ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #10 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 10 [อัปครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 61








    -E P I S O D E 10-

    ฉันเจอเอย์ที่แอลกอฮอล์...

    เป็นครั้งแรกในรอบกี่วัน กี่อาทิตย์ หรือกี่เดือนไม่รู้ แต่ฉันยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี มันเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางอกฉัน มันเสียดลึก มันตกใจ และรู้สึกแปลกประหลาดในคราวเดียว

    ฉันเข้าใจว่าเอย์ตายแล้วมาตั้งแต่วันนั้น

    แต่ว่าวันนี้...เขากลับยืนอยู่ตรงหน้า จ้องฉันอย่างเฉยชา มองมาด้วยแววตาดำมืด

    แล้วเขาก็เดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เอย์ยังไม่ตาย เขายังอยู่ดี เพียงแค่ไม่ได้กลับบ้าน ไม่ค่อยได้ไปเรียน และไม่โผล่มาให้เห็น นั่นอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ฉันไม่ได้เจอเขาเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น

    ข่าวการตายของผู้ชายคนที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงเขาเป็นอย่างมากคงเป็นเรื่องบังเอิญ

    ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องบังเอิญ จนกระทั่งวันนี้...

    แล้วมันตลกร้ายตรงไหนรู้ไหม?

    ในวันเดียวกันฉันเจอเขาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกที่ห้องน้ำ ครั้งที่สองตอนที่ฉันกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งพูดจาแทะโลมและพยายามจะลากไปไหนสักที่ด้วยพละกำลังอันมหาศาล

    ฉันมองเห็นเขาจากที่ไกลๆ ในสถานการณ์คับขัน ไม่ได้ทำตัวน่าสงสาร ไม่ได้เรียกร้อง แต่ดินเพื่อนเขาดูท่าจะเป็นเดือดเป็นร้อนถึงเรียกให้เอย์มาดูฉัน

    คงคิดว่าเอย์จะปรี่เข้ามาช่วยฉันล่ะสิ

    แต่ไม่เลย เขาเฝ้ามองฉันจากตรงนั้นราวกับมองเศษใบไม้แห้งๆ ใบหนึ่ง จนเมื่อมันตกลงบนพื้น ความสนใจทั้งหมดก็ถูกกระชากทิ้งไป

    สุดท้าย เหตุการณ์มันก็จบลงตรงที่เขาไม่ใยดีฉัน เพิกเฉยและเย็นชา ส่วนฉัน นับว่าโชคดีที่ตำรวจผ่านมาเห็นพอดีจึงปลอดภัย

    ฉันหงุดหงิดตัวเองตรงที่ไม่สามารถหยุดคิดเรื่องนี้ได้ทั้งๆ ที่กลับมาถึงคอนโดฯ ขุนแล้ว

    ทั้งๆ ที่ทิ้งตัวนอนบนเตียงแล้วแท้ๆ

    คนที่เราคิดว่าตายไปจากโลกนี้แล้วมาปรากฏตัวตรงหน้า เป็นใครก็คงช็อก

    แต่เอาเถอะ...

    ฉันสลัดเรื่องน่ารำคาญออกจากหัวแล้วพยายามข่มตาหลับ

    เอย์สัญญาว่าจะไม่ทำให้เกลเจ็บปวด

    พูดจริงๆ นะ...

    จริงสิ

    ทว่ากระทั่งในความฝัน ผู้ชายคนนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอนกันไม่จบไม่สิ้น


    “นอนน้อยหรือไง” 

    เสียงทักของขุนในเช้าของวันต่อมาทำให้ฉันที่กำลังคิดอะไรเงียบๆ ต้องตวัดสายตากลับไปมองเขาอย่างเคืองๆ “เมื่อคืนกลับกี่โมง?”

