คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Match 7 นิมิตแห่ง 2 ผู้กล้า เตรียมพร้อมสู่สงคราม
Match 7
นิมิตแห่ง 2 ผู้กล้า
เตรียมพร้อมสู่สงคราม
“ฉันคือจูกัดเหลียง หรือ ที่รู้จักกันนั่นนาม ขงเบ้งนั่นเอง”
‘ขงเบ้ง เป็น ผู้หญิง (อีกคนแล้ว) อะ!?’ เหล่าเซงาคุคิด
“พวกเธอคือเหล่านักรบวัยเยาว์ที่เข้ามาช่วยเหลือท่านเล่าปี่ไว้ใช่ไหม?” สาวในชุดนักปราชญ์นามจูกัดเหลียง หรือ ขงเบ้งปราชญ์มังกรหลับแห่งเขาโงลังกั๋ง ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะวงกลมขนาดใหญ่เอ่ยขึ้น “ต้องขอขอบใจพวกเธอมากเลย”
“...” เหล่าเซงาคุเงียบสนิท ไร้เสียงตอบรับใดๆ
“อะ. เอ๋~...? หน้าฉันมีอะไรติดอยู่งั้นหรือ?” ขงเบ้งถาม
“พรืด...!! ฮ่าๆๆ!!” เล่ากี๋ที่ยืนกลั้นหัวเราะอยู่นอกห้อง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวปล่อยเสียงหัวเต็มที่
“ขำอะไรน่ะเล่ากี๋?” เล่าปี่เอ่ยถาม
“ขอโทษครับท่านอา ข้ากลั้นไว้ไม่ไหวจริงๆ” เล่ากี๋ว่า
“?” เล่าปี่กับกวนอูมองหน้ากันงงๆ
“เป็นเกียรติ์ที่ได้พบคุณขงเบ้ง ผมเทะสึกะ คุนิมิทสึ เป็นหัวหน้ากลุ่มเซงาคุครับ” เทะสึกะก้มหัวเคารพอย่างมีมรายาทขณะเอ่ยแนะนำตัว
“เซงาคุ? ชื่อกลุ่มของพวกเธองั้นหรือ ฟังไม่คุ้นหูเลย ตกลงพวกเธอมาจากเมืองไหนงั้นหรือ?” ขงเบ้งเอ่ยถาม
“พวกเรา เออ... เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ เดินทางมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทางริมสุดของแผ่นดิน ที่นั่นเป็นเมืองเล็กๆ ยังไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยจะมีใครรู้จัก” เทะสึกะตอบอย่างฉะฉาน
“งั้นเหรอ?” ขงเบ้งทำท่าคิดภาพตาม
‘โว้~ว หยั่งกะดูหนังจีนเลยแฮะ’ เหล่าเซงาคุคิดประสานเสียงกัน ขณะมองดูกัปตันของพวกตนเอ่ยปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร้ที่ติ จนสมาชิกจอมกะล่อนในกลุ่มยังต้องยกนิ้วให้ (คิคุมารุ กับ โมโมะ เป็นต้นสินะ)
“แล้ว... คิดยังไงถึงดั้นด้นเดินทางมายังแคว้นเกงจิ๋วนี่ล่ะ?” ขงเบ้งยังคงถามต่อ
“พวกเราอยู่ในช่วงออกเดินทางหาประสบการณ์เสริมวรยุทธ์ จึงคิดจะเข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพ พอดีได้ยินกิติศัพท์วีรกรรมของคุณเล่าปี่มานาน จึงหวังจะขอเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพครับ” เทะสึกะตอบ
“งั้นเหรอ... ถ้าอย่างนั้นก็ ขอตอนรับสู่กองทัพของพวกเรานะ” ขงเบ้งกล่าว
“เอ๋~?” กวนอูหันหน้ามาสบตาขงเบ้ง
“ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาช่วยท่านจูล่งพาอาเต๊าฝ่าทัพโจโฉที่ทุ่งเตียนบันโบ๋ และ ยังช่วยท่านเตียวหุยคิดอุบายสกัดทัพโจโฉที่สะพานเตียงปันเกี้ยว มิหน่ำซ้ำหนึ่งในพวกเขายังเอาชนะซูเฉาหัวหน้ามือสังหารของโจโฉดีอีก หากปล่อยให้กำลังสำคัญแบบนี้หลุดมือไปล่ะแย่เลย” ขงเบ้งกล่าว “อีกอย่าง ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงวิกฤต มีสมาชิกมาเพิ่มเยอะๆ สิยิ่งดี”
“แห~ม ท่านขงเบ้งนี่รู้ข่าวเร็วจังนะคะ ไอ้ที่พวกเขาช่วยจูล่งกับเตียวหุยไว้ ข้ายังไม่รู้เลย” กวนอูเหน็บเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “แล้ว... พวกเราจะไว้ใจพวกเขาได้เหรอคะ?”
“ในความเห็นของข้า ข้าไม่คิดว่า จอมยุทธ์วัยเยาว์เหล่านี้ จะเป็นภัยต่อพวกเรา” ขงเบ้งโบกพัดเบาๆ ขณะพูดอย่างองอาจ “หากพวกเข้าคิดร้ายกับพวกเราจริงๆ ป่านนี้พวกท่านทั้งหลายคงไม่เหลือรอดมาพบหน้าข้าหรอก ลองคิดดูสิ พวกเขามีโอกาสใกล้ชิดกับพวกท่านตั้งหลายครั่ง ถ้าพวกเขาปองร้ายพวกเราล่ะก็ พวกเขาคงจะลงมือกำจัดพวกท่านไปนานแล้ว”
“มันก็จริง...” กวนอูรับคำก่อนหันมาหาเหล่าเซงาคุ “ขอโทษที่สงสัยพวกเธอนะ ขอต้อนรับสู่กองทัพของพวกเราจ๊ะ”
“ขอต้อนรับสู่ทัพของข้านะ” เล่าปี่กล่าวต้อนรับ
“แหะๆ ถึงข้าจะเป็นแค่กำลังพลชั่วคราวแต่ก็ ยินดีได้ร่วมทัพกันนะ” เล่ากี๋ว่า
“เป็นเกียรติ์ที่ได้ร่วมทัพครับ” เทะสึกะคำนับพวกเล่าปี่
“เป็นเกียรติ์ที่ได้ร่วมทัพครับ…!!” เหล่าเซงาคุว่าขณะทำตามเทะสึกะ
“จะว่าไปฉันยังไม่รู้จักชื่อพวกเธอเลย” ขงเบ้งเอ่ยขึ้นขณะลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ “ช่วยแนะนำตัวกันหน่อยได้ไหม?”
“ขอแนะนำอีกทีนะครับ ผมเทะสึกะ คุนิมิทสึ หัวหน้ากลุ่มครับ”
“ผมโออิชิ ชูอิจิโร่ รองหัวหน้าครับ”
“ผมฟูจิ ชูสึเกะครับ”
“คิคุมารุ เอจิฝากตัวด้วยครับ”
“ผมคาวามูระ ทาคาชิครับ”
“อินูอิ ซาดาฮารุครับ”
“โมโมชิโระ ทาเคชิ เรียกโมโมะก็ได้นะครับ”
“ไคโด คาโอรุครับ”
“เอจิเซน เรียวมะ...”
“ผมโฮริโอะ ซาโตชิส่วน 2 คนนี้ ซาโต้ คาจิโร่ กับ มิสึโนะ คัทสึโอะครับ”
“ฉันโอซาคาดะ โทโมกะค่ะ”
“ฉันริวซากิ ซากุโนะค่ะ”
“อื้ม! ยินดีได้รู้จักนะซาโตชิ คัทสึโอะ คาจิโร่ โทโมกะ ซากุโนะ ชูอิจิโร่ ชูสึเกะ เอจิ ซาดาฮารุ ทาคาชิ คาโอรุ โมโมะ เรียวมะ และก็ คุนิมิทสึ” ขงเบ้งไล่ชื่อเซงาคุทุกคน
“โหคุณขงเบ้งนี่ความจำดีจังเลยนะ ฟังครั้งเดียวก็จำได้แล้ว”
“เรียกขงเบ้งเฉยๆ ก็ได้ เราน่าจะอายุพอๆ กันนะ” ขงเบ้งว่า
“เดี๋ยวสิ ฉันยังจำไม่ได้เลย เออ... เธอชื่อ... โมโมะ ส่วนเธอ ไคโด ใช่ไหม?”
“อย่าสลับชื่อผมกับไอ้หมอนี้สิครับ…!!” ทั้ง 2 ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“อ้า~ว งั้นเหรอ? เออ... โทษทีๆ เล่าปี่เอ่ยแก้เขิน
คลื่~น...!! ซ่~า…!!
“อ้า~ว ขบวนอพยพพร้อมออกเดินทางแล้วงั้นเหรอ?” ขงเบ้งว่าขณะที่ทุกคนรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ของเรือ “พวกเธอคงเหนือมาไม่น้อยเลยสินะ เอาล่ะ ฉันจะให้ทหารพาไปดูห้องพัก ตอนนี้เชิญแต่ละคนพักผ่อนกันตามสบาย เดียวพอถึงเวลาทานมื้อค่ำเมื่อไหร่ฉันจะให้คนไปตามนะ”
“ครับ/ค่ะ” เหล่าเซงาคุตอบรับ
เมืองเกงจิ๋ว
“อืม... แล้วอาการของซูเฉาล่ะหมอ?” โจโฉผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์เจ้าเมืองเอ่ยถามแพทย์ประจำกองทัพที่กำลังรายงานจำนวนทหารบาดเจ็บของศึกที่ผ่านมาอยู่
หลังจากถูกกวนอูสกัดทัพไว้ โจโฉได้ถอยทัพของเขากลับมาที่เกงจิ๋วเพื่อรวบรวมเสบียง และ กำลังพลเตรียมไปตามล่าเล่าปี่ต่อ
“หือ~? อ๋อ! ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” แพทย์ประจำกองทัพกล่าว “ข้าเย็บแผล และ ให้ยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยความสามารถในการฟื้นตัวอันเหนือมนุษย์ของท่านซูเฉา ข้าคาดว่าคงไม่กี่วันก็คงหายขอรับ”
“งั้นหรือ...” โจโฉว่าด้วยแววตาเย็นชาสีหน้าเรียบๆ ดังเดิม ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ตนได้ยิน “ขอบใจมากหมอ... เจ้าไปได้แล้ว”
“งั้นข้าขอตัว...” แพทย์ประจำกองทัพ คำนับโจโฉก่อนเดินจากไป
“พอรู้ว่าซูเฉาปลอดภัยก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่เลยนะคะ” ขุนพลสาวร่างสูง ผมสีดำสนิทยาวลงมาถึงกลางหลัง ดวงตาคมสวยนัยน์ตาสีอเมทิตส์ ที่ตาขวาที่ไร้ลูกตาคาดปิดไว้ด้วยที่ปิดตาสีดำ ใบหน้าขาวผ่องงดงามราวภาพวาด ร่างบางได้รูปราวหุ่นนางแบบอยู่ในชุดเกราะเบาแบบขุนพล ผู้ยืนอยู่ข้างๆ บัลลังก์เอ่ยยิ้มๆ
“คิดอย่างงั้นหรือ แฮหัวตุ้น” โจโฉเอ่ยด้วนสีหน้า และ น้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย
“หึๆ ดูสิ แอบยิ้มใหญ่เลย” แฮหัวตุ้นว่าขึ้นขณะหัวเราะนิดๆ
“ช่างข้าเถอะน่า...” โจโฉหันใบหน้าอันเย็นชา (ตายด้าน) หลบสายตาแฮหัวตุ้น
“แห~ม เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องอายหรอกค่ะ” แฮหัวตุ้นเอ่ยขณะกลั้นเสียงหัวเราะของตนไม่ให้ดังออกมา
‘ท่านแฮหัวตุ้นดูออกได้ไงหว่า?’ เหล่าขุนพล และ คณะปราชญ์ทั้งหลายประสานเสียงกันในความคิด (เหอะๆ นั่นดิ ก็เห็นทำหน้าโทนเดียวตลอดเลยนี่)
“ท่านโจโฉขอรับ ตอนนี้พวกเราพร้อมออกรบแล้ว ทั้งเสบียง ยุทโธปกรณ์ และ กำลังพล ทุกอย่างเรียบร้อยเสร็จสรรพรอเพียงคำสั่งเคลื่อนพลของท่านเพียงอย่างเดียว” หนึ่งในปราชญ์ที่ปรึกษาเอ่ยขึ้น “เราจะเอายังต่อขอรับ”
“ตอนนี้ทางด้านกำลังพลเราได้เปรียบเล่าปี่อยู่มาก หากปะทะกันจริงๆ เราคงได้ชัยชนะมาอย่างง่ายดาย... แต่ขงเบ้งคงไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแน่...”
