คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Match 3 2 ขุนพลแห่งจ๊ก และ เหล่าเซงาคุ การพบกันในสนามรบ
Match 3
2 ขุนพลแห่งจ๊ก และ เหล่าเซงาคุ
การพบกันในสนามรบ
ฉัวะ!
“อ๊า~ก...!”
ตุบ!
“อโหสิกรรมให้ด้วยนะ...” โออิชิดึงหอกออกมาจากร่างไร้วิญญาณที่เพิ่งล้มลงไปกองกับร่างอื่นๆ ราว 50 กว่าศพที่เหล่าปี 3 เซงาคุเพิ่งสังหารไปไม่กี่นาที
“เฮ้~อ... หมดซะที” คุคุมารุว่าพลางเอาแขนเช็ดเหงื่อ
“3 คนนั้นจะมากันทางนี้จริงๆ เหรอ... เทะสึกะ?” คาวามูระถามขณะสะบัดเลือดออกจากขวานในมือ
“ถ้าทางนี้ไปสะพานเตียงปันเกี้ยวจริง พวกนั้นก็ต้องมา...” เทะสึกะตอบ
“หมายความว่าไง?” อินูอิถามซ้ำ
“ก็เพราะทางนี้เป็นที่พวกขบวนอพยพต้องเดินผ่านน่ะสิ” ฟูจิตอบแทน “3 คนนั้นจะไปเจออะไรก็ตาม ไม่ว่าจะถูกชาวบ้านลากติดไป ถูกทหารไล่ฆ่า หรือ บางทีอาจจะไล่ฆ่าทหารเสียเอง สุดท้ายก็ต้องหนีทัพหลักของวุ่ย มาผ่านทางนี้อยู่ดี”
“อืม... เข้าใจละ”
“เออ... รุ่นพี่คะ?” ซากุโนะทีอยู่รวมกันกับอีก 4 คนเป็นกลุ่มว่าขึ้น “ถ. ถ. ถ้าพวกเรียวมะคุง เออ... ไปเสียท่า หรือ ถูกพวกทหารจับไปล่ะคะ?”
“ไม่ต้องกลัว อย่างพวกนั้นคงไม่เสียทีให้ใครง่ายๆ หรอก” ฟูจิเอ่ยปลอบ
“ไปกันต่อได้แล้ว…” เทะสึกะว่าหลังแน่ใจแล้วว่าไม่มีทหารที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาอยู่ในระยะสายตาแล้ว
“อื้ม...” ทุกคนขานรับก่อนก้าวเท้าเดินตามท่านผู้นำไป
“นี่... พวกรุ่นพี่ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้นะ” คาจิโร่หันมาซุบซิบกับเพื่อน
“นั้นสิ... ลงมือฆ่า... หมายถึงสู้กับพวกทหารแบบไม่ลังเลเลย” คาสึโอะเห็นด้วย
“จะว่าไป ตั้งแต่ตกลามาที่นี้ พวกรุ่นพี่ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้” ซากุโนะว่าขึ้น
“ก็ไม่มีทางเลือกนี่นา” โทโมเอะแก้ตัวแทน “ถ้าไม่สู้ก็ต้องตาย ถ้าไม่อยากตายก็ต้องสู้ ถึงมันจะดู...โหด...ไปหน่อย...ก็เถอะ...”
“ไม่หน่อยล่ะ ฉันว่ามันโหดเกินไปแล้ว” โฮริโอะเอ่ยค้าน “คิดดูสินักเรียน ม.ต้น ชมรมเทนนิส ที่จู่ๆ จับอาวุธขึ้นมาฆ่าคนเพื่อป้องกันตัวเอง แต่กลับมีฝีมือขนาดพวกทหารยังเทียบไม่ติดอย่างนี้ พวกรุ่นพี่นี่เก่งเกินมนุษย์ซะแล้ว”
“เอ… ถ้าไม่ใช่มนุษย์ แล้วพวกฉันเป็นตัวอะไรเหรอ?”
“ไม่รู้สิ... น่าจะเป็น... ปีศาจล่ะมั้ง”
“เกินไปแล้วนะโฮริโอะคุง” คาสึโอะเอ็ดเล็กน้อย
“ไม่เหรอ พวกรุ่นพี่เหมือนปีศาจจริงๆ” โทโมเอะเห็นด้วยกับโฮริโอะ
“เอ๊ะ!? จะว่าไปเมื่อกี้ใครถาม?” คาจิโร่เริ่มเอะใจเจ้าของคำถามที่เจ้าของเสียงไม่น่าจะเป็นหนึ่งในพวกเขา
“ฉันเอง...”
“รุ่นพี่ฟูจิ!” ทั้ง 5 ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นฟูจิที่ไม่รู้มาจากไหนกำลังนั่งยองๆ ฟังพวกอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่อ่านออกได้ยากอย่างเช่นเคย
“พวกเธอคิดอย่างนั้นก็ไม่แปลกหรอกนะ” ฟูจิยืนขึ้นมองหน้ารุ่นน้องทั้ง 3 ก่อนยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแล้วว่าต่อ “ไม่ใช่แค่พวกเธอเหรอ แม้แต่ตัวพวกเราเองก็ยังมองเห็นตัวเราตอนนี้เป็นปีศาจเลย”
“เออ... ผมขอถามหน่อยครับ” คาจิโร่ว่า “ทำไมจู่ๆ พวกรุ่นพี่ถึงต่อสู้เก่งขนาดนี้”
“ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงใช่อาวุธได้คล่องขนาดนี้” ฟูจิยกดาบในมือขึ้นมามองดู “แต่ความรู้สึกตอนที่ใช้อาวุธสู้กับพวกทหาร มันรู้สึกเหมือนกำลังจับแร็กเก็ตตีลูกเทนนิสยังไงยังงั้นเลย”
“งั้นหรอกเหรอ... เข้าใจแล้ว ถ้ามันรู้สึกเหมือนเทนนิสจริงๆ ล่ะก็ พวกรุ่นก็ต้องเก่งไม่แปลกอยู่แล้ว” โฮริโอะกอดอกพยักหน้าทำท่าเข้าใจ
“เออ... แล้ว... รุ่นพี่... รุ่นพี่กล้าฆ่าคนได้ไงคะ?” ซากุโนะถามอย่างหวาดๆ
“…” ฟูจิลืมตาขึ้นทำหน้าจริงจังมองมายังทั้ง 5 คนที่กำลังรอคำตอบจากเขา “พวกเธอคงยังไม่รู้สินะว่าพวกเรารู้สึกยังไงในตอนนี้... พวกเรากำลัง กลัว...”
