ตอนที่ 1 : บทนำ
4.5.59
บทนำ
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะสั่งให้ตัวเองกดปุ่มโทรออกหา 'แม่' อีกครั้ง อ่อ! นี่ก็เป็นครั้งที่สิบแล้วที่ฉันต่อสายหามารดาบังเกิดเกล้า มาดูกันว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะระหว่างคนที่โทรจิกกับคนที่แกล้งไม่ยอมรับสาย
ตู๊ด....
ฉันจะรอจนกว่าสายจะตัดไปเอง ถึงต่อให้แม่ไม่ยอมรับสาย โทรศัพท์ก็จะต้องร้อง...ไม่ก็สั่นครื่ดๆ ไม่หยุดใช่มั้ยละ
ตู๊ด...
[แกโทรมามีอะไรนักหนาหะ โทรมาอยู่ได้ นี่กะจะให้แบตมือถือฉันหมดเลยหรือไงหะ]
ฉันยิ้มกริ่ม เห็นมั้ยในที่สุดฉันก็ชนะ ส่วนแม่ก็แพ้ความรำคาญจนได้
[ว่ายังไง]
“แม่...”
[มัวแต่อมพะนำอยู่นั่นล่ะ มีอะไรก็รีบๆ พูดมา บอกแล้วไงว่าช่วงนี้ฉันยุ่ง ไม่มีเวลามานั่งคุยไร้สาระกับแกหรอกนะ]
“เดือนนี้แม่ต้องให้ตังค์หลิน แม่จำได้มั้ย"
ฉันเริ่มเกริ่นด้วยค่าใช้จ่ายประจำเดือนก่อน แม่กับพ่อตกลงกันว่าจะสลับกันส่งเงินให้ฉันคนละเดือน ฟังดูก็มีความรับผิดชอบดีนะ...แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครทำได้ โดยเฉพาะแม่ การเจียดเงินให้ฉันเดินละไม่กี่พันมันคงลำบากมากจริงๆ
[อะไรนะ เดือนนี้...? นี่แกจำผิดหรือเปล่า]
“ก็เดือนที่แล้วพ่อให้"
[งั้นก็ขอพ่อแกอีกสักเดือนสิ]
“พ่อเค้าบอกไม่มีแล้ว เดือนนี้..."
[งั้นแกก็ขอพ่อแกอีกสักเดือนได้มั้ยหะ บอกแล้วไงว่าตอนนี้เงินมันช็อต น้องแกสองคนก็เพิ่งเปิดเทอม นี่ฉันก็เพิ่งจะจ่ายค่าเทอมให้พวกนั้นไปหมาดๆ แล้วจะไปเสกเงินจากไหนมาให้แกอีกเล่า]
“อ้อ...หลินก็ต้องจ่ายค่าหน่วยกิจเดือนนี้เหมือนกัน แม่ไม่ต้องให้เงินค่ากินอยู่หลินก็ได้นะ... แค่ให้ค่าหน่วยกิจก็พอ"
[โอ๊ยย! ไม่มี ไม่มี! แกไม่เข้าใจหรือไงว่าฉันไม่มี ไปขอพ่อแกนู้น]
แม่โวยวายปัดความรับผิดชอบอีกตามเคย… เฮ่อ! ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่แม่ก็บอกไม่มี... พ่อก็บอกไม่มี...
“หลินคุยกับพ่อแล้ว พ่อก็บอกว่าไม่มีเหมือนกัน น้าแอนเก็บเงินไปหมด เค้าจะไม่ยอมจ่ายอะไรทั้งนั้นเพราะค่าหน่วยกิจเทอมนี้เป็นส่วนที่แม่ต้องรับผิดชอบ"
[ก็ฉันไม่มีจะให้ทำยังไง ฉันมีลูกอีกตั้งสองคน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จะให้ฉันหาจากไหน ฝั่งนู้นก็ไม่มีลูกไม่มีเต้าไม่ใช่เรอะ อยู่กันแค่สองคนจะค่าใช้จ่ายอะไรนักหนา เจียดมาให้แกสักหน่อยมันจะเป็นอะไร]
“น้าแอนออกจากงานแล้วเพราะแพ้ท้อง ต้องเก็บเงินไว้คลอดลูกด้วย ที่สำคัญเลยคือพ่อเพิ่งตกงาน..."