“แล้วท่านว่าพวกมันจะทำอย่างไรขอรับ?”
อืม... โจโฉเอามือจับคางทำท่าครุ่นคิด “ตามที่ข้าคิด ขงเบ้งต้องเสนอให้เล่าปี่ หาพันธมิตรเพื่อเสริมกำลังพลเข้ามาสู้กับพวกเราอย่างแน่นอน มีใครพอจะรู้ไหมว่า ผู้ที่พอจะมีกำลังมาช่วยเล่าปี่สู้กับข้าในตอนนี้คือผู้ใด?”
“ในตอนนี้ ผู้ที่ตรงตามที่ท่านกล่าวก็คงจะมีแต่ซุนกวนแห่งกังตั๋งเท่านั้นขอรับ”
“ซุนกวน...? อ๋อ! บุตรของซุนเกี๋ยนพยัคฆ์ร้ายแห่งกังตั๋ง และ น้องชายของซุนเซ็ก อ๋องน้อยผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง” โจโฉเอ่ย “เจ้าเด็กนั่นเป็นใหญ่เป็นโตถึงขนาดนี้แล้วหรือ”
“ขอรับ แม้กำลังพลของซุนกวนอาจยังเทียบไม่ได้กับเรา แต่ด้วยความเชี่ยวชาญในสมรภูมิของตน และ กำลังรบทางเรือที่แข็งแกร่ง อาจสร้างความปัญหาให้เราได้มากเลยที่เดียว” ปราชญ์คนเดิมกล่าว “หากขงเบ้งไปเจรจาให้ซุนกวนมารบกับเราได้ล่ะก็ ทางเราต้องลำบากแน่ๆ ขอรับ”
“อืม...” โจโฉเอนหลังพิงบัลลังก์ ก่อนเอามือเท้าค้างขณะหลับตาลงใช้ความคิด “ถ้าซุนกวนร่วมมือกับเล่าปี่ ไม่เป็นผลดีกับเรา งั้นเราก็แยกซุนกวนจากเล่าปี่ซะสิ...”
“หือ~?” ทั้งห้องอุทานเป็นเสียงเดียวกัน
“ข้าจะเขียนจดหมายไปหาซุนกวนบอกให้เขายอมจำนนโดยการจับเล่าปี่แล้วส่งตัวมาให้ข้า หากซุนกวนตกลงเจ้าเด็กนั่นก็ต้องนำกำลังรบกับเล่าปี่ให้แตกหักไปข้างหนึ่ง ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ พวกเราก็จะนำกำลังเข้าตีซ้ำอีกที ทีนี้เราก็จะได้ทั้งตัวเล่าปี่ และ เมืองกังตั๋งมาเป็นของเรา” โจโฉกล่าวขณะลืมตาขึ้น
“แล้วถ้าซุนกวนปฏิเสธล่ะขอรับ?” หนึ่งในปราชญ์เอ่ยถาม
“หึ… มันไม่กล้าหรอก... แต่ถ้ามันปฏิเสธ เราก็นำทัพของเราเข้าขยี้ทั้ง 2 ทัพให้แหลกไปเลย ยังไงซะทัพเล็กๆ แค่ 2 ทัพจะมาเทียบอะไรกับมหากองทัพของเราได้ ข้าเชื่อมั่นในฝีมือ และ ความสามารถ ของปราชญ์ และ ขุนพลทุกคนของข้า ไม่ว่าศัตรูเบื้องหน้าจะเก่งกาจสักเพียงไหน มันก็ต้องพ่ายให้แก่พวกเรา” โจโฉเอ่ยปลุกระดมด้วยน้ำเสียงเย็นชา และใบหน้าเรียบเฉย (ตายด้าน) เช่นเคย แต่ความรู้สึกที่สื่ออกจากจากคำพูดนั้นกลับทำให้เหล่าชุนพล และ คณะปราชญ์ของเขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาในทันที
“เอาล่ะ ข้าจะลงมือเขียนจดหมายไปให้ซุนกวนเดี๋ยวนี้แหละ พอเสร็จแล้วเราจะกรีธาทัพลงใต้กัน” โจโฉลุกขึ้นจากบัลลังก์ก่อนชูเมือขึ้นสุดแขนแล้วตะโกนออกไปว่า “สู่ชัยชนะ!”
“สู่ชัยชนะ...!!!” ทุกคนในห้องชูมือขึ้นสุดแขนก่อนตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน
ณ ห้องพัก ห้องหนึ่ง ในเรือสู่เมืองกังแฮ
“รู้สึกว่าน้ำจะเย็นไปหน่อยนะฮะ” เอจิเซนว่าขณะเดินเช็ดหัวผันผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ (ดะ. เดี๋ยวนะ!? เรือสมัยก่อนมีห้องน้ำด้วยเหรอ!?)
“อยู่บนเรือสมัยเก่า มีน้ำให้อาบ มีห้องน้ำให้พร้อมสรรพอย่างนี้แล้ว อย่าบ่นเลย” เทะสึกะในชุดลำลองชาวจีนผู้นอนอ่านตำราพิชัยสงครามที่เพิ่งได้มา อยู่บนเตียงเอ่ยขึ้น
“ก็จริงนะฮะ... ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะออกแบบห้องน้ำส่วนตัวไว้ในเรือแบบนี้ด้วย หยั่งกะเรือสำราญงั้นแหละ เสียแต่ว่าระบบน้ำเป็นแบบใช้ขันตักแค่นั้น” เอจิเซนกล่าวขณะหยิบชุดลำลองชาวจีนที่ทหารเตรียมไว้ให้ขึ้นมาสวมหลังเช็ดตัวแห้งแล้ว
“แค่นี้ก็เหลือเชื่อแล้ว...” เทะสึกะบอก (ว่างั้นแหละ...)
หลังจากแยกย้ายกันพักผ่อนตามห้องของตนที่ขงเบ้งให้ทหารจัดให้ พอตกเย็นเหล่าเซงาคุก็ได้มาทานมื้อเย็นกับ เล่าปี่ ขงเบ้ง เล่ากี๋ และ เหล่าขุนพล หลังการสนทนาในช่วงอาหารเย็นเล็กน้อย ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน ภายใต้บรรยากาศสงบสุขบนเรือที่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร... อันที่จริงก็มีอยู่ เผอิญ 2 หนุ่มปี 2 คู่กัดดันถูกจัดให้อยู่ห้องเดียวกัน จึงทะเลาะกันยกใหญ่จนคนรอบๆ ไม่เป็นอันพัก จึงถูกเทะสึกะสั่งวิ่งรอบดาดฟ้าเรือ 20 รอบ ก่อนให้โฮริโอะที่อยู่กับคาวามูระ เปลี่ยนห้องกับโมโมะแทน (ขวัญเอ๋ยขวัญมา โฮริโอะ เจอไคโดเข้าไปจะหลับลงได้มั๊ยน๋อ)
“นี่รุ่นพี่...” เอจิเซนที่เดินมานอนบนเตียงอีกหลังข้างๆ เตียงเทะสึกะ หลังแขวนผ้าเช็ดตัวไว้บนราวตรงมุมห้องเอ่ยเรียกผู้เป็นกัปตัน “ต่อจากนี้จะเป็นไงต่อเหรอฮะ?”
“ถ้าเป็นไปตามหนังสือ พวกเราทุกคนก็จะไปประจำอยู่ที่เมืองกังแฮ หลังจากนั้นก็จะมีทูตจากกังตั๋งมาเชิญขงเบ้งไปเจรจาเป็นพันธมิตรกับซุนกวน” เทะสึกะตอบเรียบๆ
“ไม่ใช่อย่างนั่นฮะ ผมหมายถึง พวกเราเซงาคุ 14 คนเนี่ย จะเป็นยังไงต่อไป...” เอจิเซนทวนคำถาม ขณะมองตรงมายังเทะสึกะที่อยู่ใกล้ๆ กัน
“...” ไร้คำตอบจากกัปตันแห่งเซงาคุผู้ซ่อนแววตาเป็นกังวลไว้ใต้เงาสะท้อนของแว่นตา เทะสึกะนอนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนหันมาตอบเอจิเซน “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...”
“…” เอจิเซนกับเทะสึกะจ้องหน้ากันอยู่เงียบๆ พักหนึ่ง ก่อนเอจิเซนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว ก่อนหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทรา พร้อมเอ่บปิดบทสนทนา “ราตรีสวัสดิ์ฮะ...”
“ราตรีสวัสดิ์...” เทะสึกะถอดแว่นออกวางไว้ที่โต๊ะตรงหัวนอนพร้อมกับหนังสือ ก่อนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว แล้วจึงดับเทียนนอน
คืนนั้น
“...” เอจิเซนซึ่งลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่า ตัวเองลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศภายใต้บรรยากาศเงียบงัน รอบตัวไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืด หรืออาจเป็นเพราะนอนอยู่บนเรือที่โคลงเคลงจึงรู้สึกเหมือนลอยอยู่ แต่เมื่อสังเกตดูอีกครั้งก็ต้องประหลาดใจ เมื่อตาของเขาสามารถเห็นร่างกายของเขาได้ทุกส่วนราวกับตัวเขาเรืองแสงได้ ทั้งๆ ที่รอบกายมีเพียงสีดำสนิทไร้ซึ่งแสงใดๆ ‘นี่มันอะไรเนี่ย...?’
หมับ!
“ห๊ะ!” เหมือนมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสที่บ่าเข้าทางด้านหลัง เจ้าตัวจึงรีบหันหลังกลับไปดูทันที “ระ. รุ่นพี่...”
“เอจิเซน” คนที่แตะไหล่เข้าไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในเซงาคุ เทะสึกะนั่นเอง เช่นเดียวกันกับเอจิเซน เขาสามารถมองเห็นร่างกายของเขาได้ทุกส่วนราวกับตัวเขาเรืองแสงได้ นอกจากนั้น ตัวเขายังเห็นเอจิเซนที่อยู่ข้างหน้าเขาได้อย่างชัดเจน ราวกับตัวรุ่นน้องของเขาส่องแสงอยู่ท่ามกลางบรรยากาศความมืดมิดรอบๆ
“เกิดอะไรขึ้นฮะรุ่นพี่ ที่นี่ที่ไหน?” เอจิเซนเอ่ยถามคำถามสุดคลาสสิกเมื่อตัวเองตื่นมาพบว่าตนอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นเคย ขณะสำรวจดูรอบกายที่มีแต่ความมืด
“ฉันก็ไม่รู้...” เทะสึกะตอบ “ตอนแรกฉันได้ยินเสียงประหลาดอะไรบางอย่างเลยตื่นขึ้นมา แต่พอลืมตาก็เห็นสภาพทุอย่างเป็นแบบนี้ ในขณะยังไม่ทันได้คิดอะไร จู่ๆ นายก็ปรากฏตัวออกมาอยู่ข้างหน้าฉัน หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น”
“แล้ว... เราจะเอายังไงต่อฮะ?” เอจิเซนถาม
“...” ทั้ง 2 มองหน้ากันอย่างไร้คำตอบ ผู้เป็นกัปตัน และ ลูกทีมตัวหลัก ต่างๆ ระดมสะมองคิดหาทางว่าต่อจากนี้จะเจออะไร แต่ก็ไม่เป็นผล อันเนื่องมาจาก ทั้งคู่ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขามาเจอสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร
วิ้ง...!
“หืม~!” ทั้ง 2 หันไปมองเป็นตาเดียวกันเมื่อได้เห็นแสงเล็กๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาไม่ไกลนัก
วิ้ง...! วิ้ง..! วิ้ง.! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!
แสงเล็กๆ นั่นเริ่มกระพริบอย่างช้าๆ ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนสายตามนุษย์อย่างพวกเขามองตามไม่ทัน และแล้ว!
