คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Match 2 ย้อนเวลาสู่ยุคสงคราม ขบวนอพยพที่ถูกโจมตี
Match 2
ย้อนเวลาสู่ยุคสงคราม
ขบวนอพยพที่ถูกโจมตี
“เหวอ...!!!”
ตุบ!!
โออิชิกับคิคุมารุ 2 หนุ่มคู่หูแร็กเก็ตทองผู้ถูกพายุประหลาดหอบขึ้นฟ้าหายไปเป็น 2 คนแรกหล่นตุบลงมาฟ้าเหมือนใบไม้บนต้นที่ร่วงจากยอดไม้ลงมาสู่พื้นดิน (อาจจะลงมาเร็ว และ แรงกว่านะ ฟังจากเสียงกระทบพื้นบอกได้เลยว่าเจ็บแน่ๆ)
“อู~ย... เป็นไงบ้างเอจิ” โออิชิหันไปถามเพื่อนหนุ่มผู้ร่วงลงมาด้วยกัน
“เจ็บนะสิถามได้...” คิคุมารุตอบพลางลูบหัวตัวเองเบาๆ
“ว๊า~ก...!!!”
“หา~?” ทั้ง 2 เงยหน้ามองเจ้าของเสียงที่กำลังร่วงลมมาไม่ไกลจากพวกเขานัก
ปัง!!
“เอ่~อ...” โมโมะครางหลังลงพื้นด้วยหน้าอย่างจัง “ซวยกว่านี้มีมั้ยเนี่~ย...”
พลั่ก!!
“อุก…!!” โมโมะถึงกับอ้าปากร้องตาเหลือกเมื่ออินูอิที่ร่วงตามมาหล่นลงมานั่งตรงกลางหลังตนพอดี
“อ้าวโมโมะ!?” อินูอิเอ่ยทักเบาะรองรับมีชีวิตที่ตนหล่นมาทับ
ซุ่ม!!
“อั๊ก...!!/ไคโด!?/” อินูอิเรียกชื่อหนุ่มอสรพิษที่ร่วงลงมาทับตนอีกทีหนึ่ง
“รุ่นพี่...!?” ไคโดนั่งมองหน้าคนที่ตนทับค้างไว้อยู่โดยไม่รู้ว่าคนอีกข้างล่างนั้นร่อแร่เต็มที่แล้ว
“เบรินนิ่ง...!!” เสียงอันแสนจะคุ้นหูที่ฟังเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำอินูอิและ ไคโดมองขึ้นไปข้างบนเหนือหัวตนอย่างหวาดๆ และแล้วสิ่งที่พวกเขากำลังกลัวอยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“หลบปา~ย...!!!”
ตูม!!
“เหอ~?”
“รุ่นพี่คาวามูระ!!/คุณทากะ!!” 2 หนุ่มร้องเรียกชื่อบุรุษที่ดับเครื่องชนเหาะลงมาทับพวกเขาซะเต็มตัวจนแร็กเก็ตหลุดมือทำให้ออกจากสถานะไฟลุกไปทันที
“เฮ้ย~!! โทดที!! เป็นไงบ้าง!? ไคโด! อินูอิ! เอ๋~? แล้วใครนอนจมดินอยู่นั่นน่ะ”
“แอ๊~...” โมโมะครางตอบคาวามูระที่กำลังมองมายังร่างของตนที่สภาพดูไม่ได้จนน่าจะเรียกเป็นศพซะมากกว่า (ซวยพอรึยังโมโมะ สมพรปาก...)
“จะถึงพื้นล่ะนะ! ทุกคนเตรียมตัวไว้นะ!” ฟูจิที่โอบเอาปีหนึ่งทั้ง 5 ไว้ในอ้อมแขนร้องเตือนพวกรุ่นน้องขณะที่พื้นดินใกล้เข้ามาทุกทีจนในที่สุด “ฮึ๊บ!”
พลั่ก! ครืด...!
“เฮอ...” ฟูจิคลายมือออกหลังจากเอาหลังลงครูดกับพื้นรับแรงกระแทกให้เหล่าปี 1 ทั้งห้าที่อยู่ในอ้อมกอดของตนไม่ให้บาดเจ็บ (โห~... พระเอ๊~ก พระเอก)
“รุ่นพี่ครับ!/รุ่นพี่ฟูจิค่ะ!/เป็นอะไรรึเปล่าครับ!?/เจ็บมั้ยค่ะรุ่นพี่!?” เหล่ารุ่นน้องทั้ง 5 ร่มถามด้วยความเป็นห่วง ขณะค่อยๆ พยุงฟูจิขึ้น
“ฉันไม่เป็นไร... พวกเธอปลอดภัยกันก็ดีแล้ว” ฟูจิลุกขึ้นก่อนหันไปมองคนอื่นๆ
“โทดนะโมโมะ เป็นไงบ้า~ง…” คาวามูระเอ่ยถามรุ่นน้องผู้ถูกรุมทับจนจมดิน และ เพิ่งถูกแงะขึ้นมานั่งขัดสมาธิปลงอนิจจังอยู่หน้าจำเลยทั้ง 3 คน
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณทากะ” โมโมะบอก
“ใช่ครับรุ่นพี่ ทนไม้ทนมืออย่างหมอนี่ แค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอก” ไคโดเหน็บแนม
“แกว่าไงนะเจ้างูพิษ!!” โมโมะลุกขึ้นมาแหกปากเอาหัวชนหัวกับไคโด
“แกโง่เอง! มั่วแต่นอนค้างให้คนอื่นเขาหล่นลงมาทับอยู่ได้!” ไคโดโต้กลับ
“หน่อ~ย!! หล่นมาทับคนอื่นแล้วยังมีหน้ามาว่าฉันอีกเหรอ!!” โมโมะไม่เลิกรา
“ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่บนตัวแกซักเท่าไหร่หรอก!! ชู่ว์...!!” ไคโดก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ไม่เอาน่~า พวกนาย...” คาวามูระเอ่ยห้าม
“ทุกคนเป็นไงบ้างฮะ…!?” เสียงเรียกของคนที่เด็กที่สุดในตัวจริงเซงาคุเรียกเอาความสนใจของทุกคนหันไปมองอีก 2 คนที่มาเป็นอันดับสุดท้าย
ชึบ... ตึก!
