ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Prince of Tennis in Three Kingdoms The Red Cliff

    ลำดับตอนที่ #13 : Match 12 ความขัดแย้ง และ การร่วมมือ แผนการของ 2 มหาปราชญ์

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 53


    Match 12

     ความขัดแย้ง และ การร่วมมือ

    แผนการของ 2 มหาปราชญ์

     

     “ครอก ฟี้~…” อาทิตย์เริ่มโผล่หัวออกมาจากขอบฟ้าแสดงให้เห็นช่วงเวลาของเช้าวันใหม่ที่ กำลังดำเนินอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น นอกจากคนที่อยู่เฝ้ายามแล้ว บรรดาแม่ทัพ ขุนพล ที่ปรึกษา ทหาร และ เหล่าเซงาคุก็ยังคงนอนส่งเสียงกรนประสานกันทั่วบริเวณอันเนื่องมาจากความ เหนื่อยอ่อนที่ได้จากงานเลี้ยงเมื่อคืน ทำให้พวกเขายังหลับสนิทอยู่ในเต็นท์ของตน ยกเว้นบางคนซึ่งก็คือ

    พรึ~บ...

                “ท่านเอจิเซน อรุณสวัสดิ์ขอรับหวังกูที่ยืนอยู่หน้าเต็นท์เอจิเซนเอ่ยทักทาย

                “นายมาทำอะไร ที่นี่?” เอจิเซนเอ่ยถามเจ้าตัว

                “เมื่อคืนผมมา ผลัดเวรยามเฝ้าหน้าเต็นท์ของท่านน่ะขอรับหวังกูตอบ ว่าแต่ แปลกดีนะครับ ท่านเอจิเซนปกติจะตื่นหลังขุนพลคนอื่นๆ ทุกวันเลยไม่ใช่เหรอขอรับ วันนี้ตื่นเช้ามีอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”

                “ตื่นมาออก กำลังนิดหน่อย...เอจิเซนตอบปัดๆ

                “แขนยังไม่หาย ดี อย่าเพิ่งหักโหมเกินไปนะขอรับหวังกูลูกน้องผู้ซื่อสัตย์เอ่ยบอกเอจิเซนด้วยความเป็นห่วง

                “อืม...ว่าจบเอจิเซนก็เดินจากไป

                ‘เฮ้~อ... ตื่นมาออกแรงได้ ฟื้นตัวเร็วจริงๆ โชคดีนะที่ท่านเอจิเซนไม่เป็นไรมากหวังกูคิดในใจแต่ที่น่าตกใจก็คือซิงเป็นผู้หญิงนี่สิ... แถมยังเป็นนายหญิงน้อยซุนซีซิง อีกต่างหาก เล่าเอาเราช๊อคไปเลย... จะว่าไป... ตั้งแต่จบศึกนั่นยังไม่ได้เจอหน้าเลย... เป็นอะไรมากรึเปล่านะ... หรือว่าจะถูกนายท่านกักตัวไว้...

                “เฮ้~อ...! เป็นจะเป็นผู้หญิงหรือนายหญิงน้อยข้าก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ไม่มีเจ้ามาทะเลาะด้วยมันเหงาๆ ไงก็ไม่รู้สิหวังกูบ่น


    บนเนินลูกเล็กๆ ใกล้ๆ กับค่ายผาแดง

              เธอมา สาย…” เอจิเซนเอ่ยทักซีซิงที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา

                “โทษที...ซีซิงที่เดินถือดาบคู่กายของตนตรงมาหยุดหน้าเอจิเซนกล่าวไม่นึกว่านายจะตื่นเช้าขนาดนี้ได้ ก็เลยไม่ได้รีบร้อนอะไร

                “ช่างเถอะ...เอจิเซนเอ่ยตัดบท พลางใช้แขนข้างซ้ายของเขาชักดาบออกมาชี้ไปที่ซีซิง มาเริ่มกันดีกว่า...

                “แขนนายเป็น อย่างนั้นนายจะไหวเหรอ?” ซีซิงเอ่ยถามด้วยความข้องใจกึ่งเป็น ขณะชักดาบของตนออกมา ทั้งๆ ที่สายตายังมองมายังเอจิเซนที่ห้อยแขนขวาที่บาดเจ็บของเขาไว้กับที่พักแขน ด้วยความเป็นห่วงรู้อยู่นะว่านายเก่ง แต่สภาพอย่างนั้นจะสู้ไหวเหรอ? ดูอย่างเมื่อคืนสิ... คีบตะเกียบยังไม่ได้เลย

                “หึๆ...เอจิเซนหัวเราะเบาๆ ก่อนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง... ทันใดนั้น

                “อ๊ะ!

                เคล้~ง!

              แค่นี้ ยังอ่อนหัดอยู่นะ...เอจิเซนที่จู่ๆ ก็พุ่งตัวเข้ามาจู่โจมซีซิงจนเธอเกือบตั้งตัวไม่ทันกล่าว ขณะมองหน้าเด็กสาวที่ยังดาบของตนขึ้นรับดาบของเขาได้อย่างหวุดหวิดสำหรับการฝึกในวันนี้ บนเรียนแรกเลย... อย่าประมาทคู่ต่อสู้ ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตามบอกให้รู้ไว้ ฉันถนัดซ้าย

                “ฮึบ!ซีซิงออกแรงดันเอจิเซนให้ถอยไปเล็กน้อย ก่อนกระโดดถอยมาตั้งหลัก อะไรนะ? ถนัดซ้าย? แล้วทำไมเมื่อคืนถึง...

                “เธอมาป้อนฉันเองนะ แล้วฉันก็ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีซะด้วยเอจิเซนทำเป็นเอ่ยยิ้มๆ แซวซีซิง แต่ภายใต้ใบหน้ายิ้มกวนๆ นั้นคือใบหน้ายิ้มเขินๆ ที่ถูกซ่อนไว้

                “กะ ก็ฉันนึกว่า นะ นายเจ็บแขน กะ กินเองไม่ได้ซีซิงที่ถูกเอจิเซนแซวเข้าให้ก็เกิดอาการหน้าแดง พูดติดๆ ขัดๆ ด้วยความเขินอายช่างมันเหอะน่า! รับมือ!

                เคล้~ง!

                “คำสอนที่ สอง... อย่าโจมตีคู่ต่อสู้สุ่มสี่สุ่มห้าเอจิเซนปัดดาบของซีซิงออกจากรัศมีการโจมตี แล้วจี้ปลายดาบไปที่คอเธอ เพราะมันจะทำให้มีช่องว่าง... เข้าใจนะ

                “อะ อื้ม...ซีซิงเอ่ยรับคำสอนของเอจิเซนอย่างว่าง่าย ถึงแม้เธอจะไม่ชอบท่าทีกวนๆ ของเขานัก แต่เธอก็รู้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นอยู่เหนือกว่าเธอมาก

                “ในเวลาต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุกหรือตั้งรับ ต้องคิดการเคลื่อนไหวต่อไปของตน พร้อมกับคาดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่สักแต่จะเหวี่ยงอาวุธเข้าจู่โจมหรือเข้าตั้งรับเฉยๆเอจิเซนงัดเอาเทคนิคการเล่นเทนนิสมาแปรสภาพเป็นเทคนิคการต่อสู้เอ่ยสอนซีซิง ขณะถอยหลังเว้นระยะห่างออกมา เอา... มาต่อกัน...

                “อื้ม!ซีซิงรับเอาคำสอนของของเอจิเซนเข้ามาในหัว ก่อนตั้งท่าพร้อมต่อสู้พร้อมแล้ว!

                “เอาล่ะนะเมื่ออีกฝ่ายพร้อมเจ้าเปี๊ยกแห่งเซงาคุก็ไม่รอช้าเริ่มการฝึกต่อทันที

                เคล้~ง! เคล้~ง! ควับ! เคล้~ง!

              ย่าห์!

                “ไม่เลวๆ...เอจิเซนเบี่ยงตัวหลับดาบของซีซิงเล็กน้อยก่อนเอ่ยชม หลังเธอตอบโต้ได้ดีขึ้น

                “จริงเหรอ?” ซิซิงเอ่ยถามด้วยท่าทางดีใจนิดๆ

                “ดีกว่า เมื่อกี้เยอะ แต่ก็ยังอ่อนหัดอยู่ดี...เอจิเซนกล่าว ตั้งสมาธิดีๆ แล้วเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้หน่อย...

                “ได้... เอาล่ะนะซีซิงเอ่ยรับคำสอน พลางยกดาบขึ้นเตรียมจู่โจมอีกครั้ง ย่าห์!

                เคล้~ง! เคล้~ง! เคล้~ง! เคล้~ง! เคล้~ง! ฟึบ!

              ต้องอย่าง นั้น...เอจิเซนเอ่ยยิ้มๆ เมื่อเห็นซีซิงที่รับเอาคำแนะนำของเขามาปฏิบัติตามได้อย่างเห็นผลทันตาอย่าง น่าเหลือเชื่อ ซึ่งทำให้เขารู้ว่า เธอเป็นคนประเภทเดียวกันกับเขา... หึ... เธอก็พวกที่คนเขาเรียกว่าอัจฉริยะเหมือนกันเหรอเนี่ย...

                “ยิ้มอะไรของ นายซีซิงที่มองเห็นท่าทีผิดสังเกตของเอจิเซน ที่ยิ้มมากผิดปกติ เอ่ยถามเจ้าตัว

                “ไม่มีอะไร...เอจิเซนแสร้งตอบปัดๆ ไป แต่จริงๆ แล้วเขากำลังสนุกที่ได้รู้ว่าเด็กสาวเบื้องหน้าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์เช่น เดียวกับเขา ไม่แน่ว่า หากเขาช่วยฝึกเธอดีๆ เธออาจจะกลายเป็นนักรบชื่อดังคนหนึ่งเลยก็ได้นั่นสินะ... ถ้าอย่างนั้น... ลองให้เธอฝึกไอ้นั่นดูดีกว่า...

                “พอก่อน...เอจิเซนว่าพลางลดดาบลงเปลี่ยนมาฝึกอะไรใหม่ๆ ดีกว่า?”

                “อะไร ใหม่ๆ...?” ซีซิงเอียงคองง  “อะไรงั้นเหรอ?”

                “เราจะฝึกวิชา ที่เรียกว่า... สเต็ป....


    ที่เนินไม่ห่างจากเนินที่ทั้ง 2 อยู่นัก

              น่ารักดีนะ คู่นั้นขงเบ้งที่ดีดพิณนั่งคุยกับเทะสึกะที่ยืนใกล้ๆ กัน (มาไงหว่า?)

                “...” เทะสึกะยืนนิ่งไม่พูดอะไร

                “ยังกังวล เรื่องที่ฉันบอกเมื่อคืนอยู่งั้นเหรอ?” ขงเบ้งเอ่ยถามเหมือนอ่านใจได้

                “อืม...เทะสึกะตอบสั้นๆ

                “ไม่ต้องห่วง หรอก ฉันรับมือเขาได้อยู่แล้วขงเบ้งเอ่ยบอก

                “ฉันรู้... อันที่จริง ฉันรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ว่ายังไงคุณจิวยี่ก็ต้องคิดที่จะวางแผนปองร้ายเธอไม่ช้าก็เร็วเทะสึกะกล่าว มันแค่ยังทำใจไม่ได้ ที่คนที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาเมื่อไม่นานกลับคิดที่จะมาเข่นฆ่ากันเอง

                “นั่นสินะ...ขงเบ้งพยักเห็นด้วยว่าแต่เธอรู้ได้ยังไง?”

                “ลางสังหรณ์ น่ะ...เทะสึกะโกหกเล็กน้อย ที่จริงรู้มาจากหนังสือ... แต่คงบอกไม่ได้หรอกว่าเรื่องราวของขงเบ้งในตอนนี้จะถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์

                “แอบคิดอะไร อยู่น่ะขงเบ้งที่จ้องหน้าพยายามอ่านใจเทะสึกะ ขณะมือยังคงดีดพิณของเธออย่างบรรจง เอ่ยถามหลังอ่านความคิดของเขาไม่ออก (ในคราวนี้)

                “จากนี้ไปฉัน คงออกห่างจากเธอไม่ได้แล้วสินะ...เทะสึกะกล่าว

                “หื~?” ขงเบ้งเอียงคอทำหน้างง

                “คุณจิวยี่ หมายหัวเธออยู่ ขืนฉันปลีกตัวจากเธอไป เธอก็มีอันตรายน่ะสิเทะสึกะบอก

                “แห~ม น่ารักจังเลย เป็นห่วงฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?” ขงเบ้งเอ่ยแซว

                “...” เทะสึกะตีหน้านิ่งหันหน้าหลบตาขงเบ้ง ทั้งๆ ที่หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด

                “หึๆ...ขงเบ้งหัวเราะ ก่อนยิ้มให้เทะสึกะด้วยความดีใจที่ได้รู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ ก่อนเอ่ยเข้าเรื่องของพวกตนต่อ งั้นก็อยู่ใกล้ๆ ฉันไว้ก็แล้วกันนะ ถึงฉันจะไม่คิดว่าท่านจิวยี่จะใช้วิธีการสิ้นคิดอย่างส่งคนมาจัดการฉันก็ เถอะ แต่กันไว้ดีกว่าแก้...

                “ดูท่าทาง เหมือนเธอกำลังสนุกอยู่อย่างงั้นแหละเทะสึกะว่า

                “ก็ใช่น่ะสิ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าจิวยี่จัดการฉันยังไง คอยดูสิ ฉันจะซ้อนกลให้หมดเลยขงเบ้งเอ่ยยิ้มๆ การได้ปั่นหัวจอมทัพแห่งกังตั๋งเล่น รับรองว่าสนุกแน่ๆ

                “สนุก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายงั้นเหรอ?” เทะสึกะตีคิ้ว

                “นั่นแหละ ที่ทำให้สนุก หึๆ...


    ช่วงสาย ณ ค่ายกังตั๋ง

              นี่หวัง กู ท่านเอจิเซนยังบาดเจ็บอยู่ แล้วท่านจะมาฝึกพวกเราได้เหรอ?” หนึ่งในทหารกองของเอจิเซนเอ่ยถามหวังกูที่เป็นอันดับ 3

                “ไม่รู้เหมือน กัน ท่านไม่ได้บอกอะไรไว้ ก็น่าจะมานั่นแหละหวังกูตอบ ขณะยังคงยืนประจำตำแหน่งอันดับ 3 อยู่หน้ากองของเขา รอคอยการมาของเอจิเซน และแล้ว มาแล้วนั้นไง! เอาล่ะ... ทุกคนจัดแถว! ทำความเคารพท่านหัวหน้าทัพ!

                “อรุณสวัสดิ์ ขอรับท่านหัวหน้าเอจิเซน...!ทหารในกองทุกคนก้มหัวเคารพ

                “หวัดดีฮะ...เอจิเซนตอบรับเรียบๆ

                “เฮ้~! แล้วฉันล่ะ?”

                “อ๋อใช่เกือบ ลืม ทำความเคารพรองหัวหน้าหวังกูว่า

                “อรุณสวัสดิ์ ขอรับรองหัวหน้าซิง…!” เหล่าทหารก้มหัวเคารพอีกครั้ง

                “อรุณสวัสดิ์

    “...”