แว๊~บ...!!! พรึบ!!!
“...” ทั้ง 2 หนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยืนเงียบกริมด้วยความตื่นตะลึง เมื่อสิ่งอัศจรรย์ที่ไม่น่าจะมีมนุษย์คนใดเคยได้เห็นมาก่อน ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา
มังกร ร่างยักษ์ หรือ จะพูดให้ถูกคือ อภิมหาอังลัการ ณ ที่สุดแห่งความใหญ่ (หรือเรียกสั้นๆ ว่า โ-ค-ร-ต ใหญ่) ผู้มีลำตัวยาวสุดลูกหูลูกตาจนไม่อาจเห็นปลายหางของมัน ผิวหนังของมันประดับด้วยเกร็ดมังกรนับล้านที่ส่องแสงเป็นประกายราวมรกต สะท้อนแสงตะวัน ท้องของมันเป็นผิวหนังหนาสีทองอร่ามราวฉาบด้วยทองคำบริสุทธิ์ ตาคมกริบดวงโตที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของเทะสึกะ และ เอจิเซนรวมกันเท่าตัวเรืองแสงสีขาวสว่างไสว ขนสีแดงราวเปลวเพลิงที่ยาวตั้งแต่หัวจรตปลายหางพลิ้วไสวไปกับสายลมที่ปรากฏ ขึ้นมาพร้อมกับมัน ในมือของมัน (เอ... หรือจะเรียกว่าขาหน้าดีหว่า?) มีลูกแก้วประหลาด 2 ลูกอยู่ลูกละข้าง ข้างซ้ายเป็นลูกแก้วที่ล้อมรอบด้วยสายลมคล้ายพายุหมุนที่หมุนวนราวกับโคจร อยู่รอบลูกแก้วนั่น ส่วนข้างขวาเป็นลูกแก้วที่ล้อมรอบด้วยสายฟ้า และ กระแสไฟฟ้าที่ไหลวนราวกับโคจรรอบลูกแก้วนั่นเช่นเดียวกับลูกแก้วในมือข้าง ซ้าย (หรือขาหน้าข้างซ้าย?)
“ระ. ระ. รุ่นพี่... ตัวอะไรฮะ...?” เอจิเซนถามเสียงสั่นขณะที่ดวงตาคมกริบของตนยังเบิกกว้างจ้องมองภาพเบื้องหน้าดวยความตกตะลึง
“มังกร...” เทะสึกะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ รักษามาดกัปตันผู้เงียบขรึมไว้ ทั้งๆ ที่ตนเองก็ตกตะลึงไม่แพ้รุ่นน้องข้างๆ ตน
“รู้แล้วฮะว่ามังกร” เอจิเซนเอ่ยประชด
“รู้แล้วจะถามทำไมล่ะ” เทะสึกะสวนกลับเรียบๆ
“...” เอจิเซนชงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตีคิ้วงง “เออ... นั่นดิ...”
(โห~… สถานกาณ์แบบนี้ยังพูดเป็นเล่นกันได้เนา~ะ...)
ครื่น...!!!
ทั้ง 2 หันกลับไปสนใจมังกรข้างหน้าตนอีกครั้ง เมื่อมันขยับตัวก้มหน้าลง ก่อนยื่นหน้ามาใกล้ๆ พวกเขาที่เป็นเหมือนขี้เล็บ (ขี้เล็บ?) ชิ้นเล็กๆ เบื้องล่างของมัน
มังกรจ้องมองพวกเขาด้วยตาสีขาวเรืองแสงของมันอยู่พักหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยมนสะกด ขณะรอดูสิ่งไม่คาดคิดที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขาซึ่งตัวพวกเขาต่างรู้ดีว่า คงะเกิดขึ้น... อีกไม่นาน... ทันใดนั้น
“2 เด็กหนุ่มผู้กล้า ผู้รวบรวมดราก้อนบอลได้ครบทั้ง 7 ลูก จงเอ่ยความต้องการของเจ้ามา ข้าจะบันดาลให้คำขอของเจ้าเป็นจริง”
“หะ... ห~า...?” เทะสึกะ และ เอจิเซนตีน่างงทันที
“ฮะๆๆ ข้าอำเล่นเฉยๆ... อะแฮ่ม! มาเข้าเรื่องกันดีกว่า... ว่าไง 2 ผู้กล้าแห่งเซงาคุ” มังกรอ้าปากหัวเราะชอบใจเล็กน้อยก่อนหันกลับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจที่ดังก้องกังวารไปทั่วทั้งบริเวณ
“เอ๋~...? เสียงนี่มัน...” เอจิเซนเริ่มเอ๊ะใจที่กับเสียงของมังกรที่เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ขณะรวบรวมความคิดนึกย้อนความ
‘เจ้าจงรับหน้าที่อันทรงเกียรติ์นี้จากข้า 2 ผู้กล้าแห่งเซงาคุ’
“จำได้แล้ว นายคือเสียงเมื่อตอนนั้นนั่นเอง!” เอจิเซนยกมือขึ้นชี้หน้ามังกร
“เฮ้ยๆ เรียกใครนายเจ้าหนู ลามปามซะแล้ว เดียวข้าก็งับเข้าให้ซะหรอก” มังกรเอ่ยขู่แกมประชดเล็กน้อย (เรียวมะตัวขนาดเท่าขี้เล็บมัน ถ้าโดนงับจริงๆ ไม่เละเป็นผงเลยเรอะ?)
“เออ... ไม่ทราบว่า คุณเป็นใคร (หรือตัวอะไร) ครับ?” เทะสึกะเอ่ยถาม
“ข้าเป็นใคร (หรือตัวอะไร) พวกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก... แต่สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้พวกเจ้าจงฟังให้ดี” มังกรเปลี่ยนน้ำเสียงที่เคยเป็นมิตรเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังแสดงให้เห็นความซีเรียสของมัน “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังสับสนว่าพวกเจ้าจะต้องทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะเจ้า เทะสึกะ คุนิมิทสึ ในฐานะกัปตันผู้นำของลูกทีมทั้ง 14 ชีวิต (รวมตัวของเจ้าด้วย) ข้าสัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่ม และ ความกังวลใจของเจ้า... เพราะฉะนั้น ข้าจะบอกให้ว่าพวกเจ้าจะต้องทำอะไรต่อไป... หากพวกเจ้าต้องการจะกลับไปยังยุคของพวกเจ้า จงเข้าร่วมต่อสู้พร้อมกับขงเบ้งในศึกที่จะถึงนี้ซะ เจ้ารู้ว่าคือศึกอะไร เทะสึกะ...”
“ศึกที่จะนี้...?” เอจิเซนหันมามองหน้าเทะสึกะ
“ศึกผาแดง...” เทะสึกะตอบอย่างรู้อยู่แก่ใจ
“ใช่แล้ว... หากพวกเจ้าภายใต้การนำของขงเบ้ง นำทัพพันธมิตรเอาชนะ โจโฉได้ พวกเจ้าจะได้กลับไปยังโลกของพวกเจ้า... แต่ถ้าไม่ พวกเจ้าก็จะติดอยู่ในโลกยุคนี้ ภายใต้ประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนไป เตรียมใจไว้ให้ดี... ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้... เอาล่ะ หมดเวลาของข้าแล้ว... ไว้พบกันใหม่ 2 ผู้กล้าแห่งเซงาคุ... ขอให้โชคดี...” ว่าจบแสงสว่างที่ทั้ง 2 เห็นเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกลืนเอามังกรร่างอภิมหายักษ์หายไป รวมทั้งตัวพวกเขาด้วย
พรึบ!
“เดี๋ยว~!” เทะสึกะกับเอจิเซนสะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝัน ก่อนยกตัวขึ้นนั่งขณะมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น และ ได้ยินเมื่อครู่
“รุ่นพี่...? เมื่อกี้... ฝันเหรอฮะ...?” เอจิเซนเอ่ยถาม ใบหน้าซีดเผือก เปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ลมหายใจถี่รั่วราวกับเพิ่งถูกฉุดออกมาจากทะเลหลังจมน้ำ
“น่าจะใช่... แต่ฉันว่า... มันไม่ใช่แค่ฝันธรรมดาๆ... แน่ๆ...” เทะสึกะที่อยู่ในอาการเดียวกันกับเอจิเซนเอ่ยตอบรุ่นน้อง
“ถูกแล้ว... นั่นเขาเรียกว่านิมิต...”
“ห๊ะ!?” เทะสึกะ และ เอจิเซนหันไปมองยังเสียงหวานใสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงปลายเตียงของพวกเขาด้วยความตกใจ “ขงเบ้ง!?”
“ขอต้อนรับกลับสู่โลกแห่งความจริง” ขงเบ้งส่งยิ้มสดใสมาให้พวกเขาทั้ง 2 ใบหน้าของเธอซีดเผือกไม่ต่างจากพวกเขา เพียงแต่เม็ดเหงื่อที่น่าจะผุดขึ้นอยู่เต็มใบหน้าถูกเช็ดให้หายไปหมดแล้ว ดูเหมือนว่าเธอก็เพิ่งจะเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับพวกเขาไปเมื่อไม่นานเช่นกัน
“นิมิต...? มันคืออะไร?” เทะสึกะเอ่ยถาม
“มันคืนฝันที่บอกเรื่องราวต่างๆ ในที่นี้คือ นิมิตจากสวรรค์” ขงเบ้งตอบ “ในที่ๆ พวกเธอจากมาคงไม่เคยเจออะไรแบบนี้สินะ 2 ผู้กล้าแห่งเซงาคุ นักรบจากต่างยุค”
“!” เทะสึกะ และ เอจิเซนเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่า ขงเบ้งทราบถึงตัวตนของพวกตน
“ไม่ต้องตกใจไป... มังกรที่พวกเธอเห็นไปเมื่อตะกี้ก็คือ เทพแห่งสายลม หนึ่งใน 4 เทพผู้ควบคุมธาตุทั้ง 4... ฉันเพิ่งพบกับท่านก่อนพวกเธอไม่นาน... ท่านบอกข้าแล้ว” ขงเบ้งกล่าว “จริงๆ มันก็สังเกตไม่ยากหรอกนะ ดูจากเครื่องแต่ตัวของพวกเธอ ก็รู้แล้วว่าเธอไม่ใช่คนของยุคนี้อย่างแน่นอน” (ทำไมทั้งจูล่ง เตียวหุย เล่าปี่ โจโฉ ซูเฉา และ อีกหลายๆ คน ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรซักคน)
“...” 2 หนุ่ม ผู้ได้รับเลือกเป็นผู้กล้าแห่งเซงาคุถึงกับพูดไม่ออก
“ไม่ต้องเกร็ง... เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกนานเลยคืนนี้...” ขงเบ้งบอก “เอาล่ะ เริ่มจากช่วยเราเรื่องของพวกเธอมาให้ฉันฟังหน่อยซิ คราวไม่ต้องโกหกซะเป็นนิยายอีกนะ”
“อืม...”
เมืองกังตั๋ง
“เฮ้อ~…” ชายผมสีน้ำตาลแดงยุ่งๆ ดูรกรุงรัง เช่นเดียวกับหนวดเคราบนหน้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะลดเปลือกตาลงนัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผมของเขา ก่อนยกมือขึ้นนวดขมับตนเองพลางเอนหลังพิงบัลลังก์เจ้าเมือง หลังเสร็จสิ้นการประชุมเรื่องการเคลื่อนทัพมาของโจโฉ
“จู่ๆ ต้องเจอศึกใหญ่ที่ไม่คาดคิดมาก่อน แถมยังต้องอยู่ในวงล้อมของเหล่าขุนพล และ คณะที่ปรึกษาที่มีความเห็นขัดแย้งกัน ข้าเห็นใจท่านจริงๆ ท่านซุนกวน” ชายในชุดนักปราชญ์ที่ปรึกษาข้างๆ ชายผมน้ำตาลแดงกล่าว
“เฮ้อ~…” ชายผมยุ่ง หรือ ซุนกวนแห่งกังตั๋ง เจ้าเหนือหัวแห่งแผ่นดินแดนใต้ ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนลืมตาขึ้น “ข้าชักเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ กับ พ่อข้าหลงใหลอะไรในการทำศึกนักหนา การออกไประบายอารมณ์นำทัพห้ำหั่นกับศัตรูมันยังดีกว่ามานั่งอยู่กลางมรสุมอย่างนี้ตั้งเยอะ...”
