สายตาของคนคอย - สายตาของคนคอย นิยาย สายตาของคนคอย : Dek-D.com - Writer

    สายตาของคนคอย

    ในขณะที่คุณเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ คุณรู้หรือไม่ว่ามีใครคอยคุณอยู่....

    ผู้เข้าชมรวม

    206

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    206

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 เม.ย. 49 / 17:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ในวันที่ท้องฟ้ามืดมน เมฆก้อนโตสีดำเคลื่อนที่เข้าหากันดูน่ากลัว
      มันเป็นสัญญาณบอกว่า...บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น และแล้ว
      ฝนเม็ดเล็กๆเริ่มโปรยปรายลงมา ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นึกหวังที่จะให้มีเม็ดฝนเม็ดแรก
      ตกลงบนปลายจมูก เพราะว่าอะไรน่ะหรอ ก็เพราะว่า คนที่ฉันรักคนหนึ่งเขาบอกกับฉันว่า

      "
      ถ้าเม็ดฝนเม็ดแรกที่ตกลงมาจากฟ้า ตกลงมาโดนปลายจมูกของใคร
      คนนั้นเมื่อจะขออะไรก็สมหวังทุกประการ"

      ฉันนึกก็พลางยิ้มให้กับตัวเองว่าโตจนปานนี้แล้วยังจะมีความหวัง
      เชื่อคำหลอกเด็กแบบนั้นอีก ฝนเริ่มตกลงมาหนักกว่าที่คิดไว้ ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่าช้าๆเมื่อกี้ เริ่มเร่งฝีเท้า จากเดินเป็นวิ่ง จนดูขวักไขว่ ในที่นี้มีคนมากมาย ร้อยพ่อพันแม่แต่ที่แน่ๆคือ ฉันไม่รู้จักใครในที่นี้เลยซักคน หลายคนเริ่มกางร่ม ฉันจึงนึกขึ้นมาได้ว่าฉันเองก็มีร่มอยู่ในกระเป๋าเหมือนกัน ฉันค่อยๆดึงร่มสีหม่นออกมากาง
      พลางนึกในใจว่า...ทำไมน้า ....ช่วงนี้ชีวิตฉันถึงไม่มีเรื่องอะไรดีๆผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง
      ชีวิตคนเราเกิดมาทั้งทีมันทำไมถึงแย่อย่างนี้ ฉันคิดพลางถอนหายใจ

      "
      เฮ้อ..................น่าเบื่อจัง"

      ทันใดนั้นฉันก็เหลือบไปเห็น ผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่ง
      แกกำลังพยายามจะเข้าไปหลบฝนใต้หลังคาที่รอรถประจำทาง ซึ่งแทบจะไม่มีที่ว่าง
      เพราะที่รอรถนั้นก็อัดแน่นที่เต็มไปด้วยผู้คนที่รอรถอยู่และผู้ที่เข้ามาหลบฝนชั่วคราว ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า บางคนแม้มีร่มอยู่ในมือแล้วทำไมมีใครยอมที่จะเสียสละที่ว่างซักเพียงซักนิด
      ให้ยายแก่ๆคนนั้นเข้าไปหลบฝนสักหน่อยแล้วตัวเองก็ใช้ร่มที่อยู่ในมือใช้ให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้แทนการถือประดับไว้ในมือเปล่าๆ ฉันมองซ้ายมองขวา พยายามที่จะข้ามถนนไปอีกฟากให้เร็วที่สุดขณะเดียวกันก็รู้สึกหงุดหงิดรถที่วิ่งสวนไปสวนมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะชะลอให้คนได้ข้ามถนนบ้าง

      "
      ในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้ไม่รู้ว่าเขาจะรีบไปไหนกันนะช่างไม่เห็นใจคนอื่นบ้างเลย"

      ฉันบ่นไปพลางก็มองไปที่ถนนอีกฟากที่ตอนนี้ยายคนที่ฉันมองได้เปียกโชกไปหมดแล้ว สุดท้ายฉันก็ข้ามถนนได้สำเร็จ มันคงเป็นสิ่งเดียวในรอบวันที่ฉันคิดว่าฉันทำสำเร็จได้ พอข้ามถนนได้ฉันรีบเดินถือร่มเข้าไปหายายแก่ๆคนที่ฉันเห็นนั้น แต่.........

