คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Match 5 เซงาคุ และ ขุนพลหน้าดำ การสกัดทัพ ณ สะพานเตียงปันเกี้ยว
Match 5
เซงาคุ และ ขุนพลหน้าดำ
การสกัดทัพ ณ สะพานเตียงปันเกี้ยว
“...” ชายหนุ่มผิวสีแทน ใบหน้าคมคาย ผมสีน้ำตายาวลงมาถึงกลางหลังรอบไว้ที่ท้ายทอย นัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผม ยืนนิ่งหน้ามองตรงราวรูปปั้นหิน
ชายหนุ่มอยู่ในชุดยาวสีน้ำตาลเข้มคอวีขอบสีทอง เสื้อด้านใน และ กางกางขายาวสีขาวนวล ที่เอวมัดด้วยเข็มขัดผ้าสีเดียวกับขอบชุดทับชายชุดที่ยาวแหวกลงมาปิดขาทั้ง 2 ข้าง ที่คอด้วยผูกผ้าพันคอสีขาวยาวเกือบถึงเข่าซึ่งตอนนี้กำลังพลิ้วไปตามลมคลุกฝุ่นที่พัดมาเป็นช่วงๆ
ชายหนุ่มยังคงยืนตรงนิ่งสนิทไม่ขยับตัว รักษาจุดยืนของตนอยู่ ณ กลางสะพานเตียงปันเกี้ยว มือขวาถือทวนยาวตั้งตรงชี้ฟ้า คมทวนมีลักษณะคดไปคดมาเหมือนตัวงูยาวศอกกว่า ด้ามจับสีแดงสด ที่สุดด้ามติดด้วยดาบสั้นขนาดหนึ่งคืบ อาวุธประหลาดนี้รูปจักกันในนามทวนอสรพิษ ที่ใบหน้าสวมหน้ากากเหล็กสีดำสนิท ที่มีรูปหน้าคล้ายปีศาจน่าตาน่ากลัว เจาะเป็นช่องไว้สำหรับตา รูจมูก และ ปาก
หากใครได้มาเห็น คงนึกว่าอสูรกายกึ่งมนุษย์ กำลังยืนเฝ้าสะพานด้วยท่าทางหน้าเกรงขาม พร้อมจะสังหารทุกคนที่หวังจะข้ามสะพานนี้ไป ช่างเป็นภาพที่งดงาม
“ฮัดชิ้~ว...!!” เตียวหุยจามพรืดใหญ่เสียงดังฟังชัดได้ยินไปทั่วบริเวณ
“หื~ม? คุณเตียวหุยเป็นหวัด 2009 เหรอแง้~ว?” คิคุมารุตะโกนถามจากในป่า
“อ๋~อ! เปล่า ฝุ่นมันเข้าจมูกน่ะ!” เตียวหุยตะโกนตอบ
“เอจิ! เราอยู่จีนสมัยราชวงศ์ฮั่นนะ จะมีไข้หวัด 2009 ได้ไง” โออิชิกระซิบบอก
“เออ... ลืม...” คิคุมารุเกาหัวแก้อาย
(ดู๊~ดู... ไอ้เราอุตส่าห์บรรยายซะดี จามมาที หมดมาดเลย)
[เตียวหุย: อ้า~ว ก็ข้าแพ้ฝุ่นนี่นา ทำไงได้!]
(เออๆ ช่างมัน... )
“ฮัดชิ้~ว...!! เฮ้~อ...! นี่ฟูจิ!” เตียวหุยเอ่ยเรียกฟูจิด้วยหลังเอาแขนเสื้อเช็ดจมูกอีกครั้ง “มันจะได้ผลจริงๆ น่ะเหรอ ไอ้แผนเนี่ย ฉันชักไม่มั่นใจแล้วสิ!?”
“ก็น่าจะได้ผลนะครับ...” ฟูจิที่ยืนอยู่ข้างๆ เตียวหุยตอบยิ้มๆ “คุณเตียวหุยแค่ต้องเล่นตามบทให้เนียนๆ แค่นั้นก็พอครับ”
“นั้นแหละปัญหา! ฉันเล่นละครไม่เนียนอะ!” เตียวหุยตอบหน้าแหยๆ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ” ฟูจิว่า
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“จูล่งจ๋า~”
ปัง!
เตียวหุยที่วิ่งเข้ามาทำท่าจะสวมกอดจูล่ง ถูกจูล่งเอาทวนขึ้นกัน
“อูย~...” เตียวหุยผละออกมาจากทวนพร้อมรอยแดงทางยาวกลางหน้า “ไหง ทักทายกันอย่างงี้ อะ. อ้า~ว ?”
“สวัสดี ข้าเตียวจูล่ง แห่ง เสียงสัน” จูล่งเมินจากเตียวหุยเดินเข้ามาทักทายเหล่าเซงาคุด้วยรอยยิ้มน่าหลงใหล “พวกเธอเป็นสหายของพวกเรียวมะสินะ?”
