คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 2 ความวุ่นวาย ในวันที่สอง
II
ความวุ่นวาย
ในวันที่สอง
“หนูไปนะคะ...” ทีน่าเอ่ยลาทุกคนเกินเดินสะพายกระเป๋าออกากบ้านไป
“เฮ้~อ... นี่ล๊อค” ชายผมยาวสีบลอนด์มัดเป็นสองต่อด้วยที่มัดผมสีน้ำเงินผู้นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะอาหาร เอ่ยเรียกสหายผู้นั่งอยู่ข้างๆ กัน เมื่อได้ยินเสียงบอกลาอ่อยๆ ของทีน่าด้วยความเป็นห่วง “ให้ทีน่าไปเรียนตามปกติ คิดดีแล้วเหรอ?”
“เอ็ดก้าร์... ไม่ใช่ว่าฉันอยากปล่อยทีน่าออกไปทั้งๆ ที่สภาพร่างกาย และ จิตใจยังไม่ฟื้นตัวอย่างงี้หรอกนะ แต่... ชีวิตของเป็นเธอ เธอต้องอยู่ด้วยตัวเอง ปัญหาของเธอ เธอก็ต้องแก้ด้วยตนเอง พวกเราทำได้แค่คอยดูแลเธอเท่านั่น...” ล๊อคหยุดมือที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มลง แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกังวลปนเศร้า “ฉันเชื่อว่าเธอต้องฝ่าวิกฤตแห่งชีวิตนี้ออกไปได้... ฉันบอกตัวเองว่าอย่างงั้น...”
“ฉันพอเข้าใจความรู้สึกของนายนะ” ชายวัยทองหนวดงามที่นั่งกินไข่กระทะของตนอยู่ใกล้ๆ กันว่า “แต่ถ้าพลังเอสเปอร์ของเธอหลุดการควบคุมออกมาทำร้ายคนอื่นอีกมันจะยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดนะ...”
“ผมรู้ไคอัน... ผมรู้...” ล๊อคเอ่ยซ้ำๆ พยายามข่มอารมณ์
“เฮ้~...! ไม่เอาน่า~! เอ็ดก้าร์ คุณไคอัน พวกเราก็รู้ว่าคนที่เป็นห่วงทีน่าที่สุดคือล๊อคนะ! อย่าไปกดดันเขาสิ!” ชายร่างกำยำผมบลอนด์หน้าคล้ายๆ เอ็ดก้าเอ่ยว่า
“เออ... ถูกของนายซาบิน... โทษทีล๊อค...” เอ็ดก้าร์ว่า
“ขอโทษนะล๊อค” ไคอันว่าตาม
“ไม่เป็นไรหรอก... ตอนนี้มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าเราะช่วยทีน่าได้ยัง” ล๊อคกล่าว
“เฮ้~อ... ทีน่าไปโรงเรียนวันนี้จะเป็นอะไรมั้ยน้~า...” เซเลสเอ่ยถามตัวเองด้วยความเป็นห่วง
ห้องพักครู ดิสสิเดีย
“เซฟ...” กอลเบซที่เดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะของครูหนุ่มรูปงามผู้มีผมสีเงินยาวสลวยนามเซฟ เอ่ยด้วยเสียงเบาๆ แต่เต็มไปด้วยอำนาจ “มาคุยกันให้รู้เรื่องเลยนะ...”
“ขอบอกเป็นครั้งสุดท้าย ฉันไม่ชอบยุ่งกับความลับของใคร และ ไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับฉัน นายเลิกตอแยฉันได้แล้ว...” เซฟตอบดักคอด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างไม่สะทกสะท้านกับเสียงทรงอำนาของกอลเบซ
“แต่นี่มันเกี่ยวพันถึงโรงเรียนของเรานะ...” กอลเบซเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“มันไม่เกี่ยวกับฉัน...” เซฟสวนกลับทันที
“มันจะมากเกินไปแล้วนะเซฟ...” กอลเบซเริ่มเปลี่ยนโทนเสียงเป็นข่มขู่
“แล้วจะทำไม...” เซฟเอ่ยตอกกลับด้วยเสียงนุ่มๆ กวนโมโห
“เซฟ...” กอลเบซส่งจิตสังหารออกมาจากสายตาภายใต้หมวกเกราะใบสวยตรงมายังเซฟ พร้อมกับชูมือขวาที่กำลังเกิดการประจุของสายฟ้าขึ้นรอบๆ ฝ่ามือ “นายจะบอกฉันดีๆ หรือต้องให้ใช่กำลัง...”
“น่าสนใจดีนี่...” เซฟไม่รอช้าส่งจิตสังหารอันเยือกเย็นจากนัยน์ตาสีน้ำทะเลสวยเข้าปะทะกับจิตสังหารของกอลเบซ ขณะหยิบไม้ชี้กระดานอันยาวเหยียดข้างตัวมาถือไว้ในมือ พลางส่งพลังออร่าอันเย็นยะเยือกลงไปทำให้ๆ รอบไม้ชี้กระดานพลันเกิดเป็นไอคล้ายหมอกสีขาวลอยตัวปกคลุมทั่วไม้ “มาดูซิว่าฉันกับนายใครจะเหนือกว่ากัน...”
ทั้ง 2 ยืนจ้องตากันรอจะหวะเปิดฉากโจมตี ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบในห้องพักครูตอนเช้า ในที่สุดกอลเบซก็ยกมือที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าขึ้นทำท่าจะส่งสายฟ้าไปโจมตีบุรุษตรงหน้า... แต่แล้ว
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”
“อรุณสวัสดิ์ครับ/ค่ะ ผอ.คอสมอส” เสียงใสๆ ของผอ.คอสมอสที่เดินเข้ามากล่าวทักทายยามเช้าทำเรียกให้กอลเบหยุดมือลง ก่อนหันไปมองต้นเสียง
“...” คอสมอสหันมามองกอลเบซพลางส่ายหัวน้อยๆ ก่อนหันไปสนทนากับเหล่าอาจารย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตน
“...” กอลเบซสะบัดมือให้สายฟ้าหายไปก่อนกลับหลังหันเดินจากไป แต่ก็ต้องชะงักลงด้วยประโยคเบาๆ ประโยหนึ่งของเซฟ
“ฉันอยู่ฝ่ายนายกอลเบซ... แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็จะไม่เผยความลับของคนอื่น...”
ปี 1 ห้อง A ดิสสิเดีย พักเที่ยง
“ปะไปกินไอติมกัน”
“อื้ม! ไปกัน”
“เฮ้! พวกนายได้ยินข่าวมั้ย?”
“ข่าวอะไรเหรอ?”
“ที่ว่าพี่ปี 2 สามคนถูกคนซ้อมซะน่วมอยู่หลังโรงเก็บรถ ตอนครูกอลเบซมาพบ สภาพดูไม่ได้เลย” หลังจากคุณครูของคาบที่แล้วเอ่ยปิดชั้นปล่อยไปพักกลางวัน แล้วเดินออกจากห้องไป เหล่าเด็กๆ ก็พากันพูดคุยกันถึงเหตุการณ์น่าตกใจของเมื่อวานโดยหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนนั่งปวดใจอยู่ใกล้ๆ ราวกับหัวใจถูกขยี้ด้วยประโยคสนทนาที่ตนได้ยิน “ไม่ใช่แค่นั่นนะ หลังส่งโรงพยาบาล พอพวกเขาฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่แหกปากร้องตะโกนโหวกเหวกว่า ผีบ้างล่ะ ปีศาจบ้างละ สัตว์ประหลาดบ้างล่ะสงสัยจะสมองได้รับการกระทบกระเทือนไม่น้อยเลย”
“ทีน่าเป็นอะไรรึเปล่า?”
“ห๊ะ?” ทีน่าหันมามองออนเนี่ยนที่เดินเข้ามาทักเธอ
“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดเชียว?” ออนเนี่ยนถาม
“มะ ไม่เป็นไรหรอก... สะ สงสัยนอนไม่พอ...” ทีน่าตอบ
“แต่ฉันว่าพวกพี่เขาสมควรโดนแล้วล่ะ เท่าที่ได้ยินมา พวกเขาน่ะ เป็นพวกเด็กเกเรหัวแถวเลยล่ะ ทั้งสูบบุหรี่เที่ยวกลางคืน หนีเรียน รังแกรุ่นน้อง และ อีกสารพัด”
“ช่า~ยๆ เอแบบนี้ซะบ้างก็ดีเนา~ะ”
“ดีนะที่พวกนั่นโดนดีก่อน ไม่งั้นมีหวังพวกเราโดนรังแกแหง่มๆ”
“คนซ้อมน่าจะเอาให้หนักๆ ไปเลย จะได้ไม่กลับมาเรียนอีก พวกเราะได้ไม่ต้องไปกังวลว่าถูกแกล้งว่ามะ~?”