2 หนุ่มลงพื้นได้อย่างนิ่มนวลผิดกับคนอื่นๆ ซึ่งตอนนี้กำลังมองดูผู้ที่มาเป็นคู่สุดท้ายลงพื้นอย่างสวยงาม (เหอะๆ ฝีมือคนละชั้นจริงๆ)
“มีใครบาดเจ็บรึเปล่า...?” เทะสึกะถาม
“คิดว่าไม่มีนะ...” โออิชิเดินนำทุกคนมารวมตัวกันที่หน้าเอจิเซน และ เทะสึกะ “นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“...” ทุกคนเงียบเสียงไปเหมือนไม่มีใครรู้
“น่าจะเป็นการปรากฏของหลุมอากาศที่ทำให้เกิดมิติผันผวนคล้ายพวกหลุมหนอนที่อยู่ในอวกาศเคลื่อนย้ายเรามาล่ะมั้ง” อินูอิว่า
“มันจะใช่เหร~อะ...” เอจิเซนบ่นพึมพำ
“มีอะไรเหรอเอจิเซน” อินูอิหันหน้ามาถามต้นเสียง
“เปล่าฮะ...” เอจิเซนเบือนหน้าหนี
“มีใครคิดทฤษฏีอื่นนอกกจากนี้ได้อีกมั้ย?” คนถามหันดูรอบๆ ที่ไร้ปฏิกิริยาจากบรรดาเพื่อนร่วมชะตากรรม “เอาล่ะ มีคำถามเดียวที่ต้องถาม มีใครรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน?”
“ถ้าเดาไม่ผิด... ที่นี้คือประเทศจีน”
“อ๋~อ จีนนี้เอง…”
“หา~!!! ประเทศจีน!!! ชู่ว์...!” ทุกคนเบิกตากว้างก่อนร้องอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน (อันเสียงงูนี้ไคโดทำคนเดียวนะ)
“แน่ใจเหรอเทะสึกะ” โออิชิถามซ้ำ
“ไม่รู้สิ... อาจจะไม่ใช่ก็ได้...”
“ไม่เหรอ... ที่นี้ประเทศจีนจริงๆ” ฟูจิว่าสวน
“นายแน่ใจได้ไง” อินูอิถาม
“นั่นไง” ฟูจิชี้นิ้วไปที่อะไรบางอย่างที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรข้างหลังพวกเขา
“หือ~?” ทุกคนหันไปมองสิ่งนั้นพร้อมกัน และ ภาพที่พวกเขาได้เห็นก็ทำเอาทุกคนถึงกับทำหน้าแหย่ตีคิ้วไปตามๆ กัน
ประเทศจีน! ป้ายไม้โกโรโกโสอันหนึ่งซึ่งดูจะปักลงอย่างไม่มั่นคงนักอยู่ที่ปลายเนินที่พวกเขายืนอยู่ (เฮ้ย~!? อะไรวะเนี่ย~? มี่งี้ด้วย...?)
‘ใครมันอุตริเอาป้ายพรรณนี้มาปักไว้วะ...’ เหล่าสมาชิกชมรมเทนนิสคิด
“เห็นมั้ย... แค่ดูก็รู้แล้วก็รู้แล้วว่าภาษาจีน” ฟูจิเอ่ยเสริม
“เอ๊ะ~! ป้ายนั้นมันแปลกๆ นะแง่~ว?” คิคุมารุเดินไปดึงป้ายที่ปักอยู่ขึ้นมาดู
“มีอะไรเหรอ เอจิ?” คาวามูระเดินเข้ามาดูใกล้ๆ อีกคน
“ก็นี้ไง” คิคุมารุชูป้ายให้ทุกคนดู “นี้มันตัวอักษรภาษาจีน!”
“อื้อ… แล้วมันเป็นยังไงเหรอ” คาวามูระถาม
“นายอ่านออกใช่มั้ย?” คิคุมารุถามคืน
“ก็ออกน่ะสิ...” คาวามูระตอบงงๆ
“พวกนายอ่านออกใช่มั้ย?” คิคุมารุหันไปถามคนอื่นๆ
“อื้ม...” ทุกคนพยักหน้า
“แล้วพวกเราอ่านออกได้ไงล่ะ!? นี้ภาษาจีนนะ!” คิคุมารุว่า
“...” ทุกคนยังมองมายังผู้ที่ถือป้ายอยู่อย่างงงๆ แต่ในที่สุด
“จริงสินะ... เราเป็นคนญี่ปุ่น แล้วอ่านภาษาจีนออกได้ไง?” ฟูจิเอะใจเป็นคนแรก
“เออใช่!/จริงด้วย!” ทุกคนประสานเสียงอุทานพร้อมกันอีกครั้ง
“ฉันว่ามันชักไม่ใช่การผันผวนของมิติธรรมดาแล้วล่ะ อินูอิ...” เทะสึกะเอามือขึ้นกอดอกขณะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
“อืม... ฉันก็ชักไม่มั่นใจกับทฤษฎีนั้นแล้วสิ” อินูอิขยับแว่นก่อนหันมาหาคิคุมารุที่กำลังเอาป้ายปักไว้ที่เดิม “แต่จะว่าไปนายก็ยอดไปเลยนะเอจิ แค่มองผ่านๆ ก็เห็นทันทีเลยว่ามันผิดปกติ สมแล้วที่เป็นคนที่มีสายตาดีที่สุดในเซงาคุ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” คิคุมารุเอานิ้วชี้ถูจมูกแก้อาย
“แห~ม เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ารุ่นพี่คิคุมารุก็สังเกตอะไรที่เป็นประโยชน์เป็นด้วย ว่ามะ?”
