คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Match 8 เดินทางสู่กังตั๋ง ศึกโต้วาที ขงเบ้ง ปะทะ คณะที่ปรึกษา
Match 8
เดินทางสู่กังตั๋ง ศึกโต้วาที
ขงเบ้ง ปะทะ คณะที่ปรึกษา
“กวนเป๋งรายงานตัวขอรับท่านลุงเล่าปี่” นักรบหนุ่มในชุดเกราะขุนพล ผู้สะพายปังตอ เอ๊ย ดาบสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ที่กลางหลัง เข้ามาในห้อง ก่อนรางงานตัว
“ยินดีต้อนรับกลับกวนเป๋ง ทางน่านน้ำสถานการณ์เป็นไงบ้าง?” เล่าปี่เอ่ยถาม
“ทุกอย่างเป็นปกติ แม่น้ำสงบนิ่ง ผู้คนสันจรไปมาเหมือนทุกๆ วัน ไร้วี่แววไส้ศึก หรือ เรือสอดแนมเข้ามาในเขตน่านน้ำขอรับ” กวนเป๋งตอบ
“ดีมาก... เอาล่ะเชิญเจ้าพักผ่อนตามสบาย มาร่วมโต๊ะทานอาหารกับพวกเราสิ” เล่าปี่ว่าขณะผายมือให้หลานชาย
“ขอบพระคุณขอรับท่านลุง” กวนเป๋งคำนับเล่าปี่ก่อนหันหน้าไปยังที่นั่งประจำของตน แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นขุนพลสาวเทพสงครามกวนอูยืนยิ้มอยู่หน้าเขา “เฮือก~! ท่านแม่...”
“แม่เหร~อ
!?” เหล่าเซงาคุ (ยกเว้นป๋า เปี๊ยก และ ตี๋) [เปี๊ยกนี่ไม่แน่เหมือนกันเห็นหนังตากระตุกดูอึ้งๆ เล็กน้อย] ร้องประสานเสียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“หือ~? มีอะไรกันเหรอ~?” เล่ากี๋ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เอ่ยถาม
“คุณกวนอูยังดูสาวอยู่แท้ๆ มีลูกโตขนาดนี้แล้วเหรอ?” คิคุมารุทั่งอยู่ติดกับเล่ากี๋กระซิบแถม ในขณะที่เหล่าเซงาคุพนักหน้าสนับสนุน (ไม่นับ 2 ครึม กะ 1 ตี๋)
“เข้าใจผิดแล้ว~! ท่านกวนอูยังไม่มีสามี นั่นน่ะ กวนเป๋ง ลูกบุญธรรมที่ท่านรับอุปถัมภ์มา” เล่ากี๋อธิบาย
“อ๋อ~!” เหล่าเซงาคุพยักหน้าเข้าใจ
“นั่นน่ะเหรอกวนเป๋ง ดูเด็กกว่าที่คิดนะ นายว่ามั้ยเทะสึกะ” ฟูจิว่า
“อืม...” เทะสึกะตอบรับ “คงอายุไม่ห่างากเรามากนักหรอก”
“กวนเป๋ง...” กวนอูเข้าโอบกอดกวนเป๋งอย่างอบอุ่น ขณะเอ่ยถาม “กำลังเป็นห่วงอยู่เชียว เห็นพวกทหารบอกว่าบ่ายๆ เดี๋ยวลูกก็กลับ แต่จนเย็นแล้วยังไม่เห็นโผล่หน้าเลย มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า?”
“เปล่าขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีท่านแม่... เฮือก~!” กวนเป๋งกอดตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้งเมื่อรู้สึกจิตสังหารรอบตัวกวนอูที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา ในขณะที่สายตาเหลียวกลับหลังไปมองง้าวมังกรเขียวในมือผู้เป็นแม่ที่โอบตนไว้อยู่
“แล้วทำไมกลับมาช้าจังเลย...?” กวนอูผละออกจากกวนเป๋งเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามลูกชายขณะกระฉับง้าวพิฆาตในมือขวาไว้พร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ ทั้งๆ ที่ยังส่งยิ้มหวาน (เจือยาพิษ) ไปให้ลูกชายอย่างไม่ขาดสาย
“พะ พะ พอดี ขะ ขะ ข้าไปพบคนๆ หนึ่งเข้ากลางทางน่ะขอรับ” กวนเป๋งตอบอย่างติดขัดๆ ราวกับกำลังตัวสั่น “ปะ ปะ เป็นคนสำคัญมากซะด้วย”
“ใครงั้นเหรอ?” กวนโอถามขณะลืมตามหวานสวยของตนมองผู้เป็นลูกชาย
“ทูตจากกังตั๋งขอรับ” กวนเป๋งตอบ
“หา~?” กวนอูอุทานขณะคลายง้าวในมือลง ก่อนเอ่ยถามผู้เป็นลูกอย่างเป็นงานเป็นการ “ใครงั้นเหรอ?”
“เขาบอกว่าเป็นที่ปรึกษาของซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งขอรับ” กวนเป๋งยืดอกขึ้นตอบอย่างหนักแน่น ในขณะที่แอบโล่งใจอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของกวนอู
“แล้วเขาอยู่ไหนแล้วล่ะ?” เล่าปี่ที่ได้ยินบทสนทนาของสองแม่ลูก เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าให้เขาพักอยู่ในห้องรับรอง จะให้ไปเชิญเข้ามามั้ยครับ” กวนเป๋งถาม
“อื้ม! ดีเลย พาเขามา” เล่าปี่ตอบ
“แห~มๆ... โทษทีนะจ๊ะ ตอนแรกแม่นึกว่าลูกตัวเหลวไหลลืมคำที่แม่ขอไว้ซะอีก” กวนอูกระซิบข้างหูลูกชายอย่างภูมิใจ ก่อนกลับหลังหันเดินกลับไปนั่งที่ของตน
‘โชคยังดี หากไม่เจอท่านทูตคนนี้ล่ะก็มีหวัง...’ กวนเป๋งขนลุกซู่ไปทั้งตัวเมื่อนึกภาพตนถูกกวนอูเอาง้าวไล่ฟัน ขณะหันไปมองมารดาที่นั่งอยู่ข้างกับเตียวหุย และ จูล่ง
“(b - o - d)” เตียวหุยกับจูล่งยกนิ้วโป้ง 2 มือให้กวนเป๋ง ขณะทำปากบอกเป็นเชิงว่า ‘รอดตายอย่างปาฏิหาริย์’
“แหะๆ” กวนเป๋งหัวเราะแห้ง พลางเอามือเกาหัว ยิ้มแหย่ๆ ไปให้ทั้งคู่
กวนเป๋งเดินไปสั่งทหารที่เฝ้าอยู่หน้าห้องให้ไปเชิญชายที่เขากล่าวถึงมา ก่อนเดินมานั่งตรงที่นั่งข้างเทะสึกะอย่างสงบเสงี่ยม พลางหันหน้าหน้ามาสบตากับเทะสึกะแล้วก้มหัวทักทายอย่างมีมารยาทแทนคำกล่าวสวัสดี แต่แล้ว
“อะ เอ๋~?” กวนเป๋งเบิกตากว้าง มองมายังเทะสึกะ และ เหล่าเซงาคุ ที่นั่งเรียงแถวถัดๆ กันไปจนถึงเล่ากี๋ “นี่พวกเจ้าเป็นใคร? มานั่งอยู่ตรงนี้เมื่อไหร่อะ?”
‘เหอะๆ... ความรู้สึกช้าซะไม่มี...’ เหล่าเซงาคุที่เหงื่อตกให้กับคำกล่าวทักของกวนเป๋ง คิดประสานเสียงกันในหัว
“ผมชื่อ เทะสึกะ คุนิมิทสึ ส่วนที่นั่งเรียงอยู่นี่คือเหล่าเซงาคุ พวกเราเป็นทหารใหม่ของท่านเล่าปี่ ขอฝากตัวด้วย” เทะสึกะยกมือคำนับกวนเป๋ง
“อ๋~อ อย่างนี้นี่เอง ยินดีได้รู้จักข้ากวนเป๋ง ขอฝากตัวด้วย” กวนเป๋งกล่าวตอบพลางยกมือขึ้นคำนับเทะสึกะ ก่อนยกมือขึ้นคำนับเหล่าเซงาคุ “ฝากตัวด้วย”
“ฝากตัวด้วยครับ” เหล่าเซงาคุคำนับตอบ
“เอ๋~? มีแต่เด็กหนุ่มอายุน้อยๆทั้งนั่นเลยนี่นา กองกำลังนักรบวัยเยาว์งั้นเหรอ?” กวนเป๋งสอดส่องสายตามองเหล่าเซงาคุทั้ง 9 “ข้านึกว่าข้าเป็นคนอายุน้อยที่สุดแล้วนะเนี่ย ดีเหมือนกัน ข้าจะได้มีเพื่อนๆ รุ่นเล็กกันเขาบ้าง จะว่าไปท่านเทะสึกะก็คงอายุประมาณ 20 กว่าๆ มากกว่าข้าไม่กี่ปีสินะ นั่นข้าขอเรียกท่านพี่เทะสึกะเลยแล้วกันนะ”
“ผมอายุ 15 ปีครับ...” เทะสึกะตอบเรียบ
“(^.^*)” กวนเป๋งเงียบไปครู่หนึ่ง “พูดเล่นใช่ปะ?”
“(*-_-)” เทะสึกะส่ายหน้า
“(o.o*)” กวนเป๋งกระพริบตาปริบๆ ขณะมองหน้าเทะสึกะอย่างไม่อย่างเชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนกวนเป๋งจะกอดคอเทะสึกะแล้วกระซิบถาม “บอกตรงๆ นายหน้าแมนกว่าท่านลุงเล่าปี่อีก นี่... บอกเคล็ดลับทำหน้าเข้มให้หน่อยดิ”
“(*-_-)” เทะสึกะมองกวนเป๋งหน้านิ่งๆ
“คิกๆ...!” เหล่าเซงาคุกลั้นหัวเราะ
“ท่านทูตแห่งกังตั๋งมาแล้วขอรับ” นายทหารที่กวนเป๋งให้ไปตามบุรุษที่เขาพามาพบทุกคน เอ่ยเรียกความสนใจ ก่อนผายมือเชิญให้บุคคลที่กำลังพูดถึงอยู่นี้เดินเข้ามา
“ข้าขอแนะนำตัวขอรับ... ข้าชื่อโลซก เป็นที่ปรึกษาคนสนิทของท่านซุนกวน...” ชายอายุ 40 ต้นๆ ท่าทางนอบน้อม เดินตรงมากลางวงล้อมโต๊ะกินเลี้ยง ก่อนก้มหัวคำนับเล่าปี่ที่อยู่เบื้องหน้าตนตามมารยาท ขณะเอ่ยแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“เป็นเกียรติที่ได้พบเช่นกัน ไม่ทราบว่ามาถึงที่นี่มีเหตุอันใดหรือ?” เล่าปี่เอ่ยถาม
“นายของข้าได้ข่าวท่านพ่ายถอยหนีทัพโจโฉมาอยู่ที่นี่ เลยมีไมตรีจิตส่งข้ามาเยี่ยมเยียน และ ให้ความช่วยเหลือเท่าที่สามารถทำได้” โลซกกล่าว
“หึๆๆ...” เสียงหัวเราะใสๆ ดังมาจากเด็กสาววัย 15 ผู้นั่งอยู่ข้างๆ เล่าปี่ ขณะเจ้าตัวลุกขึ้นโบกพัดไปมาเบาๆ ด้วยท่าทางสง่างาม “ท่านไม่ต้องอ้อมค้อมหรอกท่านโลซก พวกเรารู้ดีว่าท่านมาที่นี่เพื่ออะไร หากท่านไม่พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา พวกเราคงไม่สามารถวางใจข้อเสนอการเป็นพันธมิตรกับท่านได้หรอก”
“หือ...?” โลซกทำหน้าตกใจเมื่อเห็นเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าตนเกือบ 20 ปี พูดจากฉะฉานราวนักปราชญ์ชั้นสูงที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี มิหน่ำซ้ำยังสามารถดูออกว่าตนกำลังพูดอ้อมค้อมอีกด้วย
“เออ... ขอแนะนำนะ ท่านผู้นี่คือท่านอาจารย์ขงเบ้ง” เล่าปี่ผายมือชี้มาหาขงเบ้ง
“เป็นเกียรติที่ได้รู้จักค่ะ...” ขงเบ้งก้มหัวคำนับอย่างมีมารยาท
“โอ้~ว
! มิได้ๆ ข้าต่างหากที่สมควรคำนับ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านอาจารย์ฮกหลง” โลซกก้มหัวลงคำนับอย่างรีบร้อน ขณะมองมายังขงเบ้งอย่างไม่อย่างเชื่อในสายตาของตัวเอง ก่อนเอ่ยบอก “ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าอาจารย์ฮกหลงผู้โด่งดัง จะเป็นปราชญ์ผู้มีอายุน้อยถึงน้อยถึงเพียงนี้ นอกจากนั่นยังเป็นหญิงงามอีกด้วย”
“ขอบคุณสำหรับคำชม...” ขงกล่าว “เอาล่ะท่านโลซกว่าเรื่องท่านมาได้แล้ว คราวนี้พูดออกมาตรงๆ เลย พวกเราทุกคนต้องการได้ยิน”
“อืม... งั้นข้าไม่อ้อมค้อมล่ะนะ... ท่านเล่าปี่ ข้ามาเจรจาขอทัพของท่านมาร่วมเป็นพันธมิตรกับเราในการรบกับโจโฉในครั้งนี้”
“ตกลง”
โครม!