[ตกงาน! สมน้ำหน้ามันจริงๆ แล้วแก่ป่านนี้แล้วยังจะอยากมีลูก โอ๊ย! พ่อแกมันเอาอะไรคิด แล้วจะมีเงินเอาไว้เลี้ยงลูกละเนี่ย ฮ่าๆๆ]
แม่สบถด่าพ่ออีกหลายคำด้วยความสะใจ ส่วนฉันก็ปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอีกเช่นเคย แล้วก็พยายามพาแม่กลับมายังเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่
“แม่... หลินต้องเอาเงินไปจ่ายค่าหน่วยกิจเดือนนี้จริงๆ ไม่งั้นหลินจะไม่ได้เรียนต่อ หลินจะจบแล้ว แม่ช่วยหลินเหอะนะ"
ฉันกลั้นใจกล่าวอ้อนวอนแม่อีกรอบ... ฉันไม่ค่อยเล้าหลือซ้ำๆ แบบนี้หรอกนะ แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ พอเรียนจบแล้วทุกอย่างมันก็คงจะดีขึ้น อดทนอีกนิดเดียวนะหลิน...อดทน ฉันบอกตัวเองไม่หยุด ต่อไปก็ไม่ต้องโทรมาขอเงินใครแล้ว
“นะแม่ หลินอยากเรียนให้จบ หลังจากนี้หลินจะไม่รบกวนแม่อีกเลย ช่วยหลินนะ”
[ตอนนี้ฉันไม่มีสักแดงแล้ว! ทำไมแกไม่รู้จักหางานหาการทำ เก็บเงินจ่ายค่าเทอมเองบ้างหะ]
เหอะ ถ้าฉันไม่ทำงานพิเศษ...ลำพังเศษเงินที่แม่ให้มาพันสองพัน จะไปพอยาไส้อะไรได้
“แม่ก็รู้ว่าหลินทำอยู่แล้ว หลินเอาไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจะได้ไม่ต้องขอแม่มากยังไง แต่ค่าหน่วยกิจ...ยังไงก็ไม่พอจริงๆ นะแม่"
[ไปลองขอพ่อแกอีกครั้งสิ เค้าไม่ปล่อยให้แกถูกไล่ออกจากมหาลัยแน่ๆ]
“พ่อเค้าก็ไม่มีจริงๆ"
[ฉันก็ไม่มี]
“แล้วแบบนี้...”
[แกโตแล้วก็ลองหาคิดทางเอาเองละกัน เดือนนี้ฉันไม่มีหรอก ให้แกไป น้องอีกสองคนก็ไม่มีอะไรจะกินพอดี จะให้น้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ หรือไงหะ]
แล้วทีฉันต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ทุกเดือนไม่เห็นมีใครสนใจเลย แต่พวกน้องๆ ล้วนกินดีอยู่ดี มีข้าวของแพงใช้ๆ... เหอะ ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรแบบนั้นหรอก แต่แม่ก็ไม่น่าทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างลูกรักกับลูกกาฝากมากขนาดนี้
“แม่...”
[แล้วก็ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ ถ้ามีฉันจะส่งไปให้เอง ถ้าหาไม่ได้ก็ไปดรอปเรียนสักเทอมเถอะ จบช้ามันจะเป็นอะไรไป แค่นี้ละ]
“แม่”
[อะไรอีก!]
“ถ้าเป็นพวกน้องๆ โทรมาขอเงินค่าเทอมแม่แบบนี้ แม่จะบอกว่าไม่มี แล้วก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรม ไล่ให้ไปดรอปแบบนี้หรือเปล่า"
[...]