“ว่างั้นแหละฮะ.../อันนี้ฉันเห็นด้วย ชู่ว์...” เอจิเซนกับไคโดเอ่ยรับคำโมโมะอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“นี่พวกนาย!” คิคุมารุหันไปแยกเขี้ยวใส่รุ่นน้องทั้ง 3 ที่กำลังยืนนินทาเขาแบบระยะเผาขน
“หืม~?” ระหว่างที่คนอื่นกำลังมองภาพคิคุมารุเขม่นสายตาใส่อีกสามคนที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้น สายตาของซากุโนะก็หันไปสะดุดเข้ากับเทะสึกะที่แยกตัวไปยืนอยู่คนเดี่ยวที่ริมสุดเนิน ทำท่าเหมือนกำลังมองดูอะไร
“กัปตันค่ะ...?” ซากุโนะเดินเข้าไปทักเทะสึกะ
“หื~ม...?” เทะสึกะหันมามองสาวน้อยที่เดินเข้ามาหาตน “มีอะไรเหรอริวซากิ?”
“กัปตันมองอะไรอยู่คะ?” ซากุโนะถาม
“ดูนั้นสิ...” ซากุโนะหันหน้าไปมองทางเดียวกับเทะสึกะมอง และ ภาพที่เห็นก็คือ
“คนนี่นา!” เสียงของซากุโนะเรียกเอาความสนใจของทุกคนให้หันทางตนทันที
“ไหน!” คิคุมารุ กับ โมโมะ วิ่งกรูเข้ามาดูพร้อมกับ ไคโดที่ถูกฉุด และ เอจิเซนที่ถูกหิ้วคอมาด้วย ขณะพวกที่เหลือค่อยๆ เดินตามมา
“นั้นไง! คนจริงๆ ด้วย!” โมโมะร้องโหวกแหวกขณะชี้มือลงเบื้องล่างเนินที่พวกเขายืนอยู่ ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยกลุ่มคนนับไม่ถ้วนที่กำลังทยอยกันเดินจับกลุ่มเป็นขบวนผ่านใต้เท้าพวกเขาไป
“พวกเขาจะไปไหนกันน่ะ” คาจิโร่ถามขึ้นมาลอย
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ไง” โฮริโอะตอบกวนๆ
“มันจะยากอะไรเล่า ก็ลงไปถามเซ่~! ไปกันเถอะเอจิเซน!”
“ไม่เอา อะ!” เอจิเซนทำท่าจะปฏิเสธ แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้เอ่ยค้านอะไร โมโมะก็เอามือจับคอเสื้อรุ่นน้องตัวดีที่ตนเพิ่งปล่อยมืออกเมื่อกี้ลากลงเนินไปด้วยกัน
“เฮ้! รอด้วยเซ่~!” คิคุมารุวิ่งตามไป
“อย่าไปกันเองสิพวกนาย!” โออิชิพยายามห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“ผมไปตามให้ครับ...” ไคโดอาสาก่อนจะวิ่งตามไปอีกคน
“เฮ้~อ...” โออิชิส่ายหน้าถอนหายใจก่อนหันไปหาเทะสึกะ “เฮ้ เทะสึกะ ทำไมเห็นว่ามีคนมาแล้วไม่เรียกพวกเราล่ะ?”
“ก็มันดูแปลกๆ น่ะสิ…” เทะสึกะตอบ
“แปลก? แปลกยังไงเหรอเทะสึกะ?” โออิชิถามต่อ
“พวกนายดูการแต่งตัวของคนพวกนี้สิ...” เทะสึกะว่า
“หือ~?” อีก 10 คนที่เหลือ (ตัวจริง 5 กับตัวแถมอีก 5) มองลงไปยังกลุ่มคนที่ยังคงเดินผ่านเนินที่พวกเขายืนอยู่ไปเรื่อยๆ
“เอ๋~!?” โทโมเอะเอ่ยขึ้นคนแรก “ทำไม่แต่งตัวกันอย่างนั้นล่ะ?”
ภาพที่พวกเขาเห็นคือเสื้อผ้าของคนเหล่านั้นเกือบทุกคนเป็นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่เหมือนผ้าใยสังเคราะห์แบบปัจจุบัน พร้อมกับผ้าคาดเอว และ รองเท้าฟางที่ดูเหมือนจะผ่านการใช้มาอย่างหนักไม่น้อย
“เหมือนคนที่มาจากสลัมเลย” คาสึโอะว่า
“ไม่แน่อาจจะเป็นอย่างคาสึโอะพูดก็ได้”โออิชิออกความเห็น
“ดูดีๆ สิ... ไม่ใช่แค่การแต่งตัวที่แปลก... ทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่ติดตัวมาด้วยต่างก็ดูเป็นของโบราณทั้งนั้น แถมยังใส่เกวียนลากมาอีกต่างหาก...” ฟูจิเสริม
“หรือว่า...” อินูอิเบิกตากว้าง (แต่มองไม่เห็นตาเพราะว่านบัง) “เมฆนั้นนอกจากจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายสสารข้ามมิติแล้ว ยังทำให้เกิดการผันผวนของเวลาอีกด้วย”
“ห~า!?” ทุกคนอุทาน
“ม.ม. หมายความว่า พวกเราถูกซัดเข้ามาในมิติอะไรนั้นทำให้ย้อนเวลามาตกอยู่ที่จีนในสมัยก่อนงั้นเหรอ?” โออิชิเอ่ยด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะ แค่อาจจะนะ”
“ไม่เหรอก...” เทะสึกะว่าสวนขึ้นมา “มันน่าจะใช่อย่างที่นายพูดแหละอินูอิ...”