“เอ๋~!? ง่ายๆ อย่างงี้เลยเหรอท่าน?” โลซกที่เสียหลักหงายหลังล้ม ลุกขึ้นมาถามอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ง่ายๆ อย่างงี้แหละ” ขงเบ้งตอบยิ้มๆ “ข้าบอกแล้วว่า พวกเรารู้ดีว่าท่านมาที่นี่เพื่ออะไร พวกเราก็กำลังต้องการท่านกำลังของพวกท่านมาเป็นพันธมิตรเช่นเดียวกัน”
“ละ แล้ว ไหงเมื่อกี้?” โลซกว่าพลางนึกถึงท่าทีรู้ทันของขงเบ้งเมื่อครู่
“ข้าแค่พูดกดดันท่านเล่นเท่านั่นแหละ” ขงเบ้งกล่าว “การเป็นพันธมิตรหมายถึงการร่วมแรงร่วมใจผนึกกำลังกันสิ่งสำคัญที่สุดคือการเชื่อใจซึ่งกันและกัน หากแค่เจรจากันท่านก็ไม่เชื่อใจพวกข้า แล้วจะให้พวกเราร่วมรบด้วยกันได้อย่างไร”
“โอ้... ข้าช่างโง่เขลายิ่งนัก หากไม่ได้อาจารย์ขงเบ้งเตือนไว้ล่ะก็แย่เลย
” โลซกเอ่ยอย่างนอบน้อมพลางก้มหัวคำนับขงเบ้งด้วยความนับถือ
“เอาล่ะทุกคนเตรียมตัวออกเดินทาง” ขงเบ้งว่าขึ้น
“หะ. หา~?” โลซกตีหน้างงอีกครั้ง
“ท่านต้องการพาข้าไปเจรจากับนายขอท่านไม่ใช่หรือ?” ขงเบ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสๆ แบบหยั่งรู้ ราวกับเธอรู้ใจโลซกซไปะหมด “งั้นเราก็ต้องรีบกันหน่อยแล้ว”
“ขอรับ!” โลซกตอบรับอย่างดีใจ ทั้งที่ยังงงกับตัวเองอยู่ ตกลงเขาจะต้องถ่อสังขารมาเจรจาทำไม แต่ความคิดนั่นก็ถูกแทนที่ด้วยทึ่งในตัวขงเบ้งที่ยังคงอยู่ไม่หาย
“รับคำสั่ง
” ขงเบ้งยืนขึ้นสะบัดพัดในมือขวาก่อนเอามาแนบที่อกข้างซ้าย
“ครับ/ค่ะ!” กวนอู เตียวหุย จูล่ง เล่ากี๋ กวนเป๋ง เทะสึกะ และ ฟูจิลุกขึ้นขานรับอย่างพร้อมเพรียง
“อะ เออ
คะ ครับ!” เหล่าเซงาคุทั้งหลายที่ยังไม่รู้พิธีการลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนขานรับตามเหล่าขุนพลคนอื่นๆ
“ท่านกวนอู ท่านเตียวหุย ท่านจูล่ง ท่านกวนเป๋ง และ ท่านเล่ากี๋ให้อยู่ประจำการที่นี่รอจนกว่าข้าจะส่งคำสั่งต่อไปมา” ขงเบ้งออกคำสั่งขณะชี้พัดไปหาบุคคลที่ตนเอ่ยชื่อ
“ครับ!/ค่ะ!” เหล่าขุนพลตอบรับ
“คุนิมิทสึ จงเตรียมเรือเดินทางหนึ่งลำ และ คนของเราให้พร้อมก่อนรุ่งสาง”
“ครับ...” เทะสึกะตอบรับ
“เอ๊ะ...? ท่านขงเบ้ง ท่านจะให้เทะสึกะ เออ... หมายถึงท่านรองแม่ทัพ นำคนไปกี่คนหรือท่าน?” เล่าปี่ถามขณะสังหรแปลกๆ
“9 คน... (กับตัวแถมอีก 5 คน)” ขงเบ้งตอบ
บนเรือเดินทางลำหนึ่ง
‘นี่ข้า... คิดถูกรึเปล่าเนี่ย’ โลซกที่ยืนอยู่ข้างกาบเรือรำพึงกับตัวเอง
“เป็นอะไรไปหรอกค่ะ ท่านลุงโลซก” ขงเบ้งที่เดินมาทางด้านหลังเขาเอ่ย
“ลุง?” โลซกหันมามองหน้าขงเบ้ง
“ไม่จำเป็นต้องพูดแบบเป็นงานเป็นการตลอดเวลาก็ได้ ตอนนี้ท่านกับข้าก็ไม่ได้อยู่ในพิธีกรรมอะไรซักหน่อย ข้าเรียกท่านลุงก็คงไม่ผิด (เพราะท่านน่าจะแก่กว่าแม่ข้า) ใช่มั้ยคะ?” ขงเบ้งว่ายิ้มๆ “ทางลุงเองก็เรียกข้าว่า ขงเบ้งเฉยก็ได้”
“ไม่ผิดขอรับ เออ... แต่ข้าขอเรียก อาจารย์
“ท่านลุงโลซกเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” ขงเบ้งจู่ๆ ก็เอ่ยถามแทรกขึ้นมา
“อะ เอ๋~?” โลซกเอียงคองงเหมือนตามไม่ทัน
“ท่านกำลังสงสัยในตัวพวกข้าอยู่ใช่ไหม?” ขงเบ้งมองตาโลซก
“อะ เออ... คือ
” โลซกทำท่าทางลังเล
“ไม่ต้องห่วงท่านลุงโลซก... ข้าไม่ว่าท่านหรอก” ขงเบ้งกล่าว “จู่ๆ ก็ต้องพบว่าข้า ที่ผู้คนต่างขนานนามว่าปราชญ์มังกรหลับ เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงอายุ 15 ท่านคงตกใจ และ กังวลไม่น้อย เด็กวัยเยาว์อย่างข้าจะไปเจรจาให้คนเขาออกศึกได้อย่างงั้นเหรอ? ท่านคงคิดประมาณนี้สินะ”
“อะ เออ... คือ...” โลซกยังคงทำปากพะงาบๆ อย่างพูดไม่ออก
“มิหน้ำซ้ำ เหล่าผู้ติดตามที่ข้าพามาก็ล้วนเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันอีกต่างหาก” ขงเบ้งว่าขณะมองไปยังเหล่าเซงาคุทั้งหลายที่แบ่งหน้าที่กันควบคุมเรืออยู่ตามจุดต่างๆ
โมโมะ ไคโด คิคุมารุ กับ โออิชิ คอยดูใบเรือ คาวามูระคุมพังงา ฟูจิสังเกตการณ์อยู่บนยอดเสากระโดงเรือ อินูอิ กับ เทะสึกะ ค่อยดูแผนที่ พร้อมกับบังคับการเดินเรือ ปีหนึ่งที่เหลืออีก 5 คนรับหน้าที่เบ็ดเตล็ด เป็นต้นว่าดูแลความสะอาด เตรียมอาหาร ตรวจดูความเรียบร้อยของเรือ ฯลฯ ส่วนเอจิเซนรับหน้าที่เป็นมัสคอตนั่งๆ นอนอยู่หัวเรือเพราะไม่มีอะไรให้ทำ (อันที่จริงแอบหนีงานไปงีบต่างหาก... หรือที่เรียกอู้งานดีๆ นี่เอง...) “อย่าว่าแต่ท่านเลย หากข้าเป็นท่านข้าก็คงกังวลเหมือนกัน”
“งะ... งั้นเหรอครับ?” โลซกมองขงเบ้งอย่างทึ้ง เพราะตั้งแต่ที่ได้เจอหน้าเธอ ก็พบว่าถูกเขาถูกเธออ่านใจได้หมดเลย
“แต่ท่านไม่ต้องห่วงท่านลุงโลซก แม้ตัวข้า และ ผู้ติดตามของข้าจะยังอายุน้อย ดูเหมือนพึ่งอะไรไม่ได้ แต่เชื่อข้าเถอะพวกเขามีฝีมือมากว่าที่ท่านคิด” ขงเบ้งกล่าว
“ข้าเชื่อขอรับ แม้ตอนแรกข้าจะตกใจที่พบว่าท่านเป็นแค่เด็กสาว แต่เมื่อเห็นท่าทีของท่าน และ ได้ยินถ่อยคำที่ท่านพูดช่างน่าเกรงขาม และสง่างามสมเป็นปราชญ์” โลซกว่า “นอกจากนั่นทั้งที่เพิ่งจะได้พบกันครั้งแรก แต่ท่านกลับสามารถรู้ทันข้าไปหมด ข้าไม่รู้นะว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ข้ามั่นใจเลยว่าท่านคือปราชญ์มังกรหลับอย่างแน่นอน”
“เห~
ลุงเนี่ยก็มั่นใจกับเขาเป็นด้วยเหรอ”
“เหย๋อ~!” โลซกสะดุ้งตกใจเมื่อมัสคอตที่น่าจะนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่หัวเรือจู่ก็มาปรากฏอยู่ข้างๆ ตน “ท่านเอจิเซน?”
“ตั้งแต่อยู่ที่กังแฮมาเห็นทำหน้ากังวล พูดอะไรก็พูดแบบลังเลตลอด ตอนแรกๆ นึกว่าลุงเป็นพวกขี้ปอด ลูกแหง่ติดบ้านซะอีก (โห~ แรง...) “
“เออ... คือข้ายังไม่ค่อยคุ้นกับการอยู่กับนักรบอายุน้อยๆ จำนวนมากซักเท่าไหร่ ไม่ใช่ไม่คุ้นสิ แต่ไม่เคยเลยต่างหาก ตอนแรกก็เลยเกร็งนิดหน่อยน่ะขอรับ” โลซกว่า “กลัวว่าถ้าทำตัวไม่เหมาะสมแล้วพวกท่านจะว่าเอา”
“คิดมากน่าลุง ไม่มีใครเขาสนใจลุงหรอก”
ฉึก! (โอ้~ว
เจ็บน่าดู)
“แหะๆ...” โลซกหัวเราะแห้งๆ หลังถูกเอจิเซนพูดปลอบแบบ หักหารน้ำใจสุดๆ
“ดูเหมือนว่ายังมีอะไรที่ท่านลุงกังวลนอกจากนี้อยู่นะคะ” ขงเบ้งเอ่ยแทรก
“ข้า เออ... ข้าเกรงว่าพวกเราอาจจะมีปัญญาหาในการเจรจาให้นายข้าออกรบ” โลซกว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สถานการณ์ภายในของกังตั๋งตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายของเหล่าขุนพลกับฝ่ายของหัวหน้าที่ปรึกษาเตียวหอม แม้ข้าจะเชื่อว่าพวกท่านต่างก็มีความสามารถที่เลิศเลอไม่แพ้ใคร แต่ด้วยอายุวัยที่ยังเยาว์ของพวกท่านอาจจะเป็นเหตุที่เตียวหอมนำมากล่อมท่านซุนกวนยอมจำนนน่ะขอรับ”
“บอกแล้วไม่ต้องห่วงท่านลุงโลซก ข้าเตรียกการไว้แล้ว” ขงเบ้ง
“แหะๆ” แม้ใจจะเชื่อมั่นในจอมปราชญ์เบื้องหน้า แต่โลซกก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี
ห้องพักห้องหนึ่ง ณ เรือนรับรอง เมืองเกงจิ๋ว
“หืม...?” โจโฉที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง กวาดสายตามองรอบๆ อย่างประหลาดใจ เมื่อคนที่เขาเข้ามาเยี่ยมเยือนไม่อยู่ในที่ๆ ควรอยู่ “เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ... ซูเฉา”
“ท่านโจโฉ?” ซูเฉาที่ใช้นิ้วโป้งมือขวายึดพื้นอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองผู้มาเยือนก่อนลุกขึ้นคำนับอย่างเคารพ “ขออภัยขอรับ รู้สึกว่าประสาทหูขอข้าจะยังไม่ฟื้นตัวดีนัก จึงไม่ทันได้ยินว่าพวกท่านเดินเข้ามา...”
“ไม่เป็นไร... แต่เจ้าไม่ควรหักโหมแบบนี้” โจโฉว่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตากับฉายแววเป็นห่วงภายในใจออกมา “เดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหวนะ...”
“ขอรับ ขออภัยที่ทำให้เป็นห่วงขอรับ ข้าเกรงว่านอนมากไปจะทำให้ร่างกายมันทื่อไปน่ะขอรับ...” ซูเฉาตอบ
“แต่เห็นออกกำลังได้อย่างนี้ข้าก็วางใจแล้วล่ะ” โจโฉกล่าว
“ขอรับ...” ซูเฉาตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่แพ้โจโฉพลางก้มหัวลงคำนับ ตาฉายแววอย่างดีใจอย่างมองออกได้ไม่ยาก
“ท่านโจโฉน่ะ ถามหมอเรื่องอาการของเจ้าตลอดเลย น่าอิจฉาเจ้าจริงๆ ซูเฉา” แฮหัวตุ้นที่อยู่ข้างหลังโจโฉบอก
“ตุ้น...” โจโฉเอ่ยชื่อแฮหัวตุ้นขณะแอบเขินแบบหน้าตายด้าน
“ไม่เอาน่าท่านพี่ บอกให้ซูเฉาดีใจหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลย” แฮหัวตุ้นบอก
“จะว่าไป... ระหว่างที่ข้าพักฟื้นอยู่สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ?” ซูเฉาเอ่ยถาม
“หลังจากเจ้าหมดสติไปก่อนข้าพากลับมาที่เมือง พวกเราก็ถูกกวนอูสกัดทัพไว้ เลยถอยกลับมาตั้งหลักที่เก๋งจิ๋ว ตอนนี้ข้าส่งไปจนหมายไปกดดันซุนกวนให้ออกรบกับเล่าปี่แล้ว หากซุนกวนตอบรับเราก็เตรียมพร้อมกองทัพไว้ตลบหลังซุนกวนต่อได้เลย
” โจโฉสารทยาย
“อืม... งั้นเหรอครับ...” ซูเฉาตอบรับ
“เอ๋~? เป็นอะไรไปเหรอซูเฉา ไหงทำตาเหมือนผิดหวังอะไรนี่แหละ” ผู้เชี่ยวชาญทางการอ่านอารมณ์คนหน้าตาย (โห~
ตำแหน่งกิตติมศักดิ์) แฮหัวตุ้นเอ่ยถาม
“เปล่า... ขอรับ” ซูเฉาตอบพลางหลบตาโจโฉ กับ แฮหัวตุ้น
“เสียดายที่จะไม่ได้แก้มือกับ คนๆ นั่นงั้นเหรอ...?” โจโฉว่า
“ข... ขอรับ” ซูเฉาตอบ
“อืม...” โจโฉพยักหน้ารับ
“ใครเหรอคะ?” แฮหัวตุ้นกระซิบถามถาม
“เด็กหนุ่มคนที่เอาชนะเขาได้ยังไงล่ะ...” โจโฉตอบก่อนหันกลับดูอาการท่าทีของ ซูเฉาอีกครั้ง “ใช่ไหมซูเฉา...”
“ขอรับ...” ซูเฉาขานรับ
“(- -)” โจโฉหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเรียกทหารที่เฝ้ายามอยู่หน้าห้อง “ทหาร!”
“ขอรับ” นายทหารที่ถูกเรียกเดินเข้ามารับคำสั่ง
“ไปคนบอกให้ส่งทูตไปตรวจดูสิว่าซุนกวนจะตอบจดหมายข้ายังไง” โจโฉสั่ง
“ขอรับ!” นายทหารรับคำสั่ง
“มีอะไรเหรอขอรับ?” ซุเฉาเอ่ยถาม
“ซุนกวนยังไม่ตอบรับจดหมายของข้า... ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้รบกับเล่าปี่อีกรอบก็ได้...” โจโฉกล่าว “เตรียมตัวไว้ให้ดีซูเฉา...”
“ขอรับ” ซูเฉาคำนับขณะแอบยิ้มเล็กน้อย
“เอาล่ะ ข้าต้องกลับไปจัดเตรียมทัพของข้าต่อแล้ว...” โจโฉว่า
“ขอรับ... ขอพระคุณที่สละเวลามาเยี่ยมขอรับ” ซูเฉาคำนับลา
“พักผ่อนบ้างล่ะ...” โจโฉว่าก่อนเดินออกจากห้องไป
“ไปนะ ซูเฉา” แฮหัวตุ้นโบกมือลา ก่อนเดินตามโจโฉไป
“(-_-)” ซูเฉามองตามแผ่นหลังที่เดินจากไปของทั้ง 2 คน ก่อนเดินไปปิดประตู แล้วจึงเดินออกไปนอกระเบียง
สายลมพัดหอบเอาเส้นผมสีเงินของซูเฉาพลิ้วไปตามลม ในขณะที่สายตาของเจ้าตัวมองผ่านไปยังผืนน้ำทางทิศเมืองกังตั๋ง ขณะรำพึงกับตัวเอง
“หวังข้า กับ เจ้า คงจะได้ประมือกันในสนามรบอีกนะเทะสึกะ คุนิมิทสึ...”
ว่าจบซูเฉาก็ยกขึ้นลูบแผ่นอกของตนที่เคยมีบาทแผลเป็นทางยาวโดยฝีมือของเทะสึกะ ก่อนเดินกลับเข้ามาในห้อง แล้วตรงไปที่ลิ้นชักตู้เสื้อผ้าของตน
ครืด...!
ซูเฉาเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดออกก่อนหยับของบางอย่างขึ้นมาถือในมือขณะพูดกับตนเอง “คงได้เวลาใช้เจ้านี่แล้วสินะ...”
ท่าเรือ ตำหนักเจ้าเมืองกังตั๋ง
“โห~! นี้เหรอเมืองกังตั๋ง” โออิชิว่าขึ้น
“ใหญ่กว่ากังแฮเยอะเลย” โมโมะเห็นด้วย
“ดูสิ มีเรือแล่นไปมาเต็มเลย” คาจิโร่ชี้มือเรียกให้ คัทสึโอะ และ โฮริโอะมองตาม
“นั่นตำหนักเจ้าเมืองสินะ” คาวามูระว่าขณะชี้มือไปยังวังขนาดใหญที่ตนพวกตนกำลังแล่นเรือเข้าไปเทียบท่า
“วิ้~ว...” เอจิเซนผิวปาก
“ชู่ว์..” ไคโดมองอึ้งๆ
“ว้า~ว! สวยจังเลย” 2 สาวปีหนึ่งเอ่ย
“ใหญ่เหมือนกันแฮะ” อินูอิบอก
“เคยแต่จินตนาการภามตามนิยาย เพิ่งเคยเห็นของจริงนะเนี่ย” ฟูจิกล่าว
“แห~มๆ ตื่นเต้นกันใหญ่เชียวนะ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้~
” คิคุมารุเต๊ะท่าพูด “เรามากับท่านมหาปราชญ์ขงเบ้งนะ ทำตัวให้สมเป็นผู้ติดตามหน่อย ใช่มั้ย ท่านขงเบ้ง”
“คุนิมิทสึดูนั่นสิ! มีรูปปั้นเสือตรงนั้นด้วยสวยจังเลย!” ขงเบ้งชี้มือไปตรงลานหน้าตำหนักที่มีรูปสลักพยัคฆ์ทองคำประทับอยู่ตรงกลาง ด้วยท่าทางไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ
“แป๋~ว...” คิคุมารุหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ
“(-_-)” เทะสึกะไม่พูดอะไร ได้แต่มองภาพที่เห็นเบื้องหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แห~ม สวยก็บอกว่าสวยออกมาเถอะ” ขงเบ้งแซวเอ่ยเทะสึกะ
“อืม... สวยจริงๆ นั่นแหละ
” เทะสึกะตอบกลับเรียบๆ
“นี่ๆ มีใครแล่นเรือมาทางนี้ด้วย...” เอจิเซนกล่าว ขณะเห็นเรือใบลำเล็กแล่นมา
“ไม่ทราบว่าเรือเดินทางนี้เป็นของผู้ใด!?” นายทหารคนหนึ่งเรือใบตะโกนถาม
“อ๋~อ คงจะเป็นยามประจำตำหนักแหละขอรับ เดี๋ยวข้าจัดการเอง” โลซกบอกก่อนชูป้ายประจำตัวตนเองให้ทหารเหล่านั่นดู “ข้าโลซก เพิ่งกลับมาจากกังแฮ
!”
