่นั่นไม่กี่วันหมอก็อนุญาตให้ผมกลับได้
และผมตัดสินในนอนพักที่บ้านยายเธอแค่คืนเดียวเนื่องจากไม่รบกวนมากไปกว่านี้
โชคดีหน่อยที่กิ่งมีเสื้อผู้ชายติดตู้อยู่ตัวหนึ่ง
เธอจึงให้ใส่ออกจากบ้านมาในวันนี้
จริงๆ
ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเสื้อตัวนี้เป็นของใคร
“สรุปยังไง จะเล่าให้ฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผมมาหอพักไอ้ดินเพราะอยากพักที่นี่สักหน่อย แต่มันพูดพร่ำถามไถ่ไม่หยุด
รำคาญฉิบหาย... “ไม่ค่อยโผล่หัวมามอทีหนึ่งแล้ว ยังตีกับชาวบ้านเก่ง เจ็บตัวเก่ง
เลือดสาดเก่ง ทำหน้าเหม็นเบื่อเก่งอีก”
“...”
“ถ้าจะเงียบแบบนี้ก็ออกไปซะไป” ไอ้ดินไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมา
ส่วนผมยังนั่งนิ่ง “โน่น...ไปให้ยัยเกลสุดที่รักมึงดูแล กูไม่ใช่เมียมึงนะ”
เมียเหรอ...หมายถึงเกล?
ไม่มีหรอก
เธอตายไปจากหัวใจผมแล้ว
ตายไปนับตั้งแต่วันที่เธอคิดจะฆ่าผมด้วยปากกางด้ามนั้นแล้ว
“หึ...”
เมื่อนึกใบหน้าเย่อหยิ่งรวมถึงน้ำเสียงที่หวานแบบห้วนๆ
แล้วความจุกก็พร้อมใจกับโจมตีผม
นึกสมเพชตัวเองอยู่ทุกครั้งที่ช่วงหนึ่งในชีวิตเคยให้ใจเธอไปทั้งดวง
เธอมักชอบทำเหมือนผมเป็นตัวปัญหา
ชอบพูดเหมือนผมคือคนเดียวที่ผิด
ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่
แต่เธอต่างหากที่แม่งไม่รู้อะไรเลย
ยัยโง่...
อยากบ้าก็บ้าซะให้พอ
จะไปเอากับผู้ชายคนไหนก็ไป
“ทำหน้าน่ากลัวอีกแล้วนะมึง”
ไอ้ดินคงสังเกตเห็นสีหน้าผมเข้าจึงใช้ตีนสะกิดอีกครั้ง
“...คิดจะทำอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่า บอกกูมา”
เวลาอยู่กับเพื่อน
ปกติผมจะร่าเริงกว่านี้ พูดเยอะกว่านี้
ไม่ชอบที่จะปล่อยพลังด้านลบให้พวกมันคอยเครียดตามไปด้วย
แต่รอบนี้ผมว่ามันยากที่จะเก็บไว้
นั่นอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไอ้ดินปรับเปลี่ยนการพูด
รวมถึงน้ำเสียงที่กลับมาเคร่งขรึม
ผมมองหน้ามันอีกครั้ง
จ้องมันอยู่พักหนึ่ง...
“พูดเหมือนจะคอยให้ท้าย”
ก่อนประโยคนี้จะหลุดออกไปจากปากผมพร้อมกับควันบุหรี่
เรียวคิ้วไอ้ดินขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินบางสิ่งจากผม
แต่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็พยักหน้าให้ เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยด้วยซ้ำ
“ช่วยได้ก็ช่วย”
คำพูดของไอ้ดินทำให้ผมรู้ว่า...แม้จะสูญเสียผู้หญิงเลวๆ อย่างเกลไป
อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างกัน “แต่อะไรที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกูต้องคิดดูก่อนนะ
ไอ้ฟ่างมันไม่ชอบ”
ฟ่าง...คือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทผม
แต่ผมเป็นคนเดียวที่รู้ว่าไอ้ดินคิดไม่ซื่อกับเธอ
คิดจะรวบรัดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมเชียร์นะ แต่ก็ได้แค่เชียร์อยู่ห่างๆ
“อือ” ผมครางออกมาหนึ่งคำ
ไม่ต้องห่วงหรอก
ผมไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆ อยู่แล้ว
ทุกวันนี้โง่มามากพอแล้ว โง่ที่ไปรักเกล...ยัยผู้หญิงแพศยา
เวลาผ่านไป
ผมอยู่ที่แอลกอฮอล์...ร้านนั่งชิลที่ผมและผองเพื่อนมักมานั่งสังสรรค์กันเป็นประจำเวลาดึกดื่น
อาการผมดีขึ้นจนใกล้เคียงกับปกติแล้ว
สามารถกินเหล้าได้ตามปกติแล้วหลังจากที่หมอห้ามไม่ให้แตะของพวกนี้จนกว่าบาดแผลจะสมาน
อยากมานาน...ในที่สุดก็ได้ดื่มสักที
และคงเพราะดื่มมากเกินไปนี่เอง ทำให้หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมต้องปลีกตัวจากฝูงเพื่อนเพื่อมาเข้าห้องน้ำ
แต่จังหวะที่เดินสวนผ่านโซนห้องน้ำหญิงซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำชายมากๆ
นั้น สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสสีดำสนิทแบบผ่าหลังเข้า
เธอกำลังเติมลิปสติกสีแดงสดบริเวณซิงก์ซึ่งมีกระจกบานเล็กให้ส่อง
เธอเห็นผมเหมือนกัน
และเธอกำลังมองผมผ่านกระจกบานนั้น...