“คะ ครับ” เหล่าหนุ่มๆ เซงาคุหน้าแดงน้อยๆ (ไม่รวมฟูจิกับเทะสึกะ และ พวกซากุโนะที่เข้าไปร่วมกับขบวนอพยพ)
“ท่านคงเป็นผู้นำนักรบวัยเยาว์กลุ่มนี้สินะ ข้าขอทราบนามของท่านได้รึไม่ท่านจอมยุทธ์?” จูล่งยกมือขึ้นคำนับเทะสึกะ
“ผมเทะสึกะ คุนิมิทสึ เป็นเกียรติที่ได้พบขุนศึกเลือดมังกรที่ล่ำลือ คุณจูล่ง” เทะสึกะยกมือขึ้นคำนับเช่นเดียวกัน
“เป็นเกียรติเช่นกัน ข้าต้องขอตัวก่อน หวังว่าเราจะได้พูดคุยอีกหลังเสร็จศึกนี้”
“เดี๋ยวดิ! นี่เจ้าจะเมินข้าจริงเหรอจูล่~ง!” เตียวหุยโอดครวญ
“หึ...” จูล่งหันหน้าหนีไม่พูดอะไร
“เอ๋~? เจ้าโกรธอะไรข้ารึเปล่า?” เตียวหุยยืนทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกจูล่งค้อนเข้าให้
“ไม่รู้สิ!ใครก็ไม่รู้ บอกว่าจะหลงรักข้า พร้อมจะคอยปกป้องข้าทุกเมื่อ แต่ตัวเองดันเป็นคนที่โหวกเหวกโวยวายว่าหาข้าทรยศ" พูดจบจูล่งก็เดินจากไปทิ้งให้เตียวหุยยืนค้างอยู่ต่อหน้าเหล่าเซงาคุ และ บรรดาทหารของเขา
“หื~ม...”
“พวกนายมองอะไรน่ะ” เตียวหุยเอ่ยถามเหล่าเซงาคุที่กำลังมองเขาด้วยสายตาเย้ยคนถูกสาวทิ้ง “มะ. มะ. ไม่ใช่อย่างที่พวกนายคิดนะ!”
“เหรอ~...” เหล่าเซงาคุเอ่ยเสียงกวนๆ
“บอกไม่ใช่ ก็ไม่ใช่สิ! อะ.อีกแป๊บเดียวเดี๋ยวนางก็หายงอนแล้ว” เตียวหุยแก้ตัว
“เหรอ~...” เหล่าทหารประสานเสียงกันแซวนายทัพ
“พวกแกยุ่งอะไรด้วยวะ! เดี๋ยวปั๊ดฟันหัวกุดทั้งทัพเลย!” เตียวหุยโวยลูกน้องด้วยหน้าที่แดงจัดไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธ หรือ อาย
“คุณจูล่งกับคุณเตียวหุยคบกันอยู่เหรอ?” คิคุมารุกระซิบถามทหารข้างๆ ตน
“อ๋~อ เปล่าหรอก ท่านเตียวหุยแอบรักท่านจูล่งอยู่ข้างเดียว ท่านเตียวหุยก็คอยตามตื้อนางอยู่เรื่อยนะ แต่นางก็ถูกนางเมินทุกที” นายทหารคนนั้นกระซิบตอบ
“เห~...” เหล่าเซงาคุที่ต่างตะแคงหูฟังหันไปมองเตียวหุยด้วยสายตาเย้ยหนุ่มช่างตื้ออีกครั้ง
“เฮ้ๆ! พวกนายกระซิบอะไรกันน่ะ!?” เตียวหุยโวยเมื่อเห็นท่าทีของเหล่าเซงาคุ
“พอได้แล้ว! เราพวกเราอยู่ระหว่างสงครามนะ ห้ามประมาทเด็ดขาด!” เทะสึกะเอ่ยเตือนด้วยท่าทีที่ดูสมกับเป็นผู้นำพร้อมกับเหล่าเซงาคุทั้งหลายนิ่งรับคำในทันที ทำให้เตียวหุยแอบยิ้มเยาะนิด “ไม่ว่าในสถานการณ์แบบไหน พวกเราก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ คุณเตียวหุยจะถูกคุณจูล่งเมินเป็นหมาหัวเน่ายังก็ไม่ต้องไปสนใจ!”
ฉึก! (แรงนะเนี่ย)
เตียวหุยเหมือนโดนทวนเล่มงามของจูล่งปักทะลุอกเมื่อถูกเอ่ยแทงใจดำ โดยที่ผู้เอ่ยไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วย ทำเอาเหล่าสมาชิกเซงาคุ และ เหล่าทหารรอบๆ ต่างอมยิ้มอั้นขำกันแทบไม่อยู่
“ตอนนี้มาช่วยคิดกันดีกว่าว่าจะทำยังไงกับทัพใหญ่โจโฉที่กำลังยกตามมาติดๆ”
“นะ นะ นั้นสิ” เตียวหุยดึงทวนที่ปักคาร่างตนออก (เฮ้ย!?) ก่อนยืดตัวขึ้น เอ่ยถามความคิดเห็นของเหล่าเซงาคุทั้ง 9 “พวกนายมีความคิดอะไรดีๆ เสนอมั้ย?”
