ตอนที่ 4 : ยุงบินชุม
3
ยุงบินชุม
หลังจากที่เราเดินกลับไปสมทบกับพวกเพื่อนๆ และเตรียมเดินไปยังใต้ตึกกิจกรรม พวกเพื่อนๆ ของนายสองซึ่งประกอบด้วย หมง อั๋น และเอกต่างพากันประสานเสียงถามว่าฉันเป็นใคร เกี่ยวข้องยังไงทางสายพันธุ์ ที่สำคัญทำไมต้องแลกป้ายชื่อกันด้วย พวกนั้นแซวและเริ่มคิดอกุศลหาว่าฉันเป็นแฟนกับไอ้สองจิตวิปริตนี่
“เฮ้ย ไม่ใช่แฟน ยัยนี่ชื่อ...” หมอนี่หยุดไปนิดนึง แล้วก้มมองป้ายชื่อฉันซึ่งห้อยอยู่ที่คอตัวเอง
“เออ ชื่อเปรี้ยว”
ขอบใจ นี่แกยังไม่รู้ชื่อฉันอีกเหรอเนี่ย -_- หยาบคายจริงๆ ไม่รู้จักจำบ้างเลย
“แล้วทำไมต้องแลกป้ายชื่อกันวะไอ้สอง”
อั๋นถาม ความจริงแล้วหมอนี่ถือว่าดูดีใช้ได้เลยทีเดียวนะ แต่พอไปยืนเทียบกับไอ้จอมขูดรีดแล้ว...นายอั๋นเป็นอันต้องตกขอบถนนไป
“รำคาญเวลามีคนเรียก -_- ถ้าห้อยป้ายชื่อยัยนี่ไว้ ก็ไม่มีใครรู้จักชื่อฉัน ไม่รู้ว่าเรียนคณะอะไร ให้คิดว่าชื่อเบี้ยว เอ๊ย ชื่อเปรี้ยวไปนั่นแหละดีแล้ว”
ฉันชื่อเปรี้ยว ไม่ใช่เบี้ยวเฟ้ย =_=
“นี่แกกะจะหนีพวกพี่กะเทยที่บุกมาถามหาน้องสองเด็กใหม่วิศวะฯ ใช่มั้ยวะ ฮ่าๆๆๆ รู้ทันนะโว้ย”
“โอ๊ยยย ขนลุก เลิกพูดเหอะ!”
ดูเหมือนสองจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดารุ่นพี่กะเทยในมหา’ลัยอะไรทำนองนั้นนะ ตั้งแต่เข้ามาเหยียบที่นี่เขากลายเป็นเด็กป๊อปปูลาร์ขึ้นมาในทันที หึๆ สมน้ำหน้า ขอให้แกไม่สามารถหลุดพ้นจากดงกะเทยพวกนั้นได้สำเร็จ จงวนเวียนจนเจียนตายอยู่กับสาวเทียมตลอดทั้งชาติเถิดดด สาธุ~
“เปรี้ยว... สองเป็นแฟนแกเหรอ” แฟร์กระซิบถาม
อีกแล้ว ยัยนี่เอาน้ำปลาตราไส้ตันคิดหรือไง =_=
“ไม่ใช่! และจะไม่มีวันใช่ด้วย”
“จริงเหรอ -O-“
ฉันไม่ตอบแต่ย่นจมูกอย่างรังเกียจไปทางไอ้จอมขูดรีดนี่แทน ทว่าหมอนี่ดันเห็นเข้าพอดี =_=
“ทำท่าแบบนั้นหมายความว่าไงฮะ”
ว่าแล้วไอ้บ้านี่เลยผลักหัวฉันทีหนึ่ง T^T ฉันจ้องเขากลับอย่างไม่พอใจ โธ่เอ๊ย แกมันก็เก่งแต่กับผู้หญิงละฟะ!
“ทำไม จะทำคืนหรือไง -_- เอาดิๆ”
สองขยับมาใกล้ๆ อย่างท้าทาย ถ้าฉันหาญกล้ากว่านี้ หมอนี่จะต้องถูกโขกหัวกลับไปแล้วแน่นอน -_- แต่ในความเป็นจริงคือฉันเดินถอยหลังหนีเขาอย่างปอดแหก T^T สุดท้ายเขาจึงผลักหัวฉันอีกครั้งหนึ่ง TOT
“ถ้าไม่กล้า อย่ามาทำหน้าท้าทาย”
ผลักๆ โอ๊ยยย เห็นหัวฉันเป็นคันโยกหรือไงฟะ
“หยุดผลักหัวฉันสักที!”
“จะผลัก มีไรมั้ย”
ฉันได้แต่กัดฟัน ในใจนี่วางแผนว่าจะกลับไปอ่านโคนัน แล้วก็หาวิธีฆาตกรรมไอ้หมอนี่ให้ได้!
