ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #1 : #ผู้หญิงแพศยา :: Prologue & Episode 1 {ครบ}

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 61



    -P R O L O G U E-

     ปฐมบทของผู้หญิงแพศยา


             “อึกๆ! อี...อึก...”

             ถ้อยคำหยาบคายที่พยายามจะเปล่งออกมาถูกทำลายลงทุกครั้งด้วยมือข้างหนึ่งของเกล...เธอขยุ้มปลายเล็บเเหลมคมบนเส้นผมยาวสลวยเต็มแรงพร้อมทั้งกดศีรษะของอีกฝ่ายลงบนอ่างล้างหน้าซึ่งในขณะนี้มีน้ำเย็นเฉียบบรรจุอยู่เต็มอ่าง

             เสียงสะอึกสะอื้นที่ฟังดูแล้วเหมือนคนใกล้ตายเต็มทีไม่ได้ทำให้เกลมีความคิดอยากจะปล่อยมือ...เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอเจอแล้ว แค่นี้ยังน้อยไป

             บางทีสิ่งที่เกลต้องการคงเป็นการ...เห็นอีนี่ตายไปต่อหน้าต่อตาก็ได้

             “ทำไม?” เกลกระซิบถามขณะที่สองตาสะท้อนภาพผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่เธอรู้จักดี คนที่เคยเป็นเหมือนเพื่อนตาย แต่ในวันหนึ่ง...คนๆ นี้กลับทำลายชีวิตเธอ เหยียบขยี้ความเชื่อใจที่เธอมีให้จนไม่เหลือชิ้นดี

             แทบจะไม่เหลือซากให้ดูต่างหน้าด้วยซ้ำ

             นานเหมือนกันจากวันนั้นสู่วันนี้ เรียกได้ว่าเธอก้าวผ่านความเสียใจเเละจุดที่นั่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังมาเเล้ว 

                เธอควรจะเฉยชากับเศษขยะ แต่ว่า...ถ้าไม่กำจัดทิ้ง มันก็จะส่งกลิ่นเหม็นเน่าต่อไป 

             “แกจะฆ่าฉันหรือไง...อึก” เกลมองหน้าเจ้าของคำถาม น้ำเสียงแบบนั้นฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ยิ่งพบกับสองมือเล็กที่เกร็งจนเห็นเส้นเลือดก็ยิ่งสงสาร

             สงสารจนอยากหัวเราะ...

             “ก่อนจะถามแบบนั้น ลองคิดดูดีๆ ก่อนว่าแกเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง” เกลเพิ่มแรงกระตุกเส้นผมของฝ่ายเสียเปรียบจนได้ยินเหมือนมีอะไรขาด ใบหน้าที่แหงนขึ้นตามแรงกระชากแดงเถือก หอบหายใจอย่างทรมานราวกับนี่เป็นวาระสุดท้ายของชีวิต

    ...สารรูปดูไม่ได้

    “ฉะ ฉันไปทำอะไรแก” คำถามนั้นฟังแล้วเหมือนคนใส่ซื่อ แต่สำหรับเกล...นี่เป็นการเสแสร้ง หรือจะเรียกอีกอย่างว่าตอแหลก็ย่อมได้ “อึก...โอ๊ย”

    “ดีเลย” ริมฝีปากสีแดงก่ำขยับ “งั้นก็ตายไปพร้อมกับความโง่ซะ”

    มาลองทายกันดูว่าสิ้นคำบอกกล่าวแสนเย็นเยียบของเธอ...มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น


    **********

    -E P I S O D E 01-

    Describe:: Gale

    4ปีก่อน ณ โรงอาหารกลางของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง

    เพล้ง!

    “อีโง่ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!

    พลั่ก...