      "
      อ้าว! ยายหายไปไหนแล้วหว่า? เมื่อกี้ก็เห็นยืนอยู่ตรงนี้นี่น้า"

      ฉันเหลียวซ้ายแลขวามองหากลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นจนคนในที่รอรถ
      เริ่มมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ มีผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่มองฉันอยู่ ฉันคิดว่าฉันคงไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรอกนะว่าเขาจะสนใจฉัน ถ้า....เขาไม่มองแล้วเหมือนจะขำๆ ถ้ามองไม่ผิดเขาเหมือนจะแอบหัวเราะด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
      และคิดว่าต้องออกจากที่นี้ให้เร็วที่สุด
      ถ้าฉันไม่ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น

      "
      เธอๆ ดูผู้หญิงคนนั้นซิ ถ้าจะเพี้ยนๆนะ ยืนหันไปหันมาท่าทางตลกจัง"

      เมื่อฉันได้ยินดังนั้น ร่างกายของฉันถึงกับหันไปหาคนต้นเสียงโดยอัตโนมัติ
      และทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ถ้าไม่คิดว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเงินนะ
      จงลงทุนเจ็บมือสักหน่อยตบคนแล้วค่อยไปเสียค่าปรับเอาที่โรงพัก
      แต่ฉันก็ได้แค่คิดแหละ สุดท้ายฉันก็ได้แต่เดินหันหลังให้แล้วเดินออกจากที่นั้นด้วยความหงุดหงิด พร้อมกับบ่นพึมพำๆ

      "
      ขันติลูกขันติ........ต้องทนไว้ เรื่องแต่นี้ไม่สามารถกระจิตใจเธอได้หรอก"

      แล้วฉันก็เดินออกจากที่นั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่รู้ว่า
      มีใครคนหนึ่งมองฉันอยู่







      -----------------------------------------------------------------------------------------------------------





      วันนี้ฝนไม่ได้ตกเหมือนเมื่อวาน แสงแดดยามบ่ายร้อนแรงกว่าที่ฉันคิด

      "
      ทำไมเมืองไทยอากาศมันถึงได้แปรปรวนแบบนี้น้า"

      ฉันบ่นพลางปาดเหงื่อด้วยมือ
      พร้อมกับวางของลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากน้ำพุงที่ละอองน้ำกระเซ็นมองเห็นเป็น
      ฟองมองแล้วทำให้ฉันหายเหนื่อยไปได้บ้าง
      พร้อมกับคิดโปรแกรมอาหารเย็นวันนี้ ว่ามันคงไม่พ้น "เมนูมาม่ารสเด็ด"
      ที่ฉันต้องกลับไปกินที่หอทุกเย็น ซึ่งมันก็ไม่ได้รสเด็ดอะไรมากมายหรอก
      เพียงแต่ฉันอยากตั้งชื่อให้มันดูดีเผื่อว่าชื่อมันจะได้ช่วยเพิ่มรสชาติให้ดีขึ้นได้บ้าง
      พอพักจนหายเหนื่อยแล้วฉันก็เริ่มเอาหนังสือพิมพ์และกระดาษที่ปริ้นเกี่ยวกับเว็บไซต์
      ที่รับสมัครงานที่เพื่อนให้เมื่อวานออกมาดู รอยปากกาแดงที่ฉันขีดเป็นแถบยาวมากมาย มันบ่งบอกว่า
      ยังไม่มีบริษัทไหนรับฉันเข้าทำงานเลย ทำไมงานมันช่างหน้าหายากหาเย็นจริงจริ๊ง ..
      แล้วฉันก็ได้ยินเสียใครคนหนึ่งเรียก