“โอ้~! ท่านโลซกนี่เอง ยินดีต้อนรับกลับขอรับ” นายทหารทั้งหมดคำนับ
“ขอบใจๆ นำเรือพวกเราเข้าจอดทีสิ” โลซกเอ่ยกับทหารก่อนหันมาพูดกับเหล่าเซงาคุ “เรายังมีเวลาเที่ยวชมอีกเยอะ เอาเป็นว่าเราเอาเรือเทียบท่ากันก่อนดีกว่าขอรับ”
“ทุกคนได้ยินคุณโลซกแล้ว ประจำที่ เตรียมนำเรือเข้าจอด!” เทะสึกะออกคำสั่ง
“ครับ/ค่ะ” เหล่าเซงาคุขานรับ
ครู่หนึ่งหลังเรือเทียบท่า
“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะขอเข้าไปเตรียมนายข้าให้พร้อมเจรจากับท่านก่อน แล้วข้าจะมาตามนะขอรับ” โลซกว่า “เชิญเดินชมรอบๆ ตามสบายนะขอรับ แต่อย่าไปไกลเกินไปล่ะครับ ข้าคิดว่าคงเตรียมการกันไม่นานเท่าไหร่ จะได้ไม่เสียเวลาในการตามตัว”
“ค่ะ ตามสบายค่ะ ท่านลุงโลซก” ขงเบ้งว่า
“งั้นข้าขอตัว” โลซกก้มหัวลงคำนับ ก่อนเดินเข้าไปในตำหนัก
“(-_- )” หลังจากโลซกเดินจากไปได้ครูหนึ่ง เอจิเซนก็ทำท่าจะเดินปลีกตัวออกไป
“จะไปไหนน่ะเอจิเซน?” โมโมะเอ่ยถาม
“เดินเล่นฮะ...” เอจิเซนตอบขณะเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
“อย่าไปไกลนักล่ะ...” เทะสึกะว่า
“ฮ~ะ...” เอจิเซนตอบ
“จะว่าไปเราก็ไปเดินดูรอบๆ ดีกว่า” โฮริโอะเอ่ย
“อื้ม! /ดีเหมือนกัน” คัทสึโอะ และ คาจิโร่ตอบรับก่อน 3 หนุ่มปีหนึ่งปลีกตัวออกไปบ้าง
“เดี๋ยวสิ พวกเราไปด้วย! ไปกันเหอะซากุโนะ!” โทโมกะว่า ก่อนวิ่งตาม 3 หนุ่มไปพร้อมดับซากุโนะ
“จับกลุ่มกันไว้ดีๆ ล่ะ
!” โออิชิร้องเตือน
“คร๊า~บ...! / ค่~า...!” ทั้ง 5 ขานรับ
“เราก็ไปเดินดูรอบๆ ดีกว่า ปะ โมโมะ! ไคโด! โออิชิ!” คิคุมารุว่าก่อนคว้ามือเพื่อนคู่หู และ 2 รุ่นน้องคู่ขาไปด้วยกัน
“ฉันก็ขอตัวไปเก็บข้อมูลซะหน่อยแล้วกัน” อินูอิกล่าวขณะหยิบเอาสมุดจดประจดตัวออกมาจากเสื้อแล้วปลีกตัวไปชมรอบๆ อีกคน
“ฉันก็ขอเดินยืดเส้นยืดสายหน่อยแล้วกัน ไปด้วยมั้ย?” ฟูจิถาม
“งั้นฉันไปด้วยแล้วกัน” คาวามูระตอบ
“ไม่ล่ะ... ฉันอยู่รอตรงนี้แหละ...” เทะสึกะปฏิเสธก่อนมองตามทั้งคู่ที่เดินจากไป
“ได้มาที่สวยๆ ทั้งที ไม่เดินชมน่าเสียดายออกนะ?” ขงเบ้งเอียงเงยหน้าขึ้นสบตาเทะสึกะ ก่อนจบมือหนุ่มมาดขรึมออกเดินด้วยกัน “มาด้วยกันนะคุนิมิทสึ
”
เทะสึกะทำท่าจะปฏิเสธ แต่ก็ต้องหยุดลง เมื่อเห็นยิ้มอ้อนๆ ของขงเบ้ง “ก็ได้...”
สวนหลังตำหนัก ไม่ไกลจากท่าเรือนัก
เอจิเซนที่เดินทอดน่องจากท่าเรือมาเรื่อย พบว่าตัวเองมาโผล่อยู่ท่ามกลางสถานที่ที่เต็มไปด้วยพื้นหญ้าสีเขียวสวย ซึ่งปลูกต้นไม้สลับกับแปลงดอกไม้ล้อมรอบลานกระเบื้องหินอ่อนทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
“วิ้~ว... สวยไม่เบาเลยแฮะ...” เอจิเซนผิวปากอย่างทึ่งๆ ขณะเดินเข้ามาในลานทรงกลมอย่างถือวิสาสะ โดยหารู้ไม่ว่าผู้เป็นเจ้าของลานทรงกลมนี้กำลังเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ลานของตนเช่นกัน
“นายเป็นใคร?” เสียงใสๆ ดังมาจากเบื้องเอจิเซน
“หือ~?” เอจิเซนหันกลับไปมอง ทันทีที่เห็นภาพของเจ้าของเสียง สายตาก็พลันเบิกกว้างก่อนหยุดอยู่กับที่ ราวกับเวลานั่นหยุดลง หรือ อาจเป็นเจ้าตัวนั่นตกตะลึง จนลืมแม้การกระทั่งหาย
เจ้าของเสียงเบื้องหน้าเอจิเซน คือเด็กสาวตัวพอๆ กับเขา ผมสีน้ำตาลแดงยาวลงมาถึงเข่าทักเป็นเปียเล็กๆ ซ่อนไว้ที่หลังคอ ส่วนด้านข้างซอยให้ดูเหมือนเป็นผมสั้น ดวงตากลมโต หางตาคมเล็กน้อย ขนตาเรียวยาว นัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผม ริมฝีปากสีชมพูบริสุทธิ์ไร้การแต่งเติมเช่นเดียวกับใบหน้าเนียนสวยใสของเด็กสาวที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาขาวอมชมพูราวดอกท้อแรกแย้ม ไร้ริวรอยมีตำหนิ ผู้อยู่ในชุดลำลองแบบเด็กผู้ชาย สีแดงเพลิงที่แต่งแต้มด้วยลายพยัคฆ์สีทอง ในมือกอดดาบเล่มงามในฟักอย่างหรูไว้แนบอก มองมาที่เอจิเซนด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตร
“ฉันถามว่านายเป็นใคร?” เด็กสาวแสนสวยเอ่ยถามอีกครั้ง “เข้ามาที่ได้ยังไง?”
“(-.-)” เอจิเซนสายหน้าเรียกสติที่กระเจิงไปกับความตกตะลึงในความงดงามของเด็กสาวกลับมา ก่อนเอ่ยตอบ “ก่อนจะถามชื่อคนอื่นก็แนะนำตัวก่อนสิ...”
“นี่นาย...? ก็ได้... ฉันชื่อซีซิง แล้วนายล่ะ?” เด็กสาวถามเสียงดุ
“เอจิเซน เรียวมะ...” เอจิเซนตอบเรียบๆ
“เอจิเซน เรียวมะ?” เด็กสาวเจ้าของนาม ซีซิง ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อแปลกหู แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เอ่ยปากถามต่อ “นายเป็นใคร? เข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
“ฉันก็เป็นคนธรรมดาๆ ที่เดินเข้ามาแบบคนธรรมดา” เอจิเซนตอบ
“ฉันถามดีๆ นะ!” เด็กสาวเริ่มไม่พอใจ
“ฉันก็ตอบดีๆ แล้ว... ถ้าไม่พอใจฉันกลับเดินออกไปก็ได้” เอจิเซนยักไหล่กวนๆ ก่อนกลับหลังให้เด็กสาว ทำท่าจะเดินจากไป
ควิ้ง!
ดาบเล่มงามถูกชักออกมาจากฟักอันหรูด้วยมือเรียวบางของเด็กสาว ก่อนถูกยกขึ้นพาดลงที่คอของเอจิเซนจากด้านหลัง
“สวนแห่งนี้เป็นสวนส่วนตำหนักเมืองกังตั๋ง คนนอกไม่สามารถเข้ามาได้ และ ข้าก็แน่ใจด้วยว่าเจ้าไม่ใช่คนของที่นี่แน่” ซีซิงกระชับกระบี่ในมือแน่น ขณะยังชี้คมดาบพาดอยู่ที่ขอของเจ้าเปี๊ยกแห่งเซงาคุอย่างไม่วางใจ “นอกจากนี้พอถามที่มาที่ไป ก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบอีก... อย่างงี้คิดจะให้ฉันปล่อยนายเดินจากไปงั้นเหรอ?”
“(-.-)” เอจิเซนยืนยังคงนิ่งเฉยไม่มีท่าทีหวาดกลัวคมดาบที่จี้อยู่ที่คอแม้แต่น้อย
“ดูจากการแต่งตัวแล้วนายคงเป็นนักรบสินะ... แต่เกราะที่ใส่นี่ไม่ใช่ของเมืองเรา นายเป็นไส้ศึกจากเมืองอื่นงั้นเหรอ?” ซีซิงถามด้วยน้ำเสียงดุๆ แกมข่มขู่
“แล้วแต่เธอจะคิด...” เอจิเซนเอ่ยไปตามน้ำ แทนที่จะเอ่ยแก้ตัว แต่ด้วยทิฐิดื้อรั้นไม่เข้าท่าของตน จึงทำให้เจ้าตัวไม่ใส่ใจ
“ไม่ปฏิเสธซะด้วย... เห็นทีฉันคงต้องจัดการนายซะแล้ว” ซีซิงว่าก่อนก้าวถอยออกมากเล็กน้อย “ชักดาบ...”
“หือ?” เอจิเซนเอ่ยงงๆ
“ฉันไม่โจมตีคนที่มีอาวุธ...” ซีซิงว่าด้วยท่าทีจริงจัง
“(-_-)” เอจิเซนมองหน้าเด็กสาวเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือไปหยิบเอาดาบที่สะพายไว้ข้างเอวยกขึ้นมาชูไว้เบื้องหน้าตนแล้วยืนนิ่งมองสบตาเด็กสาว ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
เคล้ง~!
เอจิเซนปล่อยมือทิ้งดาบแบบตะวันตกที่ขงเบ้งหลอมขึ้นให้เขาลงกับพื้น
“เอ๋~?” ซิซิงมองการกระทำของเด็กหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันไม่มีอาวุธแล้ว เธอก็โจมตีไม่ได้สินะ” เอจิเซนเอ่ยกวนๆ (ซะงั้น...)
“นี่นายคิดจะกวนประสาทฉันไปถึงเมื่อไหร่!? ทิ้งดาบเพื่อหนีการต่อสู้งั้นเหรอ!? ช่างขี้ขลาดสิ้นดี! คนอย่างงี้ไม่มีศักดิ์ศรีได้รับเกียรติ์จากคู่ต่อสู้!” เด็กสาวถึงกับน๊อตหลุด ตวาดใส่เด็กหนุ่มอย่างโกรธจัด ก่อนเงื้อดาบขึ้นฟาดลงมาใส่เอจิเซนเต็มแรง แต่แล้ว
เคล้ง~!
“ห๊ะ!” เด็กสาวเบิกตากว้าเมื่อดาบสไตล์ตะวันตกตรงพื้นถูกเด็กหนุ่มที่เธอคิดว่าเป็นไส้ศึกไร้ศักดิ์ศรีคว้ากลับขึ้นมารับดาบเธอได้อย่างงายดาย (แล้วจะทิ้งไปทำไมอะ?)
“แค่นี้ยังอ่อนหัดอยู่นะ” เอจิเซนเอ่ยประโยคประจำตัวของตนขณะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์กวนประสาทไปให้ซีซิง
“หน่อย~!” เด็กสาวกระโดดเว้นระยะห่างก่อนตั้งการ์ดเตรียมเข้าโจมตี “รับมือ!”
เคล้ง~!
“เห~... แรงไม่เบานี่นา...” เอจิเซนเอยชม ขณะยกดาบในมือขวารับดาบของซีซิงที่ฟาดใส่เขาได้อย่างง่ายดาย
“ยังไม่จบแค่นี้หรอก!” ซีซิงดึงดาบกลับมา ก่อนเงื้อขึ้นกระหน่ำฟาดวาดเพลงดาบปะทะกับเอจิเซนอีกครั้ง
เคล้ง~! เคล้ง~! เคล้ง~! ควับ~! เคล้ง~!
ทั้งคู่ประดาบกันอย่างดุเดือด... อันที่จริงซีซิงออกแรงลงดาบอย่างดุเดือดอยู่ผู้เดียว ส่วนเอจิเซนแค่ยกดาบขึ้นรับดาบของซีซิงด้วยท่าทีสบายๆ
‘ทั้งๆ ออกแรงเต็มที่แล้ว... แต่หมอนี้กลับรับดาบของเราได้อย่างง่ายดาย หมอนี่เป็นใครกันแน่...?’ ซีซิงคิดในใจขณะยังไม่หยุดเหวี่ยงดาบเข้าใส่เอจิเซน เมื่อเห็นท่าทีเรียบเฉยแกมเจ้าเล่ห์ของเอจิเซนที่ยังคงยกดาบขึ้นมาสกัดวิถีดาบของเธออย่างเหนือชั้น ทำให้เด็กสาวเริ่มเพิ่มแรงให้การลงดาบขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ...
เคล้ง~! ควับ~! เคล้ง~! เคล้ง~! ควับ~! เคล้ง~!
“แฮ่ก... แฮ่ก... แฮ่ก...” ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากที่กระหน่ำดาบใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ยั้งมือ ทำเรียวแรงของหญิงสาวที่ย่อมมีน้อยกว่าชายหนุ่มเป็นเรื่องธรรมดาอ่อนลง จนเธอยืนหอบอยู่กับที่ แต่ก็ยังไม่วายยกดาบตั้งการ์ดขึ้นชี้ไปหาเอจิเซน
“เหนื่อยแล้วงั้นเหรอ...?” เอจิเซนถามกวนๆ
“ยังหรอก แฮ่ก... แฮ่ก...” เด็กสาวปฏิเสธทั้งที่ยังหอบอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้าสวยใสของเธอเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“เห็นๆ อยู่ว่าหมดแรงแล้ว เลิกเหอะ ฝีมือแค่นี้เอาชนะฉันไม่ได้หรอก” เอจิเซนว่า
“หนวกหู
!” ซีซิงเอ่ยเถียงอย่างหัวแข็ง ก่อนจะเงื้อดาบพุ่งเข้าหาเอจิเซนอีกครั้ง
เคล้ง~!
