ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Prince of Tennis in Three Kingdoms The Red Cliff

    ลำดับตอนที่ #5 : Match 4 สี่ซ่าฝ่าทัพรับอาเต๊า ศึกฝ่าประจัญบานข้ามทุ่งเตียนบันโบ๋

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 52


    />

    />

    Match 4

    สี่ซ่าฝ่าทัพรับอาเต๊า

    ศึกฝ่าประจัญบานข้ามทุ่งเตียนบันโบ๋

     

                   

                ทางนั้นเป็นไงบ้างเอจิเซน...!?” โมโมะตะโกนถาม
               
    ไม่เจอฮะ...! รุ่นพี่ล่ะฮะ...!?” เอจิเซนตอบก็ถามกลับไป

                ทางนี้ก็ไม่เจอเหมือนกัน...!” โมโมะตะโกนตอบ

                แล้วรุ่นพี่ไคโดล่ะครับ...!?” เอจิเซนหันไปถามไคโด

                ไม่เจอ...! ชู่ว์...!” ไคโดตอบ

                พวกเธอ...! เป็นไงบ้าง…!?” จูล่งตะโกนถามบ้าง

                ไม่เจอเลย ครับ…!/ฮะ…!” ทั้ง 3 ตอบ

                หลังจากฝ่าเหล่าทหารวุ่ยที่เดินเรียงทัพกันมาเป็นพันๆ นายมาตามทางที่หญิงคนนั้นบอก พวกเอจิเซนกับจูล่งกำลังพากันตามหาบ่อน้ำเก่าที่ฮูหยินน่าจะนั่งร้องไห้อยู่จากข้อมูลที่ได้มา

    ในที่สุดพวกเขาก็มาเจอเข้ากับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยศพของเหล่าชาวบ้านนับพันที่เต็มไปด้วยบาดแผล และ ลูกธนูที่เสียบคาร่างเกลื่อนเต็มไปหมด ทั้งพื้นถนน ในบ้านเรือน บนสิ่งของ หรือ ตามมุมต่างๆ ของหมู่บ้ายต่างถูกชโลมด้วยเลือดจากประชากรของมันเอง ตอนแรกที่ได้เห็นภาพที่เรียกันกว่าโศกนาฏกรรมแห่งสงคราม เด็กหนุ่มทั้ง 3 ถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว โมโมะเอากำปั้นอุดปากกัดฟันแน่น ไคโดเอาฝ่ามือวางไว้กลางหน้าผากก้มหัวลงไว้ทุกข์ ส่วนเอจิเซนยังคงสงบนิ่งรักษามาดไว้แต่ดวงตากลับฉายแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความสงสารจากหัวใจ เมื่อตั้งสติได้ทั้ง 3 หนุ่มก็กลับมาจดจ่อกับภารกิจที่พวกเขาอาสาเข้าช่วยเหลือจูล่งต่อไปเพื่อให้ใจไม่วอกแวก

    เด็กก็คือเด็ก ต่อให้ทำเป็นใจแข็งยังไง ดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววตาที่แสดงถึงอารมณ์ออกมาจากข้างในจิตใจอยู่ดี... จูล่งคิดขณะมองดูปฏิกิริยาของทั้ง 3 คน

                เจอมั้ย…!? จูล่งเอ่ยถามอีกครั้ง

                ไม่เจอครับ…!” ไคโด และ โมโมะประสานเสียงกันตอบ

                เจอแล้วครับ...!” เอจิเซนตะโกนเรียกคนอื่นๆ ให้มาทางเขา

                อยู่ไหน? จูล่ง โมโมะ และ ไคโดควบม้าตรงเข้ามาเอ่ยถามเป็นเสียงเดียวกัน

                นั้นไงฮะ... เอจิเซนชี้ไปยังบ่อน้ำเก่าใกล้ๆ ที่นี้มีหญิงสาวแสนสวยนั่งกอดบุตรในอ้อมอกร้องห่มร้องไห้อย่างเศร้าโศก

                ท่านบิฮูหยิน...!” จูล่งกระโดดลงจากม้าวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้น

                ~า? ท.ท่านจูล่ง!” บิฮูหยินร้องเรียกชื่อขุนพลสาวเบื้องหน้าตนด้วยความดีใจ

                ขอบคุณสวรรค์ ท่านยังไม่เป็นอะไร จูล่งคุกเข่าลงคำนับฮูหยิน

                โอ้... ฟ้ายังไม่ละทิ้งบุตรของข้าจริงๆ ช่างดีอะไรอย่างนี้ บิฮูหยินเงยหน้ามองฟ้าร้องไห้ออกมาด้วยความปลาบปลื้มปิติ โชคชาตะส่งท่านมาจริงๆ ท่านจูล่งโปรดนำอาเต๊าไปส่งให้ท่านเล่าปี่โดยปลอดภัยด้วยเถิด

                ค่ะ เชิญฮูหยินขึ้นม้าเถิด จูล่งยื่นมือเข้าไปทำท่าจะประคองฮูหยินขึ้น ข้าน้อยจะพาท่าน และ บุตรกลับไปหาท่านเล่าปี่โดยเร็วที่สุด

                ต้องขอโทษด้วย... ข้าคงไปกับท่านไม่ได้... บิฮูหยินทำหน้าเศร้าก่อนก้มหน้าลงมองที่ขาตัวเอง ข้าบาดเจ็บ...

                เฮือก... จูล่งถึงกับตาเบิกค้างเมื่อเห็นขาของฮูหยินถูกปักด้วยธนูเป็นแผลลึกจนเลือดออกเป็นทาง ป.ป.เป็นความผิดของข้าน้อยเองค่ะ หากข้าน้อยคุ้มกันไม่ให้รถม้าของท่านออกห่างจากสายตาก็คงไม่เป็นแบบนี้ ข้าน้อยยินดีรับโทษทุกประการค่ะ

                อย่าได้กังวลเลยท่านจูล่ง ท่านทำดีที่สุดแล้ว... เอาล่ะท่านรีบพาอาเต๊าไปเถิด บิฮูหยินว่าพลางยื่นบุตรชายในอ้มอกต้นให้จูล่ง

                ทำอย่างนั้นไม่ได้ค่ะ... หากให้นำอาเต๊าไปท่านต้องไปด้วย โปรดขึ้นม้าเถิดค่ะจูล่งยังคงดื้อดึง

                ท่านจูล่ง ตอนนี้ข้าบาดเจ็บสาหัส ท่านก็เห็น ข้าไม่อยากเป็นภาระ หากเราไปกันทั้ง 3 คน ไม่มีทางที่พวกเราจะรอดได้เลย แต่ถ้าไปกันเพียงแค่ท่านกับอาเต๊าก็น่าจะรอดไปหาท่านเล่าปี่ได้ เพราะฉะนั้นไปเถิด!” ฮูหยินขอร้อง

                ไม่ค่ะ ต่อให้ต้องเจอกับอะไรก็ตามข้าน้อยจะพาฮูหยินกับอาเต๊าน้อยไปส่งให้ถึงมือท่านเล่าปี่ให้ได้ แม้จะต้องเจอกับทหารซักกี่แสนคน นายกองสักกี่พันคน หรือ ขุนพลสักกี่ร้อยคน ข้าน้อยก็จะพาท่านทั้ง 2 ตีฝ่าออกไปให้ได้!” จูล่งพูดอย่างองอาจ

                หัวใจสตรีนางนี้ทำด้วยอะไรไยถึงได้กล้าแกร่งเพียงนี้ ฮูหยินเอ่ยชมจูล่งในใจขณะมองตาเธอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวาจาสัตย์ และ ความกล้าหาญที่ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดแต่แค่ความอาจหาญไม่สามารถทำให้รอดชีวิตได้หรอก คงไม่มีทางอื่นแล้วสินะ...

                จูล่ง... ไม่ว่าจะพูดยังไงท่านก็ไม่ยอมละทิ้งข้าสินะ... ฮูหยินวางอาเต๊าลงที่พื้นก่อนใช้แรงที่เหลืออยู่เฮือกสุดท้ายเอามือค้ำบ่อน้ำดันตัวลุกขึ้นยืนอย่างกระเสือกกระสน ฝากบอกท่านเล่าปี่ด้วย ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันข้ามีความสุขมาก ขอให้เขาประสบความสำเร็จในจุดมุ่งหมายของเขา...

                ท่านบิฮูหยิน จูล่งได้แต่จ้องมองนางอย่างทำอะไรไม่ถูก ขณะพยายามอ่านความคิดของนาง จนในที่สุด รึว่า...

                ลาก่อน... ท่านจูล่ง...สิ้นคำสั่งเสีย บิฮูหยินก็ปล่อยตัวเองให้ร่วงลงไปในบ่อน้ำสิ้นใจลาจากโลกใบนี้ไปในทันที

                ท่านบิฮูหยิน...!!” จูล่งร้องออกมาด้วยความตกใจไม่ต่างอะไรกับอีก 3 หนุ่มผู้เบิกตากว้างยืนม้าดูสถานการณ์อยู่ใกล้ๆ กัน

                ปัง!

