[TFBOYS] เชลยรัก ลวงใจ [KAIYUAN / QIANHONG] - นิยาย [TFBOYS] เชลยรัก ลวงใจ [KAIYUAN / QIANHONG] : Dek-D.com - Writer
×

    [TFBOYS] เชลยรัก ลวงใจ [KAIYUAN / QIANHONG]

    ข้าถูกสั่งให้มาฆ่า, เจ้าผู้ตามหาเด็กน้อยในฝัน, เขาผู้ถูกพรากรักแท้ไป,

    ผู้เข้าชมรวม

    2,017

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    28

    ผู้เข้าชมรวม


    2.01K

    ความคิดเห็น


    50

    คนติดตาม


    116
    จำนวนตอน :  17 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  19 พ.ย. 61 / 19:52 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ****** เรื่องนี้เกิดจากจินตนาการผู้แต่ง บุคคลในเรื่องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่อย่างใด ******


    เชลยรัก ลวงใจ


    ริมแม่น้ำขนาดใหญ่ขณะที่แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลากำลังใช้มือกวักน้ำจากแม่น้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างหน้าหลังจากเสร็จจากการทำสงครามที่ฝ่ายเขาเป็นผู้ชนะ แต่ไม่รู้ทำไมนายทหารที่ตามเขามาถึงกลับหายตัวไปหมด เขารู้สึกอ่อนล้ามากจึงเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ก็มาพบกับแม่น้ำสายนี้เข้าจึงเดินเข้ามายังริมแม่น้ำหวังเพียงพักผ่อนร่างกาย ระหว่างที่กำลังล้างหน้าอยู่นั้นก็พลันได้ยินเสียงร้องเพลงดังมาแต่ไกลเสียงนั้นช่างไพเราะยิ่งนัก ด้วยความอยากรู้ที่มาของเสียงเขาจึงเดินไปตามทางที่เขาคิดว่าคือที่มาของเสียง 

    เดินออกจากริมแม่น้ำได้ไม่ไกลรอบ ๆ ตัวก็มีแต่ต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้น บ้างก็มีเถาวัลย์ และดอกหญ้าขึ้นเต็มต้นคล้ายสวนพฤกษ์ชาติ พื้นข้างล่างยังมีดอกไม้นานาพันธ์ปลูกอยู่เต็มไปหมด จนเขากลัวที่จะเหยียบมันโชคดีมีทางเดินเล็ก ๆ ที่พอจะให้เขาเดินเข้าไปได้ เสียงร้องเพลงดังคงดังอยู่ไม่หยุดมันเป็นเสียงเด็กผู้ชาย ที่ร้องเพลงได้หวานและไพเราะมาก ตลอดชีวิตที่ผ่านมาครอบครัวเขาต้องมาพัวพันอยู่กับการเป็นทหาร เขาต้องฝึกอาวุธทุกแขนงตั้งแต่เด็กจึงไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นเมื่อเด็กทั่วไป ยิ่งการฟังเพลงด้วยความบันเทิงแล้วยิ่งไม่มีสิทธิ์นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนขับขานบทเพลงให้เขาฟัง ถึงแม้คนผู้นั้นจะไม่รู้ตัวเลยก็ตาม

    แม่ทัพใหญ่เดินเลียบทางเดินไปเรื่อย ๆ ก็พบกับเด็กหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเถาวัลย์ที่พาดระหว่างต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งเหมือนชิงช้า บนหัวของเด็กหนุ่มผู้นั้นใส่มงกุฎที่ทำมาจากดอกไม้บริเวณนั้น คาดว่าคงทำขึ้นมาเอง เขายังคงยืนมองเด็กหนุ่มคนนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์

    “นั่นใครน่ะ” เมื่อได้ยินเสียงเหมือนวัตถุบางอย่างกระทบใบไม้ที่แห้งกรอบที่ร่วงอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มผู้นั้นจึงหยุดร้องเพลงแล้วรีบหันไปยังข้างหลังตามเสียงที่ได้ยิน

    “ท่านเป็นใคร มาที่นี่ได้ยังไง” เด็กหนุ่มยังคงถามคนข้างหน้าที่ยังดูเหมือนคนสติล่องลอย เขาเพิ่มระดับเสียงตัวเองขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจน

    “ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ข้าได้เสียงเพลงฟังเพลงไพเราะดีจึงใครรู้ว่าผู้ใดร้องเพลงได้ไพเราะเช่นนี้ มิกล้ามาขัดท่านร้องเพลง” แม่ทัพใหญ่เมื่อได้สติกลับคืนมา ก็รีบอธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจในทันที  เด็กหนุ่มเมื่อได้ยินก็ยิ้มด้วยความดีใจที่มีคนชอบฟังเสียงเพลงของเขา

