สายตาของคนคอย
ในขณะที่คุณเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ คุณรู้หรือไม่ว่ามีใครคอยคุณอยู่....
ผู้เข้าชมรวม
206
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ในวันที่ท้องฟ้ามืดมน เมฆก้อนโตสีดำเคลื่อนที่เข้าหากันดูน่ากลัว
มันเป็นสัญญาณบอกว่า...บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น และแล้ว
ฝนเม็ดเล็กๆเริ่มโปรยปรายลงมา ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นึกหวังที่จะให้มีเม็ดฝนเม็ดแรก
ตกลงบนปลายจมูก เพราะว่าอะไรน่ะหรอ ก็เพราะว่า คนที่ฉันรักคนหนึ่งเขาบอกกับฉันว่า
"ถ้าเม็ดฝนเม็ดแรกที่ตกลงมาจากฟ้า ตกลงมาโดนปลายจมูกของใคร
คนนั้นเมื่อจะขออะไรก็สมหวังทุกประการ"
ฉันนึกก็พลางยิ้มให้กับตัวเองว่าโตจนปานนี้แล้วยังจะมีความหวัง เชื่อคำหลอกเด็กแบบนั้นอีก ฝนเริ่มตกลงมาหนักกว่าที่คิดไว้ ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่าช้าๆเมื่อกี้ เริ่มเร่งฝีเท้า จากเดินเป็นวิ่ง จนดูขวักไขว่ ในที่นี้มีคนมากมาย ร้อยพ่อพันแม่แต่ที่แน่ๆคือ ฉันไม่รู้จักใครในที่นี้เลยซักคน หลายคนเริ่มกางร่ม ฉันจึงนึกขึ้นมาได้ว่าฉันเองก็มีร่มอยู่ในกระเป๋าเหมือนกัน ฉันค่อยๆดึงร่มสีหม่นออกมากาง
พลางนึกในใจว่า...ทำไมน้า ....ช่วงนี้ชีวิตฉันถึงไม่มีเรื่องอะไรดีๆผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง
ชีวิตคนเราเกิดมาทั้งทีมันทำไมถึงแย่อย่างนี้ ฉันคิดพลางถอนหายใจ
"เฮ้อ..................น่าเบื่อจัง"
ทันใดนั้นฉันก็เหลือบไปเห็น ผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่ง
แกกำลังพยายามจะเข้าไปหลบฝนใต้หลังคาที่รอรถประจำทาง ซึ่งแทบจะไม่มีที่ว่าง
เพราะที่รอรถนั้นก็อัดแน่นที่เต็มไปด้วยผู้คนที่รอรถอยู่และผู้ที่เข้ามาหลบฝนชั่วคราว ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า บางคนแม้มีร่มอยู่ในมือแล้วทำไมมีใครยอมที่จะเสียสละที่ว่างซักเพียงซักนิด
ให้ยายแก่ๆคนนั้นเข้าไปหลบฝนสักหน่อยแล้วตัวเองก็ใช้ร่มที่อยู่ในมือใช้ให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้แทนการถือประดับไว้ในมือเปล่าๆ ฉันมองซ้ายมองขวา พยายามที่จะข้ามถนนไปอีกฟากให้เร็วที่สุดขณะเดียวกันก็รู้สึกหงุดหงิดรถที่วิ่งสวนไปสวนมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะชะลอให้คนได้ข้ามถนนบ้าง
"ในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้ไม่รู้ว่าเขาจะรีบไปไหนกันนะช่างไม่เห็นใจคนอื่นบ้างเลย"
ฉันบ่นไปพลางก็มองไปที่ถนนอีกฟากที่ตอนนี้ยายคนที่ฉันมองได้เปียกโชกไปหมดแล้ว สุดท้ายฉันก็ข้ามถนนได้สำเร็จ มันคงเป็นสิ่งเดียวในรอบวันที่ฉันคิดว่าฉันทำสำเร็จได้ พอข้ามถนนได้ฉันรีบเดินถือร่มเข้าไปหายายแก่ๆคนที่ฉันเห็นนั้น แต่.........