    คำด่านั้นสาดใส่ฉันพร้อมแรงผลักที่มหาศาล เพราะมัวแต่ตื่นตระหนกและหวาดกลัว ทำให้ฉันซึ่งเดิมทีสู้ใครไม่ได้อยู่แล้วถลาและล้มลงจนได้ยินเสียง ตุ๊บตามมา แน่นอนว่าทันทีที่หัวเข่ากระแทกพื้น...ความเจ็บปวดเป็นสิ่งแรกที่โจมตีฉัน

    “...” ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมทั้งก้มหน้าลง มองเศษอาหารกับจานที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพียงไม่นานก็เงยหน้าขึ้น ตอนนั้นจึงพบว่าผู้หญิงคนเดิมกับเพื่อนของเธอกำลังใช้สายตาชนิดหนึ่งมองฉัน

    เป็นสายตาที่แม้แต่เด็กอนุบาลยังมองออกเลยว่ากำลังโดนดูถูก

    และใช่...ต่อให้เหตุการณ์เมื่อกี้เป็นความจงใจของใครอีกคนที่เข้ามากระแทกฉันจนทำให้เกิดเรื่อง แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้อธิบายจนปากฉีกถึงหู ก็อย่าหวังว่าคนพวกนี้จะเปิดใจรับฟัง

    และต่อให้ได้ฟังความจริงแล้ว ยังไงในสายตาของคนกลุ่มนี้ ฉันก็ยังคืออีเฉิ่ม อีแว่น และอีหน้าโง่...

    เพื่อนร่วมชั้นมองฉันเป็นเหมือนเบ้ที่คอยรับใช้และอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งนั่นรวมไปถึงการถูกข่มเหงรังแก

    ในแต่ละวันฉันได้แผลกลับบ้านไม่ต่ำว่าห้าจุด แผลทางกายน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่บาดแผลทางจิตใจมันสาหัสมาก ฉันต้องแบกรับความปวดร้าวแบบนั้นมานาน นานจนความเจ็บปวดค่อยๆ พัฒนาไปเป็นความแค้น 

    “มองทำไม แกเป็นคนทำก็เก็บสิ” ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน ชื่อเพลง...เธอบอกว่าตัวเองแสนจะเฟียซ แต่เธอคงแยกระหว่างคำว่า เฟียซ' กับ 'เหี้ยไม่ออกล่ะมั้ง

    ฉัน...ทำได้แต่ด่าในใจ

    “เราไม่ได้ตั้งใจนะ” ฉันเค้นเส้นเสียงที่สั่นระริกออกไป แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มเหยียดหยัน...แม้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ต่างกับการด่าฉันด้วยถ้อยคำแรงๆ เลยสักนิด

    เห็นไหม คนพวกนี้ไม่ฟังหรอก

    ต่อให้กรีดร้องจนสุดเสียง ตราบใดที่คนๆ นั้นคือฉัน...มันก็ไร้ความหมาย

    เปล่าประโยชน์ชะมัดเลยเกล

    “จะยอมเก็บดีๆ หรือให้ฉันเอา เรื่องนั้นไปบอกพ่อของแก” เพลงรู้ว่าตัวเองได้เปรียบกว่าฉันหลายขุม ไม่แปลกที่เธอจะหยิบเรื่องพ่อมาข่มขู่กัน

    ยอมรับว่านัยน์ตาคู่นั้นยามจ้องมองฉันทั้งเลือดเย็นและน่ากลัว...นี่เป็นสายตาของคนที่อายุเพียง 17 ปีเท่านั้น

    โลกเรามันเปลี่ยนไปแล้ว คนเลวไม่จำเป็นต้องอายุมากหรือเป็นผู้ใหญ่ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม หรือบางทีก็อยู่ที่ กมลสันดานล้วนๆ

    เด็กอายุสิบขวบยังรังแกเพื่อนจนเข้าโรงพยาบาลได้ นับประสาอะไรกับเพลงอายุ17ปี...คนที่เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เรียนดี กิจกรรมเด่น

    เธอเคยทำพฤติกรรมแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกันแต่ไม่เคยถูกลงโทษ ถ้าถามว่าทำไม...คำตอบง่ายๆ คือพ่อของเธอเป็นเพื่อนสนิทกับผู้อำนวยการโรงเรียน

    แฟร์สุดๆ ไปเลย

    “...เราจะเก็บ” เพราะเสียเปรียบเต็มประตู ฉันจึงไม่มีทางเลือก...ก้มหน้ารับชะตากรรมด้วยการเก็บซากจานอย่างช่วยไม่ได้

    ไม่เป็นไร

    ไม่เป็นไร

    ฉันบอกตัวเอง...และในชีวิตนี้ฉันพูดคำนี้มาไม่ต่ำว่า 200 ครั้ง  

    จนกระทั่งฉันได้เจอ ผู้ชายคนนั้น’ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

     

    ปัจจุบัน

    มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกประสาทเสีย...

    หนึ่งในนั้นคือการที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่แล้วพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงเพียงคนเดียวอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับมีผู้ชายคนหนึ่งในสภาพเปลือยเปล่ากับรอยเล็บมากมายบนตัวนอนอยู่ข้างๆ กัน...

    เพียะ!

    ไวเท่าความคิด ฉันใช้มือฟาดลงกลางศีรษะของอีกฝ่ายทันที ทำเอาเขาขมวดคิ้วตอบรับกลับมาเป็นสิ่งแรก ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นเป็นอย่างที่สองทั้งที่ยังสะลึมสะลือ

    “เมื่อไหร่จะหยุดทำตัวเร่ร่อนมานอนห้องคนอื่นสักที” ทันที่นัยน์ตาคมกริบถูกเปิดแล้วสะท้อนภาพฉัน...ฉันไม่รอให้เขาได้ปริปากพูดอะไรก็ยิงคำถามที่ต่อให้ไม่มีการกระชากกระชั้น แต่มั่นใจว่าคนฟังต้องเข้าใจสภาพอารมณ์ของฉันในตอนนี้ดี

    ที่ถามแบบนี้เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอเขาในตอนเช้า มันไม่แปลกก็จริง เเต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรชาชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาพเปลือยๆ ของเราสองคน

    “นี่บ้านเธอ” เสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วมีเสน่ห์แต่น่ารังเกียจสำหรับฉันดังขึ้น

    เขายังนอนอยู่...นอนอยู่บนเตียงของฉัน แถมยังจ้องมองฉันด้วยสายตาเฉื่อยชา

    ชื่อของเขาคือเอย์

    “รู้แล้วก็ไสหัวไป” ฉันพยักพเยิดหน้าไปทางประตู ถ้าไม่จำเป็นฉันจะไม่มีเรื่องกับพวกปลายแถว การเจียดเวลาคุยด้วยในครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีสถานะใกล้เคียงการเป็น พี่น้องมากกว่า

    ฉันแค่บอกว่า ใกล้เคียงแต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นจริงๆ เพราะต่อให้แม่ของเขาเพิ่งเข้ามาในบ้านได้ไม่นานในฐานะเมียใหม่พ่อ ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องญาติดีด้วย

    ครอบครัวฉันเรียกได้ว่าร่ำรวย มีเงินใช้ได้ทั้งปีทั้งชาติ ธุรกิจด้านดนตรีที่พ่อเป็นคนก่อตั้งกำลังไปได้สวยและกำลังถูกจับตามอง การที่สายธาร...แม่ของเอย์เข้ามาในช่วงที่พ่อกำลังขาขึ้น ทำให้ฉันคิดไปเองแล้วว่าเธอมาเพื่อเกาะพ่อฉันกิน  

    ไม่มีปัญญาหาเงินใช้ก็ทำตัวน่าสมเพชด้วยการบีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสาร แถมยังเชิดหน้าชูคอทำตัวเป็นใหญ่ในบ้านอย่างหน้าไม่อาย เห็นแล้วขยะแขยงจริงๆ

    “แต่ตอนนี้ก็เหมือนบ้านฉัน” น้ำเสียงของเอย์เรียบเรื่อยไม่ทุกข์ร้อน “หรือเธอจะเถียง...”