“กลัว?”
“ใช่... ทั้งฉัน โออิชิ เอจิ คุณ
อย่างที่เห็นเราอยู่ในยุคสงคราม การที่ต้องเอาชีวิตรอดอยู่ในที่แบบนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเธอเข้าใจเหรอกนะ ทหารพวกที่เราจัดการไปนี่ถูกฝึกมาให้ไร้ซึ่งความปราณี และ ไม่ลังเลที่จะฆ่าใคร... พวกเขาพร้อมจะสังหารทุกชีวิตเมื่อได้รับคำสั่งมาจากผู้บัญชาการ อย่าคิดว่าพวกเขาจะเมตตาหรือสงสารพวกเธอที่เป็นเด็กนะ อายุน้อยกว่าพวกเธอที่ยังไร้เดียงสาอยู่ หรือ แม้แต่แก่จนแทบจะลงโลงในอีกไม่นาน พวกเขาก็ฆ่าได้อย่างไม่อายฟ้าอายดิน ขอแค่ไม่ใช่ผู้คนของพวกเขาก็พอ...
เพราะฉะนั้น เมื่อเราต้องเข้าปะทะกับคนพวกนี้ เราต้องทิ้งความเป็นมนุษย์ไปซะหากเราหวาดกลัวที่จะต้องลงมือ เราก็จะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ หากเรายังต้องการมีชีวิตรอด และ หาทางกลับไปยังโลกปัจจุบันให้ได้ พวกเราต้องเด็ดขาด กล้าเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่ช้าจะกระหน่ำเข้ามาหาพวกเรา โดยไม่ลังเลกับอะไร... ขอให้พวกเธอเข้าใจด้วย... เราไม่ได้อยากเป็นปีศาจนักหรอก... แต่หากไม่เป็นแล้วเราก็จะไม่สามารถกลับไปยังโลกที่เราจากมาได้อีก...“
“...” ปีหนึ่งทั้ง 5 ต่างก้มหน้าก้มตาทำท่าทางเศร้าเมื่อสิ้นสุดคำกล่าวขอฟูจิ
“เอาน่~า... ร่าเริงเข้าไว้สิ!” ฟูจิกลับมาทำตาหยี่ยิ้มให้เป็นกำลังใจให้พวกรุ่นน้อง “ตอนนี้ทุกคนต้องการรอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะของพวกเธอนะ ในช่วงเวลาที่แบบนี้มีแต่สิ่งเหล่านี้ทำนั้นที่ทำให้มีกำลังใจอยากสู้ต่อไป”
“ครับ!/ค่ะ!” ทั้ง 5 ตอบรับอย่างสดใส
“ดีมาก...” ฟูจิว่าก่อนพารุ่นน้องทั้ง 5 เดินต่อไปท่ามกลางบรรยากาศที่ดูจะดีขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อทุกคนต่างยิ้มแย้มเป็นกำลังใจให้กันและกัน
“ฮี้~…!”
“เหวอ~!” โมโมะถึงกับตกใจร้องเสียงหลงเมื่อม้าที่ตนกำลังขึ้นไปนั่งค่อมอยู่นั้นสะบัดแผงคอตบเท้าตามนิสัยของมัน “ไม่เป็นไรแน่นะ เอจิเซน... มันไม่ยอมอยู่นิ่งเลย!”
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ขี้ม้าก็เหมือนขี้จักรยานนั้นแหละรุ่นพี่โมโมะ จับบังเหียนม้านิ่งๆ เดี๋ยวมันก็อยู่นิ่งๆ เอง” เอจิเซนว่าขณะนั่งบังคับม้าของเขายืนอย่างสงบนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ม้าของโมโมะ “ดูอย่างรุ่นพี่ไคโดสิ เอ... จะว่าไปรุ่นพี่ขี่ม้าเป็นด้วยเหรอ?”
“ชู่ว์...” ไคโดที่ยืนม้าดูสถานการณ์รอบๆ อยู่หันหน้ากลับมาหาเอจิเซน “ฉันเคยหัดขี่ตอนไปเที่ยวทะเลกับครองครัวเมื่อ 4 ปีที่ก่อน... แล้วนายล่ะเอจิเซน?”