                “เฮ้ย!!หลังเงียบไปครู่หนึ่งทั้งหวังกู และ เหล่าทหารก็รู้สึกตัวถึงการกลับมาของซีซิง หรือ ที่เขารู้จักกันในนาม รองหัวหน้าทัพ ซิง ท่านรองซิง! เอ๊ย! ไม่ใช่สิ... นายหญิงน้อยซุนซีซิง!

                “ไม่เป็นไร เรียกซิงเหมือนเดิมนั่นแหละซีซิงกล่าว อย่าไปสนใจไอ้เรื่องที่ฉันเป็นลูกสาวของท่านซุนกวนเลย ยังไงซะฉันก็เป็นรองหัวหน้าทัพซิงคนเดิมที่พวกนายรู้จักนั่นแหละ

                “เออ...ถึงแม้จะซีซิงจะพูดอย่าง แต่เหล่าทหารก็ยังคงเกรงเธออยู่ แต่แล้ว

                “เจ้าหายไปไหน มาตั้งหลายวันห๊ะ ซิง! รู้มั้ยข้าเหงาปากแค่ไหน ไม่มีคนให้ทะเลาะด้วยน่ะ!หวังกูว่าอย่างเป็นกันเอง

                “เหอะ! ข้าถูกจับได้ว่าแอบมารบ ก็ต้องถูกเรียกไปอบรมหน่อยสิ!ซีซิงเอ่ยเถียงหวังกูด้วยความดีใจ ที่เขาไม่มีท่าเกรงเธอเหมือนคนอื่นๆ เอ่ยคุยกับเธอตามปกติ

                “ฮ่าๆ! คิดไม่ออกเลย อย่างนาย... ไม่สิ เป็นผู้หญิงนี่นา อย่างเธอถูกเรียกไปอบรม คงฮาน่าดู เด็กชะมัดเลย ฮ่าๆหวังกูแซว

                “ใครล่ะที่ ฝีมือกระจอกขนาดเอาชนะเด็กอย่างฉันไม่ได้ซีซิงตอกกลับเล่นเอาหวังกูสะอึกไป

                “หึๆๆ...เอจิเซนหัวเราะน้อยๆ ที่ได้เห็นทัพของเขายังครึกครื้นเหมือนเดิม

                “หือ?” ซีซิง และ หวังกูหันมามองเอจิเซนเล็กน้อย ก่อนหันมายิ้มให้กัน แล้วหัวเราะออกมาตามๆฮ่าๆๆ...!

                “เหอะๆ... ฮะๆ... ฮ่าๆๆ...!หลังได้เห็นผู้นำทัพทั้ง 3 ของตนพูดคุย และ หัวเราะอย่างเป็นกันเอง เหล่าทหารที่เมื่อครู่เกรงๆ ซีซิงอยู่ก็กลับมาหัวเราะรื่นเริงเหมือนเดิม

                “เอาล่ะ หมดเวลาพักแล้ว…” เอจิเซนเอ่ยเรียบๆ

                “ได้ยินท่าน หัวหน้าทัพแล้ว! ทุกคนเตรียมพร้อมซ้อมรบ!หวังกูขยายคำสั่งอย่างรู้หน้าที่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มของซิง และ กลุ่มของฉัน เหมือนเดิม ปฏิบัติ!

                “ขอรับ...!เหล่าทหารทัพเอจิเซนไม่รอช้าทำตามคำสั่งทันที

     

    ในเต็นท์บัญชาการ

              ดูเหมือน นายหญิงน้อยจะเริ่มทำหน้าที่ของเธอแล้วนะขอรับจิวยี่ที่ยืนดูการฝึกของแต่ละทัพอยู่ในเต็นท์ เอ่ยพูดกับซุนกวน

                “เฮ้~อ... นอกจากซั่งเซียงแล้ว ก็ยังมีลูกสาวจอมซ่านี่อีกคนซุนกวนถอนใจเซ้งๆ ทำไมน้~า ผู้หญิงตระกูลฉันมันต้องซ่าทำท่าเป็นทอมบอยอย่างงี้ทุกคนเลย

                “ก็สมชื่อ ตระกูลพยัคฆ์ดีไม่ใช่หรือขอรับจิวยี่กล่าว

                “งั้นมั้ง?” ซุนกวนตอบช่างมันเถอะ... ข้าไปฝึกทหารกับเขาดีกว่า

                “หือ?” จิวยี่มองซุนกวนที่เป็นนายเหนือหัวงงๆ ว่าคิดอะไร ทำไมถึงลงไปฝึกทหารด้วยตัวเอง

    คนอื่นทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ถ้าข้าอยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไรแบบนี้มันน่าเกลียดนะซุนกวนว่า อีกอย่าง ข้าไม่ชอบอยู่เฉยๆ ซะด้วย ได้หนีจากงานราชการมารบทั้งที ก็ต้องใช้โอกาสให้คุ้มหน่อยสิ

    แหะๆจิวยี่หัวเราะแห้งๆ ขณะมองตามซุนกวนที่ค่อยๆ เดินออกจากเต็นท์บัญชาการไปสมกับเป็นน้องของท่านซุนเซ็ก เหมือนกันอย่างกับแกะ

    จิวยี่หันกลับมามองการฝึกทหาร ของบรรดาขุนพลเล่า-ซุน และ เหล่าเซงาคุต่อ ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับ บุคคลสำคัญคนหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากการดีดพิณรับลมยามเช้า ซึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับรองแม่ทัพคู่ใจ

    เราเองก็มีเรื่องสำคัญต้องทำ เหมือนกัน...จิวยี่คิด ขณะจ้องไปที่ขงเบ้งด้วยแววตาปองร้าย ก่อนเอ่ยปากสั่งทหารที่ยืนยามอยู่หน้าเต็นท์ ทหาร! ไปตามโลซกมาซิ!


    ค่ายโจโฉ

              ‘995... 996... 997... 998... 999... 1000... ครบ...

                “รู้สึกว่า ร่างกายจะหายดีเป็นปลิดทิ้งแล้วสินะ...โจโฉที่เดินเข้ามาหาซูเฉาในเต็นท์ประจำตัวของเขา เอ่ยทักทายลูกสมุนคนโปรดของเขา

                “ท่านโจโฉ...ซูเฉาที่ใช้ขาพาดคานไม้บนเพดานทำซิท-อัพ กระโดดตีลังกาม้วนหน้าลงมาคุกเข่าคำนับโจโฉ อรุณสวัสดิ์ขอรับ...

                “อรุณสวัสดิ์ลุกขึ้นเถอะ…” โจโฉกล่าวว่าแต่... ข้ารู้สึกว่า เจ้าดูซึมๆ ไปนะ... มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า...?”

                “ข้า... ได้พบกับเทะสึกะการรบครั้งก่อนขอรับ...ซูเฉากล่าว

                “เด็กหนุ่มที่ เอาชนะเจ้าได้คนนั้นอย่างงั้นเหรอ...?” โจโฉเอ่ยถาม แล้วผลเป็นยังไง...? คราวนี้ใครชนะล่ะ…?”

                “เปล่าขอ รับ... ข้ากับเขาไมได้สู้กันคราวนี้…” ซูเฉากตอบ ตอนที่ข้าเจอเขา ท่านแม่ทัพแฮหัวเอี่ยนกำลังถอยทัพพอดี... และตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าร่างกายข้ายังไม่พร้อม... ยังดีที่เขาเข้าใจผิดว่าตัวข้าหายดีแล้วจริงไม่อยากมีเรื่องกับข้าให้เสีย เวลา... ไม่ใช่สิ... ต่อให้รู้ว่าข้ายังไม่พร้อมเขาก็คงยอมปล่อยข้าไปแต่โดยดี...

                “ช่างเป็นคู่ ต่อสู้ที่น่านับถือจริงๆ...โจโฉเอ่ยชมเทะสึกะแต่นั้นก็ทำให้เจ้าไม่สบายใจสินะ

                “ขอรับ... ข้าอยากแก้มือกับเขา แต่พอมีโอกาส... ข้ากลับไม่พร้อม...ซูเฉากล่าว

                “ข้าบอกแล้วไง ซูเฉา เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน... สงครามมันยังไม่จบ…” โจโฉเอ่ยบอกเจ้ายังมีโอกาสอยู่ถมไป... เพราะฉะนั้น ตอนนี้เตรียมตัวให้พร้อม คราวหน้าเจอกันจะได้ไม่พลาดโอกาสอีก

                “ขอรับ...ซูเฉาตอบรับ

                “เอาล่ะ เชิญเจ้าพักต่อเถอะ ข้าจะไปดูสถานการณ์ตรงที่พักคนป่วยซะหน่อย…” โจโฉกล่าว ก่อนทำท่าเดินออกจากเต็นท์

                “ท่านโจโฉขอ รับ...ซูเฉาเอ่ยเรียกโจโฉ

                “หืม...?” โจโฉหันกลับมาหาซูเฉา

                “ขอบพระคุณมาก ขอรับ...ซูเฉากล่าว

                “ข้าไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย…” โจโฉกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วเดินจากไป อ๋อใช่... ตอนบ่ายอย่าลืมมาประชุมทัพล่ะ...

                ขอรับ...


    เต็นท์บัญชาการค่ายโจโฉ

                จากที่ได้ฟังที่แฮหัวเอี่ยน และ ซูเฉาเล่ามา ท่าทางขุนพลของฝ่ายศัตรูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ซะแล้ว... โจโฉกล่าวเปิดประชุม

                ขอรับ... หากเป็นจริงตามที่ท่านทั้ง 2 ว่า แม้ขุนกำลังพลของฝ่ายนั้นจะน้อยกว่าเรา แต่ด้วยพลที่มีฝีมือมากกว่า และ รวมทั้งเหล่าผู้นำทัพที่เก่งกาจจำนวนมาก หากพวกเราไม่ระวังตัวให้ดี เราอาจจะพลาดพลั้งได้นะขอรับ หนึ่งในที่ปรึกษาของโจโฉกล่าว

                อืม... แล้วมีวิธีแก้ไขยังไงล่ะ...?โจโฉเอ่ยถาม

                ข้ามีอยู่วิธีหนึ่งที่พอจะลดจำนวนกำลังพล และ ขุนพลของฝ่ายตรงข้ามได้บางส่วนขอรับ หนึ่งในที่ปรึกษาอีกคนใกล้ๆ กันว่า แต่เราก็จะเสียกำลังพลส่วนหนึ่งไปเหมือนกัน

                วิธีอะไรงั้นเหรอ? ไหนว่ามาซิ...?โจโฉกล่าว

                ส่งกำลังของเราส่วนหนึ่งไปโจมตีกังแฮ…” ที่ปรึกษาคนนั้นเอ่ยตอบ

                อย่างนี้นี่เองเข้าใจแล้ว... โจโฉพยักหน้ารับคำ หากเราส่งคนไปโจมตีกังแฮ เล่าปี่ก็ต้องขอตัวกลับไปป้องกันเมืองของตน และ แน่นอนว่า หากเล่าปี่กลับไปกังแฮ กวนอู เตียวหุย และ จูล่งก็ต้องติดตามไปด้วย อย่างน้อย ตัวอันตราย 4 คนก็จะหายไปจากสมรภูมิทางน้ำครั้งนี้สินะ... ใช่ได้...

                สรุปว่าท่านจะเอายังไงขอรับ? ที่ปนึกษาคนเดิมเอ่ยถาม

                อืม... ทำตามที่เจ้าว่ามานั่นแหละ... โจโฉกล่าว รับคำสั่ง…!”

                ขอรับ...!!!” เหล่าขุนพล และ ที่ปรึกษาทุกคนตอบรับ

                หึ... แม้จะดูขลาด... แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องมีปัญหากับพวกเจ้า 4 คน...

    ท่าเรือ เมืองกังแฮ

              ขอต้อนรับกลับขอรับท่านอาเล่าปี่ ท่านกวนอู ท่านเตียวหุย ท่านจูล่ง...เล่ากี๋ที่ยืนรออยู่ท่าเรือพร้อมกับขบวนต้อนรับ เอ่ยบอกพวกเล่าปี่ที่กำลังเดินลงมาจากเรือ

    ขอบใจสำหรับการต้อนรับนะ เล่าปี่เอ่ยขอบคุณ พลางยิ้มให้หลายชายผู้เป็นเจ้าเมืองของเขา ก่อนหันพูดคุยอย่างจริงจังกับปัญหาของพวกเขา สถานการณ์เป็นไงบ้าง?

    ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังไม่ถึงกับเลวร้ายขอรับ เล่ากี๋ตอบ พลางผายมือเดินนำทางเล่าปี่ กับ ขุนพลทั้ง 3 ไปสู่ค่ายทหารของพวกเขา ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่กองทหารเล็กๆ ที่เทียวมาเทียวไป คอยก่อกวนไม่ให้เราอยู่อย่างสงบพอจะมีเวลาระดมกำลังพล และ ผลิตเสบียง และ ยุทโธปกรณ์ได้สะดวกนัก แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ จากกองทหารเล็กๆ กลับมีคนเพิ่มจนขยายเป็นทัพใหญ่ที่มีพลมากกว่าทหารของเราเป็นเท่าตัว กวนเป๋งไดนำคนส่วนหนึ่งไปสกัดพวกมันไว้แล้ว ตอนนี้กำลังเสริมอยู่ขอรับ

    แล้วใครเป็นคนคุมทหารพวกนั้น? จูล่งเอ่ยถาม

    เป็นขุนพลหน้าใหม่ กับ ขุนพลไร้ชื่อคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักขอรับ เล่ากี๋ตอบ

    ชิ! เป็นอย่างที่ขงเบ้งว่าจริงๆ! เจ้าโจโฉแค่ต้องการตัดกำลังทัพพันธมิตรของพวกเรา โดยให้พวกเรากลับมาป้องกันเมือง!” เตียวหุยโวย

    ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่เราก็ไม่มีทางเลือก... แค่กวนเป๋งกับเล่ากี๋ 2 คนไม่มีทางต้านทัพใหญ่แบบนี้ไหวแน่ ต่อให้ผู้นำของฝ่ายนั้นจะเป็นแค่ขุนพลหน้าใหม่ หรือ ไร้ชื่อก็ตาม... กวนอูกล่าวอย่างไม่ชอบใจ พวกเราก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยในการจัดการกับทัพนี้ แล้วถึงจะกลับไปร่วมกับทางทัพกังตั๋งได้อีก...

    เราต้องรีบกันแล้วเล่าปี่กล่าว เฮ้~อ... ไม่นึกเลยว่าโจโฉจะใช้วิธีขลาดอย่างนี้...

    ท่านโจโฉ... ปกติท่านไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา... กวนอูคิดหรือเป็นเพราะ...