“เอาวิธีนี้มั้ยล่ะ?” ฟูจิเสนอ
“หื~อ?”
ฟูจิเอ่ยกระซิบท่ามกลางวงล้อมของเตียวหุย บรรดาทหาร และ เหล่าเซงาคุ
“ไม่เลวนะฮะ” เอจิเซนว่า
“เข้าท่าดีนี่นา” โมโมะเห็นด้วย
“ฉันก็ว่าน่าจะใช้ได้” อินูอิสมทบ
“เอ๋~? เอางั้นจริงๆ อะ?” เตียวหุยเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
“นั้นสิ มันค่อนข้างเสี่ยงนะ” โออิชิเสนอ
“ใช่ๆ ถ้าพลาดขึ้นมาจะทำยังไง?” ทากะถามด้วยท่าทีกังวล
“เราก็พังสะพานทิ้งแล้วรีบหนีไง คงจะชะลอพวกลงไม่น้อยเลยทีเดียว” ฟูจิว่า
“น่าสนุกดีแง่ว~!” คิคุมารุเอ่ย
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นนะครับรุ่นพี่ ชู่ว~...” ไคโดเบรกคิคุมารุ
“สรุปว่าเอา หรือ ไม่เอาครับ คุณเตียวหุย” เทะสึกะเอ่ยถาม
“อืม... ก็ยังดีกว่าไม่มีแผนอะไรรองรับ” เตียวหุยว่าก่อนหยิบหน้ากากปีศาจของตนขึ้นมาสวม “ดีที่พวกเธออยู่ด้วย ไม่งั้นฉันอาจจะยืนสดพวกวุ่ยอยู่หน้าสะพานแล้ว”
“เอาล่ะ ดำเนินตามแผนกันเลย” เทะสึกะออกคำสั่ง
“งั้นฉันกับโออิชิจะไปเตรียมการกับพวกทหารอยู่หลังป่านะ” อินูอิว่า
“ฉันไปด้วย!” คิคุมารุยกมือเสนอตัว
“ฉันไปช่วยด้วยแล้วกัน” คาวามูระขอตามไปอีกคน
“งั้นฉันกับเทะสึกะจะอยู่เฝ้าสะพานอยู่กับคุณเตียวหุยแล้วกันนะ” ฟูจิบอก
“แล้ว... พวกผมละครับรุ่นพี่” เอจิเซนเอ่ยถามแทนตัวเองกับปี 2 ทั้ง 2 คน
“พวกนายเพิ่งฝ่าทัพใหญ่ข้ามสะพานมาได้ไม่นาน พักก่อนเถอะ ถ้าแผนการของเราสำเร็จเดี๋ยวคงได้ออกเดินทางกันต่อ” ฟูจิกล่าว
“ครับ
/ฮะ.../ชู่ว
” ทั้ง 3 ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ไปกันเถอะ เทะสึกะ” ฟูจิว่าก่อนเดินตรงไปที่สะพานพร้อมกับเตียวหุย
“รุ่นพี่” เอจิเซนเอ่ยเรียกเทะสึกะที่ทำท่าจะเดินตามฟูจิไปให้หันกลับมา “นี่ฮะ”
เอจิเซนโยนดาบที่เขายึดมาจากขุนศึกจอมเบ่งที่เขาจัดการไปให้เทะสึกะ
“ใช่นี่ดีกว่าฮะ...” เอจิเซนว่า
“อืม... ขอบใจ” เทะสึกะเอ่ยก่อนเดินไปร่วมกับอีก 2 คนที่สะพาน
หน้าสะพานเตียงปันเกี้ยว
“อ้าวเป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ข้ามไป?” ขุนพลบนหลังม้าเอ่ยถามเหล่าทหารที่ต่างก็หยุดนิ่งไม่เดินทัพต่อ
“ท่านบุนเพ่งดูนั้นสิครับ...” นายทหารคนหนึ่งชี้มือไปข้างหน้า
“หื~อ...?” บุนเพ่งมองไปตามนิ้วของทหารนายนั้น เบื้องหน้าของเขาก็คือชายหนุ่ม 3 คน ได้แก่ เตียวหุย ฟูจิ และ เทะสึกะ ที่ถืออาวุธยืนตระหง่านอยู่กลางสะพานเตียงปั้นเกี้ยว เส้นทางที่พวกเขาต้องใช้ผ่านไปยังอีกฝาก
“เหอะ! อีแค่คนถืออาวุธ 3 คนยืนขวางสะพานอยู่ก็ปอดแหกไม่กล้าบุกเข้าไปแล้วเรอะ! ทุเรศ!” บุนเพ่งต่อว่าทหารของตน
“ไม่ใช่ครับท่านบุนเพ่ง ดูด้านหลังพวกมันสิครับ” นายนทหารคนนั้นเอ่ยขณะยังชี้มืออยู่ดังเดิม
“หื~อ...?” บุนเพ่งมองตามมือนายทหารผ่านตัวเตียวหุยไปที่สภาพแวดล้อมเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยฝุ่นคลุ้งเต็มไปหมด “ฝุ่นงั้นเหรอ? แล้ว... มันฝุ่นอะไร?”