      "
      เจ เจๆ นั้นเจใช่ไหม" ฉันหันไปมองที่แท้ก็ยายผึ้งเพื่อนคนที่ให้เว็บไซต์สมัครงานมานั้นเอง

      "
      เป็นไงบ้าง บริษัทที่เข้าไปเขาว่าไงบ้าง มีวี่แววว่าจะได้ไหม"

      "
      คงไม่ได้อีกตามเคย เขาพูดบ่ายเบี่ยงเหมือนจะไม่รับแล้วเขาก็บอกว่าคุณสมบัติฉันก็ยังไม่ครบตามที่เขาต้อ
      งการน่ะ"


      ยายผึ้งทำหน้าสลดนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาและบอกฉันว่า


      "
      แต่ฉันได้แล้วนะ ถ้าไงถ้าฉันได้เข้าไปทำงานแล้วฉันจะหาลู่ทางให้เธอนะ"

      "
      หรอ เธอได้แล้วหรอ งานเป็นไงบ้างอ่ะ เขาให้ทำอะไร"

      ฉันถามยายผึ้งด้วยความตื่นเต้นแล้วก็ดีใจไปกับเขาด้วย
      เหมือนกับว่าเป็นคนได้งานซะเองซะงั้นแหละ และผึ้งเขาก็เล่าให้ฉันฟังว่าเขาได้ยังไง ที่ไหน
      ฉันซึ่งก็ต้องเก็บข้อมูลเผื่อว่าจะได้ไปสมัครบ้าง
      หลังจากคุยกันไปพักใหญ่ก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องกลับแล้วเราจึงแยกทางกันกลับ
      ฉันเดินเรื่อยเปื่อยต่อไปจนไปถึงที่รอรถประจำทาง และฉันก็เห็น
      ยายแก่ๆคนที่ฉันเห็นเมื่อวานกำลังชะเง้อชะแง้มองหาอะไรซักอย่างหนึ่ง
      ฉันยืนมองดูด้วยความแปลกใจ และสงสัย พยายามมองไปตามสายตาของยายแก่คนนั้นไป
      เวลาผ่านไปซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ยายคนนั้นก็ทำเหมือนอย่างเดิม
      และด้วยความสงสัยฉันจึงเข้าไปถาม

      "
      ยายๆ ยายจ๊ะ ยายมองหาใครหรอ" เงียบ

      "
      ยายจ๊ะ ยายมองหาใครหรอ หนูช่วยมองไหม"

      ยายไม่หันมาตอบฉันเลยตาก็มองไปทางเดิม
      ทำเหมือนกับฉันไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น เอ้..............เอาไงดีถามก็ไม่ตอบ
      ความสงสัยของฉันมันก็ยิ่งทวีคูณขึ้นทุกที ฉันจึงตัดสินใจ สะกิดยายแล้วถามอีกครั้ง


      "
      ยาย มองหาใครหรืออะไรอยู่หรอ หนูช่วยมองไหม หนูสายตาดีนะมองเห็นอะไรไกลๆได้สบายเลยล่ะ"

      คราวนี้ยายจึงยอมหันมาหาฉันอย่างช้าๆ ทันทีที่ฉันเห็น มันเหมือนมีภาพของใครบางคนแวบเข้ามาในหัวของฉัน แววตาคู่นี้ที่เริ่มหม่นหมอง เหมือนหมอกควันที่มันเริ่มก่อตัวอย่างบางๆ ในแววตาคู่นั้นอัดแน่นไปด้วยความเศร้าสร้อย และการรอคอย ฉันไม่รู้ว่าฉันมองอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่แต่มารู้สึกตัวเมื่อยายยิ้มให้ฉัน อวดฟันในช่องปากที่ไม่ได้สวยแบบยิ้มนางสาวไทย และฟันไม่ได้เรียงตัวสวยแถมยังมีขาดหายไปเป็นบางซี่แต่ฉันกลับรู้สึกว่ามันเป็นยิ้มที่สว่างตาและน่าประทับใจมาก และอาจจะมากกว่ายิ้มโลหะของเด็กสมัยนี้ซะอีก ฉันจะถามยายอีกครั้งว่า