    ริมน้ำแถวผาแดง ไม่ไกลจากค่ายกังตั๋งนัก

    ... ซุนซั่งเซียงยืนมองตะวันที่กำลังลาลับขอบฟ้า ตกลงมาเห็นเป็นภาพวิวริมแม่น้ำที่ราวกับดวงอาทิตย์กำลังจมลงน้ำไป

    คิดอะไรอยู่เหรอซั่งเซียง? เสี่ยวเกี้ยวที่เดินเขามาหาซุนซั่งเซียงจากด้านหลัง

    ท่านพี่เสี่ยวเกี้ยว? ซุนซั่งเซียงหันมาหาเสี่ยวเกี้ยว

    กำลังเป็นห่วงใครอยู่งั้นเหรอ? เสี่ยวเกี้ยวกล่าว

    ปะ เปล่านะ! ข้าไม่ได้เป็นห่วงท่านเล่าปี่ซะหน่อย!” ซุนซั่งเซียงเอ่ยสวน

    เอ๋~... ท่านเล่าปี่งั้นหรอกเหรอ? เสี่ยวเกี้ยว

    อะ... ซุนซั่งเซียงชะงักไปทันที เมื่อรู้สึกตัวว่าเผยไต๋ตัวเองไปซะแล้ว

    ปิ๊งเขาล่ะสินะ... เสี่ยวเกี้ยวมองซุนซั่งเซียงยิ้มๆ ถ้ามีอะไรก็คุยกับฉันได้นะ

    ค่ะ... ซุนซั่งเซียงตอบรับอายๆ ก่อนหลบหน้าเสี่ยวเกี้ยวหันกลับไปมองวิวพระอาทิตย์ตกต่อไป

    หึๆๆ... เสี่ยวเกี้ยวหัวเราะก่อนเดินจากไปอย่างยิ้มๆ เมื่อได้มาแซวน้องสะใภ้ร่วมสาบานของเธอ (ซุนซั่งเซียงเป็นน้องซุนเซ็กผู้เป็นพี่ชายร่วมสาบานกับจิวยี่สามีเสี่ยวเกี้ยว)

    ขออภัยเป็นอย่างสูง... ถ้าเสร็จศึกที่กังแฮเมื่อไหร่ ข้าจะรีบกลับมารวมทัพกับพวกท่านทันที ข้าสัญญา... ท่านซุนกวน ท่านจิวยี่ ทุกๆ ท่าน... ซีซิงนึกถึงคำพูดสุดท้ายก่อนจากกันของเล่าปี่ ท่านหญิง... ไม่สิ... ซุนซั่งเซียง... ไว้เจอกันใหม่นะ...

    ขอให้ปลอดภัยนะท่านเล่าปี่...ซุนซั่งเซียงคิดในใจ

    เต็นท์บัญชาการค่ายกังตั๋ง

                ฮึยๆๆ... ซุนกวนทำเสียงฟึดฟัดนั่งเคาะเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ อยู่ในเต็นท์กับจิวยี่ โลซก ขงเบ้ง และ เทะสึกะ มันน่าโมโหจริงๆ! ไอ้ข้าก็พอเข้าใจนะว่าโจโฉยอมใช้ทุกวิธีทางเพื่อเอาชนะในศึกสงคราม แต่ยังไงข้าก็รับไม่ได้อยู่ดี ที่คนที่เคยถูกเรียกว่าวีรบุรุษอย่างเขาจะยอมทิ้งศักดิ์ศรี... ชัยชนะที่ไร้ศักดิ์ศรี มันจะไปมีค่าได้ยังไงกัน...

                ไม่ใช่กับโจโฉท่านซุนกวน... สำหรับโจโฉชัยชนะคือทุกอย่าง... ขงเบ้งกล่าว ขอแค่มีชัย นั่นแหละคือสิ่งที่มาค่าที่สุดของเขา...

                คนแบบนี้มีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจุบันเลยแฮะเทะสึกะคิดในใจ

                ยังไงก็ตาม... ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ข้าว่าพวกท่านแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันอีกที... จิวยี่ว่า เดี๋ยวข้ากับโลซกมีอะไรคุยกันซักหน่อย

                งั้นพวกข้าก็ขอตัวนะ ขงเบ้งกับเทะสึกะกล่าวลส ก่อนเดินออกจากเต็นท์ไป

                ขอตัวครับ...

                ข้าก็ไปด้วยแล้วกัน ตามสบายนะทั้ง 2 คนซุนกวนว่าก่อนเดินตามทั้ง 2 ไป

                ฟรึ~บ...!

              ... จิวยี่จ้องมองที่ทางเข้าเต็นท์อยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดเมื่อเขาแน่ใจว่าทั้งซุนกวน ขงเบ้ง และ เทะสึกะเดินจากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็เอ่ยเริ่มเข้าเรื่องของพวกเขาทันที เอาล่ะ โลซก... มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า...

                ไม่... โลซกเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

                ท่านว่าไงนะ...?จิวยี่เอ่ยถาม

     ไม่! ข้าไม่เอาด้วย!โลซกเอ่ยปากโวยใส่จิวยี่อย่างสุดตัวยังไงข้าก็ยอมรับไม่ได้! เราเป็นพันธมิตรกันไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมท่านถึงคิดทำร้ายกันอย่างนี้!

     เบาหน่อยโลซก ท่านคงไม่อยากให้ใครได้ยินใช่ไหม?” จิวยี่เอ่ยเตือนโลซกด้วยน้ำเสียงเย็นชา

     จิวยี่... นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ...โลซกถึงจะเบาเสียงลง แต่ความเดือดดาลของเขาไม่ได้ลดลงเลยท่านขงเบ้งอุตสาห์ถ่อจากกังแฮมาหาเราถึงกังตั๋ง แต่ท่านกลับคิดจะฆ่าเขา ทั้งๆ ที่มาเขาช่วยเราเนี่ยนะ?”

     อย่าเข้าใจ ผิดโลซก เขาไม่ได้เป็นคนมาช่วยเรา เราต่างหากที่เป็นฝ่ายช่วยเขาจิวยี่เอ่ยเถียงหากไม่ได้กำลังของเรากังตั๋ง มีหรือที่ทัพเล็กๆ ของเล่าปี่จะมีปัญญารบกับทัพมหากาฬของโจโฉได้

     แล้ว พวกเราจะสามารถรบกับโจโฉได้งั้นหรือ ถ้าหากเราขาดสติปัญหาของท่านขงเบ้ง และ เหล่ากำลังของท่านเล่าปี่น่ะโลซกสวนกลับ อีกอย่าง พวกเราจับมือเป็นพันธมิตรกันนะท่านจิวยี่ การช่วยเหลือพันธมิตรมันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ เราช่วยสนับสนุนกำลังรบ เขาก็ช่วยเราในการวางกลยุทธ์คุมกองทัพ เสียสละให้ซึ่งกันและกัน ไม่เห็นมันจะมีปัญหาอะไรเลย ทำไมท่านถึงเอามาคิดผลประโยชน์ได้เสียกันอย่างงี้?”

                “ก็เพราะว่ามี แต่เราที่เป็นฝ่ายเสียสละ และ เสียผลประโยชน์ไปน่ะสิโลซกจิวยี่ยังคงเอ่ยค้านต่อไปท่านลองคิดทบทวนดีๆ สิ ทางทัพเล่าปี่เสียอะไรเพื่อช่วยเราบ้าง กำลังพลงั้นเหรอ? กำลังพลของเขาที่อยู่คุ้มกันกังแฮมีมากว่าที่นี่เป็นเท่าตัว เสบียงกับยุทโธปกรณ์งั้นเหรอ? ไม่เลย ไม่มีเลยซักอย่าง ความสามารถในการคุมทัพ เหล่ากำลังพลสำคัญงั้นเหรอทางทัพของเรามีอยู่ถมไป ต่อให้ไม่มีคนของทางนั้นเข้ามาช่วยเราก็มีทุกอย่างพร้อมสรรพอยู่แล้ว... เห็นไหมโลซก ไหนล่ะสิ่งที่พวกเขาเสียสละให้เรา...ไม่มีอะไรเลย ข้าขอย้ำ ไม่มีอะไรเลย... นอกจาก แผนการจากสติปัญหาอันน่าขนลุกของขงเบ้งแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่เขาช่วยเหลือเรา ทุกอย่างเราเป็นคนช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมด

                “...” โลซกคนซื่อ ที่ปรึกษาประจำทัพถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเห็นจิวยี่แม่ทัพของเขา กำลังถูกความมืดครอบงำจนฉุดไม่อยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนฉลาดเทียบเท่ามหาปราชญ์ แต่เขาก็ดูออกได้เลยว่าตอนนี้ ไม่มีอะไรที่เขาสามารถพูดให้จิวยี่ล้มเลิกความตั้งใจอันน่าสะพรึงกลัวของเขา ได้อีกแล้ว

                “ฟังนะ โลซก...จิวยี่ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง ก่อนว่าต่อไป ไม่ว่าสงครามครั้งนี้จะจบอย่างไรก็ตาม ผู้ชนะก็คือทัพเล่าปี่ หากเราแพ้ขงเบ้งก็จะให้เล่าปี่ไปตีเอาหัวเมืองที่โจโฉดึงเอากำลังมารบกับพวก เราเป็นที่มั่นสู้เพื่อกับโจโฉต่อไป โดยละทิ้งพวกเราให้เป็นเชลยศึกอย่างไม่อาลัยอาวร หรือ ต่อให้พวกเราชนะ มันก็ไม่แน่ว่าทางเรา 2 ทัพจะเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้อย่างราบรื่น

                “...” โลซกได้แต่นิ่งเงียบยืนฟังจิวยี่หาคำแก้ตัวอธิบายมาให้เขาฟัง ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ดีว่า ไม่ว่าจะพูดด้วยคำสวยหรูหรือวาจาฉะฉานยังไงก็ตามมันก็คือการพูดเพื่อให้ตัว เองถูก และ โยนความผิดไปให้อีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้น มีหรือที่เขาจะขัดคนอย่างจิวยี่ได้

                “ท่านก็เห็น แล้วนี่โลซก ความน่ากลัวของสติปัญญาของขงเบ้ง หากสักวันหนึ่งเราต้องรบกับเธอ เราจะรับมือกับปีศาจเจ้าปัญญานั่นไหวงั้นเหรอ?” จิวยี่ที่ไม่เห็นทีท่าขัดข้องของโลซกอย่างในตอนแรก เริ่มเอ่ยว่าต่อไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นความพอใจอย่างเห็นได้ชัดโลซก... คำว่าพันธมิตรน่ะ ไม่ใช่คำที่สวยหรูอะไรอย่างที่ท่านคิดหรอกนะ หากสักวัน อีกฝ่ายต้องการขยายอำนาจ คำว่าพันธมิตรที่เคยให้สัตย์ปฏิญาณร่วมกันมาก็จะขาดสะบั้นลง ไม่ว่าจะฝ่าฝันเหตุการณ์แบบไหนร่วมกันมาก็ตาม แต่เพื่อพลประโยชน์ของตนแล้ว ไม่ว่าความสัมพันธ์แบบใดก็ตัดได้อย่างง่ายดาย...

                ‘จิวยี่... ถึงแม้ข้าจะไม่ฉลาดปราชญ์เปรื่อง อย่างท่าน แต่ข้าก็มองออกว่าท่านในตอนนี้ไม่ใช่จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่คนเดิมอีกแล้ว... ท่านไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทุกสิ่งที่ท่านพูดมาล้วนเป็นตัวตนของท่านที่ท่าน กำลังแสดงมันออกมาในตอนนี้ ความมืดภายในจิตใจ ทั้งความหวาดกลัว อิจฉาริษยา และ หวาดระแวง มันทำให้ท่านกลายเป็นคนแบบนี้ไปซะแล้ว...โลซกรำพึงรำพันอย่างเศร้าสร้อยอยู่ในใจ เมื่อแม่ทัพผู้งามสง่าซึ่งเคยยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นได้หายไปแล้วตอนนี้ไม่มีอะไรหยุดความมืดของท่านจิวยี่ได้...เราต้องรีบคิดหาทางช่วยท่าน ขงเบ้งแล้ว...?’

                “โลซกท่านมี อะไรจะพูดไหม?” จิวยี่เอ่ยถาม

                “อะ เออ...โลซกที่พยายามคิดจะพูดอะไรซักอย่างเพื่อหาทางช่วยขงเบ้ง แต่ก็คิดไม่ออกซักที แต่ทันใดนั้นเอง จริงสิ... แล้วทำไมเราต้องฆ่าเธอด้วยล่ะท่านจิวยี่?”

                “ท่านต้องการ จะบอกอะไรงั้นหรือ?” จิวยี่เอ่ยถาม

                “ท่านลองคิด อีกมุมหนึ่งสิ แทนที่จะฆ่า หากเราได้เธอมาเป็นพวกแทนล่ะ...?”

     


    เรือลำน้อยที่พำนักของขงเบ้ง

              ขงเบ้งที่ นั่งดีดพิณอย่างสบายอารมณ์อยู่ตรงหัวเรือ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างพิเศษโดยมีห้องด้านในเป็นห้องของเธอ ข้างกายเธอ มีเทะสึกะ รองแม่ทัพหนุ่มบอดี้การ์ดคู่ใจอยู่เป็นเพื่อน และ ผู้ฟังเสียงพิณอันแสนไพเราะของเธอ

                “เธอนี่... ดีดพิณได้ทุกเวลาเลยนะ...เทะสึกะ เอ่ยคุยกับขงเบ้ง

                “ดนตรีทำให้มี สมาธิ ทำให้จิตใจสงบนิ่ง ช่วยในการความคุมอารมณ์ และ ความคิด อีกทั้งยังทำให้สมองปลอดโปร่ง...ขงเบ้งว่า ขณะยังบรรจงดีดสายพิณเสียงหวานรื่นหูของเธอ บรรเลงเสียงเพลงไปทั่วบริเวณเธออย่างลองดูไหมล่ะ คุนิมิทสึ?”

                “ฉันเล่นดนตรี ไม่เป็น...เทะสึกะบอก

                “ที่จริงเล่น ได้ แต่เล่นเทนนิสมากกว่าเลยไม่ได้สนใจใช่ไหมล่ะ?” ขงเบ้งกล่าว

                “ก็... ใช่...เทะสึกะไม่ปฏิเสธ

                “งั้นมาลอง ดู...ขงเบ้งหยุดมือลง ก่อนขยับที่ให้เทะสึกะ นั่งลงสิเดี๋ยวฉันสอน

                “...” เทะสึกะยืนมองพิณตรงหน้าขงเบ้งอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ต้องยอมทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเห็นรอยยิ้มแสนหวานบนหน้าของขงเบ้ง

                “เอาเป็นเพลง ง่ายๆ ก่อนนะ วางมืออย่างนี้...ขงเบ้งเริ่มเอ่ยสอน ขณะจับมือทั้ง 2 ข้างของเทะสึกะวางลงประจำตำแหน่งพร้อมบรรเลง เริ่มกันเลย...