    ไม่...!!” จูล่งเข่าอ่อนทรุดตัวลงด้วยความสะเทือนขวัญ แหกปากร้องลั่น ก่อนออกแรงทุบบ่อน้ำเก่านั้นเต็มแรงจนขอบบ่อถึงกับร้าวคามือเรียวสวยของเธอ

    คุณ... โมโมะทำท่าจะพูดปลอบใจจูล่งแต่ก็ถูกไคโดผู้อยู่ข้างๆ เอามือขว้างไว้

    อย่าดีกว่า... เขาเป็นชนชาตินักรบ ขืนพูดให้กำลังใจออกไปสุ่มสี่สุ่มห้ายิ่งทำให้แย่เข้าไปใหญ่ สู้ไม่พูดอะไรเลยดีกว่า... ไคโดบอก

    ... ทั้ง 3 พยักหน้าให้กันเศร้าๆ ก่อนหันไปมองจูล่งที่ขณะนี้กำลังอุ้มอาเต๊าน้อยขึ้นมากอดร้องไห้อยู่หน้าบ่อน้ำที่ฮูหยินใช้เป็นที่ปลิดชีพตนเอง

    เป็นความผิดข้าเอง... หากข้าทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้... หากข้าไม่พลัดหลงกับท่าน ท่านก็คงไม่ต้องมารับชะตากรรมแบบนี้... โปรดอภัยให้ข้าด้วยนายหญิง... ข้าน้อยทำผิดอย่างมหัตอโหสิกรรมให้ข้าด้วยเถิดท่านบิฮูหยิน...

     แง้~…!”

    จูล่งปล่อยโฮออกมาที่ละนิดพลางลูบปลอบอาเต๊าในอ้อมกอดที่กำลังร้องไห้เช่นเดียวกันราวกับทารกน้อยรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

    ตึก…! ตึก…! ตึก…! ตึก…!

    เสียงฝีเท้าจำนวนมากย้ำลงพื้นอย่างเป็นจังหวะดังขึ้นไม่ไกลจากพวกเขานัก ไม่บอกก็รู้ได้ทันทีว่าทัพหลักของวุ่ยใกล้มาถึงแล้ว

    คุณจูล่ง... เรียวมะเอ่ยเรียกจูล่งที่กำลังร้องไห้อยู่ พวกทหารวุ่ยใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้เราไม่สามารถช่วยฮูหยินกลับมาอีกได้แล้ว แต่เรายังสามารถช่วยเด็กนี้ให้มีชีวิตต่อไปได้นะฮะ...

    อืม... เข้าใจแล้ว... จูล่งว่าขณะเอามือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แล้วเอาลงมากวาดดินขึ้นมาถ่มปากบ่อไว้ ก่อนจะคลายเกราะตรงหน้าอกออกเล็กน้อย แล้วจึงนำอาเต๊าน้อยใส่ไว้ข้างใน

    ไม่เป็นไรนะครับคุณจูล่ง? โมโมะถามด้วยความเป็นห่วง

    ไหวแน่นะครับ? ชู่ว์... ไคโดเสริม

    อืม... จูล่งตอบก่อนเหยี่วงตัวขึ้นม้าพลางคว้าทวนที่สะพายไว้ข้างหลังมาถือไว้

    ฟังจากเสียงฝีเท้าป่านนี้แถวนี้คงมีแต่พวกวุ่ยเต็มไปหมดแล้ว ทางเดียวที่จะรอดคือต้องบุกฝ่าไปยังสะพายเตียงปันเกี้ยวเท่านั้น... เรียวมะ ทาเคชิ คาโอรุ พวกเธอพร้อมไหม?

                ครับผม!!” ทั้ง 3 ตอบอย่างเข้มแข็ง

                เราอาจไม่รอด... ไม่สิ... พวกเราต้องรอดไปให้ได้ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม ฉันดีใจมากที่ได้พวกเธอมาร่วมสู้ด้วย... เพราะฉะนั้นห้ามตายเด็จขาด... เข้าใจไหม?

                ครับผม!!”

                เอาล่ะ... จูล่ง เอจิเซน ไคโด และ โมโมะ ดึงบังเหียนม้าให้หันไปทางเดียวกัน จุดหมายของพวกเขาทั้งสี่คือสะพานเตียงปันเกี้ยวที่อยู่ไกลออกไปซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยทหารวุ่ยนับล้านนายเดินทัพเรียงรายกันนับไม่ถ้วน แต่อุปสรรคแค่นี้ไม่อาจทำให้ใจอันแข็งแกร่งขอจูล่งหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ตอนนี้ในใจของเธอที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกจากการทำผิดคำสาบาน ทำให้บังเกิดความมุ่งมันแรงกล้าไถ่บาปด้วยสัญญาข้อใหม่ที่ถึงแม้จะไม่สามารถแก้ไข้สิ่งที่พลาดไปได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร ไปกันเลย...!!”

    หยุดก่อน…!!” นายกองบนหลังม้าออกคำสั่งให้ทหารใต้บังคับบัญชาหยุดลง

    มีอะไรเหรอครับนายกอง? นายสิบบนหลังม้าข้างๆ เอ่ยถาม

    เจ้าได้ยินอะไรไหม?นายกองถามขณะเงี่ยหูฟังเสียง

    เอ๋~? นายสิบเงี่ยหูฟังบ้าง

    กรอบ...! กรอบ…! กรอบ…! กรอบ...!

    ฮี้~!! /อ๊า~ก...!!”

    หือ~?นายกอง และ นายสิบหันไปมองเสียงร้องที่ดังมาจากข้างหลังตน แต่ยังไม่ทันที่สายตาจะได้ประมวลภาพเข้ามายังสมอง ทวนเล่มงามก็พุ่งเข้าตัดคอทั้ง 2 หมดลมหายใจลงไปทันที

    ว้า~ก...!! ท่านนายกอง...!!” ทหารรอบๆ แหวกออกเป็นทางเมื่อเห็นขุนพลสาวกับเด็กหนุ่มอีก 3 คนควบม้าเรียงแถวกันพุ่งตรงเข้ามาตีทัพพวกเขาแตกกระเจิงได้อย่างง่ายดายราวกับพวกเขาเป็นแค่เครื่องกีดขวาง

    ข้าคือจูล่งแห่งเสียงสัน...!! หากใครยังอยากมีชีวิตอยู่ก็จงเปิดทาง...!! แต่หากคิดจะขวาง…!! ข้าจะไม่ละเว้น….!!” จูล่งตะโกนออกมาอย่างองอาจขณะที่ตะบึงม้ายกอาวุธขึ้นฟาดฟันเหล่าทหารที่พยายามจะหยุดเธออย่างอาจหาญ

    นี่... รุ่นพี่ไคโด เหตุการณ์จะเป็นไงต่อฮะ? ผมจำไม่ได้แล้ว เอจิเซนที่กำลังเงื้อดาบฟันทหารรอบข้างที่ทำท่าจะพุ่งหอกใส่เขา เอ่ยถามไคโด

    ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็... จูล่งตะบันม้าฝ่าพวกทหาร และ ขุนพลไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ข้ามสะพานเตียงปันเกี้ยวไปหาเล่าปี่ได้อย่างปลอดภัย ย๊า~ก...!! ชู่ว์...!!” ไคโดตอบขณะเหวี่ยงขวานด้ามยาวเข้าใส่พวกทหารที่กระโดดพุ่งตัวมาหาเขา

    ย๊า~ก...! ถ้างั้นเราก็แค่ขี่ม้าฝ่าไอ้ทหารพวกนี้ตามคุณจูล่งไปจนถึงสะพาน แล้วข้าไปก็จบใช่มั้ย? ไม่ยากเท่าไหร่แฮะ โมโมะเอ่ยยิ้มๆ พลางเอาค้อนกระทุ้งพวกทหารที่จับกันเป็นกลุ่มกระเด็นให้ออกไป

    ชิ! มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ ไคโดว่า

    นายว่าไงนะ เจ้าอสรพิษ!” โมโมะหันไปแยกเคี้ยวใส่ไคโด

    รู้เอาไว้ซะ! ถ้าทุกอย่างเป็นตามในหนังสือจริงๆ ละก็ พวกเราได้ลุยแหลกกันอีกนานแน่! ชู่ว์...!” ไคโดบอก

    ทำไมละฮะ? เอจิเซนเอ่ยถาม

    เพราะตามหนังสือระหว่างทางจูล่งสังหารขุนพลของโจโฉไป 2 คน ทหารเอกอีก 50 คน และ พวกทหารอีกเป็นล้านคน ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเราก็ต้องเจอกับ 2 ขุนพล 50 ทหารเอก และ ทหารอีกเป็นล้านคน ที่จะกรูเข้ามาฆ่าพวกเรา ชู่ว์...!” ไคโดอธิบาย

    ล้านคน!” โมโมะเอ่ยออก มาอย่างไม่เชื้อหู นายล้อเล่นรึเปล่า!?