“ใจร้าย...!” เสียงหวานใสของทีน่าดังขึ้นเรียกเอาความสนใจของเพื่อนๆ ที่คุยกันอยู่ให้หันไปมองเธอที่จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมา “พวกเขาก็เป็นคนนะ!”
“ทะ ทะ ทีน่า?” ออนเนี่ยนเบิกตากว้างเงยหน้ามองทีน่าด้วยความตก เมื่อเห็นเม็ดน้ำตาค้างที่ตรงขอบตาที่เด็กสาวตัวพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้น้ำตาที่เหลือไหลออกมาเป็นสาย ทำเอาทั้งตัวเขา เพื่อนนั่งจับกลุ่มคุยกัน เพื่อนรอบห้อง แม้แต่ 2 ลิงกับ 1 หนุ่มโย่งหน้าบาก ยังหันมามองด้วยความตกใจ
“ถึงจะเลวร้ายแค่ไหน แต่พวกรุ่นพี่เขาก็เป็นมนุษย์นะ! มีความรู้สึก มีเลือดเนื้อ มีจิตใจเหมือนๆ กับพวกเรา... แต่ทั้งๆ ที่ถูกซ้อมซะหนักขนาดนั้นพวกเรากลับมานั่งแช่งนั่งว่าให้แย่ลงไปอีก มันจะใจร้ายเกินไปแล้วนะ! ใจคอทุกคนทำด้วยอะไร!” ว่าจบทีน่าก็วิ่งออกากห้องไปพร้อมกับคราบหยดน้ำตาที่ปลิวไปตาแรงวิ่ง
“...” เหล่าเพื่อนร่วมห้องที่นั่งจับกลุ่มกันนินทาพวกรุ่นพี่ผู้เคราะห์ร้ายต่างพากันก้มหน้าซึมรู้สึกผิดไปตามๆ กัน
“หึ...” สคอลล์สบถเบาๆ ขณะเปิดกล่องข้าวของตนขึ้นมากินตามปกติ
“ร้องไห้ด้วย...” ซีดานเอ่ยขณะภาพที่ทีน่าวิ่งออกากห้องไปทั้งน้ำตายังคงติดตา
“น่าสงสารจัง...” บัสท์ที่อยู่ในอาการเดียวกันเอ่ยสมทบ
“พวกนายพูดอะไรไม่คิดเลย!” น้องหอมที่ได้สติคืนมาเอ่ยต่อว่าเพื่อนๆ
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าทีน่าเขาอ่อนไหวขนาดนั้น...”
“ละ แล้วพวกนั่นก็เป็นคนไม่ดีด้วย!”
“แต่ก็พวกเขาก็... มีความรู้สึกนะ...”
“อืม... นายพูดถูก... พวกเราพูดแรงเกินไป...”
“เฮ้! ก่อนพวกนายจะสุมหัวคุยกันต่อ ช่วยดูสถานการณ์นิดนึง” บัสท์ว่าขึ้น “ทีน่าเพิ่งวิ่งร้องไห้ออกไปนะ ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ?”
“อะ เออ...” ความรู้สึกผิดยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ทำให้เหล่านักนินทาปากร้ายทั้งหลายหันไปมองบานประตูที่สาวสวยประจำห้องเพิ่งวิ่งออกไปด้วยความละอายใจ
“เอาน่~า...” ซีดานว่า “พอเธอกลับมาเราก็ไปขอโทษเธอแล้วกันนะ”
“อืม...” ทุกคนพยักหน้าตกลง
“จะว่าไป ทีน่า ใจดีจังเลยนะ ว่ามั้ย...?”
“ใช่ ขนาดกับคนไม่ดีเธอยังสงสารเลย แล้วคนดีจะขนาดไหน”
“เฮ้~! จะไปไหนน่ะสคอลล์…!” บัสท์เอ่ยเรียกพี่บากหนุ่มโย่งประจำห้อง
“เรื่องของฉัน...” สคอลล์เก็บกล่องข้าวที่กินหมดแล้วเข้ากระเป๋า แล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่ใยดี แต่แล้ว
“เฮ้! มารอทีน่าด้วยกันดิ!” ซีดานมือวางอันดับ 2 คนตัวเตี้ยของห้องฉุดสคอลล์ กลับเข้ามาในห้องอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ฝืนไม่ได้
ดาดฟ้า
แอ๊~ด...! ปึง!
ทีน่าที่วิ่งร้องไห้ออกมาจากห้องเรียนของเธอ วิ่งขึ้นบันใดมาเรื่อยๆ จนออกมายังดาดฟ้าตึก เธอเดินออกมาจากตึก ปิดประตูดาดฟ้า ก่อนหามุมนั่งร้องไห้
‘ทุกคน... ใจร้าย... ใจร้ายที่สุด...’ ทีน่าโอดครวญในใจ ‘ถึงกับพูดแช่งเป็นลางแบบนี้... ถ้าเกินพวกรุ่นพี่เขาตายขึ้นมาจริงๆ จะว่ายังไง...’
‘ฆาตกร...!’ ทันใดนั่นในหัวของทีน่าก็ปรากฏภาพความหลังเมื่อวัยเด็กย้อนมาหลอกหลอนเธอ ‘เด็กปีศาจ…! ยัยสัตว์ประหลาด…! ผู้หญิงอมนุษย์…!’
‘ไม่นะ...! ไม่นะ...! ไม่...!! ขอร้อง...!! หยุดซะที...!!” ทีน่าเอามือทั้ง 2 ข้างกุมหัวขณะกรีดร้องทรมารด้วยความเจ็บปวดภายในใจ น้ำตาเอ่อล้นออกมาเต็มแก้มทั้ง 2 ข้าง ช่างเป็นภาพที่ดูน่าเศร้าจนใครได้มาเห็นก็อาจไม่สามารถกลั้นน้ำตาร้องไห้ตามด้วยความสงสารได้
“เป็นอะไรงั้นเหรอ...?”
“ห๊ะ!” ทีน่าเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเสียงนุ่มๆ ปนเย็นชาที่เธอรู้สึกคุ้นหู ดังขึ้นมาจากที่ไหนซักแห่งใกล้ๆ เธอ
“บนนี้...”
“ระ... รุ่นพี่คลาวด์?” ทีน่าเบิกตากว้างหลังเงยหน้าขึ้นสบตาคลาวด์ที่นั่งอยู่บนหลังคาทางลงบันไดซึ่งอยู่เหนือหัวของเธอพอดี “ระ ระ รุ่นพี่ มะ มาทำอะไรที่นี่คะ?”
“ฉันมานอนกลางวันตอนพักเที่ยงตรงนี้ประจำอยู่แล้ว...” คลาวด์ตอบเอ่ยเรียบๆ “แล้วเธอล่ะ... มาทำอะไรที่นี่…?”
“อะ... คะ คือ...” ทีน่ารีบเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตาออก ขณะหันหน้าหลบตาคลาวด์ด้วยความอายที่ถูกเห็นเข้าตอนร้องไห้
ฟรึบ…!
คลาวด์ที่ทนดูไม่ได้ กระโดนลงมากหลังคาทำให้ชายเสื้อนักเรียนที่ไม่ติดกระดุมของตนพลิ้วไปแรงลมขณะลงมานั่งคุกเข่าที่พื้นตรงหน้าทีน่า ก่อนล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตนจากกระเป๋าเสื้อ ออกมาเช็ดน้ำตาออกจากแก้มของเด็กสาวด้วยความอ่อนโยน
“หยุดร้องก่อน... แล้วค่อยๆ พูด” คลาวด์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเย็นชา แต่ กลับเต็มไปด้วยความห่วงใย (รู้สึก... หมั่นไส้ในความเท่ยังไงไม่รู้แฮะ)
“...” ทีน่าค่อยๆ สงสติอารมณ์ลง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เธอถึงได้สงบใจลงเมื่อได้ยินเสียงนุ่มๆ ของรุ่นพี่ตรงหน้า มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่เธอไม่เคยมีให้ใครมาก่อน
“เอาล่ะ... ทำไมเธอถึงมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้...?” คลาวด์เอ่ยถามอีกที
“เออ... คือ...” ทีน่าทำท่าจะเอ่ยตอบ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี จึงได้แต่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก
“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร...” คลาวด์ปล่อยมืออกจากผ้าเช็ดที่ทีน่าเริ่มเอื้อมือมาจับเช็ดหน้าตนเอง ก่อนลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินลงจากดาดฟ้า “คงอยากอยู่คนเดียวสักพักสินะ... งั้นฉันไม่กวนแล้ว...”