“ทำไมถึงได้แน่ใจขนาดนั้นล่ะ?” ฟูจิถาม
“ฉันกับเอจิเซนฝันถึงบางอย่างเกี่ยวกับจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นน่ะสิ...” เทะสึกะตอบ
“ฝันงั้นเหรอ?” ฟูจิมองเทะสึกะงงๆ
“ใช่... ฝันเหมือนกันเปี๊ยบเลยด้วย ราวกับเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง…”
“ไหนลองเล่าให้ฟังซิเทะสึกะ” ฟูจิบอก
“เฮ้~…!!!/ทหารวุ่ย...!!!/หนีเร็ว...!!!/กรี๊~ด…!!!/ว้า~ก...!!!”
“อะไรน่ะ!?” ทุกคนถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโว้ยวายที่ดังขึ้นมา
“แย่แล้วๆๆๆ…!!” คิคุมารุที่กำลังวิ่งขึ้นเนินมาตะโกนเรียก
“มีอะไรเหรอเอจิ?” โออิชิถาม
“แฮ่กๆ พวกเจ้าเปี๊ยก แฮ่ก…” คิคุมารุหอบเล็กน้อยก็ว่าต่อ “ถูกพาตัวไปแล้ว!!”
“นี้... รุ่นพี่...” เรียวมะพูดขึ้นขณะที่ยืนเต๊ะท่าล้วงกระเป๋าอยู่อย่างไม่สบอารมณ์ทั้งๆ ที่ยังทำหน้าตายอยู่เหมือนเดิม “เราอยู่ที่ไหนเนี่ย…”
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ ถูกลากมาด้วยกันยังจะถามอีก” โมโมะตอบเซ็งๆ
“แล้วมันเพราะใครล่ะที่ทำให้เราต้องโดนลากมาอย่างงี้! ชู่ว์…!” ไคโดเอ่ยกัด
เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน หลังจากที่โมโมะกับคิคุมารุที่หิ้วเอาเอจิเซนวิ่งลงมาหากลุ่มคนข้างล่างหวังจะสอบถามอะไรหลายๆ อย่าง พร้อมกับไคโดที่วิ่งตามาติดๆ จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนในชุดเกราะนับพันคนที่คาดว่าน่าจะเป็นทหาร ควบม้าตรงเข้ามาทางพวกเขาที่กำลังปะปนอยู่กับขบวนนั้นพอดี ทำให้บรรดาผู้คนแตกตื่นกรีดร้องกันลั้นวิ่งกันจ้าล่ะหวั่นจนทำให้โมโมะที่ยู่กลางกลุ่มพอดีถูกลากไปกับกลุ่มคนที่วิ่งตื่นกันยังกับมดแตกรัง ไคโดที่อยู่ใกล้พอดีก็คว้าเอาขาเอจิเซนที่ลอยตามโมโมะไปแบบบอดี้เซิร์ฟกะจะฉุดทั้ง 2 ไว้ แต่แรงเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวหรือจะสู้คนนับนับร้อยๆ ชีวิตได้ ทำให้เจ้าตัวถูกลากบอดี้เซิร์ฟไปด้วยอีกคน เหลือทิ้งไว้แต่คิคุมารุที่หลุดรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
“นายไม่มาอยู่กลางกลุ่มดูบ้างสิจะได้รู้ว่าเป็นยังไง!” โมโมะเถียง
“ก็ใครบอกให้โง่เข้าไปอยู่กลางกลุ่มล่ะ!” ไคโดโต้กลับ
“ฉันไปถามว่าเราอยู่ที่ไหน! ไม่ช่วยแล้วยังจะมาว่าฉันอีก!” โมโมะไม่ยอมแพ้
“ยังไม่มีใครให้นายมาเลยนะ!” ไคโดไม่น้อยหน้าเช่นกัน
“แต่ฉันก็ยังไม่ได้ยินใครบอกว่าไม่ให้มาเลย!”
“ก็นายไม่ยอมถามก่อนนะสิ! ชู่ว์...!”
“พอได้แล้วฮะ...” เอจิเซนว่าเสียงแข็ง “แทนที่จะมัวทะเลาะกันเอาเวลามาเดินหาพวกกัปตันไม่ดีกว่าเหรอฮะ”
“…” ไคโดและโมโมะที่ยืนกระชากคอเสื้อกันอยู่ก้มหน้าลงมองคนตัวเล็กกว่าที่กำลังจ้องพวกเขาด้วยสายตาจริงจังจนทั้งคู่จำจะปล่อยมือออกจากกัน “เชอะ!/ชู่ว์...!”
“พวกรุ่นพี่คงยังรู้ใช่มั้ยครับว่าตอนนี้อยู่ในที่แบบไหน...” เอจิเซนว่าเป็นนัยๆ
“หือ?” ทั้งสองคนมองรอบๆ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้เห็น อะไรเนี่ย~!?”