    สถานการณ์แบบนี้ นายคิดว่าฉันพูดล้อเล่นงั้นเหรอ!” ไคโดตะคอกใส่โมโมะ

    อีกอย่างนะฮะ ถ้ารุ่นพี่ไคโดพูดล้อเล่นจริงๆ ล่ะก็ ฝนต้องตกเป็นฟ้ารั่วแน่ๆ... เอจิเซนเสริม (แห~ม เกินไป~... แต่จะว่าไปก็จริงนะ)

    แล้วจะเอายังไงล่ะ ถ้าเป็นอย่างงั้น พวกเรามีหวังหมดแรงก่อนพอดี โมโมะเอ่ยอย่างวิตกกังวล

    ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย... เอจิเซนเกริ่นขึ้นมาทำให้รุ่นพี่ทั้ง 2 หันมามอง

    แล้วนายจะทำยังไงล่ะ เอจิเซน? ไคโดถาม

    ก็ไม่ทำอะไร แค่ขี่ม้าตะลุยตามคุณจูล่งไปเรื่อยๆ เอจิเซนตอบหน้าตาย

    แล้วที่บอก ไม่เห็นมีอะไร นี้มันอะไร!” โมโมะว่า

    ที่ผมบอกว่าไม่มีอะไร หมายความว่า ถ้าทนไปจนถึงสะพานนั้นได้เราก็รอด แต่ถ้าเราหมดแรงก่อนฝ่าออกไปได้ก็ตาย แค่นั้น ไม่เห็นมีอะไรเลย...เอจิเซนยักไหล่

    พูดออกมาได้...โมโมะกับไคโดคิดด่าในใจ ขณะเหล่ตามองรุ่นน้องตัวดีที่พูดเรื่องความเป็นความตายออกมาได้อย่างน่าถีบ

    นี่พวกเธอ! เลิกคุยกันได้แล้ว! มีสมาธิหน่อย! นี้มันสนามรบนะ!” จูล่งตำหนิ

    ขอโทษคร๊า~บ... โมโมะกับไคโดตอบรับเสียงอ่อยๆ

    ไม่ไหวเลยพวกรุ่นพี่... เอจิเซนสายหน้า

    นายก็ด้วยแหละ…!!” โมโมะกับไคโดประสานเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

    นี่พวกเธอ...!!” จูล่งดุ

    คร๊า~บ... ทั้งสามจ๋อยไปตามๆ กัน

                เราเข้ามาในวงล้อมทัพวุ่ยแล้ว ไม่ช้าคงมีทหารเอก หรือ ขุนพลสักคนที่คุมทหารมาสกัดทางเราแน่นอน ระวังตัวไว้ให้ดี ศัตรูทุกคนล้วนมีฝีมือทั้งนั้น อย่าวอกแวก จดจ่ออยู่กับการรบให้มากที่สุด เข้าใจนะจูล่งกล่าวเตือนเด็กหนุ่มทั้ง 3

                หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ...!!” พูดไม่ทันขาดคำ บุรุษผู้หนึ่งขี่ม้านำทัพทหารเดินเท้าออกมายืนขวางทางจูล่งไว้ มีแค่ 4 คน ริอาจจะฝ่าทัพใหญ่ของท่านมหาอุปราชงั้นเหรอ ฮันเบ๋งคนนี้จะจัดการเจ้าเอง…!!”

                ทำได้ก็ลองดูเซ่~…!!” จูล่งไม่รอช้าตะบันม้าเข้าหาผู้สกัดทางทันที

                พวกเราไปด้วยกันเลย…!”

                อย่า! นี้คือการต่อสู้ของคุณจูล่ง คนอื่นห้ามเข้าไปแทรก!” ไคโดเอ่ยห้ามโมโมะ

                แล้วจะให้ยืนดูอยู่เฉยๆ รึไง!? โมโมะเอ่ยขึ้นเสียง

                พวกเราก็ค่อยจัดการพวกลูกกระจ๊อกที่เดิมตามหัวโจ๊กของพวกมันมาไงครับ เอจิเซนว่าก่อนเอาขากระทุ้งท้องม้า ไปกันเลย!”

                เคล้ง~!

              จูล่งกับฮังเบ๋งเข้าปะทะกันด้วยจิตสังหารที่อัดแน่นอยู่เต็มอาวุธของทั้งคู่แต่ด้วยกำลังที่เหนือกว่าของจูล่งทำให้แขนทั้ง 2 ข้างถึงกับสั้นชาไปทั้งแขน ทั้งที่เพิ่งจะลงอาวุธเข้าใส่กันแค่เพลงเดียว

                นี้มันอะไรกัน! แขนเราถึงกับสั่นเชียวเหรอ…!? ไม่ไหว! สตรีนางนี้เก่งเกินไป!’ ฮันเบ๋งคิดในใจอย่างหวาดกลัวขณะทำท่าจะชักม้าหนี แต่ไม่ทันที่จะได้ขยับตัว ทวนของจูล่งก็ฟาดตรงเข้าไปยังทวนของอันเบ๋งอย่างจัง

                เคล้ง~! ฟิ้ว...~! ฉึก!

                อ๊า~ก...!!” ทวนเล่มงามพุ่งเข้าสังเวยชีวิตฮันเบ๋งตกม้าไปหลังตวัดเอาทวนของเขากระเด็นหลุดมือออกไป

                ท. ท่านฮันเบ๋งเสร็จมันแล้วพวกเราถอย…!!” เหล่าทหารที่กำลังปะทะอยู่กับพวกเอจิเซนพอเห็นนายของตนเสียทีก็พากันแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง

                โห~…! สุดยอดเลยคุณจูล่ง ฟันกันแค่ 3 ทีก็จัดการหมอนี้ได้แล้ว…!” โมโมะว่าอย่างตื่นเต้น ถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไปเราคงไปถึงสะพานได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

                อย่าเพิ่งมั่นใจนักทาเคชิ นี้มันแค่การเริ่มต้น...

                คุณจูล่งฮะ มีมาอีกกลุ่มแล้วฮะ... เอจิเซนว่า

                เห็นมั้ย... เอ๊ะ~? จูล่งว่าขณะหันไปมองอย่างประหลาดใจ ถ้าจะเข้ามาโจมตีปกติต้องเปิดฉากตะโกนข่มขวัญศัตรูก่อนนี่นา... แล้วทำไม?’

                พรึบ...

                อะ เอ๋~…?” ทั้งสี่ผู้ยืนม้ามองดูกองทัพขนาดใหญ่เบื้องหน้าเดินทัพเข้ามาอุทานพร้อมกันเมื่อมองเห็นเหล่าทหารนับพันที่อยู่แต่งกายด้วยชุดเกราะสีม่วงแกมชมพูทั้งตัว นี้มันอะไรล่ะเนี่~ย...?

                หึๆๆ... แค่ 3 กระบวนท่า จัดการฮันเบ๋งได้ เจ้านี้ฝีมือไม่เลวเลย... เจ้าของเสียงทุ้มปนแหลมฟังแปลกๆ ดังมาจาก ชาย (เน้น) บนหลังม้าที่อยู่หน้าทัพของเขา ใบหน้าสีขาวซีด ปากสีแดงจัด ขนตายาวถูกดัดซะงอน เปลือกตาทาด้วยสีแต่งหน้าสีม่วงเข้ม เจ้าตัวแต่งองทรงเครื่องด้วยชุดเกราะสีเดียวกันกับเหล่าทหารเพียงแต่ตามแขน ไหล่ และ ลำตัว ถูกพาดด้วยผ้าลายดอกไม้สีชมพูสด

                ชายในชุดสีม่วงถือง้าวด้ามสีม้วงเข้ม ขี่ม้าก้าวออกมาจากหน้าทหารทั้งหลายด้านหลังเขา ด้วยท่าทางสะโอดสะองชวนให้ขนลุก แต่เจ้าช่างโชคร้ายเหลือเกินที่ต้องมาเจอกับข้า เตียวคับ ที่เต็มไปด้วยความเก่งกาจ และ รูปโฉมอันงดงามคนนี้

                ... ทั้ง 4ยืนม้าเงียบมองดูชายชุดสีม่วงนามเตียวคับที่กำลังออกมาแสดงตนต่อหน้าพวกเขา

                ถึงกับตะลึงในความงดงามของข้าเลยเหร~อ... มันแน่นอนอยู่แล้ว พวกเจ้าจะชมข้าก็เอ่ยปากออกมาเลย ไม่ต้องเก็บเอาไว้ ตายไปจะได้หมดห่วงเตียวคับพูดออกมาอย่างไม่อายใคร พร้อมชายตามองดูปฏิกิริยาของทั้งสี่ที่กำลังจะเอ่ยปากพูด และในที่สุด

                ตุ๊ด.../กระเทย!/เกย์!” เตียวคับแทบหงายหลังตกม้าเมื่อได้ยินคำที่ 3 หนุ่มแห่งเซงาคุเอ่ย

                หญิงหน้าเถื่อน!” คราวนี้เตียวคับหงายหลังตกม้าไปจริงๆ ทันทีที่คำพูดสุดท้ายออกมาจากปากจูล่ง (คิดได้ไงเนี่ย!? หญิงหน้าเถื่อน...)