"อ้าว! ยายหายไปไหนแล้วหว่า? เมื่อกี้ก็เห็นยืนอยู่ตรงนี้นี่น้า"
ฉันเหลียวซ้ายแลขวามองหากลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นจนคนในที่รอรถ
เริ่มมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ มีผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่มองฉันอยู่ ฉันคิดว่าฉันคงไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรอกนะว่าเขาจะสนใจฉัน ถ้า....เขาไม่มองแล้วเหมือนจะขำๆ ถ้ามองไม่ผิดเขาเหมือนจะแอบหัวเราะด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
และคิดว่าต้องออกจากที่นี้ให้เร็วที่สุด
ถ้าฉันไม่ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น
"เธอๆ ดูผู้หญิงคนนั้นซิ ถ้าจะเพี้ยนๆนะ ยืนหันไปหันมาท่าทางตลกจัง"
เมื่อฉันได้ยินดังนั้น ร่างกายของฉันถึงกับหันไปหาคนต้นเสียงโดยอัตโนมัติ
และทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ถ้าไม่คิดว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเงินนะ
จงลงทุนเจ็บมือสักหน่อยตบคนแล้วค่อยไปเสียค่าปรับเอาที่โรงพัก
แต่ฉันก็ได้แค่คิดแหละ สุดท้ายฉันก็ได้แต่เดินหันหลังให้แล้วเดินออกจากที่นั้นด้วยความหงุดหงิด พร้อมกับบ่นพึมพำๆ
"ขันติลูกขันติ........ต้องทนไว้ เรื่องแต่นี้ไม่สามารถกระจิตใจเธอได้หรอก"
แล้วฉันก็เดินออกจากที่นั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่รู้ว่า
มีใครคนหนึ่งมองฉันอยู่
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันนี้ฝนไม่ได้ตกเหมือนเมื่อวาน แสงแดดยามบ่ายร้อนแรงกว่าที่ฉันคิด
"ทำไมเมืองไทยอากาศมันถึงได้แปรปรวนแบบนี้น้า"
ฉันบ่นพลางปาดเหงื่อด้วยมือ
พร้อมกับวางของลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากน้ำพุงที่ละอองน้ำกระเซ็นมองเห็นเป็น
ฟองมองแล้วทำให้ฉันหายเหนื่อยไปได้บ้าง
พร้อมกับคิดโปรแกรมอาหารเย็นวันนี้ ว่ามันคงไม่พ้น "เมนูมาม่ารสเด็ด"
ที่ฉันต้องกลับไปกินที่หอทุกเย็น ซึ่งมันก็ไม่ได้รสเด็ดอะไรมากมายหรอก
เพียงแต่ฉันอยากตั้งชื่อให้มันดูดีเผื่อว่าชื่อมันจะได้ช่วยเพิ่มรสชาติให้ดีขึ้นได้บ้าง
พอพักจนหายเหนื่อยแล้วฉันก็เริ่มเอาหนังสือพิมพ์และกระดาษที่ปริ้นเกี่ยวกับเว็บไซต์
ที่รับสมัครงานที่เพื่อนให้เมื่อวานออกมาดู รอยปากกาแดงที่ฉันขีดเป็นแถบยาวมากมาย มันบ่งบอกว่า
ยังไม่มีบริษัทไหนรับฉันเข้าทำงานเลย ทำไมงานมันช่างหน้าหายากหาเย็นจริงจริ๊ง ..