ท่าเรือ ตำหนักเจ้าเมืองกังตั๋ง
“นั่นลุงโลซกมาแล้วแง่~ว” คิคุมารุว่าขึ้น ก่อนชี้มือให้ทุกคนหันไปมอง เมื่อเห็นโลซกเดินตรงมาหาพวกเขา
“ขอโทษที่ทำให้คอยขอรับ เดี๋ยวเชิญพวกท่านด้านในเลยขอรับ” โลซกว่าขณะผายมือไปทางเดินสู่ตำหนัก
“เออ... ขอโทษนะครับคือ ทางเรายังมาไม่ครบน่ะครับ?” โออิชิว่า
“หือ~? ขาดใครเหรอขอรับ?” โลซกถาม
“เอจิเซนครับ” ฟูจิตอบ
“เอ... เขาไปไหนล่ะขอรับ?” โลซกถามต่อ
“เห็นเจ้าตัวบอกว่าจะไปเดินเล่นน่ะครับ” โมโมะบอก
“ไปคนเดียวเหรอครับ?” โลซกยังคงถามต่อ
“ครับ” คาวามูระว่า
“แล้วไปทางไหนครับ?” โลซกถามเป็นคำสุดท้าย
ไม่รอช้าเหล่าเซงาคุทั้ง 13 ก็ชี้มือไปเป็นทางเดียวกัน
“แย่แล้ว” โลซกว่าขึ้น
“มีอะไรเหรอท่านลุงโลซก?” ขงเบ้งถามบ้าง
“เออ... ทางนั่นเป็นทางสวนตำหนัก คนภายนอกห้ามเข้าน่ะขอรับ ข้ากลัวว่าท่านเอจิเซนจะไปเจอทหารยามแถวนั่นคุมตัวไว้น่ะขอรับ” โลซกบอกด้วยความเป็นห่วง
“หรือไม่ก็ขัดขืนแล้วเผลอไปเล่นงานทหารพวกนั่นเขา เลยถูกรุมจับ แล้วตอนนี้ก็ยุ่งอยู่กับการอาลาวาทจัดการทหารพวกนั่นอยู่
” อินูอิเปิดประเด็น
“ขะ... ขนาดนั่นเลยเหรอขอรับ...?” โลซกถามอึ้งๆ
“อืมๆ” เหล่าเซงาคุพยักหน้าเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกัน
“(=.=*)” โลซกถึงกับพูดไม่ออก ยืนเหงื่อตกอย่างเป็นกังวล
“เดี๋ยวผมไปตามเขาเอง” เทะสึกะบอก ก่อนหันหน้าเดินไปทางที่เอจิเซนเดินไป
“ฝากด้วยนะคุนิมิทสึ” ขงเบ้งกล่าว
“ขะ ข้าไปด้วยขอรับ เผื่อมีเรื่องกันจริงๆ ข้าจะได้ช่วยเคลียร์ให้” โลซกว่าก่อนรีบเดินตามเทะสึกะไป
“ครับ...” ว่าจบทั้ง 2 ก็ออกเดินหาเอจิเซนด้วยกัน
สวนหลังตำหนัก (ที่เดิม)
“พอได้แล้วน่า...” เอจิเซนว่าพลางยกดาบของตนขึ้นพาดบ่า ขณะมองตรงมายังเด็กสาวที่ยังคงดื้อดึงยกดาบขึ้นตั้งการ์ด จะประดาบกับเขาต่อทั้งๆ ที่แรงจะเหวี่ยงดาบแทบไม่เหลือแล้ว
“แฮ่ก... แฮ่ก... งะ เงียบเหอะน่า
!” ซีซิงเอ่ยอย่างดุดัน ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังหายใจถี่รั่วอย่างหมดแรง เม็ดเหงื่อที่เคยปรากฏอยู่เต็มหน้า บัดนี้ไหลลงมาเปียกเต็มไหล่ชุดของเธอ มือที่กำดาบสั่นเล็กน้อยอันเนื่องมาจากเรียวแรงที่หายไปของเจ้าตัว “จนกว่าจะล้มนายแล้วจับไปให้ทหารสอบสวนฉันไม่หยุดหรอก!”
“ถ้างั้นสู้ไปตามทหารมาจับฉันไม่ง่ายกว่าเหรอ?” เอจิเซนว่า
“มะ ไม่จำเป็น!” ซีซิงที่จู่ๆ ก็โมโหขึ้นมาเฉยๆ ตวาดใส่เอจิเซนด้วย “อย่างนายน่ะ ฉันจัดการได้ไม่จำเป็นต้องพึ่งใครมาช่วย!!”
“ก็แค่ถามเฉยๆ ไม่เห็นต้องโกรธถึงขนาดนี้เลยนี่?” เอจิเซนมองซีซิงงงๆ
“ช่างฉันเหอะน่ะ! รับมือ!” เด็กสาวตวาดใส่เด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนเหวี่ยงดาบเข้าใส่เอจิเซนด้วยเรี่ยวแรงที่หายไปกับการบุกระหนุ่มคู่ต่อสู้จนมีเหลืออยู่น้อยนิด ในขณะที่อีกฝ่ายที่เอาแต่ยกดาบรับการโจมตีบ้าระห่ำของอีกฝ่ายอย่างสบายๆ ซึ่งยังคงมีแรงเหลืออยู่เต็มเปี่ยม ก็ยังคงทำเช่นเดิมคือ
เคล้ง~!
“ยังไงก็ช่าง... เธอน่ะ พอได้แล้ว
” เอจิเซนกล่าวขณะยกดาบขึ้นรับการโจมตีของซีซิงอย่างเคย แล้วก็แน่นอน ดาบของเด็กสาวถูกเด็กหนุ่มรับได้อย่างสบายๆ
“อย่ามาสั่งฉันนะ!” ซีซิงกำดาบแน่น พยายามเพิ่งแรงขึ้นหวังจะดันดาบของเด็กหนุ่มให้ออกจากทางดาบของตน แต่ก็ไม่เป็นผล
“เฮ้อ~...” เอจิเซนถอนหายใจเล็กน้อยก่อนใช้ดาบในมือของตนปัดดาบของซีซิง ออกไปเล็กน้อย ก่อนจะเหวี่ยงดาบใส่เด็กสาว
“ห๊ะ!” เด็กสาวกระโดดหลบ ถอยออกมา ก่อนยืนเซเล็กน้อยอันเนื่องมาจากความเหนื่อยอ่อนของร่างกาย
“เห็นมะ... ถอยแค่นี้ยังเซเลย...” เอจิเซนบอก “แล้วอย่างงี้จะทำอะไรฉันได้...”
“หึ...” แม้จะอยากเอ่ยค้าน แค่เด็กสาวก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เอจิเซนว่าได้ จึงได้แต่ยืนกัดฟัน พยายามคิดหาวิธีเอาชนะเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเธอให้ได้โดยเร็ว
“ไม่เห็นขอรับ” นายทหารคนหนึ่งตอบ
“อืม... ขอบใจนะ เจ้าไปได้แล้ว” โลซกกล่าวขอบคุณก่อนปล่อยให้ทหารที่ตนเรียกมาถามหาเอจิเซนให้กลับไปเดินยามต่อ “ทางนี้ก็ไม่มี... ไปอยู่ไหนของเขาน้า
?”
“คุณโลซกครับ
” เทะสึกะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันเอ่ยเรียก
“มีอะไรหรือขอรับ?” โลซกขานรับ
“นั่นประตูอะไรเหรอครับ?” เทะสึกะถาม “ทำไมไม่มีทหารเฝ้าอยู่เลย?”
“ไหนขอรับ?” โลซกมองตามที่เทะสึกะชี้มือไป “อ๋อ~! ทางนั่นเป็นลานพักผ่อนที่นายท่านสร้างไว้ให้ท่านหญิงเล็กน่ะขอรับ ที่ไม่มีทหารเผ้าอยู่เพราะท่านหญิงเล็กไม่ชอบให้ใครมาทำกับตนเหมือนเป็นนักโทษที่คอยตามคุมน่ะขอรับ”
“อืม...” เทะสึกะพยักหน้ารับก่อนเดินตรงไปยังประตูทางเข้าลานที่โลซกว่า “เดี๋ยวผมไปดูทางนั่นหน่อยน่ะครับ...”
“ดะ เดี๋ยวขอรับ ข้าไปด้วย” โลซกว่าก่อนรีบตามเทะสึกะไป
เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามายังสวยสวยที่เต็มไปด้วยพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม ต้นไม้แสนร่มรื่น และ ดอกไม้แสนสวยนานาชนิด เทะสึกะก็เห็นเจ้าตัวยุ่งที่เขากำลังตามหาอยู่ยืนถือดาบกลางลานกระเบื้องทรงกลมเบื้องหน้าของเขา พร้อมกับเด็กสาวแสนสวยที่น่าจะอายุพอๆ กันคนหนึ่งยืนตั้งการ์ดชี้ดาบมาที่เอจิเซน
“ทำอะไรอยู่น่ะ เอจิเซน...?” เทะสึกะเอ่ยถามขณะเดินมาแทรกระหว่างการต่อสู้
“ห๊ะ!?” ซีซิงหันไปมองด้วยความตกใจ
“อ้าวรุ่นพี่มานี่ได้ไงครับ?” เอจิเซนถาม
“เดินมา...” เทะสึกะตอบ (ตอบมาได้...)
“เพื่อนงั้นเหรอ!?” ซีซิงเอ่ยถามเอจิเซนด้วยท่าทีเริ่มเป็นกังวล แต่แล้ว
“ท่านเทะสึกะ รอข้าด้วยขอรับ” โลซกว่าก่อนวิ่งมาหยุดอยู่ข้างเทะสึกะ ก่อนเงยหน้าขึ้นไปพบเด็กสาว ก่อนร้องเรียกเธอด้วยความตกใจ “ท่านหญิงน้อย~!?”
“ทะ ท่านโลซก!?” เด็กสาวเอ่ยเสียงหลง “ท่านมาทำอะไรที่นี้? เห็นคนบอกว่าท่านออกไปทำธุระนอกเมืองไม่ใช่เหรอ?”
“เพิ่งกลับมาถึงเมื่อกี้แหละขอรับ” โลซกตอบ “จะว่าไปท่านกับท่านเอจิเซนทำอะไรอยู่กันเหรอครับ?”
“ทะ ท่านรู้จักเขาเหรอ!?” ซีซิงเอ่ยถาม
“ขอรับ เขาเป็นคนของคณะทูตจากเมืองกังแฮขอรับ” โลซกตอบงงๆ
“หา~?” ซีซิงหันมามองหน้าเอจิเซนอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ตกลงพวกท่านทำอะไรกันอยู่เหรอครับ?” โลซกเอ่ยถามอีกครั้ง
“เออ... คือว่า” ซีซิงทำท่าจะบอกโลซกแต่เอจิเซนเอ่ยสวน
“เธอชวนผมมาช่วยเป็นคู่ซ้อมฝึกดาบให้เธอน่ะ”
“อ๋อ~! แหมดีจังเลย ท่านหญิงเล็กชอบฝึกดาบเป็นประจำอย่างงี้แหละขอรับขอบคุณท่านเอจิเซนที่เอื้อเฟื้อนะขอรับ” โลซกเอ่ยขอบคุณอย่างซื่อหารู้ไม่ความจริงไม่
“คือ...” ซีซิงทำท่าจะเอ่ยขัด แต่ก็ปล่อยไปด้วยความอายในการเข้าใจผิดของตน
“งั้นท่านหญิงน้อย ข้าต้องขอตัวท่านเอจิเซนไปก่อนนะขอรับ ท่านซุนกวนรออยู่” โลซกกล่าว “ไปกันเถอะขอรับ ท่านเอจิเซน ท่านเทะสึกะ”
“ครับ... /ฮะ...” ทั้ง 2 ตอบรับ ก่อนจะพากันเดินกลับไปรวมกันคนอื่นๆ
‘หมอนั่น...’ ซีซิงสบถในใจอย่างไม่สบอารมณ์ ‘ถ้าไม่ใช่ศัตรูก็บอกตั้งแต่แรกสิ! พูดกวนประสาทให้เข้าใจผิดทำไมเล่า!’
“หึ...” เอจิเซนหันมาส่งยิ้มกวนๆ ให้เด็กสาวราวกับอ่านใจเธอได้ ก่อนขยับปากให้เห็นเป็นคำพูดว่า “ไว้-เจอ-กัน-ใหม่...”
“ชิ...!” เด็กสาวส่งสายตาดุๆ กลับไปให้เอจิเซน ก่อนขยับปากส่งคำพูดกลับไป “ยัง-มี-หน้า-มา-พูด-อีก”
“หึๆๆ...” เอจิเซนหัวเราะเบาๆ ก่อนขยับปากเอ่ยเป็นคำพูดประจำตัวของตน “แค่-นี้-ยัง-อ่อน-หัด-อยู่-นะ...”
“ไอ้-คน-บ้า...!” ซีซิงส่งคำพูดคืนก่อนสะบัดหน้าหนี ขณะพูดบ่นกับตัวเองอยู่ในใจ ‘คนบ้า แค่เก่งกว่าหน่อย อย่ามาดูถูกกันนะ...”
“หึ...” เอจิเซนยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของเด็กสาว
ซีซิงทำท่าจะเดินกลับตำหนัก แต่ยังไม่ทันได้ออกจากลานกระเบื้องเด็กสาวก็หันกลับมามองตามหลังของเด็กหนุ่มที่ค่อยเดินจากไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่บอกไม่ถูก
“มีอะไรเหรอเอจิเซน...?” เทะสึกะที่สังเกตเห็นท่าทีแปลกๆ ของเอจิเซนเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรฮะ...” เอจิเซนตอบ
ครู่หนึ่งต่อมา หน้าทางเข้าตำหนัก
“ตอนนี้ท่านซุนกวนรออยู่ด้านในแล้ว พวกเราอย่าช้าดีกว่า” โลซกเอ่ยเตรียมความพร้อมกับเซงาคุทุกคน หลังพาเอจิเซนกลับมารวมกลุ่มกับแล้วทั้ง11 (ตัวจริงเซงาคุ + ขงเบ้ง + โลซก) ก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าทางเข้าตำหนักกังตั๋ง โดยมอบหมายให้เหล่าปีหนึ่งทั้ง 5 อยู่เผฝ้าเรือ “เราจะเข้าตำหนักกันแล้ว สำรวมกันหน่อยนะขอรับ”
“วางใจเถอะค่ะ” ขงเบ้งว่าก่อนผายมือให้โลซกเดินนำเข้าไป
โลซกยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินขงบ้งกล่าว จึงหันไปเปิดประตู แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่นพวกเขาก็ต้องพบกับ
“อ้า~วท่านโลซกมาแล้วงั้นหรือ?” ปราชญ์เท่านามเตียวหอมว่าขณะทำท่าทางเสแสร้งเหมือนดีใจที่เห็นโลซก
“ทะ ท่านเตียวเจียวมาทำอะไรที่นี้ขอรับ?” โลซกเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นหัวหน้าที่ปรึกษา และ เหล่าคณะปราชญ์ทั้งหลายต่างมาอยู่ร่วมกันจนเต็มห้องโถงตำหนัก
“ข้าได้ยินว่าท่านพาท่านขงเบ้งปราชญ์มังกรหลับมาเข้าพบท่านซุนกวน พวกข้าจึงอยากมาพบท่านอาจารย์ฮกหลงตัวเป็นให้เป็นบุญตาสักครั้ง” เตียวเจียวว่า ก่อนมองตรงมายังเหล่าเซงาคุที่ยืนเรียงกันอยู่เบื้องหลังโลซก “อืม...เด็กกลุ่มนี้เป็นใครกันหรือ?”
“พวกเขาเป็นผู้ติดตามของท่านขงเบ้งขอรับ”โลซกตอบด้วยวาจาสุภาพนอบน้อม แม้ในใจยังคิดระแวงท่าทางแปลกๆ ของเตียวเจียว แต่ก็ทำได้แค่วางสงบมาดนิ่งรักษามารยาทผู้ดีไว้ ขณะที่ผายมือชี้มือไปยังขงเบ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ เทะสึกะ แล้วเอ่ยแนะนำ “แล้วท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คือปราชญ์มังกรหลับอาจารย์ฮกหลง ท่านขงเบ้ง ขอรับ”
“โอ้~ว!” เตียวเจียวเดินตรงไปทางขงเบ้งด้วยท่าทีวางกล้าม ยืนตัวสูงเชิดหน้าหยิ่งทระนง หันมองเหล่าทูตวัยเยาว์จากกังแฮด้วยหางตา อย่างดูหมิ่น ในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าขงเบ้ง ทันใดในเตียวเจียวก็ทำในสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด “เป็นเกียรติที่ได้พบ กังตั๋งขอต้อนรับ ท่านคืออาจารย์ขงเบ้งสินะ”
“หือ?” เทะสึกะมองงงๆ เมื่อถูกเตียวเจียวทักว่าเป็นขงเบ้ง
“เออ... ท่านเตียวเจียวคือ” โลซกกำลังจะเอ่ยบอก แต่
“ขอประทานโทษนะท่านโลซก ข้ากำลังพูดกับอาจารย์ฮกหลงอยู่” เตียวเจียวว่าขัดโลซกด้วยความเข้าใจผิดที่คิดว่าโลซกจะขัดคอตน
“หึๆๆ...” เตียวเจียวหันกลับมาทางเทะสึกะอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นมาจากเด็กสาวข้างๆ ชายที่ตนคิดว่าเป็นปราชญ์มังกรหลับ
“หึ...” เตียวเจียวสบถเบา ขณะมองตรงไปที่เทะสึกะอย่างดูถูก แต่ก็ยังทำท่าเหมือนนอบน้อม ก้มหัวคำนับทั้งๆ ที่ไม่ได้นับถือ พลางเอ่ยเยินยอแบบเสแสร้ง “อืม... สมคำรำลือจริงๆ มหาบุรุษปัญญาหาใครเทียม ปราชญ์วัยเยาว์ผู้เร้นกายอยู่เขาโงลังกั๋ง ท่านขงเบ้ง... ร่างสูงสง่า ดวงตาดุจเหยี่ยว ใบหน้าคมเข้ม ท่าทางสุขุมเงียบขรึม ดูลึกลับ สมกับฉายาฮกหลงจริงๆ...”