    แต่เพราะฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรมากไปกว่ามองค้อนแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก ขุนจึงเปลี่ยนมาถามอีกเรื่อง

    “ดึกอยู่” ฉันตอบ ก่อนจะได้สายตาตำหนิเล็กๆ จากขุนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

    เรื่องของเรื่องคือเมื่อวานเขาไม่อยู่คอนโดฯ เพราะต้องไปทำธุระสำคัญที่บ้าน กอปรกับการที่ฉันเบื่อๆ ด้วย เลยเปลี่ยนชุดแล้วไปนั่งดื่มแก้เซ็งที่แอลกอฮอล์คนเดียว แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก ฉันไปไหนมาไหนคนเดียวบ่อยมาก

    เป็นความเคยชินน่ะ

    “กี่โมง” ขุนยังไม่หยุดถาม

    นับวันยิ่งเหมือนพ่อเข้าไปทุกที รำคาญอยู่เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่าหมอนั่นเป็นห่วงถึงได้ซักไซ้จนเกินจำเป็น

    ยังพอเข้าใจได้ แต่อดหงุดหงิดไม่ได้จริงๆ

    “น่าจะเกือบๆ ตีสาม” ฉันตอบอีก และคำตอบนั้นทำให้ขุนถอนหายใจออกมาเหมือนเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของฉันอยู่ไม่น้อย

    “ถ้าจะกลับดึก ทีหลังให้ฉันไปด้วย”

    “เมื่อวานนายไม่อยู่เองไหม?”

    “ถ้ารั้งให้อยู่...ฉันก็พร้อมจะอยู่ คราวหลังพูดออกมาเลย”

    ฉันชะงักเล็กน้อยกับคำตอบที่ฟังแล้วส่งผลบางอย่างต่อหัวใจ แต่ไม่นานนักฉันก็เอาทรายมากลบทับความรู้สึกส่วนนั้นไว้อย่างแนบเนียน

    ขุนเหมือนพยายามจะแทรกซึมเข้ามาในใจฉันเลยว่าไหม

    ฉันไม่ได้โง่ พอมองออกอยู่ว่าพฤติกรรมของเขาส่อเค้าถึงอะไร แต่อย่างที่เคยบอกไป ระหว่างเราเป็นได้แค่เพื่อนจริงๆ

    อีกอย่าง ถึงฉันจะรักเขา แต่ตอนนี้ฉันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนนั่นคือผา แม้ไม่ได้รู้สึกอะไร แม้จะคบไปเพราะมีเหตุผล แต่ฉันมองว่าการให้เกียรติกันเป็นสิ่งที่ควรทำ

    พูดถึงผา เรายังคงติดต่อกันอยู่ทุกวัน แต่ฉันเเค่ไม่ได้ไปหาเขาบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่กล้าวอเเวเพราะกลัวฉันจะโกรธจนบอกเลิก

    งี่เง่าไม่เปลี่ยนเลยผู้ชายคนนี้

    “ไปเรียนแล้ว”

    เรื่องในเช้าวันนี้จบลงตรงที่ฉันคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาจากคอนโดฯ มีเสียงคุ้นหูแว่วตามหลังมา มั่นใจว่าเป็นเสียงของขุน แต่ฉันฟังไม่ถนัด ส่วนหนึ่งเพราะใกล้ได้เวลาเรียนแล้วจึงไม่ได้สนใจตรงจุดนั้นสักเท่าไหร่

    ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงมหาวิทยาลัย

    แต่เรื่องน่าปวดหัวคือวันนี้มีแข่งวอลเล่บอลที่ชั้นสี่ของตึกซึ่งเป็นโรงยิมประจำมหาวิทยาลัย ทำให้มีคนยืนออหน้าลิฟต์กันเต็มไปหมด

    ด้วยความที่เป็นคนขี้รำคาญ ฉันเลยยอมเสียเวลายืนรอจนกว่าจำนวนนักศึกษาจะซาพอที่ตัวเองไม่รู้สึกอึดอัดเวลาเข้าไปยืนด้านใน

    แต่ก็อย่างว่า ถ้ารอนานเกินไปจนเข้าเรียนสายมันก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง ดังนั้นเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ฉันจึงต้องพาตัวเองเข้าไปในลิฟต์ทั้งที่คนยังแน่นขนัดแบบนี้

    ผ่านไปไม่นานคนก็ทยอยลงจนเหลือฉันกับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่มุมลิฟต์

    ฉันถอนหายใจออกมา ยกมือเสยผมระบายความร้อนจากสถานการณ์เมื่อกี้เงียบๆ

    ทว่า...เสียงลมหายใจของนักศึกษาผู้ชายคนนั้นทำให้ฉันที่ไม่ได้อยากจะสนใจตั้งแต่แรกต้องเคลื่อนสายตากลับไปมอง และนั่นทำให้ฉันแน่นิ่งไป

    เอย์...