พรื~ด...!! กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ! ฮี้~...!!
‘เสียงม้างั้นเหรอ...? รึว่าพวกมันจะมีทหารซุ่มอยู่ในป่าหลังนั้น... ไม่เอาดีกว่า... รอคนอื่นๆ ตามมาก่อน แล้วค่อยว่ากัน’ บุนเพ่งคิด
“จะเอายังไงครับท่าน?” นายทหารข้างกายเอ่ยถาม
“สั่งการไปว่าให้ยืนม้าเตรียมพร้อม รอทัพใหญ่ตามมาก่อน” บุนเพ่งออกคำสั่ง
“ขอรับ!” นายทหารรับคำสั่ง
“มันดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ...”
สะพานทางตรงข้าม
“เหมือนจะได้ผลนะครับ” ฟูจิเอ่ยบอกเตียวหุย
“หึๆๆ... ไม่น่าเชื่อว่าพวกวุ่ยมันจะโง่กันขนาดนี้” เตียวหุยว่าก่อนหันกลับไปมองม่านฝุ่นที่ปลิวตลบอยู่เบื้องเหลังตน
ป่าหลังสะพาน
“แค่กๆ~ ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย” คิคุมารุบ่นขณะควบม้าที่มัดกิ่งไม่ไว้ที่ขา
ให้เดินวนไปวนมาทำให้เกิดเป็นฝุ่นลอยคลุ้งพร้อมกับอินูอิ โออิชิ คาวามูระ และ เหล่าทหาร
"เอาน่าทนหน่อย นายอยากช่วยไม่ใช่เหรอ?" โออิชิว่า
"ไม่น่าเสนอตัวเลยแฮะ..." คิคุมารุบ่นก่อนตะบึงม้าคลุกฝ่นต่อไป
ไม่ไกลจากสะพานนัก
“หื~ม?”
“มีอะไรเหรอ เตียวเลี้ยว?” ชายร่างยักษ์เอ่ยถามชายในชุดเกราะสีเงินที่เดินม้านำเดินทัพอยู่ข้างๆ กัน
“ดูนั่นสิ เคาทู” ชายในเกราะสีเงินชี้มือไปเบื้องหน้า
“เหอ~? นั่นมันทัพบุนเพ่งนี่นา ไหงยืนทัพนิ่งอยู่อย่างนั้นล่ะ?” ทั้ง 2 มองหน้ากัน ก่อนจะกระทุ้งท้องม้าตรงเข้าไปหาบุนเพ่งที่ยืนม้ารออยู่หน้าทัพ
“บุนเพ่ง!” 2 ขุนพลบนหลังม้าเอ่ยเรียกขณะขี่ม้าเข้ามายืนข้างบุนเพ่ง
“เตียวเลี้ยว เคาทู มาพอดีเลย” บุนเพ่งว่า
“มีอะไรเหรอ ไหงเจ้ายืนทัพนิ่งไม่ไปไปต่อ?” เตียวเลี้ยวถาม
“ดูนั่นสิ” บุนเพ่งชี้ให้ดูภาพเบื้องหน้า
“หื~ม?” เตียวเลี้ยวมองไปตามที่บุนเพ่งบอก ก่อนพยักหน้าเหมือนเข้าใจ “อืม...”
“เจ้าไม่กล้าบุกต่อเพราะแพ้ฝุ่นเหรอ บุนเพ่ง?” คำถามแสนซื่อ (บื่อ) ของเคาทูทำเอาเตียวเลี้ยวกับบุนเพ่งเกือบหงายหลังตกม้า
“ไม่ใช่คืออย่างงี้...” บุนเพ่งกระซิบบอกเคาทู
“อ๋อ~! เข้าใจแล้ว ทางนั้นอาจจะมีทหารซุ่มรอปะทะกับเราอยู่ ดูจากฝุ่นผงคลีม้าท่าจะมีจำนวนไม่น้อย เจ้าก็บอกอย่างงี้ตั้งแต่แรกสิ ชี้ให้ดูเฉยๆ ใครจะไปรู้เล่า” เคาทูว่า
เตียวเลี้ยวถึงกับกุมขมับในขณะที่บุนเพ่งยิ้มแหย่ๆ แล้วหันมามองหน้าเขา
“มีอะไรกันเหรอ~? บุนเพ่ง เคาทู เตียวเลี้ยว” เตียวคับที่ตามมาอีกคนเอ่ยถาม
“เตียวคับ ดูนั้นสิ” บุนเพ่งชี้มือไปเบื้องหน้า
“หือ~? ที่ไม่บุกต่อเพราะพวกเจ้าแพ้ฝุ่นงั้นเหรอ?” เตียวเลี้ยวกับบุนเพ่งเกือบหงายหลังตกม้าอีกครั้งเมื่อ ชายมาดกระเทย เอ่ยถามคำถามแสนซื่อ (บื่อ) เช่นเดียวกับเคาทู ลำบากบุนเพ่งต้องกระซิบบอกอีกคน
“เฮ้ย! เตียวคับ เกราะเจ้าไปโดนอะไรมา!?” บุนเพ่งที่เผอิญสังเกตเห็นเกราะที่ถูกฟันขาดเป็นสองเสี่ยงของเตียวคับเอ่ยถาม