นัยน์ตาคมเฉี่ยวเบิกขึ้นนิดๆ
จนแทบสังเกตไม่ได้ แต่ผมสัมผัสได้ว่าเธอตกใจที่เห็นผม เหมือนผมเป็นผี ปีศาจ
หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ควรมาเดินอยู่แถวนี้
แล้วผมควรไปอยู่ไหน? ใน ‘นรก’ เหรอ?
คงคิดว่าผมตายไปแล้วล่ะสิ...
สบตากันได้ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายลากสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก็แค่คนแปลกหน้าที่สวยมากๆ คนหนึ่ง
ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรทั้งนั้น... --
ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 10 [อัปครบ]
-E P I S O D E 10-
ฉันเจอเอย์ที่แอลกอฮอล์...
เป็นครั้งแรกในรอบกี่วัน กี่อาทิตย์
หรือกี่เดือนไม่รู้ แต่ฉันยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี มันเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางอกฉัน มันเสียดลึก มันตกใจ และรู้สึกแปลกประหลาดในคราวเดียว
ฉันเข้าใจว่าเอย์ตายแล้วมาตั้งแต่วันนั้น
แต่ว่าวันนี้...เขากลับยืนอยู่ตรงหน้า
จ้องฉันอย่างเฉยชา มองมาด้วยแววตาดำมืด
แล้วเขาก็เดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เอย์ยังไม่ตาย เขายังอยู่ดี เพียงแค่ไม่ได้กลับบ้าน ไม่ค่อยได้ไปเรียน และไม่โผล่มาให้เห็น
นั่นอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ฉันไม่ได้เจอเขาเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น
ข่าวการตายของผู้ชายคนที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงเขาเป็นอย่างมากคงเป็นเรื่องบังเอิญ
ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องบังเอิญ
จนกระทั่งวันนี้...
แล้วมันตลกร้ายตรงไหนรู้ไหม?
ในวันเดียวกันฉันเจอเขาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกที่ห้องน้ำ ครั้งที่สองตอนที่ฉันกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งพูดจาแทะโลมและพยายามจะลากไปไหนสักที่ด้วยพละกำลังอันมหาศาล
ฉันมองเห็นเขาจากที่ไกลๆ ในสถานการณ์คับขัน
ไม่ได้ทำตัวน่าสงสาร ไม่ได้เรียกร้อง แต่ดินเพื่อนเขาดูท่าจะเป็นเดือดเป็นร้อนถึงเรียกให้เอย์มาดูฉัน
คงคิดว่าเอย์จะปรี่เข้ามาช่วยฉันล่ะสิ
แต่ไม่เลย
เขาเฝ้ามองฉันจากตรงนั้นราวกับมองเศษใบไม้แห้งๆ ใบหนึ่ง จนเมื่อมันตกลงบนพื้น ความสนใจทั้งหมดก็ถูกกระชากทิ้งไป
สุดท้าย เหตุการณ์มันก็จบลงตรงที่เขาไม่ใยดีฉัน
เพิกเฉยและเย็นชา ส่วนฉัน นับว่าโชคดีที่ตำรวจผ่านมาเห็นพอดีจึงปลอดภัย
ฉันหงุดหงิดตัวเองตรงที่ไม่สามารถหยุดคิดเรื่องนี้ได้ทั้งๆ
ที่กลับมาถึงคอนโดฯ ขุนแล้ว
ทั้งๆ ที่ทิ้งตัวนอนบนเตียงแล้วแท้ๆ
คนที่เราคิดว่าตายไปจากโลกนี้แล้วมาปรากฏตัวตรงหน้า
เป็นใครก็คงช็อก
แต่เอาเถอะ...
ฉันสลัดเรื่องน่ารำคาญออกจากหัวแล้วพยายามข่มตาหลับ
‘เอย์สัญญาว่าจะไม่ทำให้เกลเจ็บปวด’
‘พูดจริงๆ นะ...’
‘จริงสิ’
ทว่ากระทั่งในความฝัน
ผู้ชายคนนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอนกันไม่จบไม่สิ้น
“นอนน้อยหรือไง”
เสียงทักของขุนในเช้าของวันต่อมาทำให้ฉันที่กำลังคิดอะไรเงียบๆ
ต้องตวัดสายตากลับไปมองเขาอย่างเคืองๆ “เมื่อคืนกลับกี่โมง?”