“ดะ เดี๋ยวค่ะ!” ทีน่าเอ่ยรั้งคลาวด์ไว้
“...” คลาวด์หยุดลงตรงหน้าประตู
“ระ... รุ่นพี่คะ... ฉันอยากถามอะไรหน่อย ได้มั้ยคะ?” ทีน่ากล่าว
“ว่ามาสิ...” คลาวด์ตอบรับ
“ถ้าเกิด... รุ่นพี่ทำอะไร... ผิดพลาดอย่างร้ายแรงจนทำให้คนอื่น เออ... เดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว... รุ่นพี่จะ... รู้สึกยังไงคะ...?” ทีน่าถามแบบอ้อมค้อม
“ทำผิดโดยไม่รู้ตัว แปลว่าไม่ได้ตั้งใจ... แต่ถึงยังไงคงต้องรู้สึกผิดอยู่ดี...” คลาวด์ตอบง่ายได้ใจความ “ยิ่งถ้าความผิดนั่นร้ายแรง เราก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก...”
“แล้ว... ถ้าเป็นรุ่นพี่ จะแก้ไขยังไงคะ?” ทีน่าเอ่ยถาม
“อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วเราเปลี่ยนมันไม่ได้ แต่เราแก้ไขมันได้ โดยต้องเริ่มมองไปที่ปัญหาว่าเป็นเพราะใคร เกิดจากอะไร มีที่มายังไง และ จะแก้ไขได้อย่างไร ก่อนลงมือแก้ไขปัญหาที่จุดนั่นๆ แค่นั่นเอง...” คลาวด์สารทยาย ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนเย็นชาตามปกติ แต่หากฟังดูดีๆ แล้ว กลับเต็มไปด้วยความเศร้า เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนหันหลังกลับมามองหน้าทีน่า “เธอคงไปเจออะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีมาสินะ... ฟังนะ... ปัญหาที่เกินขึ้นมาแล้วย่อมเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข แต่สิ่งที่ยากกว่าการแก้ไขปัญหานั่นคือความรู้สึกผิด...”
“ความรู้สึกผิด... เหรอคะ?” ทีน่าจ้องหน้ารอฟังคำของคลาวด์ใจจดจ่อ
“ใช่... ความรู้สึกผิด...” คลาวด์เริ่มพูดต่อ “ความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นกับคนทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป แล้วรู้สึกสำนึกในความผิดของตน...” (พวกไม่สำนึกนี่ไม่นับสินะ)
คำพูดคลาวด์พุ่งตรงเข้าโดนใจทีน่าที่พยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นฟังต่อ
“หากเราได้ทำอะไรผิดพลาดไปแล้วครั้งหนึ่งก็จดจำความผิดพลาดนั้นไว้ในใจ” คลาวด์ยกมือขึ้นกุมแขนข้างซ้ายของตนที่ถูกปิดไว้ด้วยอาร์มแบนด์สีดำอันยาว เหมือนกำลังเจ็บปวด แต่ก็ยังคงพูดต่อไปด้วยท่าทีเรียบเฉยดังเดิม “ความผิดพลาดนั่นจะทำให้เกิดอาการกลัว หวาดระแวง สงสัย และ อื่นๆ อีกมากมายที่สอดแทรกกันไปมา และ หนึ่งในนั้นก็คือ ความรู้สึกผิด ซึ่งจะตามหลอกหลอนเราอยู่ทุกคราที่ภาพความผิดพลาดนั้นปรากฏขึ้นมาในหัว แม้เราตัวไม่อยากนึกถึงมัน...”
“แล้ว...” ทีน่าเข้าใจความรู้สึกที่คลาวด์พูดออกมาเป็นอย่างดี และ เริ่มแปลกใจที่ผู้เป็นรุ่นพี่ที่เจอกันไม่นานถึงเข้าใจความรู้สึกแบบเดียวกัน “เราต้อง... ทำยังไงคะ?”
“การทำให้ความรู้สึกผิดนี้หายไป เราต้องปล่อยมันให้หายไปจากหัวของเรา…”
“ตะ แต่ว่า เราเป็นคนผิดนะคะ?” ทีน่าเริ่มโต้แย้ง
“ใช่เราเป็นคนผิด นี่คือความรู้สึกผิดที่จะคอยวนเวียนหลอกหลอนเราอยู่อย่างงี้ จนเราไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่รู้สึกแย่ลงแย่ลง...” คลาวด์อธิบาย “หากต้องการที่จะแก้ไขในสิ่งที่ผิด และ ทำในสิ่งที่ถูก ก็จงลืมความรู้สึกนั่น แล้ว เริ่มลงมือแก้ไขในสิ่งที่เราทำผิดพลาดไปได้แล้ว... จดจำไว้เพียงแค่ว่า อย่าทำให้มันเกิดขึ้นอีกก็พอ...”
ทีน่าถึงกับตกตะลึงอึ้งไปกับคำพูดของคลาวด์ที่เหมือนดั่งแสงสว่างส่องทางให้เธอเดินออกมาจากความมืด น้ำตาที่ถูกเช็ดไปเมื่อครู่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช้น้ำตาแห่งความทรมานที่ใครได้มาเห็นเป็นต้องสลด แต่เป็นแต่แห่งความยินดีที่มีคนมาชี้ทางสว่างให้แก่ตน
“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่...” ทีน่าเอ่ยขณะยกผ้าเช็ดหน้าของคลาวด์ในมือตนขึ้นเช็ดหน้าเอย่างเผลอตัว
“เธอจะบอกฉันว่าทำไมถึงได้มาร้องไห้อยู่ตรงนี้ไหม...?” คลาวด์ถามขึ้นอีกครั้ง
“คือ... ฉันเสียใจที่เพื่อนๆ... พูดแช่งพวกรุ่นพี่ที่บาดเจ็บเพราะฉันให้ เออ... แย่ลงไปอีก... ประมาณนั่นน่ะคะ” ทีน่าเอ่ยขณะก้มหน้าลงเล็กน้อย
“พวกนั่นสมควรโดน...” ทันทีที่ได้ยินคลาวด์ตอบทีน่าก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าคลาวด์ด้วยความตกใจ แต่ก็ได้โล่งใจอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคที่ตามมา “แต่ก็ไม่ถึงกับสมควรตาย... เธออย่าไปสนใจเลย พวกนั่นเคยโดนหนักกว่านี้มาแล้ว...”
”หนักกว่านี้?” ทีน่าเองคอทำหน้างง
“พวกนั่นเคยถูกครูใหญ่พาขึ้นไปอบรม...” คลาวด์ตอบง่ายๆ แต่นั่นยิ่งทำให้ทีน่าข้องใจยิ่งขึ้นไปอีก
“อะ เอ๋~?” ทีน่าอุทาน
“เธอลองไปถามพวกเด็กปี 2 ปี 3 ดูแล้วกัน...” คลาวด์บอก
“คะ ค่ะ...” ทีน่าตอบรับทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลย
“เอาล่ะ... ไปได้แล้ว…” คลาวด์ว่า
“อะ เอ๋~?” ทีน่าเอ๋อีกรอบ
“ถ้าไม่รีบไปกินข้าวเดี๋ยวจะหมดพักเที่ยงก่อนนะ...”
“คะ คะ!” ทีน่าหัวให้คลาวด์พลางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณที่แนะนำนะคะ”
ว่าจบทีน่าก็ก้าวขาวิ่งผ่านคลาวด์ไป ผมสีบลอนด์สวยของเธอพลิ้วไปตามแรงวิ่งในขณะที่แสงแดดยามเทียงที่ส่องลงมาแยงตาคลาวด์พอดี ทำให้ภาพบางอย่าปรากฏขึ้นมาในหัวของคลาวด์จนเกิดเป็นภาพหลอนชั่วขณะ ทำให้
หมับ!
‘เอริธ...’ ชื่อๆหนึ่งดังก้องอยู่ในหัวคลาวด์ พร้อมกับภาพของเด็กสาวผมสีน้ำตาลที่รวบขึ้นเป็นหางม้าเช่นเดียวกับทีน่าด้วยโบว์สีแดงที่ค่อยหันหน้ามาหาตน แต่แล้วภาพหลอนนั่นก็ทลายลงด้วยเสียงเอ่ยถามของเจ้าของแขนตรงหน้าเขา
“มะ มีอะไรเหรอคะ?” ทีน่าที่สะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อถูกคลาวด์คว้าแขนไว้ก่อนหันกลับมาถามอย่างหวาดๆ
“เออ...” คลาวด์ที่ได้สติกลับมาเริ่มเหวอ แต่ก็ยังคงทำหน้านิ่งอยู่ ขณะในหัวเริ่มคิดหาข้อแก้ตัว และแล้วเจ้าตัวก็เอ่ยประโยคแสนน่ารักออกมา “ฉันลืมผ้าเช็ดหน้า...”