    ผู้ชายคนนั้นคือเอย์ เขายืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างที่ชอบทำ การแต่งตัวไร้ระเบียบเหมือนเดิม นัยน์ตาคมกริบไม่ได้มองมาที่ฉัน เขาจ้องมองตัวเลขของลิฟต์เหมือน 'พยายามจะไม่สนใจ' สิ่งรอบข้าง

    กึก!

    แล้วเรื่องเฮงซวยมันก็ไม่ได้จบที่ตรงนั้น เพราะไม่กี่วินาทีให้หลัง ลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างปกติก็เกิดกระตุกและหยุดทำงานในที่สุด

    ลิฟต์เสีย?

    แล้วทำไมต้องมาเสียตอนที่ฉันอยู่ในนี้กับเอย์สองคนด้วย

    ...น่าหงุดหงิด

    จริงๆ ตึกนี้มีปัญหาลิฟต์เสียบ่อยมาก แต่บางทีปัญหามันก็มาจากระบบไฟที่ไม่ได้เรื่อง และครั้งนี้...เห็นได้ชัดเจนว่าสาเหตุมาจากไฟที่ดับลงอย่างกะทันหัน

    นับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่ในนี้ไม่ได้มืดมากจนมองอะไรไม่เห็น แต่เรื่องโชคร้ายคือเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันมองเห็นตัวเองในวัยเด็กซึ่งตอนนั้นมีอาการแพนิกขั้นรุนแรงจนต้องทำการรักษา

    ฉันเคยกลัวที่แคบ ซึ่งนั่นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ต่อมาเหตุการณ์ลิฟต์เสียก็ทำให้ฉันกลายเป็นคนกลัวการขึ้นลิฟต์ ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเป็นปกติอย่างทุกวันนี้ได้

    แล้วดู...

    ทำไมฉันต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์บัดซบที่สุดพร้อมๆ กับผู้ชายคนนั้นด้วย

    ตลกมาก บ้ามาก งี่เง่าจริงๆ

    ไร้การเคลื่อนไหวของลิฟต์ ความมืดก็ยังห้อมล้อมเราไว้เช่นเดิม และใช่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว มันเหมือนว่าเราต่างอยู่ในโลกของตัวเอง

    แล้วจะทำยังไง

    เวลาอยู่ในลิฟต์ สัญญาณมือถือจะไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นจะติดต่อให้ใครมาช่วยก็เป็นทางเลือกที่โง่บรมเอามากๆ

    อีกอย่าง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ลมหายใจฉันยิ่งติดขัด ความกลัวในครั้งอดีตค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกฉันทีละนิด ทีละนิด จนสุดท้ายก็ต้องเอาหลังพิงผนังอย่างไม่มีทางเลือก

    มั่นใจว่าต้องมีเจ้าหน้าที่มาช่วย แต่ถ้าช้าเกินไป...ฉันอาจช็อกได้

    “ปลดกระดุมออก” และแล้วความเงียบทั้งหมดก็ถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มของเอย์ มันดังมาจากตรงนั้นในคราวแรก และเวลาต่อมาเขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน

    “...” ฉันเงียบและมองหน้าเขา

    พรึ่บ

    กระทั่งเอย์ยื่นมือมากระชากกระดุมเสื้อนักศึกษาออกไปสามเม็ด ฉันถึงได้ผลักเขาออกอย่างรุนแรง “ใครให้นายมายุ่ง”

    ฉันถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนแรง

    คงเพราะอากาศมันไม่ถ่ายเท พัดลมระบายอากาศภายในลิฟต์ก็เหมือนจะไม่ทำงานแล้วด้วย

    เอย์ยังคงแข็งแรงและทนทานกับทุกสถานการณ์ มีเพียงฉันที่เริ่มหน้ามืด ประคองตัวเองไว้แทบไม่อยู่แล้ว