แต่เพราะฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรมากไปกว่ามองค้อนแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก
ขุนจึงเปลี่ยนมาถามอีกเรื่อง
“ดึกอยู่” ฉันตอบ
ก่อนจะได้สายตาตำหนิเล็กๆ จากขุนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เรื่องของเรื่องคือเมื่อวานเขาไม่อยู่คอนโดฯ
เพราะต้องไปทำธุระสำคัญที่บ้าน กอปรกับการที่ฉันเบื่อๆ ด้วย เลยเปลี่ยนชุดแล้วไปนั่งดื่มแก้เซ็งที่แอลกอฮอล์คนเดียว
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก ฉันไปไหนมาไหนคนเดียวบ่อยมาก
เป็นความเคยชินน่ะ
“กี่โมง” ขุนยังไม่หยุดถาม
นับวันยิ่งเหมือนพ่อเข้าไปทุกที
รำคาญอยู่เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่าหมอนั่นเป็นห่วงถึงได้ซักไซ้จนเกินจำเป็น
ยังพอเข้าใจได้ แต่อดหงุดหงิดไม่ได้จริงๆ
“น่าจะเกือบๆ ตีสาม” ฉันตอบอีก
และคำตอบนั้นทำให้ขุนถอนหายใจออกมาเหมือนเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของฉันอยู่ไม่น้อย
“ถ้าจะกลับดึก ทีหลังให้ฉันไปด้วย”
“เมื่อวานนายไม่อยู่เองไหม?”
“ถ้ารั้งให้อยู่...ฉันก็พร้อมจะอยู่ คราวหลังพูดออกมาเลย”
ฉันชะงักเล็กน้อยกับคำตอบที่ฟังแล้วส่งผลบางอย่างต่อหัวใจ แต่ไม่นานนักฉันก็เอาทรายมากลบทับความรู้สึกส่วนนั้นไว้อย่างแนบเนียน
ขุนเหมือนพยายามจะแทรกซึมเข้ามาในใจฉันเลยว่าไหม
ฉันไม่ได้โง่ พอมองออกอยู่ว่าพฤติกรรมของเขาส่อเค้าถึงอะไร แต่อย่างที่เคยบอกไป ระหว่างเราเป็นได้แค่เพื่อนจริงๆ
อีกอย่าง ถึงฉันจะรักเขา แต่ตอนนี้ฉันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนนั่นคือผา แม้ไม่ได้รู้สึกอะไร แม้จะคบไปเพราะมีเหตุผล แต่ฉันมองว่าการให้เกียรติกันเป็นสิ่งที่ควรทำ
พูดถึงผา เรายังคงติดต่อกันอยู่ทุกวัน แต่ฉันเเค่ไม่ได้ไปหาเขาบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่กล้าวอเเวเพราะกลัวฉันจะโกรธจนบอกเลิก
งี่เง่าไม่เปลี่ยนเลยผู้ชายคนนี้
“ไปเรียนแล้ว”
เรื่องในเช้าวันนี้จบลงตรงที่ฉันคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาจากคอนโดฯ มีเสียงคุ้นหูแว่วตามหลังมา มั่นใจว่าเป็นเสียงของขุน แต่ฉันฟังไม่ถนัด
ส่วนหนึ่งเพราะใกล้ได้เวลาเรียนแล้วจึงไม่ได้สนใจตรงจุดนั้นสักเท่าไหร่
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงมหาวิทยาลัย
แต่เรื่องน่าปวดหัวคือวันนี้มีแข่งวอลเล่บอลที่ชั้นสี่ของตึกซึ่งเป็นโรงยิมประจำมหาวิทยาลัย
ทำให้มีคนยืนออหน้าลิฟต์กันเต็มไปหมด
ด้วยความที่เป็นคนขี้รำคาญ
ฉันเลยยอมเสียเวลายืนรอจนกว่าจำนวนนักศึกษาจะซาพอที่ตัวเองไม่รู้สึกอึดอัดเวลาเข้าไปยืนด้านใน
แต่ก็อย่างว่า ถ้ารอนานเกินไปจนเข้าเรียนสายมันก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง
ดังนั้นเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ฉันจึงต้องพาตัวเองเข้าไปในลิฟต์ทั้งที่คนยังแน่นขนัดแบบนี้
ผ่านไปไม่นานคนก็ทยอยลงจนเหลือฉันกับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่มุมลิฟต์
ฉันถอนหายใจออกมา
ยกมือเสยผมระบายความร้อนจากสถานการณ์เมื่อกี้เงียบๆ
ทว่า...เสียงลมหายใจของนักศึกษาผู้ชายคนนั้นทำให้ฉันที่ไม่ได้อยากจะสนใจตั้งแต่แรกต้องเคลื่อนสายตากลับไปมอง
และนั่นทำให้ฉันแน่นิ่งไป
เอย์...