“อะ อ๋~อ! นี่ค่ะ อุ๋~ย?” ทีน่าทำท่าจะยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนให้คลาวด์ แต่ก็หยุดมือลงเมื่อมองมายังสภาพของผ้าเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของเธอ “เออ... มัน... ชุ่มน้ำตาแล้ว ไว้... ฉันเอากลับไปซักให้ แล้วจะเอามาคืนนะคะ”
“ก็แล้วแต่…” คลาวด์ตอบเรียบก่อนปล่อยมือออกจากแขนทีน่า
“ขอบคุณอีกทีนะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะรุ่นพี่” ว่าจบทีน่าก็เดินลงบันไดไปทิ้งให้คลาวด์อยู่คนเดียวบนดาดฟ้า
‘เราเป็นอะไรของเราเนี่ย...’ คลาวด์บ่นตัวเองอยูในใจ ขณะยังติดใจที่ตนมองเห็นทีน่าเป็นเด็กสาวคนนั่น ขณะที่กำลังส่ายหัวให้ตัวเองเบาๆ ทันใดนั้น “เฮือ~ก!”
คลาวด์ถึงกับเข่าอ่อนทรุดบวคุกเข่ากับพื้นขณะกุมแขนข้างซ้ายที่ถูกปิดไว้ด้วยอาร์มแบนด์ด้วยความเจ็บปวด คลาวด์กัดฟันแน่น ก่อนใช้มือที่กดแขนคลายความเจ็บปวดอยู่ ดึงอาร์มแบนออกเผยให้เห็นแผลสีดำคล้ายรอยไหม้ขนาดใหญ่อยู่บนแขนของเขา ซึ่งดำเหมือนว่ากำลังสร้างความทรมานให้เขาไม่น้อย
“หึ...” คลาวด์สบถเบาๆ ให้กับน่าสมเพชของตัวเองหลังเห็นรอยแผลดูเหมือนเป็นแผลเป็นธรรมดา แต่ที่จริงแล้วแผลเป็นนั่นกลับกำลังสร้างความเจ็บปวดให้ตัวเขาราวกับถูกน้ำกรดผสานกับเปลวเพลิงกำลังกัดกินและแผดเผาแขนเขาทั้งแขน แต่ถึงอย่างนั่นเจ้าตัวก็ยังคงกัดฟันอดทน ดึงอาร์มแบนด์ขึ้นปิดแผลตนไว้ ก่อนตั้งสติลุกขึ้นยืนตรง กลับมาวางมาดขรึมสง่าดังเดิม ‘น่าสมเพชชะมัด...’
ฟิ~ว
สายลมอ่อนๆ ยามกลางวันพัดหอบเอากลิ่น และ กลีบดอกไม้เล็กๆ จากแปลงดอกไม้ ลอยขึ้นมาถึงดาดฟ้า ทำให้คลาวด์ค่อยๆ สงบใจลง ก่อนที่ตาสีฟ้าสวยของเขาจะไปสะดุดเข้ากับดอกลิลลี่ดอกหนึ่งที่กำลังร่วงหลนลงใกล้ๆ เขา
“...” คลาวด์เดินไปหยิบเอาดอกลิลลี่ดอกนั่นขั้นมามอง และแล้วภาพเด็กสาวคนเดิมก็ปรากฏขึ้นมาในสมองอีกครั้ง เด็กสาวซึ่งถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยดอกลิลลี่สีขาวสลับสีเหลืองผู้ยืนอยู่กลางแปลงดอกไม้ของตนซึ่งอยู่กลางโบสถ์ร้างในย้ายสลัม กำลังหันหน้ามองมา และ พูดคุยกับเขา ‘ปล่อยวางซะบ้างสิ คลาวด์...’
‘หึ... ทำเท่ไปสอนคนอื่น... ตัวเราเองยังทำไม่ได้เลย...’ คลาวด์คิดในใจก่อนปล่อยให้ลมบางๆ สายต่อมาหอบเอาดอกลิลลี่บนมือเขาปลิวขึ้นฟ้าไปพร้อมกับกลีบดอกไม้ตรงพื้น จนสายลมพัดเอาดอกไม้เหล่านั่นหายไป
“เฮ้! คลาวด์ นายจะเอาขนมปังไส้โชโคโบะนะ หรือ ขนมปังไส้มูเกิลมีอยู่ 2 อัน!” เสียงทีดัสตะโกนขึ้นมาจากบันไดชั่นล่าง “ส่วนขนมปังไส้เดรกนี่ฉันจองนะ!”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ...” เสียงทีน่าที่เหมือนวิ่งไปชนใครดังขึ้นมาตามบันได
“ไม่เป็นไรจ๊ะ...” เซซิลเสียงว่า ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของทีน่าเดินจากไป
“คนนี้เหรอทีน่า? น่ารักอย่างที่นายว่าจริงๆ ด้วย...” ฟีเรียนว่าด้วยหน้าแดงจัด
“ใช่ม้~า!” ทีดัสว่ากวน ขณะหันหน้ามาคุยกับผองเพื่อนที่กำลังพากันขึ้นบันไดมาหาคลาวด์ “ไม่แปลกเลยที่คลาวด์จะสนใจใช่มิละ”
“เกินไปมั้~ง อย่างคลาวด์น่ะเหรอจะสนผู้หญิง ฉันว่ายาก” ฟีเรี่ยนค้าน
“นั่นสิ...” เซซิลเอ่ยยิ้มก่อนเอะอะไรบางอย่าง “อะ เอ... เดี๋ยวนะ ทีน่าเพิ่งเดินลงมาจากดาดฟ้าเมื่อกี้ แสดงก่อนหน้านั่นอยู่กับคลาวด์...สิ...นะ...”
“...” เสียงเหมือนทั้ง 3 คนเงียบไปครู่หนึ่ง และแล้ว ในที่สุด
ตึกตักๆๆๆๆๆ!
“คลาวด์! ทีน่าขึ้นมาทำอะไรกับนายบนนี้อะ!” ทีดัส เซซิล ฟีเรี่ยน ออกวิ่งฝีเท้าวิ่งจากด้านล่างบันใดขึ้นดาดฟ้า ขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าคลาวด์ก่อนยื่นหน้าขยายหัวเอ่ยถามคลาวด์เป็นเสียงเดียวกัน
“ขึ้นมาคุยกันเฉยๆ...” คลาวด์ตอบเรียบๆ อย่างไม่ได้คิดอะไร
“...” ทั้ง 3 มองหน้ากันเอง ก่อนหันไปมองหน้าคลาวด์ แล้วหันกลับมามองหน้ากันเองอีกที จากนั่น 3 หนุ่มก็พากันกระโดดจุ้มหัวซุบซิบกันอยู่หลังประตูดาดฟ้า
“เพื่อนเราสุดยอดจริงๆ” ทีดัสเปิดบทสนทนา “วันแรกถามหา ก่อนไปให้ขอขวัญ วันต่อมามีนัดมาเจอกันที่ดาดฟ้าด้วย ความสัมพันธุ์แบบสายฟ้าแลบเลยนะเนี่ย...”
“เฮ้ย… เกินไปรึเปล่า? เขาอาจจะมาเจอกันโดยบังเอิญก็ได้” ฟีเรี่ยนว่า
“ใครๆ เขาก็ไปกินข้าวกันหมด แล้วใครจะขึ้นมาดาดฟ้าตอนพักเที่ยงอย่างงี้เล่า” ทีดัสว่าราวนักวิชาการ “อีกอย่าง ทีน่าเป็นเด็กใหม่ แถมดูอ่อนแอด้วย เด็กอย่างงั้นเหรอจะกล้าเดินเล่นทั่วโรงเรียนแล้วมาเจอะคลาวด์ที่นี่ ไม่มีทางคลาวด์ต้องนัดมาแน่ๆ”
“ฉันเห็นด้วย” เซซิลหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาด้วยความดีใจ “โบะของเรา... โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ใช่มั้ยเซซิล” ทีดัสกุมกุมมือเซซิลก่อนปล่อยน้ำตาแห่งความซึ้งออกมาอีกคน
“เออ... ฉันว่าคงไม่ใช่หรอก...” ฟีเรี่ยนยังไงก็ไม่เชื่ออยู่ดี
ซูด...
“อะ เอ๋~...?” ทั้ง 3 หันไปมองหนุ่มตั้งต้นเสียงที่กำลังยืนดูดกาแฟอยู่ไม่ไกลนัก
“ฮะ เฮ้ย!” ทีดัสชี้ซองขนมปังที่คลาวด์แกะกินไปแล้ว “ขนมปังไส้เดรกของฉัน...!”
“ช้าเอง…” คลาวด์ปล่อยให้ทีดัสน้ำตาไหลพรากร้องครวญครางราวมางานศพ
แล้วทั้ง4 ก็กินมื้อเที่ยงกันตามปกติ พร้อมกับเสียงเอ่ยแซวคลาวด์อยู่ไม่ขาดปาก
ปี 1 ห้อง A
“ทีน่ามาแล้ว!” ซีดานที่แอบด้อมๆ มองๆ ที่ประตูเอ่ยบอกเพื่อนๆ ในห้อง
“เอาล่ะตามบทนะ พอทีน่าเข้ามาพวกเราก็ก้มหัวขอโทษเธอเลยนะ” บัทส์เอ่ยเตี๊ยมกับเพื่อน
“อื้ม” เพื่อนๆ ตอบรับ
“จะถึงแล้ว! พร้อมนะ!” ซีดานว่าก่อนกระโดดมารวมกันกับเพื่อน
“โอเค หนึ่ง... สอง...” บัทส์เริ่มเอ่ยให้สัญญาณ และแล้ว
“ขอโทษนะทุกคน!”