    เอย์ไม่ได้ตวาดหรือทำอะไรรุนแรงกลับมา เขาใช้เพียงสายตาเย็นชาที่ราวกับจะสื่อกรายๆ ว่า ถ้าอยากตายก็ตามใจ

    ใช่ ฉันรู้ว่าเวลาเราหายใจไม่ออก ให้รีบคลายชุดที่สวมทันที ทำยังไงก็ได้ให้หายใจได้สะดวกที่สุด และเอย์เองคงบังเอิญเห็นท่าทีน่าสมเพชของฉันเข้า

    วูบ หมับ...

    จังหวะที่ฉันเซเพราะเริ่มยืนไม่ไหว สมองมันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองอาจจะล้มลงไปกองกับพื้นแน่ แต่เปล่าเลย เอย์โอบฉันไว้ได้ทัน

    เขากอดฉัน...ก่อนจะมีเสียงหงุดหงิดดังขึ้นข้างหูว่า “...โง่เอ๊ย”

    วูบนั้นฉันเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขา จนพบว่าเจ้าของใบหน้าเรียบตึงกำลังมองฉันอยู่เช่นกัน สายตาคู่นั้นคล้ายกับจะตำหนิฉันอยู่หน่อยๆ และบางทีอาจกำลังด่าทอกันอย่างรุนแรงในใจก็ได้

    “อย่ามาแตะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพยายามผลักเอย์ออกไป แต่เขาเหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ถึงไม่มีท่าทีใดๆ ต่อคำบอกกล่าวและการผลักไสของฉันเลย

    และถ้าไม่ได้คิดไปเอง ฉันรับรู้ได้นิดหน่อยว่าอ้อมกอดนั้นแนบแน่นกว่าเดิมพอประมาณ แต่ไม่ได้อึดอัดจนหายไม่ออก เหมือนเอย์ต้องการประคองไม่ให้ฉันล้มมากกว่า

    การกลับมาเจอกันอีกครั้งของเราไม่ควรเป็นแบบนี้

    ฉันไม่อยากคุยกับเขา ไม่อยากเห็นหน้าเขา แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก เพราะทุกครั้งที่ฉันภาวนาให้เขาหายไปจากชีวิต เขายิ่งเข้ามามีบทบาทต่อสภาพอารมณ์และความรู้สึกฉันมากขึ้น

    ชาติที่แล้วทำบาปร่วมกันมาหรือไง เวรจริง...

    “...” เอย์ไม่พูดอะไรแต่ยังคงตระกองร่างฉันไว้ ส่วนฉันเองก็ยังพยายามต่อต้านและผลักไสเขาทุกครั้งที่มีโอกาส

    ไม่มีอะไรเป็นใจสักอย่าง สารรูปไม่เอื้ออำนวย หายใจแทบไม่ออก ยืนก็แทบจะไม่ไหว

    ถ้ายังไม่มีใครมาช่วย อาการฉันอาจหนักกว่านี้ก็ได้

    ความกลัวที่ขยายเป็นวงกว้างภายในจิตใจเริ่มทำให้ฉันวิตกกังวล เป็นความรู้สึกชนิดเดียวกันกับตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กแล้วเผชิญกับอาการเหล่านี้

    ฉันจำมันได้ดี และมันกลับมาเล่นงานฉันอีกครั้งในรอบหลายปี

    ฉันกลืนน้ำลายถี่ขึ้น เริ่มไม่ไหวที่จะฝืนตัวเองแล้ว แต่ปากมันหนักอึ้ง...ไม่อยากพูดอะไรออกไปให้ผู้ชายคนนี้ได้ยิน

    จนกระทั่งฉันไม่สามารถมองเห็นอะไรอีกเลยนอกจากความมืด กับเสียงทุ้มคุ้นหูที่ดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้ายว่า “พี่เกล...”