                ขงเบ้งค่อยๆ บังคับมือของเทะสึกะให้ไล่ดีดไปทีสายตามโน้ต ไม่นานนักเสียงที่จากที่ดีดก็ค่อยๆ ผสานกันเป็นเพลง แม้เทะสึกะจะเพิ่งเคยเล่นพิณจีนแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่เขาก็สามารถบรรเลงออกมาได้ไพเราะ คงเพราะอัจฉริยะภาพที่ทำให้เก่งไปซะทุกอย่างของเขา อีกทั้งได้ผู้สอนที่เป็นอัจฉริยะเช่นกัน ครู่หนึ่งผ่านไป เมื่อเห็นเทะสึกะเริ่มเข้าที่แล้ว ขงเบ้งก่อยค่อยๆ ดึงมือของเธอออกมาปล่อยให้เทะสึกะ บรรเลงบรรเลงโซโลคนเดียว ซึ่งแน่นอน เขาทำได้อย่างน่าประทับใจ

                บรรยากาศเริ่ม เปลี่ยนไป จากที่ปราชญ์สาวคนสวยซึ่งเป็นผู้บรรเลงเสียงพิณอันไพเราะ และ อ่อนหวาน เป็น หนุ่มหล่อมาดเย็นชาที่กำลังบรรเลงบทเพลงอันสุขุม และ สงบนิ่ง ทำเอาแม้แต่หมู่มวลนก ปลา และ บรรดาสัตว์ตัวน้อยๆ ที่เคยรื่นเริงด้วยบทเพลงแสนหวาน ต้องหยุดนิ่งฟังบทเพลงอันนุ่มนวลนั่น และ ด้วยสายลมอ่อนๆ ที่พัดพาไอบางๆ ของผิวน้ำกระจายให้ความเย็น สลับกับแสงแดดอบอุ่นที่ส่องผ่านเงาไม้ริมน้ำทำให้รอบบริเวณกลายเป็นจุดที่ แสนรื่นรม จนไม่ว่าใครได้มาสัมผัสคงยากที่จะลืม

                “...” เทะสึกะที่บรรจงดีดโน้ตตัวสุดท้ายปิดเพลง ตามที่ขงเบ้งจับมือเขาเล่นในตอนแรกอย่างงดงาม ก่อนวางมือลง แล้วหันหน้าไปหาเธอ รอฟังคำวิจารจากผู้เป็นครู

                “ยอดเยี่ยม สมเป็นเธอจริงๆ คุนิมิทสึ...ขงเบ้งที่ดูเหมือนจะเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงอันแสนสงบนิ่ง และ นุ่มนวลของเทะสึกะไม่อยู่ไม่น้อย เอ่ยชมเทะสึกะอย่างตรงไปตรงมาเป็นเพลงที่ไพเราะมาก...

                “ขอบคุณ...เทะสึกะตอบรับคำชม

                “...” ทันทีที่สิ้นสุดการบรรเลง บรรยากาศโดยรอบก็เงียบลงทันตาเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหวราวกับอย่างโดนหยุดเวลาไว้ ภายใต้ความสงบนิ่ง และ ความเงียบนั่นเอง หนุ่มสาวบนเรือทั้ง 2 คนที่ถูกบรรยากาศความเงียบนั้นนำพาให้มองหน้าซึ่งกันและกัน เบื้องหน้าของหนุ่มเย็นชา คือใบหน้าขาวสวยอมชมพู ที่ประดับดวงดวงตาสีฟ้าสวยที่สะกดใจเขาไว้ราวต้องมนต์ ส่วนเบื้องหน้าของปราชญ์สาวก็คือใบหน้าเรียบเนียนสวยของหนุ่มเย็นชาที่สุขุม และ เยือกเย็น ดูมีเสน่ห์ถึงกับทำเอาใจของปราชญ์สาวเต้นไม่เป็นจังหวะ ดวงตาทั้ง 2 คู่ มองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย มือซ้ายของหนุ่มเย็นชาค่อยเลื่อนขึ้นมาสัมผัสที่แก้มของปราชญ์สาวซึ่งเธอก็ ยกมือของเธอขึ้นมาวางบนมือของเขา ปราชญ์สาวเริ่มรู้สึกเขินอายจึงเบนสายตาหลบหน้าหนุ่มเย็นชาไปเล็กน้อย แต่ก็ต้องหันกลับมาอีกครั้ง เมื่อแววตาอบอุ่นที่แฝงอยู่ในท่าทีเย็นชานั้นยังคงจ้องตรงมาที่เธออย่างไม่ ไขว่เขว ในที่สุดเมื่อมาถึงจุดที่ไม่อาจดึงรั้งสติควบคุมตัวเองไว้ได้ ทั้ง 2 ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ พลางโน้มหน้าเข้าหากัน... และแล้ว...

                “อาเหลี ย~ง...! ข้ามาเยี่ยม...!

                “...” เทะสึกะ และ ขงเบ้งที่ได้สติกลับมาเพราะเสียงเอ่ยทักทายของจูกัดกิ๋นที่มาเยือนผู้เป็นน้องถึงเรือประจำตัว ปล่อยมือที่สัมผัสกันอยู่ออก ขณะค่อยๆ ผละตัวถอยเว้นระยะห่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าที่แดงจัดของพวกเขาหลบตาซึ่งกันและกัน

                “ออกไป... หาพี่เธอ... กันดีกว่า...เทะสึกะว่าขึ้น ขณะยังคงเงยหน้ามองฟ้า

                “อะ อื้ม...ขงเบ้งตอบรับ ขณะที่เธอก็ยังคงก้มหน้ามองพื้นเรือเช่นกัน

                ทั้ง 2 ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเขินอาย หลับตาลงตั้งสติทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจกันไปคนละเฮือก แล้วกลับมาวางท่าทีเป็นสาวสุขุม และ หนุ่มเย็นชาดังเดิม

                “มาหาข้าที่ นี่ ท่านพี่มีธุระอะไรงั้นเหรอ?” ขงเบ้งที่เดินเข้ามาหาจูกัดจิ๋นโดยมีเทะสึกะที่เดินตามหลังในฐานะรองแม่ทัพ เอ่ยถามผู้เป็นพี่

                “ตอนอยู่ที่ กังตั๋ง เจ้าบอกว่ามาในฐานะทูต เลยไม่พบปะข้าเป็นการส่วนตัวไม่ได้ ดังนั้นถ้าเป็นตอนนี้คงอยู่คุยกับข้าได้ไม่มีปัญหาใช่ไหม?” จูกัดกิ๋นว่า

     

    ห้องอาหาร ภายในเรือส่วนตัวของขงเบ้ง

              ได้ว่า ทุกคนสบายดี ข้าก็ยินดีจูกัดกิ๋นที่นั่งดืมเหล้าอยู่ตรงข้ามกับขงเบ้ง และ เทะสึกะที่ดื่มน้ำชาอยู่ตรงโต๊ะเล็กๆ กลางห้อง เอ่ยสนทนากันอย่างออกรสอากุ๋นเองก็ตั้งใจร้ำเรียนสินะ หวังว่าจะได้รับราชการตำแหน่งดีๆ นะ

    คำเตือน การดื่มสุราเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้ดื่มอาจขาดสติ และ ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้ [ด้วยความปรารถนาดีจากผู้เขียน]

                “ไม่ต้องห่วง หรอก หากต้องการให้เขาได้งานดีๆ เราก็ส่งจดหมายแนะนำไปให้เขาสิ หากได้จดหมายของพี่ที่เป็นถึงปราชญ์เมืองกังตั๋ง และ ข้าที่เป็นที่ปรึกษาของเล่าปี่ มีหรือที่ใครเขาจะไม่รับเข้าทำราชการด้วยขงเบ้งกล่าว

                “ไม่ๆๆ... ข้ารู้นิสัยเจ้าดีขงเบ้ง เจ้าก็แสร้งทำเป็นพูดไปงั้นๆ แหละ เจ้าไม่มีทางเขียนจดหมายแนะนำไปเพื่อช่วยอากุ๋นแบบนั้นหรอกจูกัดกิ๋นยิ้มนิดๆทุกอย่างต้องหามาด้วยความสามารถของตน นี่คือสิ่งที่เจ้าพร่ำบอกอากุ๋นเสมอไม่ใช่เหรอ?”

                “หึๆๆ... ข้าได้ก็หวังว่าเข้าจะทำตามที่ข้าพร่ำสอนนั่นแหละขงเบ้งยิ้มตอบ

                “นี่... ฉันว่าพี่เธอดูแปลกๆ นะวันนี้...เทะสึกะกระซิบบอกขงเบ้งเบาๆ

                “ดูออกด้วย งั้นเหรอ?” ขงเบ้งกระซิบถามกลับ

                “เธอก็ด้วย เหรอ?” เทะสึกะว่า

                “แน่นอน... พี่ฉันเองแท้ๆ ทำไมฉันถึงจะดูไม่ออกล่ะขงเบ้งกล่าว ทั้งที่ไม่ใช่เวลางานแท้ๆ แต่กลับทำตัวเรียบร้อย พูดจามีสาระ ดูเป็นงานเป็นการ แสดงว่าที่มาหาข้านี่ ต้องมาเพื่อทำตามคำสั่งอะไรบางอย่างที่ได้รับมอบหมายมาแน่ๆ เลย

                “เธอคิดว่าเป็นคุณจิวยี่งั้นเหรอ?” เทะสึกะกระซิบถาม

                “ไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใครล่ะ หึๆๆ...ขงเบ้งเอาพัดปิดปากแอบหัวเราะเบาๆ

                “ซุบซิบอะไร กันน่ะ?” จูกัดจิ๋นที่เห็นทั้ง 2 คนตรงหน้าแอบพูดกันเบาๆ เอ่ยถาม

              เทะสึกะ ถามว่าจะให้เอาเหล้ามาเติมให้ท่านพี่ไหม?” ขงเบ้งโกหกหน้าตาย

                “ไม่ต้องหรอก ข้าดื่มแค่นี้แหละจูกัดกิ๋นตอบรับ ขอบคุณมากท่านรองแม่ทัพ

                ‘นั่นไง... มาแนวนี้นี่แน่นอนเลย... ปกติเอ่ยปากว่า มองหน้าเทะสึกะอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่คราวนี้มาวางผู้ดี พูดอย่างสุภาพ แถมแสดงท่าทีต่อฝ่ายตรงข้ามผู้มีตำแหน่งสูงกว่าด้วยความเคารพ ท่าทางแบบนี้เห็นชัดๆ เลยว่าได้รับสั่งมาอย่างแน่นอนขงเบ้งสรุปสภาพโดยรวมของพี่ชายของเธอในใจ พี่ใครหว่า อ่านออกง่ายชะมัด...

                “จะว่าไปอา เหลียง... เสร็จศึกครั้งนี้แล้วเจ้าสนใจมาอยู่กับข้ามั้ยล่ะ?”

                “หือ?” ขงเบ้งมองจูกัดกิ๋นงงๆ เมื่อจู่ๆ ผู้เป็นพี่เอ่ยถามคำถามแปลกๆ ออกมา

                “พวกเราก็เป็น พี่น้องกัน น่าจะอยู่รับราชการในที่ๆ เดียวกัน ข้าว่าพอจบศึกนี้แล้วเจ้าเปลี่ยนมารับใช้นายท่านซุนกวนกับข้าไม่ดีกว่าเหรอ ด้วยสติปัญญาระดับเจ้า คงได้ตำแหน่งสูงๆ ไม่สิ... อัจฉริยะอย่างเจ้าต้องได้ตำแหน่งหัวหน้าปราชญ์อย่างแน่นอน มิหน่ำซ้ำ ดูเหมือนว่าท่านซุนกวนจะถูกใจเจ้าซะด้วยสิ รับรองว่าเจ้าต้องคนโปรดของท่านแน่เลยจูกัดจิ๋นเอ่ยสารทยายชักชวนขงเบ้ง คิดดูนะ ทั้งได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี มียศศักดิ์ แถมครวบครัวยังได้อยู่พร้อมหน้าอีก

                ‘หึๆๆ... อย่างนี้นี่เอง ท่านจิวยี่คิดใช้พี่มาเกลี้ยกล่อมข้าให้เปลี่ยนมารับใช้ซุนกวนสินะ... เสียใจด้วยนะท่านพี่ นายเหนือหัวของข้ามีแต่ท่านเล่าปี่เท่านั้น... ท่านจิวยี่เล่นอย่างนี้สินะ งั้นเราก็เอาคืนบ้างแล้วกัน...ขงเบ้งคิดในใจ ก่อนเอ่ยตอบข้าว่าไม่ดีกว่า

                “อ้า~? ทำไมล่ะ?” จูกัดกิ๋นเอ่ยถามอย่างข้องใจ

                “ข้าว่า...ขงเบ้งเอ่ยตอบแทนที่จะให้ข้าเปลี่ยนมารับใช้ท่านซุนกวน ข้าว่าท่านพี่เปลี่ยนมารับใช้ท่านเล่าปี่กับข้าดีกว่า

                “งะ ไหงเจ้าว่าอย่างนั้นล่ะ?” จูกัดกิ๋นเอ่ยถามอีกครั้ง

                “พวกเราล้วน เกิดอยู่ในแผนดินฮั่น มีพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นองค์ฮ่องเต้ ดังนั้นเราก็ควรรับใช้ราชการภายใต้บารมีของฮั่นสิขงเบ้งเริ่มเอ่ยสารทยายท่านเล่าปี่เป็นทายาทของจงซานจิ้งอ๋องโอรสแห่งจักรพรรดิฮั่นเกงเต้ ท่านจึงมีศักดิ์เป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งองค์ฮ่องเต้เองก็ทรงลำดับพระเครื่อญาติ และ เอ่ยเรียกท่านเล่าปี่เป็นพระเจ้าอาด้วยตัวของพระองค์เอง ใยฐานะคนของราชวงศ์ฮั่น ท่านเล่าปี่จึงคุณสมบัติเหมาะให้เราถวายการรับใช้ หรือ ท่านพี่เห็นว่ายังไง?”

                “นั่นสินะ... เอ๊ย!จูกัดกิ๋นถึงกับพูดไม่ออก เมื่อน้องสาวยกเอาเหตุพลมากล่อมให้เปลี่ยนมารับใช้นายของเธอแทน คือ... ข้าว่า...

                “ไม่ต้องห่วง ท่านพี่ ท่านเล่าปี่เป็นคนใจกว้าง ข้ารับรองว่าท่านไม่มีทางปฏิเสธคนมีความสารถอย่างพี่ได้หรอกขงเบ้งยังคงว่าต่อไป ดีออกท่านพี่ คราวนี้พวกเราครอบครัวแซ่จูกัดจะได้อาศัยอยู่ด้วยกัน ทำงานร่วมกัน รับใช้นายคนเดียวกัน เป็นครอบครัวที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไงล่ะ

                “อะ เออ...ดูเหมือนว่าข้อเสนอที่จิวยี่ให้จูกัดกิ๋นเอามาเสนอ ถูกตอกกลับไปด้วยตัวของขงเบ้งเอง ทำเอาคนส่งสารผู้เป็นพี่ชายถึงกับทำอะไรไม่ถูกคะ คะ คะ คือ... พะ พะ พี่ ละ ลืม ไป วะ ว่ามี ธะ ธุระ ต้องขอตัวก่อน ปะ ไปน~ะ...!

                “แล้วมาคุยกัน ใหม่นะขงเบ้งโบกมือข้างที่กำพัดอยู่ไปมากล่าวลาพี่ชายที่รีบร้อนแก้ตัวเพื่อออกจาก เรือเดินหนีปัญหา ก่อนจะหลงตกเป็นเหยื่อให้กับวาจาคมคายของผู้เป็นน้อง เห็นชัดว่าความร้อนรนของเขา ทำให้การรีบเดินหนีแทบกลายเป็นการวิ่ง

                ปับ...

              หึๆๆ... คิดจะใช้คนในครอบครัวมากล่อม ให้ฉันเกรงใจไม่จอปฏิเสธงั้นเหรอ? คิดผิดแล้วท่านจิวยี่...ขงเบ้งเอ่ยยิ้มๆ หลังมองพี่ของปิดประตูเดินออกจากห้องไป คนในครอบครัวฉัน ฉันย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าจะรับมือยังไง จริงมั้ยคุนิมิทสึ?”