“ชะ!” ทุกคนที่เตี๊ยมกันมาถึงกับสะดุดล้มหัวฟาดพื้นเมื่อสาวงามประจำห้องเดินเข้ามาก้มหัวขอโทษพวกเขาหน้าตาเฉย “อะ เอ๋~?”
“เมื่อกี้เราว่าทุกคนแรงไปหน่อย ต้องขอโทษนะ” ทีน่ากล่าว ทันใดนั่นเอง เหล่านักเรียนที่จับกลุ่มนินทาแบบปากเสียๆ ร้ายๆ จนทีน่าร้องไห้ออกจากห้องไปเริ่มประมวลสมการที่เกิดขึ้น
นินทาว่าร้ายคนอื่น = ชั่วช้า
ทำทีน่าร้องไห้ = เลวทราม
ทีน่าที่ไม่ได้ผิดอะไรต้องมาขอโทษ = ชั่วช้าเลวทราม
‘โอ้~โห... เอาซะพวกเราผิดทุกด้านเลย’ เหล่าผู้นินทาประณามตัวเองในใจ
“เธอไม่ผิดหรอกทีน่า” ไม่รอช้าหนึ่งในจำเลยก็นำเอ่ยขอโทษทีน่าทันที
“ใช่... พวกเรามันปากไม่ได้ พวกเราผิดเองแหละ” คนต่อมาเอ่ยตามทันที
“ยกโทษให้พวกเรานะ ทีน่า” และตามด้วยคนต่อไปอย่างเป็นลำดับ
“พวกเราขอโทษนะ” ทั้งกลุ่มก้มหัวขอโทษพร้อมกัน
“ทุกคน…” ทีน่าเอ่ยด้วยความดีใจ
“ดีจังเลยนะทีน่า” น้องหอมเอ่ยแสดงความยินดี
“เอาล่ะ ทุกคนดีกันแล้ว ยินดีด้วย!” บัทส์เข้ามาแจมทันที
“ไหนก็ดีกันแล้ว พวกเราไปกินข้าด้วยกันดีกว่า!” ซีดานเข้าขากันทันที
“ไป! /เย้! /ตกลง!” ว่าจบเหล่าปี 1 ห้อง A ที่เหลือก็พากันไปกินเข้าด้วยกัน
“...” สคอลล์นั่งไขว่ห้องอยู่ที่โต๊ะตัวเองเซ็งๆ ‘แล้วมันเกี่ยวกับฉันตรงไหน...’
“สคอลล์มาด้วยกันสิ!” บ่นไม่กี่คำไม่ทันไรบัทส์ก็มาฉุดบากไปด้วยกันเหมือนเคย
เลิกเรียน
“เฮ้มิวท์ วันนี้ไปดูไอเทมด้วยกันมั้ย? แรมซ่าให้มาชวน”
“ปะ ไปสิ”
“วันนี้ฉันต้องรีบกลับ ไปนะอากริอัส”
“เจอพรุ่งนี้ซ่าร่าห์”
เสียงบรรยากาศแห่งการล่ำลาในตอนเย็นเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังอาจารย์ปล่อยกลับบ้านในคาบสุดท้าย
“กลับบ้านด้วยกันซีดาน” บัทส์กระโดดมากอดคอเพื่อนคู่ขา
“อื้มไปกันเถอะ!” ซีดานกอดคอตอบก่อนทั้ง 2 จะมองไปที่เป้าหมายของพวกตน
“...” สคอลล์ที่กำลังยกกระเป๋าพาดบ่า รู้สึกถึงสายตางของใครสักคน(หรือ2 คน)ใกล้ๆ ตัว มองมาที่ตนจึงหันกลับไปมอง แต่ก็ต้องพบกับ
“สคอลล์กลับด้วยกัน...!!” สองลิงกระโดดเกาะแขนสคอลล์พร้อมกันหวังทำหนุ่มโย่งล้มลงเล่นๆ แต่แล้ว “เอ๋~?”
“ลงไป...” สคอลล์ที่ยังยืนนิ่งราวเส้าเข็มเอ่ยสั่งทั้งคู่ด้วยเสียงดุๆ
“เหมือนต้นไม้เลยบัสท์!” ซีดานที่เกาะอยู่แขนซ้ายเริ่มโหนตัวกับแขนสคอลล์อย่างคึกคะนอง โดยไม่ดูอารมณ์หน้าหนุ่มหน้าบากเลยซักนิด
“จริงเหรอ!? ไหนลองบ้างดิ!” ว่าจบบัทส์โยกตัวโหนตามทันที แต่ยังไม่ทันไร
ฟึบ...! ตุบ!
“ไร้สาระ...” สคอลล์สะบัดทั้งคู่ทิ้งอย่างรำคาญก่อนเดินออกจากห้องไป
“เดี๋ยวสคอลล์รอด้วย…!!” บัทส์ และ ซีดานไม่เข็ด ลุกขึ้นวิ่งตามไปทันที
“ใครว่ายังฉันไม่รู้นะ แต่ฉันสงสารสคอลล์ยังก็ไม่รู้” หนึ่งในนักเรียนที่ยังอยู่ในห้องเอ่ยขึ้น
“อื้ม...” คนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย
“แหะๆๆ” ออนเนี่ยนหัวเราะแห้งๆ ก่อนหันมาลาทีน่า “สายแล้วฉันไปนะทีน่า”
“อื้ม! กลับดีๆ นะออนเนี่ยน” ทีน่าเอ่ยลา ก่อนก้มกลับมาหน้าก้มตาเก็บของเตรียมกลับเช่นกัน แต่แล้ว “ฮิๆ...”
“ทีน่าหัวเราะอะไรเหรอ?” หนึ่งในผู้อยากรู้อยากเห็น (หรือที่เรียกว่าสอดรู้) เอ่ยถามทีน่าที่อยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาเฉยๆ
“อะ อ๋~อ… ไม่มีอะไรเหรอ” ทีน่าตอบปฏิเสธแต่แล้วสายตาของคนช่างสังเกต (หรือสอดรู้) ก็ไปสะดุดเข้ากับผ้าเช็ดหน้าสีดำที่มีหัวหมาป่าสีเงินติดไว้ตรงมุมในมือทีน่า จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ดูจากลายแล้วไม่น่าจะใช่ของทีน่านะ... นี่ผ้าเช็ดหน้าใครเหรอ?”
“ขอรุ่นพี่คลาวด์น่ะ” ทีน่าตอบด้วยความใสซื่อแบบไม่คิดอะไร แต่นั่นกลับทำให้เหล่าผู้อยาก (สอด) รู้ อยากเห็นทั้งหลายหูถ่างทันที
“ว่าไงนะ ได้มายังไงอะ!?” ผู้อยากรู้ (สอดรู้) [จะกัดกันไปถึงไหนเนี่ยคนแต่ง!] (เออโทษที พิมพ์คำนี้แล้วมันมันส์มือดี)
“อะเออ... พี่เขาให้มา ตอนร้องไห้เมื่อตอนเที่ยงน่ะ” เช่นเคย ทีน่าตอบด้วยน้ำเสียงใสๆ แบบอินโนเซนท์ แต่กลับทำให้พวกสอดรู้ (พิมพ์ตรงๆ เลยดีกว่า) เข้าใจผิดกันไปยกใหญ่ พร้อมกับเปิดที่สุมหัวกอซสิบกันทันที
“แสดงว่าเมื่อตอนเที่ยง รุ่นพี่สไตรฟเป็นคนปลอบทีน่าสินะ”
“มิน่ากลับมาถึงดูสดใสเหมือนเดิม น่าอิจฉาเหมือนกันนะเนี่ย”
“เฮ้! ดะ เดี๋ยวก่อนนะ... ละ แล้วรุ่นพี่สไตรฟ จะมาเจื๋อนพวกเราข้อหาไปทำสาวเขาร้องไห้มั้ยอะ?”
“อะ เออ! นั่นดิ! เอาไงล่ะ?”
“ไม่ใช่ทีน่าเคลียร์กับพี่แกไว้แล้วเหรอ”
“ก็อาจจะ แต่ไม่ใช่ว่าพี่แกจะยอมไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นเพื่อนเป็นการรักษาชีวิต พวกเราวันนี้รีบกลับเถอะ สลายโต๋!” ไม่ช้าเหล่าผู้สอดรู้ก็พากันรีบเก็บกระเป๋าพากันออกจากห้อง ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านทันที
“อะ เอ๋~?” ทีน่าที่เก็บผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋าตัวเองเอียงคองงเมื่อตนเงยหน้าขึ้นมาพบห้องที่เคยมีเพื่อนตนอยู่เกือบสิบคน เหลือแค่เธอคนเดียวภายในชั่วพริบตา “ไปกันเมื่อไหร่...? งั้นเราก็กลับบ้านกับเขาดีกว่า เฮือก!”