      "
      ยาย มองหาใครอยู่จ๊ะ หนูช่วยหาไหม หนูช่วยมองให้"

      ยายหุบยิ้มแล้วมองไปทางเดิมถึงตอนนี้ฉันคิดว่าความพยายามของฉันก็คงไม่เป็นผลแล้วล่ะ

      เฮ้อ............ฉันจึงหันหลังแล้วเดินออกมา
      ทิ้งภาพยายแก่ๆที่ยังชะเง้อชะแง้ไว้เบื้องหลัง ฉันเดินกลับหอพลางคิดในใจ


      "
      คนที่แกมองหาเป็นใครน้า...."







      ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      วันนี้ ฉันก็ยังคงเดินหอบเอกสารมากมายพะลุพะลัง แตะฝุ่นไปเรื่อย
      จนหัวแดงไปหมด และไม่มีทีท่าว่าจะได้งานง่ายๆ
      และก็เป็นอีกวันที่ฉันต้องทำไร่แห้วรอไปพลางๆเหมือนเช่นเดิม
      ขณะที่ฉันเดินไปบนถนนสายเดิมที่มีรถสวนไปสวนมาวุ่นวายเหมือนกับทุกวัน
      ผู้คนก็มากมาย ฉันก็เหลือบไปเห็นที่ป้ายรถประจำทางที่เดิมและเห็นคนที่ฉันคุ้นตา ก็ใครซะอีกล่ะ ก็ยายคนเดิมนั้นแหละ ยายก็ยังคงชะเง้องะแง้มองหาใครเหมือนเดิม แต่ที่ต่างกว่าทุกวันนิดหน่อย
      ก็ตรงที่ว่าในขณะที่ยายทำเหมือนที่ฉันเห็นทุกวันแต่วันนี้มีผู้ชายคนหนึ่งยืนข้างๆยา
      ยคนนั้นและถ้าฉันมองไม่ผิดผู้ชายนั้นพยายามพูดอะไรซักอย่างกับยายแต่ยายก็ไม่สนใจยัง
      คงมองไปทางเดิม ผู้ชายคนนั้นคงเป็นญาติหรือลูกชายมั่ง แต่เอ๊ะ! ! ผู้ชายคนนั้น
      ฉันรู้สึกว่า คุ้นหน้ามากเลยเหมือนเคยที่ที่ไหนซักที่ ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองยืนสงสัยอยู่นาน ฉันมองว้ายขวาและก็ข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม และไปยืนตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดแล้วฉันก็ต้อง อุทานออกมา



      "
      อ๋อ............ผู้ชายคนนี้นี่เอง"


      ก็ผู้ชายคนไหนซะอีกล่ะ ก็ผู้ชายคนที่ยืนในที่รอรถประจำทางในวันที่ฝนตกไงล่ะ และที่ทำให้ฉันไม่มีวันลืมเขาก็คือ เขาเป็นคนที่หัวเราะเยาะฉัน


      "
      เฮอะ วันนี้ทำเป็นแต่งตัวดีใส่สูทด้วย" ฉันแอบพูดกับตัวเองเบาๆและไอ้ความอยากรู้อยากเห็นของฉันอีกเหมือนกันที่ทำให้ฉันย้ายตัวเองไปหลบอยู่หลังผู้ชายตัวอ้วนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆทั้งสอง
      และฉันก็ได้ยินผู้ชายคนนั้นพูดว่า