ผู้ชายคนนั้นคือเอย์ เขายืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างที่ชอบทำ
การแต่งตัวไร้ระเบียบเหมือนเดิม นัยน์ตาคมกริบไม่ได้มองมาที่ฉัน
เขาจ้องมองตัวเลขของลิฟต์เหมือน 'พยายามจะไม่สนใจ' สิ่งรอบข้าง
กึก!
แล้วเรื่องเฮงซวยมันก็ไม่ได้จบที่ตรงนั้น
เพราะไม่กี่วินาทีให้หลัง
ลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างปกติก็เกิดกระตุกและหยุดทำงานในที่สุด
ลิฟต์เสีย?
แล้วทำไมต้องมาเสียตอนที่ฉันอยู่ในนี้กับเอย์สองคนด้วย
...น่าหงุดหงิด
จริงๆ ตึกนี้มีปัญหาลิฟต์เสียบ่อยมาก
แต่บางทีปัญหามันก็มาจากระบบไฟที่ไม่ได้เรื่อง และครั้งนี้...เห็นได้ชัดเจนว่าสาเหตุมาจากไฟที่ดับลงอย่างกะทันหัน
นับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่ในนี้ไม่ได้มืดมากจนมองอะไรไม่เห็น
แต่เรื่องโชคร้ายคือเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันมองเห็นตัวเองในวัยเด็กซึ่งตอนนั้นมีอาการแพนิกขั้นรุนแรงจนต้องทำการรักษา
ฉันเคยกลัวที่แคบ
ซึ่งนั่นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่
แต่ต่อมาเหตุการณ์ลิฟต์เสียก็ทำให้ฉันกลายเป็นคนกลัวการขึ้นลิฟต์ ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเป็นปกติอย่างทุกวันนี้ได้
แล้วดู...
ทำไมฉันต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์บัดซบที่สุดพร้อมๆ
กับผู้ชายคนนั้นด้วย
ตลกมาก บ้ามาก งี่เง่าจริงๆ
ไร้การเคลื่อนไหวของลิฟต์ ความมืดก็ยังห้อมล้อมเราไว้เช่นเดิม
และใช่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว มันเหมือนว่าเราต่างอยู่ในโลกของตัวเอง
แล้วจะทำยังไง
เวลาอยู่ในลิฟต์
สัญญาณมือถือจะไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้นจะติดต่อให้ใครมาช่วยก็เป็นทางเลือกที่โง่บรมเอามากๆ
อีกอย่าง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ลมหายใจฉันยิ่งติดขัด ความกลัวในครั้งอดีตค่อยๆ
แทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกฉันทีละนิด ทีละนิด
จนสุดท้ายก็ต้องเอาหลังพิงผนังอย่างไม่มีทางเลือก
มั่นใจว่าต้องมีเจ้าหน้าที่มาช่วย
แต่ถ้าช้าเกินไป...ฉันอาจช็อกได้
“ปลดกระดุมออก” และแล้วความเงียบทั้งหมดก็ถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มของเอย์
มันดังมาจากตรงนั้นในคราวแรก และเวลาต่อมาเขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน
“...” ฉันเงียบและมองหน้าเขา
พรึ่บ
กระทั่งเอย์ยื่นมือมากระชากกระดุมเสื้อนักศึกษาออกไปสามเม็ด
ฉันถึงได้ผลักเขาออกอย่างรุนแรง “ใครให้นายมายุ่ง”
ฉันถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนแรง
คงเพราะอากาศมันไม่ถ่ายเท
พัดลมระบายอากาศภายในลิฟต์ก็เหมือนจะไม่ทำงานแล้วด้วย
เอย์ยังคงแข็งแรงและทนทานกับทุกสถานการณ์
มีเพียงฉันที่เริ่มหน้ามืด ประคองตัวเองไว้แทบไม่อยู่แล้ว
เอย์ไม่ได้ตวาดหรือทำอะไรรุนแรงกลับมา
เขาใช้เพียงสายตาเย็นชาที่ราวกับจะสื่อกรายๆ ว่า ‘ถ้าอยากตายก็ตามใจ’
ใช่ ฉันรู้ว่าเวลาเราหายใจไม่ออก
ให้รีบคลายชุดที่สวมทันที ทำยังไงก็ได้ให้หายใจได้สะดวกที่สุด
และเอย์เองคงบังเอิญเห็นท่าทีน่าสมเพชของฉันเข้า
วูบ หมับ...