ตึกตัก!
ทีน่าเบิกตากว้างสุดม่านตาเมื่อเกิดอาการเตือนก่อนที่พลังประหลาดของเธอจะหลุดการควบคุม
“ไม่นะ... ไม่เอานะ!” ทีน่าเริ่มตกอยู่หวาดกลัวอีกครั้ง ก่อนหันมองซ้ายขวาหาที่หลบก่อนพลังมหาศาลของเธอจะระเบิดออกมา
ตึกตัก!
อาการต่อมาเริ่มต้นขึ้นจังหวะของหัวใจหยุดลงไปครู่หนึ่ง ก่อนเต้นถี่รั่วด้วยความเร็วที่แสนทรมาน สายตาเริ่มพลามัว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็แอบดีใจนิดๆ เมื่อมองดูรอบแล้ว ถึงแม้ไม่มีที่ให้หลบ แต่ก็ไม่มีใครอยู่โดนลูกหลงจากพลังของเธอ เด็กสาวค่อยปล่อยตัวให้พลังนั่นเข้ายึดสติของตนเพื่อให้ความทรมานนี้จบลงโดยเร็ว ซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี... ทันได้นั่น!
“แหะๆ ลืมการบ้านไว้ใต้โต๊ะแฮะเรา เฮือก!” ออนเนี่ยนที่ย้อนกลับมาเอาของที่ตนลืมเอาไว้ อ้าปากค้างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นร่างทั้งร่างของทีน่าที่กำลังกลายเป็นสีชมพู พร้อมกับแรงกดดันจากพลังออร่าอันรุนแรง และ รัศมีอันหน้าสะพรึ่งกลัวที่ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวเธอ
“อะ ออน... ออนเนี่ยน... หนี... หนีไป...!!” ทีน่าที่พยายามดึงสติที่หลุดลอยออกไปให้กลับมามากที่สุดก่อนตะโกนบอกออนเนี่ยนด้วยเรี่ยวแรง และ สติสัมปชัญญะทั้งหมดที่มีเหลืออยู่ ก่อนทุกอย่างจะพลามั่ว จนกลายเป็นภาพดำมืด ทิ้งไว้แต่ความหวาดกลัว และ เป็นกังวลไว้คอยหลอกหลอนเธอในหัวขณะพลังของเธออาลาวาท
“นะ นะ นี่มัน อะไรเนี่ย!?” ออนเนี่ยนเอ่ยขึ้นมาอย่างสติแตกเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของตนกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ถึงแม้จะยังดูงดงาม แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความน่ากลัวจนขนทั้งตัวของเขาลุกซู่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ทะ ทีน่า! ทีน่า! ทีน่าเธอเป็นอะไรไปน่ะ ตอบมาที่สิทีน่า!”
ในขณะออนเนี่ยนพยายามเรียกชื่อของทีน่าโดยหวังให้สติเธอกลับมาพลังที่หลุดการควบคุมทำให้เธอแปลงกายเป็นเอสเปอร์ก็เสร็จสมบูรณ์ ตอนนี้ร่างทั้งร่างของเธอถูกปกคลุมด้วยผิวสีชมพูเรืองแสงราวอัญมณี ตั้งแต่ปลายเท้าจรดปลายเส้นผม พร้อมด้วยพลังมหาศาลที่เคลื่อนที่วนไปวนมาอยู่รอบตัวเธอ เธอหลับตานิ่งสนิทเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง แต่แล้วเสียงของออนเนี่ยนก็ทำให้เธอลืมตาขึ้น ปรากฎเป็นแสงสีขาวพุ่งออกมาจากดวงตาของเธอก่อนจะจางหายไปเหลือไว้แต่ดวงตาสีชมพูสวย แต่เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม
ทีน่าในร่างเอสเปอร์หันควับมาทางออนเนี่ยนที่เรียกชื่อเธออยู่ไม่ขาดปาก ไม่รู้ว่าด้วยความรำคาญ สัญชาติญาณดิบ หรือ อะไรก็ตาม ทำให้เธอยกมือขวาขึ้นก่อนสะบัดไปทางออนเนี่ยนที่ห่างจนตนเกือบ
ฟึบ!
“โห~ว!” ออนเนี่ยนถูกแรงลมพลังจิตที่น่าจะถูกส่งตรงจากมือของทีน่าพุ่งเข้าซัดตนกระเด็นไปติดกับกระดาน แต่ด้วยความสามารถพิเศษที่ตนฝึกมาเป็นอย่างดี ทำให้เจ้าตัวพลิกตัวเอาเท้าลงไปยันกระดานก่อนตีลังกากลับยืนดังเดิม “เมื่อกี้มันอะไรน่ะ!?”
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
เมื่อทีน่าร่างเอสเปอร์เห็นว่าการโจมตีครั้งแรกของตนไม่ผล ก็สะบัดมือเข้าโจมตีต่อเนื่องอีกเป็นชุดอย่างไม่ยั้งมือ
“เอาไงเอากัน! ไม่รู้หรอกว่าอะไรเกิดขึ้น แต่... ทีน่า! ฉันจะช่วยเธอเอง!” เมื่อเห็นคลื่นอากาศที่อัดกับไปลูกพลังพุ่งตรงมาหาตนแบบชุดใหญ่ ออนเนี่ยนไม่รอช้ายกมือขึ้นประสานอินใช้คาทานินจาทันที “คาถาไฟ โล่เพลิง!”
ฟู...! ซุ่ม! ซุ่ม! ซุ่ม!
“ว้~า! ฮึบ!” ออนเนี่ยนที่พ่นไฟออกมาเป็นโล่ถูกลมพลังจิตอัดกระแทกของทีน่าระดมซัดเข้าใส่จนโล่เพลิงของเขาสลายในที่สุด แรงกระแทกของพลังจิต ทำให้ตัวของออนเนี่ยนกระเด็นไปติดกับกระดานอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่แค่ใช้เท้ายันกระดานเป็นที่ส่งตัวกลับมายืน แต่กลับวิ่งไต่กำแพงขึ้นไปทางแนวดิ่ง ก่อนขึ้นไปยืนกลับหัวอยู่บนเพดานราวสไปเดอร์แมนด์ ขณะประสานอินขึ้นอีกครั้ง “คาถาดำ บาทาปีศาจเงา!”
ชึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
ทีน่าเอสเปอร์ยังคงปล่อยพลังใส่ออนเนี่ยนอย่างบ้าคลั่ง แต้คราวนี้สถานการณ์ที่เคยตกเป็นรองขอออนเนี่ยนเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อคาถานินจาเมื่อครู่ทำให้ที่เท้าของอันเนี่ยนประกฎเป็นเงาสีดำห่อหุ้มอยู่ เงาสีดำนั่นช่วยให้เขาเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้เขาสามารถหลบพลังของทีน่าเอสเปอร์ได้อย่างสบาย แต่ก็ไม่นานนัก
ฟรึบ! ผัวะ! เพล้~ง!
"โอ๊ย!” เสียงกระจกที่ผนังห้องทางซ้ายทั้งแถบแตกกระจาย พร้อมกับออนเนี่ยนที่ถูกพลังอัดกระแทกที่มาในรูปแบบทางยาวคล้ายแซ้ซัดเข้า ทำให้เสียหลักหล่นลงมาจากเพดานหลังกระแทกกับโต๊ะด้านล่างอย่างแรง ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่วายประสานอินขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้สิ่งที่เขาเสกออกมาไม่ใช่คาทาแต่เป็น “จงออกมา ออนเนี่ยนซอร์ด!”
ทันทีที่เอ่ยชื่อจบดาบสีทองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา ออนเนี่ยนไม่รอช้า คว้าดาบมากระฉับให้ถนัดมือ ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วชี้ดาบตั้งการ์ดมาที่ทีน่า ซึ่งกำลังทำท่าจะส่งพลังอัดกระแทกมาทางเขาอีกครั้ง
ฟรึบ! ชัวะ!
ทันทีที่ทีน่าสะบัดมือส่งพลังอัดกระแทกทางยาวพุ่งมาโจมตีเขา ออนเนี่ยนก็พุ่งตัวเข้าไปเงื้อดาบของตนฟันพลังนั่นขาดออกก่อนกระเด็นแยกไปคนละทาง ก่อนพุ่งต่อไปประชิดตัวทีน่า เหมือนทีน่าเอสเปอร์จะรู้ทันสะบัดมือเรียกลูกบอลพลังจิตนับสิบพุ่งเข้าใส่อันเนี่ยนทันที่ แต่แล้ว
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟุบ! แว๊บ!