“เฮ้ยพวกรุ่นพี่สั่งให้เดินแล้ว ไปกันเหอะ”
พวกเราทั้งหมดจึงได้เริ่มเดินขบวนเป็นแถวยืดยาวไปยังใต้ตึกอะไรสักอย่างที่รุ่นพี่เพิ่งบอก ฉันเดินจับหัวตัวเองพลางเดินตามหลังเขาไปต้อยๆ
“เดินให้มันไวหน่อยๆ สิ”
“ฉันก็ตามนายอยู่ติดๆ นี่ไงล่ะ”
“เถียงเหรอ -_-“
มันผลักหัวฉันอีกแล้ว กรี๊ดดด >_< อย่าให้ถึงวันของฉันบ้างนะไอ้เบื๊อกเอ๊ย โมโหแล้วเฟ้ย!
“อย่าทำท่าเก็บกดดิ อยากทำคืนอะดิ แต่ฝันไปเถอะ”
แล้วหมอนี่ก็ผลักหัวฉันเป็นครั้งที่สี่...ห้า...หก ก่อนจะหันไปหัวเราะกับเพื่อนๆ ของเขา =_=^^ ขณะที่แฟร์ซึ่งเดินอยู่ข้างๆ ฉันกลับไม่ช่วยอะไรเลย ยัยนี่คงมีแต่ขนแขนกับรอยยิ้มล่ะมั้ง
“ดูเหมือนเปรี้ยวกับสองจะรักกันดีจังเลยนะ”
“ใครบอกยะ!”
“หยอกกันดีออก”
“มันประทุษร้ายฉันต่างหาก”
“อ้าว นินทาฉันเหรอ -_-“
“ปะ...เปล่า โอ๊ย! เลิกผลักหัวฉันเสียที”
ใต้ตึกกิจกรรม
ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันต้องเดินทางไกลเป็นร้อยๆ กิโล (เวอร์ไปงั้นแหละ) จากที่ลานจอดรถมายังใต้ตึกกิจกรรม ฉันเห็นเพื่อนซอยอื่นๆ เขานั่งรถไฟฟ้าไปกันทั้งนั้น -_- ทำไมพวกเราซอยสี่ถึงต้องเดินไปด้วยล่ะ -O-! อ๊ะ มหา’ลัยฉันมีรถไฟฟ้าด้วยแหละทุกคน >_< แต่อย่านึกภาพว่ามันเหมือนรถไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ นะ มันเป็นแค่รถตู้เก่าๆ โทรมๆ ที่วิ่งได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน นั่นแน่! อยากรู้ละเซ่ว่ามันวิ่งยังไง มันวิ่งได้เพราะมันกินไฟฟ้าแทนไงล่ะ ตื่นเต้นมั้ย =_= (ไม่เลย)
เมื่อไปถึงรุ่นพี่ก็สั่งให้เรานั่งกันเป็นแถวๆ จนกระทั่งเต็มลานใต้ตึกกิจกรรม ไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้จอมขูดรีดลากแกมบังคับให้ฉันมานั่งอยู่ข้างๆ เขาด้วย ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ‘จะได้เรียกใช้ได้อย่างรวดเร็วไงล่ะ -_-’
คงไม่มีผู้ชายคนไหนที่ฉันจะเกลียดได้ขนาดนี้แล้ว บน-โลก-นี้-ไม่-มี-อีก-แล้ว!
พวกรุ่นพี่ทยอยแจกสมุดโน้ตที่แปะยี่ห้อซอยสี่เอาไว้ให้กับทุกคน พร้อมกับบอกว่านี่เป็นสมุดบันทึกที่ต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี -_- รักษาอีกแล้ว สงสัยต้องเอาสมุดราคาเล่มละไม่เกินห้าบาทนี่ห้อยไว้ที่คออีกแล้วมั้ง
‘ซอย 4 ซี้ทุกซอย’
นี่เป็นสโลแกนที่แปะเอาไว้บนหน้าปกสมุดโน้ตนี่ ฮิๆ ขอเป็น ‘ซอย 4 ซี้นิสิตคณะแพทย์’ ได้มั้ยคะ +O+หลังจากที่ทุกคนได้รับแจกเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่กะเทยคนหนึ่งซึ่งรับหน้าที่แกนนำจึงออกมาวาดลวดลายหน้าแถวด้วยการแพล่มสรรพคุณของตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์ นายสองเบะปากออกมา ขณะที่นายหมงซึ่งนั่งอยู่แถวข้างๆ เขาถึงกับหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหล
“พี่คนนี้ปะวะ ที่บุกมาขอเบอร์แกเมื่อวานที่คณะวิศวะฯ อะ ก๊ากๆๆๆ”
“ช่างน่าสยดสยอง =_=”
ฉันแอบหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ฮี่ๆ ฉันจะเอาเบอร์ของนายไปให้พี่กะเทยคนนั้น คราวนี้ล่ะ แกได้จมปลักอยู่กับกะเทยถึกนี่ซะเถอะ +_+
“นี่เธอ...ห้ามเอาเบอร์ของฉันไปแจกนะ ถ้าเบอร์ฉันเล็ดลอดไป”
เขาเว้นวรรคไปนิดนึงก่อนจะพูดด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม “เธอ-ดับ-อนาถ!”