      "
      ยาย มองหาใครหรืออะไรอยู่หรอครับ ผมช่วยมองไหม ผมสายตาดีนะมองเห็นอะไรไกลๆได้สบายเลยล่ะ"
      เอ้...........คำพูดนี้มันคุ้นๆนะเหมือนได้ยินที่ไหนอ้าวมันก็คำพูดของเราเองนี่น้า หน้อย..แน่
      นายคนนี้แอบลอกเลียนแบบคำพูดฉันหรอ แต่ยายคนนั้นก็ไม่ได้หันมาตอบเหมือนที่ทำกับฉัน
      แต่ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า ฉันรู้สึกเหมือนฉันจะได้ยินยายพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า


       
      " เมื่อไหร่จะมาน้า ตาหนูเนี่ยไม่รู้ว่าไปถะเหล่ไถลที่ไหน"


      แต่มันก็ทำให้ฉันรู้ว่ายายกำลังรอใครอยู่ ไม่รู้ว่าตานั้นจะได้ยินเหมือนฉันรึเปล่านะ
      เพิ่งรู้นะเนี้ยว่ายังมีคนที่ขี้สงสัยและอยากรู้อยากเห็นเหมือนเราเหมือนกัน
      และฉันก็เผลอหัวเราะออกมาเมื่อนายคนนั้นพยายามที่จะคุยกับยายคนนั้นให้ได้ และฉันก็ต้องขอชื่นชมในความพยายาม รู้สึกว่าพยายามกว่าเราอีกแฮะ


      "
      ตลกเป็นบ้า"

      ฉันแอบหัวเราะคิกคักและเริ่มรู้สึกว่าตนเองหัวเราะเสียงดังมากเกินไปจึงยกมือขึ้นปิด
      ปากและทันใดนั้น


      "
      ตุ้บ"

      เอกสารปึกใหญ่ของฉันมันก็หลุดมือ ซึ่งมันก็คงไม่เป็นปัญหาถ้ามันไม่ดันไปตกใส่เท้าผู้ชายตัวอ้วนที่ฉันใช้เป็นที่พลางตัว ก่อนที่มันจะตกพื้น ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ชายคนนั้นหันมาพอดี
      เขามองหน้าฉันอย่างหาเรื่องอยู่เหมือนกัน

      "
      ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆนะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ"

      ผู้ชายคนนั้นมองหน้าฉันแล้วก็พูดว่า

      "ช่างมันเถอะไม่เป็นไรครับ" ซึ่งก็ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาหน่อย นึกว่าจะมีเรื่องโดนฆ่าหมกป่าอยู่แถวนี้ซะแล้วฮ้อ.......เกือบไปและฉันก็ต้องหยุดสนใจตัวเองเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของใครคนหนึ่ง
      ผู้ชายคนนั้นหัวเราะฉันอีกแล้ว น่าเจ็บใจนัก ฉันก็เลยทำตาเขียวใส่แล้วเดินออกมาจากที่นั้นแบบไม่เหลียวหลังเลยล่ะ พลางพูดมาอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า


      "
      วันนี้คงกินมาม่าไม่อร่อยแน่เลย"