“เคยฝึกขี่ตอนอยู่อเมริกา” เอจิเซนตอบห้วนๆ
“พวกนายหัดขี่มาก่อนก็สบายน่ะสิ ฉันอย่าว่าแต่ขี่เลย นี่เพิ่งเคยได้แตะต้องตัวม้าเป็นครั้งแรกในชีวิตนะเนี่ย” โมโมะบ่นขณะจับบังเหี้ยนม้าอย่างเงอะๆ งะๆ
“หึ! บ่นเป็นผู้หญิงไปได้” ไคโดจิกเล็กน้อย
“เฮ้! นายว่าไงนะ!” โมโมะดึงบังเหียนม้าเข้ามาหาไคโด
“หยุดเลยทั้ง 2 คน” เอจิเซนออกคำสั่งเสียงแข็งขณะยกดาบสีเงินแบบตะวันตกเล่มสวยที่เพิ่งชิงมาได้ขึ้นขวางทั้งคู่ไว้ “รุ่นพี่โมโมะ... บังคับได้แล้วหนิฮะ”
“หื~ม? เออจริงด้วย!” โมโมะว่ายิ้มๆ เมื่อยืนม้าอยู่เฉยๆ ได้สำเร็จ “ก็ไม่ยากนะ”
“แล้วทำเป็นบ่น...” ไคโดยังจิงไม่เลิกขณะยกขวานด้ามยาวที่เพิ่งได้มาเช่นกันกับค้อนศึกของโมโมะขึ้นมาแบกไว้บนไหล่
“เออน่ะ! เรื่องของฉัน!” โมโมะสวนกลับขณะทำท่าเดียวกัน
“เฮ้~อ...” เอจิเซนถอนหายใจก่อนเอาขากระทุ้งท้องม้าให้ออกเดิน “ไปเถอะฮะ”
หลังจากยึดเอาอาวุธ และ ม้าของ 3 นายทหารม้าจอมเบ่งที่พวกเขาเพิ่งจัดการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้ง 3 ก็ทำท่าเหมือนจะเริ่มออกตามหาคนอื่นๆ ต่อ แต่แล้ว
“เดี๋ยว! พวกท่าน! หยุดก่อน!” ชายคนหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านที่กำลังเดินโซซัดโซเซมากับพวกที่เหลือยกมือโบกเรียกพวกเอจิเซนที่กำลังขี่ม้าตรงมา
“หื~ม?” ทั้ง 3 หยุดม้าตรงหน้าชายคนนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพวกชาวบ้าน
“พวกท่านเป็นทหารของท่านเล่าปี่ใช่ไหม?” ชายคนนั้นถาม
“เออ... เปล่าครับ พวกเราเป็น... เออ...” โมโมะที่เกือบพลั่งปากบอกว่าเป็นนักเรียนเซงาคุพยายามนึกคำตอบใหม่
“พวกท่านสามารถสังหารพวกทหารวุ่ยนั้นได้อย่างดายอย่างนั้น พวกท่านต้องเป็นนายกองของทัพท่านเล่าปี่แน่ๆ เลย” ชายคนเดิมว่าเสริมเข้าไปอีก
“พวกก็เราเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ครับ” ไคโดตอบแทน “และที่จัดการพวกนั้นก็เป็นแค่การเอาชีวิตรอดเท่านั้นเอง ชู่ว์...”
“อ้าว... งั้นหรอกเหรอ... เฮ้~อ... หมดหวังแล้วสิ” ชายคนนั้นเอ่ยเสียงอ่อยๆ
“มีอะไรเหรอครับ?” โมโมะถาม
“พวกท่านก็กำลังจะไปหาท่านเล่าปี่เหมือนกันสินะ เห็นทีจะไม่ได้ซะแล้วล่ะ ข้างหน้ามีขุนพลวุ่ยกับกองทหารม้าประมาณ 50 นายยืนเฝ้าทางไว้อยู่... พวกเราคงไม่มีบุญได้ไปเห็นโลกใหม่พร้อมกับท่านเล่าปี่ซะแล้ว...” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสลดพร้อมกับเหล่าชาวบ้านคนอื่นๆ ที่มองหน้ากันด้วยท่าทีเศร้าสร้อย
“...” เอจิเซนมองไปยังเหล่าทหารม้าที่ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบอยู่ไกลออกไม่เกินระยะสายตา
“ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอครับ?” โมโมะเอ่ยถามชายคนนั้น
“ไม่มี... หากจะตามขบวนอพยพให้ทันก่อนทัพหลักของโจโฉจะไล่มาทัน ก็มีเพียงทางนี้เท่านั้น...”
“ไปกันเถอะฮะ” เอจิเซนพูดขึ้นมาดื้อๆ
“หา~!?” ไคโด และ โมโมะอุทานขึ้นพร้อมกัน
“นายจะบ้าเหรอเอจิเซน!?” โมโมะเอ่ยว่าเอจิเซน
“คิดอะไรของนายอยู่!? ชู่ว์...!” ไคโดสมทบ
“เขาก็บอกอยู่ว่าไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากทางนี้เท่านั้น เราก็ต้องไปทางนี้สิฮะ” เอจิเซนตอบหน้าตาย
“แต่มันมีทหารอยู่นะ!” โมโมะยังว่าเอต่อไป
“เราก็เก็บซะเหมือนพวกที่แล้วสิฮะ” เอจิเซนก็ยังตอบหน้าตายเหมือนเดิม
“มันไม่ได้ง่ายอย่างเมื่อกี้นะเอจิเซน!” ไคโดหันมาบอก “พวกเมื่อกี้น่ะเป็นแค่ทหารธรรมดา! แต่นี้เป็นขุนพลกับทหารม้าเชียวนะ! ทางที่ดีอย่าเสียงดีกว่า!”
“แล้วพวกรุ่นพี่มีทางอื่นเหรอฮะ?” เอจิเซนถามคืน
“เออ...” ทั้ง 2 นิ่งสนิทไปทันที
“ในเมื่อไม่มีทางอื่นแล้วก็ต้องไปทางนี้ หรือพวกรุ่นพี่จะอยู่รอเจอทัพหลักที่มีพวกเยอะกว่านี้เป็นหลายเท่าล่ะฮะ…” เอจิเซนย้อน
“อืม... เออ! เอาก็เอาวะ!” ทั้ง 2 ว่าขึ้นพร้อมกัน
“ลุง... ถ้าเห็นพวกทหารมันถอยทัพเมื่อไหร่แสดงว่าเราจัดการพวกมันได้แล้ว ให้เดินมาได้เลย แต่ถ้าพวกมันยังอยู่ไม่ไปไหนก็แสดงว่าพวกเราเสร็จมันแล้ว ให้พยายามหาวิธีอื่นต่อไปแล้วกันนะ” เอจิเซนหันมาพูดกับพวกชาวบ้าน
“จะไหวเหรอท่าน?” ชายคนนั้นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่มีทางเลือกแล้วหนิ... ไปกันเถอะ” สิ้นสุดเสียงเอจิเซนทั้ง 3 ก็ควบม้าตรงไปจุดที่กองทหารม้ายืนอยู่ทันที
“ย่า!” ทั้ง 3 กระทุ้งท้องม้าให้ออกวิ่ง
กรอบๆๆ...! ครื~ด...!