                ... เหล่าเซงาคุทั้ง 3 เหล่ตามองจูล่งที่หันมามองด้วยแววตาใสซื่อ

                อ้า~ว...? ไม่ใช่เหรอ?

                ข้าเป็นผู้ชายโว้~ย...!!” เตียวคับที่ปีนกลับขึ้นมานั่งบนหลังม้าตะคอกใส่ ข้าคือเตียวคับหนึ่งในขุนพลเอกของท่านโจโฉ ผู้ที่ถูกร่ำลือกันว่างดงามที่สุดในทุกสมรภูมิ หึ! คนอย่างพวกเจ้าช่างไร้ซึ่งศิลป์ในการมองดูความงดงามของชายชาตรีของข้าซะจริง

                ชายตรงไหน เห็นๆ กันอยู่ว่า ตุ๊ด.../กระเทย!/เกย์!” 3 หนุ่มพูดพร้อมกัน

                บอกผู้ชายก็ผู้ชายสิฟะ!” เตียวคับตะคอกใส่ทั้ง 3

    นั่นผู้ชายเหรอน่ะ!? จูล่งเอ่ยขึ้นก่อนมองเตียวคับอย่างไม่เชื่อสายตา (อินโนเซนท์เหลือเกิน) ค่อยยังชั่ว ถ้าเป็นผู้หญิงหน้าเถือนจริงๆ ล่ะก็... น่ากลัวพิลึก...

    มันก็หน้าจะเป็นอย่างนั้นแหละ...ทั้ง 3 เหล่ตามองนักรบสาวอย่างไม่อยากเชื่อว่าขุนศึกมักกรน้อยแห่งเสียงสันจะใสซื่อได้ขนาดนี้ เวลาเท่ก็เท่สุดๆ เลย แต่พอทำซื่อซะหน่อยก็เอาซะแอ๊บแบ๊วเลย คุณจูล่งนี่ยังไงเนี่ย...

    เอาล่ะเลิกคุยจิ๊จ๊ะกันได้แล้ว มาเข้าเรื่องต่อ... เตียวคับทิ้งมาดเสียเซลฟ์ไปแล้วกลับมาเต๊ะท่าขุนพลตุ๊ดเหมือนเดิม [เฮ้คนเขียน! เดี๋ยวฟันคอหลุดซะหรอก! :เตียวคับ]

    ฝีมือไม่เลวแม่นักรบสาวแต่วันนี้นับเป็นวันที่ซวยที่สุดในชีวิตของเจ้าแล้ว หากเจ้าจะฝ่ากลับไปหาไอ้เล่าปี่นายสุดที่รักของเจ้าล่ะก็ เจ้าต้องผ่านข้าผู้มาพร้อมกับฝีมือที่เปี่ยมไปด้วยความงดงามให้ได้ซะก่อน

    หึ! ไม่ใครก็ตามที่ขว้างทางข้า ผู้นั้นต้องได้ลิ้มรสคมทวนของข้า จูล่งก็ทิ้งมาดแอ๊บแบ๊วไป แล้วกลับมาสู่มาดขุนพลผู้องอาจดังเดิม [ไอ้คนเขียนลำอียง ของคนอื่นเขียนซะดีเชียว! :เตียวคับ] (ยุ่งมากเดี๋ยวตัดออกจากเรื่องเลยหนิ! ฉันคนเขียนนะเฟ้ย!) [เออแกใหญ่ :เตียวคับ]

                งั้นก็มาเจอกันหน่อย...!” ว่าจบเตียวคับก็ตรงเข้าจู่โจมจูล่งทันที

                เข้ามาเลย…!!” จูล่งก็ไม่รอช้ายกทวนเข้าปะทะกันทันที

    เคล้ง~!

    ระหว่างที่ขุนพลเขาสู้กัน ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ตีกันเองใช่มั้ยฮะ... เอจิเซนว่า ขณะมองไปยังเหล่าทหารของเตียวคับที่ทำท่าเหมือนจะมุ่งเป้ามาที่พวกเขา

    ก็คงจะเป็นอย่างงั้นแหละ... ชู่ว์... ไคโดว่าตาม

    อย่างงี้ก็สวยเซ่...!” โมโมะเอามือถูกจมูกยิ้มๆ

    ลุยกันเลยมั้ยฮะ...? เอจิเซนถาม

    เออ...!!” โมโมะกับไคโดตอบพร้อมกัน

    ย่า!!”

    ฮี้~...!!”

    กรอบ...! กรอบ…! กรอบ…!

    มาแล้ว…!! พวกมันมีกันแค่ 3 คน จัดการเลย…!!!”

    เฮ้...!!!”

    เคล้ง~! ชัวะ! ฟิ้~ว...! ฉึก! เคล้ง~!

    เฮ้ๆ! ทำไมไม่หมดซะที! นี้เราไปเก็บคนล่ะร้อยกว่านายแล้วนะ!” โมโมะบ่น

    นี้มันทัพขุนพล! คิดเหรอว่าจะมีทหารแค่ 40 50 นายอย่างทัพทหารกระจอกๆ ที่เราเจอมา! ถ้าคิดจะจัดการให้หมด เราก็ต้องเก็บพวกมันอย่างต่ำก็พันกว่าคนได้มั้ง!” ไดโดว่า

    อะไรน~ะ...!!” โมโมะแหกปาก

    อืม... เข้าใจแล้ว เอจิเซนเอ่ยขึ้นก่อนโมโมะพูดจะได้อะไรออกมา ตามหนังสือบอกว่าโจโฉยกทัพมากว่าร้อยห้าสิบหมื่นเพื่อมากำจัดเล่าปี่ และ ยึดแดนทางใต้ต่อไป ร้อยห้าสิบหมื่นก็คือ 5 ล้านคน ถ้าแยกเป็นทัพของแต่ละผู้นำทัพ ระดับขุนพลก็คงมีกำลังพลไม่น้อยไปกว่าพันคนสินะฮะ

    อืม! นั่นคือจำนวนที่ต่ำที่สุดที่ต้องสู้ท่าเราโชคดี... แต่ถ้าไม่ เราคงต้องเจอกับทหารกว่าแสนนายแน่ๆ ชู่ว์.... ไคโดเสริม

    แล้วเอาไงล่ะ ถ้าต้องสู้แสนคนจริงๆ มีหวังได้หมดแรงอยู่ตรงนี้แน่ โมโมะถาม

    มันก็ไม่แน่หรอกฮะ... ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณจูล่ง... เอจิเซนตอบ

    เคล้ง~!

    ทั้ง 3 ละสายตาจากทหารรอบๆ ที่เริ่มเว้นระยะถอยห่างออกจากพวกเขาเป็นวงใหญ่พอสมควร หันไปมองดูสถานการณ์การประลองเพลงยุทธ์กันอย่างเอาเป็นเอาตายของเตียวคับกับจูล่งซึ่งสู้กันไปเพียงแค่ไม่กี่เพลง

    อะไรเนี่ย!? ช่างเป็นเพลงทวนที่รุนแรงอะไรขนาดนี้... ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ที่ข้ากำลังปะทะอยู่นี้จะเป็นเพียงแค่ขุนศึกสตรีไร้ชื่อคนหนึ่งเตียวคับคิดสรรเสริญอยู่ในใจทั้งๆ ที่ยังคงห้ำหั่นกันกับจูล่งอย่างไม่มีใครยอมใคร

     เคล้ง~!

                เพลงยุทธ์ช่างล้ำเลิศจริงๆ เจ้ามีชื่อแซ่ว่าอะไร ไหนบอกข้าซิ แม่นักรบสาว เตียวคับเอ่ยถามขณะที่ทั้ง 2 เอาด้ามอาวุธเข้าชนกันประลองกำลัง

                ข้าเตียวจูล่งแห่งเสียงสัน หนึ่งในทหารเอกของท่านเล่าปี่!” จูล่งตอบ

                เป็นทหารเอกเชียวเหรอ... เตียวจูล่ง... คนนี้เองเหรอที่เคาทูเกือบจะเสียท่าให้ในการรบครั้งนั้น... เห็นทีข้าจะประมาทไม่ได้แล้ว เตียวคับคิดพลางจ้องมาที่จูล่งด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป เหมือนนักล่ากำลังตั้งสมาธิอยู่กับเหยื่อ ทันใดนั้น

                ฟิ้ว!