“...” เตียวคับนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาเบาๆ “จูล่ง แห่ง เสียงสัน”
"หะ. หา~?" พรรคพวกทั้ง 3 ทำท่าจะถามต่อ แต่เมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของเตียวคับ ก็จำใจเงียบลงแล้วหันกลับมาสนใจสถานการณ์เบื้องหน้าตนต่อไป
“ข้าว่ารอคนอื่นมาก่อนดีกว่า” บุนเพ่งเสนอ
"อืม..." ทั้ง 3 ตอบรับ
ครู่หนึ่งต่อมา
“อ้า~ว บุนเพ่ง เคาทู เตียวเลี้ยว เตียวคับ? ไหงมายืนออกันตรงนี้ล่ะ?” โจหยินที่นำทัพใหญ่มาพร้อมกับลิเตียน แฮหัวเอี๋ยน และ งักจิ้น เอ่ยถาม
“พอดีเลยโจหยิน ไปพาโจหองกับท่านโจโฉมานี่ทีสิ เราเจอปัญหาใหญ่แล้ว” เตียวเลี้ยวว่าขณะชี้มือไปข้างหน้าให้ขุนพลคนอื่นๆ มองไปตาม
“หืม~?” โจหยินมองไปตามมือของเตียวเลี้ยวก่อนพยักหน้ารับคำ “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปตามมาเดี๋ยวนี้แหละ”
และแล้วโจหยินก็ควบม้าวิ่งเข้าไปหาผู้นำทัพสูงสุดกับคนสนิทที่สถิตอยู่กลางทัพ
สะพานเตียงปันเกี้ยว (อีกฝาก)
“คุณเตียวหุยดูนั่น” ฟูจิที่เห็นบางอย่างจากทัพวุ่ยเบื้องหน้าเรียกให้เตียวหุยหันหน้าไปมองตาม
“นั่นมัน” เตียวหุยเอ่ยขณะกัดฝันแน่นด้วยความแค้นเมื่อเห็นชายที่ทั่วแผ่นดินต้องรู้จักเดินม้าออกมาจากกลางทัพ
ชายผมเรียบสีดำสนิทยาวระต้นคอ ดวงตาคมราวพญาเหยี่ยว นัยน์ตาสีแดงฉานราวปีศาจ ใบหน้าหล่อเหลา ผิวสีขาวเนียน ในชุดขุนศึกอย่างหรู พร้อมกับผ้าคลุมชั้นสูงสีน้ำเงินเข้มที่คลุมมิดทั้งตัว เห็นเพียงแค่ด้ามดาบคู่บารมีที่โพล่ออกมาเล็กน้อย
“นั้นใครเหรอครับ?” ฟูจิถาม
“นั้นแหละ โจโฉ ไอ้
” เตียวหุยเอ่ยชื่อด่าชายที่กำลังทอดสายตามองพวกเขาอย่างใส่อารมณ์ที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ตอนนี้
หมับ...
“เย็นไว้ครับ ยังไม่ถึงเวลา อย่าวู้วามครับ...” เทะสึกะเอ่อเตือนเตียวหุย “อย่าให้แผนการที่วางไว้ต้องล้มเหลวครับ”
“อืม...” เตียวหุยเบาอารมณ์พลางสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วปล่อยออกมา ก่อนเอ่ยขอโทษ “โทษทีนะ เทะสึกะ”
“ครับ” เทะสึกะตอบรับก่อนมองตรงไปที่จอมทัพแห่งวุ่ย ‘นั่นน่ะเหรอโจโฉ? ผิดกับที่คิดเลย... แต่ท่าทางดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าที่เราคาดไว้ซะอีก... สมแล้วที่ได้เป็นถึงมหาอุปราชแห่งแผ่นดิน’
กลับมาทางฝั่งวุ่ย
“อืม...” โจโฉบนม้าศึกชั้นดีสีดำสนิท ยืนมองสถานการณ์ที่ทำให้เหล่าทหารของตนต่างไม่กล้าเดินทัพต่อจนต้องเรียกตัวเขามาสั่งการณ์เอง
“ที่ไม่เดินทัพต่อ... เพราะพวกเจ้าแพ้ฝุ่นงั้นหรือ?” คราวนี้เหล่าขุนพล และ ทหารรอบๆ ต่างหงายหลังตกม้าไปตามๆ กัน
“ท่าน... โจโฉ...” โจหองคนสนิทของโจโฉยิ้มแหย่ๆ หลังปีนกลับขึ้นมาบนม้า