      -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
      วันนี้รู้สึกว่าท้องฟ้าปลอดโปร่งจัง เมฆสีขาวปุยก้อนโตเคลื่อนไปอย่างช้าๆ
      ท้องฟ้าแจ่มใสกว่าทุกวันที่ผ่านมา
      ฉันรู้สึกว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆเลย ฉันเชื่อในความรู้สึกของฉันว่าวันนี้
      ฉันจะต้องได้งานทำแน่ๆและมันก็เป็นไปตามที่ฉันหวัง วันนี้มีบริษัทอยู่บริษัทหนึ่งในหลายๆบริษัทเขาบอกว่าฉันผ่านการสมัครรอบแรกแล้วอีก 2 วัน ให้ฉันมาสอบสัมภาษณ์
      ฉันดีใจจนยิ้มไม่ยอมหุบเดินออกบริษัทมา และคิดว่าวันนี้ฉันคงต้องฉลองให้กับตัวเองสักหน่อยด้วยการไปกินมื้อเย็นที่เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ "มาม่ารสเด็ด" ฉันเดินไปยิ้มไปจนมาถึงที่ที่เดิมตรงที่เคยมียายคนนั้นยืนอยู่......แต่วันนี้ น่าแปลกที่ไม่มียายคนเดิมมายืนชะเง้อชะแง้อยู่ที่เดิม
      มองแล้วน่าใจหาย ฉันรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรซักอย่างหายไป
      แล้วด้วยความที่ฉันเป็นคนขี้สังสัย ฉันจึงไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยอยู่อย่างนั้นหรอก
      ฉันจึงเดินเข้าไปที่แม่ค้าขายกล้วยแขกที่กำลังสาละวนอยู่กับการทอดกล้วยแขกที่ส่งกลิ่นหอมชวนกิน
      ฉันคงต้องซื้อกล้วยแขกไปฉลองให้กับตัวเองซักถุงแล้วล่ะจะได้ถามแม่ค้าเรื่องคุณยายคน
      นั้นด้วย ประมาณว่ายิงปืดนัดเดียวได้นกสองตัวไง


      "
      แม่ค้าจ๊ะ ซื้อกล้วยแขกซัก 10 บาท ได้ไหมจ๊ะ"

      "
      อ๋อ! ได้จ้า เดี๋ยวรอแป็บนะ"

      "
      เออ.....ป้าจ๊ะวันนี้ยายที่ปกติมักจะจะมายืนชะเง้อชะแง้ อยู่ตรงนั้นวันนี้ไม่มาหรอจ๊ะ" ฉันพูดพลางชี้ไปอีกด้านของถนน


      "
      อ๋อ......ยายสาหรอ"

      "
      คะ...ค่ะ มั่งค่ะ" ฉันตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่

      "
      แกตายแล้วล่ะ"

      "
      หา" ฉันที่กำลังจะหยิบก้วยแขกใส่ปาก อ้าปากค้างและหันมามองป้าขายกล้วยแขกอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง


      "
      แกเป็นอะไรตาย"ฉันวางถุงกล้วยแขกลงอย่างที่ไม่คิดจะสนใจมันอีก

      "
      โดนรถชนเมื่อเช้านี่เองฉันได้ยินอย่างนั้นแต่ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองอยู่ดี

      "
      ป้าคนเดียวกันรึเปล่า" ฉันถามป้าอีกครั้ง

      "
      แล้วยายคนที่หนูถามถึงใช่คนที่ชะเง้อชะแง้มองหาอะไรซักอย่างอยู่ตรงนั้นทุกวันใช่ไหมล่ะ"

      "
      ชะ...ใช่ค่ะ คนที่ถามอะไรก็ไม่ตอบ"

      "
      เออ.....ก็นั้นแหละ เรื่องอะไรป้าจะไม่รู้ป้าอยู่ข้างบ้านเขาป้ารู้เรื่องหมดทุกอย่างแหละ"

      "
      แล้วแกโดนรถชนได้ไงจ๊ะ" ฉันยังสงสัยไม่หาย

      "
      ผัว ป้าบอกว่า แกโดนรถสองแถวเฉี่ยวเอาที่ปากซอยน่ะ คิดแล้วก็น่าสงสารลูกตายไปเมื่อเดือนก่อนตัวเองก็ต้องมาตายลงอีก "

      "
      อะไรนะ ลูกเขาตาย หรอ"

      "
      ใช่เมื่อเดือนก่อน ไอ้ชาติลูกชายของแกขี่มอเตอร์ไซต์ กลับจากทำงานแล้วถูกรถชนสิบล้อชน ป้ายังไปโรงพยาบาลกับแกเลย เลือดเงี้ยแดงเถือกไปหมด ป้าคิดว่ามันคงไม่รอด"