“หยุดก่อนรุ่นพี่!” เอจิเซนดึงบังเหียนม้าให้หยุดลงขณะบอกทั้ง 2 ให้ทำเช่นกัน
เอี๊ย~ด...!!
“มีอะไร?” ไคโด และ โมโมะที่กำลังวิ่งเข้าหาศัตรูอย่างบ้าระห่ำกระชากบังเหียนม้าเบรกสุดแรงจนเกือบเสียหลักล้ม ก่อนสะบัดหน้าหันกลับเอ่ยถามคนด้านหลังผู้เรียกให้หยุดเป็นเสียงเดียวกัน
“ดูนั้น...” เอจิเซนชี้มือไปข้างหน้า
“หื~อ?” ทั้งคู่หันกลับมองข้างหน้าตามที่เจ้ารุ่นน้องตัวดีชี้ทันที “เฮ้ย!”
“หนีเร็ว…!! ท่านขุนพลเสร็จมันแล้ว…!!” ทั้งที่ 3 หนุ่มที่ควบม้าพุ่งเข้ามาหวังจะลุยยังไม่ทัน ได้ทำอะไร จู่ๆ พวกทหารม้าทั้งหลายก็แหกปากร้องแตกกระเจิงควบม้าหนีไปคนละทิศละทาง
“อะไรเนี่~ย...?” โมโมะถึงกับตาข้างมองตามพวกทหารม้าที่ใส่เกียร์ผีควบม้าวิ่งกันกระเจิดกระเจิงอย่างไม่รู้สาเหตุ
“เกิดอะไรขึ้น...? ชู่ว์...” ไคโดงงเป็นไก่ตาแตกไม่แพ้กัน
“ดูนั่นสิ...” เอจิเซนชี้มือไปเบื้องหน้าของตนอีกครั้ง
“ห~า?” โมโมะ และ ไคโดหันมองตาม
ชัวะ... ตุบ!
“หือ...?” ศพคนที่น่าจะเป็นขุนพลตามที่ชาวบ้านบอกร่วงลงจากหลังมาลงไปกองอยู่กับพื้นทันทีที่ทวนเล่มสวยถูกดึงออกมา ตัวทวนเป็นสีเงินวาววับสะท้อนแสง ดามจับสีน้ำเงินเข้มยาวเกือบ 2 เมตรพร้อมกับพู่สีแดงสดใต้คมทวน ขณะที่ผู้ใช่เงยหน้าจากเหยื่อที่ตนเพิ่งสังหารไปขึ้นมามองพวกเขาทั้ง 3 “พวกเจ้าไม่ใช่ทหารวุ่ยหนิ….”
“พวกเราดูเหมือนทหารงั้นเหรอ?” เอจิเซนเอ่ยกวนๆ
“ก็ไม่เชิง...” เจ้าของทวนที่ปลิดชีพหัวหน้ากองทหารม้าในดาบเดียวจนทำให้เหล่าลูกกองทิ้งหน้าที่หนีหัวซุกหัวซุนไปในทันที ว่าด้วยเสียงนุ่มๆ ลื่นหู ฟังดูแปลกๆ เจ้าของทวนพิฆาตนั่งอยู่บนม้าสีขาวสวยเฉกเช่นเดียวกับเกราะที่อยู่บนร่างบางๆ แต่งามสง่าภายใต้ผ้าคลุมน้ำตาลพร้อมกับฮู้ดที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้ “แต่ดูจากท่าทางแล้วคงจะเป็นวรยุทธ์อยู่ไม่น้อย มิหน้ำซ้ำยังเป็นเด็กอีกต่างหาก... พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
“ก่อนที่จะถามชื่อคนอื่น ก็บอกชื่อตัวเองมาก่อนสิ” เอจิเซนยังกวนไม่เลิก
“โอ้... ขอโทษที่เสียมารยาท ข้า”
“ท่านจูล่ง! ท่านจูล่งจริงๆ ด้วย! พวกเรารอดตายแล้ว!” ชายคนเดิมร้องเรียกชื่อแทรกขึ้นมาก่อนที่เจ้าตัวจะได้แนะนำ
“ท่านคือเตียวจูล่งงั้นเหรอ!?” ไคโดอุทานขึ้นมาอย่างไม่เชื่อหูขณะจ้องมองเจ้าชื่อที่ทำให้เขาถึงกับเบิกตากว้างมองอย่างไม่เชื่อสายตา
“รู้จักด้วยเหรอ เจ้าอสรพิษ/รุ่นพี่?” เอจิเซนกับโมโมะถามขึ้นพร้อมกัน
“นายจำไม่เหรอ!? เตียวจู่ลงแห่งเสียงสัน! ฉายามักกรน้อย! หนึ่งในขุนพล 5 เสือของเล่าปี่!” ไคโดเอ่ยแนะนำบุคคลเบื้องหน้าอย่างอลังการ
“ใครอะ?” โมโมะกอดอกเอียงคอทำท่างง
“นี่นายไม่เคยสนใจเรียนคาบวรรณคดีประศาสตร์เลยใช่มั้ยเนี่ย!?” ไคโดถาม
“เอ๋~? นี้เหรอขุนศึกเลือดมักกรแห่งจ๊กก๊ก” เอจิเซนว่า
“นายก็รู้จักด้วยเหรอเอจิเซน?” โมโมะหันมาถามทันที
“เคยได้ยินครูสอนผ่านๆ น่ะครับ” เอจิเซนว่า
“สรุปว่ามีฉันคนเดียวใช่มั้ยที่ไม่รู้อะไรเลย”
“ใช่…” เอจิเซนและไคโดตอบอย่างไม่ลังเล
“แห~ม ข้ามีชื่อเสียงขนาดนั้นเลยหรือ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย” จูล่งเอามือเกาหัวแก้อาย
“จะว่าไปท่านจูล่ง ท่านมาทำอะไรแถวนี้ขอรับ? ข้านึกว่าท่านต้องค่อยคุ้มกันฮูหยินทั้ง 2 ซะอีก” ชายผู้เป็นหัวหน้าชาวบ้านเอ่ยแทรกบทสนทนาของทั้ง 4 บนหลังม้า