จังหวะที่ฉันเซเพราะเริ่มยืนไม่ไหว
สมองมันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองอาจจะล้มลงไปกองกับพื้นแน่ แต่เปล่าเลย
เอย์โอบฉันไว้ได้ทัน
เขากอดฉัน...ก่อนจะมีเสียงหงุดหงิดดังขึ้นข้างหูว่า
“...โง่เอ๊ย”
วูบนั้นฉันเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขา
จนพบว่าเจ้าของใบหน้าเรียบตึงกำลังมองฉันอยู่เช่นกัน สายตาคู่นั้นคล้ายกับจะตำหนิฉันอยู่หน่อยๆ
และบางทีอาจกำลังด่าทอกันอย่างรุนแรงในใจก็ได้
“อย่ามาแตะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพยายามผลักเอย์ออกไป
แต่เขาเหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ถึงไม่มีท่าทีใดๆ ต่อคำบอกกล่าวและการผลักไสของฉันเลย
และถ้าไม่ได้คิดไปเอง
ฉันรับรู้ได้นิดหน่อยว่าอ้อมกอดนั้นแนบแน่นกว่าเดิมพอประมาณ
แต่ไม่ได้อึดอัดจนหายไม่ออก เหมือนเอย์ต้องการประคองไม่ให้ฉันล้มมากกว่า
การกลับมาเจอกันอีกครั้งของเราไม่ควรเป็นแบบนี้
ฉันไม่อยากคุยกับเขา
ไม่อยากเห็นหน้าเขา แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก
เพราะทุกครั้งที่ฉันภาวนาให้เขาหายไปจากชีวิต เขายิ่งเข้ามามีบทบาทต่อสภาพอารมณ์และความรู้สึกฉันมากขึ้น
ชาติที่แล้วทำบาปร่วมกันมาหรือไง เวรจริง...
“...” เอย์ไม่พูดอะไรแต่ยังคงตระกองร่างฉันไว้
ส่วนฉันเองก็ยังพยายามต่อต้านและผลักไสเขาทุกครั้งที่มีโอกาส
ไม่มีอะไรเป็นใจสักอย่าง สารรูปไม่เอื้ออำนวย
หายใจแทบไม่ออก ยืนก็แทบจะไม่ไหว
ถ้ายังไม่มีใครมาช่วย
อาการฉันอาจหนักกว่านี้ก็ได้
ความกลัวที่ขยายเป็นวงกว้างภายในจิตใจเริ่มทำให้ฉันวิตกกังวล
เป็นความรู้สึกชนิดเดียวกันกับตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กแล้วเผชิญกับอาการเหล่านี้
ฉันจำมันได้ดี
และมันกลับมาเล่นงานฉันอีกครั้งในรอบหลายปี
ฉันกลืนน้ำลายถี่ขึ้น
เริ่มไม่ไหวที่จะฝืนตัวเองแล้ว แต่ปากมันหนักอึ้ง...ไม่อยากพูดอะไรออกไปให้ผู้ชายคนนี้ได้ยิน
จนกระทั่งฉันไม่สามารถมองเห็นอะไรอีกเลยนอกจากความมืด
กับเสียงทุ้มคุ้นหูที่ดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้ายว่า “พี่เกล...”
ฉันตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องห้องหนึ่ง
พิจารณาจากภาพรวมแล้วคงเป็นห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็โรงพยาบาลใกล้ๆ นี้
ฉันตั้งสติแล้วทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น
จนกระทั่งได้คำตอบในเวลาต่อมาว่าก่อนหน้านี้ตัวเองติดอยู่ในลิฟต์กับเอย์
ฉันหายใจไม่ออก อึดอัด
ความรู้สึกทรมานที่อธิบายไม่ได้ทำให้หมดสติไป สุดท้ายก็มาฟื้นที่นี่ ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว
“ฟื้นแล้วเหรออีเกล!”
เสียงแหลมจนแสบหูทำให้ฉันต้องเคลื่อนสายตากลับไปมอง เป็นมะเหมี่ยวเพื่อนฉันเองที่ปรี่เข้ามายืนเกาะตรงขอบเตียง “สลบนานมากค่ะ
นึกว่าตาย”
นั่นปาก?
“...” ฉันไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยกมือคลึงศีรษะตัวเองเนื่องจากยังรู้สึกมึนๆ
อยู่
“แต่น้องเอย์คงไม่ปล่อยให้แกตายง่ายๆ หรอก รู้ป่ะ ตอนที่น้องเอย์อุ้มแกออกมาจากลิฟต์อ่ะ เท่ระเบิดระเบ้อสุดๆ ไปเลยนะ”
“...”