    “เจ้าชื่ออะไรล่ะ ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวไม่เคยมีใครมาฟังเพลงที่ข้าร้องเลย เจ้าคนแรกที่ฟังเพลงที่ข้าร้องและคนแรกที่กล้าเดินเข้ามาคุยกับข้า” เด็กหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดี

    “ข้าชื่อหวังจวิ้นข่าย เจ้าล่ะ” หวังจวิ้นข่ายตอบออกไปด้วยรอยยิ้ม ใครกันที่ปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้อยู่ในป่านี้ตัวคนเดียวช่างใจร้ายจริงเชียว

    “ข้าไม่มีชื่อหรอก เจ้าสนใจมาอยู่กับข้าไหมล่ะ ที่นี่ทั้งสงบและร่มรื่นมากไม่ต้องไปยุ่งกับโลกภายนอก” เด็กหนุ่มพูดชักชวนอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อคู่สนทนาไม่มีท่าทีว่าจะตอบตกลง

    “ข้าคงอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ข้ามีภาระหน้าที่ต้องทำมันเป็นหน้าที่ที่บุรุษคนหนึ่งต้องรับใช้บ้านเมือง” หวังจวิ้นข่ายพูดออกไปด้วยความสัตย์จริง

    “ไม่เป็นไร งั้นข้าจะพาเจ้าไปดูความสวยงามของที่นี่รับรองว่าเจ้าต้องสนใจแน่” พูดจบก็ลากแขนหวังจวิ้นข่ายเดินไปรอบ ๆ สวนพฤกษ์ชาติ พลางชี้ให้ดูธรรมชาติรอบ ๆ ประหนึ่งบ้านของตัวเอง หวังจวิ้นข่ายดูจะเพลินเพลินไปกับความสวยงามรอบ กาย กลิ่นหอมของดอกไม้ส่งกลิ่นเย้ายวยใจ

    ขณะกำลังเพลิดเพลินอยู่กับธรรมชาตินั้นภาพชายหนุ่มสองคนธรรมกลางธรรมชาติและดอกไม้อันสวยงามพลันอันตพาลหายไปกลายเป็นพื้นโล่ง ๆ ข้างหน้าเป็นหน้าผาสูงชัน หวังจวิ้นข่ายงุนงงกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เขาเดินไปริมหน้าผาซะโงกหน้าลงไปมองดูความลึกของหน้าผา แต่กลับไม่เห็นพื้นข้างล่าง เห็นเป็นเพียงแต่ความมืดมิด บ่งบอกว่ามันลึกมากจนไม่สามารถเห็นข้างล่างได้

    “ที่นี่มันที่ใดกัน เจ้าเป็นใครกันแน่” เขาหันไปมองอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยความแปลกใจ แต่คนตรงหน้าก็ได้แต่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ จนเจ้าตัวไม่รู้จะถอยไปไหนเพราะข้างหลังเป็นหน้าผาสูงชัน

    “เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” พูดจบก็พลักหวังจวิ้นข่ายตกลงไปในหน้าผา ร่างสูงลอยละลิ่วอยู่กลางอาการสงเสียงร้องโดยพลัน เขามองหาสิ่งที่ยึดเหนียวไว้แต่หน้าผานี้กลับไม่มีแม้แต่พืชขึ้นมาเลย ร่างอันสูงใหญ่ลอยลงไปข้างล่างหน้าผาเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ฉับพลันร่างทั้งร่างก็กระทบกับพื้นแข็งอย่างแรง

    “โอ้ย.” เขาร้องเสียงหลงออกมาพลันลืมตาขึ้นมองไปรอบกายก็พบกับห้องนอนที่คุ้นเคยพร้อมกับเตียงนอนที่อยู่ข้าง ๆ และเขาที่อยู่บนพื้น เหลือบไปเห็นนายทหารคนสนิทที่วิ่งพรวดเข้ามาด้วยความตกใจ ยืนยิ้มและหัวเราะอยู่ตรงประตูห้อง สร้างความหงุดหงิดเล็กน้อยให้กับเขาเมื่อเห็นดังนั้นจึงคว้าหมอนบนเตียงเขวี้ยงไปยังบุคคลที่อยู่ตรงประตู  บุคคลตรงนั้นหลบหมอนบินเล็กน้อยก่อนจะวิ่งหนีออกไป