“เออใช่! พวกท่านมีใครเห็นท่านบิฮูหยินบ้างไหม?” จูล่งถามสวนทันที
“บิฮูหยินเหรอขอรับ?” ชายคนนั้นทำหน้างงๆ
“ตอนที่ข้าศึกเข้าโจมตีเมื่อไม่นานมานี้ ข้าพลัดหลงกับรถม้าของพวกนาง ตอนนี้ข้าได้นำท่านกำฮูหยินไปยังท่านเล่าปี่โดยปล่อยภัยแล้ว เหลือเพียงแค่ท่านบิฮูหยินกับอาเต๊าที่ยังตามหาไม่เจอ” จูล่งชี้แจง
“โอ้สวรรค์โปรด!” หญิงสาวร่างนางหนึ่งอุทานดังออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน
“หื~ม มีอะไรหรือแม่นนาง” จูล่งเอ่ยทักต้นเสียง
“ข้า... ข้าเห็นหญิงสาวนางหนึ่งอุ้มบุตรนั่งร้องไห้อยู่ตรงบ่อน้ำเก่า หากขี่ม้าไปก็ไม่ไกลจากนี้นัก แต่งตัวด้วยชุดสวยงาม ตอนนั้นข้าไม่ได้สนใจมองซักเท่าไหร่ แต่นั้นอาจจะเป็นฮูหยินก็ได้” หญิงสาวว่า
“จริงหรือ!? ข้าต้องรีบไปดูแล้ว!” จูล่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจเกินจะบรรยายก่อนทำท่าควบจะออกตัวไปตามที่หญิงสาวคนนั้นบอก
“เดี๋ยวก่อนท่านจูล่ง! ทัพหลักของโจโฉไล่มาติดๆ แล้ว ท่านไปช่วยนางไม่ทันหรอก ถึงท่านจะไปหานางได้ทัน แต่ก็ใช่ว่าท่านจะพานางกลับมาได้โดยปลอดภัย ตัดใจซะเถิด ท่านทำดีที่สุดแล้วจูล่ง ไม่มีใครต่อว่าท่านหรอก” ชายผู้นำชาวบ้านกล่าวเตือน
“ไม่มีใครต่อว่าแล้วยังไง! ข้าไม่เคยสนใจอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว! สิ่งที่ข้ายอมไม่ได้คือตัวข้าเองที่ทำผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับท่านเล่าปี่ ว่าจะคุ้มครองฮูหยินทั้ง 2 กับบุตรของท่านแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ท่านจะให้ข้าผิดสัตย์สาบานงั้นหรือ!? แล้วท่านจะให้ข้ามีหน้ากลับไปหาท่านเล่าปี่ได้อย่างไร หา!” จูล่งเอ่ยด้วยท่าทาง และ วาจาอันองอาจ “ข้าขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้นจนกว่าข้าจะนำท่านบิฮูหยินกับอาเต๊ากลับไปสู่ท่านเล่าปี่แม้จะต้องเป็นผีเฝ้าสนามรบนี้ก็ตาม!”
“...”สิ้นคำปฏิญาณ ไร้ซึ่งเสียงคัดค้านจากผู้ใด เพราะทุกคนต่างรู้ว่าไม่มีใครสามารถพูดให้เขาล้มเลิก ได้จากน้ำเสียง และ วาจาอันเด็ดขาดของนักรบผู้สัตว์ซื่อ
“งั้นผมไปด้วย...”
“ห~า…!?” ทุกร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเอ่ยยื่นมือเข้าให้ความช่วยเหลือ
“ผมด้วย…” โมโมะว่าตาม
“ผมอีกคน ชู่ว์...” ปิดท้ายด้วยไคโด
“อะไรกันพวกเจ้า?”
“ให้เราทนดูอยู่เฉยๆ เราทำไม่ได้หรอกครับ” โมโมะพูดอย่างห้าวหาญ
“พวกเราอาจจะไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ก็มีฝีมืออยู่บ้าง อย่างน้อยเราก็พอจะร่วมสู้ไปกับคุณได้นะครับ” ไคโดเอ่ยพลางกำหมัดแน่นยกมือขึ้นมาระดับอก
“อย่างน้อยก็ดีกว่าบุกฝ่าทหารนับแสนเพียงไปคนเดียวนะฮะ...”
“พวกเจ้าแน่ใจแล้วเหรอ?” จูล่งเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
“ครับผม!!” 2 หนุ่มปี 2 ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ขอบใจนะ…” จูล่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอันแสนจะอบอุ่น “ขอทราบชื่อแซ่ของพวกเจ้าได้ไหม”
“ผม โมชิโระ ทาเคชิ”
“ไคโด คาโอรุ ครับ”
“เอจิเซน เรียวมะ”
“อืม... ชื่อแปลกๆ พวกเจ้ามาจากไหนหรือ?”
“เรามาจากญี่ อุ๊บ!”