                “อืม...เทะสึกะตอบรับ ทันใดนั้นเอง ที่สายตาของทั้งหันมาบรรจบกัน ชวนให้นึกเรื่องเมื่อครู่ขึ้น ทำเอาทั้ง 2 รีบหันหน้าที่จู่ๆ ก็แดงขึ้นด้วยความเขินอายหลบซึ่งกันและกันทันที

     

    เต็นท์บัญชาการ ค่ายกังตั๋ง

              ขออภัย ด้วยครับจูกัดกิ๋นที่กลับมารายงานความล้มเหลวในการเกลี้ยงขงเบ้งให้จิวยี่ และ โลซกได้ทราบ

                “ไม่เป็นไร เจ้าทำดีที่สุดแล้ว ไปได้แล้วโลซกเอ่ยบอกจูกัดกิ๋น

                “ขออภัยอีก ครั้งขอรับจูกัดกิ๋นก้มหัวลงคำนับทั้ง 2 อีกครั้ง ก่อนเดินออกจากเต็นท์ไป ปล่อยหันนายใหญ่ 2 คนได้พูดคุยกันอีกครั้ง

                “หึ... ไงล่ะ... ให้ไปเกลี้ยกล่อม ดันโดนกล่อมซะเองจิวยี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ดีนะที่ยังรู้สึกตัวแล้วปลีกตัวออกมาได้ก่อน ข้าบอกแล้วว่าขงเบ้งไม่มีทางตอบรับข้อเสนอนี้หรอก... เธอซื่อสัตย์ต่อเล่าปี่เกินไป...

                “…” โลซกไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่ทำหน้ายืนนิ่งทำหน้าลำบากใจไม่พูดอะไร

                “โลซก... ท่านคงรู้นะว่านี่หมายความว่ายังไง...จิวยี่กล่าวพร้อมกับเดินออกจากเต็นท์ไปด้วยท่าทางแน่วแน่ ถึงแม้ว่าความแน่วแน่นั้น จะเป็นด้านมืดของเขาก็ตามท่านไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้าไม่ให้จัดการกับขงเบ้งอีกแล้ว...

                ‘หวังว่ท่านคง รับมือได้นะขอรับ... ท่านขงเบ้ง...โลซกคิดในใจอย่างวิตกกังวล


    ผาสูง ไม่ไกลจากค่ายโจโฉมากนัก

              ฝากด้งบ จิงเหว๋ยคิคุมารุว่า ขณะทำท่าจะปล่อยนกส่งสารตัวน้อยออกบินกลับค่ายกังตั๋งไปพร้อมกับข้อมูลที่ เขากับอินูอิสอดแนมมาได้... แต่แล้ว

                “เดี๋ยวก่อนเอจิ...อินูอิที่บังเอิญหันไปเจออะไรเข้า ยืนมือมาหยุดเอจิไว้

                “เฮ้~อ... ข้าล่ะเซ็งจริงๆ  ต้องมาฝึกรบบนเรือทุกวันทุกวันแบบ นี้หนึ่งในกลุ่มทหารโจโฉที่เดินมาพักด้านใต้ผาเอ่ยบ่นกับเพื่อนๆ

                “เอาน่า ยังไงก็ดีกว่าขึ้นเรือแล้วอ้วกแตกอ้วกแตนเหมือนตอนแรกล่ะเพื่อนทหารข้างๆ กันว่า

                “ใช่ ดีออก... ถึงแม้ท่านชัวมอกับท่านเตียวอุ๋นจะไม่ได้เก่งเหมือนขุนพลอย่างพวกท่านขุนพลเอกหลายๆ ท่าน แต่เราก็ต้องยอมรับ เรื่องการรบทางเรือ พวกเขาเที่ยบท่านชัวมอ และ ท่านเตียวอุ๋นไม่ติดเลยทหารอีกคนกล่าว

                “เออ... ข้ารู้ๆ…” นายทหารคนแรกยังคงบ่นอยู่ดังเดิมก็จริงอยู่ที่ท่านชัวมอกับท่านเตียวอุ๋นฝึกพวกเราให้สามารถรบบนเรือได้ อย่างไม่มีที่ติ แต่ไม่ว่าพวกเจ้าจะพูดยังไง ข้าก็ยังเซ็งที่ต้องมาเหนื่อฝึกบนเรือแบบนี้ทุกวันอยู่ดี

                “อดทนหน่อยน่า พอเสร็จศึกนี้แล้ว พวกเราก็จะได้กลับไปเราลูกหาเมียรับบำนานอยู่สบายที่เมืองหลวงแล้วเพื่อนทหารคนสุดท้ายเอ่ยบอก เออ! ข้าลืมไป... คนที่บ่อมีไก๊ไม่มีเมียในกลุ่มพวกเราก็มีนายคนเดียวนี่นา

                “เออ...! ตอกย้ำอยู่ได้...!นายทหารคนแรกทำโวยเมื่อถูกเพื่อนแซว

                “ฮ่าๆๆๆ...!เหล่าเพื่อนทหารหัวเราะ

                “...” อินูอิที่ซุ่มตัวแอบฟังบทสนทนาอยู่บนผาเหนือหัวทหารกลุ่มนั่น จดบันทึกลายละเอียดทุกอย่างซึ่งกำลังดำเนินการประมวลผ่านสมองมาเป็นข้อมูลอะนี่ เอจิ...

                “โห~?” คิคุมารุมองแผ่นกระดาษโบราณที่อินูอิเขียนอะไรบางอย่างใส่ หลังเสร็จสิ้นการบันทึกข้อมูลลงสมุดประจำตัวของเขา อะไรน่ะ อินูอิ?”

                “ส่งข้อความ นี้ไปกับจิงเหว๋ยด้วยอินูอิบอก

                “โอเคคิคุมารุทำตามอย่างไม่ขัดข้อง ก่อนปล่อยนกส่งสารให้ออกบินไปยังจุดหมายเดิมโดยมีการดาษสาสน์เพิ่มขึ้นมาอีก แผ่น

                “เอาล่ะ! งานวันนี้สำเร็จได้อย่างไม่มีปัญหาแง่~คิคุทารุเอ่ยยิ้มๆ

                “’งั้นก็... กลับไปหาคุณลิบองกันเถอะ...อินูอิกล่าว


    เต็นท์บัญชาการ ทัพโจโฉ

    "ข้ารู้สึกว่า การทำเพียงรอคอยการฝึกทหารของชัวมอเตียวอุ๋นอย่างเดียว มันไร้ประโยชน์จนเกินไป..." โจโฉเอ่ยขึ้นกลางการประชุมทัพประจำวัน "แม้จะกำจัดตัวอันตรายไปได้ถึง 4 คน แต่ข้าก็ไม่สบายใจ อยู่ดีระหว่างนี้ นอกจากส่งกำลังเล็กๆ เข้าปะทะบั่นทอนกำลังพลของพวกเล่า-ซุนนอย่างทุกๆ วัน ใครมีความคิดอะไรดีๆ ที่ใช้เล่นงานศัตรูได้บ้าง"

    "อืม..." เหล่าขุนพลต่างพากันก้มหน้าก้มตาคิดไตร่ตรองกันยกใหญ่

    "ท่านโจโฉขอรับ ข้ามีขอรับ" ที่ปรึกษาคนหนึ่งของเอ่ยขึ้น

    "ว่ามาเจียว ก้าน..." โจโฉตอบรับ

    "ข้ากับจิวยี่เป็น เพื่อน์เรียนที่หนังสือ มาด้วยกันสมัยยังเยาว์ และ ถึงแม้จะจากกันมานานแล้ว แต่เราก็เคยนั่งเคียงข้าง กินข้าว เที่ยวเล่น แบ่งเตียงนอน ด้วยกันอย่างสนิทสนม" เจียวก้านว่า "ข้าว่า มิตรภาพ และ ความสัมพันธ์ของพวกเรายังคงอยู่ ข้าขอโอกาสลองไปเจรจาเกลี้ยกล่อมจิวยี่ให้ แปรพรรคมาอยู่กับฝ่ายเรา ท่านจะว่ายังไงขอรับ?"

    "หื~ม...?" โจโฉตีคิ้วมองเจียวก้านกวนๆ ทั้งๆ ที่ใบหน้าไม่แสดงอามณ์ใดๆ เลย (มีแต่คิ้วที่ตีขึ้น ใบหน้ายังคงนิ่ง รักษามาตายด้านไว้อย่างเดิม) "ถึงกับนอนด้วยกันเนี่ย... ความสัมพันธ์ของพวกเจ้า มัน... ขนาดไหนกันงั้นเหรอ...?"

    "ไม่ใช่อย่างนั้นขอ รับท่านโจโฉ!" เจียวก้านเอ่ยแก้ตัวพร้อมใบหน้าที่แดงขึ้น มาด้วยความอาย ที่ถูกมองว่าเป็นพวก... "ข้าไม่ได้เป็นเกย์นะขอรับ! ข้ามีเมียแล้ว จิวยี่ก็มีแล้ว ที่บอกว่านอนร่วมเตียงเดียวกันน่ะ ตอนเรียนด้วยกันเตียงมันมีเตียงเดียว เลยต้องแบ่งกันนอนขอรับ!"

    "เหร~?" โจโฉกล่าว

    "คิกๆๆ..." เหล่าขุนพลที่ปรึกษคนอื่นๆ แอบหัวเราะ

    "เออ... ตกลงท่านว่ายังไงขอรับ?" เจียวก้านรีบเอ่ยตัดบท ก่อนจะถูกชาย หน้าตายผู้เป็นนายเหนือหัว แซวไปมากกว่านี้

    "อืม... หากได้จิวยี่มา ก็เหมือนได้ทั้งกังตั๋งมา เมื่อกังตั๋งเป็นฝ่ายเรา เล่าปี่ก็จะหมดทางรอด ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว" โจโฉเอ่ยสรุป "ตกลง... เจียวก้าน เจ้าจงไปเกลี้ยกล่อมให้จิวยี่มาเป็นพวกเราให้จงได้... ฝากด้วยนะ..."

    "ขอรับ..." เจียวก้านก้มหัวคำนับรับคำสั่ง

    เต็นท์บัญชาการ ค่ายกังตั๋ง

              เทะสึกะ ขงเบ้ง โลซก และ จิวยี่ ภายในเต็นท์ต่างทำท่าครุ่นคิด หลังทั้ง 4 ได้รับสาสน์รายงานการสอดแนมที่พิราบขาวตัวน้อยจิงเหว๋ยนำส่ง

    ทำได้ดีมากจิงเหว๋ยขงเบ้งที่กำลังให้รางวัลนกสาวตัวน้อยที่เพิ่งบินนำข้อมูลที่ได้จากอินูอิ และ คิคุมารุที่แอบไปซุ่มสอดแนมข้าศึกอยู่กับลิบอง

    ดูสบายใจจังเลยนะ... ดีเลย... ข้าต้องหาทางกำจัดนางตอนนางไม่รู้ตัวนี่แหละขณะที่ทุกคนกำลังประมวลข้อมูลที่เพิ่งได้มาจากแนวหน้าอยู่ในหัว จิวยี่กลับแผนการชั่วร้ายที่จะเอามาเล่นงานขงเบ้งอยู่เงียบๆ ปัญหาคือ ขุนพล ที่ปรึกษา และ ทหารทั้งหลายต่างก็เคารพนับถือในความสามารถของเธอ... หากเราฆ่าเธอตรงๆ โดยไม่ดูสถานการณ์ รอบข้างละก็ พวกเขาคงต้องคิดกับเราในแง่ลบ... ความเคารพ และ เชื่อถือในตัวก็จะสูญสิ้นไปหมดแน่นอน... เราจะจัดการกับเธอยังไงโดยไม่ให้ตัวเรามีข้อกังขา...?’

                ‘อะไรนี่... เมี่อกี้รู้สึกเหมือน... มีออร่ามืดบางอย่างแผ่ออกมาจากคุณจิวยี่เลย...เทะสึกะคิดในใจ หลังสัมผสที่ 6 ของเขาเผลอไปสัมผัสเข้ากับกลิ่นอายชั่วร้ายของจิวยี่ ขงเบ้ง...

    อื้ม... เธอก็สังหรณ์สินะคุนิมิทสึ... จิวยี่กำลังคิดไม่ซื่อกับฉัน...ขงเบ้งที่อ่านอายคอนแท็คท์ (Eyes Contact) จากเทะสึกะ คิดตามขณะ พยักหน้าตอบรับในใจ

    จิวยี่ท่านคิดว่ายังไง?” โลซกที่เห็นจิวยี่เงียบไปนาน เอ่ยถาม

                “หากข้อมูลที่ ได้มาเป็นจริงอย่าง 2 คนนั้นว่าล่ะก็ ชัวมอ กับ เตียวอุ๋นถือว่าเป็นตัวปัญหาของพวกเราเลยทีเดียวจิวยี่ที่ยืนไขว้หลังมองเหล่าทหารที่กำลังฝึกลานข้างนอกอย่างแข็งขันเราต้องหาทางกำจัดพวกเขา...

                “หึๆๆ... สมกับเป็นท่านจิวยี่ วิเคราะห์สถานการณ์ได้ยอดเยี่ยมไปเลยขงเบ้งที่นำจิงเหว๋ยไปวางให้เกาะบนราวประจำตัว เอ่ยชมจิวยี่

                “หื~?” จิวยี่มองขงเบ้งที่จู่ๆ ก็พูดยอเขาขึ้นมาอย่างงงๆ แต่ก็ไม่วายเผลอยืดไปกับคำชมของเธอ ก็... แน่นอนอยู่แล้ว

                “เพราะงั้น เรื่องชัวมอกับเตียวอุ๋น ฝากท่านจัดการด้วยนะ

                “ได้... อ้าวเฮ้ย!?” จิวยี่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลงกลขงเบ้งตอบตามน้ำไป

                “เป็นพระคุณ อย่างสูงท่านจิวยี่ ข้าเชื่อว่าท่านคงจัดการได้ไม่ยากขงเบ้งรวบรัดตัดตอนโยนงานให้จิวยี่อย่างเสร็จสรรพ

                “เออ... ดะ ได้... มะ ไม่มีปัญหา…” จิวยี่ตอบรับกันเสียหน้า

                “หึ.../ คิกๆๆ...เทะสึกะ และ โลซกแอบหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสภาพจิวยี่ที่ตกหลุมพลางของขงเบ้งไปจังๆ

                ‘เล่นกันอย่าง งี้เลยเหรอขงเบ้ง...? ก็ได้... ข้าจัดการเจ้า 2 คนนั้นเอง...จิวยี่แอบคิดแค้นในใจเอ่ยกับตัวเองแต่ก็อย่าหวังว่าเจ้าจะได้ดูข้าทำงานอยู่สบายคนเดียวเลย... เดี๋ยวนะ... ทำงานงั้นเหรอ...? นั่นสินะ... ถ้าเป็นเรื่องนี้ เราก็สามารถเล่นงานขงเบ้งได้โดยไม่เป็นข้อกังขาในกองทัพ...

                “เป็นอะไรทำไม เงียบไปล่ะท่านจิวยี่?” โลซกเอ่ยถามจิวยี่ที่จู่ๆ ก็หยุดนิ่งไปเฉยๆ

                “ไม่มีอะไร แค่คิดอะไรเพลินๆ เฉยๆจิวยี่เอ่บตอบพร้อมท่าทางเจ้าเล่ห์ และ รอยยิ้มชั้วร้าย ที่เผยออกมาโดยไม่รู้ตัวไม่ต้องกังวลไปหรอก...