“เออ... คือ...” เทะสึกะพยามจะเอ่ยบอก แต่ก็ถูกขงเบ้งจับแขนเสื้อไว้
“ไม่ต้อง ข้าอยากรู้เขาจะพูดอะไรต่อ...” ขงเบ้งกระซิบตอบ
“จะว่าไปท่านขงเบ้ง” เมื่อเห็นเทะสึกะไม่พูดอะไร เตียวเจียวเริ่มความหงุดหงิด นึกว่าตนถูกชายหนุ่มตรงหน้าเมินเขา จึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป “ถึงแม้ ว่าจะถูกร่ำลือว่าเป็นปราชญ์เหนือปราชญ์ ปัญญาหาใครเทียม แต่เท่าที่ข้าดู ข้าว่าท่านก็คงเป็นแค่เด็กอมมือที่ไม่รู้เรื่องอะไรมากกว่า”
“หือ?” เหล่าเซงาคุอุทานเป็นเสียงเดียวกัน
“ดูท่านสิ ยังเยาว์ อายุคงแค่ 20 ต้นๆ หรือ อาจะเพิ่ง 20 ด้วยซ้ำ แล้วเด็กอย่างงี้เหรอจะเป็นมหาปราชญ์ เด็กที่เพิ่งเกิด และ มีชีวิตอยู่บนโลกอันโหดร้ายนี้ ได้ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของอายุปราชญ์แต่ละคนที่อยู่รวมกันในที่นี้ด้วยซ้ำ จะมีปัญญาเหนือล้ำกว่าคนที่ทั้งชีวิตผ่านเรื่องราวต่างๆ มากเกินครึ่งชีวิตได้งั้นหรือ ข้าว่าไม่มีทาง” เตียวเจียวเผยธาตุแท้ออกมา พร้อมกับสายตาเหยียดหยามของคณะปราชญ์ทั้งหลายในห้องโถงแห่งนี้ที่ส่งมาให้เหล่าทูตจากกังแฮมาเป็นตาเดียวกัน เตียวเจียวเหล่มองท่าทีของเทะสึกะที่ยังคงยืนสงบนิ่งไม่พูดอะไร ทำให้เขายิ่งหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีก จึงเริ่มถากถางชายตรงหน้าที่เขาคิดว่าคือคนที่จะมาขัดขวางแผนการให้นายของพวกเขายอมแพ้ “ไม่ใช่แค่นั่น ในช่วงเวลาแห่งสงครามแบบนี้ ท่านขาดเด็กรับใช้เป็นไม่ได้เลยงั้นหรือ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องมาเจรจาศึกถึงกังตั๋งแห่งนี้ แต่ท่านยังมีหน้าพาเด็กๆ วัยเยาว์เหล่านี้ติดสอยห้อยตามมาอีกงั้นเหรอ นี่มันอะไรกัน หรือที่แท้อาจารย์ฮกหลงที่เขาร่ำลือกันว่ามีปัญญาเหนือใคร ที่แท้ก็เป็นแค่ปราชญ์หนุ่มเจ้าสำราญที่อยู่กลางเด็กกันแน่ ฮ่าๆๆ...!”
“ฮ่าๆๆ
!!” เมื่อเตียวเจียวพูดจบก็พาคณะปราชญ์ทั้งหลายหัวเราะน่ารังเกียจ
“หึๆๆๆ... ฮ่าๆๆ...”
“หือ~!?” เตียวเจียว และ คณะปราชญ์ทั้งหลาย หยุดเสียงหัวเราอันน่ารังเกียจของตนลงก่อนมองมายังเจ้าของเสียง
“เมื่อพูดถึงกังตั๋ง ใครๆ ก็นึกภาพเมืองอันยิ่งใหญ่ และ ก็เป็นจริงอย่างว่า เมืองเมืองนี้ช่างเป็นที่ดูยิ่งใหญ่จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ข้าคิดเมื่ออยู่ยืนชมบรรยากาศอันสวยงามรอบนอกตำหนัก เมื่อท่านโลซกมาเชิญให้เข้าตำหนัก ข้าก็หลงนึกว่าได้พบกับเหล่าผู้คนที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับเมืองนี้ เหล่าผู้บริหารเมืองที่ใครๆ ต่างก็ศรัทธา และ นับถือ แต่เมื่อก้าวเท้าเข้ามา สิ่งแรกที่ข้าพบคือ เมืองที่ดูยิ่งใหญ่แห่งนี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงภายนอก เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่นั่น กลับเป็นแค่ปราชญ์ไร้ความสามารถที่มีเกลื่อนกลาดอยู่เต็มไปหมด เฮ้อ~... น่าผิดหวังจริงๆ” เสียงใสๆ เอ่ยบรรยายความรู้สึกด้วยวาจาสละสวยจนเหล่านักปราชญ์ทั้งหลายต่างตะลึงไปตามๆ กัน
“หึ! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครยัยเด็กน้อย!? ” เตียวเจียวขึ้นเสียงด้วยความโกรธที่ถูกวาจาอันฉะฉานของเด็กสาวข้างๆ ชายที่เขากำลังดูถูกอยู่ เชือดเฉือนจนเสียหน้า “เจ้ากล้าดียังไงมาว่าพวกเราเยี่ยงนี้!?”
“หึๆๆ... ข้าพูดไปตามที่ข้าเห็น และ สิ่งที่ข้าเห็นจากตัวพวกท่านก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ กลุ่มหนึ่ง ที่พอมีความรู้หน่อยก็เอามาเยินยอตัวเองว่าเหนือกว่าผู้อื่น ทำท่าแสดงความฉลาดของตน โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตนกำลังแสดงอยู่นั่นคือความโง่ตน” ขงเบ้งยังคงเอ่ยเชือดเฉือนเตียวหอม และ เหล่าคณะปราชญ์ต่อไป ด้วยวาจาที่คมกริบราวใบมีด ที่ทำเอาท่านหัวหน้าที่ปรึกษา และ เหล่าปราชญ์ทั้งหลายถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ
“ไหน! เจ้าลองบอกมาสิว่า ข้าได้แสดงความโง่ของตัวเองออกมาตรงไหน!?” เตียวเจียวตวาด ก่อนยกมือชี้หน้าขงเบ้ง
“ตัวอย่างง่ายๆ เลยนะ ข้อแรก ท่านเข้ามาหาพวกข้าด้วยท่าทีอันมีมารยาทสมเป็นผู้ดีที่เกิดจากการเสแสร้งวางมาดของท่านเพื่อทำให้พวกเราวางใจ แต่เพียงแค่ผู้ที่ท่านคุยด้วยไม่ตอบรับท่าน ไม่ทันไรท่านก็แสดงธาตุแท้ของท่านออกมา ช่างเป็นอะไรที่น่ารังเกียจ และ น่าหัวเราะเยาะยิ่งนัก ถ้านี่ไม่เรียกว่าโง่จะเรียกว่าอะไร” ขงเบ้งกล่าว
“ฮึ~ย...” เตียวเจียวกัดฟันแน่นด้วยคาแค้น แต่ก็เถียงไม่ออก จึงได้แต่ยืนนิ่ง
“ข้อที่สอง ท่านกล่าวว่า ไม่มีทางที่ปราชญ์ที่เพิ่งเกิดมามีอายุยังไม่ถึงครึ่งของปราชญ์ผู้ที่ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาครึ่งชีวิต จะเหนือกว่าปราชญ์อาวุโสงั้นหรือ น่าขันสิ้นดี
ท่านไม่เคยได้ยินคำโบราณที่กล่าวว่า ‘แม้อาจารย์จะเหนือกว่าศิษย์ในวันนี้ แต่เมื่อวันข้างหน้ามาเยือน ศิษย์ก็อาจเหนือกว่าอาจารย์ได้’ งั้นหรอกหรือ? ไม่ว่าใครที่ไหนต่างก็มีปัญญาเหมือนๆ กัน ต่างคนต่างก็มีความสามรถในการเรียนรู้ที่ต่างกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะอายุน้อยขนาดไหนก็ตาม ก็สามารถมีปัญญาเหนือกว่าคนที่มีอายุมากกว่าตนเป็นหลายเท่าตัวได้ ข้าขอบอกให้ท่านรู้ไว้เลยนะท่านเตียวเจียว อายุนั่นไม่สามารถเอามาแบ่งแยกรับปัญญาของใครได้หรอก” ขงเบ้งยังขงกล่าววาจาอย่างฉะฉาน ในขณะที่บรรดาปราชญ์ทั้งหลายเริ่มรู้สึกถึงความน่าเกรงขามของเด็กสาวผู้อยู่เบื้องหน้าพวกตน “และ ตัวอย่างข้อสุดท้าย นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความโง่ของท่านได้ชัดเจน และ บ่งบอกให้เห็นว่าคนอย่างท่านนั้นไร้ความสามารถในฐานะปราชญ์ เพราะท่านนั่นมองคนไม่เป็น ท่านดูคนเพียงแค่ลักษณ์ภายนอก รูปร่าง หน้าตา ท่าทาง การแต่งตัว อายุ และ อื่นๆ ที่ท่านมองเห็นด้วยตา แล้วก็สรุปออกมา โดยหารู้ไม่ว่าภาพที่คนเราเห็นนั่นบางครั้งก็อาจเป็นแค่ภาพลวงที่ทำให้เรามองข้ามสิ่งบางสิ่งไป เหมือนไก่ที่คุ้ยดินเจอพลอยเม็ดงาม แต่ก็เขี่ยทิ้งไปเพราะความของตนที่ไม่รู้จะนำของล้ำค่าอันแสนมีค่านั้นไปทำอะไร หึๆๆ... “
“ข้าดูคนไม่เป็นตรงไหน!? ไหนเจ้าลองบอกมาให้กระจ่างซิ!?” เตียวเจียวว่า
“ก็ที่มองเหล่านักรบวัยเยาว์เหล่านี้ว่าเป็นเด็กรับใช้ยังไงล่ะ ท่านมองแค่พวกเขาอายุยังน้อยจึงคิดดูถูกพวกเรา ข้าจะบอกอะไรให้ ที่ท่านเห็นอยู่นี้คือเหล่านักรบชั้นนำของกองทัพเรา!” ขงเบ้งกล่าวอย่างดุดัน “และอีกอย่างนะท่านเตียวเจียว ข้าต่างหากล่ะ คือขงเบ้ง!”
“หา~!?” คณะปราชญ์ทั้งหลายร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันในขณะที่เตียวเจียวกำลังเบิกตากว้างจ้องหน้าเด็กสาวเบื้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยืน
“เข้าใจรึยังล่ะท่านเตียวหอม ท่านเป็นถึงหัวหน้าที่ปรึกษา แสดงว่าได้รับการรับเลือกจากปราชญ์ทุกคนในที่นี้ ซึ่งก็หมายถึงท่านคือตัวแทนของปราชญ์ทั้งกังตั๋ง แต่สิ่งท่านแสดงให้ข้าเห็นได้เห็นกลับเป็นความโง่ที่นำมาซึ่งความอัปยศมาสู่ตำหนักแห่งนี้ แล้วอย่างนี้แล้วจะไม่ให้ข้าว่าปราชญ์แห่งกังตั๋งไร้ความสามารถงั้นหรือ?”
“กรอด...” เตียวเจียวได้แต่กัดฟันด้วยความแค้น แต่ด้วยวาจาอันฉะฉานน่าเกรงขามของขงเบ้งทำให้เขาได้แต่เก็บความแค้นนั้นไว้ในใจ พยายามข่มอารมณ์ของตนไว้ แล้วใช้ปัญญาที่มีอยู่คิดหาคำพูดมาเอ่ยแก้สถานการณ์ของตน “เจ้าว่าข้าโง่ มิหน่ำซ้ำยังว่าพวกข้าไร้ความสามารถ แล้วตัวเจ้าล่ะ ตั้งแต่มาอยู่กับเล่าปี่ก็ทำให้เล่าปี่ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนตอนนี้ต้องหนีจากทัพโจโฉตายมาพึ่งกังตั๋งไม่ใช่เหรอ? เจ้าจะแก้ตัวยังไง”
“หึ! น้ำน้อยมีหรือจะสู้ไฟได้ คนแค่ไม่กี่หมื่นมีหรือจะสู้กับคนนับล้านได้ นอกจากกำลังพลที่มีจะต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว ด้วยพระเมตตาของท่านพระเจ้าอาเล่าปี่ ทำให้ต้องคอยดูแลราษฎรที่อพยพหนีการคุกคามของโจโฉมาด้วยกันอีก แล้วจะให้พวกเราเอาชนะมาได้อย่างไร ท่านถามคำถามราวกับเด็กนักเรียนเพิ่งศึกษาตำราพิชัยสงครามงั้นแหละ” ขงเบ้งตอกกลับมาทำเอาเตียวเจียวเสียหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
“เมตตาของเล่าปี่มันก็เป็นแค่ข้ออ้าง เล่าปี่เป็นพระเจ้าอาจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็แอบอ้างชื่อขึ้นมาอย่างงี้ยังมีหน้ามาพูดให้ใหญ่โตอีกหรือ!” เตียวเจียวยังไม่ยอมแพ้
“เหอะ! ท่านไม่รู้อะไรแล้วพูดออกมาทั้งๆ ที่ไม่รู้ มันยิ่งจะทำให้ท่านเสื่อมเสียนะท่านเตียวเจียว ครั้งแรกที่องค์ฮ่องเต้ได้พบกับท่านเล่าปี่ ท่านก็สอบถามความเกี่ยวข้องของตนกับท่าน แล้วจึงให้คนนำตารางลำดับญาติมาดู พอทรงทราบพระองค์ก็ทรงเรียกท่านเล่าปี่ว่า ‘พระเจ้าอา’ ด้วยตัวของพระองค์เอง ท่านพูดอย่างงี้แสดงว่าท่านจะลบหลู่องค์ฮ่องเต้งั้นเหรอ?” ขงเบ้งตอกกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ทำเอาเตียวเจียวถึงกับใบ้กิน ก่อนจะหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากปราชญ์คนอื่นๆ
“หากเจ้าว่าอย่างงั้น โจโฉมีทหารมากมายนับล้านจะให้พวกเราสู้กับมันยังไง!?”หนึ่งในบรรดาปราชญ์โพลงขึ้นมา
“นอกจากนี้ แม้เจ้าจะมีปัญญามากมายสักแค่ไหนหากไร้กำลังจากพวกเราเจ้าก็ไม่มีทางต้านโจโฉได้อยู่ดี” ปราชญ์อีกคนว่าตาม
“เจ้าหวังจะมาเจรจาให้พวกเราไปเป็นพันธมิตร แต่กลับวางท่าไร้มารยาทอย่างงี้งั้นเหรอขงเบ้ง” ปราชญ์อีกคนใกล้ๆ กันสมทบ
“อย่าเข้าใจผิดข้าไม่ได้ต้องการพวกท่านที่ดีแต่อ่านตำราอยู่แต่ในตำหนักอย่างพวกท่าน ข้ามานี้เพื่อขอเหล่าขุนพล และ นักรบที่ยอมผลีชีพเพื่อแผ่นดินมาเป็นสหายร่วมรบต่างหากล่ะ” ขงเบ้งว่าด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“สาวหาวเกินไปแล้วนะ ขงเบ้ง!!”
“เจ้ามันก็แค่เด็กเมื่อวานซืนที่คอยรับเจ้าเชื้อพระวงศ์จอมปลอมนั่นเท่านั่น!!”
“อย่างงี้คิดว่ากังตั๋งจะยอมลดตัวลงไป พันธมิตรกับเจ้างั้นเหรอ!?”
“พวกท่านต่างว่าข้าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ลองมองย้อนกลับมาดูตัวท่านเองบ้างสิ! พวกท่านมีทั้งกำลังพล! มียุทโธปกรณ์ครบครัน! มีทั้งทรัพยากรที่เพียบพร้อม! มิหนำซ้ำ! พวกท่านยังมีขอได้เปรียบเรื่องสมรภูมิรบ! แต่พวกท่านกลับเสนอให้นายของตนเองยอมก้มหัวให้กับไอ้โจรกังฉิน! แล้วยังมีหน้ามาอ้าปากเอ่ยดูถูกท่านเล่าปี่นายข้าอีกงั้นเหรอ!! คนอย่างพวกท่านควรถอดชุดขุนนางอันสง่างามคืนราชสำนักแล้วไปใส่กระโปรงซะ!!!”