“เรามาจากทาง... ตะวันออกเฉียงเหนือ เออ... ตรงริมสุดของประเทศน่ะครับ” ไคโดเอ่ยสวนโมโมะที่ถูกมือของตนอุดปากไว้อยู่
“งั้นเหรอ...” จูล่งทำท่าทางเหมือนไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไร “เอาล่ะถึงจะช้าไปหน่อย และ พวกเจ้าก็รู้กันแล้ว แต่ข้าก็ขอแนะนำตัวตามมารยาทแล้วกันนะ”
“เฮ้ย! ทำไมต้องโกหกด้วยวะ? แล้วไอ้ตะวันออกเฉียงเหนือตรงริมๆ นี้มันอะไร?” โมโมะกระซิบถามไคโด
“ไปหัดดูแผนที่ไป เจ้าซื่อบื่อ” ไคโดด่าให้ที
“เข้าใจและ ทิศนั้นเป็นทางไปเกาะญี่ปุ่นสินะ” เอจิเซนว่า
“เอาล่ะ... ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ข้าขอแนะนำตัวตามมารยาทแล้วกันนะ” จู่ลงกล่าวขณะดึงฮู้ดออกจากหัวเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน “ข้าจูล่งแห่งเสียงสัน”
“ห~า…!! ค.ค.คุณจูล่ง!” การเปิดเผยตัวของบุคคลเบื้องหน้าทำเอาทั้ง 3 หนุ่มถึงกับตะลึงกันไปตามๆ กัน เนื่องจากขุนพลตรงหน้าของพวกเขานั้น “เป็นผู้หญิ~ง...!!”
ภาพเบื้องหน้า ผมสีดำสลวยมัดเป็นหางม้ายาวลงมาถึงกลางถูกสะบัดให้หลุดจากผ้าคลุมหัวที่เพิ่งถอดออก ดวงตาคมโตนัยน์ตาสีฟ้าสวยจ้องมองมายังเด็กหนุ่มทั้ง 3 ผิวขาวเนียนกระจ่างใส ใบทรงไข่ได้รูป พร้อมกับริมฝีปากอมชมพูบางๆ ที่กำลังส่งยิ้มให้พวกเขาอย่างเป็นมิตร
จูล่งยอดขุนพล หนึ่งในสุดยอดนักรบแห่งแผ่นดินจีน บุคคลที่พวกเอจิเซนต่างก็เข้าใจมาตลอดว่าเป็นชายรูปงาม กลับกลายมาเป็นหญิงสาวในชุดเกราะสีขาวอันงามสะง่าที่น่าเกรงขามไม่แพ้ขุนพลชายคนใดๆ
“หื~ม...? ทำไมเหรอ?” จูล่งเอียงอมองอย่างงงๆ ด้วยท่าทางที่ดูน่าหลงใหลกับใบหน้าอันงดงามทำเอาทั้ง 3 ถึงกับแดงทันที
“เออ...ม.ม.ไม่มีอะไรครับ” 3 หนุ่มว่าก่อนหันมาสุ่มหัวกัน
“เฮ้! จูล่งในสามก๊กที่เราเรียนมานี่เป็นผู้หญิงหรอกเหรอ?” โมโมะถาม
“ไม่น่าจะใช่นี่ ถึงฉันจะไม่ได้อ่านละเอียดก็เหอะ แต่ในหนังสือบอกอย่างชัดเจนเลยว่าจูล่งเป็นผู้ชาย... รึเปล่าเอจิเซน" ไคโดตอบแต่ก็ยังไม่แน่ใจหันไปถามรุ่นน้องอีกที
“ฮะ ในหนังสือบอกว่า จูล่งเป็นชายหนุ่มรูปงามหน้าตาขาวสะอาด สวมเกราะสีขาวทั่วตัว ขี่ม้าขาวงามสง่า นิสัยดี เป็นมิตร กริยามารยาทดี เป็นสุภาพบุรุษ และ อื่นๆ อีกเยอะแยะที่ในนั้นบรรยาย” เอจิเซนสารทยาย
“ถ้าเป็นงั้นจริง แล้วไหงตัวจริงดันเป็นผู้หญิงตัวเป็นๆ อย่างงี้ล่ะ...” โมโมะหันไปมองจูล่งแวบหนึ่งก่อนหันกลับมาว่า “แถมสวยอีกต่างหาก”
“แล้วผม/ฉัน จะไปรู้ได้ไงล่ะ ฮะ/ชู่ว์...” เอจิเซนกับไคโดตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“...” จูล่งตาแป๋วมองสถานการณ์ของทั้งอยู่บนหลังม้า
“ไม่แปลกหรอกขอรับท่าน”
“เย้ย!” วงสุมหัวแตกออกเมื่อหัวหน้าชาวบ้านเอ่ยขึ้นแทรกหลังจากเงยหน้าโผล่เข้ามากลางวงใต้คางของพวกเขา เล่นเอาทั้ง 3 ใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม
“คำที่เขาร่ำลือกันนั้น มักจะถูกเสริมเติมแต่งไปปากต่อปาก ในกรณีท่านจูล่งก็เหมือนกัน ตอนแรกข้าก็นึกว่าท่านเป็นชายตามที่ได้ยินมา แต่พอเจอตัวจริงล่ะถึงกับอึ้งไปเลยเหมือนพวกท่านนี่แหละ”
“อ๋~อเหรอ...”