      "
      แล้วไงอีกจ๊ะป้า"ฉันถาม

      "
      จะไงซะอีกล่ะจ๊ะหนู ก็ตายซิ หมอบอกว่ามันเสียเลือดมาก แล้วเลือดในคลังเลือดกรุ๊ปที่เขาต้องการก็หมดแล้วแกเองก็แก่เกินไปที่จะเอาเลือดให้ลูกได้ ป้าเห็นเงี้ยโครตสงสารเลย หนูเชื่อไหม ?"

      "
      อะไรจ๊ะ"

      "
      แกน่ะเที่ยวไปยกมือแล้วก็ร้องไห้อ้อนวอนให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในโรงพยาบาลช่วยบริจาคเลือดช่วยลูกแก แต่ก็ไม่มีใครยอมให้ซักคน แกเสียใจมากจนช็อก แล้วก็ไม่ยอมรับรู้อะไรอีกเลย อยู่บ้านก็ร้องไห้คร่ำครวญหาลูกผัวที่ตายไป บางวันบอกว่าอยากตายแล้วไปอยู่กับพวกเขาซะงั้น แกจำใครได้เลยนะแต่สิ่งที่ไม่เคยลืมเลยก็คือ การมายืนรอไอ้ชาติทุกวันอย่างที่หนูเห็นนั้นแหละ"


      พอป้าพูดจบ ฉันจึงพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน

      "
      น่าเศร้าจังเลยนะป้า ถ้าหนูอยู่ตรงนั้นแล้วช่วยเขาได้คงดี"

      ตอนนี้ฉันรู้สึกเศร้าและหดหู่อย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ น้ำตามันก็พาลจะไหลให้ได้ พอฉันตั้งสติได้ ฉันจึงขอบคุณป้าแม่ค้าขายกล้วยแขก แล้วจึงเดินออกมา แต่ป้าก็เรียกไว้

      "
      หนูๆ เดี๋ยว แล้วกล้วยแขกหนูล่ะ"

       
      แกเรียกพลางวิ่งเอาถุงกล้วยแขกมาให้ แต่ในเวลานี้สำหรับฉันมันคงไม่หลงเหลืองรสชาติอะไรแล้วล่ะ
      แต่ฉันก็รับมันมาถือไว้และเดินข้ามถนน แล้วไปหยุดอยู่ที่ที่ยายคนนั้นเคยยืนอยู่

      "
      ชีวิตคนเรามันช่างหน้าเศร้าเสียเหลือเกิน เรานึกว่าเราลำบากและก็มีความทุกข์ที่หนักแล้วน้า...แต่ก็ยังมีคนที่ลำบากแล้วก็มีความทุกข์มากกว่าเราอีก"


      ฉันพูดออกมาพลางนึกถึงภาพที่ยายคนนั้นยิ้มให้มันเหมือนกันใครคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก
      และแล้วน้ำตาของฉันมันก็เริ่มเอ่อขึ้นมาจากรู้สึกได้ถึงความร้อนในตา
      ฉันนี่ไม่น่าโง่เลย ผู้หญิงคนนั้นก็คือคนที่รักแล้วก็รอฉันอยู่ตลอดเวลาไงล่ะ
      กี่เดือนแล้วนะที่ฉันมัวแต่หางานทำจนไม่ได้ติดต่อทางบ้านเลย
      ฉันคิดและตั้งปณิธานในวินาทีนั้นว่า

      "
      ฉันจะรีบหางานทำให้ได้จะได้มีเงินกลับไปเยี่ยมแม่และพยายามทำให้แม่มีความสุขให้ได้"