แม่เงียบไป ฉันพนันได้ว่าแม่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้พวกนั้นได้เรียนหนังสือต่อ แม่ต้องยอมจำนองบ้าน จำนองรถ ขายสร้อยแหวนนาฬิกาแพงๆ เพื่อหาเงินมาให้พวกนั้นได้เรียนต่อ แล้วทำไมแม่ไม่ทำแบบนั้นเพื่อฉันบ้างนะ ถึงจะเป็นแค่ลูกกาฝากแต่ฉันก็เป็นลูกของแม่คนหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
[คนไม่มี จะให้ทำยังไงละหะ]
“แม่...แม่ให้หลินเกิดมาทำไมเหรอ"
จู่ๆ ฉันก็โพล่งถามสิ่งที่สงสัยมาเนิ่นนาน มาถึงตรงนี้ฉันคงไม่หวังว่าแม่จะยอมช่วยแล้วละ ขืนเจียดเงินมาเดี๋ยวพวกน้องๆ จะลำบากกันเปล่าๆ ฉันได้ยินว่าค่าเรียนเปียโนแพงจะตาย แม่ได้อกแตกตายพอดี
“ถ้าทุกอย่างมันจะยากขนาดนี้ แม่จะให้หลินเกิดมาทำไม"
[...]
“จริงๆ นะ หลินโคตรทรมานเลยอ่ะแม่ ทุกวันนี้ถ้าตายได้ก็อยากจะตายไปให้พ้นๆ สักที แม่ไม่น่าให้หลินเกิดมาเลย"
[นี่หลิน...]
ปิ๊ป
ฉันกดตัดสายแม่ก่อนที่โดนแว้ดใส่ว่า ‘ก็ไม่ได้อยากให้แกเกิดมาหรอก!’ ระบายลมหายใจที่อัดแน่นอยู่ในอกแล้วก็เดินออกไปนอกห้องเพื่อสูดอากาศ ระเบียงคือส่วนที่ฉันชอบมากที่สุดในห้องรังหนูนี่เพราะมันคือจุดเดียวที่กลิ่นขยะตรงข้ามห้องลอยมาไม่ถึง ฉันเอนตัวพิงขอบระเบียงพลางก้มหน้าลงไปมองด้านล่าง อืม... มองจากตรงนี้แล้วต้นไม้ข้างล่างเล็กนิดเดียวเองแฮะ
ถ้าตกลงไปจะตายหรือเปล่านะ
ฉันคิดในใจ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าป้าแจ่มจันทร์เจ้าคงจะแค้นมากถ้าฉันมากระโดดตึกตายที่หอของแก แค่ข่าวลือว่าชั้นสามมีคนผูกคอตาย ผู้เช่าก็พากันกลัวจนขี้ขึ้นสมองแล้ว ถ้าฉันมากระโดดตึกตายไปอีกคน...สงสัยหอนี้ต้องได้ร้างแน่ๆ
ช่างปะไร...
ฉันต้องแคร์ด้วย ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนสักหน่อย ฉันเบื่อกับชีวิตที่ต้องทุกข์ทรมาน ดิ้นรนปากกันตีนถีบแบบนี้เต็มทีแล้ว ในเมื่อฉันเองก็เกิดมาจากความไม่ตั้งใจ ไม่ได้เป็นที่ต้องการของใครอยู่แล้ว และไม่ว่าฉันจะอยู่หรือจะตาย...ก็คงไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักเท่าไหร่หรอกมั้ง
กึก
เมื่อตัดสินใจแล้วฉันก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เริ่มค่อยๆ ปีนขึ้นไปยืนบนขอบระเบียง เมื่อมองไปที่พื้นด้านล่าง หัวใจฉันเต้นระรัวไม่หยุด... รู้สึกหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก ถ้าตอนนี้มีใครเอานิ้วก้อยมาดุนหลังเบาๆ ฉันก็พร้อมจะไปยมโลกทันที
ตายไปเลยมั้ย... จะได้ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องทรมานอีก
ฟิ้วววว!!