              ห๊ะ~!”

                เคล้ง~!

              จูล่งตะวัดทวนของตนเข้าปัดง้าวของเตียวคับที่พุ่งเข้ามาหาตนด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นถึงขนาดที่จูล่งตั้งตัวเกือบไม่ทัน ทำให้คมง้าวเฉียดผ่านหน้าอกเธอไปเล็กน้อย

    หืม~? จูล่งเริ่มรู้ถึงกลิ่นอาย และ บรรยากาศรอบเตียวคับที่เปลี่ยนไป พร้อมทั้งจิตสังหารอันแรงกล้าที่พุ่งมายังเธอ จะเอาจริงแล้วเหรอ... ได้... งั้นข้าก็ไม่ออมมือล่ะ

                ชัวะ!

              หืม~? เอจิเซนดึงดาบออกมาจากนายทหารอีกคนที่เป็นเหยื่อของเขาขณะหันไปมองคู่ขุนพลน่าจะสู้กันอยู่ทันทีที่รู้สึกถึงจิตสังหารอันแรงกล้าที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากยอดฝีมือทั้ง 2 รุ่นพี่ฮะ ดูนั้นสิ... รู้สึกมั้ยฮะ...

                อืม... ชู่ว์... แรงกดดันอะไรขนาดนี้เนี่ย... ไคโดตอบ

                ต่อไปนี้คือของจริงสินะ...โมโมะว่าตาม

                ทั้ง 3 หนุ่มที่ตอนนี้เหงื่อแตกพล่าไปทั้งตัวเมื่อมองมายัง 2 ขุนพลที่กำลังตั้งท่าเตรียมเข้ารบกันรอบสอง ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยออร่าที่ถูกปล่อยออกมาให้ปะทะซึ่งกันและกันอย่างรุนแรงแม้ในขนาดที่ทั้งคู่ยังคงยืนม้าดูท่าทีซึ่งกันและกัน

    การปะทะกันของออร่านั้นสร้างแรงกดดันอันมหาสารที่แม้เหล่าทหารธรรมดาๆ ที่ยังสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายได้จากจิตสังหารของทั้งคู่ จนต้องพากันผละถอยออกมายืนมองอย่างลุ้นระทึก โดยไม่สนใจกับการจัดการพวกเอจิเซนอีกต่อไป

    ย่า!!” จูล่งกับเตียวคับเอากระทุ้งท้องมาให้ออกวิ่งก่อนเงื้ออาวุธพร้อมที่จะเข้าฟาดฟันกัน

    เคล้ง~!!

    เสียงคมทวน และ ง้าวเข้าปะทะกันดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำเอาเหล่าผู้ที่มองดูสถานการณ์ถึงกับผงะไปตามๆ กัน

    ย๊าก~…!!”

    เคล้ง~!! เคล้ง~!!เคล้ง~!! เคล้ง~!! เคล้ง~!!

    จูล่งกับเตียวคับเข้าแลกเพลงยุทธ์กันอย่างดุเดือด ด้วยทวงท่าอันสง่างามราวกับนี่คือการร่ายรำที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร และ ความรุนแรงอันน่าเกรงขาม

    สุดยอดช่างเป็นการต่อสู้ที่น่าทึ่งอะไรอย่างงี้ โมโมะเอ่ยชื่นชม

    ชู่ว์... งดงามแต่ดุดัน... เป็นขวัญตาจริงๆ ที่ได้มาเห็น ไคโดสมทบ

    ดูไม่ออกเลยใครจะชนะ คราวนี้ทั้งคู่ว่าขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

    ยังอ่อนหัดอยู่นะครับรุ่นพี่...  คุณจูล่งกำลังได้เปรียบอยู่นะฮะ...

    หือ~!? ทั้ง 2 หันมามองรุ่นน้องที่มองการต่อสู้เบื้องหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

                รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเลย เหมือนเลือดในตัวกำลังเดือดปุดๆ ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกัน...รอยยิ้มปีศาจปรากฏขึ้นมาบนหน้าเอจิเซน (โห~... ดาร์กเรียวมะ)

                ยิ้มงั้นหรอ... สายตาแบบนั้นมัน… ’ ไคโดกับโมโมะมองที่รุ่นน้องก่อนจะแสยะยิ้มเช่นเดียวกัน จากนี้จะเจออะไรไม่รู้... แต่ที่รู้คืองานนี้สนุกแน่...(นี่ก็ดาร์กกับเข้าด้วยเรอะ [แต่เดี๋ย~วนะ…!! ไคโดนี่นะยิ้ม...!!?])

    เคล้ง~!!

    อั๊ก...! ไม่น่าเชื่อ! ฝีมือร้ายกาจอะไรขนาดนี้! ต้องทำอะไรซักอย่างแล้วไม่งั้นข้าได้จบเห่ตรงนี้แน่…!’ เตียวคับคิดขณะรับเพลงทวนอันรุนแรงของจูล่งอย่างจวนตัว

     ใกล้จบแล้ว... เตียวคับ... อีกไม่ถึงนานเจ้าก็จำต้องลาโลกนี้แล้ว... อโหสิให้ข้าด้วย... ข้ายังมีงานชิ้นสำคัญต้องทำ...ขณะที่กำลังคิดปิดฉากการต่อสู้อยู่ในใจ จูล่งก็เอะใจถึงเรื่องสำคัญตรงอกของตนที่ตนเกือบลืมไป ก่อนก้มลงมองหน้าอกตนที่เพิ่งถูกง้าวของเตียวคับพุ่งเฉียวไปเมื่อไม่นานนัก เดี๋ย~วนะ…! ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว... นายน้อย... ไม่ขยับตัว... แย่แล้ว! ข้าจะมามัวเสียเวลาไม่ได้แล้ว!’

    หือ~! เปิดช่องว่างงั้นเหรอ เสร็จข้าล่ะ!’ เตียวคับคิดเมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดลง และ ท่าทางลุกลี้ลุกลนของจูล่ง พลางกระชับง้าวในมือแน่ก่อนวาดไปข้างหลังอย่างแรงหมายจะเหวียงกลับปลิดชีพขุนพลมักกร ตายซะเถอะ...!!”

    เคล้ง~!

    จูล่งปัดง้าวของเตียวคับออกด้วยความเร็วที่มองตามไม่ทัน ทำให้ผู้จู่โจมถึงกับตะลึงในความแรงของคมทวนที่กระแทกง้าวตนกระเด็นออกไป ก่อนตั้งท่าเตรียมรุกกลับ

    ย๊า~ก...!!” จูล่งยกทวนสุดหัวก่อนฟาดลงมาด้วยกำลังสุดแรง

    แย่แล้ว...!! ไม่ทันแน่...!!’ เตียวคับดึงง้าวกลับมาอย่างตื่นตระหนกขณะรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมา พลางยกง้าวขึ้นรับทวนของจูล่งที่พุ่งตรงลงมาอย่างแรง วินาทีชี้ชะของการต่อสู้แม่ทัพเตียวคับกับขุนพลสาวจูล่งมาถึงแล้ว ผลก็คือ

    ฟึบ~…!!

    ...

    เรียวมะ ทาเคชิ คาโอรุรีบไปต่อเร็ว...!!” จูล่งเอ่ยเรียกทั้ง 3 หนุ่มที่กำลังมองมายังเธออย่างงงๆ ให้เตรียมไปต่อ ก่อนกระทุ้งท้องม้าวิ่งนำหน้าไปก่อน

     ค.ครับ!!/ฮ.ฮะ... ทั้ง 3 ตอบพลางกระทุ้งท้องม้าให้ออกวิ่งตามจูล่งไป

    มันหนีไปแล้ว...!! พวกข้าจะไปจัดการกับมันเองท่านแม่ทัพ!!” ทหารเอก 2 คน บนหลังม้าที่ยืนคุมทหารให้เตียวคับเอ่ยขึ้น ก่อนควบม้านำทหารออกตามจูล่งไป

    ด.ด.เดี๋ยว…!! ม้าเอี๋ยน…!! เตียวคี...!! พวกเจ้าสู้นางไม่ได้หรอก...!!” เตียวคับพยายามตะโกนเรียกให้ทหารคู่กายทั้ง 2 กลับมา แต่ก็สายเกินไปซะแล้ว เตียวคับได้มองภาพทหารของตนวิ่งตามจูล่งไป

    ท่านแม่ทัพ ปล่อยนางไปมันจะดีเหรอครับ?นายร้อยคนหนึ่งข้างหลังเตียวคับเดินม้าเข้ามาหาขณะเอ่ยถาม

    ใครว่าข้าปล่อยนางไปล่ะ... เตียวคับเอ่ยทั้งๆ ที่ยังยืนม้านิ่งอยู่ท่าเดิม

    เอ๋~? นายทหารเดินม้าเข้าไปข้างๆ เตียวคับอย่างสงสัย ก่อนจะเบิกตากว้างร้องตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น นี้มัน…!!”