ฉันชะงักเมื่อได้ยินชื่อใครบางคน
“ฉันล่ะปวดใจจริงๆ
ที่แกเอาแต่ว่าน้อง ฉันก็เห็นน้องเขาดูเป็นห่วงแกดีนะ” มะเหมี่ยวยังไม่หยุดพูด พอรู้อยู่ว่ายัยนี่ติ่งเอย์
การที่มันมองเขาในแง่ดีเป็นสิ่งที่ฉันไม่ควรแปลกใจด้วยซ้ำ “ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นน้องชายแก
ฉันคิดว่าเอย์คงเป็นผัวที่รักเมียมาก กลัวเมียตายอะไรทำนองนี้ไปซะแล้ว”
“เพ้อเจ้อ”
ฉันทำเป็นไม่สนใจคำบอกกล่าวยาวยืดของมะเหมี่ยว
เป็นห่วงเหรอ รักเหรอ
ภายนอกกับความรู้สึกจริงๆ
อาจสวนทางกันก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเอย์กำลังคิดอะไรอยู่
และฉันเองก็ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขามากไปกว่านี้แล้ว
รกสมองเปล่าๆ
“เหมือนแกอคติกับเขามากเกินไปว่ะอีเกล”
มะเหมี่ยวยังคงทำให้ฉันหงุดหงิด “ปากแข็ง”
“ช่างฉันเถอะ”
ฉันบอกปัดแล้วเตรียมลุกขึ้นจากเตียง
เมื่อครู่นี้ฉันเห็นนาฬิกาตรงฝาผนังแล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่าย
สรุปก็ไม่ได้เข้าเรียน...น่าหงุดหงิดจริงๆ
“พักก่อนสิ แกยังดูมึนๆ อยู่เลยนะ”
ความดื้อรั้นของฉันส่งผลให้เพื่อนตัวร้ายที่วันนี้ทาปากแดงกว่าทุกทีต้องเอ่ยรั้งไว้
แต่ฉันไม่สนใจ
ในเมื่อไม่ได้เข้าเรียนฉันก็ควรกลับไปนอนพักที่คอนโดฯ ขุน
ไม่มีความจำเป็นต้องนอนอยู่ที่นี่...ที่ๆ มีแต่กลิ่นยาน่าเวียนหัว
“โอเคแล้ว”
ลึกๆ แล้วก็ดีใจที่มะเหมี่ยวดูเป็นห่วง
เพราะในกลุ่มเพื่อน มันเป็นคนเดียวที่สนิทกับฉันมากที่สุด
ถึงจะไม่สุดขนาดที่ต้องเล่าทุกเรื่องให้ฟังก็เถอะ
อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
“เออ งั้นแล้วแต่นะ”
หลังจากนั้นก็เดินออกมาจากห้องพัก ความไม่แน่นอนเรื่องสถานที่ถูกไขกระจ่างทันทีเมื่อเดินออกมาด้านนอก
เป็นห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย...
เรื่องน่าปวดหัวควรจะจบลงตั้งแต่เหตุการณ์ในลิฟต์แล้ว ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นานกลับพบเจอเรื่องที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่า
โทรศัพท์มือถือฉันไม่ได้อยู่ในกระเป๋า
มันหายไป...
ฉันจอดรถเทียบฟุตบาธแล้วพยายามหาทุกซอกทุกมุมของกระเป๋า
แต่ก็ไม่เจอ นั่นทำให้ฉันอดกระฟัดกระเฟียดกับตัวเองไม่ได้
ให้ซื้อใหม่มันไม่ยากหรอก แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นต่างหากที่สำคัญ
ฉันนั่งคิดอยู่พักหนึ่งก็เลี้ยวรถกลับไป เพราะวันนี้ลูกพี่ลูกน้องยัยมะเหมี่ยวแข่งวอลเล่บอล เลยมั่นใจว่ามันต้องยังไม่กลับบ้านแน่ และใช่...มันเป็นคนเดียวที่สามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้
ใช้เวลาไม่นานก็ตามตัวมันจนเจอ
แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ ‘ไม่มีใครกล้ายุ่งกับของในกระเป๋าแกหรอกย่ะ โน่น ไปถามน้องเอย์ดู’
เอย์อีกแล้ว
วันนี้มันวันอะไรนะ
ฉันกลับมานั่งในรถด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ใจหนึ่งก็ไม่อยากเจอหน้าเขา
แต่ใจหนึ่งก็พร่ำบอกให้ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาโทรศัพท์กลับคืนมา
ผ่านไปเหยียบครึ่งชั่วโมง
ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไปหาเอย์
ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะไปตามหาเอย์ที่ไหน
เลยรอจนกระทั่งเวลาสามทุ่ม...
เอย์ต้องไปดื่มกับผองเพื่อนที่แอลกอฮอล์แน่นอน
เพราะมันเป็นร้านนั่งชิลที่เขาไปสิงสถิตเป็นประจำหลังเลิกเรียน
ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดไว้
เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงสี่สิบนาทีเอย์ก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมเพื่อนกลุ่มใหญ่ของเขา
ตอนแรกฉันคิดไว้ว่าจะพุ่งเข้าไปหาแล้วถามเรื่องโทรศัพท์ตรงๆ
เลย แต่...ฉันกลับนั่งรออีกหน่อย
รอเวลาที่เขาอยู่คนเดียวหรือปลีกตัวไปห้องน้ำดีกว่า
ฉันไม่ถูกชะตาเพื่อนของเขาเท่าไหร่
ไม่อยากปรากฏตัวท่ามกลางสายตาเพื่อนๆ
ของเขา
จนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
เอย์ที่ดื่มไปหลายแก้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ เขาตรงไปที่ห้องน้ำ และนี่เป็นโอกาสของฉัน
“นาย” ฉันเดินตามเอย์ไปประมาณสิบก้าว...จนกระทั่งยอมเรียกเขา
เอย์หันกลับมาทันที...แต่เขามองฉันแค่แป๊บเดียวก็ลากสายตากลับไป
ราวกับไม่มีอะไรน่าสนใจ
และไม่มีเหตุผลที่ต้องสนใจ “หูตึงเหรอเอย์!”