“ว่าแต่ ท่านทำอย่างไรต่อล่ะขอรับ?” ที่ปรึกษาคนเดิมเอ่ยถาม
“เฮ้อ... ท่านว่าข้าควรทำอย่างไรล่ะโลซก บอกข้าทีซิ” ซุนถามที่ปรึกษาคนสนิท “อันตัวข้านั้นก็อยากออกไปรบเพื่อเกียรติยศ และ ศักดิ์ศรี เหมือนท่านพ่อ และ ท่านพี่ ตามที่เหล่าขุนพลทั้งหลายบอก ถึงกระนั่น แม้ข้าจะไม่อยากยอมจำนนต่อเจ้าโจรกังฉินนั่นตามที่ท่านเตียวหอมว่า แต่ถ้าทำอย่างนั้น เหล่าราษฎรก็จะเดือดร้อน มิหนำซ้ำตามที่ได้ยินมา ทัพของโจโฉมีกำลังพลมากกว่าเราหลายเท่า เมื่อเทียบแล้วไม่ต่างกับ พญาช้างสาร กับ มดตัวจ้อย โอกาสชนะมีน้อยเหลือเกิน...”
“ข้าว่าท่านควรจะรบ...” โลซกเอยออกมาอย่างไม่ลังเล
“...” ซุนกวนหันไปมองโลซก “ทำไมท่านว่าอย่างงั้น?”
“เหตุพลมี 3 ประการ ประการแรก แม้ท่านเตียวเจียวจะบอกว่าให้ยอมแพ้เพื่อไม่ให้ราษฎรเดือดร้อน ดูเหมือนเป็นคำแนะนำเพื่อส่วนรวมก็จริงอยู่ แต่นั่นก็เป็นการทำประโยชน์ให้ตนเองเช่นกัน หากยอมท่านจำนนแก่โจโฉ พวกเตียวเจียวก็จะได้ความดีความชอบในการเกลี้ยกล่อมท่าน และ ยังคงรักษาตำแหน่งของตนไว้ได้ ในขณะที่ตัวท่านที่ถึงแม้จะยังคงรักษาตำแหน่งเจ้าเมืองไว้ได้ แต่ก็ต้องกลายไปเป็นผู้อยู่ใต้โจโฉโจรกบฏราชบัลลังก์ ซึ่งตัวท่านซึ่งเป็นลูกหลานตระกูลซุน คงไม่ยอมอยู่แล้ว”
“อืม...” ซุนกวนเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ประการที่ 2 โจโฉเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไว้ใจไม่ได้ แม้จะยอมจำนนต่อเขาแล้วก็ไม่อาจไว้ใจได้ ไม่แน่ว่าเราอาจโดนตลบหลังเอาได้”
“ประการสุดท้ายล่ะ...?” ซุนกวนพยักหน้าขณะต้องหน้าตั้งตาฟัง
“ประการสุดท้าย ตามจดหมายของโจโฉ อ้างราชองค์การสั่งให้ท่านจับพระเจ้าอาของเล่าปี่ไปเป็นการยืนยันการยอมจำนน แทนที่เราจะออกรบกับท่านเล่าปี่ผู้เป็นถึงอาของฮ่องเต้ตามคำสั่งของไอ้โจรกังฉิน เราก็เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านเล่าปี่ แล้วร่วมกันต่อต้านโจโฉไม่ดีกว่าหรือ?”
“ร่วมกับท่านเล่าปี่งั้นหรือ?” ซุนแซกเอ่ยทวนคำที่ได้ยิน
“ใช่แล้วขอรับ” โลซกตอบรับ
“กองทัพของเขาเพิ่งพ่ายโจโฉมาไม่ใช่หรือ จะช่วยเราได้งั้นเหรอ? มันดูเหมือนเราเป็นคนที่ต้องช่วยเหลือพวกเข้ามากกว่า... แล้วอีกอย่าง ข้าไม่เคยรู้จักท่านเล่าปี่มาก่อนเลย แล้วจะมีสัมพันธไมตรีอะไรให้เขายอมมาเข้าร่วมกับเรา?” ซุนกวนถาม
“ท่านเล่าปี่เคยร่วมรบกับพ่อ และ พี่ชาบท่าน แม้จะไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่พวกท่านทั้ง 2 ต่างก็น่าจะรู้จักซึ่งกันและกันตามกิติศัพท์คำล่ำลือเป็นอย่างดี และสถานการณ์แบบนี้ หากเรายื่นข้อเสนอนี้ไปให้ มีหรือที่พวกเขาจะไม่ตอบรับ" โลซกกล่าวอย่างหนักแน่น "ใช่... มันเป็นการช่วยเหลือพวกเขาหลังพ่ายศึกมา แต่ในทางกลับกัน การมีท่านเล่าปี่มาร่วมทัพด้วยก็เป็นการช่วยเหลือตัวพวกเราเองด้วย ช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั่นคือหน้าที่ของพันธมิตร ข้ามั่นใจว่าท่านเล่าปี่ต้องยอมรับ และ ยินดีเข้าร่วมกับเราแน่ๆ”
“อืม...” ซุนกวนเอามือลูบคางขณะประมวลความคิดด้วยความโลเล โดยไม่รู้ตัวว่าที่ปรึกษาคนสนิทนั่นได้สังเกตเห็นความโลเลนั้นจากแววตาเป็นกังวลของผู้เป็นนาย
“เอาอย่างงี้” โลซกเอ่ยขึ้นเรียกให้ซุนกวนหลุดออกจากห้วงความคิด “ท่านเล่าปี่มีที่ปรึกษาท่านหนึ่งซึ่งเป็นกุนซือประจำทัพ นามว่า ขงเบ้ง ข้าว่าท่านน่าจะรู้จักนะ”
“อาจารย์ฮกหลงปราชญ์มังกรหลับงั้นเหรอ!?” ซุนกวนเอ่ยขึ้นขณะเบิกตากว้าง
“หากท่านต้องการ ข้าขออาสาเป็นทูตเจรจาขอตัวท่านขงเบ้งมายังกังตั๋งเพื่อหารือเรื่องการร่วมทัพเป็นพันธมิตร และ ให้คำปรึกษาในการออกศึก ท่านว่ายังไง”
“ดีเลย! ข้าจะสั่งให้คนเตรียมตัวให้ท่าน ท่านจะออกเดินทางเมื่อไหร่บอกได้เลย”
“เดี๋ยวนี้เลยขอรับ…”
เมืองกังแฮ
“...” สาวจอมปราชญ์ผู้ยืนมองพื้นน้ำสงบนิ่งอยู่บนเนินเข้าใกล้ๆ ท่าเรือที่พวกเขาเพิ่งนำเรือเข้าเทียบท่าเมื่อวาน ขงเบ้งยืนโบกพัดในมือไปมาอย่างช้าๆ ขณะคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว
“หนักใจเรื่องพวกเราขนาดนั้นเลยเหรอ?” เทะสึกะที่เดินเข้ามาหาเด็กสาวจากข้างหลังเอ่ย
“ตื่นเร็วจังนะ” ขงเบ้งว่า
“ปกติฉันตื่นมาออกกำลังกายทุกเช้าอยู่แล้ว...” เทะสึกะตอบ
“งั้นเหรอ” ขงเบ้งเอ่ยรับขณะขึกย้อนความถึงเรื่องที่ได้คุยกันบนเรือ
ย้อนความ
“สรุปว่าพวกเธอเป็นนักกีฬาที่เรียกว่าเทนนิส ซึ่งกำลังฝึกฝนตัวเองไปแข่งทั่วแผ่นดินของเธองั้นสินะ...” ขงเบ้งสรุป
“อืม...” เทสึกะ และ เอจิเซนตอบรับ
“ท่านเทพแห่งสายลมเล่นตลกอะไรกับข้าเนี่ย...” ขงเบ้งเอ่ยปลง
“รู้อย่างงี้แล้วยังจะให้พวกเราร่วมก็ทัพอยู่มั๊ยฮะ” เอจิเซนถาม
“อืม... แต่แม้จะไม่ใช่นักรบจริง แต่พวกเธอกลับมีฝีมือเทียบได้กับระดับขุนพลเลยทีเดียว... จากที่ฟังพวกเธอเล่ามา พวกเธอคงฝึกตัวเองมาเป็นอย่างดีแน่นอน ทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว ประสาทการรับรู้ และ การคิดวางแผน เทนนิสนี่น่าจะเป็นกีฬาที่โหดไม่น้อยเลยสินะ...” ขงเบ้งคิด
“ประมาณนั้น...” เทะสึกะว่า “แล้วตกลงว่า เธอจะเอายังไงกับพวกเรา?”
“ท่านเทพแห่งสายลมบอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว ถ้าอยากกลับยุคของเธอ พวกเธอต้องเข้าร่วมรบภายใต้การบัญชาการของฉัน พูดง่ายๆ คือ พวกเธอไม่มีทางเลือกอื่น...” ขงเบ้งหยุดลงดูปฏิกิริยาของ 2 หนุ่มครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ “ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้ว... พวกเธอจะยอมออกรบภายใต้บัญชาของฉันหรือไม่?”
“ไม่มีทางเลือกไม่ใช่เหรอ” เทะสึกะว่า “เป็นเกียรติ์ที่ได้อยู่ใต้บัญชาท่านขงเบ้ง”
“หึ... ฉันสัญญา ฉันจะทำให้เธอได้กลับยุคของพวกเธออย่างปลอดภัยแน่นอน” ขงเบ้งปฏิญาณ และแล้วทั้ง 3 ก็ยิ้มให้ซึ่งกันและกัน
กลับสู่ปัจจุบัน
“นี่คุนิมิทสึ...”
“หืม~?” เทะสึกะหันไปหาขงเบ้งเอ่ยเรียกเขา
“ตอนนี้เธอรู้สึกยังไง...?”
“ห~า?” เทะสึกะทำหน้างงไปกับคำถามที่ถูกเด็กสาวเบื้องหน้าจู่ๆ ถามขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
“ขอโทษที่ถามอะไรแปลกๆ นะ” ขงเบ้งขณะเดินตรงเข้ามาหาเทะสึกะจนตัวเกือบติดกัน ก่อนเงยหน้าสบตาคนตัวสูงกว่า “จู่ๆ ก็มีลมหมุนประหลาดพาเธอเดินทางข้ามกาลเวลามาพบกับปัญหา และ เหตุการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดในยุคนี้... ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอรู้สึกยังไง ที่จู่ๆ ชีวิตธรรมดาๆ ที่เคยรู้จัก ต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วพริบตาอย่างที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน...?”
“อืม...” เทะสึกะนิ่งไปครู่หนึ่งขณะสมองประมวลข้อมูลคำถามของขงเบ้ง
“ตอบฉันมาตรงๆ เลย... ห้ามโกหกด้วย...” ขงเบ้งกล่าว
“กลัว...” เทะสึกะที่ยืนนิ่งคิดคำตอบอยู่อย่างเงียบๆ เอ่ยปากตอบ
“กลัว...?” ขงเบ้งทวนคำตอบ
“ใช่... กลัว... คนอื่นๆ คิดยังไงฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ฉันบอกได้เลยว่าฉันกำลังกลัว... พวกเรามาจากยุคที่สงบ... ถ้าเปรียบกับยุคนี้... ฉันไม่เคยเห็นสงคราม ฉันไม่เคยเห็นคนหนีตาย ฉันไม่เคยเห็นคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา ฉันไม่เคย... ลงมือฆ่าใคร...” เทะสึกะยกมือขวาขึ้นมามองดูด้วยแววตาค่อนข้างเศร้า และ หวาดกลัว “ถึงแม้ร่างกายจะสามารถตอบสนองกับอาวุธได้เป็นอย่างดีราวกับจับแร็กเก็ต แต่ทุกครั้งที่ฟาดอาวุธนั้นลงไปกลับรู้สึกถึงความกลัวที่ไม่เคยกลัวมาก่อน อาจเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ข้างหน้าไม่ใช่ลูกเทนนิสที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช่คู่กัน แต่เป็นคน... เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ ที่ต้องสิ้นใจเมื่ออาวุธที่ให้ความรู้สึกเหมือนแร็กเก็ตในมือฟาดฟันลงไป...”