“ฮึย...” เตียวเจียว และ เหล่าคณะได้แต่กัดฟันแค้นใจ แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรขงเบ้งที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาได้ จึงต้องเงียบสงบปากสงบคำ ขณะมองหน้าซึ่งกันและกัน ส่งสายตามถามว่าจะเอายังไงต่อ ทันใดนั้น
“หึ! น่าละอายอะไรเช่นนี้ ช่างเป็นความอัปยศของกังตั๋งจริงๆ!” เสียงทุ้มเข้มดังมาจากทางเข้าประตูไปยังห้องซุนกวน
“ท่านอุยกาย!” โลซกเอ่ยชื่อบุรุษเจ้าของเสียงด้วยความโล่งใจ
“ท่านอาจารย์ขงเบ้งเป็นแขกต่างเมือง เดินทางมาเพื่อพบกับท่านซุนกวน! แต่แทนที่พวกท่านจะแสดงมารยาทนำทางให้ กลับพากันมาสุ่มหัวก่อกวนแขกของเราช่างเป็นอะไรที่น่าขายหน้าจริงๆ!” เสียงดุดันดังมาจากอุยกาย ชายผิวแทนตัวสูงใหญ่ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้าม ในชุดขุนพลสีแดงเพลิงสลักลายพยัคฆ์สีทอง ผู้มีผมสั้นหงอกสีขาวโผลนทั้งหัวไว้เป็นทรงโมฮ็อก เคราสีขาวเช่นเดียวกับเส้นผมปกคลุมช่วงคางจนเหลือให้เห็นแค่ปากเสริมใบหน้าให้ดูเคร่งขรึมยิ่งเข้าไปอีก ทันทีที่พูดจบ ก็เดินตรงมาเบื้องหน้าขงเบ้ง ก่อนก้มหัวคำนับอย่างรับถือ “ขออภัยที่คนของเราทำให้ท่านต้องระอานะขอรับ ท่านอาจารย์ ขอเชิญท่านมาทางนี้ได้เลย ท่านซุนกวนรออยู่ขอรับ”
“ขอบคุณค่ะ ขอตัวนะคะ ท่านเตียวเจียว ไปกันเถอะทุกคน” ว่าจบขงเบ้ง โลซก และ เหล่าเซงาคุก็เดินเข้าไปยังห้องของซุนกวนโดยมีอุยกาดเดินไปส่ง ในขณะกำลังเดินด้วยความซนตามภาษาเด็กทำให้เหล่าทูตกังแฮส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้เหล่าคณะปราชญ์เล็กน้อย ซึ่งสร้างความคับแค้นใจให้เตียวเจียวและบรรดาที่ปรึกษาไม่น้อย ก่อนคณะทูตจากกังแฮเดินจากไปปล่อยให้เหล่าปราชญ์แห่งกังตั๋งทั้งหลายยืนอับอายต่อไป
“ที่นี่ล่ะขอรับ” อุยกายว่าเมื่อพาทูตวัยเยาว์ทั้งหลายมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าห้องรับแขกเจ้าเมือง “ข้าส่งแค่นี้นะขอรับ”
“ขอบคุณมากท่านอุยกาย อืม... ข้ามีเรื่องขอรบกวนหน่อยได้ไหม?” ขงเบ้งถาม
“หากไม่เกินความสามารถอุยกายคนยินดีรับใช้ขอรับ” อุยกายว่า
“งั้น ท่านช่วยพาคนขอข้าไปพักผ่อนหน่อยได้ไหม? พวกเราเดินทางมาเหนื่อยๆ หลายคนคงเพลีย และ กระหายน้ำไม่น้อย แม้พวกเขาจะไม่พูดอะไรก็ตาม” ขงเบ้งว่าก่อนเหล่ตามองมายังเหล่าเซงาคุแต่ละคนที่แอบยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินว่าจะได้พัก
“ได้ขอรับ ทุกท่านเชิญทางนี้เลย” อุยกายตอบรับก่อนผายมือเชิญ
“ขอบคุณอีกครั้งท่านอุยกาย” ขงเบ้งกล่าว
“ยินดีเสมอขอรับ เอาล่ะไปกันเถอะ” อุยกายว่าก่อนเดินหน้านำทางพาทูตวัยเยาว์ทั้งหลายไปยังที่พักผ่อน
“อ้าว~? แล้วกัปตันล่ะฮะ?” เรียวมะถามก่อนหันมามองเทะสึกะที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังทยอยกันเดินตามอุยกายไป
“เอ๋~?” เหล่าเซงาคุทั้งหลายหันมามอง
“ฉันเป็นรองแม่ทัพ มีหน้าที่ต้องอยู่คุ้มกันกุนซือ...” เทะสึกะว่า
“รู้หน้าที่ดีนี่นา” ขงเบ้งเอ่ยแซว “เดี๋ยวเจรจาเสร็จแล้วเราตามไป”
“ครับ” ว่าจบเหล่าก็เดินตามอุยกายไปจนลับตา
“เอาล่ะ ไปกันเถอะค่ะท่านลุงโลซก” ขงเบ้งเอ่ยบอกโลซก
“ขอรับ” โลซกตอบรับ ก่อนทำท่าจะเปิดประตูให้ทั้ง 2 เข้าไป แต่ก็ชะงักลงแล้วหันกลับมา “เออ... ก่อนจะเข้าไปข้ามีเรื่องจะขอร้องอย่างหนึ่งจอรับ”
“อะไรเหรอคะ?” ขงเบ้งถาม
“ต่อหน้าท่านซุนกวน อย่าเอ่ยถึงกำลังพลของโจโฉนะขอรับ ข้าเกรงว่า”
“คุณซุนกวนจะเป็นกังวลจนไม่กล้าออกรบสินะครับ” เทะสึกะเอ่ยสวน
“ขะ ขอรับ” โลซกตอบรับ “สัญญานะขอรับ”
“ค่ะ” ขงเบ้งตอบรับขณะเอามือไขว่หลัง
“(-*-)” เทะสึกะส่ายหน้าเล็กน้อย หลังสังเกตเห็นนิ้วในมือขวาที่เอามาไขว่กันเป็นสัญลักษณ์แทนคำโกหก ตอนที่ขงเบ้งเอามือมาไขว่หลัง (มารยาร้อยเล่มเกวียน)
หลังจากรับคำกันเรียบร้อยแล้ว ทั้ง 3 พากันเดินเข้าไปในห้องรับแขกเจ้าเมือง
“ท่านโลซก ท่านกลับมาแล้ว~!” ชายผมสีน้ำตาลแดงยุ่งๆ ดูรกรุงรัง เช่นเดียวหนวดเคราที่อยู่บนใบหน้า ดวงคมราวพยัคฆ์ นัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผม ใบหน้าถือว่าหล่อเหลาเอาการ หากโกนหนวดให้ดูสะอาดสะอ้าน ผู้อยู่ในชุดเจ้าเมืองสีแดงเพลิงปักลวดลายสีทองเป็นรูปพยัคฆ์ ที่ด้านหลังเป็นตราสัญลักษณ์อักษรจีนที่เขียนว่าซุน ว่าขึ้นมาด้วยความดีใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาจากที่นั่งเจ้าเมืองผายมือออกทำท่าต้อนรับ “การเจราจากับท่านเล่าปี่เป็นยังไงบ้าง?”
“เจราจาเป็นไปได้ด้วยดีเกิดคาดขอรับ (เกิดคาดจริงๆ ขอร้องปุ๊บตอบรับปั๊บเลย) ตอนนี้ข้าพาคนที่ท่านต้องการพบมาถึงแล้ว” โลซกว่าก่อนผายมือไปที่ขงเบ้ง คราวนี้จ้อไว้ที่ตัวขงเบ้งเลย เพราะกลัวซุนกวนเจ้าเข้าใจผิดเหมือนเตียวหอมอีก “ขอแนะนำ นี่คือท่านปราชญ์มังกรหลับ อาจารย์ขงเบ้งขอรับ”
“เป็นเกียรติที่ได้พบค่ะ” ขงเบ้งก้มหัวคำนับอย่างมีมารยาทพร้อมกับเทะสึกะผู้ติดตามซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
“เป็นเกียรติที่ได้พบท่านอาจารย์ฮกหลง” ซุนกวนคำนับตอบ ก่อนผายมือไปยังที่นั่นที่ตนจัดเตรียมไว้ให้ “เชิญนั่งก่อน แล้วเราค่อยเริ่มคุยกัน”
“ขอบคุณค่ะ” ขงเบ้งกล่าว แล้วจึงเดินไปนั่นที่โต๊ะทางขวามือของซุนกวน โดยมีเทะสึกะอยู่ประจำเป็นหน่วยคุ้มกันอยู่ข้างตัว
‘นี่หรือซุนกวนบุตรชายของซุนเกี๋ยนพยัคฆ์ร้ายแห่งกังตั๋งและน้องชายของซุนเซ็กอ๋องน้อยผู้ยิ่งใหญ่ ผมสีน้ำตาลแดงนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงท่าทางเป็นมิตร แม้จะภายนอกอาจดูเหมือนเป็นคนว่าง่าย แต่จริงแล้วเป็นคนหัวรั้นสินะ...’ ขงเบ้งคิดในจนขณะมองสำรวจภาพโดยรวมของซุนกวน ‘ดีล่ะ สงสัยต้องยั่วคนหน่อยแล้ว’
“เราเริ่มเจรจากันเลยดีไหมขอรับ?” โลซกเอ่ยถาม
“ข้าพร้อมอยู่แล้ว อาจารย์ขงเบ้งล่ะ?” ซุนกวนตอบ
“ดีเหมือนกัน เริ่มกันเลย” ขงเบ้งตอบ
“งั้นอย่างแรกเลยนะ ข้าขอถามหน่อย กำลังพลของโจโฉมีเท่าใดหรือ?” ซุนกวนยิ่งคำถามสุดหนักอึ้งเข้าใส่ขงเบ้งทันที ทำเอาโลซกที่กำลังยืนนิ่งฟังบทสนทนาตามมารยาทถึงกับเสียหลักเซก่อนกลับมายืนตรงมองดูผู้เป็นนายอย่างกังวล
“หื~ม...?” ขงเบ้งทำเสียงสูง ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนหันหน้าส่งสายตามมองไปยังโลซกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตนซึ่งกำลังสายหน้าไปมาอย่าลุกลี้ลุกลน จนซุนกวนมองงงๆ
“ท่านเป็นอะไรน่ะ ท่านโลซก?” ซุนกวนถาม
“ห๊ะ! เออ... มีแมลงเข้าหูข้า ข้าเลยสั่นให้มันออกน่ะครับรับ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” โลซกแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“เหรอ...? ช่างเหอะ มาคุยกันต่อ” ซุนกวนทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ “ตกลงทัพของโจโฉมีกำลังมากถึงเพียงไหน?”
“ทัพของโจโฉมีกำลังมากถึงเพียงไหนเหรอ งั้นข้าจะเปรียบเทียบให้ฟังแล้วกันนะ หากทัพของโจโฉเคลื่อนกำลังพลมาทางดิน พื้นดินก็จะสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว หากเคลื่อนมาทางน้ำ แม่น้ำแยงซีเกียงก็จะเต็มไปด้วยเรือนับพันเต็มน่านน้ำ กองทัพของโจโฉมีกำลังมากถึงขนาดหากทั้งตะโกนโห่ร้องออกมา เสียงพวกมันก็จะได้ยินก้องไปทั่วบริเวณราวฟ้าผ่า” ขงเบ้งบรรยายซะซุนกวนเหงื่อตก ส่วนโลซกน่ะเหรอ... อ้าปากค้างพูดไม่ออกทำปากพะงาบๆ เป็นปลาทองไปแล้ว
‘ท่านขงเบ้ง! อุตส่าห์บอกแล้วไงว่าไม่ให้พูดถึง! เอายังไงล่ะทีนี้! ท่านซุนกวนชักจะเขวซะแล้ว!’ โลซกคิดขณะเอามือขยี้หัวตัวเอง
“ตะ ตกลงทัพของโจโฉมีกำลังพลเท่าใดกัน บอกข้าที?” ซุนกวนถามอย่างลังเล
“กำลังพลของโจโฉมีมากกว่าล้านนาย” ขงเบ้งตอบชัดถ้อยชัดคำ
“โอ้ไม่...!” ซุนกวนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงพิงพนักอย่างหมดกำลังใจเมื่อได้ยินถึงความยิ่งใหญ่ของทัพโจโฉ “แล้วเราควรทำยังไงล่ะ ท่านขงเบ้ง”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่าน ท่านซุนกวน หากคิดว่าสู้ได้ก็สู้ แต่ถ้าสู้ไม่ได้ก็ถอดเกราะไปก้มหัวยอมจำนนคำนับโจโฉของยอมแพ้ซะ” ขงเบ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“อะไรนะ!” ซุนกวนถึงกับน๊อตหลุดเมืองได้ยินคำว่ายอมแพ้ “ท่านจะให้ข้าออกไปยอมแพ้งั้นเหรอ!? ถ้างั้นทำไม่ท่านเล่าปี่ถึงไม่ไปก้มหัวยอมแพ้โจโฉล่ะ!?”
“ท่านเล่าปี่เป็นถึงกับพระเจ้าอาององค์ฮ่องเต้ ซ้ำยังเป็นวีรชนที่คอยช่วยเหลือดูแลทุกข์สุขของประชาชนราษฎร จะให้ไปยอมแพ้ให้กับกบฏราชบัลลังก์ได้อย่างไร ถึงแม้กำลังพลของท่านจะมีน้อยกว่าเจ้าโจรกังฉินถึงหลายเท่าตัว แต่ด้วยเกียรติ และ ศักดิ์ศรีของท่าน ยังไงท่านก็ขอยอมตายดีกว่าก้มหัวให้โจโฉ” ขงเบ้งกล่าวอย่างเลื่อมใส
“อืม...” ซุนกวนยืนคิดตริตรองกับคำพูดของขงเบ้ง ก่อนจะกล่าวต่อว่าขงเบ้ง “ท่านเล่าปี่มีกำลังเพียงหยิบมือยังไม่ยอมแพ้ แล้วจะให้ข้าไปก้มหัวยอมแพ้งั้นเหรอ?”
“หึ...” ขงเบ้งยิ้มมุมปากเมื่อเห็นวาจายั่วยุของตนได้ผลดีไม่น้อย
“ทะ ทะ ทะ ท่านขงเบ้ง” โลซกที่ค่อยเลื้อยจากอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะมากระซิบข้างหูขงเบ้ง “ท่านทำอะไรน่ะ ไม่ใช่ว่าท่านมาที่นี่เพื่อขอท่านซุนกวนเป็นพันธมิตรหรอกหรือ?”
“ท่านลุงโลซกไม่ต้องห่วง รอดูไปแล้วกัน” ขงเบ้งกระซิบตอบก่อนหันไปสนทนาต่อกับซุนกวน “ตกลงท่านจะเอายังไงล่ะ ท่านซุนกวน”
“ข้า...” ซุนกวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบออกมาเสียงดังฟังชัด “ข้าจะสู้!”
“ห๊ะ!?” โลซกมองพูดเป็นนายด้วยความประหลาดใจ
“ขนาดท่านเล่าปี่มีกำลังพลแค่เพียงเล็กน้อย ยังกล้าเข้าต่อต้านมหากองทัพของโจโฉ แล้วจะให้ข้าที่มีกำลังมากกว่าเขาหลายเท่ายอมไปก้มหัวกับไอ้โจรทรราชงั้นเหรอ!? ไม่มีทาง! ด้วยเกียรติของตระกูลซุน! ข้าจะรบกับโจโฉให้ตายกันไปข้างหนึ่ง!” ซุนกวนเอ่ยคำปฏิญาณออกมาอย่างองอาจ
“ฮะๆๆๆ!”