“ข้าอำเล่น...” โจโฉพูดด้วยเรียบเฉย ไร้การเคลื่อนไหว ไร้การแสดงอารมณ์ ไร้ซึ่งท่าทีล้อเล่น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ดูยังไงก็ไม่เหมือนอำ (แสดงว่าหน้าตายด้านสุดๆ)
“ถ้าอำข้าว่าเสือคือแมวข้าก็เชื่อนะ ดูไม่ออกจริงๆ” เหล่าทหารสุมหัวกันเม้านาย
“เหอๆ ขนาดข้าอยู่กับท่านมาตั้งหลายปี ยังแยกไม่ออกเลย ว่าท่านอำ ประชด หรือ พูดจริง” โจหองกล่าว
“ถามจริงโจหอง ท่านโจโฉเคยแสดงอารมณ์อะไรให้เห็นรึเปล่า?” ลิเตียนถาม
“ไม่รู้สิ ข้าดูไม่ออก คงมีแต่ท่านแฮหัวตุ้นเท่านั้นแหละที่ดูออก” โจหองบอก
“นี่! เราอยู่ระหว่างสงครามนะ...” โจโฉว่า
“เออ! ขอประทานโทษครับ” เหล่าขุนพลที่สุ่มหัวกันอยู่กลับมาประจำตำแหน่ง
“ตกลงว่าท่าคิดยังไงครับท่านโจโฉ จะบุกหรือจะถอยครับ” เคาทูถาม
“อืม...” โจโฉหลับตาลงทำท่าครุ่นคิด “ดูไปเหมือนไม่มีอะไร... แต่เราก็ไม่ควรประมาทอย่างที่พวกเจ้าว่านั่นแหละ พวกเราไม่รู้ว่าขงเบ้งมันว่าแผนอะไรไว้รึเปล่า”
“แล้วเราจะทำยังไงล่ะครับท่านโจโฉ?” โจหองถาม
“...” โจโฉเงียบไปครู่ “ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าศัตรูเป็นใคร... โจหอง”
“ครับ” โจหองพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจก่อนหันหน้ามาหาเตียวหุย “เจ้าคนที่เฝ้าสะพานอยู่น่ะ! ชื่ออะไรแซ่อะไร! บอกมาซิ!”
“ข้. หื~ม?” เตียวหุยที่กำลังจะตะโกนแนะนำตัวหยุดลงเมื่อถูกฟูจิสะกิดเรียก
“คุณเตียวหุยเอาหูมานี่ครับ” ฟูจิว่าก่อนกระซิบบอกบางอย่าง
“เข้าใจและ...” เตียวหุยกับฟูจิหันกลับไปมองพวกวุ่ยด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“หือ~?” เทะสึกะมองงงๆ
เตียวหุยก้าวเท้าออกไปข้างหน้าก่อนกระทุ้งทวนอสรพิษของเขาลงเกิดเป็นเสียงดังกังวานไปรอบบริเวณ
“พวกเจ้าอยากรู้ชื่อของข้างั้นเหรอ! ได้! ข้าจะบอกให้!” เตียวหุยสูดหายใจเข้าเต็มปอดทำท่าเหมือนจะตะโกน และแล้ว “ข้าคือเตียวหุย”
“หะ. หา~?” เหล่าขุนพลวุ่ยอุทานออกมาพร้อมกัน
“เจ้าว่าอะไรนะ!?” โจหองถามอีกที
“ข้าบอกว่า” เตียวหุยสูดหายใจเข้าอีกครั้ง “ข้าคือเตียวหุย”
“อะไรนะ!? พูดดังๆ หน่อยพวกข้าไม่ได้ยิน!” แฮหัวเอี๋ยวตะโกนบอก
“ข้าบอกว่า” เตียวหุยสูดหายใจเข้าอีกพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “ข้าคือเตียวหุย”
“ดังกว่านี้อีกซิ!” เคาทูตะโกนบอก ในขณะที่เหล่าขุนพล และ บรรดาทหารต่างพากันเอามือบ้องหูเอนเอียงข้างรอฟังไปตามๆ กัน
“ข้าบอกว่า” เตียวหุยสูดหายใจเข้าอีกพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นอีกนิด “ข้าคือเตียวหุย”
“แหกปากตะโกนมาไม่ได้รึไงวะ! พวกข้าไม่ได้ยิน!” บุนเพ่งว่า ตอนนี้เกือบทุกคนในทัพต่างเงี่ยหูรอฟังชื่อเตียวหุย โดยไม่ทันระวังตัว
‘เสร็จข้าล่ะ’ เตียวหุยแสยะยิ้มก่อนสูดหายใจเข้าลึกจนสุดปอด ก่อนแหกปากตะโกนสุดเสียง “ข้าคือเตียวหุย น้องร่วมสาบานของท่านพี่เล่าปี่ ใครกล้าเจอกับข้าก็เข้ามาเลย!!!”