“...” ขงเบ้งยังคงยืนนิ่งฟังเทะสึกะระบายความรู้สึกของเขาอย่างตั้งใจ ขณะมองมือเทะสึกะที่เริ่มสั่นเมื่อนึกถึงความรู้สึกในตอนที่ตนจับดาบปลิดชีพทหารวุย
“แม้จะคิดว่าเป็นการป้องกันตัว หากเราไม่ฆ่าเขาเราก็จะถูกฆ่า แต่ความรู้สึกทรมานด้วยความกลัวนี้ก็ไม่หยุดตามหลอกหลอน...” เทะสึกะก้มหน้าลงสบตาขงเบ้งที่กำลังมองมายังเขาด้วยสายตาเป็นห่วง
“คุนิมิทสึ...” ขงเบ้งเอ่ยชื่อเขาขึ้นเบาๆ
“...” เทะสึกะเอามือลงก่อนหันหน้าหลบตาเด็กสาววัยเดียวกันที่อยู่ตรงหน้าเขา “ไม่ต้องกังวลไปหรอก... ถึงแม้ฉันจะกลัว... แต่ความกลัวนั้นเอาชนะความรับผิดชอบที่มีต่อลูกทีมฉันไม่ได้หรอก...”
“หื~อ?” ขงเบ้งเอียงคอมองชายหนุ่มเบื้องหน้า “ความรับผิดชอบ...?”
“ใช่...” เทะสึกะพยักหน้าก่อนหันกลับมาสบตาขงเบ้งอีกครั้งด้วยแววตาแห่งความแน่วแน่ ผิดกลับแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ราวกับแววตานี้ไม่ได้มาจากตาคู่เดียวกัน “ฉันเป็นกัปตัน... หัวหน้าของกลุ่มเซงาคุ... คนที่ต้องเป็นผู้นำทางทุกคน ใช่... ฉันกลัว แต่ต้องไม่ลืมว่าคนอื่นๆ ในทีมก็กลัวไม่แพ้กัน ฉันจะยอมแพ้ให้กับความกลัวนั้นไม่ได้ ฉันต้องเอาชนะความกลัวนั่นแล้วพาลูกทีมฉันออกมาจากมัน ฉันจะต้องนำพวกเขาไปยังจุดหมายไม่ว่าจะต้องเหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม... นี่คือความรับผิดชอบต่อลูกทีม... ในฐานะกัปตัน... ในฐานะเสาหลักแห่งเซงาคุ...”
“...” ขงเบ้งไม่ยังคงนิ่งเงียบไม่ว่าอะไร แต่กลับยิ้มอย่างอบอุ่นส่งมาให้เทะสึกะ ทำให้หนุ่มเพอร์เฟ็คท์เสาหลักแห่งเซงาคุถึงกับหน้าแดงขึ้นมาทันที
ขงเบ้งก้มลงมองไปยังมือของเทะสึกะที่ยังสั่นไม่หยุด ก่อนยื่นมือเรียวบางของเธอไปกุมมือเทะสึกะแล้วยกขึ้นมาลูบเบาๆ
“เธอคือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำคุนิมิทสึ... จงจดจำความรู้สึกนี้ไว้ ยามใดที่เธอรู้สึกหวาดกลัวเมื่อต้องลงดาบ จงนึกถึงสิ่งเธอแบกรับไว้เพื่อให้ได้รู้ว่าดาบที่เธอลงไปนั้นเพื่อปกป้องสิ่งที่เธอโอบอุ้มไว้...” ไม่นานมือที่สั่นเทาของเทะสึกะในอุ้งมืออันแสนอบอุ่นของขงเบ้งก็หยุดสั่น
“...” ทั้ง 2 มองหน้าซึ่งกันและกัน พลันความรู้สึกประหลาดก็บังเกิดขึ้นภายในพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มความเร็วขึ้น และแล้ว
“เหวอ~!”
โครม!
“อู~ย...” เทะสึกะ และ ขงเบ้งหันควับมามองยังต้นเสียง ก่อนต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเหล่าลูกทีมทั้ง 13 ของเขาล้มกองกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก
“พวก นาย/เธอ มาทำอะไรที่นี่?” เทะสึกะ และ ขงเบ้งเอ่ยถามพร้อมกัน
“แหะๆ...” เหล่าเซงาคุทั้งหลายหัวเราะแห้งๆ
“คือ... เอจิฝันร้ายสะดุ้งตื่นทำเอาฉันตื่นด้วย พอเห็นว่ายังเช้าอยู่เลยพากันออกมาเดินเล่น แล้วก็มาทยอยเจอพวกเราตื่นมาเดินเล่นเหมือนๆ กัน” โออิชิอบ
“ทุกคนตื่นเช้าแบบนี้ประจำเหรอ?” ขงเบ้งถาม
“ผมตื่นมาวิ่งประจำอยู่แล้ว... ชู่ว์...” ไคโดตอบ
“รุ่นพี่ทากะละเมอแบบเบรินนิ่งโหมด เล่นเอาผมไม่ได้นอน” โมโมะตอบ
“ฉันละเมอฟาดเท้าใส่โมโมะร้องจ๊าก ฉันเลยตกใจตื่น” คาวามูระตอบ
“ฉันทำบันทึกข้อมูลอยู่ยังไม่ได้นอน” อินูอิตอบ
“ส่วนฉันนั่งมองวิวทะเลดาวทั้งคืนไม่ได้นอนเหมือนกัน” ฟูจิตอบ
“พี่ไคโดกรนเสียงงูทั้งคืนหลับไม่ลงครับ” โฮริโอะตอบ
“ส่วนพวกเราถูกโฮริโอะคุงที่ลี้ภัยจากห้องพี่ไคโดมาปลุกให้ตื่นครับ” คัทสึโอะกับคาจิโร่ตอบ “พอเห็นว่าไม่มีอะไรทำ ก็เลยออกมาเดินเล่นกันครับ”
“หนูกับซากุโนะออกมาเข้าห้องน้ำ แล้วเผอิญเห็นท่านเรียวมะเดินผ่านหน้าไป เลยตามมาดู” โทโมะกะตอบ
“ผมละเมอเดินฮะ...” เอจิเซนตอบเรียบๆ (หา~? ละเมอเดิน?)
“ว่าแต่พวกนาย 2 คนจะจับมือกันอีนนานมั๊ยแง่~ว?” คิคมารุถามพลางเหล่ตาไปที่มือของทั้ง 2 ที่กุมกันอยู่
“...” เทะสึกะกับขงเบ้งก้มลงมองมือของตน ก่อนคลายมืออกจากกัน ขณะหันหน้าหลบหน้าแดงๆ เขินอายของตนออกจากกันแบบเรียบๆ แต่ดูน่าเอ็นดู
“เห~…” เหล่าเซงาคุมมองดู 2 หนุ่มสาวผู้นำของตน
“อะแฮ่ม...” เทะสึกะกลับเข้าโหมดกัปตันผู้เยือกเย็นอีกครั้ง “มาคุยเรื่องของเราดีกว่า พวกเรามาถึงกังแฮแล้ว จะเอายังไงต่อล่ะขงเบ้ง”
“อืม...” ขงเบ้งที่กลับมาคงมาดกุนซือสาวอัฉริยะดังเดิมทำท่าครุ่นคิด “ก่อนอื่นฉันต้องรู้ก่อนว่าพวกเธอแต่ละคนมีความสามารถอะไรบ้าง เอาอย่างงี้ ทุกคนกลับไปอาบน้ำแต่ตัวให้พร้อม แล้วมาพบฉันที่ลานกลางค่าย ตกลงนะ”
“เราจะทำอะไรที่นั่นเหรอ?”
“ซ้อมรบไงล่ะ...”
ในเวลาต่อมา ณ ลานกลางค่าย
“ต่อจากนี้จะเป็นการทดสอบพวกเธอในด้านต่างๆ ขอให้ตั้งใจ และ แสดงฝีมือออกมาให้เต็มที่ด้วย” ขงเบ้งออกคำสั่ง
“ครับ!!” เหล่าเซงาคุตอบอย่างพร้อมเพรียง
“อย่าลืมแสดงฝีมือออกมาเต็มที่ หากเหนื่อย หรือ พลาดพลั้งเกิดอุบัติเหตุอะไรก็ให้พักปฐมพยาบาลดูอาการก่อน อย่าฝืนร่างกายจนเกินไป พวกเด็กๆ เตรียมพร้อมไว้ดูแลแล้ว” ขงเบ้งว่าขณะชี้พัดไปยังมุมม้านั่งที่มีน้ำ เสื่อ และ อุปกรณ์ปฐมพยาบาล เตรียมไว้โดยพวกปี 1 ทั้ง 5 เป็นผู้ดูแล
“ครับ!!”
“เอาล่ะ เริ่มจากการประลองตัวต่อตัวก่อน พวกเธอแต่ละคนเลือกอาวุธของตัวเอง แล้วไปยืนประจันหน้ากับทหารคู่ซ้อมของตน...”
ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก
“อืม... แต่ละคนดูแข็งขันกันน่าดูเลย” เล่าปี่ที่มองดูอยู่ห่างเอ่ยขึ้น
“สมาชิกใหม่ของพวกเราจะฝีมือไม่เบาจริงๆ เลยนะคะ” กวนอูที่ยืนข้างๆ กันว่า
“ใช่... แต่ละคนดูเก่งๆ ทั้งนั้นเลย ไปๆ มาๆ เราอาจจะได้สมาชิกตำแหน่งขุนพลเพิ่มอีกนะ” เตียวหุยกล่าว
“ไม่ถึงขนาดนั้นมั๊งครับ” เล่ากี๋ว่า “ข้าว่ำพวกท่านชมพวกเขากันเกินไปแล้ว”
“เกินไปหรือเปล่าข้าไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้ก็คือพวกเขาเหนือกว่ากวนเป๋ง กับ เจ้าเยอะ เลยเล่ากี๋” จูล่งเอ่ย
“แหะๆ เก่งกว่าข้าน่ะ ไม่แปลกหรอก แต่ไม่น่าจะเก่งกว่ากวนเป๋งนี่ครับ อย่างมากก็น่ะฝีมือพอๆ กันไม่ใช่เหรอ?” เล่ากี๋ค้าน
“แม้แต่ในการซ้อมรบ กวนเป๋งยังเอาชนะพวกข้าไม่ได้ ในขณะที่เทะสึกะสามารถชนะซูเฉาที่มีฝีมือพอๆ กับพวกเราได้ อย่างงี้ไม่เรียกว่าเก่งกว่างั้นหรือ?” จูล่งว่า
“เออ... ก็... จริงนะ...” เล่ากี๋เถียงไม่ออก
“จะว่าไป กวนเป๋งล่ะ?” เล่าปี่หันมาถามผู้เป็นน้อง
“เออใช่! เมื่อวานตอนมาถึงไม่เห็นออกมารับพวกเราเลย” เตียวหุยสมทบ
“อ๋อ~! เห็นทหารบอกว่าเขาเอาเรือออกไปลาดตระเวนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้ก็คงกลับมาอย่างช้าก็ช่วงบ่ายน่ะค่ะ” กวนอูตอบพร้อมรังสีมืดบางอย่างที่แผ่ออกมา
“อึ๋~ย..." เล่ากี๋ เตียวหุย และ จูล่งสะดุ้งให้กับรังสีพลังมืดที่แผ่ออกมาจากร่างของกวนอู ในขณะที่เล่าปี่ผู้ใสซื่อยังคงไม่รู้สึกอะไร
'กวนเป๋งทำอะไรขัดใจท่านกวนอูแน่เลย' เล่ากี๋คิด
แถบแม่น้ำนอกเมือง
“ท่านกวนเป๋งขอรับ” นายทหารคนหนึ่ง เอ่ยเรียกชายหนุ่มในชุดเกราะขุนพลสีเขียวผู้ยืนถือดาบ 4 เหลี่ยมยักษ์ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวผู้ถือ (โอ้~ว…!! ปังตอยักษ์...!!) มองสภาพแวดล้อมรอบๆ อยู่ที่หัวเรือ
“มีอะไรเหรอ?” ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำสนิท เช่นเดียวกับดวงตัว คาดผ้าหน้าหัวสีเขียวที่มีตราสัญลักษณ์สีทองเป็นตัวอักษรจีนที่อ่านว่า กวน อยู่ตรงกลาง หันมาถามนายทหารผู้เรียกเขา
“มีสารมาจากทางกังแฮครับ ทางนั้นบอกว่าท่านเล่าปี่จะเดินทางมาถึงแล้วครับ”
“เอ๋~? จะถึงแล้วเหรอ? งั้นรีบหันหัวเรือกลับไปต้อนรับพวกท่านดีกว่า” ชายหนุ่มนามกวนเป๋งออกคำสั่ง
“เออ... คงไม่ต้องรีบหรอกครับ...” นายทหารคนเดิมกล่าว
“อะไรกัน? พวกท่านเดินทางมาทั้งที พวกเราเป็นคนคุมเมืองก็ต้องเตรียมการต้อนรับสิ รีบกลับหัวเรือเร็วเขา พวกเราต้องรีบกลับไปเตรียมการให้ทันเวลา” กวนเป๋งพูดอย่างองอาจ
“เออ... คือ... ความจริง... พวกท่านเล่าปี่มาถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วขอรับ...”