ลูกพลังทั้งสิบพุ่งเข้าถูกตัวออนเนี่ยนอย่างจัง แต่คราวนี้แทนที่ร่างของออนเนี่ยน จะกระเด็นออกไปเหมือนที่แล้วๆ มา ร่างของเขากลับระเบิดกลายเป็นแสง ก่อนตัวเขาหายไปกับความสว่าง
“คาถาขาว แฟรช! เสร็จฉันล่ะ!” ออนเนี่ยนในท่าคาบดาบประสานอิน เอ่ยชื่อคาถาตนก่อนโผล่มาทางด้านหลังของทีน่า นี่เป็นโอกาสแล้ว เจ้าตัวไม่รอช้าเงื้อดาบขึ้นเตรียมฟาดลงจบการต่อสู้นี้ทันที แต่แล้วออนเนี่ยนก็ชะงักลง เมื่อนึกขึ้นได้ ‘เดี๋ยวสิ... นี่มันทีน่าไม่ใช่เหรอ งั้นท่าเราโจมตีก็เท่ากับว่า... เรา... ทำร้ายทีน่า... งั้นเหรอ!?”
ซูม!
“เอื้~อ...!!” ขณะที่ออนเนี่ยนกำลังเลใจอยู่นั่นเอง ทีน่าเอสเปอร์ที่ตับหลักได้ก็สร้างบาเรียพลังจิตขึ้นรอบตัวก่อนจะผลักมันออกไปอัดใส่ออนเนี่ยนให้กระเด็ดออกไปติดกำแพงอีกครั้ง เท่านั้นไม่พอ เธอสร้างบาเรี่ยอีกหลาดชุดก่อนผลักเขาเข้าไปชนกับผนังซ้ำแล้วซ้ำอีก... ซ้ำแล้วซ้ำอีก... จนออนเนี่ยนไม่สามารถโต้กลับได้ ทำให้ตัวเขาเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ไม่นานนัก ร่างน้อยๆ ของออนเนี่ยนก็เต็มไปด้วยบาดแผล และ รอยช้ำที่เกิดจากการประสานงาขอตนกับกำแพง จนหัวด้านหลังของเขาแตกมีเลือดซึมออกมาไหลเป็นทางลงมาคอ
“ที... น่า...” สติของอันเนี่ยนเริ่มเรือนรางพยายามเอ่ยชื่อเรียกทีน่าอีกครั้ง ในขณะที่ร่างกายกำลังถึงขีดสุด แม้แต่นายทหารร่างกำยำก็คงไม่มีทางที่จะทนอาการบาดเจ็บขนาดนั่นได้ แล้วเด็กตัวเล็กๆ ร่างบางๆ อย่างเขาจะทำได้เหรอ ไม่มีทางแน่นอน
“ที... น่า... ได้โปรด... ได้สติหน่อยสิ... ทีน่า...!!”
ออนเนี่ยนใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนเรียกชื่อทีน่าหวังจะปลุกให้ทั้งเธอ และ ตัวเขาเองตื่นขึ้นจากฝันร้ายด้วยความหวังที่เหลืออยู่น้อยนิด ทันทีที่สินเสียงออนเนี่ยนก็เงยหน้าขึ้นมองทีน่า... แต่แล้วทีน่าก็ยังคงอยู่ในร่างเอสเปอร์อันน่าสะพรึงกลัวดังเดิม หมดหวังแล้วหรือ ตอนนี้ใจของออนเนี่ยนเริ่มท้อแท้เป็นอย่างมาก คงไม่มีอะไรช่วยเขาได้แล้ว... ทันใดนั้น
กริ๊~ง!
เสียงดังมาจากกระพรวนที่ติดอยู่กับพวงกุญแจรูปมูเกิลที่เธอห้อยไว้กับกระเป๋าของเธอ ร่วงหล่นลงมาที่พื้นเนื่องมาจากแรงกระแทกของพลังจิตที่เธอปล่อยออกมา พัดเอาตัวพวงกุญแจกระเด็นขาดออกมาจากกระเป๋า ก่อนค่อยกลิ้งมาหาเธอ
ตึกตัก!
“ฮะ!” ปาฏิหาริย์บังเกิน ออนเนี่ยนที่หมดกำลังใจเมื่อครู่เริ่มฮึดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นท่าที่ของทีน่าที่เปลี่ยนไปของทีน่าหลังจากได้เห็นพวงกุญแจนั่น
‘อะนี่... เป็นของขวัญจากฉัน... เก็บไว้ดีๆ ล่ะ…’ ทีน่าเอสเปอร์ยกมือขึ้นกุมหัวเมื่อภาพของชายผมเงินโผกผ้าโผกหัวสีน้ำเงินผู้อยู่ในชุดนักผจญภัย บุคคลที่เธอแสนคุ้นเคยปรากฏขึ้นในหัว บุรุษที่เปรียมเสมือนพ่อที่คอยดูแลเธอเสมอมา ล๊อค ‘ฟังนะทีน่า ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร หรือ ตัวอะไร นางฟ้า ปีศาจ หรือ คนธรรมดา ไม่ว่าจะเคยมีอดีต หรือ เบื้องหลังแบบไหนก็ตาม ตอนนี้เธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราแล้ว...’
กริ๊~งๆ...!
“เฮือ~ก!” อาการผิดปกติของทีน่าเอสเปอร์ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อพวงกุญแจติดกระพรวนของตนกลิ้งไปติดกับของอีกอย่างหนึ่งที่ถูกแรงพลังจิตของเธอทำให้ตกไปอยู่ที่พื้น ของที่ทำให้เธอนึกถึงคนๆ หนึ่ง และ คำที่คำได้บอกไว้นั่นคือ
‘หากต้องการที่จะแก้ไขในสิ่งที่ผิด และ ทำในสิ่งที่ถูก ก็จงลืมความรู้สึกนั่น แล้ว เริ่มลงมือแก้ไขในสิ่งที่เราทำผิดพลาดไปได้แล้ว... จดจำไว้เพียงแค่ว่า อย่าทำให้มันเกิดขึ้นอีกก็พอ...’ ภาพของคลาวด์เอ่ยให้คำแนะนำเธอเมื่อตอนเที่ยงปรกฏขึ้นเคียงคู่กับภาพของล๊อคเมื่อพวกกุญแจมูเกิลกลิ้งไปหยุดอยู่ยนผ้าเช็ดหน้าของคลาวด์พอดี
“อ้า...!!!” ทีน่าเอสเปอร์เปล่งเสียงร้องด้วยความทรมาน ขณะสะบัดหัวไปมาให้ราวกับอยากให้ภาพในหายไป แต่ไม่นานนัก ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเธออีกครั้ง
แว๊~บ...!
แสงสีขาวที่ปรากฏขึ้นมาจากไหนไม่รู้เริ่มแปลงสภาพทีน่าเอสเปอร์ให้กลับมาเป็นทีน่าคนปกติดดังเดิม โดยเริ่มจากปลายเท้าค่อยขึ้นมาเรื่อยๆ... เรื่อยๆ... จนสุดเส้นผมเส้นสุดท้าย ท่ามกลางความตกตะลึงของออนเนี่ยนที่พยายามอดทนดูสถานการณ์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่สติของตนกำลังพร่าลงไปทุกทีๆ... ในที่สุด!
“เฮ้~อ...” ทีน่าที่กลับมาเป็นมนุยษ์ดังเดิมแล้วถอนหายใจยาวพรืด พร้อมกับพยายามเรียกสติทั้งหมดที่มีอยู่ให้กลับมา ก่อนจะลืมตาขึ้น เมื่อรู้สึกว่าพร้อม เธอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองสภาพรอบๆ หลังการอาลาวาทของเธอ “เละเหมือนเคย... อะ!”
“ที...น่า... ได้สติแล้วเหรอ...?” ทันทีที่เห็นเพื่อนสาวของตนกลับมาเป็นปกติแล้ว ออนเนี่ยนที่หมดห่วงก็ปล่อยให้ความเหนื่อยล้านำพาสติของตนหายไปกับห้วงนิทรา
“อะ! อะ! ออนเนี่ยน! ออนเนี่ยน! เป็นอะไรไปออนเนี่ยน!” ทีน่าที่ตกตะลึงกับสถาพอันดูไม่ได้ของออนเนี่ยนตรงเข้าไปประคองหนุ่มน้อยร่างเด็กที่นอนหมดสติอยู่ข้างกำแพงขึ้นมาในอ้อมกอดของตน “โอ้~ไม่... ฉันทำอะไรลงไป... ฉัน...”
“เฮ้! รู้สึกว่าเสียงจะมาจากทางนี้นะ!”
“งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ รีบไปเข้าสิ!”
“ท่านประธาน ครูกอลเบซ ครูเมเทอัส ครูอันติเมเซีย ครูการ์แลนด์ทางนี้ครับ!”