“เออ... ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ ตกลงพวกเจ้าจะไปกับข้าใช่มั้ย?” จูล่งถาม
“ครับ!! /ฮะ...” ทั้ง 3 ตอบ
“ท่านจูล่งขอรับ”
“มีอะไรหรือ?” จูล่งหันมาหาผู้เรียก
“ไหนๆ ก็จะไปทั้งทีก็เอานี้ไปด้วยเถอะขอรับ” หัวหน้าชาวบ้านยื่นกระบี่ในฝักเล่มงามที่เขาหยิบขึ้นมาจากพื้นให้จูล่ง “นี้เป็นกระบี่ที่ขุนพลคนเมื่อกี้ใช้ เผื่อเจอสถานการณ์ไม่คาดฝันมันก็อาจจะเป็นประโยชน์ได้”
“นี่มันกีเทนเกี้ยมนี่นา หนึ่งในยอดกระบี่ของโจโฉ... งั้นหมอนี้ก็คือ แฮหัวอิ๋นสินะ...” จูล่งว่าพลางหยิบดาบขึ้นมาชักดูคม ขณะที่มองลงมายังศพของขนพลใต้ม้าเธอ “ขอบคุณมากท่านลุง มันต้องมีประโยชน์แน่ๆ งั้นข้าขอลาตรงนี้แหละ...”
“นี่ไม่ใช่การจากลาฮะ...” เอจิเซนพูดแทรก
“หือ~?”
“พวกเราจะต้องกลับมา... ไว้เจอกันใหม่นะฮะลุง...” คำพูดของเอจิเซนทำให้จูล่งยิ้มออกมาอีกครั้ง
ตึก…! ตึก…! ตึก…! ตึก…!
เสียงฝีเท้านับพันเริ่มดังขึ้นฟังดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“กองทัพวุ่ยใกล้เข้ามาแล้ว พวกท่านลุงรีบไปเถอะ”
“โชคดีนะขอรับ...” หัวหน้าชาวบ้านอวยพร ก่อนเดินนำเหล่าชาวบ้านเดินทางต่อ
“เอาล่ะพร้อมรึยัง!”
“ครับ!! /ฮะ...”
“งั้นไปกันเลย” สิ้นคำให้สัญญาณ ทั้ง 4 กระชับอาวุธในมือก่อนพร้อมใจกันควบม้าตรงไปยังจุดหมายซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าทหารวุ่ยที่กำลังเดินทัพตรงมา
“ย๊าก...!!”
สะพานเตียงปันเกี้ยวอีก
‘ทำยังกะหลักกิโล...’ เหล่าปี 1 มองป้ายไม้โกโรโกโสอีกอันหนึ่งที่ชี้ไปยังทางข้างหน้าเหมือนอันที่ผ่านๆ มา
“ใกล้ถึงแล้วสินะ” โออิชิเอ่ยยิ้มๆ
“อย่าประมาทล่ะ ถึงแม้พวกเราจะอยู่ในจุดที่ปลอดภัยพอสมควรแล้ว แต่ก็ให้ระวังตัวไว้จนกว่าจะข้ามสะพานเข้าใจไหม” เทะสึกะกำชับ
“อื้ม!” ถูกคนตอบรับ
“เอาล่ะ ถึงแล้ว” อินูอิว่าทันทีที่เห็นสะพานไม้อยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก
“งั้นไปกันเถอะ” โออิชิทำท่าจะเดินนำไปแต่
“เดี๋ยว!” คิคุมารุคว้าไหล่โออิชิไว้พลางชี้มือไปยังทางข้างหน้า “นั้นอะไรน่ะ!”
ฉึก! ฉับ! ฟา~ว...! ฉัวะ!
“อ๊า~ก...!!” เหล่าทหารวุ่ยนับสิบร้องลั่นเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนตายหลังถูกฟันกระเด็นตกสะพาน
“ไปๆๆ!” เข้มๆ อันทรงพลังกวักมือเรียกเหล่าชาวบ้านที่กำลังพากันวิ่งหนีพวกทหารให้มาข้ามสะพาน
เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มผิวสีแทน ใบหน้าดำทมิฬราวปีศาจ ผมสีน้ำตายาวลงมาถึงกลางหลังรอบไว้ที่ท้ายทอย อยู่ในชุดยาวสีน้ำตาลคอวีขอบสีทอง เสื้อใน และ กางกางสีขาว ที่เอวมัดด้วยเข็มขัดผ้าสีเดียวกับขอบชุด ที่คอผูกผ้าพันคอสีขาวยาวลงมาเกือบถึงเข่า ในมือถือทวนด้ามสีแดงสดสุดดาบเป็นใบคล้ายดาบสั้นตดอยู่ ส่วนอีกด้านคมทวนมีรูปทรงแปลกตาคดไปมาเหมือนตัวงู เมื่อรวมทุกส่วนเข้าด้วยกันอาวุธชิ้นนี้เป็นที่รู้จักกันในนามทวนอสรพิษ
“จัดการไอ้หมอนั้นทิ้งแล้วค่อยตามพวกที่เหลือไป!” พวกทหารที่ไล่ตามมาติดๆ ยังไม่เลิกรากรูกันเข้ามาหวังจะสังหารชายหนุ่มผิวแทนในชุดจอมยุทธ์ที่เอาตัวตนเองเข้าขวางกลางสะพาน
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดูเซ่…!!” สิ้นเสียงตะโกนหนุ่มหน้าดำก็เหวี่ยงทวนเข้าปลิดชีพบรรดาเหล่าทหารที่ดาหน้ากันเข้ามาให้เชือดที่ละกลุ่มทีละกลุ่ม จนพวกที่ยังไม่ได้บุกเข้าไปอยู่ชักขวัญเสียเมื่อเห็นเพื่อนร่วมทัพนับสิบๆ นายหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา
“เทะสึกะ” ฟูจิเอ่ยเรียกเทะสึกะที่อยู่ข้างๆ ตน “ถ้านั้นคือสะพายเตียงปั้นเกี้ยว... นั้นคนที่อยู่ตรงนั้นก็คือ...”
“เตียวหุย…” เทะสึกะเอ่ยนามบุรุษที่กำลังวาดลีลาทวนอสรพิษอยู่ไม่ไกลนัก
“ใช่น้องร่วมสาบานคนสุดท้องของเล่าปี่รึเปล่าคะ?” ซากุโนะถาม
“อืม...”