“อะไรนะ!? แล้วทำไมเพิ่งจะส่งสารมาตอนนี้เล่า!?” กวนเป๋งถามเสียงหลง
“สารมาตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้วนะครับ แต่ท่านไม่ยอมเปิดอ่าน” นายทหารว่า
“รีบกลับหัวเรือแล้วออกเดินทางกลับเมืองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้! ด่วนเลย!!”
“เอ๋~?”
“ไม่ต้องมา เอ๋~ เลย! ปฏิบัติตามเดี๋ยวนี้…!!” กวนเป๋งเอ่ยเสียงแข็ง
“ขะ ขอรับ!!” นายทหารก้มหัวรับคำสั่ง ก่อนวิ่งไปกระจายคำสั่งอย่างรีบร้อน
‘แย่แล้วสิ... ก่อนไปหาท่านลุง ท่านแม่สั่งไว้แล้วว่าพอกลับมาให้จัดการต้อนรับท่านลุงไว้ให้ดี หากไม่รีบกลับไปตอนนี้มีหวังโดนง้าวมังกรเขียวกุดหัวแน่เลย’ กวนเป๋งคิดขณะเอามือกุมขมับ พลางนึกภาพสาวสวยผู้เป็นมารดาของตนถือง้าวเล่มงามขี่หลังอาชาขนแดงตัวสวย มองตรงมาที่เขาด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า (เอ... ฟังดูคุ้นๆ เหมือนใครบางคนนะ)
“ทะ. ท่านกวนเป๋งขอรับ มีเรือประหลาดมุ่งหน้ามาทางนี้ขอรับ…!!”
“หา~?” กวนเป๋งที่กำลังสติแตกหันไปมองยังเรือประหลาดที่ลูกเรือเขาเอ่ย ก่อนต้องขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ “นั่นมัน... เรือทูต... งั้นเหรอ...?”
คืนนั้น ที่ห้องอาหาร ณ ค่ายเมืองกังแฮ
“ฮัดชิ้~ว!” กวนอูจู่ๆ จามออกมาอย่างไร้สาเหตุ
“ท่านกวนอูเป็นหวัดเหรอคะ?” จูล่งที่นั่งข้างๆ กันเอ่ยถาม
“ว่ากันว่าหากมีคนเอ่ยถึงเรา เราจะจาม ไม่แน่อาจจะมีใครนึกถึงท่านพี่ก็ได้” เตียวหุยผู้นั่งต่อจากจูล่งกล่าว
“นั่นสินะ...” กวนอูตอบรับก่อนยิ้มให้ขุนพลน้องๆ ของเธอ ในขณะที่ยังคงแผ่รังสี อำมหิตออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทำเอาทั้งเตียวหุย และ จูล่งถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนรู้สึกเสียวสันหลังไปกับประโยคที่ตนพูดออกไปเมื่อครู่
“ทำอะไรลงไปไปรู้ตัวมั๊ย!? ท่านกวนอูยิ่งอยู่โหมดอำมหิตอยู่ จะไปเติมฟืนให้กองไฟทำไมเล่า! พูดอะไรออกหัดคิดก่อนดิ!” จูล่งกระซิบด่าเตียวหุย
“ขอโทษๆ ข้ากะจะหาเรื่องชวนคุยให้พี่ท่านหายเครียดซะหน่อย แต่ว่า...” เตียวหุยกับจูล่งร่วมใจกันเหล่ตาไปมองกวนอูที่ยังคงนั่งยิ้มแย้มอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เพียงแต่รอบๆ กายเต็มไปด้วยชื่อของกวนเป๋งที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับรังสีสังหาร ที่ตีตราอาฆาตไว้เสร็จสรรพทุกตัวอักษร “อโหสิกรรมให้ ข้า/อา ด้วยนะกวนเป๋ง” (เห~อๆ...)
‘หึ! กวนเป๋งนะกวนเป๋ง บอกแล้วว่าก่อนกลับมาให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับไว้ให้อย่างดี เลี้ยงรับขวัญให้กำลังใจท่านพี่ที่ไปเสียท่าให้ท่านโจโฉซะหน่อย ไม่ฟังบ้างเลย...’ กวนอูที่ยังคงนั่งยิ้มอาฆาตอยู่คิดในใจ แต่จู่ๆ รอยยิ้มเสแสร้ง และ รังสีอำมหิตรอบตัวก็พลันหายไป ‘แต่ เอ...? ปกติกวนเป๋งไม่เคยละเลยที่เราขอนี่นา...แถมพวกทหารก็บอกไว้ด้วยว่ากวน เป๋งบอกว่าจะกลับมาช้าที่สุดก็ตอนบ่าย นี่มันเย็นมากแล้วนะ... หรือว่า! จะเจอปัญหาตอนออกไปลาดตระเวน... ไม่แน่อาจจะเจอข้าศึกก็ได้... รู้ก็รู้นะว่าอย่างกวนเป๋งน่าจะดูแลตัวเองได้ แต่...’
“หื~ม...” เตียวหุยกับจูล่งที่นั่งเสียวสันหลังกันอยู่มองดูกวนอูที่มีท่าทีเปลี่ยนไป ก่อนร้อยยิ้มเอ็นดูของทั้ง 2 ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ‘แห~ม... ไม่พอเขาใจ แต่ถึงยังไงใจก็ยังเป็นห่วงสินะ’
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ” จูล่งเอ่ยกับกวนอู
“เอ๋~?” กวนอูมองจูล่งงงๆ
“เดี๋ยวก็กลับมา อย่างกวนเป๋งนะไม่เป็นห่วงหรอก” เตียวหุยสมทบ
“เออ... นะ. นั่นสินะ... ขอบใจนะพวกเจ้า” กวนอูยิ้มให้ทั้ง 2 อย่างจริงใจ
หลังจากการฝึกซ้อมการรบเพื่อทดสอบฝีมือของแต่ละคนในช่วงกลางวันเสร็จสิ้นลง ขงเบ้งก็ให้เหล่าเซงาคุแยกย้ายกันไปพักผ่อนเตรียมทานอาหารเย็นร่วมกัน พร้อมกับมอบหมายให้บรรดดาสาวใช้ทั้งหลายเตรียมการบางอย่างไว้ให้เหล่าเซงาคุ
ตอนนี้ในห้องอาหารที่ถูกเตรียมไว้สำหรับคน 21 คน ซึ่งมีเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จูล่ง เล่ากี๋ ขงเบ้ง และ ปี 1 ทั้ง 5 ที่อยู่ในชุดลำลองแบบชาวจีน นั่งประจำที่อยู่แล้ว เหลือแค่เพียงเหล่าเซงาคุทั้ง 14 คนที่ยังไม่ปรากฏตัว
“เอ่อ... คุณขงเบ้งคะ แล้วพวกท่านเรียวมะล่ะคะ?” โทโมกะเอ่ยถาม
“นั่นสินะ คงยังเตรียมตัวอยู่ล่ะมั้ง?” ขงเบ้งว่า
“เตรียมตัว?” เหล่าปี่หนึ่งมองหน้ากันงงๆ
“พวกเขาพร้อมแล้วค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องก้มหัวลงคำนับ ขณะเอ่ยรายงาน
“กำลังรออยู่เลย เชิญเข้ามา” ขงเบ้งกล่าว
“ว้า~ว...!” ทั้งห้องเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อเหล่าเซงาคุเดินเข้ามาในห้องด้วยรูปโฉมใหม่
เริ่มจากคนแรก โออิชิ ผู้มาในชุดเกราะสีขาว แต่งแต้มด้วยลวดลายสีเขียวแบบเรียบๆ แต่ดูสะดุดตา ที่มือ และ เท้าสวมด้วยถุงมือ และ ถุงเท้าหนังสีน้ำตาล พร้อมด้วยผ้าคลุมสีเขียวยาว มองแล้วดูเท่ไม่หยอก
คนที่ 2 คิคุมารุ ผู้มาในชุดแบบมือสังหาร เสื้อเกราะโซ่ถักใส่ทับแขนกุดสีน้ำตาลที่มีฮู้ดติดอยู่ด้วยกัน พร้อมผ้าปิดปากสีดำ กางเกงขาสามส่วนสีเดียวกับเสื้อ รองเท้าบู๊ตที่ยาวขึ้นมาติดกับปลายขากางเกง ที่แขนพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว ที่เอวผูกด้วยเข็มขัดผ้าสีดำ ดูราวกับนินจายังไงยังงั้น
ที่ 3 คาวามูระในชุดเกราะหนักตัวใหญ่ซึ่งทำอย่างเหล็กทั้งตัว ทั้งเกราะตรงตัว เกราะไหล่ เกราะแขน เกราะขา ถุงมือ และ รองเท้าเหล็ก เกราะทั้งหลายแต่งแต้มด้วยลายสีทอง พร้อมด้วยผ้าคลุมสีแดงสง่างาม ดูเหมือนอัศวินยุคกลาง
ต่อด้วย อินูอิ ผู้มาในชุดคล้ายนักปราชญ์จีน และ หมวกปราชญ์สีม่วงเข้ม ที่มีเกราะเหล็กติดไว้ที่ หัวไหล่ ข้อศอก หัวเข่า และ หน้าอก ที่เกราะอกด้านหลังแต่งแต้มด้วยทองคำเป็นลายดวงไฟกลมๆ คล้ายดวงอาทิตย์ ดูแปลกตา
ตามมาด้วย ฟูจิ ในชุดยาวแขนสั้นสีฟ้าที่แหวกด้านข้างมาจนถึงเอวเผยให้เห็นกางเกงขายาวสีขาว และ โรงเท้าหนังสีน้ำตาลเช่นเดียวกับถุงมือหนังเปิดนิ้วที่สวมอยู่ในมือทั้ง 2 ข้าง ที่หัวไหล่ซ้ายมีเกราะไหล่สีเทาที่ผาดด้วยสายสะพายหลังสีน้ำตาลขวางลำตัวลงมาติดกับเข็มขัดหนังสีเดียวกัน ที่หน้าผากคาดด้วยที่คาดหน้าผากเหล็กสีเงินประดับด้วยหยกดูคล้ายมงกุฎ ดูเท่ไม่ต่างจากจอมยุทธ์จีนในหนัง
ต่อไปคือ 2 หนุ่มคู่กัดไคโด และ โมโมะ ทั้งคู่แต่งกายด้วยเกราะเบาแบบนักรบประจัญบาน ของไคโดเป็นสีเลือดหมู ส่วนโมโมะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ที่มือด้วยถุงมือที่ติดแผ่นเหล็กไว้ตามข้อต่อนิ้ว และ หลังมือ ที่เท้าสวมด้วยรองเท้าบู๊ตเสริมแผ่นเหล็ก พร้อมด้วยผ้าคลุมที่มีสีตรงกันข้ามกับสีเกราะของตน ทั้ง 2 น่าจะดูเหมือนคู่ขากันไม่น้อย หากไคโดไม่เอาผ้าโพกหัวประจำตัวมาโพกไว้ตามปกติ ในขณะที่โมโมะคาดหน้าผากด้วยผ้าคาดหัวสีเขียวสีประจำกองทัพเล่าปี่ เพื่อให้มันดูขัดกัน
แล้ว ก็ เอจิเซน หนุ่มน้อยคนเดียวในกลุ่ม ผู้มาในชุดเกราะขุนพลสีเขียวที่แต่งแต้มด้วยลายสีทองไว้ที่เกราะหน้าอก และ เกราะไหล่ ที่มือ และ เท้าสวมด้วยถุงมือ และ รองเท้าเหล็กสีดำ ที่เอวสวมด้วยเข็มขัดหนังสีน้ำตาลหัวทองคำ พร้อมด้วยผ้าคลุมสีเดียวกับชุดเกราะที่แต่งแต้มด้วยลวดลายสีทองคำเป็นรูป มังกรถือลูกแก้ววิเศษ 2 ลูกไว้ในมือ หรือ ที่รู้จักกันในนามเทพแห่งสายลมนั่นเอง บนหัวสวมด้วยหมวกเกราะที่ประทับตรามังกรสัญลักษณ์แห่งทัพเล่าปี่ไว้ที่กลาง หน้าผาก มองแล้ว พูดได้เลยว่า เหมือนเป็นชายน้อยออกนำทัพรบเลย