                ‘ชัดเลย... กำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ...เทะสึกะ โลซก และ ขงเบ้ง เอ่ยประสานเสียงกันในความคิด

                “อืม... จะว่าไปท่านขงเบ้งจิวยี่เริ่มต้นประโยคสนทนาใหม่ขึ้นมาอย่างไม่รอช้าอีกไม่นานเราก็จะเปิดศึกใหญ่กับโจโฉอีกครั้ง ท่านว่าอาวุธใดจำเป็นที่สุดในคราวนี้?”

                “การรบบนเรือ ก็ต้องเป็นธนูสิ...ขงเบ้งตอบอย่างไม่เกรงกลัวอะไรฝ่ายใดสามารถโจมตีระยะไกลได้มากกว่าย่อมเป็นผู้ได้เปรียบ เพราะฉะนั้นธนูจึงสำคัญที่สุด

                “จริงอย่าง ท่านว่า ธนูนั้นจำเป็นยิ่งนักจิวยี่กล่าว นั่นท่านคงไม่เกี่ยงในการผลิตลูกธนูให้ทัพของเราใช่ไหม?”

                “ไม่เลย... ท่านต้องการเท่าใดล่ะ ข้าจะจัดการให้ขงเบ้งยิ้มรับ

                “งั้น... ข้าขอ... ลูกธนูแสนลูกภายใน 10 วันแล้วกันจิวยี่เอ่ยบอกอย่างไม่รีรอ

                “~า!?” โลซกอุทานออกมาด้วยความตกใจ ขณะเทะสึกะเบิกตาเล็กน้อย

                “สำหรับท่าน 10 วันคงไม่ยากเกินไปใช่ไหม?” จิวยี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

                “ไม่ๆๆ... ไม่ไหวท่านจิวยี่ขงเบ้งโบกพัดมาเอ่ยรับยิ้มๆ “10 วันมากเกินไป เสียเวลา แค่ 3 วันก็พอแล้ว

                “~…!!?” โลซกอุทานออกมาด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม ในขณะเทะสึกะตีคิ้วมองมาที่ขงเบ้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

                “ท่านขงเบ้ง เรื่องสำคัญแบบนี้เขาไม่พูดเล่นกันนะจิวยี่กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง

                “แน่นอน...ขงเบ้งตอบรับอย่างลังเล

                “ถ้าไม่ได้ ล่ะ?” จิวยี่ยังคงถามด้วยใบหน้าจริงจังต่อไป

                “ยอมให้ตัด หัว...ขงเบ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                “ท่านกล้างั้น ทัณฑ์บนไว้รึเปล่า...จิวยี่จ้องหน้าขงเบ้ง

                “ได้...ขงเบ้งรับคำ

                “โลซก... ร่างหนังสือทัณฑ์บน...จิวยี่เอ่ยสั่ง

                “รอสักครู่โลซกรีบทำตามคำสั่งอย่างไม่รอช้า ขณะในใจยังไม่วายคงคิดเป็นห่วงขงเบ้งท่านขงเบ้ง... ท่านคิดอะไรของท่านน่ะ...?’

                “เอาล่ะ... ลงชื่อได้...จิวยี่ยื่นหนังสือทัณฑ์บนที่โลซกร่างให้ ไปให้ขงเบ้ง

                “หึ...ขงเบ้งหยิบพุ่กันจุ่มน้ำหมึก ก่อนบรรจงเขียนลงนามตัวเองโดยไม่มีท่าทีหวั่นเกรง ก่อนส่งกลับไปให้จิวยี่

                “หึ...จิวยี่กระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย หลังตรวจสอบหนังสือทัณฑ์บนเป็นที่เรียบร้อยแล้วโลซก... ข้ามอบหมายให้ท่านเป็นผู้ช่วยท่านขงเบ้ง สนับสนุนท่านขงเบ้งทุกอย่าง ไม่ว่าท่านต้องการอะไรอย่างได้ขาด รับทราบ?”

                “ทราบ... ขอรับ...โลซกเอ่ยรับคำสั่งด้วยความวิตกกังวล

                “เอาล่ะเพื่อ ไม่เป็นการเสียเวลา เชิญท่านขงเบ้งดำเนินงานได้ตามสะดวกเลยจิวยี่เอ่ยบอกขงเบ้งด้วยท่าทางเรียบ ซึ่งที่จริงแล้วซ่อนความเบิกบากอย่างหน้าหมั่นไส้อยู่ภายในใจ

                “ขอบคุณ…” ขงเบ้งว่าก่อนเดินออกจาเต็นท์บัญชาการไปพร้อมกับเทะสึกะ

                “เธอทำได้จริง งั้นเหรอ...เทะสึกะกระซิบถามเบาๆ

                “ถ้าฉันทำไม่ ได้ ฉันไม่ตอบรับหรอก...ขงเบ้งกระซิบตอบ

                “ฉันก็ว่า งั้น...เทะสึกะพยักน้อยๆ

                “...” โลซกที่ได้แต่ยืนเงียบด้วยความเป็นห่วง มองตามแผ่นหลังของหนุ่มสาวทั้ง 2 เดินจากไปจนลับตา

                “หึๆๆๆๆๆๆ...! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ...! ท่านดูซิโลซก! ข้าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ขงเบ้งขุดหลุมให้ตัวเธอเอง ฮ่าๆๆ…!” จิวยี่หัวเราะออกมาอย่าน่ารักเกียจด้วยความพอใจ

                ‘หวังว่าทางคง รู้ว่าท่านทำอะไรอยู่นะ ท่านขงเบ้ง...

     


    ครู่หนึ่งต่อมา ที่เรือส่วนตัวขงเบ้ง

              ท่าน ขงเบ้ง...โลซกตามมาที่เรื่อของขงเบ้งเพื่อมาทำหน้าที่ผู้ช่วยตาคำสั่งจิวยี่

                “มีอะไรเหรอ ท่านโลซก?” ขงเบ้งที่นั่งดีดพิณอยู่ตรงหัวเรือที่ประจำของเธอ โดยมีเทะสึกะยืนพิงขอบเรืออยู่ไม่ไกลนัก หยุดมือลงก่อนหันมาทักโลซกที่เดินขึ้นเรือมาหาเธอ

                “อะไร เนี่ย...?” โลซกถึงกับเบิกตากว้าด้วยความข้องใจ เมื่อเห็นขงเบ้งที่เพิ่งให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะหาลูกธนูกว่าแสนลูกโดยมีหัวของ เธอเป็นหลักประกัน กลับนั่งเล่นพิณอย่างสบายอารมณ์ แทนที่จะรีบทำตามคำที่ได้พูดไว้ขงเบ้งท่านทำอะไรอยู่น่ะ?”

                “ทำอะไร? ก็เล่นพิณไงขงเบ้งตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อ และ หน้าตาแอ๊บแบ๊ว

                “ขะ ข้ารู้ท่านกำลังทำอะไรอยู่... แต่ที่ข้าจะถามก็คือโลซกเอ่ยแก้คำถามของตนทำไมท่านมานั่งดีดพิณสบายใจอยู่อย่างนี้ ทั้งๆ ที่ มีเวลาอยู่แค่ 3 วันในการทำลูกธนูกว่าแสนลูก ท่านขงเบ้ง?”

                “หึๆๆ... กลางคืนมีดาว เช้ามีหมู่เมฆ...ขงเบ้งกล่าวยิ้มๆ

                “~?” โลซกตีคิ้วงง กับคำพูดอะไรซักอย่างของขงเบ้งที่เขาไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร

    ท่านว่าอะไรนะขอรับ?”

                “กลางคืนมีดาว เช้ามีหมู่เมฆ...ขงเบ้งพูดซ้ำอีกครั้งพร้อมคำอธิบายง่ายๆ ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอกโลซก เมื่อถึงเวลาท่านก็จะรู้เอง…”

                “เฮ้~อ...โลซกถอนหายใจ ยืนเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ข้าไม่เคยเข้าใจความคิดของพวกอัจฉริยะเลยจริงๆ ไม่ว่าจิวยี่ หรือ ท่าน อาจารย์ขงเบ้ง

                “ไม่ต้องห่วง คุณโลซก... ผมว่าขงเบ้งมีแผนอยู่แน่ๆ...เทะสึกะเอ่ยบอกโลซกที่กำลังแสดงท่าทีวิตกกังวลออกมาอย่างไม่คิดที่จะเก็บ อารมณ์นั่นไว้

                 “เจ้าอีกคนเทะสึกะ...โลซกหันไปมองเทะสึกะที่อยู่ใกล้ๆ กัน

                “หื~?” เทะสึกะเอียงคองง เมื่อจู่ๆ โลซกหันมาเหมือนจะพูดกับเขา

                “พวกอัจฉริยะ นี่อ่านยากจริงๆ...โลซกส่ายหน้าเบาๆ ขณะยังบ่ยไม่เลิก ก่อนกลับมาเข้าเรื่องของเขากับขงเบ้งอีกครั้งยังไงก็ช่าง หากท่านต้องการความช่วยเหลือหรือ ต้องการอะไรก็ให้บอกข้านะ ข้าจัดการให้

                “ขอไว้เลยแล้วกัน ข้าขอเรือจำนวน 20 ลำ และ ทหาร 30 คนต่อเรือหนึ่งลำมาเป็นคนงานตกลงนะขงเบ้งกล่าว

                “งานอะไรหรือ ท่าน?” โลซกเอ่ยถาม

                “ความลั~บ...


    เย็นนั้น ณ เนินฝึกวิชาของเอจิเซน และ ซีซิง

              เอานี่เอจิเซนยื่นกระบอกน้ำไม้ไผ่ให้ซีซิงที่ ตนเพิ่งดื่มเสร็จ ที่นอนแผ่หลาอยู่กับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อจากการฝึกฝน

                “ขอบใจ...ซีซิงกล่าวขอบคุณก่อนรับมาดื่ม เฮ้~อ เหนื่อยแทบขาดใจ... นายนี่เคี่ยวชะมัดเลย เล่นเอาหายใจแทบไม่ทัน

    "แล้วเป็นไงล่ะ?" เอจิเซนถาม

    "รู้สึกดีสุดๆ เลยล่ะ" ซีซิงกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส

    "ก็ดีแล้ว..." เอจิเซนพยักหน้ารับ

    "ดูสิ! ยัยนั่นได้ดื่มน้ำกระบอกเดียวกันกับท่านเอจิเซนด้วย!" โทโมเอะที่ ซ่อนตัวอยู่ไม่ห่างจากเอจิเซน และ ซีซิงนัก เอ่ยบอกซากุโนะที่อยู่ข้างๆ กัน

    "ก็ไม่มีอะไรนี่โทโมะจัง" ซากุโนะว่า

    "ไม่มีอะไรงั้น เหรอ? ซากุโนะ! นั่นจูบทางอ้อมเชียวนะ!" โทโมเอะโวย

    "จูบ?" ด้วยความใสซื่อทำเอาซากุโนะหน้าแดงขึ้นทันที

    "ปกติสายจนไก่หมดแรงขันก็ยังไม่รู้สึกตัว แต่วันนี้เรียวมะคุงทำไมถึงได้ตื่นเช้านัก ที่แท้ก็มาอยู่กับเธอคนนี้นี่เอง"

    "เรียมะคุง เนื้อหอมจังเลยนะ"

    "ได้อยู่กับสาวสวยๆ 2 ต่อ 2 คนเดียวแบบนี้ เจ้าเอจิเซนนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ"

    "เอ๋~?" โทโมเอะ และ ซากุโนะหันไปมองเสียงประหลาด 3 เสียงที่ดังมาจาก ด้านหลังพวกเธอ "คาจิโร่ คัทสึโอะ โฮริโอะ?"

    "ไง" ทั้ง 3 ทักทาย ขณะเดินเข้ามาร่วมติดตามสถานการณ์ของเอจิเซน และ ซีซิงร่วมกับ 2 สาวอีกลุ่ม "ขอดูด้วยสิ..."
               "นี่... ถามหน่อยสิ..." ซีซิงวางกระบอกน้ำลงข้างตัว ขณะเอ่ยคุยกับเอจิเซน "นาย... ฝึกวิชา ไปเพื่ออะไรเหรอ?"
    เอจิเซนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบอย่างว่าง่าย "ฉันต้องการ... เอาชนะคนๆ หนึ่ง"
                "เอ๋?" ซีซิงเอียงคองง
                "เธอเป็นผู้หญิงคนอีกคนแล้วนะ ที่ถามฉันแบบนี้..." เอจิเซนกล่าว
                'เราก็เคยถามเรียวมะคุง... อย่างนี่นี่นา...' ซากุโนะคิดในใจ
                "แล้วเธอล่ะ... ฝึกวิชาไปเพื่ออะไร...?" เอจิเซนถามกลับ
                "ฉัน... อยากเป็นเหมือนกับท่านปู่ และ ท่านลุง..." ซีซิงเอ่ยตอบ "ตอนเด็กๆ ท่านพ่อชอบเล่าเรื่องวีรกรรมของท่านปู่กับท่านลุงบ่อยๆ... ทำให้ฉันเห็นพวกท่านเป็นวีรบุรุษในดวงใจ และ ใฝ่ฝันอยากจะเป็นวีรชนแบบพวกท่านน่ะสิ..."
                "หึๆๆ..." เอจิเซนหัวเราะเบาๆ
                "มีอะไรน่าขำงั้นเหรอ!?" ซีซิงเอ่ยขึ้นอย่างอายๆ เมื่อเห็นเอจิเซนหัวเราะเยาะความฝันของเธอ "ถะ ถึงมะ มันจะเป็นแค่ความฝันแบบเด็กๆ แต่มันก็คือความฝันของฉันนะ!"
                "เธอกับฉันนี่คล้ายๆ กันนะ..." เอจิเซนเอ่ยยิ้มๆ "เธอไม่ต้องคิดมากหรอก... การที่เราอยากจะเป็นเหมือนใครซักคนที่เราชื่มชม ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลย"
                "..." ซีซิงมองเอจิเซนอึ้งๆ ก่อนยิ้มออกมาอย่างสดใส "อื้ม! นั่นสินะ"
                "เอาล่ะ การฝึกวันนี้พอแค่นี้ พรุ่งนี้เจอกันที่นี่เวลาเดิม เข้าใจนะ..." เอจิเซนกล่าว ขณะกลับหลังหัน แล้วเเดินจากไป
                "อืม... เจอกันพรุ่งนี้..." ซีซิงว่าก่อนขึ้นมองลงไปยังพื้นน้ำข้างล่างเนิน พร้อมรอยยิ้มที่บอกได้เลยว่าเธอกำลังมีความสุข 'จริงๆ... นายก็เป็นคนที่อบอุ่นคนหนึ่งนี่นา... เอจิเซน...'
                "อิจฉาเป็นบ้าเลย..." โทโมเอะกัดฟันเอ่ยทิ้งท้าย ในขณะที่เพื่อนหนุ่มทั้ง 3 ยิ้มแหย่ๆ หันมองเธอด้วยใบหน้าเกร็งๆ

    เอ๋~… เดี๋ยวนะ... คาจิโร่ที่จู่ๆ ก็รู้สึกเอะใจอะไรบางอย่าง เอ่ยขึ้น

    มีอะไรเหรอ? ทั้ง 4 หันมาหา

    ลูกสาวคุณซุนกวนคนนั้นน่ะ... เขา... ดูคล้ายๆ ซากุโนะจังนะ คาจิโร่กล่าว

    หื~ม...?ทุกคนหันไปมองซีซิงที่ยังคงยืนชมวิวอยู่อย่างสบายใจ โดยไม่รู้ว่า ตนกำลังถูกสตอล์เกอร์ (stalker) 5 คนจับตามองอยู่

    นั่นสิ!” ทั้ง 3 อุทานออก (ไม่นับซากุโนะ) อุทานออกมาพร้อมกัน เมื่อตนลองนำภาพของซากุโนะ มาเทียบกับภาพของซีซิง ต่างกันแค่ทรงผมเท่านั้นเอง นอกจากนั้น ทั้งหน้าตา ความสูง สีผิว ไปจนถึง รูปร่าง เหมือนซากุโนะเปี๊ยบเลย!”