“หือ~?” ทั้งซุนกวน และ โลซกหันมามองขงเบ้งเป็นตาเดียวกัน
“ต้องให้ได้อย่างงี้ท่านซุนกวน” ขงเบ้งว่า
“เอ๋~?” ทั้ง 2 เอียงคอทำหน้างง
“เมื่อกี้ที่ข้าพูดเพื่อลองใจท่านเฉยๆ ท่านช่างกล้าหาญสมเป็นบุตรแห่งตระกูลซุนจริงๆ” ขงเบ้งเอ่ยชม
“แหะๆ...” ซุนกวนเอามือถูจมูกแก้เขิน
“ข้าจะบอกอะไรให้ท่านซุนกวน แม้โจโฉจะมีกำลังพลมาก แต่หากต้องรบกับกังตั๋งต้องรับศึกจากทั้ง 2 ด้านคือทางบก และ ทางน้ำ ทหารส่วนใหญ่เป็นชาวเหนือไม่ถนัดรับทางน้ำนี้เป็นหนึ่งข้อได้เปรียบของเรา” ขงเบ้งเริ่มสารทยาย “อีกส่วนที่เหลือก็เป็นทหารเฉลยที่ได้มาจากอ้วนเสี้ยว และ เกงจิ๋ว ความภักดีจึงยังไม่มั่นคงนัก นี่ก็เป็นอีกข้อได้เปรียบของเรา ที่สำคัญทหารโจโฉกำลังอ่อนล้ามาจาการเดินทาง ในขณะที่กังตั๋งเป็นสมรภูมิที่มั่นของเราซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สุด ทั้งพื้นที่สมรภูมิ เสบียงอาหาร และ ความสามารถ และ ความพร้อมของกำลังพลของเราล้วนกว่าทหารโจโฉทั้งสิ้น”
ทันทีที่ได้ยินขงเบ้ง เอ่ยถึงข้อได้เปรียบในการรบของตน ซุนกวนก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี ความกังวลในใจหายไปเกือบหมดสิ้น
“เพราะฉะนั้น ท่านซุนกวนโปรดวางใจเถิด” ขงเบ้งกล่าวปิดท้าย
“โอ้~!” ซุนกวนเดินเข้าจับมือขึ้นมากุมด้วยความปิติยินดี “หากไม่ได้ท่านขงเบ้งมาตักเตือน และ แนะนำ ข้าคงยอมก้มหัวให้โจโฉโดยลืมเกียรติของตระกูลซุนไปแล้ว ต้องขอบคุณท่านจริงๆ”
“ยินดีเสมอค่ะ” ขงเบ้งก้มหัวน้อมรับคำขอยคุณ “ได้ยินอย่างนี้ข้าก็วางใจ ต่อนนี้เราคงต้องรีบหน่อยแล้ว ทัพโจโฉใกล้เข้ามาทุกที ท่านรีบประกาศระดมพลแต่งทัพแม่ทัพโดยเร็วเทิด”
“ได้ๆ! พรุ่งนี้ข้าจะออกคำสั่งทันที” ซุนกวนรับคำ “ในตอนนี้พวกเราก็ถือว่าเป็นพันธมิตรกันแล้วสินะ”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้พวกเราเป็นพันธมิตรกันแล้วพันธมิตร ซุน-เล่า ถือกำเนิดขึ้นแล้ว” ขงเบ้งเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ยินดีได้ร่วมทัพค่ะ ท่านซุนกวน”
“ไหนๆ ก็ไหนๆ เราก็เป็นสหายกันแล้ว ข้าเห็นท่านเรียกโลซกว่าท่านลุงบ่อยๆ งั้นข้าขอเรียกท่านเป็นน้องสาวได้หรือเปล่าท่านอาจารย์ขงเบ้ง?” ซุนกวนเอ่ยยิ้ม
“ตามสบายค่ะ งั้นข้าเรียกท่าน ท่านอาซุนกวนแล้วกันนะคะ” ขงเบ้งตอบรับ
“ไม่ได้!” ซุนกวนปฏิเสธ “ต้องเรียกพี่สิ เห็นหน้ารกๆอย่างงี้แต่ข้ายังหนุ่มอยู่น~า”
“ค่~า... ท่านพี่ซุนกวน” ขงเบ้งยิ้มรับคำขำๆ ของซุนกวน
“เอาล่ะ... น้องขงเบ้งเดินทางมาไกล เชิญไปพักผ่อนเถิดอาจารย์น้อย ข้าจัดการเรื่องทุกอย่างต่อเอง” ซุนกวนเชิญ
“ขอบพระคุณท่านพี่ซุนกวน งั้นข้าขอตัว” ขงเบ้งกล่าวก่อนหันไปสบตาเทะสึกะ “ไปกันเถอะคุนิมิทสึ ท่านโลซกลุงพาข้าไปหน่อยสิ ข้ากลัวหลงทาง”
“ขอรับๆ เชิญทางนี้เลยขอรับ” โลซกตอบรับด้วยความยินดีเมื่อเห็นนายของตนตบปากรับคำออกรบอย่างกล้าหาด้วยการเจรจาของขงเบ้งจนเกินเป็นมิตรภาพขึ้น
แล้วทั้ง 2 ก็เดินออกจากห้องมุ่งตรงไปรวมกับพวกที่เหลือ โดยมีโลซกนำทางไป ปล่อยให้ซุนกวนยืนยิ้มอย่างโล่งใจอยู่ในห้อง แต่ช่วงเวลาสบายใจก็นั่นอยู่ไม่นานนัก
“ท่านซุนกวนขอรับ...”
ห้องโถง เรือนรับรอง
“ไงทุกคน” ขงเบ้งเดินเข้ามาทักทุกคนพร้อมๆ กับเทะสึกะ และ โลซกที่เดินตามหลังมา
“ขงเบ้ง เทะสึกะ คุณโลซก” โออิชิที่นั่งอยู่ที่เกาะอี้ใกล้ประตูเอ่ยทัก “เป็นไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย?”
“เรียบร้อย...” เทะสึกะตอบเรียบๆ
“โอ้~! นี่เหรออาจารย์ฮกหลงที่เขาร่ำลือกัน”
“เห~? ดูผิดไปจากที่คิดเลยนะ”
“น่าจะอายุพอๆ กับผมเลยนะครับ”
“กำเหลง เล่งทอง ลกซุนรักษามารยาทหน่อย”
“อะ เอ๋~?” ขงเบ้งมองบุรุษแปลกหน้าทั้ง 4 ที่ปะปนอยู่ในห้องงงๆ ก่อนหันหน้าไปหาโออิชิเป็นเชิงถามความเป็นมา
“เออ... พวกเขาบอกว่าเป็นทหารของกังตั๋ง อยากเข้ามาทักทายพวกเราหน่อย” โออิชิบอก
“โอ้~! ท่านลิบอง ท่านกำเหลง ท่านเล่งทอง ท่านลกซุน ไม่นึกว่าพวกท่านจะมาทักทายเหล่าทูตจากกังแฮถึงเรือนรับรอง ช่างมีน้ำใจจริง” โลซกกล่าว
“ท่านรู้จักพวกเขาเหรอท่านลุงโลซก?” ขงเบ้งเอ่ยถาม
“แน่นอนขอรับ พวกเขาเหล่านี้คือขุนพลของกังตั๋งเราเอง” โลซกตอบ
“หา~? ขุนพลเลยเหรอ?” เหล่าเซงาคุที่อยู่รอบร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันก่อนมองไปยังเหล่าผู้มาเยือนทั้ง 4 ที่ทำตัวเป็นกันเองกับเขามาตั้งแต่เจอกัน
“พอดีเลย ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะขอรับ” โลซกว่าขณะเดินเข้าไปหาเหล่าขุนพลแห่งกังตั๋ง ก่อนผายมือแนะนำตัวทีละคน “ท่านนี้มีนามว่าลิบอง”
“เป็นเกียรติที่ได้พบท่านขงเบ้ง” ชายท่าทางเงียบขรึม ผมยักศกสำดำสนิทยาวเลยบ่าลงมาเหมือนจอมยุทธ์ในหนังจีน ดวงค่อนข้างคมนัยน์สีเดียวกับผม ผู้อยู่ในชุดยาวหนังสีน้ำตาล ที่ซ่อนเกราะหนังสีแดงไว้ด้านใน เอ่ยขณะก้มหัวคำนับ
“เป็นเกียรติที่ได้พบเช่นกันท่านลิบอง” ขงเบ้งก้มหัวรับคำนับ
“จากที่ได้ยินเมื่อกี้ แสดงว่าท่านเจรจากับท่านซุนกวนเป็นแล้วสินะ” ลิบองถาม
“อืม
” ขงเบ้งตอบสั้นๆ
“ถ้างั้นก็ ยินดีที่ได้ร่วมทัพนะ ท่านปราชญ์มังกรหลับ” ลิบองว่า
“ยินดีที่ได้ร่วมทัพ” ขงเบ้งกล่าวรับ ก่อนหลับไปมองโลซกเป็นเชิงให้แนะนำต่อ
“ส่วนท่านนี้คือ ท่านกำเหลง”
“ว่าไงน้องสาว!” ชายหนุ่มท่าซ่าๆ บนร่าเริง ผมตั้งชี้ฟ้าสีน้ำตาลเข้ม นัยน์สีเดียวกับเส้นผม ผู้อยู่ในชุดเสื้อกักสีดำแขนกุดไม่ปิดกระดุม เปิดให้เห็นอกกำยำ และ กล้ามทองซิกแพ็คบนร่าง ท่อนล่างใส่กางเกงขาบานสีแดงเพลิง ที่เอวมัดด้วยกระพรวนขนาดเท่ากำปั้นเรียงกันเป็นเข็มขัด ที่หัวขาดด้วยผ้าคาดหัวสีแดงสัญลักษณ์ทัพกังตั๋ง เอ่ยทักขงเบ้งด้วยท่าทีกวนๆ
“หวัดดีค่ะ” ขงเบ้งตอบสั้นๆ
“ส่วนท่านคนนี้คือ ท่านเล่งทอง” ไม่รอช้าโลซกแนะนำคนต่อไปทันที
“หวัดดีครับคนสวย” ชายหนุ่มท่าทางกวนป่นซ่าแต่ดูสงบกว่ากำเหลงเล๋กน้อย ผมยาวสีน้ำตาลดำรวบเป็นหางม้า นัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผมอีกเช่นเคย ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวรัดรูปสีแดงเสริมด้วยเกราะทรงกลมสีเลือดหมูที่ติดอยู่บนไหล่ทั้ง 2 ข้าง กางเกงขาจั๊พสีเหลือง สวมเท้าแบบกังฟู ที่เข็มขัดผ้าตรงเองมีกระบอง 2 ท่อนเสียบไว้อยู่ เอ่ยทักด้วยท่าทีกวนๆ ไม่ต่างกัน
“หวัดดีค่ะ” ขงเบ้งตอบสั้นๆเช่นเคย เพียงแต่คราวนี้ยิ้มตอบรับคำชมกลับไปด้วย
“หึ
” เล่าทองส่งสายตาเย้ยกำเหลงผู้ยืนอยู่ข้างๆ กัน
“เชอะ!” กำเหลงเชิดหน้าใส่เล่งทอง
โป๊ก~!
“โอ๊ย~!” กำเหลง และ เล่งทองร้องประสานเสียงกัน “ทำอะไรน่ะ!”
“เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้ ไอ้พวกปัญญาอ่อน...” ลิบองเจ้าของกำปั้นที่โขกเข้ากับหัวหนุ่มซ่าทั้ง 2 ว่า
“เอาล่ะ สุดท้ายแล้ว ท่านนี้คือท่าน ลกซุน ขุนพลอายุน้อยที่สุดของเรา” โลซกว่าก่อนผายมือมายังครบแปลกหน้าคนสุดท้าย
“เป็นเกียรติที่ได้พบขอรับ” เด็กหนุ่มหน้าหวาน ผมส้นสีน้ำตาลอ่อน เช่นเดียวกับนัยน์ตา ผู้อยู่ในชุดนักปราชญ์สีแดง พร้อมหมวกปราชญ์บนหัว ก้มหัวทักทายทุกคน ดูจากท่าทาง และ น้ำเสียแล้ว คงอายุพอๆ กับเหล่าเซงาคุ
“หวัดดีจ๊ะ” ขงเบ้งตอบรับก่อนยิ้มสดใสไปให้ลกซุน ทำเอาหนุ่มหน้าหวานถึงกับหน้าแดงขึ้นมาทันที (หนุ่มเวอร์จินซะด้วย)
“แห~มๆ ลกซุนของเราโตเป็นหนุ่มแล้วเหรอเนี่ย?” กำเหลง ที่สังเกตเห็นท่าทีของลกซุน โผล่มาเอาแขนพาดหัวลกซุนขณะเอ่ยแซว
“มะ ไม่ใช่นะครับ!” ลกซุนทำท่าจะปฏิเสธ
“เอาน่าๆ เป็นหนุ่มวัยรุ่น ก็ต้องมีบ้างล่ะน่~า” เล่งทองแซวสมทบขณะยกเอาศอกเขี่ยไหล่ลกซุน
“บอกว่าไม่ใช่ไงครับ!” ลกซุนพยายามปฏิเสธด้วยหน้าที่แดงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
โป๊ก~!
“โอ๊ย~!” กำเหลง และ เล่งทองร้องประสานเสียงกัน “คราวนี้อะไรอ่ะ!”
“เวลาปกติอยู่ด้วยกันดีๆ เป็นไม่ได้กัดกันตลอด พอมาเรื่องไร้สาระนี่สามัคคีกันดีนะพวกแก” ลิบองกล่าว
“เอาล่าทางเราก็แนะนำตัวกับเขาบ้างสิ” ขงเบ้งว่า
“ผมเทะสึกะ คุนิมิทสึ เป็นรอแม่ทัพ ยินดีได้รู้จักครับ” เทะสึกะไม่รอช้าเดินเข้าไปแนะนำตัว ขณะยกมือคำนับทั้ง 4
“โอ้~! ท่านรองแม่ทัพ ยินดีที่ได้รู้จัก” ลิบองคำนับตอบด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยที่รองแม่ทัพเดินทางมาเจรจาพร้อมกุนซือด้วยตัวเอง ขณะเป็นตัวแทนกล่าวทักทายให้เพื่อนร่วมทั้ง 3 คน
“ยินดีได้รู้จัก” ทั้ง 3 คำคำนับตอบ
“ผมโออิชิ ชูอิจิโร่ เป็นหัวหน้าทัพสนับสนุนครับ” โออิชิเดินมาทางลิบองก่อรทำเช่นเดียวกันกับเทะสึกะ
“ผมคิคุมารุ เอจิ เป็นหัวหน้าหนว่ยสอดแนมยินดีได้รู้จักแง่ว~!” ตามด้วยคิคุมารุ
“อินูอิ ซาดาฮารุ หัวหน้าพลอาวุธระยะไกลยินดีได้รู้จักครับ” ต่อด้วยอินูอิ
“ผมคาวามูระ ทาคาชิ หัวหน้ากองกำลังป้องกันยินดีได้รู้จักครับ” คาวามูระ
“ผมโมโมชิโระ ทาเคชิ ส่วนไอ้หมอนี้ไคโด คาโอรุ พวกเราเป็นหัวหน้าหน่วยประจัญบานครับ” โมโมะแนะนำควบทั้งตัวเขาและไคโด
“ยินดีได้รู้จักครับ ชู่ว์...” ไคโดว่าตาม
“โอ้~ว! พวกนายเป็นหน่วยประจัญบานงั้นเหรอ? เหมือนพวกเราเลย! ศึกคราวนี้คงได้มันส์กันแน่” กำเหลงว่า
“แน่นอนครับ รับรองผมอาลาวาทเต็มที่แน่นอน” โมโมะตอบรับ
“หึ! หาได้ลุยด้วยกันจริง ก็ขอโทษแทนหมอนี่ด้วยนะ ชอบทำอะไรไม่คิดจนเดือดร้อนคนอื่นประจำเลย” เล่งทองเอ่ยกำเหลง
“เหมือนกันครับ ขอโทษแทนหมอนี้ด้วย ทำอะไรเกินตัวซ่าไม่เข้าเรื่องเหมือนกัน” ไคโดเอ่ยกัดโมโมะ
“ว่าไงนะ! อยากมีเรื่องเหรอ!?” กำเหลง และ โมโมะหันมาโวย
“ก็เอาเซ่!” เล่งทอง และ ไคโดโวยกลับ ก่อนทั้ง 2 ฝ่ายจะปล่อยพลังสายฟ้าสู้กัน
“แหะๆ รู้สึกว่า 2 ทัพของเราจะมีอะไรคล้ายๆ กันอยู่นะครับ” ลกซุนหันมาพูดกับฟูจิที่ยินอยู่ใกล้ๆ
“ว่างั้นแหละ... จะว่าไป ฉันฟูจิ ชูสึเกะ หัวหน้ากองกำลังพิเศษ ยินดีได้รู้จัก” ฟูจิหันมาแนะนำตัวกับลกซุน
“คุณฟูจิเป็นหัวหน้ากองกำลังพิเศษเหรอครับ? พอดีเลยผมก็เหมือนกัน ศึกครั้งนี้หวังว่าคงได้ร่วมงานด้วยกันนะครับ” ลกซุนเอ่ยอย่างสุภาพ
“เช่นกัน” ฟูจิตอบ
“อืม...”
“มีอะไรเหรอคุนิมิทสึ?” ขงเบ้งเอ่ยถามเทะสึกะที่มองสำรวจรอบห้องอยู่
“เอจิเซนหายไปไหน?” เทะสึกะเอ่ยถาม
“อ๋อ~! หมอนั่นบอกจะเป็นเดินเล่นด้านหลังเรือนน่ะครับ” โฮริโอะบอก
“งั้นก็แล้วไป...” เทะสึกะว่า
“เอจิเซนงั้นเหรอ?” ลิบองเอ่ยถามเมื่อได้ยินชื่อของสมาชิกอีกคนที่ขาดหายไป
“เอจิเซน เรียวมะ หัวหน้าทัพหลักขอเราน่ะ คนนี้เขามีนิสัยรักสันโดดชอบปลีกออกไปเดินเล่นคนเดียวประจำ” ขงเบ้งว่า “อีกไม่นานก็คงได้พบกัน”
“งั้นเหรอ?” ลิบองพยักหน้าเข้าใจก่อนหันกลับมาหาขงเบ้งด้วยท่าทางจริงจัง “ขออภัยที่มารบกวนเวลาพักผ่อน ไม่ทราบว่าช้าขอคุยกับท่านตอนนี้ได้หรือไม่”
“ได้สิ ว่ามาได้เลย”
สวนหลังเรือนรับรอง
“นั่นไงซากุโนะ ท่านเรียวมะ” โทโมกะกระซิบบอกซากุโนะที่ยืนซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ไม่ห่างจากเอจิเซนที่นั่งดูบ่อปลาอยู่บนก้อนหินประดับขนาดใหญ่ไม่ไกลนัก “ตอนนี้แหละได้โอกาสแล้วเข้าคุยเลย”
“ไม่เอาน่าโทโมะจัง” ซากุโนะทำท่าเขินอายก่อนเอ่ยปฏิเสธอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“โห~! ซากุโนะ อุตสาห์มีโอกาสได้อยู่กับท่านเรียวมะ 2 ต่อ 2 แล้ว กล้าๆ หน่อย เดินเข้าไปเผด็จศึกเลย” โทโมะกะเชียร์
“โทโมะจัง!” ซากุโนะเอ่ยชื่อเพื่อนสาวขณะสายตามองยังคงจ้องจับอยู่ที่เอจิเซน แต่ทันใดนั่น “เอ๋~?”