    “...” ฉันปรายตามอง ไม่อยากเปลืองน้ำลายไปกับการบริภาษเขา เพราะสุดท้ายแล้วภาษาคนก็ไม่มีผลกับคนจำพวกนี้

    และแน่นอน ฉันจะไม่ตั้งคำถามว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน  

    เพราะต่อให้รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ กับการเจอเอย์ในสภาพเปล่าเปลือยบนเตียงตัวเอง เเต่เขาก็ไม่ได้สำคัญขนาดที่ฉันจะมานั่งโอดครวญ

    ก็แค่ไอ้บัดซบคนหนึ่ง 

    เพราะความหน้าด้านหน้าทนของเอย์ บวกกับการที่ฉันรู้นิสัยเขาเป็นอย่างดี สุดท้ายจึงปล่อยให้เขานอนอยู่บนเตียงต่อไป ส่วนตัวเองลุกขึ้นเตรียมอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน

    ระหว่างนั้นสองตาฉันเหลือบเห็นชุดของเราสองคนกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันเห็นถุงยางอนามัยใช้แล้วตกอยู่ไม่ไกลจากปลายเท้าตัวเอง

    เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว

    ฉันเก็บความคิดหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวอย่างเงียบเชียบ ไม่ตื่นตระหนกและทำได้เพียงแค่เดินผ่านสิ่งเหล่านั้นไปอย่างเฉยชา

    อย่าหวังว่าวิธีเดิมๆ จะใช้ได้ผล

    อย่าหวัง...

     

    “เกลตื่นแล้วค่ะ”

    ฉันใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นานนัก และทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างของบ้านก็พบว่าพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ตรงโต๊ะทานข้าว ส่วนเสียงเมื่อกี้...เป็นของสายธาร เมียใหม่พ่อ

    เธอส่งยิ้มให้ฉันอย่างหวาดหยด ถ้าใครไม่รู้นิสัยที่แท้จริงของเธอ คงมองว่าเธอเป็นนางฟ้าตกสวรรค์

    และใช่ เพราะฉันรู้จนหมดไส้หมดพุง ถึงมองออกว่าสิ่งที่เธอทำอยู่คือการเสแสร้ง ทว่าการเสแสร้งของเธอ พ่อมองว่าเป็นความหวังดีที่เธอมีให้ฉันอย่างบริสุทธิ์ใจ

    อยากจะอ้วก...

    “มาคุยกันก่อน” ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่กินข้าวเช้า แต่เมื่อเจอสายตาตำหนิกับน้ำเสียงดุดันของคนเป็นพ่อ ฉันจึงต้องทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามท่าน “ได้ข่าวว่าเมื่อคืนเมาเหรอ แกดื่มอีกแล้ว?”

    “ใช่ เกลดื่ม” ฉันยอมรับแล้วชำเลืองตามองสายธารที่นั่งอยู่ข้างพ่อ รอยยิ้มหวานๆ เมื่อครู่นี้กลายเป็นรอยยิ้มฉาบพิษไปแล้วเรียบร้อย “สายธารฟ้องสินะ”

    “พูดให้มันดีๆ อย่างน้อยสายธารก็มีศักดิ์เป็นแม่ของแก” เสียงขุ่นเขียวของพ่อทำให้ฉันสูดลมหายใจเข้าปอด

    เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับฉันมาไม่ต่ำกว่าห้าสิบครั้งนับตั้งแต่ที่สายธารก้าวเข้ามาในบ้าน มันกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อพ่อ มีส่วนในการตัดสินใจของท่าน ส่วนฉัน...แค่ขยับตัวนิดเดียวก็ผิดแล้ว

    “เกลมีแม่คนเดียว” ฉันบอก “ต่อให้พ่อมีเมียใหม่อีกสักกี่คน คนพวกนั้นก็มาแทนแม่ไม่ได้”

    “แต่แม่แกตายแล้ว!” พ่อขึ้นเสียง ราวกับต้องการปลุกให้ฉันตื่นจากความฝัน

    อ้อ ใช่สิ แม่ตายแล้ว...