    เออ... ผมว่ารูปร่างไม่นะครับ... คัทสึโอะชี้ไปที่ซีซิงที่หันมามองนกตัวผู้ซึ่งบินคาบเอาอาหารมาป้อนแม่นกที่กำลังนั่งกกไข่อยู่บนต้นไม้ข้างเธอด้วยอารมณ์สนุทรีย์ เผยให้เห็นน่าอกที่ดูเป็นผู้ใหญ่ของเธอ

    ... ซากุโนะ และ โทโมเอะ ถึงกับหดหู่ ใบหน้าคลุมดำเมื่อเห็นการเจริญเติบโตที่เหนือกว่าของซีซิง ทั้งๆ ที่เธอมีอายุเท่ากันกับพวกเธอ

    แพ้หมดรูปเลย... เอ๊ยไม่ใช่! กลับเข้าเรื่องดีกว่า... ยัยผู้หญิงคนนั้น คล้ายเธอจริงๆ ไม่สิดูเหมือนเธอเลยล่ะซากุโนะ ต่างกัน... ก็... แค่... โทโมเอะว่า ก่อนชักงักไปเมื่อรู้สึกตัวว่าตนกำลัง เออ... บุคคลิกน่ะ...

    นั่น... สินะ... ซากุโนะยังถึงกับซึมไปทันทีเรียวมะคุง เขาชอบผู้หญิงที่กล้าพูดกล้าแสดงออกอย่างซีซิงซังสินะ...

    ซากุโนะ... โทโมเอะ และ หนุ่มๆ ทั้ง 3 ยืนมองเพื่อนสาวของตนอย่างไม่สบายใจ เมื่อเห็นท่าทีเศร้าของเธอ

    ทั้งๆ ที่ ดูคล้ายจนเหมือนกันแท้ๆ... ทำไมถึง... ซากุโนะคิดอย่างเจ็บปวดอยู่ในใจ ถ้าเราเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเหมือนซีซิงซังได้... เรียวมะคุง... จะหันมามองเราบ้างมั๊ยนะ...

    เฮ้... ริวซากิเธอเป็นอะไรรึ... หื~ม?โฮริโอะทำท่าจะเอ่ยถามซากุโนะ แต่แล้วก็ถูกโทโมะเอะจับไหล่ให้หยุดลง

    ... โทโมเอะส่ายหน้า ก่อนหันไปพูดกับซากุโนะ เย็นแล้ว เรากลับค่ายกันเถอะ

    อื้ม... ว่าจบพวกเขาก็เดินลงจากเนินไป ปล่อยให้ซีซิงยืนอยู่คนเดียวดังเดิม

     


    ในค่าย

              ฮึบ!” คาวามูระยกถุงใส่ข้าวสารวางรวมไว้กับถุงข้าวสารถุงอื่นๆ ในเต็นท์เสบียง ก่อนเดินออกมาพลางยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เฮ้~อ... เสร็จแล้ว...

                ขอโทษที่รบกวน ขอบใจนะทุกคน โออิชิผู้ถือใบรายการตรวจเสบียง เอ่ยขอบคุณ

                ไม่ไปไรหรอกครับ รุ่นพี่โออิชิ พวกเรายินดีช่วย โมโมะที่ยืนเอามือทุบไหล่เอ่ยรับ

                ได้ออกกำลังซะหน่อยก็ดีครับ... ชู่ว์... ไคโดที่ยืดกล้ามเนื้ออยู่ใกล้ๆ กันว่าตาม

                ยังไงซะ นอกจากฝึกทหารแล้ว พวกเราก็ว่างๆ กันอยู่แล้ว ฟูจิเอ่บปิดท้าย

                แต่ที่จริงฝึกมหารก็เหนื่อยกันไม่น้อยนะ พวกนายน่าจะได้พักกันมากกว่า โออิชิว่า ปกติฉันก็จัดการทุกอย่างเองนะ แต่พอดีคืนนี้เป็นเวรทหารกองฉันเฝ้าค่าย เลยต้องขอความช่วยเหลือของกองทหารพวกนาย ลำบากหน่อยนะ

                พวกเรายินดีช่วยขอรับ…!!” เหล่าทหารทั้งหลายที่กำลังขนภายชนะใส่เสบียงต่างๆ เข้าไปเก็บในเต็นท์เสบียงแต่ละเต็นท์ เอ่ยบอกโออิชิยิ้มๆ ก่อนกลับทำหน้าที่ขอตนต่อไป

                ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้รังเกียจอะไรนะ ฟูจิยิ้มตามเหล่าทหารของพวกเขา

                อีกอย่างนะ ทุกๆ คนต่างก็ต้องฝึกทหารเหมือนกันๆ แต่นอกจากพวกเราแล้วทุกคนกลับหน้าที่ต้องรับผิดชอบกันหมด อย่างนายก็ต้องคอยรับผิดชอบตรวจตราเสบียง และ ยุทโธปกรณ์ เอจิกับอินูอิ ก็ต้องคอยไปตามสอดแนมข้าศึกกับคุณลิบอง ส่วนกัปตันก็ต้องคอยติดตามช่วยงานขงเบ้งคาวามูระ ว่าเอจิเซนเองก็ต้องพักฟื้นรักษาแผลให้หาย พอเห็นอย่างนี้แล้ว จะให้พวกเราอยู่ว่างๆ มันก็ยังไงๆ อยู่นะ

                จะว่าไป ช่วงนี้พวกเราดูมีบทบาทน้อยจังเลยว่ามั้ยครับ?โมโมะว่าขึ้น

                ทำไงได้ล่ะ ตามหนังสือแล้ว คนที่เคลื่อนไหวในตอนนี้ก็มีเพียงพวกขงเบ้ง กับ พวกคนที่ไปคอยหาข้อมูลเท่านั้น ฟูจิอธิบาย ขาลุยอย่างพวกเรากว่าจะมีบทก็คงอีกนานล่ะ

                ระหว่างนี้พวกเราก็ได้แต่รออย่างนั้นสินะครับ ชู่ว์...ไคโดว่า

                ก็คงอย่างนั้นแหละ... ฟูจิตอบ

                จะว่าไป เรื่องราวต่อไปจะเป็นยังงั้นเหรอฟูจิ? โออิชิเอ่ยถาม

                ฉันคง... บอกไม่ได้หรอก... ฟูจิเอ่ยบอกอย่างมีเลศนัย ขอโทษนะทุกคน... แต่ฉันให้พวกนายรู้เรื่องการความขัดแย้งภายในนี้ไม่ได้หรอก... ฝากทางนั้นด้วยนะ เทะสึกะ...

    เต็นท์บัญชาการ ค่ายกังตั๋ง

              โอ้! เจียวก้าน!” จิวยี่ที่เดินออกมาจากเต็นท์ เมื่อมีทหารมารายงานว่ามีทูตของโจโฉ เดินทางมาหาเขา เอ่ยทักผู้เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขา

                ไม่นานเลยนะ จิวยี่ เจียวก้านเอ่ยทักตอบ

                โจโฉให้เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้าเป็นพวกสินะ คำทักทายเพียงประโยคแรก จิวยี่ก็พูดดักคอเจียวก้านไว้ทันที เล่นเอาเจียวก้านถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันที

                ปะ เปล่า... ขะ ข้าได้ข่าวว่าเป็นคนคุมทัพที่นี่ ในฐานะเพื่อนเก่าเลยแวะมาทักทายซะหน่อย เจียวก้านเอ่ยแก้ตัว

                ฮ่าๆๆ ข้าล้อเล่นน่~า ไม่เห็นต้องตกใจขนานนั้นเลยนี่ จิวยี่แสร้งยิ้มอย่างดีใจไปให้เจียวก้าน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แบบไลท์ ยางามิ พร้อมกับ เอาล่ะ... ไหนๆ เจ้าก็แวะเวียนมาเยี่ยมข้าแล้ว ทหาร!”

                ขอรับ!” ทหารคนหนึ่งเดินมายืนทำความเคารพอยู่หน้าจิวยี่

                วันนี้เจียวก้านเพื่อนเก่าของข้าแวะมาเยี่ยมเยียน ไปบอกทางฝ่ายเบ็ดเตล็ดให้เตรียมอาหาร และ จัดสุราไว้ให้พร้อม คืนนี้ข้า 2 คนจะสังสรรค์กันซะหน่อยจิวยี่สั่ง

                ขอรับ!” นายทหารคนนั้นตอบรับ ก่อนปลีกตัวออกไปทำตามคำสั่ง

                เออ... มันจะดีเหรอจิวยี่? เจียวก้านเอ่ยถาม กำลังอยู่ในช่วงสงคราม เจ้าไม่น่าเอาเสบียงกองทัพมาเสียเวลาจัดเลี้ยงข้านะ

                พูดอะไรอย่างนั้น เจ้ามาหาข้าเองทั้งทีจะให้ข้าละเลยได้ไง?จิวยี่เอ่ยยิ้มๆ พลางเดินเข้ามาโอบไหล่เจียวก้าน ไม่ได้ๆ... เราเป็นเพื่อนดันไม่ใช่เหรอ?

                จิวยี่... เจียวก้านมองจิวยี่ด้วยแววตาซาบซึ้ง ขอบใจนะ...

                ยินดีเสมอจิวยี่ตอบรับ

                ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนของฝ่ายศัตรูแท้ๆ แต่เจ้าก็ยังปฏิบัติกับข้าเหมือนสหายดังเดิม เจียวก้านรำพึงในใจ เจ้าช่างเป็นบุรุษที่ประเสริฐจริงๆ จิวยี่

                หึๆๆๆ... เจ้ามาได้เวลาพอดีเลยเจียวก้าน...จิวยี่แอบยิ้มอย่างชั่วร้าย ขณะคิดแผนการอยู่ในใจ ขอโทษนะเพื่อ แต่ข้าคงต้องหลอกใช้เจ้าซะแล้วล่ะ... หึๆๆๆๆ...

     

    เต็นท์ส่วนตัวของจิวยี่

              ครอ~กฟี้...

                หึๆ... พอดื่มจนเมาหลับเป็นตายทีไร ต้องนอนกรนเสียงดังแบบนี้ทุกที เจียวก้านที่ยืนมองจิวยี่ผู้นอนอยู่บนเตียงประจำตัวของเขาคิดยิ้มๆ

                หลังการกินเลี้ยงสังสรรค์กันของจิวยี่ และ เจียวก้าน จิวยี่ที่เมาหนักจนแทบยืนไม่ได้ เห็นว่ามันดึกแล้ว ด้วยสติสัมปชัญญะที่มีเหลืออยู่เล็กน้อย จิวยี่จึงบอกให้เจียวก้านอยู่พักที่นี่ก่อนคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ โดยให้ทหารจัดที่นอนของเจียวก้านไว้ในเต็นท์ของจิวยี่ ถือเป็นการรำลึกความหลังสมัยที่ยังเรียนด้วยกัน

                เฮ้~อ... เจียวก้านถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อย่างไม่สบายใจ เพราะจิวยี่ดันประกาศไปว่าห้ามรบกวน ใครก็ตามที่เอาเรื่องการศึกมาพูดคุยกับเขาในขณะที่พักผ่อนอยู่ต้องโดนกุดหัว เล่นเอาเราไม่กล้าเอ่ยให้เขาแปรพรรคเลย...

                ครอ~นี่เจียวก้าน ดื่มอีกซักจอกสิ... ฟี้~…” จิวยี่ละเมอ

                เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ จิวยี่... แม้จห่างหายกันไปนานจนแทบไม่ได้ติดต่อกัน มิหน่ำซ้ำข้ายังเป็นคนของฝ่ายที่อยู่ตรงกับข้ามกับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ลืมว่าข้าเป็นเพื่อน และ ให้การต้อนรับข้าอย่างดี... ผิดกับข้าที่ตั้งใจจะมาเกลี้ยกล่อมเจ้า... ข้าละอายใจจริงๆ... เจียวก้าน เอ่ยว่าตัวเองในใจ

                พับๆ! ฟิ้~ว...

              หื~ม? เจียวก้านก้มลงเก็บกระดาษจดหมายที่ถูกลมพัดปลิวตกลงมาจากโต๊ะ และแล้ว ทันใดนั้น นี่มัน! ยะ... แย่แล้ว! ขะ... ข้าต้องรีบกลับไปรายงานท่านโจโฉ...

                เมื่อสิ้นสุดการประมวลข้อมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจียวก้านก็รีบเก็บจดหมายฉบับนั้นซ่อนไว้ในตัว ก่อนแอบย่องออกจากเต็นท์อย่างลับล่อๆ เมื่อถึงจุดปลอดภัยแล้ว ก็ออกวิ่งเรือของตน พลางบอกให้ทหารออกเรืออย่างรีบร้อน

                ... เมื่อแน่ใจว่าเจียวก้านจากไปเป็นที่แน่นอนแล้ว จิวยี่ก็ค่อยๆ เปิดตาขึ้น ก่อนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันแสนชั่วร้ายของเขาออกมา เป็นตามแผน... หึๆๆ...

                ว่าจบจอมพลแห่งกังตั๋งหลับตาลง แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไป

     

    รุ่งสาง ณ เรือส่วนตัวของขงเบ้ง

              ท่านขงเบ้ง! นี่มันถึงวันนัดส่งลูกธนูแล้วนะท่าน!” โลซกเอ่ยว่าขงเบ้งเมื่อเขาพบว่า ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันครบกำหนดการผลิตลูกธนูที่ขงเบ้งได้ลงทัณฑ์บนไว้ แต่เธอกลับยังไม่ได้ทำลูกธนูออกมาเลยแม้แต่ลูกเดียว

                ข้ารู้แล้ว... ขงเบ้งกล่าว

                แล้วทำไม!? โลซกเริ่มขึ้นเสียง

                ใจเย็นๆ ก่อนคุณโลซก... เทะสึกะเอ่ยเตือนโลซก

                อะ อืม... โทษที... โลซกที่ทำท่าจะโวยหยุดปากตนเองลง ก่อนหันกลับมาพูดอย่างสุขุมนุ่มนวลอีกครั้ง ท่านขงเบ้ง ท่านอย่าลืมนะว่า ท่านลงทัณฑ์บนไว้ว่า หากทำธนูแสนลูกภายในกำหนด 3 วันไม่ได้ ท่านจะยอมให้ตัดหัวนะขอรับ

                ข้าก็รู้อีกนั่นแหละ... ขงเบ้งตอบกวนๆ ท่านไม่ต้องห่วงหรอกท่านโลซก

                พูดแบบนี้แสดงว่าท่านมีแผนอะไรใช่ไหม? โลซกทำอย่างมีหวัง

                หึๆๆ... กลางคืนมีดาว เช้ามีหมู่เมฆ... โลซกกล่าวประโยคที่เอ่ยกับโลซกตั้งแต่วันแรกอีกครั้ง

                ท่านขงเบ้งต้องการจะสื่ออะไรเทะสึกะ? โลซกเอียงคองงๆ ก่อนหันไปถามเทะสึกะ

                กลางคืนมีดาว เช้ามีหมู่เมฆ... ครับ เทะสึกะกล่าวประโยคเดิม

                ก็มันหมายความว่าไงล่ะ? โลซกเริ่มมีท่าทีร้อนรนอีกครั้ง

                ก๊อ~กๆๆ!