รอบๆ ตัวพวกเขาเต็มไปด้วยศพที่นอนตายกันเกลื่อนไม่เว้นทั้งหญิงหรือชาย หรือแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ บนตัวศพทุกศพมีแต่รอบแผลจากอาวุธมีคม และ รอยเท้าม้าย้ำผ่านเต็มไปหมด
“อย่าบอกนะว่า! ไอ้พวกที่ขี่ม้ามาเมื่อกี้เป็นคนทำ!” ไคโดว่า
“ก็ไม่น่าจะเป็นใครได้อีกล่ะฮะ...” เอจิเซนก้มหน้า
“อะไรจะโหดร้ายขนาดนี้! ขนาดเด็กกับผู้หญิงยังฆ่าได้ลง!” โมโมะเอ่ยขณะกัดฟันแค้นแทนพวกที่ตาย
“ตอนนี้ดูท่าเราจะไม่ปลอดภัยซะแล้ว” เอจิเซนว่าขณะทำท่าทางเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ในที่สุด “หื~ม... นั้นไง...”
“นายจะทำอะไรน่ะเอจิเซน” โมโมะเอ่ยถามคนที่กำลังเดินตรงไปยังซากศพที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาไม่ไกลนัก
“เอาอาวุธไงครับ…” เอจิเซนว่าขณะหยิบดาบที่อยู่ในมือศพผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาถือไว้กับตัว “ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะงั้นเราน่าจะต้องหาอะไรมาป้องกันตัวเผื่อไว้ก่อนดีกว่า”
“จริงของนาย...” ไคโดเอ่ยปากเห็นด้วยพลางมองหาอาวุธที่ดูเหมาะมือใกล้ๆ ตัว ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับทวนแบบชาวบ้าน 2 ด้ามที่ปักอยู่ตรงต้นไม้ทางด้าวขวาของตน เมื่อเห็นสิ่งที่ต้องก่อนแล้วไคโดก็เดินเข้าไปดึงทวนนั่นออกมาจากต้นไม้ แล้วโยนด้ามหนึ่งไปให้โมโมะ “เอานี่... ชู่ว์...”
“อืม... ขอบใจ...” โมโมะรับทวนมาจับให้กระชับก่อนยกพาดคอ “แล้วเอายังไงต่อล่ะ พวกนายจำทางที่เราถูกลากมาได้มะ?”
เอจิเซนกับไคโด 2 ส่ายหน้า
“ตอนชุลมุนกันอยู่พวกเราก็ถูกเบียดไปทางนี้ทีลากไปทางนี้ที จนตาลายไปหมดคงไม่มีใครจำทางได้หรอก ชู่ว์...” ไคโดเอามือเท้าสะเอว
“นั้นก็เหลือทางเดียวแล้วล่ะฮะ” เอจิเซนถืดดาบคว่ำลงแล้วเอาปลายดาบชี้พื้น
“นายจะทำอะไรน่ะเอจิเซน” โมโมะถาม
“Which? (วิช?)” เอจิเซนว่า
“ห~า...?” โมโมะ กับ ไคโดมองงงๆ ก่อนหันมามองหน้ากันอีกที
“เมื่อไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน ก็เหลือทางเดียวคือต้องเสี่ยงดวงเอาล่ะฮะ” เอจิเซนยิ้มเล็กน้อยก่อนปล่อยมือออกจากดาบ “ปลายดาบชี้ไปทางไหนเอาทางนั้นนะฮะ...”
เคล้~ง...
“สามก๊กงั้นเหร~อ?!” ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกัน (อีกครั้ง)
“สรุปว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในยุคสงครามงั้นเหรอ!?” โออิชิแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยินหลังจากเทะสึกะเล่าเรื่องรูปปั้นกับแสงจ้านั้นให้พวกเขาฟัง
“ถ้างั้นพวกที่ขี่ม้าไล่ฆ่าพวกชาวบ้านเมื่อกี้ก็! พวกทหารน่ะสิ!”
“โอ้ไม่…!”
“พวกเอจิเซนแย่แล้ว!”
“ทำไงดีล่ะ! ทั้งรุ่นพี่โมโมะกับรุ่นพี่ไคโด ก็อยู่กับเจ้าเอจิเซนน่ะ!”
“ต้องรีบตามไปช่วยแล้ว!”
“เรียวมะคุง...”
“อย่าแตกตื่นน่า!” เทะสึกะขึ้นเสียงเรียกสติเหล่าสมาชิกชมรมกลับมา “ทั้ง 3 คนนั่นไม่ได้อ่อนแอจนไม่มีปัญญาทำอะไรสักหน่อย มิหน้ำซ้ำพวกนั้นยังมีฝีมือ และ เทคนิคการเอาตัวรอดพอๆ กับพวกเรา เพราะฉะนั้นตอนนี้อย่าเพิ่งตื่นตูม ช่วยกันคิดดีๆ ว่าจะไปตาม 3 คนนั้นยังไง”
“...” เมื่อได้สติกลับมา ทุกคนก็เงียบกริบหันมาฟังคำสั่งผู้สั่งการที่ยืนอย่างองอาจอยู่หน้าทุกคน (สมกับเป็นกัปตัน)
“คิคุมารุ พวกเอจิเซนถูกฝูงชนในขบวนอพยพนั้นพาไปทางไหน?” เทะสึกะถาม
“เออ... รู้สึกว่าจะทางนั้นนะ” คิตุมารุชี้มือไปทางตะวันออก
“ทางนั้นเหรอ...” เทะสึกะมองไปตามทางที่คิคุมารุชี้แล้วนิ่งไปพักหนึ่ง “เอาล่ะทุกคน... พอลงจากเนินนี้แล้วให้มองหาอาวุธหรืออุปกรณ์อะไรก็ได้ที่ตกอยู่ข้างล่างเอาติดตัวไว้ป้องกันตัวเองคนล่ะชิ้น แล้วกลับมาเดินจับกันเป็นกลุ่มไว้ เข้าใจมั้ย”
“ครับ/ค่ะ/อื้ม” ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
“เออ! เดี๋ยว~! ก่อนจะไปฉันมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอกพวกนาย...” คิคุมารุเดินไปยังป้ายโกโรโกโสตรงปลายเนินนั้นก่อนพลิกอีกด้านหนึ่งมาให้คนอื่นๆ ดู
“ห~า...!”