    “สาเหตุมันมาจากพ่อไง” ฉันจ้องหน้าพ่อโดยที่ใบหน้ายังคงราบเรียบ 

    ต่อให้หัวใจเจ็บปวดจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง แต่ฉันเลือกที่จะเก็บความทรมานนั้นไว้กับตัวเอง เป็นตายร้ายดียังไง...ฉันจะไม่เผยด้านอ่อนแอให้สายธารเห็น “เพราะพ่อนอกใจแม่ไปหามัน”

    “เกล! พ่อไม่เคยสอนให้แกก้าวร้าว” พ่อตาแดง ไม่ได้จะร้องไห้หรอก แค่โกรธที่ฉันพูดความจริงแล้วมันกระแทกใจมากกว่า

    “คุณคะ ไม่เป็นไรค่ะ” สายธารเอื้อมมือไปแตะแขนพ่อ ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลลื่นหู ท่าทีของเธอเหมือนนางเอกละครน้ำเน่าที่ต่อให้ถูกกระทำก็พร้อมจะให้อภัย “เกลยังเด็ก”

    สายธารเคลื่อนสายตามาทางฉัน

    ใช่ เมื่อเทียบกับสายธารแล้ว ฉันยังเด็ก...เด็กกว่าเธอมาก

    แต่แปลกนะ ทั้งๆ ที่อายุเยอะกว่าฉันเป็นสิบยี่สิบปี แต่ยังกล้านอนถ่างขาให้ผัวชาวบ้านจนได้เข้ามาอยู่ในที่ๆ ตัวเองอยากอยู่ แถมหลายๆ ครั้งยังพยายามไซโคพ่อ ทำให้ท่านหงุดหงิดเรื่องฉันอยู่บ่อยๆ

    สายธาร...เธอมันดอกทองจริงๆ

    “อายุ 21 ไม่เด็กแล้วนะ โตพอจะคิดได้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ” พ่อยังคงต่อว่าฉัน เหมือนท่านมองเห็นความผิดของคนอื่นหมดยกเว้นความผิดของตัวเอง

    อย่าให้ได้ร่ายเลยว่าฉันกับแม่ต้องเจอกับอะไรบ้างจากผู้ชายคนนี้...คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเสาหลักของบ้าน คนที่เคยบอกว่ารักแม่ยิ่งกว่าสิ่งใด

    ...คนที่เคยอบอุ่นและอ่อนโยนกับฉัน

    แม่น่ะยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ

    แต่พ่อ เหมือนตัวตนของท่านได้ตายไปแล้ว

    “เกลไปก่อนนะคะ” ฉันมองพ่อที่กำลังเดือดจัดอย่างเฉยชา ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากบ้านทันที

    นาทีถัดมาฉันพบว่ารถของตัวเองจอดอยู่หน้าบ้าน คิดว่าเมื่อคืนคงมีเพื่อนสักคนขับรถมาส่งฉันเพราะเมาจนขับเองไม่ได้

    ฉันไม่ได้ตั้งคำถามอะไรมากมายนัก เลือกที่จะสตาร์ทรถแล้วขับออกมาจากบริเวณบ้านทันที วันนี้มีเรียนเที่ยง ยังเหลือเวลาอีกถมเถ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่รีบร้อน

    แต่จังหวะที่รถเคลื่อนตัวผ่านจุดๆ หนึ่งแล้วบังเอิญหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ฉันจึงค่อยๆ ชะลอรถกระทั่งจอดสนิทเทียบฟุตบาธในที่สุด