แล้วฉันก็ได้ยินเสียใครคนหนึ่งเรียก
"เจ เจๆ นั้นเจใช่ไหม" ฉันหันไปมองที่แท้ก็ยายผึ้งเพื่อนคนที่ให้เว็บไซต์สมัครงานมานั้นเอง
"เป็นไงบ้าง บริษัทที่เข้าไปเขาว่าไงบ้าง มีวี่แววว่าจะได้ไหม"
"คงไม่ได้อีกตามเคย เขาพูดบ่ายเบี่ยงเหมือนจะไม่รับแล้วเขาก็บอกว่าคุณสมบัติฉันก็ยังไม่ครบตามที่เขาต้อ
งการน่ะ"
ยายผึ้งทำหน้าสลดนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาและบอกฉันว่า
"แต่ฉันได้แล้วนะ ถ้าไงถ้าฉันได้เข้าไปทำงานแล้วฉันจะหาลู่ทางให้เธอนะ"
" หรอ เธอได้แล้วหรอ งานเป็นไงบ้างอ่ะ เขาให้ทำอะไร"
ฉันถามยายผึ้งด้วยความตื่นเต้นแล้วก็ดีใจไปกับเขาด้วย
เหมือนกับว่าเป็นคนได้งานซะเองซะงั้นแหละ และผึ้งเขาก็เล่าให้ฉันฟังว่าเขาได้ยังไง ที่ไหน
ฉันซึ่งก็ต้องเก็บข้อมูลเผื่อว่าจะได้ไปสมัครบ้าง
หลังจากคุยกันไปพักใหญ่ก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องกลับแล้วเราจึงแยกทางกันกลับ
ฉันเดินเรื่อยเปื่อยต่อไปจนไปถึงที่รอรถประจำทาง และฉันก็เห็น
ยายแก่ๆคนที่ฉันเห็นเมื่อวานกำลังชะเง้อชะแง้มองหาอะไรซักอย่างหนึ่ง
ฉันยืนมองดูด้วยความแปลกใจ และสงสัย พยายามมองไปตามสายตาของยายแก่คนนั้นไป
เวลาผ่านไปซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ยายคนนั้นก็ทำเหมือนอย่างเดิม
และด้วยความสงสัยฉันจึงเข้าไปถาม
"ยายๆ ยายจ๊ะ ยายมองหาใครหรอ" เงียบ
"ยายจ๊ะ ยายมองหาใครหรอ หนูช่วยมองไหม"
ยายไม่หันมาตอบฉันเลยตาก็มองไปทางเดิม
ทำเหมือนกับฉันไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น เอ้..............เอาไงดีถามก็ไม่ตอบ
ความสงสัยของฉันมันก็ยิ่งทวีคูณขึ้นทุกที ฉันจึงตัดสินใจ สะกิดยายแล้วถามอีกครั้ง
"ยาย มองหาใครหรืออะไรอยู่หรอ หนูช่วยมองไหม หนูสายตาดีนะมองเห็นอะไรไกลๆได้สบายเลยล่ะ"
คราวนี้ยายจึงยอมหันมาหาฉันอย่างช้าๆ ทันทีที่ฉันเห็น มันเหมือนมีภาพของใครบางคนแวบเข้ามาในหัวของฉัน แววตาคู่นี้ที่เริ่มหม่นหมอง เหมือนหมอกควันที่มันเริ่มก่อตัวอย่างบางๆ ในแววตาคู่นั้นอัดแน่นไปด้วยความเศร้าสร้อย และการรอคอย ฉันไม่รู้ว่าฉันมองอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่แต่มารู้สึกตัวเมื่อยายยิ้มให้ฉัน อวดฟันในช่องปากที่ไม่ได้สวยแบบยิ้มนางสาวไทย และฟันไม่ได้เรียงตัวสวยแถมยังมีขาดหายไปเป็นบางซี่แต่ฉันกลับรู้สึกว่ามันเป็นยิ้มที่สว่างตาและน่าประทับใจมาก และอาจจะมากกว่ายิ้มโลหะของเด็กสมัยนี้ซะอีก ฉันจะถามยายอีกครั้งว่า
"ยาย มองหาใครอยู่จ๊ะ หนูช่วยหาไหม หนูช่วยมองให้"
ยายหุบยิ้มแล้วมองไปทางเดิมถึงตอนนี้ฉันคิดว่าความพยายามของฉันก็คงไม่เป็นผลแล้วล่ะ
เฮ้อ............ฉันจึงหันหลังแล้วเดินออกมา
ทิ้งภาพยายแก่ๆที่ยังชะเง้อชะแง้ไว้เบื้องหลัง ฉันเดินกลับหอพลางคิดในใจ
" คนที่แกมองหาเป็นใครน้า...."