![ สะพานเตียงปันเกี้ยว ] I [ ทุ่งเตียงบันโบ๋ ]"
“ตกลง... เราจะไปทางไหนอะ?”
“ทางซ้าย...”
“เฮ้~อ... เหนื่อยเหมือนกันแฮะ”
“ช่าย... แต่ถึงกับให้ม้าพวกเรามาตีอีแค่ขบวนอพยพนี่ ท่านโจโฉคิดอะไรอยู่นะ”
“มันก็ยังดีกว่าโดนส่งไปแนวหน้าล่ะน่า ลองคิดดูสิ ถึงทหารของไอ้เล่าปี่มันจะมีน้อยกว่าทางเราราวฟ้ากับเหว แต่ขุนพลมันก็มีฝีมือร้ายไม่ใช่ย้อยเลยน้า โดดเฉพาะคนชื่อกวนอูน่ะ”
“จริงของเจ้า ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เห็นว่าท่านโจโฉอยากได้มาร่วมกองทัพด้วยแทบขาดใจ แต่เจ้านั่นก็ปักใจอยู่ที่เล่าปี่อย่างเดียว ท่านเลยโจโฉทุ่มสุดตัวให้นู่นบ้างให้นี่บ้าง ชวนมากินข้าวบ้าง นับถือกวนอูเป็นสหายบ้าง ค่อยเถิดทูนอยู่ตลอด หวังว่าจะพิชิตใจกวนอูให้ได้ ถึงขนาดมอบม้าเซ็กเธาว์ให้เป็นม้าคู่กายเชียวนะ”
“ขนาดนั้นเลย!? แล้วสำเร็จมั้ย?”
“ถ้าสำเร็จแล้วจะต้องมาค่อยระวังมันหาสวรรค์วิมานอะไรเล่า! ถามไม่คิด! หลังจากกวนอูมันพบโอกาสกลับไปหาเล่าปี่ มันก็หักด่านเมืองเราไปตั้ง 6 ด่านจนกลับไปหาไอ้เล่าปี่นายมันได้”
“6 ด่านเชียวเหรอ!”
“เออ! สิวะ!”
“แล้วเป็นไงต่อ!?”
ซึบ…!
“หือ~!?” ทหารทั้ง 3 ที่นั้นจ้อกันอยู่เงียบเสียงลงทันทีที่ได้ยินแปลกๆ มาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ ตัว
“ชู่ว์...”
“เหอะ! นึกว่าอะไร งูนี้เอง” ว่าจบก็หันไปคุยกันต่อ
“เฮ้ย อยู่นิ่งๆ สิวะ อยากให้พวกมันเข้ามาฆ่านักรึไง” ไคโดกระซิบด่าโมโมะ
“เออ พยายามอยู่ พุ่มนายไม่ได้เล็กเหมือนฉันนี่หว่า” โมโมะตอกกลับ
“จะทะเลาะกันทำไมล่ะเนี่ย” เอจิเซนส่ายหน้า
“จะว่าไปต้นเหตุก็คือนายนั้นแหละ เอจิเซน” ไคโดหันมาว่าเอจิเซน
“อ้า~ว ไหงเป็นผม” เอจิเซนหันไปถามไคโด
“ก็นายไม่ใช่เหรอที่เสี่ยงดวงพาพวกเราเดินมาทางนี้” โมโมะตอบแทน
“อ้า~ว ก็ไม่เห็นมีใครค้านอะไรเลยนี่นา อีกอย่างที่ต้องติดอยู่ในที่แบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดผมซะหน่อย พวกเราดวงซวยเองต่างหาก”
ทั้ง 2 เถียงไม่ออก เพราะทั้ง 3 ก็ร่วมใจกันเดินมาตามทางที่เสี่ยงดวงเอาด้วยดาบ โดยไม่นึกไม่ฝันว่าทหารม้ากลุ่มหนึ่งที่มีลูกทีมประมาณ 30 กว่าคนจะแยกตัวออกมาหยุดพักกันทางนี้พอดี กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายเกินไปที่จะเดินหนี ทั้ง 3 จึงต้องมาซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เล็กๆ ซึ่งตอนนั้นอยู่ใกล้ๆ พวกเขาพอดี (อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น)
“เดี๋ยวก่อน ข้าปวดฉี่ รอแปปนึงเดี่ยวค่อยเล่าต่อ” ทหารคนหนึ่งลุกขึ้นก่อนหันหน้ามาทางพวกเอจิเซน
“เฮ้ยๆๆๆๆ…” พวกเอจิเซนดูเหมือนจะรู้ว่าไอ้ทหารคนนั้นกำลังคิดอะไร
‘เอาไงดี!?’
‘เฮ้ย! ยังไงฉันก็ไม่ยอมนะเฟ้ย!’