สุด ท้ายกัปตันเทะสึกะ ผู้นำแห่งเหล่าเซงาคุทั้งปวง เจ้าตัวอยู่ชุดยาวสีเขียวขอบสีดำที่แหวกด้านหน้ามาถึงเอวขัดไว้ด้วยเข็มขัด ผ้าสีดำ ที่มือ และ เท้าสวมด้วยถุงมือ และ รองเท้าหนังสีดสนิท ที่คอพันด้วยผ้าพันคอสีขาวที่ยาวลงมาเกือบถึงข้อเท้า ที่กลางหลังชุดยาวแบบจอมยุทธ์แต่งแต้มด้วยลวดลายสีทองทำเป็นรูปตราสัญลักษณ์ ทรงกลมซึ่งมีมังกรคู่ 2 ตัวในกำลังทะยานขึ้นฟ้าสวนทางกัน เมื่อรวมเข้ากับบุคลิกขรึมคมเข้มของเทะสึกะแล้ว ดูไม่ต่างอะไรจากจักรพรรดิหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
“สุดยอด~! เหมาะมากเลย!” เล่าปี่เอ่ยชม
“สมกับเป็นท่านขงเบ้ง เลือกชุดได้เข้ากับคนใสเปะเลย” กวนกล่าว
“ไม่ถึงขนาดนั้นท่านกวนอู” ขงเบ้งตอบรับ
“เท่ไม่หยอกเลยนี่พวกนาย!!” เตียวหุยว่า
“ผิดกับเมื่อกี้ลิบลับเลยนะเนี่ย แต่งแบบนี้แล้วค่อยดูเหมือนนักรบหน่อย” จูล่งสมทบ
“แหะๆ” เหล่าเซงาคุหัวเราะแกมเขิน
“เอา! เชิญนั่งๆ มาเร็วอาหารเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว” เล่าปี่ผายมือเชิญ ก่อนเหล่าเซงาคุจะเดินมานั่งประจำตามที่ๆ ถูกัดไว้ให้
“เอาล่ะ... มาถึงพิธีการประจำวันนี้แล้ว...” เล่าปี่ว่าขณะลุกขึ้นยืน “หลังจาก ได้เห็นการสอบรบของพวกเธอทุกคน ฉัน และ ท่านขงเบ้งได้ปรึกษากันเรื่องมอบหมายหน้าที่ให้พวกเธอ ในที่สุดพวกเราก็ ตกลงเรื่องตำแหน่งของพวกเธอในกองทัพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว... เชิญท่านขงเบ้ง…”
“หือ~?” เหล่าเซงาคุมองไปยังขงเบ้งที่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาอยู่ข้างหน้าโต๊ะอาหารกลางวงล้อมของทุกคน
“ต่อจากนี้ หากฉันเรียกชื่อใครให้ก้าวมายืนอยู่หน้าฉันนะ” ขงเบ้งออกคำสั่ง “โออิชิ ชูอิจิโร่”
“คะ.ครับ!” โออิชิสะดุ้งลุกขึ้นยืนตัวตรงอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าขงเบ้ง
“แม้ความสามารถในการต่อสู้จะไม่เด่น และ เก่งกาจเหมือนคนอื่นๆ แต่ด้วยความสามารถในการสนับสนุน จนทำให้คนอื่นๆ รอบๆ ตัวเธอสามารถเข้าต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีตำแหน่งไหนะเหมาะกับเธอเท่ากับตำแหน่งนี้” ขงเบ้งกล่าวขณะรับกล่องบางอย่างจากสาวใช้ที่เดินถือเข้ามาให้เธอ ก่อนเปิดออก “ด้วยทวนตะขอเล่มนี้ ฉันขอแต่งตั้งเธอ เป็นหัวหน้าทัพสนับสนุน หน้าที่ของเธอคือคุมกองกำลังสนับสนุนที่ดูแลทั้ง เสบียง การรักษาพยาบาล และ การให้ความช่วยเหลือต่างๆ แก่ทัพอื่น จงทำหน้าที่ให้ดี”
“...” โออิชิหยิบทวนตะขอในกล่องใบหรูขึ้นมาถือด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วก้มหัวลงคำนับขงเบ้ง ก่อนเอ่ยรับปาก “เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งครับ”
“ดีมาก...” ขงเบ้งยิ้มให้โออิชิก่อนผายมือให้กลับไปนั่งที่ ก่อนเอ่ยชื่อผู้รับตำแหน่งคนต่อไป “คิคุมารุ เอจิ”
“ครับ!!” เอจิกระโดดตีลังกาออกมาจากที่นั่งก่อนบิดตัวลงมายืนอยู่หน้าขงเบ้ง ณ จุดเดียวกับโออิชิพอดีเปะ
“ด้วยความเร็ว และ ความคล่องตัวที่มีสูงกว่าใครเพื่อน นอกจากนี้ยังมีความยืดหยุนของกล้ามเนื้อ และ ความสามารถในการมองเห็นเป็นที่หนึ่งในกลุ่ม เธอตำแหน่งนี้จึงเหมาะสมกับเป็นที่สุด” ขงเบ้งกล่าวขณะที่รับกล่องใบหรูมากสาวใช้คนเดิมเช่นเคย ก่อนเปิดกล่องออก แล้วยื่นมาให้คิคุมารุ “ด้วยมีดคู่ 2 เล่มนี้ ฉันของแต่ตั้งให้เธอ เป็นหัวหน้าหน่วยสอดแนม หน้าที่ของเธอคือการนำคนในหน่วย ทำการสอดแนบ และ หาข้อมูลของข้าศึกเพื่อใช่เป็นข้อได้เปรียบในการรบของเรา จงทำหน้าที่ให้ดี”
“เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งแง่ว~!” คิคุมารุตอบรับก่อนหยิบมีดคู่ที่วางไว้ในกล่องใบหรูมาเหน็บไว้กับเข็มขัดทั้ง 2 ข้างก่อนคำนับขงเบ้งแล้วเดินกลับไปนั่งที่
“ต่อไป คาวามูระ ทาคาชิ” ขงเบ้งเอ่ยชื่อคนต่อไป
“คะ. ครับ” คาวามูระลุกพรวดขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ก่อนยิ้มแห้งเดินไปหาขงเบ้ง
“เธอเป็นบุคคลพิเศษ แม้จะดูเหมือนอ่อนแอแต่จริงๆ กลับมีพลังอันมหาศาลซ่อนอยู่ภายใน ทั้งความอึด ความอดทน และ พละกำลังเหนือมนุษย์ นี่จึงเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับเธอ” ขงเบ้งหันมาหาสาวใช้ถึง 4 คนที่ถือกล่องใบหรูขนาดใหญ่เดินเข้ามาหยุดข้างเธอ ก่อนะเอื้อมมือไปเปิดฝากล่องนั่น แล้วให้สาวใช้ทั้ง 4 ยื่นให้คาวามูระ “ด้วยลูกตุ้มลูกนี้ ฉันของแต่ตั้งให้เธอ เป็นหัวหน้ากองกำลังป้องกันค่าย หน้าที่ของเธอคือการดูแลและป้องกันฐานทัพของเราจากศัตรูทั้งหลายที่ดาหน้ากันเข้ามาหวังจะโจมตีจงทำหน้าที่ให้ดี”
“คะ. ครับ… อะ.อ้า~ว...?” คาวามูระที่กำลังยื่นมือมากะหยิบลูกตุ้มขึ้นอุทานออกมาด้วยความแปลกเมื่อขงเบ้งปิดกล่องลง ก่อนให้สาวใช้ทั้ง 4 ยื่นมาให้เขาทั้งกล่อง
“หากยังไม่ออกศึก หรือ เข้าต่อสู้ ขอกำฉับให้เก็บใส่กล่องไว้ตลอด ห้ามเอาออกมาถือไว้เองเด็จขาด เข้าใจนะทาคาชิ” ขงเบ้งสั่งก่อนก้มลงกระซิบข้างหู “ฉันรู้สึกถึงพลังลึกลับของเธอแล้วเลยเลือกอาวุธนี้มาเพื่อเธอโดยเฉพาะ ขืนจับขึ้นมาแล้วอาลาวาทคนอื่นเขาจะเดือดร้อนเอานะ เพราะงั้นให้ใช้ได้แค่ตอนต้องต่อสู้เท่านั้นตกลงนะ”
“คะ.ครับ!” คาวามูระตอบด้วยความดีใจก่อนรับเอากล่องใส่ลูกตุ้มยักษ์ที่ต้องใช้สาวใช้ถึง 4 คนช่วยกันยก มาถือไว้ด้วยมือข้างเดียวอย่างเหลือเชื่อ ก่อนเดินกลับไปนั่งที่
“ต่อไป อินูอิ ซาดาฮารุ”
“ครับ” อินูอิขยับแว่นเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหาขงเบ้ง
“ด้วยความสามารถในการสังเกต และ เก็บข้อมูลที่เหนือมนุษย์ ซ้ำยังสามารถวิเคราะห์หาจุดอ่อนของศัตรูได้อย่างเชี่ยวชาญ และ แม่นยำ จึงไม่มีตำแหน่งไหนที่จะเหมาะสมกับเธอเท่ากำตำแหน่งนี้อีกแล้ว” และอีกเช่นเคย ขงเบ้งรับกล่องใส่อาวุธใบจากสาวใช้มาเปิดออกแล้วยื่นให้อินูอิ “ด้วยธนู และ ดาบสั้นเล่มนี้ ฉันขอแต่งตั้งให้เธอ เป็นหัวหน้าพลธนู และ พลอาวุธระยะไกล หน้าที่ของเธอคือสังเกตการณ์ และ วิเคราะห์จุดอ่อนของศัตรู เพื่อสั่งการกำลังพลของเธอในการโจมตี จงทำหน้าที่ให้ดี”
“เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งครับ” อินูอิหยิบดาบสั้นมาเหน็บไว้ข้างเอว และ นำธนูมาคลองพาดลำตัว ก่อนคำนับขงเบ้ง แล้วเดินกลับมานั่งที่
“ฟูจิ ชูสึเกะ”
“ครับ” ฟูจิตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แบบสบายๆ ก่อนเดินมายืนหน้าขงเบ้ง
“ด้วยอัจฉริยะภาพทางการต่อสู้ที่น่าทึ่ง และ ความสามารถพิเศษอีกมากมายที่เก็บซ่อนไว้ในตัว ทำให้ยากแก่การวิเคราะห์ และ เหมาะสมที่จะใช่ในการปะทะกับศัตรูหลากหลายรูปแบบ นอกจากนี้ไม่มีตำแหน่งจะคู่ควรกับเธอเท่าตำแหน่งนี้อีกแล้ว” และเหมือนเดิมขงเบ้งรับกล่องอาวุธใบหณุจากสาวใช้มาเปิดออก แล้วยื่นให้ฟูจิ “ด้วยดาบยาวเล่มนี้ ฉันของแต่งตั้งให้เธอ เป็นหัวหน้ากองกำลังพิเศษ หน้าที่ของเธอคือเป็นผู้นำทัพที่ประกอบไปด้วยกำลังพลที่มีความสามารถพิเศษมากมาย เป็นต้น วางระเบิด ลอบสังหาร ตรวจสอบ ส่งสาร ปลอมตัว และอื่นๆ อีกมากมาย เธอจะเป็นหนึ่งในกำลังในแผนการของฉัน จงทำหน้าที่ให้ดี”
“เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งครับ” ฟูจิหยิบดาบยาวรูปร่างคล้ายดาบคาตะนะของญี่ปุ่นมาติดไว้ที่เข็มขัดข้างเอวด้านซ้าย ก่อนก้มหัวลงคำนับขงเบ้ง แล้วเดินกลับไปนั่งที่
“คราวนี้มาเป็นคู่ ไคโด คาโอรุ และ โมโมชิโระ ทาเคชิ” ปี 2 แห่งเซงาคุทั้ง 2 คนที่ถูกจับให้นั่งอยู่ข้างๆ กันลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ขณะหันมามาเขม่นซึ่งกันและกัน ก่อนค่อยเดินตรงไปหาขงเบ้ง ทั้งที่ยังส่งสายตาพิฆาตพลังสายฟ้าไปสู้กัน
“อะแฮ่ม…” ขงเบ้งไอเรียกความสนใจ “สนใจทางนี้นิดนึง... อ๋อใช่! เพลาๆ พลังสายฟ้าของพวกเธอหน่อยก็ดีนะ”
“คะ. ครับ...” ทั้ง 2 ตอบรับหน้าจ๋อยกึง อายๆ ก่อนยืดตัวตรงเมื่อขงเบ้งเริ่มเอ่ยประกาศตำแหน่งของตน
“ด้วยความสามารถในการต่อสู้ที่ค่อนข้างสูง แม้จะไม่รวดเร็วเหมือนเอจิ ไม่ทรงพลังเหมือนทากะ ไม่แม่นยำเหมือนซาดาฮารุ ไม่ลึกลับ และ น่าทึ่งแบบชูสึเกะ แต่ความสามารถที่ลงตัวทำให้ทำให้มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก และ ด้วยเทคนิค และ ชั้นเชิงที่เข้าขาซึ่งกันและกันได้อย่างหน้าประหลาด จึงทำให้พวกเธอต้องับคู่กันขึ้นรับตำแหน่งนี้” สาวใช้ 2 คนเดินเข้ามาข้างๆ ขงเบ้ง ก่อนยื่นกล่องอาวุธใบหรู 2 ใบให้เธอเปิดออก แล้สยื่นไปให้ไคโด และ โมโมะ “ด้วยขวาน และ ค้อน 2 ด้ามนี้ ฉันของแต่งตั้งให้พวกเธอเป็นหัวหน้าทัพหน้า หน่วยประจัญบาน หน้าที่ของพวกเธอคือออกนำกำลังพลของพวกเธอออกห้ำหั่นกับกองหน้าของศัตรู จงทำหน้าที่ให้ดี”
“ครับ!! อะ. เอ๋~?” ไคโดกับโมโมะตอบรับอย่างฮึกเหิมก่อนเอื้อมมือไปหยิบอาวุธของตน แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่ออาวุธตรงหน้าพวกเขาดูคุ้นยังไงชอบกล
“พวกเธอมองไม่ผิดหรอก นั่นคือค้อน และ ขวานที่ได้มากข้าศึก” ขงเบ้งเอ่ยยิ้มๆ “มันช่างเป็นอาวุธที่เหมาะกับพวกเธอได้ลงตัว อย่างหน้าประหลาด แม้ใช้วัตถุดีชั้นดีสร้าง แต่ฝีมือการสร้างค่อนข้างเรียบ แต่ไม่ต้องห่วงฉันเอาไปหลอม และ ตีขึ้นใหม่ให้พวกเธอโดยเฉพาะ จงใช้ให้ดี”
“คะ.ครับผม!!” ทั้ง 2 ตอบเสียงดังฟังชัด ก่อนรับเอาอาวุธมาถือไว้กับตัว ก้มหัวคำนับขงเบ้ง แล้วจึงเดินกลับไปหน้าที่
“เกือบครบแล้ว ต่อไป... เอจิเซน เรียวมะ”
“ฮะ...” เอจิเซนลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ ก่อนเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าขงเบ้ง
“แม้จะมีร่างกายที่ค่อนข้างเล็ก และ มีอายุน้อยที่สุดในคนทั้ง 9 คนในกลุ่ม แต่ด้วยทักษะ และ ความสามารถรอบด้าน อีกทั้งยังมีสันชาติญาณในการต่อสู้ที่สูงเกือบที่สุดในทั้ง 9 คน นอกจากนี้ความสามารถที่ได้กล่าวมานั้นยังสามารถเติบโตขึ้นได้อีก จึงไม่มีตำแหน่งไหนที่จะเหมาะสมกับเธอเท่าตำแหน่งนี้อีกแล้ว” ขงเบ้งรับกล่องใส่อาวุธใบหรูจากสาวใช้คนเดิมทก่อนเปิดออกยื่นให้เอจิเซน “ด้วยดาบเล่มนี้ ฉันขอแต่งตั้งให้เธอ เป็นหัวหน้ากองทัพหลัก ผู้มีหน้ารับคำสั่งจากท่านเล่าปี่ และ ฉัน ในการคุมกำลังพลหลักของในการออกรบ จงทำหน้าที่ให้ดี”
“เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งฮะ...” เอจิเซนหยิบดาบแบบตะวันตกคล้ายดาบอัศวินที่ถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยช่างฝีมือที่ฝีมือดียิ่งกว่าเดิม ทำให้ดาบดูเปล่งรัศมีความสง่างามมากขึ้นเป็นเท่าตัว มาถือไว้ ก่อนก้มหัวลงคำนับขงเบ้ง แล้วเดินกลับไปนั่งที่
“และสุดท้าย เทะสึกะ คุนิมิทสึ…”
“ขนาดเรียวมะคุงยังได้เป็นถึงผู้นำทัพหลัก แล้วอย่างกัปตันจะได้เป็นอะไรน้า?” คาจิโร่กระซิบคุยกับเพื่อนทั้ง 4
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องขุนพลสิจะเป็นอย่างอื่นไปไง” โฮริโอะว่า
“ด้วยฝีมือที่เป็นที่หนึ่งในกลุ่ม ทั้งทางด้านฝีมือ และ ทักษะ อีกทั้งความสามารถต่างๆ ที่ประกอบกันนกลายเป็นสุดยอดนักรบ นอกจากนี้ยังมีเกียรติ์อันสูงส่ง และ ความรับผิดชอบที่ไม่อาจหาคำมาเปรียบเปรยได้ เหมาะสมแก่การเป็นผู้นำอย่างแท้จริง จากการวิเคราะห์ปรึกษาหารือกันอยู่นาน ในที่สุดก็พบตำแหน่งที่คูควร” คราวนี้ขงเบ้งหันไปหาเล่าปี่ที่กำลังหยิบกระบี่เล่างามที่ติดไว้กับตนยื่นมาให้ขงเธอ ซึ่งกำลังยื่นมือออกมารับอยู่กัน ก่อนจะหันกลับมามอบให้แก่เทะสึกะ “ด้วยกระบี่อาญาสิทธิ์เล่มนี้ ฉันของแต่งตั้งให้เธอ เป็นแม่ทัพรองแม่ทัพ หน้าที่ของเธอคือสั่งการทัพทุกทัพ กำลังพลทุกหน่วย รวมถึงหัวหน้าหน่วย และ ขุนพลทุกคนในการรบ อยู่ภายใต้ฉัน และ ท่านเล่าปี่ จงทำหน้าที่ให้ดี”
“ห~า....!?” เหล่าเซงาคุอุทานเป็นเสียงเดียวกัน “รองแม่ทัพ…!?”
“เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งครับ...” เทะสึกะรับเอากระบี่มาถือไว้กับตัว ก่อนก้มหัวลงคำนับขงเบ้งอย่างสง่างาม
แปะ! แปะ! แปะ! แปะ! แปะ! แปะ!
“เอ๋~?” เหล่าเซงาคุมองมายังพวกของเล่าปี่ที่กำลังปรมมือให้พวกเขา
“ขอต้อนรับสู่กองทัพนะทุกคน” เล่าปี่กล่าว
“ขอต้อนรับสหายร่วมรบ” เหล่าขุนพลทั้ง 3 และ เล่ากี๋ลุกขึ้นจากที่นั่งขณะเอ่ยต้อนรับ ก่อนเดินไปยืนเรียงแถวหน้ากระดานหน้าเทะสึกะที่ยังยืนอยู่กลางวงล้อมหน้าขงเบ้ง พร้อมยกมือขึ้นคำนับผู้นำใหม่ “เป็นเกียรติ์ที่ได้อยู่ใต้บัญชาท่านรองแม่ทัพ”
“รุ่นพี่ฮะ” เอจิเซนสบตาเหล่าส่งซิกให้เหล่าสมาชิกเซงาคุ
“หือ~!? อะ. อื้ม” ทั้ง 7 พยักหน้าตอบรับและแล้ว
“เป็นเกียรติ์ที่ได้อยู่ใต้บัญชาท่านรองแม่ทัพ” เหล่าเซงาคุร่วมใจกันเอ่ยเป็นเสียงทำเช่นเดียวกันกับเหล่าขุนพล
“หึ...” เทะสึกะแอบยิ้มเล็กน้อย น๊อ~ยเดียวจนแทบมองไม่เห็น (เอาเข้าไป... ) ก่อนยกมือขึ้นคำนับทุกคน “ผมขอรับปาก จะทำหน้าที่เป็นอย่างดีครับ”
“เอาล่ะทุกคน เชิญทานอาหารเย็นกันได้แล้ว” เล่าปี่กล่าวเปิดงานเลี้ยง ก่อนปล่อยให้ทุกๆ คนสนุกสนานไปกับมื้อคำมื้อสำคัญมื้อนี้
“ไปได้สวยนะคะ” ขงเบ้งที่เดินกลับมานั่งประจำที่ข้างเล่าปี่ว่า
“นั่นสินะ ถึงจะยังตกใจที่ท่านเสนอให้เทะสึกะเป็นรองแม่ทัพก็เถอะ แต่ดูท่าแล้วไปได้ดีกว่าที่คิด” เล่าปี่ตอบรับ
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ จากที่พวกเราได้เห็นความสามรถของเขา คงไม่มีใครกล้าคัดค้านข้อเสนอนี้หรอกค่ะ” ขงเบ้งกล่าว
“อืม... ตอนนี้เราก็วางหน้าที่ให้เหล่าเซงาคุเรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะเอายังไงต่อล่ะท่านขงเบ้ง” เล่าปี่เอ่ยถาม “จริงอยู่ที่ตอนนี้เรามีนักรบกลุ่มสำคัญเข้ามาช่วยอีกถึง 9 คน (และตัวแถมเป็นลูกมืองานเบ็ดเตล็ดอีก 5คน) แต่ถึงกระนั่นเราก็ยังไม่สามารถต้านทานกองทัพมหากาฬโจโฉได้อยู่ดี ท่านมีแผนอะไรงั้นหรือ?”
“ท่านไม่ต้องกังวลหรอกท่านเล่าปี่ ทุกอย่างที่ข้ากำลังทำอยู่นี้คือแผนการที่ได้วางเอาไว้ก่อนออกไปพาท่านมายังกังแฮนี้แล้ว” ขงเบ้งตอบ “สงครามใกล้เริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้แค่รอหมากตัวสุดท้ายที่กำลังจะเดินทางมาถึง จากนั้น ปฏิบัติการครั้งใหม่ของเราก็จะเริ่มขึ้น...”
“ตัวหมากงั้นเหรอ? มันคืออะไร?” เล่าปี่ถามด้วยความอยากรู้
“นั่นสินะ...” ขงเบ้งเอ่ยเป็นนัย
“รายงาน ท่านกวนเป๋งกลับมาแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามารายงาน
“กวนเป๋งงั้นเหรอ?” กวนอูทวนชื่อกวนเป๋งด้วยความโล่งใจ
“ขอรับ เออ... ดูเหมือนจะพาใครมาด้วยนะขอรับ” นายทหารเพิ่มเติม
“ใครเหรองั้นเหรอ?” เล่าปี่เอ่ยถามนายทหาร
ความคิดเห็น