     

    ฉันตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องห้องหนึ่ง พิจารณาจากภาพรวมแล้วคงเป็นห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็โรงพยาบาลใกล้ๆ นี้

    ฉันตั้งสติแล้วทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งได้คำตอบในเวลาต่อมาว่าก่อนหน้านี้ตัวเองติดอยู่ในลิฟต์กับเอย์

    ฉันหายใจไม่ออก อึดอัด ความรู้สึกทรมานที่อธิบายไม่ได้ทำให้หมดสติไป สุดท้ายก็มาฟื้นที่นี่ ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว

    “ฟื้นแล้วเหรออีเกล!” เสียงแหลมจนแสบหูทำให้ฉันต้องเคลื่อนสายตากลับไปมอง เป็นมะเหมี่ยวเพื่อนฉันเองที่ปรี่เข้ามายืนเกาะตรงขอบเตียง “สลบนานมากค่ะ นึกว่าตาย”

    นั่นปาก?

    “...” ฉันไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยกมือคลึงศีรษะตัวเองเนื่องจากยังรู้สึกมึนๆ อยู่

    “แต่น้องเอย์คงไม่ปล่อยให้แกตายง่ายๆ หรอก รู้ป่ะ ตอนที่น้องเอย์อุ้มแกออกมาจากลิฟต์อ่ะ เท่ระเบิดระเบ้อสุดๆ ไปเลยนะ”

    “...” ฉันชะงักเมื่อได้ยินชื่อใครบางคน

    “ฉันล่ะปวดใจจริงๆ ที่แกเอาแต่ว่าน้อง ฉันก็เห็นน้องเขาดูเป็นห่วงแกดีนะ” มะเหมี่ยวยังไม่หยุดพูด พอรู้อยู่ว่ายัยนี่ติ่งเอย์ การที่มันมองเขาในแง่ดีเป็นสิ่งที่ฉันไม่ควรแปลกใจด้วยซ้ำ “ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นน้องชายแก ฉันคิดว่าเอย์คงเป็นผัวที่รักเมียมาก กลัวเมียตายอะไรทำนองนี้ไปซะแล้ว”  

    “เพ้อเจ้อ” ฉันทำเป็นไม่สนใจคำบอกกล่าวยาวยืดของมะเหมี่ยว

    เป็นห่วงเหรอ รักเหรอ

    ภายนอกกับความรู้สึกจริงๆ อาจสวนทางกันก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเอย์กำลังคิดอะไรอยู่ และฉันเองก็ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขามากไปกว่านี้แล้ว

    รกสมองเปล่าๆ

    “เหมือนแกอคติกับเขามากเกินไปว่ะอีเกล” มะเหมี่ยวยังคงทำให้ฉันหงุดหงิด “ปากแข็ง”

    “ช่างฉันเถอะ” ฉันบอกปัดแล้วเตรียมลุกขึ้นจากเตียง

    เมื่อครู่นี้ฉันเห็นนาฬิกาตรงฝาผนังแล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่าย สรุปก็ไม่ได้เข้าเรียน...น่าหงุดหงิดจริงๆ

    “พักก่อนสิ แกยังดูมึนๆ อยู่เลยนะ” ความดื้อรั้นของฉันส่งผลให้เพื่อนตัวร้ายที่วันนี้ทาปากแดงกว่าทุกทีต้องเอ่ยรั้งไว้

    แต่ฉันไม่สนใจ ในเมื่อไม่ได้เข้าเรียนฉันก็ควรกลับไปนอนพักที่คอนโดฯ ขุน ไม่มีความจำเป็นต้องนอนอยู่ที่นี่...ที่ๆ มีแต่กลิ่นยาน่าเวียนหัว

    “โอเคแล้ว”

    ลึกๆ แล้วก็ดีใจที่มะเหมี่ยวดูเป็นห่วง เพราะในกลุ่มเพื่อน มันเป็นคนเดียวที่สนิทกับฉันมากที่สุด ถึงจะไม่สุดขนาดที่ต้องเล่าทุกเรื่องให้ฟังก็เถอะ

    อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

    “เออ งั้นแล้วแต่นะ”

    หลังจากนั้นก็เดินออกมาจากห้องพัก ความไม่แน่นอนเรื่องสถานที่ถูกไขกระจ่างทันทีเมื่อเดินออกมาด้านนอก

    เป็นห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย...