‘นายว่าอันไหนจะดีกว่ากันล่ะ ยอมเหม็นนิดหน่อย กับ โดนไล่ฆ่า’
‘เออ...! ยอมก็ได้ฟะ ชู่ว์…’
ไคโดกับโมโมะคุยกันทางสายตา (ทำได้ด้วยเว้ย) ก่อนมองหน้ากันสรุปว่าทนอยู่เงียบๆ ไว้ก่อนและกัน แต่ยังไม่ทันได้หันมาบอกอีกคน เจ้าเปี๊ยกของเซงาคุก็โผล่พรวดออกไปทันที
“ถ้าต้องนอนซุ่มให้ไอ้หมอนี้ฉี่ใส่ ผมยอมตายซะดีกว่า” เอจิเซนว่า
“ไอ้บ้าเอ๊~ย...” รุ่นพี่ทั้ง 2 เอามือกุมขมับ
“เฮ้ย! พวกสอดแนม!” ไอ้ทหารคนทำกำลังจะแก้กางเกงฉี่ตะโกนเรียกพรรคพวกให้หันมาสนใจเด็กหนุ่ม 3 คน ที่ถูกมองว่าเป็นฆ่าศึก ก่อนชักดาบออกจากฟักข้างตัวเงื้อขึ้นฟ้าเตรียมฟันเอจิเซนทันที “ตายซะเถอะ…!”
“หึ… แค่นี้ยังอ่อนหัด...” ว่าจบเด็กหนุ่มก็กระชับดาบในมือแล้วเหวี่ยงดาบเข้าจุดตายจบชีวิตทหารคนนั้นนั้นทันที
“แก…!” อีก 2 คนที่อยู่ใกล้ๆ กันชักดาบออกมาหมายเอาชีวิตเด็กหนุ่มที่ยืนทำหน้าตายอยู่ต่อหน้าพวกเขา
“เอานี้ไปกิน!/เจอนี้หน่อย! ชู่ว์...!” โมโมะกับไคโดโผล่ออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับกระโดดพุ่งหอกเข้าแทงทหารอีกสองคนหมดลมหายใจทันที
“ฆ่ามัน…!!” ทหารคนอื่นๆ ที่มองดเหตุการณ์อยู่ต่างชักดาบออกมาก่อนกรูเข้ามาปลิดชีวิตเด็กหนุ่มทั้ง 3
“เอาล่ะนะ! ชู่ว์...!/พร้อมเสมอ.../เข้ามาเลย…!” ไคโด เอจิเซน และ โมโมะตั้งท่าพร้อมรับศึกก่อนวิ่งเจ้าไปลุยกับศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรงต่อความตาย สมาชิกเงาคุทั้ง 3 บุกตะลุยไล่หยุดลมหายใจผู้ปองร้ายต่อตนไปทีละคนๆ อย่างไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะมีฝีมือถึงขนาดนี้ การต่อสู้ดำเนินไปแค่ 10 นาที กลุ่มทหารเกือบ 30 คนเหลือเพียงไม่กี่คน ที่กำลังยืนขาสั่นหลังจาเห็นเพื่อนร่วมทัพของตนถูกเด็กเพียงแค่ 3 คนเก็บจนเกือบหมด
“ว๊า~ก...!!” ทันทีที่ 3 หนุ่มหันมามองด้วยสายตาอาฆาต เหล่าผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ก็เขวี้ยง อาวุธทิ้ง ก่อนใส่ตีผีวิ่งหนีไปอย่างไม่อายใคร
“ชิ! มีแต่พวกกระจอก...” ไคโดว่าขณะเอาหอกพาดคอ
“ว่างั้นแหละ” โมโมะสมพลางควงหอกเล่น
กรอบๆๆ...ครืด!
“รู้สึกว่าตัวหัวหน้าจะมาแล้วนะฮะ…” เอจิเซนเอ่ยขึ้นเมื่อมีบุรุษแปลกหน้าในชุดเกราะคล้ายๆ พวกทหารที่พวกเขาจัดการไป ติดก็แค่มีผ้าคลุม 3 คนขี่ม้ามาหยุดอยู่หน้าพวกเขาไม่ไกลนัก
“ฝีมือไม่เลว ไอ้หนู...” บุรุษผู้ยืนม้าอยู่ตรงกลางกลุ่มว่าขึ้น “ถือว่าเก่งไม่เบาเลยที่จัดการกับทหารของข้าไปได้เกือบหมด อนาคตคงเป็นทหารยศสูงๆ ได้สบาย แต่น่าเสียดายที่ต้องมาเจอพวกข้าในวันนี้ ไม่งั้นพวกเจ้าคงจะมีชีวิตต่อไปได้อีกยาวเลย”
“...”
“มีอะไรจะสั่งเสียไหมไอ้หนู... ?” ทหารบนหลังม้าวางท่าถามอย่างใหญ่โต
“พูดจบยัง...?” เอจิเซนถามกวนๆ
“ห~า...?” นายทหารบนหลังมามองเอจิเซนงงๆ
“พูดจบยัง จะได้เริ่มซะที...” ว่าจบเอจิเซนก็ยกดาบขึ้นตั้งท่าเตรียมรับการโจมตี
“อะ...” นายทหารนั่นเงียบไปพักหนึ่ง “ฮ่าๆๆๆๆ!”
“ขำอะไร...?” เอจิเซนถามอย่างไม่สบอารมณ์
“นี้เจ้าคงไม่คิดว่าจะเอาชนะข้าด้วยดาบสัปปะรังเคนั้นเหรอกนะ” นายทหารหัวเราะเยาะ “ดาบน่ะ มันต้องอย่างนี้”
ชวิ้~ง...