    ด้ามง้าวเหล็กที่ยกขึ้นขว้างทวนของจูล่งเมื่อครู่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนคามือเตียวคับที่ตอนนี้กำลังสั่นไปทั้งแขน เกราะตรงหน้าอกถูกตัดออกเป็น 2 ตั้งแต่บนจรดล่าง ช่างเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ ในชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาที เพียงเพลงทวนแค่เพลงเดียวที่พุ่งลงแสกหน้าเตียวคับไปถึงกับทำลายทั้งอาวุธ เครื่องป้องกัน และ ใจสู้ของคู่ต่อสู้ไปในพริบตา ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ ทำไม เธอจึงไม่เผด็จศึกเขา

    น่ากลัวจริง... ช่างเป็นศัตรูที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้... นายร้อยพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นกึ่งสรรเสริญ แต่ทำไมนางไว้ชีวิตท่านล่ะ... สงสาร สมเพช รึว่า เมตตา?

    เมตตางั้นเรอะ... ไม่มีทาง เตียวคับที่ยังคงนิงอยู่ท่าเดิมเอ่ยขึ้น นางเป็นถึงกับทหารเอกของเล่าปี่ นางรู้จักการแยกแยะความรู้สึกส่วนตัวกับหน้าที่ นักรบระดับนี้รู้ดีว่าหากไม่ฆ่าข้า พวกมันก็ต้องเจอข้าในสรภูมิอีก แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยข้าให้อยู่ต่อไป... คงมีเหตุผลบางอย่างทำให้มันไม่ข้าฆ่า แล้วปลีกตัวหนีไปแน่นอน...

    งั้นท่านม้าเอี๋ยนกับท่านเตียวคีก็ นายร้อยกลืนน้ำลายเฮือกอย่างรู้สถานการณ์

     

    กรอบ...! กรอบ…! กรอบ…! กรอบ…!

    แกหนีพ้นเหรอ...!!” เตียวคีแหกปากตาม

    คิดว่าปลีกตัวออกไปได้งั้นเหรอ…!!” ม้าเอี๋ยนแหกปากตะโกน

    ทำไมคุณจูล่งไม่จัดการเจ้าเกย์ล่ะครับ... ไคโดเอ่ยถามขณะหันหน้าไปมองม้าเอี๋ยนกับเตียวคีที่คุ้มกองทัพเข้ามาติดๆ

    นั้นสิครับ ถ้าจัดการเจ้ากระเทยนั้นไป ไอ้เจ้าพวกนี้ก็คงกลัวปอดแหกหนีไปคนละทิศคนละทางไปแล้ว... โมโมะสมบท

    ทำอย่างงั้นไม่ได้หรอก... จูล่งว่า ตอนนี้สถานการณ์ของเรากำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้านกำลัง และ เราต้องพุ่งเป้าหมายไปที่หน้าที่สำคัญของเราก่อนอย่างอื่น

                หน้าที่งั้นเหรอ... เอจิเซนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเบิกตาขึ้นเล็กน้อย รึว่าตอนนั้น...!”

                ถูกอย่างที่เธอคิดนั่นแหละเรียวมะ หลังจากถูกง้าวของเตียวคับเฉียดอกเมื่อกี้ นายน้อยก็ไม่ขยับตัวเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง... เพราะงั้นเราต้องรีบพานายน้อยไปยังที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด จะมามัวเสียเวลาไม่ได้

                แล้วมันเกี่ยวกับการไม่ฆ่าเจ้า กระเทย/เกย์ นั้นตรงไหนครับ? ไคโดกับโมโมะถามเป็นเสียงเดียวกัน

                ลองคิดดูดีๆ สิ จริงอยู่ถ้าฉันฆ่าเตียวคับไปเมื่อกี้เราคงไม่ถูกพวกทหารไล่ตามแบบนี้ ในทางกลับกันเราก็จะถูกพวกขุนพลรอบๆ ที่เห็นฉันฆ่าเตียวคับ ก็จะตรงเข้ามาขว้างเราไว้คราวนี้อาจไม่ใช่แค่คนสองคน แต่อาจเป็นทั้งกองทัพเลยก็ได้ จูล่งสารถยาย

                ก็เลยปลีกตัวออกมาทำท่าเหมือนหนีจากการต่อสู้ ปล่อยให้พวกปลายแถวไล่ตามเรามาแทนที่จะเป็นขุนพลยศสูงๆ สินะครับ... เอจิเซนว่า

                อืม... จูล่งตอบรับ

                อ๋อ~... เป็นอย่างงั้นเองเหรอ ชู่ว์... ไคโดพยักหน้าเข้าใจ

                ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าเจอคนเป็นกองทัพล่ะนะ โมโมะกล่าว

                ในชั่วเวลาแค่ไม่กี่นาที ทั้งๆ ตัวเองต่อสู้อยู่แท้ๆ แต่กลับสามารถคิดวิเคราะห์สถานการณ์ได้ขนาดนี้... สมเป็นขุนพลจริงๆ...

                คิดอะไรอยู่น่ะ เอจิเซน? โมโมะถามหลังจากเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังของเอจิเซน

                ไม่มีอะไรฮะ... เอจิเซนยิ้มพลางตอบปัดๆ

                หยุดตรงนั้นแหละ นังทหารกบฏ…!!” นายทหารบนหลังม้า 2 คน คุมทหารเข้าสกัดทางจูล่ง

                บ้าจริง... จูล่งกัดฟันสบถ ขณะยังควบม้าตรงเข้าไปหากองทัพที่ 2 นายทหารบนหลังม้าคุมมาขว้างทางของเธอ

    ฮ่าๆๆ...!! ดีมาก...!! เจียวเหีย…!! เจียวหลำ…!! เตียวคีเอ่ยอย่างฮึกเฮิม

    แกหมดทางหนีแล้ว...!!” ม้าเอี๋ยนว่าพลางใช้แส้ฟาดม้าให้เพิ่มความเร็วเข้าประชิดจูล่งอย่างลำพองใจ

    ลุยกันเลยครับคุณจูล่ง พวกเรา 4 พวกมันก็ 4 เก็บคนละคนตัวต่อตัวไปเลย…!” โมโมะหันหน้ามาพูดกับจูล่งขณะกำค้อนศึกในมือขวาไว้เตรียมลุยเต็มอัตราศึก

    พวกเราพร้อมแล้ว สั่งลุยได้เลย ชู่ว์...!” ไคโดว่าขณะทำท่าเหมือนกันกับโมโมะ

    ไม่... 4 คนนั้นฉันจะจัดการเอง... จูล่งเอ่ยอย่างห้าวหาญ

    อะไรนะครับ...!? โมโมะกับไคโดร้องถามเป็นเสียงเดียวกัน

    คิดว่าพวกเรารับมือไม่ไหวเหรอฮะ... เอจิเซนเอ่ยถาม

    ไม่ใช่อย่างนั้น... ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาแล้ว...จูล่งกล่าวด้วยแววตาจริงจัง ฉันรู้ว่าพวกเธอจัดการพวกนี้ได้ไม่ยากนัก แต่เราต้องรีบไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    แล้วจะให้พวกเราทำอะไรฮะ...? เอจิเซนมองหน้าจูล่ง

    ตีฝ่าทัพ แหวกทางให้ฉัน….”

    หือ~!? ไคโดกับโมโมะมองหน้ากัน

    ฉันต้องการให้พวกเธอตะลุยตีฝ่าทัพทหารวุ่ยที่ขวางพวกเรา เปิดทางไว้รอฉัน

    พูดง่ายๆ คุณจูล่งจะเก็บเจ้า 4 คนนี่เอง ระหว่างที่คุณจูล่งเข้าปะทะกับพวกนั้น พวกเราที่ว่างอยู่ก็ให้ตีเปิดทางเตรียมพร้อมรอเวลาที่คุณจูล่งจะเสร็จศึกแล้วตามออกมา อย่างงั้นสินะ... เอจิเซนขยายความก่อนมองมายังจูล่งด้วยแววตาจริงจังเช่นเดียวกัน ผมมีคำถาม... คุณจูล่งคิดว่าจะจัดการเจ้า 4 คน เสร็จทันพวกเราตีฝ่าทัพแหวกทางพอดีงั้นเหรอฮะ...?

    หึ... เธอคิดว่าฉันทำได้มั้ย เรียวมะ...? จ้องตาเอจิเซน

    ... เอจิเซนจ้องตาจูล่งกลับก่อนเอ่ยตอบขณะกระตุกยิ้มที่มุมปาก ระดับคุณจูล่ง ขุนพลมังกรแห่งเสียงสัน แค่นี้คงไม่เหนือบ่ากว่าแรง...