ทีน่าได้ยินเหมือนเสียงของเหล่าครู และ นักเรียนที่ได้ยินเสียงดังประหลาดของการต่อกันระหว่างร่างเอสเปอร์ของเธอกับออนเนี่ยนกำลังตรงมาทางเธอ
‘ฟังนะทีน่า... ห้ามให้ใครรู้ว่าเธอมีพลังเอสเปอร์โดยเด็จขาด... หากเกิดเหตุการณ์สุดวิสัยขึ้นอย่าพยายามโกหก เพราะเธอโกหกใครไม่เป็น... เพราะฉะนั้น จำไว้นะทีน่า หนี คือวิธีปิดความลับของเธอ อย่าให้ใครเห็นเธออยู่ในที่เกิดเหตุเป็นพอ เข้าใจนะ...’ เสียงของล๊อคดังขึ้นย้ำเตือนเธออยู่ในหัว ทำให้เธอเริ่มร้อนรนมองซ้ายมองขวาหาทางหนีที่จะไม่มีใครเห็นเธอ แต่ก็มีเพียงทางเดียวคือหน้าต่าง ซึ่งอย่างเธอคงมีปัญญาโดดลงไปอย่างแน่นอน
ทีน่าเริ่มกระวนกระวาย พยายามคิดหาทางออกให้เร็วที่สุด มีทางไหนบ้างที่จะพาเธอ และ ออนเนี่ยนหนีออกจากที่นี้ได้โดยไม่มีใครเห็น ทุกวินาทีที่คิด เหล่านักเรียน และ คระครูก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เขามาเรื่อยจนในที่สุด
แอ๊~ด…!
“...” เหล่าคณะครู และ นักเรียน ที่นำโดยกอลเบซเปิดเข้ามาดู แต่ก็ไม่พบอะไร
“ไม่เห็นมีใครเลย...” ครูในหมวกเกราะเหล็กสีเทาที่มีเขา 2 ข้างยาวออกมาเป็นแนวขวางเอ่ยด้วยเสียงเข้มปนดุ
“ตายแล้ว! ทำไมห้องเรียนถึงเป็นอย่างงี้เนี่ย?” ครูสาวผมสีเงินที่ทำผมเป็นทรงแปลกๆ คล้ายเขาแบบเดียวกันกับหมวกเกราะของครูตนเมื่อครู่ทำท่าตกใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ครูหนุ่มผมยาวบลอนด์ทองแต่งแต้มด้วยไฮไลท์สีม่วงที่ปลายผมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มๆ
“พวกเธอแน่ใจนะ ว่าพวกเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?” กอลเบซเอ่ยถามนักเรียนผู้นำทางอีกครั้ง
“ไม่รู้จริงๆ ครับ ตอนแรกๆ เราก็เดินกลับบ้านอยู่ดีๆ หลังลงบันไดชั้นสุดท้ายเสร็จจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนเสียงแปลก นี่แหละครับ” นักเรียนผู้นำทางคนแรกว่า
“พอเราเงยหน้าขึ้นมองบนอาคารจู่ๆ กระจกก็แตกกระจายลงมา เราวิ่งมาบอกทางสภาพ แล้วระหว่างทางก็เจอพวกครูนี่แหละครับ” นักเรียนผู้นำทางอีกคนสมทบ
“อืม...” คุณครูทั้ง 4 เอามือจับคางทำท่าครุ่นคิด
“เอาอย่างงี้ครับ...” ประธานไลท์เอ่ยขึ้น “ผมจะนำเหล่าสภาของผมสืบสวนเรื่องนี้ให้เอง วางใจเถอะครับ”
“เหอะ! จะทำได้เหรอ...” ครูในหมวกเหล็กดูถูก
“เธอทำไหวเหรอจ๊ะ? ” ครูสาวเอ่ยถาม
“ครับ...” ท่านไลท์ตอบ
“แน่ใจนะ?” ครูหนุ่มถามเช็คอีกที
“แน่นอนครับ” ท่านไลท์ยืนยัน
“งั้นครูขอฝากด้วยนะ...” กอลเบซแตะไหล่ไลท์เบา ก่อนนำเหล่าทั้ง 3 กลับไปที่ของตน ปล่อยให้ไลท์ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุกับนักเรียนผู้นำทั้ง 2 คน
“ช่วยไปตามสมาชิกสภามานี่ให้หน่อยได้ไหม” ไลท์เอ่ยถามผู้นำทางทั้ง 2 คน
“ครับผม” ทั้ง 2 คนตอบรับด้วยความปิติยินดีเมื่อตนถูกขอร้องโดยท่านประธานนักเรียน วอริเออร์ ออฟ ไลท์ ประธานหนุ่มผู้โด่งดังแห่งดิสสิเดีย ก่อนจ้ำอ้าวกันไปปฏิบัติตามคำสั่ง
ไลท์ยังคงเดินสำรวจรอบๆ ต่อไป เพื่อเจอเบาะแสอะไร แต่ดูเหมือนว่า ในห้องนี้จะเหลือแค่ความเละเทะเท่านั้น...
“หื~ม...?” สายตาของไลท์หันไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างบนผนังกำแพงฝั่งตรงกันข้ามกับกระดาน “อะไรเนี่ย...? รอยแตกงั้นเหรอ?”
ไลท์เอื้อมือมาสัมผัสรอยแตกประหลาดที่ยาวเป็นทางจากด้านล่างโค้งขึ้นไปด้านบน ก่อนโค้งกลับลงมาข้างล่างเป็นรูปวงกลม
“หรือว่า?” ไลท์เหมือนนึกอะไรออก เขาไม่รอช้าออกแรงดันที่รอยแตกนั่นทันที
ครื่น...! ปัง!
“ไม่เชื่อ... ว่าจะเป็นอย่างที่คิด...” ไลท์เอ่ยสั้นๆ ขณะมองผนังที่ตอนนี้กลายรูโหว่ขนาดใหญ่เมื่อเขาผลักส่วนที่ถูกฟันเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่กว่าตัวเขาหนึ่งเท่าตัวออก ‘มีแต่นักรบ หรือ ทหารที่มีความสามารถด้านอาวุธเท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้...’
ทันใดนั่นชื่อๆ หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวไลท์
“คลาวด์ สไตรฟ…”
เมืองมิดการ์
“ฮัดชิ้ว...” คลาวด์จามเบาๆ ราวกับสัมผัสได้ว่ามีใครนึกถึงเขา
“เป็นหวัดเหรอ?” สาวผมดำแสนสวยเอ่ยถามเขาที่นั่งอยู่ข้างชายผิวคล้ำร่างยักษ์ตรงบาร์ที่เธอกำลังชงเหล้าอยู่
“ไม่รู้สิ...” คลาวด์เอามือเช็ดจมูก
“อ้า~ว? แล้วผ้าเช็ดหน้าล่ะคลาวด์” สาวแสนสวยคนเดิมถาม
“อยู่กับรุ่นน้อง...” คลาวด์ตอบสั้นๆ
“รุ่นน้อง? ผู้หญิงหรือผู้ชายเอ่~ย...” สาวคนเดิมเอ่ยแซวเล่นๆ
“ผู้หญิง...” คลาวด์ตอบแบบไม่ได้คิดอะไร
“จริงอะ!?” สาวคนนั่นเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“อืม...” คลาวด์พยักหน้า
“ไม่น่าเชื่อ...” สาวหน้าบาร์มองมาที่คลาวด์อย่างในสิ่งที่ได้ยิน
‘คือ... ฉันเสียใจที่เพื่อนๆ... พูดแช่งพวกรุ่นพี่ที่บาดเจ็บเพราะฉันให้ เออ... แย่ลงไปอีก... ประมาณนั่นน่ะคะ’ ภาพของทีน่าปรากฏขึ้นหัวของคลาวด์ทันทีที่ตัวเขานึกถึง
‘หึ...’ คลาวด์หัวเราะเบาๆ ในใจ ‘อ่อนไหวจริงนะ...’
‘ฉันเสียใจที่เพื่อนๆ... พูดแช่งพวกรุ่นพี่ที่บาดเจ็บเพราะฉัน’
‘หื~ม’ คลาวด์เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับประโยคของทีน่าที่คุยกันตนเมื่อตอนเที่ยง
‘พวกรุ่นพี่ที่บาดเจ็บเพราะฉัน’
‘รุ่นพี่บาดเจ็บ... เพราะฉันงั้นเหรอ?’ คลาวด์ลองทวนประโยคดูอีกครั้งก่อนส่ายหน้าแล้วมองไปยังสาวผมดำตรงหน้าตน ‘เป็นไปไม่ได้... อย่าเธอคนนั่นคงไม่มีพลังมาอัดผู้ชายได้เหมือนทีฟาหรอก... แต่มัน... ก็ไม่แน่เสมอไป...’
ความคิดเห็น