นายทหารบนหลังม้าชักดาบแบบตะวันตกที่มีคมดาบสีเงินสวยและดามจับสีแดงสดดูสะดุดตา ออกมาโชว์ให้เอจิเซนดู
“อย่างหวังจะคิดมาเทียบชั้นกัน แค่ดาบก็บอกความแตกต่างได้แล้วไอ้หนู”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงฟะ ชู่ว์...” ไคโดว่า
“ใช่! อีกแค่ดาบดีกว่าก็ไม่ใช่ว่าแกจะชนะได้ซะหน่อย” โมโมะเสริม
“หึๆๆ พวกเจ้าไม่รู้อะไรแล้ว” นายทหารอีกคนข้างซ้ายว่าขึ้นก่อนชูขวานอันโตพร้อมกับด้ามเหล็กที่ยาวจนเท่าส่วนสูงตนพอดีขึ้นระดับสายตา พร้อมกับเพื่อนฝั่งตรงข้ามอีกคนที่ชูค้อนศึกอันใหญ่ที่ด้ามยาวพอๆ กันขึ้นมาให้ประจักแก่สายตา
“แค่อาวุธก็บอกได้แล้วว่าคนถือมีฝีมือแค่ไหน ดูง่ายๆ อาวุธของพวกข้าทั้งสวยงาม และ หน้าเกรงขาม ส่วนของพวกเจ้า มันอะไร ไม้จิ้มฟันรึไง เห็นแค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าคนที่ถือมีน้ำยาแค่ไหน” คนที่ถือค้อนพูดต่อ
“เอ๋~… ดูฝีมือด้วยอาวุธงั้นเหรอ?” เอจิเซนเอ่ยเรียกความสนใจของพลม้าทั้ง 3 ให้หันมาที่เขา “ถ้างั้นฉันขอดาบนั้นไว้แล้วกันนะ”
ฟุบ!
เอจิเซนวิ่งตรงเข้าไปหานายทหารพลม้าผู้ยืนม้าอยู่ตรงกลางอย่างรวดเร็ว เล่นนายทหารนั้นถึงกับตกใจไม่น้อย แต่ก็ยกดาบขึ้นเตรียมตั้งรับอย่างรวดเร็ว
“หึ! รนหาที่ตาย ย๊าก~!” นายทหารควบม้าวิ่งเข้าใส่เอจิเซนก่อนเหวี่ยงดาบใส่ตัวจริงปีหนึ่งแห่งเซงาคุที่วิ่งเข้าใส่เขาอย่างแรง และ แม่นย่ำ คมดาบวิ่งตรงเข้าลำแสกหน้าเอจิเซนพอดี หลบไม่ทันแน่ๆ นี้คือจุดจบของเจ้าชายลูกสักหลาดหรือนี่ แต่ทันใดนั้น
ฟึบ! ครืด...!
“หา~! สไลด์ไปกับพื้นงั้นเหรอ!” นายทหารดึงบังเหียนม้าให้หยุดลงทันทีตัวของเด็กหนุ่มลอดผ่านคมดาบของเข้าไปได้หวุดหวิดหลังเอจิเซนทิ้งตัวลงสไลด์ไปตามพื้น “เข้าท่าดีหนิไอ้หนู! แต่อย่าหวังว่าจะหลบได้อีก! เฮือ~ก!!”
ฉัวะ!
“
“ตายซะเถอะไอ้เด็กบ้า…!!” ค้อน และ ขวาน ถูกเงื้อขึ้นเตรียมฟาดลงที่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าในอีกไม่กี่อึดใจ แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงตัวของเด็กหนุ่มที่หันมายิ้มกวนๆ ให้พวกเขา เสียงตะโกนจากเด็กหนุ่มอีก 2 คนที่โผล่มาคนล่ะข้างของเขาทั้งสองก็เรียกให้พวกเขาหันไปมองแต่ละข้างของตน
“คู่ต่อสู้ของนายคือฉัน!!” ไคโด และ โมโมะตั้งท่าเตรียมจู่โจม ทันทีที่พลม้าทั้ง 2 วิ่งมาเข้าระยะโจมตี 2 หนุ่มก็เหวี่ยงหอกในมือเข้าใส่นายทหารทะลุชุดเกราะเข้าไปอย่างรุนแรงดับลมหายใจของทั้ง 2 ด้วยท่าที่เรารู้จักกันดี “Snake Shot!! (สเนคชอท!!) / Jack Knife!! (แจ็กค์ไนฟ!!)”
ร่างไร้ชีวิตนายทหารม้าทั้ง 2 ร่วงจากหลังมาลงมากองอยู่กับศพไร้หัวของเพื่อนตนที่ไปปรโลกก่อนตนได้ไม่นาน พร้อมกับอาวุธที่พวกเข้าภาคภูมิใจนักหนาที่หลุดออกจากมือพวกเขาไป
“หึ… ตอให้อาวุธดีแค่ไหน แต่ถ้าฝีมือพวกนายมันมันอ่อนหัด มันก็ไม่ช่วยให้นายเก่งขึ้นมาได้เหรอ...” เอจิเซนเอ่ยปิดฉาก “ดาบนี่... ฉันขอแล้วกันนะ”
ว่าจบทั้ง 3 ก็ทิ้งดาบกับหอกชาวบ้านที่ได้มาจากศพผู้อพยพในตอนแรกทิ้งไป ก่อนก้มลงหยิบอาวุธใหม่ขึ้นมา
“ต้องอย่างงี้สิค่อยเหมาะมือหน่อย” โมโมะยกค้อนศึกขึ้นลงอย่างคะนองมือ
“เลิกเล่นได้แล้ว ชู่ว์... เอจิเซน... เสียงดวงอีกทีซิ” ไคโดที่กำลังแบกขวายักษ์ที่เพิ่งหยิบขึ้นมาไว้บนบ่าเอ่ยบอกเอจิเซน
“เอ๋... ยังไม่เข็ดเหรอครับเนี่ย...” ขณะที่ปากกำลังว่าไปอย่าง มือที่ถือดาบใหม่คว่ำลงอีกครั้งก่อนปล่อยให้มันร่วงลงพื้นไป “Which? (วิช?)”
เคล้~ง...!
ความคิดเห็น