“เง้อ~!” บรรดาขุนพล และ ทหารวุ่ยทั้งหลายตามหูอื้อไปตามๆ กัน ขุนศึกบางคนถึงกับตกม้าเพราะตกใจเสียงตะโกนแปดหลอดของเตียวหุย ที่ดังกังวานไปนรอบบริเวณ ทำเอาเหล่านกกาที่เกาะอยู่บนต้นไม้ต่างแตกตื่นพากันบินออกจากต้นไม้ทันที
“ทะ.ท่าน ท่านโจโฉ!” โจหองที่เพิ่งฟื้นคืนสติกลับมาหันมามองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วงแต่ “ง่ะ~!?”
“หื~อ” โจโฉที่นั่งหน้าตายเอามือทั้ง 2 ข้างอุดหูอยู่บนหลังม้า มองหน้าโจหองก่อนเอามือออกจากหู “เจ้าว่าอะไรนะโจหอง [เมื่อกี้ข้าอุดหูอยู่]”
“ปะ. เปล่าครับ” โจหองยิ้มแหย่ขณะยืนม้าเหงือตกไม่ต่างกับคนอื่นๆ ที่มองมา
“ท่านแฮหัวเจี้ยตายแล้ว!!” นายทหารคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อขุนศึกของตน ช๊อคตกม้าตายคาที่ “มะ. ไม่เอาแล้ว!! ถ้าต้องสู้กับไอ้หมอนี้ไม่เอาด้วย!!”
สิ้นเสียงนายทหารคนนั่นกับเพื่อนในทัพต่างพากันวิ่งหนีไปก่อน แล้วตามด้วยพวกขี้ขลาดที่วิ่งตามกันไป จนทัพของโจโฉหายไปเกือบ 1 ใน 4
“กลับมานี่นะไอ้พวกขี้ขลาด
!!” บุนเพ่งตะโกนแต่ก็ไม่มีพลอะไร
“หึ! เสียชื่อทัพหลวงแห่งมหาอุปราชหมด” เตียวเลี้ยวสบถ
“เรา... เอาไงต่อครับท่านโจโฉ?” โจหองถาม
“เตียวหุยงั้นเหรอ...?” โจโฉเอ่ยขึ้นเบาๆ ก็คิดย้อนความหลัง
ที่พำนักของโจโฉ (ระลึกความ)
เคล้ง~!
“ห๊ะ~!?” ง้าวจากมือขุนพลตาเดียวถูกฟันหลุดจากมือกระเด็นไปปักอยู่กับพื้นแสดงให้รู้ถึงผลแพ้ชนะในการประลอง
แปะ! แปะ! แปะ!
“เยี่ยมมาก... ฝีมือไร้ที่ติจริงๆ ตอนนี้ลิโป้ก็ตายไปแล้ว ตำแหน่งนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินก็คงหนีไม่พ้นเจ้า กวนอู” โจโฉกล่าวชมขณะตบมือให้กวนอู
“ท่านก็ชมข้าเกินไป ท่านโจโฉ เตียวหุยเก่งกว่าข้าอีกนะ” กวนอูว่า
“เจ้าก็ถ่อมตัวเกินไป” โจโฉเอ่ย
“ไม่เหรอท่าน เตียวหุยน่ะ ต่อให้ถูกข้าศึกล้อมไว้รอบด้านก็ตีฝ่าออกมาได้สบาย มีเขาแค่คนเดียวก็เปรียบได้กับมีพลอยู่นับหมื่น ข้าเทียบไม่ติดหรอก” กวนอูกล่าว
“...” โจโฉนิ่งไปครู่หนึ่ง “เตียวหุยงั้นเหรอ... ข้าจะจำชื่อนี้ไว้...”
สะพานเตียงปันเกี้ยวฝั่งโจโฉ (กลับสู่ปัจจุบัน)
“พวกเราถอยก่อน...”
“หะ. หา~?” โจหองหันมามองนายผู้ออกคำสั่ง
“ถ้านั่นคือเตียวหุยจริงๆ เราก็ไม่ควรประมาท กวนอูถึงขนาดเถิดทูนฝีมือว่าเก่งไม่แพ้ตน ขุนศึกคนนั้นคงมีฝีมืออยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว” โจโฉกล่าว
“ครับ” โจหองรับคำ “ถอยทัพ...!!”
โจโฉมองทัพของตนที่กำลังแปรทัพจากท้ายทัพเป็นหัวทัพแล้วเดินถอยออกไป ก่อนหันกลับมามองยังเตียวหุยอีกที
“หื~อ?” สายตาของโจโฉตรงเข้าประสานกันกับสายตาของเทะสึกะที่มองตรงมาที่เขาพอดี ‘นั้นมัน... เด็กหนุ่มงั้นเหรอ
?’