“มีอะไรเหรอ?” โทโมกะหันไปมองตามซากุโนะ “เอ๋~?”
“ไง...” เอจิเซนเอ่ยทักแขกผู้มาเยือนที่เดินเข้ามาหาเขา
“ไม่ ไง ด้วยหรอก...” ผู้มาเยือนนั่นไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน ซีซิงสาวน้อยหน้าใสผู้ถูก เอจิเซนก่อกวนจนอารมณ์เสียนั่นเอง “ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แล้วยังมีหน้ามานั่งระรื่นลอยชายสบายใจอยู่อีก”
“เรื่องมันจบแล้วไม่ใช่เหรอ...” เอจิเซนตอบปัด
“จบเหรอ? ถ้าท่านโลซกกับเพื่อนนายไม่มาเจอเข้า มีหวังฉันกับนายขงได้สู้กันตายไปข้างหนึ่งแล้ว” ซีซิงว่าอย่างจริงจัง
“ฉัน กับ เธอ งั้นเหรอ~?” เอจิเซนเอ่ยถามเสียงสูงขณะหันมามองเด็กสาวกวนๆ
“เออ! ยอมรับก็ได้ ฉันคงอาลาวาทใส่นายจนหมดลมตายไปคนเดียว” เด็กสาวเอ่ยแก้คำพูดตนอย่างไม่พอใจนัก “ยังไงนายก็ผิดอยู่ดีถามดีๆ แล้วดันตอบกวนประสาทคนอื่นเข้าใจผิด ถ้าเกิดคนที่มาเจอนายเป็นพ่อฉัน นายมีหวังได้ไปเยี่ยมยมบาลแล้ว”
“งั้นก็ขอโทษแล้วกัน” เอจิเซนเอ่ยปัด ก่อนไปสะกิดใจกับคำพูดประโยคหนึ่งของเด็กสาว “พ่อเธอเป็นใครเหรอ?”
“อ๋อใช่ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเต็มสินะ ฉันซุนซีซิง ลูกสาวของซุนกวนแห่งกังตั๋ง”
“หือ~?” เอจิเซนเบิกตาตกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถาม “ว่าแต่ฉัน ทำไมไม่ยอมบอกว่าเป็นลูกเจ้าเมือง ถ้าบอกตั้งแต่ตอนแรกฉันก็คงบอกกลับไปแล้วว่าป็นคนมาเจรจาศึก”
“ยังมีหน้ามาพูดอีก ใครที่ไหนคนทำให้คนในตำหนักที่ตนมาเจรจาเข้าใจผิดว่าเป็นไส้ศึกบ้างล่ะ?” ซีซิงว่าเข้าให้
“งั้นก็โทษทีแล้วกัน” เอจิเซนเอ่ยปัดอีกครั้ง
“ว่าแต่นายน่ะ ฝีมือดาบระดับนั้นคงไม่ใช่แค่เด็กรับใช้หรือทูตธรรมดาหรอกนะ” ซีซิงว่า “นายเป็นเป็นใครกันแน่?”
“เอจิเซน เรียวมะ หัวหน้าทัพหลักของกองทัพเล่าปี่” เอจิเซนตอบเรียบๆ
“หาหัวหน้าทัพเลยเหรอ? ตอนประดาบด้วยก็พอรู้ว่าฝีมือไม่ทำธรรมดา แต่ทั้งๆ ที่อายุพอๆ กับฉันแต่เป็นถึงหัวหน้าทัพเลยเหรอ?” ซีซิงเอ่ยอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“งั้นแหละ” เอจิเซนว่าเรียบๆ
“...” ซีซิงมองสำรวจดูเอจิเซนอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเรียก “นี่”
“หือ~?” เอจิเซนเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวที่ยืนมองหน้าเขาอยู่
“นายเป็นหัวหน้าทัพจริงเหรอ?” ซีซิงถามเพื่อความมั่นใจ
“อืม... แล้วไง...?” เอจิเซนมองเด็กสาวงงๆ
“นาย... จะช่วย...ให้ฉัน” ซีซิงติดๆ ขัดๆ ทำท่าเหมือนกำลังอาย จนในที่สุด “ร่วมรบในศึกนี้ได้มั้ย?”
“หา~?” เอจิเซนเอียงคองงทันที “ทำไม?”
“นายเป็นหัวหน้าทัพจริงๆ ใช่มั้ย?” ซีซิงถามอีกครั้ง
“ก็ใช่ (ถาม 3 รอบแล้ว)” เอจิเซนตอบซ้ำ
“แสดงว่านายมีอำนาจในการคุมทัพใช่มั้ย?” ซีซิงเริ่มขยายคำถาม
“ก็น่าจะใช่” เอจิเซนตอบเรียบๆ ดังเดิมโดยหารู้ไม่ว่ากำลังหลงเข้าไปในกับดัก
“นั่นก็ให้ฉันเข้าร่วมรบในศึกนี้ได้สิ ตกลงนะ” ซีซิงว่า
“เออ...”
“ตกลงแล้วนะ ฉันไปล่ะ” ซีซิงตัดบทก่อนเดินจากไปทันทีปล่อยให้เจ้าเปี๊ยกแห่งเซงาคุนั่งงงอยู่บนก้อนหินดังเดิม
“อะไรน่ะ?” เอจิเซนถามตัวเองพลางหันกลับมามองบ่อปลาต่อ แต่ก็ต้องคิ้วกระตุกเมื่อปลาในบ่อทำท่าเหมือนส่ายหน้า ทำปากพะงาบๆ ราวกับกำลังบอกว่า ‘งี่เง่า’
“ยัยผู้หญิงตนนั้นเป็นใคร!” โทโมเอะพูดขึ้นอย่างเคียนแค้น
“โทโมะจั~ง” ซากุโนะเรียกให้เพื่อนสาวสงบลง แต่ก็ไม่วายมองมาหาเอจิเซนด้วยแววตาเศร้าๆ “เรียวมะคุง”
“พวกเธอทำอะไรอยู่น่ะ?”
“ว้า~ย!” 2 สาวสะดุ้งก่อนหันมาหาเจ้าของเสียงที่จู่โผล่มาทักจากด้านหลัง
“ฮะ โฮริโอะคุง?” ซากุโนะเอ่ยชื่อเด็กหนุ่มหัวลานบินหน้ากวนๆที่ยืนทำหน้างงๆ มองพวกเธออยู่
“ตกใจหมด จะทำอะไรให้ซุ่มให้เสียงกันหน่อยเซ่!” โทโมเอะโวยวาย
“งั้นเหรอ? ช่างเหอะ” ว่าจบโฮริโอะก็โบกมือตะโกนเรียกเพื่อนหนุ่มอีกคนที่นั่งหน้านิ่งคิ้วกระตุกมองปลาหน้ากวนประสาทอยู่ “เฮ้! เอจิเซน
! กัปตันให้มาตาม
!”
“หือ~?”
ห้องโถง เรือนรับรอง
“สรุปว่าถ้าคนๆ นี้ไม่เห็นด้วย เราก็จะไม่ได้รบสินะ” อินูอิว่าขณะเอาก้ำปั้นอุดปากทำท่าคิด เช่นเดียวกับขงเบ้งที่เอาพัดปิดปากก้มหน้า และ เหล่าเซงาคุคนอื่นๆ
“ขอรับ อาจารย์ขงเบ้งมีหนทางไหมขอรับ?” ลิบองเอ่ยถามด้วยความกังวล
“อืม... คิดออกแล้ว!” ขงเบ้งเงยหน้าขึ้น
“คิดวีธีเกลี้ยกล่อมเขาได้แล้วใช่มั้ยครับ?” ลกซุนเอ่ยถามอย่างดีใจ
“เปล่า?”
โครม!
“แค่นึกออกแล้วว่าลืมอะไรไว้ที่เรือ”
“(-*-)” ไม่มีคำตอบใดๆ จากเหล่าขุนพลกังตั๋ง
“จะว่าไปเมื่อกี้พวกท่านพูดเรื่องอยู่เหรอ?” ขงเบ้งถามอย่างใสซื่อ
“(=o=*) ไร้เสียงตอบรับจากเหล่าขุนพลกังตั๋งที่ท่านเรียก
“เออ...” เทะสึกะกระซิบบอก
“อ๋อพวกท่านไม่ต้องห่วงหรอก ข้าเตรียมเจราจากับเข้าไว้แล้ว” ขงเบ้งบอก
“จริงเหรอขอรับ...?” ลิบองถาม
“วางใจได้เลย” ขงเย้งตอบ
“เกิดเรื่องแล้วขอรับ!” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมาหาโลซก ขณะลิบองกำลังพูดอยู่
“ใครเหรอท่านโลซก?” เทะสึกะถาม
“ทหารยามเฝ้าห้องท่านซุนกวนที่ข้าฝากฝั่งไว้น่ะขอรับ” โลซกเอ่ยบอก ก่อนหันมาถามนายทหาร “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“เตียวเจียว และ คณะปราชญ์ไปกดดันท่านซุนกวนให้ยอมแพ้อีกแล้วขอรับ” นายทหารคนนั้นรายงาน
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนที่ข้าออกมาท่านซุนกวนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เตียวเจียวพูดยังไงก็เปลี่ยนใจท่านไม่ได้หรอก” โลซกว่า
“แต่คราวนี้เตียวเจียวทุมทุนสุดๆ ของรับ เขากับคณะปราชญ์ทั้งหมดไปก้มหัวคุกเข่าขอร้องท่านซุนกวนอ้างว่า ‘ท่านขงเบ้งต้องการใช้ประโยชน์จากท่านซุนกวน หากรบกับโจโฉจะมีแต่ตายกับตาย ให้สงสารราษฎรยอมจำจนดีกว่า’ แล้วก็ทำท่าทางเศร้าสร้อย บางคนถึงกลับแกล้งร้องให้ทำเอานายท่านใจอ่อน จนท่านเริ่มลังเลอีกแล้วขอรับ”
“แย่ล่ะที่นี้... เรื่องของเขาคนนั้นยังไม่เคลียร์เลย ท่านซุนกวนก็กลับมากังวลเพราะพวกของเตียวเจียวอีกแล้วเหรอเนี่ย...” โลซกกลุ้ม
“ทำท่าสำออยเรอะ ตุ๊ดชะมัด...” เล่งทองสบถ
“ใช่ๆ ชู่ว์...” ไคโดเห็นด้วย
“อย่างงี้มันน่าจะซัดให้ซะที!” กำเหลงว่ายังไม่สบอารมณ์
“แค่นั่นไม่พอ ต้องจับมากระทืบซะให้เข็ด!” โมโมะสมทบ
“เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ...” ลิบองเหล่ตามองคิ้วกระตุก
“งั้นก็เหลือแค่วิธีเดียวแล้วล่ะครับ” ฟูจิว่า
“วิธีอะไรเหรอฟูจิ?” อินูอิถาม
“เราต้องเกลี้ยงกล่อมเขาคนนั้นให้มาเป็นฝ่ายเรา...” ฟูจิตอบ
“ใครเหรอฮะ?”
“เฮ้ย!” เหล่าขุนพลกังตั๋งถึงสะดุ้งเมื่อเอจิเซนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้จู่ๆ ก็มายืนถามอยู่กลางวงล้อมของพวกเขา
“พอดีเลย ขอแนะนำเลยนะ นี่เอจิเซน เรียวมะ หัวหน้าทัพหลักของเรา” ขงเบ้ง กล่าวพลางชี้พัดไปที่เอจิเซน
“หวัดดีฮะ...” เอจิเซนเอ่ยทักเรียบๆ ก่อนถามต่อ “ตกลงพูดถึงใครอยู่ครับ?”
“เขาเป็นน้องร่วมสาบานของท่านซุนเซ็ก อดีตนายเหนือหัวของกังตั๋ง” ฟูจิบอก “ผู้เป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของกังตั๋งเรา ชายผู้ได้ชื่อว่าจอมพลเรือแห่งน่านน้ำแยงซีเกียง สิงสำอาง จิวยี่...”
ที่พำนักพักซุนกวน
“เฮ้~อ...” ซุนกวนเดินถอนหายอย่างเป็นกังวล ขณะเดินเข้ามาในที่พำนักของตน ทำให้เป็นผู้มาดารที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตัวของตนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือลูกรัก ถอนหายใจยาวมาตั้งแต่หน้าบ้าถึงนี่เลย มีเรื่องกังวลอะไรเหรอ?” นางงอก๊กไถ้ผู้เป็นแม่ไม่ถามเปล่าลุกขึ้นมากุมมือลูกอย่างรักใคร่
“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับท่านแม่...” ว่าแล้วซุนกวนก็เล่ารายละเอียดให้แม่ฟัง
“โฮะๆๆๆ... อะไรกัน เรื่องแค่นี้เหรอ?” นางงอก๊กไถ้ถามยิ้ม
“มันไม่ใช่แค่นี้น่ะสิครับ ท่านแม่ช่วยบอกข้าที่ว่าข้าควรทำยังไงดี?” ซุนกวนถาม
“ซุนกวน เรื่องบ้านเมืองการปกครองแม่ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอก” นางงอก๊กไถ้ว่า
“เฮ้~อ...” ซุนกวนหน้าจ๋อยทันที
“ไม่เอาน่าลูกรัก เจ้ายังเหลือตัวช่วยอีกอย่างหนึ่งนี่” นางงอก๊กไถ้บอก
“ตัวช่วยเหรอครับ?” ซุนกวนมองมารดางงๆ
“อ้า~ว? เจ้าจำไม่ได้เหรอว่าซุนเซ็กสั่งเสียอะไรเจ้าไว้ก่อนตาย” นางงอก๊กไถ้เอ่ยเตือนความทรงตำผู้เป็นเรื่อง “พี่เจ้าบอกเจ้าไว้ว่า เรื่องภายในให้ปรึกษาเตียวเจียว แต่ถ้าเป็นเรื่องภายนอกให้ปรึกษาจิวยี่”
“ชะ ชะ ใช่แล้ว! ท่านพี่จิวยี่! ข้าลืมท่านพี่จิวยี่ไปสนิทเลย! ขอบพระคุณขอรับท่านแม่!” ซุนกวนว่าก่อนกอดผู้เป็นแม่ด้วยความดีใจ
“อย่าขอบคุณแม่เลย ขอบคุณพี่ลูกที่สั่งเสียเจ้าไว้ดีกว่า...” ว่าจบนางงอก๊กไถ้ก็ผายมือไปยังรูปซุนเซ็กยืนถือหอกประจำตัวยก 2 นิ้วสู้ในกรอบสีทอง ข้างรูปซุนเกี๋ยนผู้เป็นพ่อที่ยืนถือดาบทำท่าเดียวกัน (โห~
ทั้งพอทั้งลูก...)
“ขอบคุณครับท่านพี่” ซุนกวนยืนคำนัยเคารพรูปซุนเซ็กอย่างปิติยินดินก่อนตะโกนเรียกทหารให้เข้ามาหาตน “มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง!? เข้ามานี่สิ!”
“ขอรับ!” นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคำนับซุนกวน
“ให้คนส่งจดหมายไปเรียกตัวท่านแม่ทัพจิวยี่ให้กลับกังตั๋งโดยด่วน” ซุนกวนสั่ง
“อ๋อ~? ถ้าเรื่องนี้ไม่ต้องแล้วขอรับ” นายทหารว่า
“ทำไมล่ะ?” ซุนกวนถามงงๆ
“เมื่อกี้มีคนส่งสาสน์มา บอกว่าท่านจิวยี่จะมาถึงกังตั๋งพรุ่งนี้ขอรับ” ว่าจบนายทหารก็ยินม้วนสาสน์ให้ซุนกวน “ข้ากำลังเจ้าเอามาให้ท่านแต่โดนเรียกซะก่อน”
“เยี่ยมเลย...!”
ความคิดเห็น