“...” เอย์ไม่ตอบ
เพียงเดินเข้าไปในห้องน้ำ และทำท่าจะปิดประตูใส่หน้า
แต่ฉันคว้าประตูบานนั้นไว้ได้ทัน ทำให้นัยน์ตาคมกริบเคลื่อนกลับมาจ้องฉันอีกครั้งอย่างเฉยชา
“อย่ามาขวาง”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำพร้อมกลิ่นเหล้าทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจเล็กๆ
แต่ฉันไม่สน
ยังคงใช้มือยึดประตูบานนั้นไว้เช่นเดิม
เรื่องมันควรจะจบตรงที่ฉันถามเรื่องโทรศัพท์และได้มันกลับคืนมา
แต่เปล่าเลย
หมับ! พรึ่บ
เอย์เปลี่ยนมากระชากข้อมือแล้วดึงฉันเข้าไปในห้องน้ำ...จากนั้นเสียง
‘ตึง!!’ ของประตูก็ดังขึ้น
กลายเป็นว่าตอนนี้เราอยู่ในห้องน้ำแคบๆ เพียงสองคน
หายใจรดกัน ได้กลิ่นเหล้า
กลิ่นบุหรี่ และเสียงลมหายใจระยะเผาขนของเอย์...
“ทำอะไรของนาย!” ฉันผลักเขาออกอย่างรุนแรง
และไม่ลืมถามอย่างโมโห
แต่ผลักเขาออกด้วยความรุนแรงระดับไหนก็ไร้ประโยชน์
ในเมื่อห้องน้ำที่นี่ค่อนข้างคับแคบ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ที่ๆ คนสองคนจะมายืนอัดกันได้เป็นเวลานาน
ดังนั้น...อยากให้เขาถอยไปไกลแค่ไหน สุดท้ายเราก็ยังอยู่ใกล้มากอยู่ดี
“ไล่แล้วไม่ไป นึกว่าอยากเข้ามาด้วย”
เอย์ตอบด้วยสีหน้าตายด้าน
ก่อนจะก้มหน้าเตรียมรูดซิปกางเกงโดยที่ฉันยังยืนหงุดหงิดอยู่ตรงนี้
เหมือนเขาจะมึนๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์นิดหน่อย
“เอย์” นั่นทำให้ฉันต้องเรียกชื่อเขา
“มีอะไรว่ามา” เอย์เหมือนจะฟังฉัน
แต่ขณะเดียวกันก็พยายามจะจัดการธุระส่วนตัวไปด้วย
ปกติเอย์ไม่ทำอะไรแบบนี้ เขาคงมึนๆ จากการดื่มเหล้าพอสมควร
“ฉันไม่ได้อยากเข้ามา นายกระชากฉันเข้ามาเอง”
ฉันมองหน้าเขา
“อืม” เอย์พยักหน้าเนือยๆ “ดูเธอเซ้าซี้ก็เลยพาเข้ามา”
“ฉันไม่ได้เซ้าซี้ อย่าสำคัญตัวผิด”
ความหงุดหงิดในก่อนหน้าที่ว่ามากแล้ว พอเจอประโยคล่าสุดของเขาเข้าไป
ปริมาณก็เพิ่มขึ้นจนฉันต้องสวนกลับอย่างไม่ลังเล
นั่นทำให้เอย์ที่ก้มหน้าในตอนแรกต้องเงยหน้าขึ้น
นัยน์ตาคมกล้าสงบนิ่งเอามากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความดุดันในแบบที่ไม่สามารถเห็นได้บ่อยๆ
“แล้วเสนอหน้ามาทำไม” น้ำเสียงในคราวนี้ของเอย์เย็นเยียบ มันมาพร้อมกับระยะห่างที่ลดลง... “ไม่เซ้าซี้แล้วโผล่หัวมาให้เห็นทำไม?”
จนในที่สุดใบหน้าของเราสองคนก็เหลือเพียงแค่กระดาษกั้น
“แล้วคิดว่าฉันอยากมาหานายนักเหรอ” ฉันถามกลับ
จ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว
ไม่ได้อยากมาทะเลาะ
เพราะฉันเองก็คิดว่ามันเสียเวลา
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการคุยกันดีๆ สำหรับเราสองคนถือเป็นเรื่องยากมาก
“แล้วเธอเป็นใคร”
“...”