“ซูเฉา... ข้าอยากทดสอบอะไรหน่อย...” โจโฉเอ่ยพูดอยู่คนเดียวก่อนชักม้าเดินตามกองทหารของเขาไป “จัดการให้ด้วย
”
สะพานเตียงปันเกี้ยวฝั่งเตียวหุย
“ถอยทัพกลับไปหมดเลย...” ฟูจิว่า
“ฮ่าๆๆ!! ทัพหลวงของมหาอุปราชที่แท้ก็พวกปอดแหกดีๆ นี่เอง” เตียวหุยว่า
“เราอย่าเพิ่งประมาทดีกว่านะครับ...” เทะสึกะว่า
“ได้...” เตียวหุยพยักหนารับคำแนะนำจากเทะสึกะ “เอาล่ะพวกนายไปรวมกับพวกชาวบ้านเถอะ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
“นั้นพวกเราไปก่อนนะครับ” ว่าแล้วฟูจิกับเทะสึกะก็เดินมาเรียกพวกเอจิเซน ต่อด้วยเดินไปบอกให้พวกที่กำลังขี้ม้าทำฝุ่นผงคลีม้าให้หยุดลง แล้วเหล่าเซงาคุก็เดินก็พากันเดินไปหาพวกซากุโนะที่ร่วมอยู่กับขบวนอพยพ
“เอาไงต่อครับท่านเตียวหุย?” นายทหารคนหนึ่งเข้ามาถาม
“พังสะพานทิ้งซะ...” เตียวหุยสั่ง
ขบวนอพยพ
เหล่าตัวจริงเซงาคุเดินเข้ามายังป่าหลังสะพานที่บรรดาชาวบ้านจากขบวนอพยพที่ตอนนี้กำลังนั่งพักฟื้นฟูกำลังเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อ
“เฮ้! พวกรุ่นพี่มาแล้ว!” โทโมเอะเอ่ยเรียกพวกเพื่อนของเธอทั้ง 4 ให้หันมามองตามเธอ “เอ๋~! นั้น! รุ่นพี่โมโมะ! รุ่นพี่ไคโด! ท่านเรียวมะ!”
“เรียวมะคุง!” ซากุโนะร้องออกมาด้วยความดีใจ
“รุ่นพี่!” 3 หนุ่มปีหนึ่งร้องตาม ก่อนทั้ง 5 จะพากันวิ่งไปหาเหล่ารุ่นพี่ของตน
“ปลอดภัยกันทุกคนใช่มั้ยครับ?” คาจิโร่ถาม
“อืม ทุกคนสบายดี” โออิชิตอบ
“เรียวมะคุง ดีจังเลย กลับมาพร้อมหน้ากันแล้ว” คาสึโอะว่า
“ท่านเรียวมะต้องไม่เป็นไรอยู่แล้ว!” โทโมเอะพูดด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
“แล้วเธอไปยืดอะไรกับเขาด้วยล่ะ” โฮริโอะเอ่ยกัด
“เรื่องของฉันน่า!” โทโมเอะสวนกลับ
“โมโมะจัง~” ซากุโนะดึงแขนเพื่อนสาวไว้
“ไม่เอาน่าโฮริโอะคุง...”
“เฮ้! เรียวมะ! ทาเคชิ! คาโอรุ!” เสียงหวานๆ ที่พวกเอจิเซนรู้จักดังขึ้นไม่ไกลนัก
“คุณจูล่ง!” เหล่าเซงาคุหันไปมองก่อนเอ่ยชื่อผู้ที่เอ่ยเรียกพวกตนพร้อมกัน
“เป็นไงบ้าง ต้านทัพโจโฉได้มั้ย?” จูล่งเดินเข้ามาถาม
“เรียบร้อยแล้วครับ” ฟูจิตอบ
“ค่อยยังชั่วหน่อย
” จูล่งกล่าวก่อนหันมาเทะสึกะ “ขอเชิญพวกท่านมากับข้าทางนี้หน่อย ท่านเล่าปี่อยากพบพวกท่านทุกคน”
“ได้ครับ
” เทะสึกะตอบรับ แล้วพวกเซงาคุก็เดินตามจูล่งไป
จูล่งเดินนำเหล่าเซงาคุเดินผ่านเหล่าชาวบ้านจนมาถึงริมแม่น้ำเล็กแห่งหนึ่ง ที่มีบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าพวกเขา
“ข้าพาพวกเขามาแล้วค่ะ ท่านเล่าปี่” จูล่งว่าขณะก้มหัวลงคำนับ
“พวกท่านคงเป็นกลุ่มนักรบวัยเยาว์ที่จูล่งพูดถึงสินะ” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยาวประบ่าดูยุ่งนิดๆ ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้าเป็นประกาย สวยราวหยาดน้ำค้าง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ผิดกับวัยของตน หน้าตาดีจนเรียกได้เลยว่าหล่อเหลาเอาการ
ชายหนุ่มอยู่ในชุด เสื้อเกราะสีเขียวเข้มพร้อมกับผ้าคลุมลายมังกรที่ถูกถักทอยอย่างสวยงาม สะพายกระบี่มือเดียวติดไว้ที่เอวทั้ง 2 ข้าง ท่าทางดูเป็นมิตร มองรวมๆ พูดได้เลยสง่างาม และ เป็นที่น่าเคารพ อาจเพราะท่าทีที่ดูอ่อนโยน และ เป็นกันเองของเขาที่ทำให้เขาเป็นที่รักของเหล่าประชาชน
“สวัสดี เป็นเกียรติที่ได้พบ ช้าคือ เล่าปี่...”
ความคิดเห็น