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันนี้ ฉันก็ยังคงเดินหอบเอกสารมากมายพะลุพะลัง แตะฝุ่นไปเรื่อย
จนหัวแดงไปหมด และไม่มีทีท่าว่าจะได้งานง่ายๆ
และก็เป็นอีกวันที่ฉันต้องทำไร่แห้วรอไปพลางๆเหมือนเช่นเดิม
ขณะที่ฉันเดินไปบนถนนสายเดิมที่มีรถสวนไปสวนมาวุ่นวายเหมือนกับทุกวัน
ผู้คนก็มากมาย ฉันก็เหลือบไปเห็นที่ป้ายรถประจำทางที่เดิมและเห็นคนที่ฉันคุ้นตา ก็ใครซะอีกล่ะ ก็ยายคนเดิมนั้นแหละ ยายก็ยังคงชะเง้องะแง้มองหาใครเหมือนเดิม แต่ที่ต่างกว่าทุกวันนิดหน่อย
ก็ตรงที่ว่าในขณะที่ยายทำเหมือนที่ฉันเห็นทุกวันแต่วันนี้มีผู้ชายคนหนึ่งยืนข้างๆยา
ยคนนั้นและถ้าฉันมองไม่ผิดผู้ชายนั้นพยายามพูดอะไรซักอย่างกับยายแต่ยายก็ไม่สนใจยัง
คงมองไปทางเดิม ผู้ชายคนนั้นคงเป็นญาติหรือลูกชายมั่ง แต่เอ๊ะ! ! ผู้ชายคนนั้น
ฉันรู้สึกว่า คุ้นหน้ามากเลยเหมือนเคยที่ที่ไหนซักที่ ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองยืนสงสัยอยู่นาน ฉันมองว้ายขวาและก็ข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม และไปยืนตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดแล้วฉันก็ต้อง อุทานออกมา
"อ๋อ............ผู้ชายคนนี้นี่เอง"
ก็ผู้ชายคนไหนซะอีกล่ะ ก็ผู้ชายคนที่ยืนในที่รอรถประจำทางในวันที่ฝนตกไงล่ะ และที่ทำให้ฉันไม่มีวันลืมเขาก็คือ เขาเป็นคนที่หัวเราะเยาะฉัน
" เฮอะ วันนี้ทำเป็นแต่งตัวดีใส่สูทด้วย" ฉันแอบพูดกับตัวเองเบาๆและไอ้ความอยากรู้อยากเห็นของฉันอีกเหมือนกันที่ทำให้ฉันย้ายตัวเองไปหลบอยู่หลังผู้ชายตัวอ้วนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆทั้งสอง
และฉันก็ได้ยินผู้ชายคนนั้นพูดว่า
" ยาย มองหาใครหรืออะไรอยู่หรอครับ ผมช่วยมองไหม ผมสายตาดีนะมองเห็นอะไรไกลๆได้สบายเลยล่ะ"
เอ้...........คำพูดนี้มันคุ้นๆนะเหมือนได้ยินที่ไหนอ้าวมันก็คำพูดของเราเองนี่น้า หน้อย..แน่
นายคนนี้แอบลอกเลียนแบบคำพูดฉันหรอ แต่ยายคนนั้นก็ไม่ได้หันมาตอบเหมือนที่ทำกับฉัน
แต่ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า ฉันรู้สึกเหมือนฉันจะได้ยินยายพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
" เมื่อไหร่จะมาน้า ตาหนูเนี่ยไม่รู้ว่าไปถะเหล่ไถลที่ไหน"
แต่มันก็ทำให้ฉันรู้ว่ายายกำลังรอใครอยู่ ไม่รู้ว่าตานั้นจะได้ยินเหมือนฉันรึเปล่านะ
เพิ่งรู้นะเนี้ยว่ายังมีคนที่ขี้สงสัยและอยากรู้อยากเห็นเหมือนเราเหมือนกัน
และฉันก็เผลอหัวเราะออกมาเมื่อนายคนนั้นพยายามที่จะคุยกับยายคนนั้นให้ได้ และฉันก็ต้องขอชื่นชมในความพยายาม รู้สึกว่าพยายามกว่าเราอีกแฮะ
"ตลกเป็นบ้า"
ฉันแอบหัวเราะคิกคักและเริ่มรู้สึกว่าตนเองหัวเราะเสียงดังมากเกินไปจึงยกมือขึ้นปิด
ปากและทันใดนั้น
"ตุ้บ"
เอกสารปึกใหญ่ของฉันมันก็หลุดมือ ซึ่งมันก็คงไม่เป็นปัญหาถ้ามันไม่ดันไปตกใส่เท้าผู้ชายตัวอ้วนที่ฉันใช้เป็นที่พลางตัว ก่อนที่มันจะตกพื้น ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ชายคนนั้นหันมาพอดี
เขามองหน้าฉันอย่างหาเรื่องอยู่เหมือนกัน
"ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆนะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ"
ผู้ชายคนนั้นมองหน้าฉันแล้วก็พูดว่า
"ช่างมันเถอะไม่เป็นไรครับ" ซึ่งก็ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาหน่อย นึกว่าจะมีเรื่องโดนฆ่าหมกป่าอยู่แถวนี้ซะแล้ว เฮ้อ.......เกือบไปและฉันก็ต้องหยุดสนใจตัวเองเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของใครคนหนึ่ง
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะฉันอีกแล้ว น่าเจ็บใจนัก ฉันก็เลยทำตาเขียวใส่แล้วเดินออกมาจากที่นั้นแบบไม่เหลียวหลังเลยล่ะ พลางพูดมาอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า
"วันนี้คงกินมาม่าไม่อร่อยแน่เลย"
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันนี้รู้สึกว่าท้องฟ้าปลอดโปร่งจัง เมฆสีขาวปุยก้อนโตเคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ท้องฟ้าแจ่มใสกว่าทุกวันที่ผ่านมา
ฉันรู้สึกว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆเลย ฉันเชื่อในความรู้สึกของฉันว่าวันนี้
ฉันจะต้องได้งานทำแน่ๆและมันก็เป็นไปตามที่ฉันหวัง วันนี้มีบริษัทอยู่บริษัทหนึ่งในหลายๆบริษัทเขาบอกว่าฉันผ่านการสมัครรอบแรกแล้วอีก 2 วัน ให้ฉันมาสอบสัมภาษณ์
ฉันดีใจจนยิ้มไม่ยอมหุบเดินออกบริษัทมา และคิดว่าวันนี้ฉันคงต้องฉลองให้กับตัวเองสักหน่อยด้วยการไปกินมื้อเย็นที่เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ "มาม่ารสเด็ด" ฉันเดินไปยิ้มไปจนมาถึงที่ที่เดิมตรงที่เคยมียายคนนั้นยืนอยู่......แต่วันนี้ น่าแปลกที่ไม่มียายคนเดิมมายืนชะเง้อชะแง้อยู่ที่เดิม
มองแล้วน่าใจหาย ฉันรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรซักอย่างหายไป
แล้วด้วยความที่ฉันเป็นคนขี้สังสัย ฉันจึงไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยอยู่อย่างนั้นหรอก
ฉันจึงเดินเข้าไปที่แม่ค้าขายกล้วยแขกที่กำลังสาละวนอยู่กับการทอดกล้วยแขกที่ส่งกลิ่นหอมชวนกิน
ฉันคงต้องซื้อกล้วยแขกไปฉลองให้กับตัวเองซักถุงแล้วล่ะจะได้ถามแม่ค้าเรื่องคุณยายคน
นั้นด้วย ประมาณว่ายิงปืดนัดเดียวได้นกสองตัวไง
" แม่ค้าจ๊ะ ซื้อกล้วยแขกซัก 10 บาท ได้ไหมจ๊ะ"
"อ๋อ! ได้จ้า เดี๋ยวรอแป็บนะ"
"เออ.....ป้าจ๊ะวันนี้ยายที่ปกติมักจะจะมายืนชะเง้อชะแง้ อยู่ตรงนั้นวันนี้ไม่มาหรอจ๊ะ" ฉันพูดพลางชี้ไปอีกด้านของถนน
"อ๋อ......ยายสาหรอ"
" คะ...ค่ะ มั่งค่ะ" ฉันตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
"แกตายแล้วล่ะ"
"หา" ฉันที่กำลังจะหยิบก้วยแขกใส่ปาก อ้าปากค้างและหันมามองป้าขายกล้วยแขกอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
"แกเป็นอะไรตาย"ฉันวางถุงกล้วยแขกลงอย่างที่ไม่คิดจะสนใจมันอีก
"โดนรถชนเมื่อเช้านี่เอง" ฉันได้ยินอย่างนั้นแต่ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองอยู่ดี
"ป้าคนเดียวกันรึเปล่า" ฉันถามป้าอีกครั้ง
"แล้วยายคนที่หนูถามถึงใช่คนที่ชะเง้อชะแง้มองหาอะไรซักอย่างอยู่ตรงนั้นทุกวันใช่ไหมล่ะ"