     

    เรื่องน่าปวดหัวควรจะจบลงตั้งแต่เหตุการณ์ในลิฟต์แล้ว ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นานกลับพบเจอเรื่องที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่า

    โทรศัพท์มือถือฉันไม่ได้อยู่ในกระเป๋า

    มันหายไป...

    ฉันจอดรถเทียบฟุตบาธแล้วพยายามหาทุกซอกทุกมุมของกระเป๋า แต่ก็ไม่เจอ นั่นทำให้ฉันอดกระฟัดกระเฟียดกับตัวเองไม่ได้

    ให้ซื้อใหม่มันไม่ยากหรอก แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นต่างหากที่สำคัญ

    ฉันนั่งคิดอยู่พักหนึ่งก็เลี้ยวรถกลับไป เพราะวันนี้ลูกพี่ลูกน้องยัยมะเหมี่ยวแข่งวอลเล่บอล เลยมั่นใจว่ามันต้องยังไม่กลับบ้านแน่ และใช่...มันเป็นคนเดียวที่สามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้

    ใช้เวลาไม่นานก็ตามตัวมันจนเจอ แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ ไม่มีใครกล้ายุ่งกับของในกระเป๋าแกหรอกย่ะ โน่น ไปถามน้องเอย์ดู

    เอย์อีกแล้ว

    วันนี้มันวันอะไรนะ

    ฉันกลับมานั่งในรถด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ใจหนึ่งก็ไม่อยากเจอหน้าเขา แต่ใจหนึ่งก็พร่ำบอกให้ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาโทรศัพท์กลับคืนมา

    ผ่านไปเหยียบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไปหาเอย์

    ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะไปตามหาเอย์ที่ไหน เลยรอจนกระทั่งเวลาสามทุ่ม...

    เอย์ต้องไปดื่มกับผองเพื่อนที่แอลกอฮอล์แน่นอน เพราะมันเป็นร้านนั่งชิลที่เขาไปสิงสถิตเป็นประจำหลังเลิกเรียน

    ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงสี่สิบนาทีเอย์ก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมเพื่อนกลุ่มใหญ่ของเขา

    ตอนแรกฉันคิดไว้ว่าจะพุ่งเข้าไปหาแล้วถามเรื่องโทรศัพท์ตรงๆ เลย แต่...ฉันกลับนั่งรออีกหน่อย รอเวลาที่เขาอยู่คนเดียวหรือปลีกตัวไปห้องน้ำดีกว่า

    ฉันไม่ถูกชะตาเพื่อนของเขาเท่าไหร่

    ไม่อยากปรากฏตัวท่ามกลางสายตาเพื่อนๆ ของเขา

    จนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เอย์ที่ดื่มไปหลายแก้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ เขาตรงไปที่ห้องน้ำ และนี่เป็นโอกาสของฉัน

    “นาย” ฉันเดินตามเอย์ไปประมาณสิบก้าว...จนกระทั่งยอมเรียกเขา

    เอย์หันกลับมาทันที...แต่เขามองฉันแค่แป๊บเดียวก็ลากสายตากลับไป

    ราวกับไม่มีอะไรน่าสนใจ และไม่มีเหตุผลที่ต้องสนใจ “หูตึงเหรอเอย์!

    “...” เอย์ไม่ตอบ เพียงเดินเข้าไปในห้องน้ำ และทำท่าจะปิดประตูใส่หน้า แต่ฉันคว้าประตูบานนั้นไว้ได้ทัน ทำให้นัยน์ตาคมกริบเคลื่อนกลับมาจ้องฉันอีกครั้งอย่างเฉยชา “อย่ามาขวาง”

    สุ้มเสียงทุ้มต่ำพร้อมกลิ่นเหล้าทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจเล็กๆ 

    แต่ฉันไม่สน ยังคงใช้มือยึดประตูบานนั้นไว้เช่นเดิม

    เรื่องมันควรจะจบตรงที่ฉันถามเรื่องโทรศัพท์และได้มันกลับคืนมา แต่เปล่าเลย

    หมับ! พรึ่บ

    เอย์เปลี่ยนมากระชากข้อมือแล้วดึงฉันเข้าไปในห้องน้ำ...จากนั้นเสียง ตึง!!ของประตูก็ดังขึ้น

    กลายเป็นว่าตอนนี้เราอยู่ในห้องน้ำแคบๆ เพียงสองคน

    หายใจรดกัน ได้กลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ และเสียงลมหายใจระยะเผาขนของเอย์...