เปล่า ฉันยังไม่ได้กระโดด
ครื่ดด!!
“กรี๊ดดดดด!”
ฉันเผลอร้องด้วยความตกใจจากเสียงอะไรสักอย่างดังมาจากทางดาดฟ้า ฉันรีบก้มตัวลงมาอย่างตื่นตระหนก มือทั้งสองข้างเกาะราวระเบียงไว้อย่างเหนียวแน่นเพราะกลัวจะตกลงไปทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อม (จะตาย)
โครม!!
เสียงเพดานในห้องถล่มลงมาดังสนั่น อะไรวะเนี่ย... ฉันตัดสินใจกระโดดลงมาจากราวระเบียงแล้วก็วิ่งเข้าไปในห้องเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นแทน ฝุ่นละอองและเศษซากเพดานลอยคลุ้งตลบอบอวนจนมองอะไรแทบไม่เห็น พอแหงนหน้าขึ้นไปเพดานก็เห็นแสงแดดสาดทะลุเข้ามาถึงข้างในห้อง ท้องฟ้าวันนี้ช่างแจ่มใสสุดๆ
โว้ย ซวยแล้ว! อะไรตกลงมาวะเนี่ย อุกกาบาตเหรอ!
“แค่กก”
สะ...เสียงคน?
ฉันเพ่งมองอะไรก็ตามที่อยู่ใจกลางเศษซากเพดานที่พังลงมาอย่างระแวดระวัง
“โอ....แย่ละ นี่คงเป็นโลกมนุษย์จริงๆ สินะ”
เหวย เสียงคนจริงๆ ด้วย! ไม่ใช่อุกกาบาตแต่เป็นคน!
คนตกลงมาจากฟ้า...ทะลุเพนดายเลยเนี่ยนะ?
“คะ...ใครน่ะ” ฉันลองส่งเสียงถาม
“แค่ก....เฮ้!”
อีกฝ่ายตอบกลับมา ฉันกลืนน้ำลายดังเอื้อก...จดจ้องไปตรงใจกลางเศษซากที่เมื่อกี้ยังคละคลุ้งไปด้วยเศษฝุ่นละอองอย่างกล้าๆ กลัวๆ และแล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า....
“สวัสดีมนุษย์หญิง...”
เอเลี่ยนเหรอ! อะ...เอเลี่ยน...กำลังพูดกะ...กับฉัน
“เราชื่อมิคาเอลลานซาลาเซอร์คัสเรเวอเรสฟอล...”
คะ?....เอเลี่ยนจำเป็นต้องชื่อยาวขนาดนี้ด้วยเหรอ
เอเลี่ยน...ไม่สิ ไม่เลย! เขาดูเหมือนมนุษย์เพศชายปกติทั่วไป ไม่ได้มีสามตา สี่แขน หรือห้าขาอะไรทั้งนั้น! ชายผู้ที่มือชื่อยาวยืดที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาในชีวิต กำลังนั่งชันเข่าอยู่เหนือเศษซากเพดานที่หักพัง ดวงตาคมกริบและใบหน้าหล่อเหลานั่นมองตรงมาที่ฉัน เขาฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาวแล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ราวกับเป็นภาพสโลโมชั่น
“เราเป็นเทวดา”
เฮือก....ตั้งแต่เกิดมายันยี่สิบสอง ฉันไม่เคยยืนอึ้งเหมือนถูกสาป อ้าปากค้างแบบนี้มาก่อน...
เอ่อ...ไม่ใช่เรื่องที่เขาบอกว่าเป็นเทวดาหรอกนะ
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
โอ...พวกเทวดานี่เขาไม่ใส่เสื้อผ้ากันเรอะ!!
-----------To Be Continue-------
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คำผิดค่ะ
เดินละไม่กี่พัน "เดือน"
หน่วยกิจหรือหน่วยกิต คะ??
ทะลุเพนดาย?
รอติดตามอยู่นะคะสู้ๆ