    ฉันควรเข้าไปช่วย...แต่เลือกที่จะนั่งมองภาพเหตุการณ์นั้นอย่างเงียบเชียบ

    ผู้หญิงคนนั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนฉันเอง แต่เราไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่

    มันมีหลายสาเหตุ...แต่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอีกที

    ดูจากรูปการแล้ว เหมือนมันไปสร้างศัตรูมาเพิ่มอีกแล้วล่ะมั้งถึงถูกลากมาจัดการในจุดที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ 

    ซึ่งฉันถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะขนาดกับเพื่อนในกลุ่ม...ยังสร้างรอยร้าวต่อกันได้ขนาดนี้

    “...” ฉันนั่งมองภาพนั้นผ่านบานกระจกรถที่ติดฟิล์ม มันถูกผู้หญิงอีกคนผลักจนเซ ด้วยส่วนสูงและสัดส่วนที่ต่างกัน ไหนจะจำนวนคนของอีกฝ่ายที่มีมากกว่า ทำให้มันเสียเปรียบและดูอ่อนปวกเปียกไปเลย

    ไหนว่าเก่ง...

    ฉันยังคงเฉยชา กระทั่งมันถูกอีกคนตบจนหน้าหันและล้มลงไปกองกับพื้น วูบนั้นมันพยายามสอดส่ายสายตาเหมือนต้องการความช่วยเหลือ กระทั่งหันมาเจอรถของฉันที่จอดอยู่พอดี

    กระจกติดฟิล์มแบบนี้มันมองไม่เห็นหน้าฉันหรอก แต่มันจำยี่ห้อและทะเบียนรถฉันได้ถึงได้ทำตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง

    เกล ช่วยด้วย

    ฉันอ่านปากมันทั้งๆ ที่มีระยะห่างระหว่างกันหลายสิบเมตร

    เกลๆๆ มาช่วยที

    ฉันยิ้มและยังคงนั่งอยู่ในรถ

    ทำเป็นลืมไปได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยเมินเฉยคำร้องขอของฉันแล้วเลือกผู้ชายมากกว่าเพื่อน ฉันเคยเกือบตายก็เพราะมัน โดนกับตัวเองดูสักครั้งคงไม่เป็นไร

    ฉันยังรอดมาได้ มันเองก็คงไม่ตาย

    อย่างมากคงแค่ปากแตก เสียโฉม หรืออาจจะพิการ...

    อึก...ไม่ มะ...ไม่เอา

    เมื่อเห็นหน้ามัน ฉับพลันที่ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในหัว เหตุการณ์นั้นเหมือนแผ่นหนังที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ...จนกระทั่งฉันตัดสินใจที่กระชากความทรงจำน่ารังเกียจออกจากสมองแล้วลากสายตากลับมา ความแค้นที่เกาะกุมหัวใจทำให้ฉันเมินเฉยคำร้องขอของมันอย่างเลือดเย็น

    และใช่ สิ่งที่ฉันทำเป็นลำดับถัดมาคือขับรถจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้มันเผชิญหน้ากับผู้หญิงพวกนั้นเพียงลำพัง

    เจ็บบ้างก็ดี เจ็บให้มันได้สักเสี้ยวหนึ่งของฉัน

    ครืดๆ

    หลังจากนั้นเพียงไม่นาน การสั่นเตือนของโทรศัพท์ก็ทำให้ฉันต้องใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายที่วางไว้บนเบาะข้างๆ ก่อนจะกดรับโดยไม่ได้มองก่อนว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา

    [ตื่นยัง] กระทั่งปลายสายกรอกเสียงถาม ฉันจึงได้คำตอบ

    “ถ้าไม่ตื่นจะรับสายนายแบบนี้ไหม...ขุน?” ฉันถามกลับจนได้ยินเสียงหัวเราะร้ายๆ กลับมา และใช่ ชื่อของเขาคือขุน เป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทด้วย เรารู้จักกันตอนที่ฉันประสบปัญหาบางอย่างและได้เขาช่วยเหลือเอาไว้ “โทรมาทำไม กำลังขับรถ”