"ชะ...ใช่ค่ะ คนที่ถามอะไรก็ไม่ตอบ"
" เออ.....ก็นั้นแหละ เรื่องอะไรป้าจะไม่รู้ป้าอยู่ข้างบ้านเขาป้ารู้เรื่องหมดทุกอย่างแหละ"
"แล้วแกโดนรถชนได้ไงจ๊ะ" ฉันยังสงสัยไม่หาย
"ผัว ป้าบอกว่า แกโดนรถสองแถวเฉี่ยวเอาที่ปากซอยน่ะ คิดแล้วก็น่าสงสารลูกตายไปเมื่อเดือนก่อนตัวเองก็ต้องมาตายลงอีก "
" อะไรนะ ลูกเขาตาย หรอ"
"ใช่เมื่อเดือนก่อน ไอ้ชาติลูกชายของแกขี่มอเตอร์ไซต์ กลับจากทำงานแล้วถูกรถชนสิบล้อชน ป้ายังไปโรงพยาบาลกับแกเลย เลือดเงี้ยแดงเถือกไปหมด ป้าคิดว่ามันคงไม่รอด"
"แล้วไงอีกจ๊ะป้า"ฉันถาม
"จะไงซะอีกล่ะจ๊ะหนู ก็ตายซิ หมอบอกว่ามันเสียเลือดมาก แล้วเลือดในคลังเลือดกรุ๊ปที่เขาต้องการก็หมดแล้วแกเองก็แก่เกินไปที่จะเอาเลือดให้ลูกได้ ป้าเห็นเงี้ยโครตสงสารเลย หนูเชื่อไหม ?"
"อะไรจ๊ะ"
"แกน่ะเที่ยวไปยกมือแล้วก็ร้องไห้อ้อนวอนให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในโรงพยาบาลช่วยบริจาคเลือดช่วยลูกแก แต่ก็ไม่มีใครยอมให้ซักคน แกเสียใจมากจนช็อก แล้วก็ไม่ยอมรับรู้อะไรอีกเลย อยู่บ้านก็ร้องไห้คร่ำครวญหาลูกผัวที่ตายไป บางวันบอกว่าอยากตายแล้วไปอยู่กับพวกเขาซะงั้น แกจำใครได้เลยนะแต่สิ่งที่ไม่เคยลืมเลยก็คือ การมายืนรอไอ้ชาติทุกวันอย่างที่หนูเห็นนั้นแหละ"
พอป้าพูดจบ ฉันจึงพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน
"น่าเศร้าจังเลยนะป้า ถ้าหนูอยู่ตรงนั้นแล้วช่วยเขาได้คงดี"
ตอนนี้ฉันรู้สึกเศร้าและหดหู่อย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ น้ำตามันก็พาลจะไหลให้ได้ พอฉันตั้งสติได้ ฉันจึงขอบคุณป้าแม่ค้าขายกล้วยแขก แล้วจึงเดินออกมา แต่ป้าก็เรียกไว้
"หนูๆ เดี๋ยว แล้วกล้วยแขกหนูล่ะ"
แกเรียกพลางวิ่งเอาถุงกล้วยแขกมาให้ แต่ในเวลานี้สำหรับฉันมันคงไม่หลงเหลืองรสชาติอะไรแล้วล่ะ
แต่ฉันก็รับมันมาถือไว้และเดินข้ามถนน แล้วไปหยุดอยู่ที่ที่ยายคนนั้นเคยยืนอยู่
"ชีวิตคนเรามันช่างหน้าเศร้าเสียเหลือเกิน เรานึกว่าเราลำบากและก็มีความทุกข์ที่หนักแล้วน้า...แต่ก็ยังมีคนที่ลำบากแล้วก็มีความทุกข์มากกว่าเราอีก"
ฉันพูดออกมาพลางนึกถึงภาพที่ยายคนนั้นยิ้มให้มันเหมือนกันใครคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก
และแล้วน้ำตาของฉันมันก็เริ่มเอ่อขึ้นมาจากรู้สึกได้ถึงความร้อนในตา
ฉันนี่ไม่น่าโง่เลย ผู้หญิงคนนั้นก็คือคนที่รักแล้วก็รอฉันอยู่ตลอดเวลาไงล่ะ
กี่เดือนแล้วนะที่ฉันมัวแต่หางานทำจนไม่ได้ติดต่อทางบ้านเลย
ฉันคิดและตั้งปณิธานในวินาทีนั้นว่า
"ฉันจะรีบหางานทำให้ได้จะได้มีเงินกลับไปเยี่ยมแม่และพยายามทำให้แม่มีความสุขให้ได้"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันนี้เป็นวันที่ฉันจะไปฟังผลสัมภาษณ์ฉันไปรออยู่ที่หน้าตึกแต่เช้า
รู้สึกว่าตัวเอง ตื่นเต้นมาก จนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยล่ะ
พอเขาเรียกให้เขาไปฟังผล
ฉันคิดว่าฉันต้องได้น่ะเพราะฉันมั่นใจว่าฉันทำดีที่สุดเท่าที่ทำมาและคุณสมบัติก็ครบ
ไม่มีขาดตกบกพร่อง และแล้วนาทีที่รอคอยก็มาถึง....