“คนที่เดินตามต้อยๆ ฉันเมื่อกี้เป็นใคร?”
เอย์เหมือนจะสมเพชฉันกรายๆ
“ฉันเดินตามนายเอง” ฉันยอมรับ “แต่ฉันทำเพราะอยากได้โทรศัพท์คืน ได้ยินไหมเอย์”
เกลียดจริงๆ พวกเข้าข้างตัวเอง คิดว่าสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง
“ทำไมต้องมาเอาคืน” เอย์ทำหน้าสงสัยนิดหน่อย “คิดว่าฉันเอาของเธอไปเหรอ จะเอาไปทำไม?”
“...” และตอนนี้กลับกลายเป็นฉันเองที่สงสัย
หมายความว่า...โทรศัพท์ของฉันไม่ได้อยู่ที่เขา?
แล้วมันอยู่ที่ใคร?
“แค่อุ้มเธอออกมาจากลิฟต์เพราะความเวทนาก็เต็มกลืนแล้ว...”
คำบอกกล่าวที่ฟังยังไงก็รับรู้ได้ถึงความขยะแขยงทำให้ฉันมือสั่น
ไม่ได้สั่นเพราะกลัว ไม่ได้สั่นเพราะเสียใจ
แต่สั่นเพราะ...
“แล้วใครใช้ให้นายอุ้มฉันออกมา”
ฉันถามอย่างมีน้ำโห และคำถามนั้นทำให้ฉันเห็นบางอย่างจากแววตาเขา แต่มันปรากฏออกมาเพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นก่อนจะเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย “ฉันขอนายเหรอเอย์”
“ไม่ได้ขอ” เอย์ตอบทันที “แล้วฉันต้องทำไง”
“...”
“ต้องปล่อยเธอไว้คนเดียวเหมือนที่เธอทำกับฉันเมื่อเดือนก่อนเหรอ?”
คำพูดของเอย์แฝงไปด้วยความโกรธ ความเสียใจ รวมถึงความเจ็บปวดในแบบที่ฉันเองก็สามารถรับรู้ได้
ฉันจ้องหน้าเขา เหมือนจะเห็นหยาดน้ำตาคลอหน่วย
แต่...ฤทธิ์แอลกอฮอล์มีส่วนที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น ดื่มมากๆ ตาก็แดงก่ำได้เหมือนกัน
เขาไม่มีทางเสียน้ำตาเพราะฉันแน่
“แค้นนักทำไมไม่ทำ” ฉันถามเสียงเรียบ ข่มความรู้สึกบางชนิดไว้ใต้ขั้วหัวใจ...
“ถ้าฉันทำจริงเธอทนไม่ได้หรอก”
“...”
“ฉันเจ็บ แต่คนที่เจ็บกว่ามันคือเธอ
น่าจะรู้ตัวดี”
"..."
Aey Describe
ผมตื่นขึ้นมาในห้องๆ
หนึ่งแล้วพบว่าตัวเองนอนเปลือยอยู่บนเตียงกับผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกตามตรงว่าคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
เธอเปลือยเหมือนผม...
รอยช้ำเต็มตัว
มุมปากปริ่มเลือด
เกล...?
“เหี้ย” ผมสบถออกมาอย่างลืมตัวเมื่อพบว่าเกลหลับสนิทอยู่ข้างๆ พร้อมหลักฐานซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคน
ยิ่งเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องแล้วเจอกับเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้
หัวใจผมยิ่งกระตุกวูบ...
เมื่อคืนผมเจอเกลที่แอลกอฮอล์
ผมคุยกับเธออย่างดุเดือด และเพราะความโมโห...หลังแยกกับเธอผมจึงดื่มต่ออีกหลายแก้ว
ผมว่าผมคงเมามาก นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย
ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนอื่นยังพอทน แต่นี่ดัน...เป็นเกล ผู้หญิงที่ผมลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายในชีวิตอีก
ผมเก็บความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นกลางอกเงียบๆ
ก่อนจะสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างราวๆ ห้านาที
มีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือผมพบเศษกระจกซึ่งแตกกระจายอยู่ข้างๆ
ประตูห้องราวกับเกิดสมรภูมิขนาดย่อมในช่วงเวลาที่ผมไร้สติ
กระจกแตกขนาดนี้ เรา...รุนแรงกันขนาดไหน?
MA-NELL'S ZONE
อ้าว ยังงายย กระจกเเตกเลย
ป.ล เปิดพรีวันที่ 5 มกราคมนะคะ ใครอยากได้ เกียมเงินไว้เลอ
ติดเเท็ก #ผู้หญิงแพศยา
ป.ล ขอพื้นที่ฝากนิยายน้องหน่อยนะคะ
เป็นน้องนักเขียนของเมย์เองง มาเร๊วว จิ้มๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น