รู้ทันได้ไงฟะ =O= ฉันแอบเบะปากและหันไปสนใจรุ่นพี่กะเทยที่ยืนอยู่หน้าแถว และเหมือนว่าเขากำลังจะทำท่าอะไรสักอย่าง ซึ่งดัดจริตมากๆ โอ้ว ให้ตาย นายสองย่นจมูกแสดงอาการชื่นชอบออกมาเต็มที่ (ประชดนะ)
เที่ยงวัน...
หลังจากเราทำกิจกรรมสนุกๆ กันมาทั้งวัน (สองไม่ทำอะไรเลย หายแวบไปอยู่ในส้วมได้อีก) พวกรุ่นพี่เริ่มทยอยแจกอาหารกลางวันให้พวกเราทีละแถว ฉันชอบค่ายรวมคณะนะ เพราะฉันได้กินข้าวฟรีทุกมื้อ แถมมีขนมเสิร์ฟทุกสองชั่วโมงด้วย ขณะที่ฉันกำลังกินข้าวอย่างแซบๆ สองมักจะขัดจังหวะด้วยการใช้ให้ฉันไปตักน้ำ ไปหยิบขนม ไปหาลูกอม ไปดมขยะ เอ่อ อันหลังไม่ใช่และ =_=;;
“น้องๆ ทุกคนคะ หยุดทานก่อนแป๊บนึงและหันมาทักทายอาจารย์ลียองเจกันก่อน ท่านบินตรงมาจากเกาหลีเลยนะคะน้องๆ วันนี้อาจารย์มาทักทายพวกเราด้วยนะคะ”
เสียงรุ่นพี่ป่าวประกาศ เมื่อกี้รุ่นพี่บอกว่าชื่อลียองเจหรือเปล่า =_= ต๊ายยย ชื่อพระเอกเรื่อง Full House นี่หว่า ฉันชะเง้อหน้าไปมองหาอาจารย์คนเกาหลีเจ้าของชื่ออันไพเราะเพราะพริ้งทันที ปรากฏว่า...อืม อาจารย์ไม่มีอะไรเหมือนลียองเจสักกะเผือก หัวท่านกลมดิ๊ก เงางามเลยทีเดียว -O-;;
“ภาษาเกาหลีนี่เขาทักทายกันยังไงนะ -_- เอ่อ น้องๆ ซอยนี้มีใครเรียนคณะมนุษยฯ เอกภาษาเกาหลีบ้างคะ หรือน้องคนไหนมีความสามารถด้านภาษาเกาหลีบ้างเอ่ย”
ไม่มีใครยกมือเลย แหม ทีเวลาไอดอลทั้งหลายมาเมืองไทย พวกหล่อนยังตะโกนว่า ซารังแฮโย ซารังโยเยได้เลย =_= ทีเป็นการเป็นงานแบบนี้ไม่ยักกะเสนอตัวออกไปล่ะ เชอะ!
“เธอ...ไม่สนใจเหรอ”
“อะไร -_-“
ฉันหันไปตอบด้วยคำถาม ไอ้บ้าสองยิ้มหึๆ พลางมองฉันกลับอย่างมีเลศนัย =_=;
“เธอเคยบอกว่ามาจากเกาหลีไม่ใช่เหรอ”
“อ้อ ฉันลืมไปแล้ว -_-;;”
“พี่ครับ!”