    “ทำอะไรของนาย!” ฉันผลักเขาออกอย่างรุนแรง และไม่ลืมถามอย่างโมโห

    แต่ผลักเขาออกด้วยความรุนแรงระดับไหนก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อห้องน้ำที่นี่ค่อนข้างคับแคบ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ที่ๆ คนสองคนจะมายืนอัดกันได้เป็นเวลานาน ดังนั้น...อยากให้เขาถอยไปไกลแค่ไหน สุดท้ายเราก็ยังอยู่ใกล้มากอยู่ดี

    “ไล่แล้วไม่ไป นึกว่าอยากเข้ามาด้วย” เอย์ตอบด้วยสีหน้าตายด้าน ก่อนจะก้มหน้าเตรียมรูดซิปกางเกงโดยที่ฉันยังยืนหงุดหงิดอยู่ตรงนี้

    เหมือนเขาจะมึนๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์นิดหน่อย

    “เอย์” นั่นทำให้ฉันต้องเรียกชื่อเขา

    “มีอะไรว่ามา” เอย์เหมือนจะฟังฉัน แต่ขณะเดียวกันก็พยายามจะจัดการธุระส่วนตัวไปด้วย

    ปกติเอย์ไม่ทำอะไรแบบนี้ เขาคงมึนๆ จากการดื่มเหล้าพอสมควร 

    “ฉันไม่ได้อยากเข้ามา นายกระชากฉันเข้ามาเอง” ฉันมองหน้าเขา

    “อืม” เอย์พยักหน้าเนือยๆ “ดูเธอเซ้าซี้ก็เลยพาเข้ามา”

    “ฉันไม่ได้เซ้าซี้ อย่าสำคัญตัวผิด” ความหงุดหงิดในก่อนหน้าที่ว่ามากแล้ว พอเจอประโยคล่าสุดของเขาเข้าไป ปริมาณก็เพิ่มขึ้นจนฉันต้องสวนกลับอย่างไม่ลังเล

    นั่นทำให้เอย์ที่ก้มหน้าในตอนแรกต้องเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาคมกล้าสงบนิ่งเอามากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความดุดันในแบบที่ไม่สามารถเห็นได้บ่อยๆ

    “แล้วเสนอหน้ามาทำไม” น้ำเสียงในคราวนี้ของเอย์เย็นเยียบ มันมาพร้อมกับระยะห่างที่ลดลง... “ไม่เซ้าซี้แล้วโผล่หัวมาให้เห็นทำไม?” 

    จนในที่สุดใบหน้าของเราสองคนก็เหลือเพียงแค่กระดาษกั้น

    “แล้วคิดว่าฉันอยากมาหานายนักเหรอ” ฉันถามกลับ จ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว

    ไม่ได้อยากมาทะเลาะ เพราะฉันเองก็คิดว่ามันเสียเวลา

    แต่ก็ต้องยอมรับว่าการคุยกันดีๆ สำหรับเราสองคนถือเป็นเรื่องยากมาก

    “แล้วเธอเป็นใคร”

    “...”

    “คนที่เดินตามต้อยๆ ฉันเมื่อกี้เป็นใคร?” เอย์เหมือนจะสมเพชฉันกรายๆ

    “ฉันเดินตามนายเอง” ฉันยอมรับ “แต่ฉันทำเพราะอยากได้โทรศัพท์คืน ได้ยินไหมเอย์” 

    เกลียดจริงๆ พวกเข้าข้างตัวเอง คิดว่าสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง

    “ทำไมต้องมาเอาคืน” เอย์ทำหน้าสงสัยนิดหน่อย “คิดว่าฉันเอาของเธอไปเหรอ จะเอาไปทำไม?”

    “...” และตอนนี้กลับกลายเป็นฉันเองที่สงสัย

    หมายความว่า...โทรศัพท์ของฉันไม่ได้อยู่ที่เขา?