    [ก็เมื่อคืนเธอเมาเลยอยากรู้ว่าตื่นมาจะขับรถไหวไหม กลัวแฮงก์]

    “ตอนนี้โอเค” ฉันตอบไปตามความจริง “เมื่อคืนใครมาส่งฉัน นายหรือเปล่า?” ก่อนจะถามต่อ

    […] แต่คำถามนั้นของฉันทำให้ปลายสายเงียบไป

    “ทำไม พูด” ฉันยังคงโทนเสียงไว้เหมือนเดิม แต่คำพูดก็สื่อชัดเจนแล้วว่าต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้และตอนนี้

    [ไอ้เอย์ น้องชายเธอ]

    “...เหอะ” ฉันแค่นหัวเราะออกมาเมื่อได้รู้ความจริงเรื่องนี้

    [เมื่อคืนมาถึงมันก็ลากเธอออกไปเลย ไม่ได้ทำไรใช่ไหม?]

    “อืม” ฉันตอบสั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกันซักถามจากขุน ส่วนหนึ่งคือรู้อยู่เต็มอกว่าเมื่อคืนเอย์ทำอะไรกับฉันไว้บ้าง

    สังเกตจากถุงยางที่ใช้แล้ว ฉันเห็นมีมากกว่าหนึ่ง...นั่นเท่ากับว่าเมื่อคืนระหว่างเรามันเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่าสองครั้งโดยที่ฉันเองก็จำอะไรแทบไม่ได้เลย

    เอย์รู้ว่าฉันรังเกียจเขา แค่มองหน้าและคุยกันดีๆ ยังไม่อยากทำ ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ฉันเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เมา ตอนไม่สบาย เขามักจะฉวยโอกาสทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ทุกที

    ฉันถึงได้บอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเรา

    หลังจากนั้นฉันคุยกับขุนต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะวางสาย

    ทว่าวางสายได้เพียงไม่นานก็มีใครอีกคนโทรเข้ามาเหมือนรอจังหวะ ฉันที่ตรึงสองตาไว้เพียงท้องถนนจึงกดรับโดยไม่มองหน้าจอเหมือนเดิม

    “ว่า?”

    [ยัยลูกนิสัยเสีย...] เสียงเข้มที่แฝงไปด้วยความคุกรุ่นทำให้ฉันได้คำตอบตั้งแต่วินาทีแรก จะเป็นใครถ้าไม่ใช่...พ่อ [แกทิ้งน้องได้ไง]

    “...?” ฉันไม่เข้าใจ

    “รถน้องเสีย กลับมารับน้องไปเรียนด้วยเดี๋ยวนี้!

    น้องที่ว่าคงหมายถึงเอย์ที่ นอนกับฉันเมื่อคืนสินะ

    “แล้วมันขึ้นรถเมล์ไม่เป็นเหรอพ่อ” ฉันถามเพราะคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองต้องมารับผิดชอบ

    อีกอย่าง เอย์มีทั้งบิ๊กไบค์ที่เขาทำงานเก็บเงินตั้งแต่เด็กเพื่อซื้อมัน ไหนจะรถยนต์ยี่ห้อดังของผัวเก่าสายธารอีก จะบอกว่ารถมันเสียทั้งสองคันพร้อมกันว่างั้น? “เกลมาไกลแล้ว ให้มันหาทางไปเรียนเอง”

    เพราะฉันรู้ว่านี่เป็นแผนของเอย์จึงได้กล้าปฏิเสธ และต่อให้รถของเขาเสียขึ้นมาจริงๆ ฉันก็ไม่ย้อนกลับไปรับแน่

    “พ่อต้องรีบไปทำธุระกับสายธาร ทางที่พ่อไปมันคนละทางกับมหาลัยด้วย” พ่ออธิบายเมื่อฉันบอกปัดความต้องการของท่านที่มีต่อเอย์ “นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง”

    ฉันแทบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้มข้นของคนเป็นพ่อ

    ดูสิ่งที่พ่อปฏิบัติกับลูกในไส้อย่างฉันและลูกเมียใหม่อย่างเอย์สิ

    ดี...ดีจริงๆ

    “แล้วเกลจะได้อะไร” คนอย่างฉัน...ถ้าต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน การที่ต้องเสียเวลาเพื่อวกรถกลับไปรับเขา ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันไม่คิดจะทำตั้งแต่แรก

    “แกจะยังมาต่อรองอีกหรือไง” พ่อดูหัวเสียไม่น้อย ถ้าฉันอยู่ตรงหน้าท่านคงหนีไม่พ้นการถูกต่อว่า หนักขึ้นมาหน่อยคงถูกตีจนช้ำ...เหมือนอย่างที่ฉันเคยเจอมา “ไปเอานิสัยนี้มาจากใครนะ พ่ออยากรู้จริงๆ”

    “...” ฉันเงียบ โทรศัพท์ในมือถูกฉันบีบอย่างรุนแรง...แรงจนความเจ็บแผ่ลามไปทั่วฝ่ามือข้างเดียวกัน

    “ค่อยว่ากันอีกที มารับน้องก่อน เหมือนน้องจะเรียนสิบเอ็ดโมง” คำบอกกล่าวของท่านทำให้ฉันต้องเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ซึ่งเป็นข้างเดียวกับมือที่กำลังบังคับพวงมาลัย 

    สิบโมงครึ่งแล้ว...

    “ค่ะ” ฉันขานรับสั้นๆ อย่างจำใจ

    คำว่า ค่อยว่ากันอีกทีของท่านมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แต่เชื่อได้เลยว่าฉันจะไม่ยอมให้การกล้ำกลืนนี้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์

    หลังจากที่พ่อวางสาย ฉันก็หาทางยูเทิร์นกลับ แต่...

    End Describe

     

    Describe:: Aey

    ผมกำลังแกล้งเกล

    ความจริงวันนี้ผมไม่มีเรียน ผมโกหกพ่อเธอว่ารถเสียและมีเรียนสิบเอ็ดโมง...แต่ตอนนี้สิบเอ็ดโมงครึ่งเข้าให้แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่ายัยแม่มดจะปรากฏตัว

    เมื่อมันนานเกินไปจนมีความคิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเมินเฉยและจงใจปล่อยให้รอ ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาเธอทันที แต่รู้ไหม...เธอไม่รับสายผม

    ถึงแม้ว่าเธออาจต่อรองพ่อเพื่อแลกกับการเจียดเวลามารับผมไปเรียน แต่ผมว่าเธอแกร่งพอจะมองว่าการถูกพ่อบริภาษหรือโดนลงโทษเป็นเรื่องเล็กน้อย ดีไม่ดีเธออาจมองว่ามันโคตรจะไร้สาระด้วยซ้ำ

    เธออยู่ในจุดที่ไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร

    เกล เกวารินทร์...ผมรู้จักเธอดี 

         MA-NELL'S ZONE

    เหมือนจะเป็นแนวที่ถนัด เเต่เอาเข้าจริงๆ คือยากมาก ทุกวันนี้กว่าจะเเต่งได้แต่ละฉากใช้เวลาเป็นชั่วโมง ฮือออ55555

    เม้นต์ๆ ด้วยน้า เรารออ่านอยู่

    ติดเเท็ก #ผู้หญิงแพศยา





    เกล
    'สารเลว ใจร้ายกว่าที่ทุกคนคิด'

    เอย์
    'ร้ายลึก เน้นทำมากกว่าพูด'

    ขุน
    'ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ชายคนนี้'

    แพน

    ผา

    ต้าร์

    โฟร์

    กิ่ง
    ฟ่าง & ดิน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×