    หึ... พร้อมนะ!!” จูล่งเอ่ยให้สัญญาณเตรียมตัว

    ครับ…!!/ฮะ... ทั้ง 3 ตอบ

    ไป...!!” สิ้นเสียงจูล่ง ไคโด โมโมะ และ เอจิเซน ก็เอาเท้ากระทุ้งท้องม้าเร่งความเร็วพุ่งตรงไปยัง 2 นายทหารบนหลังม้า และ กองทัพเบื้องหลังทันที

    พวกมันมาแล้ว เตรียมรับมือ...!!” เจียวเหียเตือนสหายผู้อยู่ข้างๆ

    อื้ม! เข้ามาเลย...!!” เจียวหลำท้า

    ย๊าก...!!” 3 หนุ่มตะบันม้าขณะร้องตะโกนอย่างฮึกเฮิม (อันที่จริงแค่ 2 หนุ่มเรียวมะไม่ได้ร้องกะเขาเหรอ ขี่ม้าหน้าตายพุ่งมาเฉยๆ) กระชับอาวุธในมือ จนในที่สุดเมื่อถึงจุดเข้าปะทะ

    ย๊าก...!!”

    ฟึบ...!

    อะ...เอ๋~? เจียวเหีย เจียวหลำ ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ในท่ายกอาวุธเข้าเตรียมสู้เมื่อเด็กหนุ่มทั้ง 3 ขี่ม้าผ่านเขาไปราวกับพวกเขาไม่อยู่ในสายตา

    ย๊าก...!!” อีกด้านตัวจริงเซงาคุทั้ง 3 ก็ตรงเข้าตีฝ่าพวกทหารที่ยืนดาหน้ากันเข้าตะลุมบอนกับพวกเขา สังหารไปทีละกลุ่มๆ จนพวกที่อยู่รอบๆ เริ่มแหวกออกเป็นทาง

    ตกลงเราพวกนั้นเห็นเราเป็นตัวอะไรเนี่ย เจียวเหียหันมาคุยกับเจียวหลำ

    ในเมื่อถูกข้าศึกเมินแล้ว... เราจะเอาไงเนี่ย...?” เจียวหลำถาม

    ก็เจอกับข้าไง...!” จูล่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงชวนขนหัวลุกขณะขี่ม้ากระโจนเข้ามาทหารแซ่เจียวทั้งสองอย่างรวดเร็วจนทั้ง 2 เห็นเป็นภาพคลุมดำโผล่มอย่างหน้ากลัว

    เฮ้ย…!!” เจียวเหีย เจียวหลำ ยกอาวุธของตนขึ้นป้องกันทวนของจูล่งที่ฟาดตรงมายังพวกเขาอย่างจวนตัว จนเกือบเสียหลักตกม้า

    เจียวเหีย! เจียวหลำ! พวกข้ามาช่วยแล้ว…!!” เตียวคีตะโกนบอกขณะเร่งฝีเท้าตรงมาหาทั้ง 2 เจียวพร้อมกับม้าเอี๋ยน

    ลุยพร้อมกันเลย ม้าเอี๋ยนกล่างทันทีที่ขี่ม้ามาหยุดอยู่ระยะลงดาบหน้าจูล่ง ขณะเตียวคี เจียวเหีย เจียวหลำ และ ตัวเขาตั้งท่าเตรียมเข้าประจัญบานกับจูล่งที่ยืนรอพวกเขาในท่าพร้อมรบเช่นเดียวกัน

    ท่าแน่จริงก็เข้ามาพร้อมกันเลย...!!” จูล่งเอ่ยท้า

    โจหอง... ชายในชุดนักรบอย่างหรู ขี่ม้าที่ประดับด้วยอานอย่างดี ชายผู้ยืนดูสถานการณ์อยู่ ณ เนินเขาเกงสันเอ่ยถามทหารคู่ใจผู้อยู่ข้างกาย มานี่ซิ...

    ขอรับท่านโจโฉ ชายในเกราะขุนพลนามโจหองขานรับ

    เจ้านั้นไหม...? โจหองมองตามสายตาของโจโฉลงไปเบื้องล่าง

    ขอรับ มีอะไรหรือขอรับ...? โจหองถามอย่างไม่เข้าใจ

    ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ โจโฉว่าในขณะที่ตายังจ้องมายังภาพเบื้องหน้าเขาอย่างจดจ่อ ภาพของขุนพลในเกราะสีขาวทั้งตัว กำลังปะทะอยู่กับกองทัพนับแสน และ ทหารเอกทั้ง 4 คนของเขา ที่พุ่งเข้ามารุมเธออย่างไม่อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ถูกทวนด้ามยาวในมือเธอพุ่งเข้าปลิดชีพด้วยทวงท่าอันสง่างาม ราวกับเทพเจ้าลงมาร่ายรำเพลงทวนท่ามกลางอสูรร้ายที่หมายจะเข้าไปทำร้าย แต่ก็ทำได้เพียงพุ่งเข้าไปหาที่ตาย เจ้ารู้ไหมว่าขุนพลผู้นั้นคือผู้ใด...?

    ข้าจะลงไปถามให้ขอรับ โจหองว่าก่อนเอาแส้ฟาดก้นม้าควบลงจากเขาไป

    ย๊าก...!!”

    อ๊าก...!!” สิ้นเสียงร้องเจียวหลำก็สิ้นลมหายก่อนตกลงจากม้าลงไปนอนเป็นศพกองอยู่กับพื้นเหมือนเพื่อนร่วมศึกอีก 3 คนที่ถูกทวนของจูล่งพุ่งเข้าปลิดชีพให้ล่วงหน้าไปรออยู่ ณ นรกภูมิ

    ง่ายเกินไป... หน้าผิดหวัง... แต่ก็ดี จะได้รีบไปต่อ... จูล่งเอ่ยกับตัวเองเบาๆ

    ท่านขุนพลท่านมีนามว่าอะไร...!!” โจหองผู้ยืนอยู่ห่างจากเธอไม่ไกลนักตะโกนถามชื่อเข้ามาจากทางลาดลงเนินตรงข้ามกับตัวเธอ

    หือ~? ท่านคือผู้ใด! ใยมาถามนามของข้า...!!? จูล่งเอ่ยถามกลับ

    ข้าโจหอง หนึ่งในขุนพลแห่งวุ่ย ท่านโจโฉต้องการทราบนามของท่าน โจหองตะโกนตอบขณะยืนรอคำตอบจากจูล่ง

    จูล่งเงยหน้าขึ้นไปบนเนินเหนือหัวโจหองก็พบเข้ากับชายผู้เด่นเป็นสง่าบนหลังม้าศึกชั้นดี ผมสีดำสนิทยาวระต้นคอ ตาคมกริบราวเหยี่ยว นัยน์ตาสีแดงฉาน ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาที่ดูเรียบเฉยมองมายังเธอย่างเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความชื่นชม

    ชายผู้ที่ไม่ว่าใครก็รู้จัก มหาอุปราชผู้ถูกเรียกว่าโจรกบฏ ชายผู้อาจหาญกดขี่ฮ่องเต้ มหาบุรุษนายเหนือหัวแห่งวุ่ย โจโฉ

                ชวิ้ง...!

     ข้าเตียวจูล่ง แห่ง เสียงสัน...!!” จูล่งชักกระบี่กี่เทนเกี้ยมยกขึ้นชี้หน้าโจโฉพร้อมตะโกนบอกชื่อตนเอง

    หื~ม... แฮหัวอิ๋นเสร็จแม่นางนี้แล้วงั้นเหรอ... โจโฉคิดในใจทันทีที่เห็นดาบที่ตนให้ไว้กับลูกน้องคนสนิทอยู่ในมือขุนพลสาวข้าศึก

    เอ๋~...? เอจิเซนที่หันกลับมาดูการเคลื่อนไหวของจูล่งเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะมองดูภาพจูล่งยกดาบในมือท้าทายบุรุษอีกคนหนึ่งบนเนินเขา หมอนั้นใคร...?

    เฮ้...! เอจิเซน…! มัวเหมออะไรอยู่มาช่วยกันหน่อยเซ่...!” โมโมะตะโกนเรียก

    ฮะ...!” เอจิเซนตอบก่อนหันกลับมาทำภารกิจต่อทั้งๆ ยังคาใจอยู่กับภาพที่เห็น

    กรอบ...! กรอบ…! กรอบ…! กรอบ…!

    ว่าไงโจหอง…” โจโฉเอ่ยถามลูกน้องที่กำลังควบม้าขึ้นเนินตรงมาหาเขา

    นางบอกว่านางชื่อเตียวจูล่ง มาจาก เสียงสันครับผม โจหองตอบ

    อืม... ช่างเป็นขุนพลที่อาจหาญ น่าอิจฉาเล่าปี่จริงๆ... โจโฉเอ่ยชม สั่งการไปยังพลธนูม้ายิงเกาทัณฑ์ใส่จูล่งเด็จขาด ให้ล้อมจับมา เป็นๆ...