ผู้จัดการประกาศผลออกมาแล้ว
"ฉะ ฉะฉัน.....ฉัน.....ได้งะงะงะงะงานทำ......แล้ว"
ฉันดีใจมากจนพูดแทบไม่เป็นคนเลย
ฉันดีใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันพูดขอบคุณผู้จัดการที่ออกมาบอกผล
ขอบคุณพนักงานที่นั่งทำงานอยู่แถวนั้น จนหลายๆคนหัวเราะฉันกันใหญ่
ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับพวกเขา แล้วตาฉันก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง
ร่างสูงนั้นใส่สูทสีดำมองมาทางฉันพร้อมทั้งยิ้มแกมหัวเราะ ฉันยังยังไม่วายไม่ทิ้งนิสัยเดิม
เผลอทำตาเขียวใส่เขา แต่ ดูเหมือนมันจะไม่สะทกสะท้านเขาเลย
เพราะเขายังคงหัวเราะฉันอยู่ หลังจากที่ผู้จัดการทำข้อตกลงแล้วนัดเวลาเริ่มงานแล้วฉันก็ขอบคุณผู้จัดการอีกครั้ง ก่อนลากลับ แต่ก่อนกลับฉันก็แอบมองหาผู้ชายคนที่ใส่สูทคนนั้น แต่ก็ไม่มีวีแวว
"เขาเป็นใครกันนะ" คำถามนี้มันยังค้างคาใจฉันอยู่ แต่ที่แน่ๆฉันคิดว่าฉันต้องได้เจอเขาอีกแน่นอน
ฉันเดินออกจากบริษัทพร้อมกับรอยยิ้ม และมองไปบนท้องฟ้าที่เหมือนทุกวัน
แต่ในความรู้สึกของฉันมันเต็มไปด้วนความสุขของฉันขณะนั้นเองภาพของยายสารที่ยิ้มให้ฉ
ันก็ผุดขึ้นมาในหัว
"ขอให้ยายสามีความสุขมากๆนะค่ะ แม่ค่ะหนูทำสำเร็จแล้วค่ะ ทฤษฎีของแม่ใช้ไม่ได้ผลแล้วนะค่ะ ฝนเม็ดแรกของฟ้าไม่ได้ตกลงบนปลายจมูกหนูแต่หนูก็ทำได้ค่ะ รอหนูอีกซักนิดนะค่ะแล้วหนูจะกลับบ้านไปหอมแม่ให้ชื่นใจเลย"
ฉันเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มพลางคิดว่า ชีวิตคนเราที่จริงมันก็ไม่ได้หมดสิ้นซึ่งหนทาง
ทุกปัญหามาทางแก้ อย่าคิดว่าตนเองทุกข์มาก แต่อย่าลืมว่ายังมีคนที่ลำบากและทุกข์กว่าเราตั้งหลายเท่า โดยเฉพาะความทุกข์ของคนที่เรียกว่าแม่ ที่เราควรจะนำมาไว้เป็นสิ่งที่เตือนเราเสมอ และถ้าเราตั้งใจ
ทุ่มเทกับสิ่งใดแล้วสิ่งดีๆก็จะเข้ามาในชีวิตเราแน่นอน
เหมือนชีวิตของฉันก็กำลังจะเริ่มต้นอยู่นี่ไง........
ผลงานอื่นๆ ของ mayongyee ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ mayongyee
ความคิดเห็น