“ถ้างั้นโชคก็เข้าข้างเราแล้ว” อินูอิว่าขึ้น
“ทำไมเหรอฮะ?” คาจิโร่ถามบ้าง
“ตามหนังสือเตียวหุยตอนนี้ทำหน้าที่ค่อยคุ้มกันสะพานไม่ให้พวกทหารวุ่ยข้ามผ่านไปถึงตัวเล่าปี่ได้ เพราะงั้นเราก็เข้าไปร่วมกลุ่มทำทีเป็นชาวบ้านอพยพตรงไปข้ามสะพาน แค่นั้นก็เข้าเขตปลอดภัยแล้ว” อินูอิอธิบาย
“งั้นก็ไปกันเลย!” ว่าจบคิคุมารุก็วิ่งนำออกไปเป็นคนแรก
“ทุกคนตามมาเร็ว!” โออิชิที่ตามไปติดกวักมือเรียกให้เหล่าเซงาคุทั้ง 11 วิ่งตรงไปที่สะพาน
“2 กลุ่มนั่นน่ะ เร็วๆ!” บุรุษนามเตียวหุยตะโกนเรียกพวกเซงาคุ และ ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งที่มาจากอีกทางหลังพวกเขา
“เย้…! รอดแล้ว!” เหล่าปี 1 ร้องอย่างดีใจเมื่อพวกเขาทั้ง 5 และ พวกรุ่นพี่วิ่งข้ามสะพานมาได้สำเร็จ
“อ๊ะ!”
ตุบ!
“หื~อ?” เสียงร้องของเด็กสาวดังมาจากทางด้านหลังทำให้เทะสึกะที่วิ่งข้ามมาเป็นคนสุดท้ายหันกลับไปมองสถานการณ์
“จะไปไหนนังเด็กน้อย” ทหารวุ่ยใจต่ำคนหนึ่งโผล่เข้ามาพร้อมเงื้อดาบขึ้นหมายจะสังหารเด็กน้อยที่นอนล้มอยู่ตรงหน้า
“ลูกแม่!!/ท่านแม่!!” เด็กสาวผู้สะดุดล้มกลางทางร้องเรียกมารดา เช่นเดียวกับหญิงม่ายที่เหลียวหลังกับมาหาลูกสาวของตนพร้อมเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น
“แย่แล้ว!!” เตียวหุยที่กำลังวุ่นอยู่กับทหารวุ่ยอีกกลุ่มหนึ่งหันมามองตามเสียงก่อนจะผละออกจากทหารกลุ่มนั้นแล้ววิ่งตรงไปหาเด็กน้อยซึ่งดูเหมือนจะช้าไป... แต่!!
เคล้ง!
“หา~!” ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กัน ราวกับเวลาหยุดลงช่วงขณะ เมื่อดาบที่พุ่งตรงมายังเด็กน้อยถูกสกัดไว้ด้วยดาบอีกเล่มหนึ่งในมือของชายที่แข็งแกร่งที่สุดในเซงาคุ
“เทะสึกะ…!!/กัปตัน...!!” เหล่าลูกทีมร้องเรียกชื่อบุรุษผู้ที่พุ่งเข้าไปสกัดดาบของทหารใจต่ำนั่นได้อย่างรวดเร็วราวปาฏิหาริย์
“แก! อึก…!” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรดาบที่อยู่ในมือเทะสึกะก็แทงทะลุหัวนายทหารเลวนั่นสิ้นชีพในทันที
“ไปเร็ว...” เทะสึกะเอามือที่ว่างอยู่ประคองเด็กน้อยให้ลุกขึ้นยืน
“แม่คะ...! แง้...!” เด็กน้อยปล่อยโฮออกมาหลังวิ่งเข้าไปกอดมารดา
“โอ้... ขอบคุณมากนะคะ” หญิงม่ายเอ่ยขอบคุณเทะสึกะทั้งน้ำตา
“รีบไปเถอะครับ...” ว่าจบเทะสึกะก็เหวี่ยงดาบกลับหลังเร็วเข้าตัดคอนายทหารอีกคนที่หวังลอบฆ่าเขาอย่างรวดเร็ว และ แม่นยำ “ตรงนี้ไม่ปลอยภัย…”
“ค่ะ” หญิงม่ายตอบขณะอุ้มบุตรสาววิ่งข้ามสะพานไป
“ฝีมือไม่เลวเลย” เทะสึกะหันไปหาชายหน้าดำนามเตียวหุยผู้กำลังตรงมาหาเขา “เจ้าน่ะ ชื่ออะไร? แซ่อะไร?”
“เทะสึกะ คุนิมิทสึ” เทะสึกะตอบ
“โห... ยาวจังวุ้ย…” เตียวหุยเอามือเกาหัว
“เรียกเทะสึกะก็พอครับ...”
“อืม! ข้าเตียวหุย ยินดีได้รู้จักนะเทะสึกะ” เตียวหุยแนะนำตัว
“เช่นกันครับ” เตียวหุยกับเทะสึกะมองหน้ากันพักหนึ่งก่อนตวัดอาวุธในมือเข้าใส่ศัตรูที่กระโดดเข้ามาขัดจังหวะการสนทนา
ฉัวะ!
“อ๊า~ก...!!”
“เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันต่อนะ! นี่เทะสึกะ! จะว่าอะไรมั้ยข้าถ้าขอแรงเจ้าซักหน่อย!” เตียวหุยถามขณะตั้งท่าเตรียมต่อสู้
“ได้ครับ…” เทะสึกะรับอาสาขณะตั้งท่าเช่นเดียวกับเตียวหุย
“พวกเราไปช่วยเทะสึกะเร็ว!” โออิชิว่าก่อนวิ่งนำเหล่าปี 3 ทั้งหมดเข้าร่วมศึก
“มาเลยพวกวุ่ย…!!!” เตียวหุยแหกปาก
ความคิดเห็น