    ข.ขอรับ โจหองรับคำสั่งก่อนหันไปสั่งม้าเร็วให้กระจายคำสั่งไปให้มือเกาทัณฑ์

    โจโฉหันหน้าลงมาสบตาจูล่งอีกครั้ง ก่อนจูล่งจะหันกลับไปตีฝ่าทหารที่กำลังตรงเข้ามาแก้แค้นให้แม่ทัพของพวกเขา

                ย๊าก...!!”

                ผัวะ...!!

                ชู่ว์...!!”

                ชัวะ...!!

                ฮึบ!”

                ฉึก...!!

              กลุ่มสุดท้ายแล้ว…” เอจิเซนขณะขี่ม้านำไคโดกับโมโมะฝ่าออกมาจากทัพวุ่ยที่ตอนนี้ถูกตีแหวกเป็นทางรอการผ่านขอจูล่ง

                ย่า...!!” จูล่งควบม้าควงทวนเข้าฝ่าพวกทหารที่มุ่งเข้าโจมตีเธอมาตามทางที่พวกเอจิเซนเปิดไว้รอเธอมาอย่างรวดเร็วหลังการยกดาบท้าทายโจโฉ

                มาเร็วครับคุณจูล่ง...!!” ไคโดกับโมโมะว่า

                มาแล้ว...!” จูล่งพุ่งพรวดออกมาก่อนตะบึงม้านำพวกเอจิเซนให้ควบตามไป

                อยากฟังข่าวดีมั้ย? จูล่งถามยิ้มๆ

                หื~ม? ทั้ง 3 มองมายังคนถามอย่างงงๆ

                เห็นสะพานแล้ว จูล่งว่าขณะชี้ไปยังสะพานเตียงปันเกี้ยวที่มองเห็นอยู่ไกลๆ

                แจ๋ว...!! ใกล้ถึงแล้วสินะ โมโมะร้องออกมาด้วยความดีใจ

                หึ! ในที่สุด... ชู่ว์... ไคโดเอ่ยตาม

                นั้นไงมันอยู่นั้น...!! หยุดเดียวนี้นะจูล่ง…!!” เอจิเซนหันไปมองยังต้นเสียง

                รู้สึกว่าคุณจูล่งจะกลายเป็นคนดังไปแล้วนะฮะ... เอจิเซนว่า

                พวกข้าจงจิ๋น และ จงสิน มาจัดการเจ้าแล้ว...!! จงยอมจำนนซะดีๆ จูล่ง...!!” ทหารบนหลังม้าอีกสองนายพร้อมกับกองทัพอีกหนึ่งกองไล่ตามหลังพวกเขามาอีกครั้ง

                เฮ้อ...! เมื่อไหร่พวกนี้จะรู้จักคำว่าเลิกราซักทีนะ... จูล่งเอ่ยอย่างหน่ายๆ ก่อนดึงบังเหียนม้าให้หยุดวิ่ง

                หา~!” พวกเอจิเซนหันมามองจูล่งที่ยืนม้านิ่งเหมือนรออะไรบางอย่าง

                รู้หน้าที่นะ... จูล่งว่าพลางส่งสายตามาให้ทั้ง 3 หนุ่ม

                ค.ครับ พวกเอจิเซนตอบก่อนกระทุ้งท้องมาที่พวกเขาดึงบังเหียนให้หยุดลง

                เตรียมใจตายแล้วงั้นเหรอ...!!” จงจิ๋นเอ่ย

                มา…!! พวกข้าจะสงเคราะห์ให้...!!” จงสินกล่าวตาม

                ทั้งคู่พุ่งเข้ามาหาจูล่งด้วยความเร็วสุดฝีเท้าม้าหวังจะปลิดชีพขุนพลสาวที่ยืนม้าสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเหมือนกำลังรอให้พวกเขาไปสังหาร แต่ทันทีที่เข้าไปยังระยะลงดาบ

                ย๊าก...!! /ชู่ว์...!!”

                ฟึบ...!! ชัวะ...!!

                อ๊าก...!!” โมโมะกับไคโดเหวี่ยงอาวุธในมือเข้าปลิดชีพ 2 ชายแซ่จงตกม้าสิ้นลมอย่างรวดเร็วถึงขนาดทหารที่วิ่งตามมาถึงกะผงะออกด้วยความตกใจ

    เหว~อ...!! ท่านจงจิ๋น จงสิน เสร็จมันแล้ว...!!”

                หึๆๆ... เสร็จไปอีกสอง... เอจิเซนเดินม้าเข้ามาหาพวกทหารที่กำลังเสียขวัญด้วยใบหน้าเย็นชาชวนคนลุกราวกับถูกเงามืดปกคลุมรอบตัว ใครจะเป็นรายต่อไป...

     พวกนี้...!! ม.มันไม่ใช่คนแล้ว...!! ป.ป. ปีศาจ พวกเราหนีเร็ว...!!”

                ตัวใครตัวมัน...!!” พวกทหารที่ตามหลังมาเป็นทัพสนับสนุนต่างพากันปอดแหกวิ่งหนีพลางร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อายฟ้าดิน

                ฮ่าๆๆ...!! โกยแน็บไปเลย...!!” โมโมะหัวเราะพลางควงค้อนเล่น

                 หึ! น่าขายหน้า... อยู่กันเป็นกองทัพแต่กลับวิ่งหนีคนแค่ 4 คน ชู่ว์... ไคโดเอาขวาขึ้นพาดบ่าขณะเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

                แค่นี้ยังอ่อนหีดอยู่นะฮะ... เอจิเซนว่า ถ้าคุณจูล่งลุยเองละก็ พวกนั้นคงไม่เป็นอันหนีได้แต่ยืนวิญญาณออจาร่างคาที่แน่ ใช่มั้ยฮะคุณจูล่ง?”

                หึ... รู้บ้างว่า ไผเป็นไผ จูล่งกล่าวยิ้มๆ อย่าตามมาอีกล่ะ ไม่งั้นแม่จะฆ่าทิ้งทั้งกองทัพเลย!”

                ฮ่าๆๆๆๆ...!!” ทั้ง 4 หัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนาน

                เอาล่ะ... ไปกันเถอะ จูล่งว่า

                ครับ…!/ฮะ...

     

    สะพานเตียงปันเกี้ยว

              เฮ้~…! พวกเรา...! มีคนกำลังมีทางนี้อ่ะ…!” คิคุมารุเอ่ยเสียงดังดึงเอาความสนใจของเหล่าปี 3 เซงาคุที่ยินรอกันอยู่บริเวณสะพานให้หันไปมอง

                ใครน่ะเอจิ? ศัตรูหรือพวกชาวบ้าน?โออิชิถาม

                 เดี๋ยวน้~…” คิคุมารุเอามือป้องตาทำท่าเหมือนกำลังปรับโฟกัสกล้องส่องทางใกล้ก่อนจะร้องออกมาด้วยความดีใจ พวกเจ้าเปี๊ยกนี้นา...!!”

                เอจิเซนงั้นเหรอ…!? นั้นก็ยอดเลย...!” โออิชิว่า

                มากันแล้วเหรอ? อินูอิขยับแว่น

                ทุกคนปลอดภัยไหม? คาวามูระถาม

                เอ๊ะ...!? มีคนใส่ชุดขาวๆ ขี่ม้าตามมาด้วย…!” คิคุมารุเอ่ยเสริม

                หื~ม...!? ชุดขาว…!? จูล่งแน่เลย...!!” เตียวหุยที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางสะพานลุกขึ้นยืนก่อนหันมาบอกคิคุมารุที่กำลังยืนทำท่าส่องกล้องส่องทางไกลอยู่บนราวสะพาน

                เฮ้...!! โมโมะ...!! ไคโด...!! เจ้าเปี๊ยก...!! ทางนี้...!!” พวกปีสามโบกมือเรียกพวกเอจิเซนที่กำลังขี่ม้าตรงเข้ามา

                จูล่ง...!!!” เตียวหุยตะโกนเรียกจูล่งที่มาด้วยกัน

                นั้นรุ่นพี่คิคุมารุนี่นา...!!” โมโมะว่า

                แสดงว่าทุกคนรวมกันอยู่ตรงนี้สินะ! ชู่ว์... ไคโดว่าตาม

                แล้วใครนั่นอยู่ตรงนั้นน่ะ...? เอจิเซนถาม

                เตียวหุยนี่นา... เรารีบไปกันเถอะ อีกไม่นานโจโฉคงจัดทัพใหญ่ตามมาแน่นอน จูล่งว่า

                ครับ…!!” ทั้ง 3 ตอบรับ

                ในที่สุดไคโด โมโมะ เอจิเซน และ จูล่งก็มาถึง ณ จุดหมาย ทั้ง 4 ควบม้าตรงเข้าไปข้ามสะพานเตียงปันเกี้ยวที่ผู้รอค่อยทั้งรุ่นพี่ และ ขุนพลหน้าดำรอต้อนรับพวกเขาอยู่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×