      -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
      วันนี้เป็นวันที่ฉันจะไปฟังผลสัมภาษณ์ฉันไปรออยู่ที่หน้าตึกแต่เช้า
      รู้สึกว่าตัวเอง ตื่นเต้นมาก จนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยล่ะ
      พอเขาเรียกให้เขาไปฟังผล
      ฉันคิดว่าฉันต้องได้น่ะเพราะฉันมั่นใจว่าฉันทำดีที่สุดเท่าที่ทำมาและคุณสมบัติก็ครบ
      ไม่มีขาดตกบกพร่อง และแล้วนาทีที่รอคอยก็มาถึง....
      ผู้จัดการประกาศผลออกมาแล้ว


      "
      ฉะ ฉะฉัน.....ฉัน.....ได้งะงะงะงะงานทำ......แล้ว"


      ฉันดีใจมากจนพูดแทบไม่เป็นคนเลย
      ฉันดีใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันพูดขอบคุณผู้จัดการที่ออกมาบอกผล
      ขอบคุณพนักงานที่นั่งทำงานอยู่แถวนั้น จนหลายๆคนหัวเราะฉันกันใหญ่
      ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับพวกเขา แล้วตาฉันก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง
      ร่างสูงนั้นใส่สูทสีดำมองมาทางฉันพร้อมทั้งยิ้มแกมหัวเราะ ฉันยังยังไม่วายไม่ทิ้งนิสัยเดิม
      เผลอทำตาเขียวใส่เขา แต่ ดูเหมือนมันจะไม่สะทกสะท้านเขาเลย
      เพราะเขายังคงหัวเราะฉันอยู่ หลังจากที่ผู้จัดการทำข้อตกลงแล้วนัดเวลาเริ่มงานแล้วฉันก็ขอบคุณผู้จัดการอีกครั้ง ก่อนลากลับ แต่ก่อนกลับฉันก็แอบมองหาผู้ชายคนที่ใส่สูทคนนั้น แต่ก็ไม่มีวีแวว


      "
      เขาเป็นใครกันนะ" คำถามนี้มันยังค้างคาใจฉันอยู่ แต่ที่แน่ๆฉันคิดว่าฉันต้องได้เจอเขาอีกแน่นอน
      ฉันเดินออกจากบริษัทพร้อมกับรอยยิ้ม และมองไปบนท้องฟ้าที่เหมือนทุกวัน
      แต่ในความรู้สึกของฉันมันเต็มไปด้วนความสุขของฉันขณะนั้นเองภาพของยายสารที่ยิ้มให้ฉ
      ันก็ผุดขึ้นมาในหัว


      "
      ขอให้ยายสามีความสุขมากๆนะค่ะ แม่ค่ะหนูทำสำเร็จแล้วค่ะ ทฤษฎีของแม่ใช้ไม่ได้ผลแล้วนะค่ะ ฝนเม็ดแรกของฟ้าไม่ได้ตกลงบนปลายจมูกหนูแต่หนูก็ทำได้ค่ะ รอหนูอีกซักนิดนะค่ะแล้วหนูจะกลับบ้านไปหอมแม่ให้ชื่นใจเลย"


      ฉันเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มพลางคิดว่า ชีวิตคนเราที่จริงมันก็ไม่ได้หมดสิ้นซึ่งหนทาง
      ทุกปัญหามาทางแก้ อย่าคิดว่าตนเองทุกข์มาก แต่อย่าลืมว่ายังมีคนที่ลำบากและทุกข์กว่าเราตั้งหลายเท่า โดยเฉพาะความทุกข์ของคนที่เรียกว่าแม่ ที่เราควรจะนำมาไว้เป็นสิ่งที่เตือนเราเสมอ และถ้าเราตั้งใจ
      ทุ่มเทกับสิ่งใดแล้วสิ่งดีๆก็จะเข้ามาในชีวิตเราแน่นอน
      เหมือนชีวิตของฉันก็กำลังจะเริ่มต้นอยู่นี่ไง........




      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×