“ฮะ...เฮ้ยยย”
“ตรงนี้มีคนพูดภาษาเกาหลีได้ครับ”
แว้กกกกกกกกก! ไม่นะ ม่ายยย นายทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้นะสอง ฮือๆๆๆ
“พี่ครับๆ ทางนี้ครับ ทางนี้ๆ รีบพาออกไปโชว์ตัวข้างนอกแถวเลยครับ -O-“
ฉันพยายามเอามืออุดปากสองไว้ แต่ไอ้บ้านี่กลับดึงมือฉันออกแล้วตะโกนป่าวประกาศต่อว่าฉันพูดภาษาเกาหลีเป็นไม่ยอมหยุด โอ้ววว ตายแล้ว ตายแน่เลย ฉันไม่รอดแน่
“ทางนี้ครับ! มีคนอยากพูดภาษาเกาหลีโชว์ใจจะขาดแล้วครับ -_-“
“สอง! T/\T”
ฉันเรียกชื่อพลางยกมือไหว้เขา
“ได้โปรดดด เห็นแก่ความเป็นเพื่อนร่วมซอย และในฐานะลูกหนี้ตัวน้อยๆ ได้โปรดหุบปากของนายได้แล้ว ฮือๆๆๆ”
“พี่คร้าบบบ! มาทางนี้หน่อยครับ”
โอ๊ยยย ไอ้หูตึง ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนใจดำ ฮือๆๆๆ และในที่สุดสิ่งที่ฉันคิดไว้มันกำลังจะเกิดขึ้น
“ออกมาเลยค่า คนเก่งแห่งซอยสี่ ออกมาเล้ยยย ^O^”
แง้ พูดไม่ได้สักคำเลย T_T ฉันจะไม่ยอมขยับไปไหนเด็ดขาด
“ออกมาเลยจ้า ไม่ต้องอายนะ พี่สตาร์ฟไปพาน้องคนนั้นออกมาหน่อยเร็ว”
T[]T อยากจะร้องไห้แล้วสลายร่างไปกับอากาศธาตุ ฮือๆๆๆ พี่สตาร์ฟสองคนเดินเข้ามาหิ้วปีกฉันออกไปนอกแถว ฉันพยายามขัดขืน แต่ไอ้บ้าสองกลับส่งยิ้มและผลักไสไล่ส่งฉันให้ออกไปนอกแถว
“สู้ๆ นะครับคุณคนเกาหลี~”
หมอนี่ยิ้มกว้างพลางกำมือเป็นเชิงสัญลักษณ์ของนักสู้ กร๊าซซซ ฉันจะฆ่าแก
“ปรบมือให้เพื่อนหน่อยค่า โอ้ววว O_O เป็นน้องสองจากคณะวิศวะฯ นั่นเอง ขอเสียงเด็กวิศวะฯ หน่อยเร็ว”
“เฮๆๆๆ วู้ววว”
กรุณาอย่าตกใจว่าทำไมถึงกลายเป็นสอง เพราะฉันห้อยป้ายชื่อของไอ้บ้านี่อยู่ไงล่ะ ตอนนี้ทุกคนเข้าใจว่าฉันชื่อสอง เป็นเด็กปีหนึ่ง คณะวิศวะฯ กันหมดแล้ว โอ๊ยยย การมายืนข้างหน้าแถวแบบนี้ มันช่างโดดเดี่ยวหนาวเย็นเสียนี่กระไร~
“น้องสองพูดภาษาเกาหลีได้ใช่มั้ยคะ”
พี่สันทนาการที่คุมไมค์อยู่ถามยิ้มแย้ม ขณะที่ฉันกำลังจะตอบว่า...
“ใช่เลยครับ! พูดเก่งมากเลย เคยรัวใส่ผมจนงงแตกไปเลย”
อ้ายยยสองงงง! ฮือๆๆๆ ไอ้ทุเรศ นายก็รู้ว่าฉันพูดไม่ได้ พูดไม่เป็น
“อันยองอาเซโย”
อาจารย์ชาวเกาหลีหันมาทักทายฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“=O= ฮ่าๆๆๆ อันยองค่ะ อันยองอาซาเย”
“-@&%$&(()R$$###$$&&*”
รัวเลยค่ะ สาดกระสุนใส่ไม่ยั้งเลย
“ฮ่าๆๆๆ ยุงบินชุม จวนมีพุง“
ฉะ...ฉันพูดภาษาอะไรออกไป กรี๊ดดด นั่นใช่ภาษาเกาหลีหรือเปล่า TOT
“#%())+$##@”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ แมงดาชุม มองรูยุง คานยังคอย”
“=_=^”
“ฮ่าๆๆๆ ทวงยาดอง จวนมีลิง”
“วู้ววว ภาสาอาลาย อาจาน ฟังไม้ออกเลย =_=”
=[]= ทะ...ทะไมอาจารย์พูดไทยได้ล่ะ ช่วยด้วยยย
“แล้วสรุปน้องสองคุยอะไรกับอาจารย์บ้างคะเนี่ย ^^;;”
ท่ามกลางความสงสัยของทุกคนที่รอฟังคำตอบ
“ฮึกๆ น่าอายจริงๆ T^T”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

บีมของหนู กระซิกๆๆๆTOT++++ พี่เมใจร้ายยยยยย
สนุกมาก ๆ
คิดถึงบีมจัง
: ))))))