    แล้วมันอยู่ที่ใคร?

    “แค่อุ้มเธอออกมาจากลิฟต์เพราะความเวทนาก็เต็มกลืนแล้ว...” 

    คำบอกกล่าวที่ฟังยังไงก็รับรู้ได้ถึงความขยะแขยงทำให้ฉันมือสั่น

    ไม่ได้สั่นเพราะกลัว ไม่ได้สั่นเพราะเสียใจ

    แต่สั่นเพราะ...

    “แล้วใครใช้ให้นายอุ้มฉันออกมา” ฉันถามอย่างมีน้ำโห และคำถามนั้นทำให้ฉันเห็นบางอย่างจากแววตาเขา แต่มันปรากฏออกมาเพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นก่อนจะเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย “ฉันขอนายเหรอเอย์”

    “ไม่ได้ขอ” เอย์ตอบทันที “แล้วฉันต้องทำไง”

    “...”

    “ต้องปล่อยเธอไว้คนเดียวเหมือนที่เธอทำกับฉันเมื่อเดือนก่อนเหรอ?” คำพูดของเอย์แฝงไปด้วยความโกรธ ความเสียใจ รวมถึงความเจ็บปวดในแบบที่ฉันเองก็สามารถรับรู้ได้

    ฉันจ้องหน้าเขา เหมือนจะเห็นหยาดน้ำตาคลอหน่วย แต่...ฤทธิ์แอลกอฮอล์มีส่วนที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น ดื่มมากๆ ตาก็แดงก่ำได้เหมือนกัน

    เขาไม่มีทางเสียน้ำตาเพราะฉันแน่

    “แค้นนักทำไมไม่ทำ” ฉันถามเสียงเรียบ ข่มความรู้สึกบางชนิดไว้ใต้ขั้วหัวใจ...

    “ถ้าฉันทำจริงเธอทนไม่ได้หรอก”

    “...”

    “ฉันเจ็บ แต่คนที่เจ็บกว่ามันคือเธอ น่าจะรู้ตัวดี”

    "..."

     

    Aey Describe

    ผมตื่นขึ้นมาในห้องๆ หนึ่งแล้วพบว่าตัวเองนอนเปลือยอยู่บนเตียงกับผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกตามตรงว่าคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

    เธอเปลือยเหมือนผม...

    รอยช้ำเต็มตัว

    มุมปากปริ่มเลือด

    เกล...?

    “เหี้ย” ผมสบถออกมาอย่างลืมตัวเมื่อพบว่าเกลหลับสนิทอยู่ข้างๆ พร้อมหลักฐานซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคน

    ยิ่งเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องแล้วเจอกับเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้ หัวใจผมยิ่งกระตุกวูบ...

    เมื่อคืนผมเจอเกลที่แอลกอฮอล์ ผมคุยกับเธออย่างดุเดือด และเพราะความโมโห...หลังแยกกับเธอผมจึงดื่มต่ออีกหลายแก้ว

    ผมว่าผมคงเมามาก นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย

    ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนอื่นยังพอทน แต่นี่ดัน...เป็นเกล ผู้หญิงที่ผมลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายในชีวิตอีก 

    ผมเก็บความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นกลางอกเงียบๆ ก่อนจะสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างราวๆ ห้านาที

    มีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือผมพบเศษกระจกซึ่งแตกกระจายอยู่ข้างๆ ประตูห้องราวกับเกิดสมรภูมิขนาดย่อมในช่วงเวลาที่ผมไร้สติ

    กระจกแตกขนาดนี้ เรา...รุนแรงกันขนาดไหน?



    MA-NELL'S ZONE
    อ้าว ยังงายย กระจกเเตกเลย
    ป.ล เปิดพรีวันที่ 5 มกราคมนะคะ ใครอยากได้ เกียมเงินไว้เลอ

    ติดเเท็ก #ผู้หญิงแพศยา



    ป.ล ขอพื้นที่ฝากนิยายน้องหน่อยนะคะ
    เป็นน้องนักเขียนของเมย์เองง มาเร๊วว จิ้มๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×