    “เจ้าพวกนี้บอกกี่ครั้งกี่หนไม่รู้จักจำ อย่าเข้ามาห้องข้าตอนข้ากำลังหลับ” หวังจวิ้นข่ายบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อยถึงคนในความฝัน ในความคิดของหวังจวิ้นข่ายเด็กคนนั้นคงเป็นใครไม่ได้นอกว่าภูตภูเขา

    เขายันกายลุกขึ้นเก็บที่นอน และทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก่อนจะพาร่างของตัวเองมานั่งตรงโต๊ะทำงาน หยิบแท่งหมึก พู่กันและกระดาษขึ้นมา หวังเพียงเพื่อจะวาดรูปคนในฝันอย่างอารมณ์ดีก่อนใบหน้านั้นจะเลือนหายไปจากความทรงจำ

    หน้าห้องแม่ทัพใหญ่ทนายนายเดิมที่เพิ่งจะถูกหมอนบินเขวี้ยงไป ยืนสนทนาถึงเรื่องราวที่ตัวเองเพิ่งเจอมาสด ๆ ร้อน ๆ ให้นายทหารที่มีหน้าที่อารักษ์ขาหน้าห้องแม่ทัพใหญ่ฟัง

    “นี่พวกเจ้ารู้ไหมว่าตะกี้ข้าเข้าไปเจออะไร” ทหารคนนั้นพูดแล้วเหลียวไปมองหน้าทหารประจำการสองนายที่พร้อมใจกันส่ายหน้าไปมา

    “เจอท่านแม่ทัพนอนตกเตียง ฮ่าฮ่าฮ่า หน้าตาตอนรู้ว่าตัวเองตกเตียงนี่ตลกซะมัด” ทั้งสามคนหัวเราะกันเสียงดังลั่นโดยไม่แกรงกลัวคนในห้องแต่อย่างใด แต่แล้วทหารสองนายที่ยืนประจำการที่ลดเสียงลงแล้วทำหน้าตาเฉย รีบกลับไปยืนตรงตำแหน่งของตัวเองทันที

    “พวกเจ้าเป็นอะไรไป ไม่หัวเราะต่อล่ะ ฮ่าฮ่า ข้าว่ามันตลกดีนะ” เขาพูดพร้อมกับเดินไปตบบ่านายทหารทั้งสอง แต่ด้วยความที่ไม่ระวังตัว ก็ถูกแรงผลักจากข้างหลัง ที่คาดว่าเป็นอวัยวะเบื้องล่าง

    “โอ้ย ใครกล้าถีบข้าวะ” เมื่อล้มไปกับพื้นปากก็พร่ำด่าออกไปโดยไม่มองบุคคลที่มาใหม่

    “ข้าเอง หวังจวิ้นข่าย” เสียงเข้มตะโกนออกไป เมื่อยินเสียงบุคคลที่สี่ที่เพิ่งมาใหม่ เจ้าตัวถึงกับซะงักทันที

    “ทะ ทะ ท่านแม่ทัพข้าป่าวนะ พวกนี้มันถามข้าเอง ข้า ข้าก็เลย” ทหารคนนั้นพูดเสียงตะกุกตะกักแต่พูดยังไม่ทันจบก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

    “รองแม่ทัพฮ้าวเฉียง ข้าขอสั่งเจ้าวิ่งรอบสนามฝึก 500 รอบห้ามพัก อย่าลืมคำปฏิญาณด้วยล่ะ ” หวังจวิ้นข่ายทำหน้าเข้ม ยืนมือกอดอกพิงเสาหน้าประตูห้องแล้วสั่งรองแม่ทัพไปด้วยเสียงอันดุดัน

    “ขอรับ ท่านแม่ทัพ” ฮ้าวเฉียงลุกขึ้นจากพื้นเขาตอบรับคำสั่งแม่ทัพก่อนจะออกตัววิ่งไปข้างหน้า สองเท้าวิ่งวนไปรอบสนามฝีกอย่างไม่คิดจะหยุดพักถึงอยากจะพักก็พักไม่ได้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะจากเหล่าทหารนายอื่นที่อยู่บริเวณนั้น

    “พูดด้วย”  เสียงตะโกนของแม่ทัพใหญ่สั่งให้รองแม่ทัพพูดคำปฏิญาณดังลั่นสนามฝึก

    “ข้าจะไม่เข้าไปห้องแม่ทัพตอนหลับอีกแล้ว”

    “ข้าจะไม่เข้าไปห้องแม่ทัพตอนหลับอีกแล้ว”

    “ข้าจะไม่เข้าไปห้องแม่ทัพตอนหลับอีกแล้ว”

    “ข้าจะไม่เข้าไปห้องแม่ทัพตอนหลับอีกแล้ว”




    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น