              ขออภัยที่รบกวนการสนทนาขอรับ นายทหารคนหนึ่งเคาะให้สัญญาณ ก่อนเอ่ยรายงานนอกประตูห้อง การเตรียมการเสร็จแล้วขอรับ ท่านขงเบ้ง

                ยอดเยี่ยม... บอกทุกคนให้ประจำที่เตรียมพร้อมไว้ ขงเบ้งเอ่ยสั่งต่อ เราจะออกเดินทางในไม่ช้า

                ขอรับ!” นายทหารนอกประตูตอบรับ ก่อนรีบไปทำตามคำสั่ง

                เตรียมการอะไรงั้นเหรอ? โลซกเอ่ยถามอีกครั้ง

                พอดีเลย ท่านโลซกก็มาด้วยกันเลยสิ ขงเบ้งว่าขณะทำท่าจะเดินออกจากห้องในเรือส่วนตัวของเธอไป ไปกันเถอะ คุนิมิทสึ...

    ท่าเรือค่ายโจโฉ

              ทุกอย่างปกติดีขอรับ ทหารเฝ้ายามเอ่ยรายงาน

    ดีมาก... ชัวมอเอ่ยรับ ขณะเดินตรวจการเฝ้ายามภาคเช้ามืด

                ตุมๆๆๆๆๆๆๆๆ!

              อะไรน่ะ!? เตียวอุ๋นที่อยู่ใกล้ๆ กันเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงลั่นกลองจากหอคอยสังเกตการณ์น่านน้ำ

                มีเรือของข้าศึกกำลังตรงมาหาเราขอรับ!” ทหารบนหอสังเกตการณ์ตะโกนตอบ

                มันคิดจะมารบงั้นเหรอ! ได้พวกเราเตรียมออกรบ!”
               
    เดี๋ย~วเตียวอุ๋น... ชัวมอเอ่ยหยุดเตียวอุ๋นไว้ ดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ซะก่อน

                ... หลังโดนชัวมอรั้งไว้ เตียวอุ๋นก็เริ่มมองรอบๆ ก่อนพบว่า หมอกลงจัดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?

                ไอ้บ้า! ยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก!” ชัวมอกัดเข้าให้ ตื่นมาไม่ได้สังเกตเลยเหรอ!?

                เออ... ว่าอยู่ทำไมวันนี้มันเป็นมัวๆ มองไม่ค่อยเห็นหน้ากัน เตียวอุ๋นกล่าว

                ... ชัวมอกุมขมับสายหน้าหน่ายๆ ยังไงก็ช่าง ตอนนี้ข้าว่าเราอย่าออกรบสุ่มสี่สุ่มห้าดีกว่า ไม่แน่นะ อาจจะเป็นกลลวงของศัตรูก็ได้...

                แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ?เตียวอุ๋นเอ่ยถาม

                พลธนูเตรียมพร้อม...!!” ชัวมอไม่รอช้าออกคำสั่งทันที ทุกคนประจำที่! เร็วๆๆ!”

                ได้ยินท่านชัวมอแล้ว เข้าที่ขึ้นลูกเตรียมพร้อมโจมตี!” เตียวอุ๋นเริ่มออกคำสั่งตามอย่างรู้ใจ อย่าช้าๆ! ให้ไวๆ!”

                ครู่หนึ่งต่อมา เหล่าพลธนูทั้งหลายก็เข้าประจำที่ ขึ้นลูกบนธนูพร้อมยิง ยืนนิ่งรอคอยคำสั่งโจมตีจากผู้บังคับบัญชา

                เออ... มองไม่เห็นข้าศึกเลยขอรับ!” หนึ่งในหัวหน้ากองทหารคนหนึ่งกล่าว

                หมอกลงจัดเกินไป... ทัศนวิสัยเกือบเป็นศูนย์...ชัวมอกล่าว แย่แฮะ แต่ถ้าคิดในแง่ดี... เราแทบมองไม่เห็นพวกมัน... ในทางกลับกัน พวกมันก็มองไม่เห็นเราเหมือนกัน…”

                แล้วจะรบกันไงล่ะทีนี้? เตียวอุ๋นเอ่ยถาม

                 ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ! จ๋อมๆๆๆๆๆๆๆ!

              เหอะ! ฮ่าๆๆๆๆ!” ชัวมอ เตียวอุ๋น และ เหล่าทหารทั้งหลาย ต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ย เมื่อลูกธนูจากฝ่ายศัตรูที่ยิ่งมาตน พุ่งมาไม่ถึงเป้าหมาย ร่วงลงทะเลไปอย่างน่าอนาถ

                พวกเรา! นั่นไงเรือพวกมัน ดูเหมือนจะมีกำลังพลจำนวนหนึ่ง เล็งไปที่ตรงนั้น! ถ้าใครมองไม่เห็นให้พยายามเล็งไปตรงทิศทางของเสียงกลองศึกของพวกมัน!” ชัวมอเริ่มออกคำสั่ง แสดงให้พวกมันดูหน่อยว่าธนูเขายิงกันยังไง! เตรียมพร้อม...! ยิง...!!”

                ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ! ปักๆๆๆๆๆๆๆ!

              อย่าหยุดๆ! ยิงเข้าไปๆ!” เตียวอุ๋นเอ่ยสมทบ

                ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ! ปักๆๆๆๆๆๆๆ!

              ขนลูกธนูมาเพิ่มอีก! ยิงต่อไปเรื่อยๆ อย่าให้พวกมันได้ตั้งตัว!” ชัวมอกล่าว   

                ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ! ปักๆๆๆๆๆๆๆ!

                แสดงให้พวกมันได้เห็นพลังของพวกเรา!” เตียวอุ๋นกล่าวเช่นกัน

                ครู่หนึ่งต่อมา หลังห่าธนูจากทัพพลธนูของชัวมอ และ เตียวอุ๋น กระหน่ำใส่เรือของข้าศึกที่ไม่ไกลนักราวห่าฝนที่ตงลงมาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน เสียงลั่นเครื่องดนตรีที่เหล่าผู้ชำนาญในการรบทุกคนรู้จักหน้าที่ของมันนั่นก็คือ

                ... ชัวมอ เตียวอุ๋น และ เหล่าทหาร หยุดมือลงเมื่อเสียงกลองของศัตรูข้ามเงียบไป

                โหม่~ง...!

              ฮ่าๆๆ...! มันถอยทัพแล้ว! พวกมันลั่นฆ้องถอยทัพแล้ว!” ชัวมอว่า

                รู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร! ฮ่าๆๆ…!” เตียวอุ๋นไม่น้อยหน้ากัน

                โหม่~ง...!

              เฮ้ย! ตีฆ้องทำไมน่ะ!? ชัวมอเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงฆ้องดังมาจากหอสังเกตการณ์ของทัพพวกเขา

                ท่านโจโฉมาหาขอรับ!” นายทหารบนหอสังเกตการณ์เอ่ยบอก

                ท่านโจโฉคงมาทัศนาผลการฝึกทัพเรือของเราแน่ๆ เอาล่ะ งานนี้ขอยืดให้ได้เกิดกับเขาบ้างล่ะ ชัวมอว่า ขณะเขากับเตียวอุ๋นต่างจัดเครื่องแต่งกายของพวกตนให้เรียบร้อย

                พลธนูทุกคนประจำที่ไว้! ส่วนพวกที่เหลือตามมาต้อนรับท่านโจโฉ!” เตียวอุ๋นเอ่ยบอกเหล่าทหารในบังคับบัญชาทั้งหลายของพวกเขา

                คารวะ ท่านโจโฉ ชัวมอ เตียวอุ๋นก้มหัวลงคพนับโจโฉ ที่เดินนำเหล่าขุนพล และ ที่ปรึกษาทั้งหลาย ตรงเข้ามาหาพวกเขา

                เมื่อกี้ข้าได้ยินเสียงกลองรบ... ข้าศึกโจมตีงั้นหรือ?โจโฉเอ่ยถาม

                ขอรับ มีเรือประมาณ 20 ลำ เข้ามาโจมตีเราเมื่อครู่นี้ขอรับชัวมอเอ่ยตอบ

                เอาเรือมาแค่ 20 ลำ มันไม่รู้ว่าเล่นกับใคร พอเจอพวกเราตอบโต้กลับไปเท่านั้นแหละ ตีฆ้องถอยทัพหนีหาจุกก้น น่าหัวเราะเยาะจริงๆ ขอรับ เตียวอุ๋นเสริม

                พวกเจ้าตอบโต้มันกลับไปยังไงหรือ?โจโฉยังคงเอ่ยถามต่อไป

                ยิงธนูถล่มพวกมัน จนล่าถอยไปขอรับ ชัวมอเอ่ยตอบต่อไป

                ชัยชนะนี้มอบแด่ท่านขอรับท่านโจโฉ ขอเชิญท่านทัศนาความปราชัยของพวกมันด้วยตาท่านเถิดขอรับ ทั้ง 2 ขุนพลผายมือเชิญโจโฉให้เดินไปยังจุดสังเกตการณ์เพื่อมองดูผลการต่อสู้ของพวกเขา ซึ่งโจโฉก็ไม่รอช้า นำเหล่าขุนพล และ ที่ปรึกษา เดินตามทั้ง 2 ไป

                ไหนล่ะ... ผลงานชัยชนะที่เจ้าว่า?โจโฉที่เดินขึ้นมาถึงจุดสังเกตการณ์เอ่ยถาม เมื่อรอบยังคงมีหมอกปกคลุมอยู่ ทำให้มองเห็นได้อย่างยากลำบาก

                ตรงนั้นขอรับ... มองไปทางนั้นหมอกกำลังจางลงแล้ว อีกไม่นานก็คงได้เห็น ชัวมอกล่าว พร้อมกับจ้องมองไปยังจุดที่ตนชี้ เช่นเดียวกับ เตียวอุ๋น เหล่าขุนพล บรรดาที่ปรึกษา และ ตัวโจโฉ ด้วยความจดจ่อ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ชัวมอกล่าว หมอกค่อยๆ จากลง จนเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แต่ภาพที่พวกเขาเห็นนั้น ไม่ใช่การปราชัยของทัพศัตรู... แต่เป็น!

                สวัสดียามเช้าท่านโจโฉ…!” ขงเบ้ง ผู้ยืนอยู่หน้าเทะสึกะ และ โลซกบริเวณท้ายเรือลำสุดท้ายของขบวนเรือที่กำลังแล่นกลับค่ายซึ่งเต็มไปด้วยลูกธนูปักอยู่เต็มไปหมด ทั้งหัวเรือ ท้ายเรือ ด้านข้าง กาบเรือ หลังคาเรือ ไปจนถึง หุ่นฟางที่ถูกวางตกแต่งไว้หลอกฝ่ายตรงข้ามให้ดุเหมือนมีทหารยืนอยู่ ทุกๆ ส่วนล้วนเต็มไปด้วยลูกธนูจากห่าธนูที่ชัวมอ และ เตียวอุ๋นสั่งให้พลธนูกระหน่ำยิงใส่ เอ่ยตะโกนพูดกับโจโฉ ต้องขอขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านได้กรุณามอบลูกธนูเหล่านี้ให้กับพวกเราได้ยืมไปใช้! ข้ารับปากไว้เลย พวกเราจะสนองลูกธนูเหล่านี้กลับมาให้ท่านอย่างแน่นอน...! หึๆๆๆๆ... เอาพวกเรา...! ท่านโจโฉอุตสาห์ช่วยสนับสนุนพวกเราแล้ว...! เอ่ยขอบพระคุณท่านมหาอุปราชเร็ว...!”

                ขอบพระคุณท่านมหาอุปราชที่ให้ยืมลูกธนู…!!” เหล่าทหารทั้งหลาย รีบกรูกันมารวมกันที่ท้ายเรือแต่ละลำของพวกตน พากันยืนออ ปีนหลังคา เกาะกาบเรือ ไปจนถึง ขี่คอกัน ทำหน้ากวนประสาท หัวเราะทะเล้น เอ่ยเยาะเย้ยโจโฉอย่างสะใจ

                เอ้า...! เสียงเบากันจังเลย…! ดังๆ กว่านี้หน่อย...!” โลซกร่วมวงด้วย

                ขอบพระคุณท่านมหาอุปราชที่ให้ยืมลูกธนู…!!” ทหารเร่งเสียงอย่างคะนองปาก

                อีกรอบ... เทะสึกะสั่งเรียบด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ

                ขอบพระคุณท่านมหาอุปราชที่ให้ยืมลูกธนู…!!” ทหารกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย

                เอาล่ะ...! กลับค่ายกัน...!” ขงเบ้งออกคำสั่ง

                ขอรับ...!! ฮ่าๆๆ...!!” เหล่าทหารรับคำสั่ง ก่อนพากันกลับไปประจำที่ ทำหน้าที่แล่นเรือกลับค่าย ด้วยความเบิกบาน

                ฮ่าๆๆ...! ท่านขงเบ้ง ท่านนี่แสบจริงๆ โลซกกล่าวด้วยความพอใจ ถ้าข้าเป็นโจโฉ ปานนี้ข้าอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีไปแล้ว ฮ่าๆๆ...!”

                หัวเราะออกแล้วเหรอคะ? แห~ม ตอนแรกๆ ยังเห็นวิตกจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย ขงเบ้งเอ่ยแซวโลซก

                ก็เพราะใครล่ะ? โลซกว่า แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีวิธีแบบนี้อยู่ด้วย ท่านนี่อัจฉริยะสมคำร่ำลือจริงๆ ถามหน่อย ท่านเข้าฌานเหรอถึงได้รู้ว่าจะมีหมอกลงในเช้านี้?

                ข้าก็บอกท่านแล้ว? วันใดกลางคืนมีดาว เช้ามีหมู่เมฆ หมอกย่อมลงอย่างแน่นอน ขงเบ้งเอ่ยตอบยิ้มๆ การเป็นจะกุนซือที่ดี นอกจากต้องมีไหวพริบ และ รู้พิชัยสงครามแล้ว ยังต้องมีความสามารถในการมองดูสภาแวดล้อม และ การคาดการณ์ดินฟ้าอากาศ หากทำได้ ก็เปรียบเสมือนมีธรรมชาติเป็นกำลังพล และ ยุทโธปกรณ์ เข้าใจไหม ท่านโลซก?

                ท่านช่างปราดเปรื่อง และ น่ายกย่องยิ่งนัก โลซกกล่าวชม นอกจากนี้ยังน่าทึ่งอีกต่างห่างเจ้าว่าไหมเทะสึกะ?

                ครับ... เธอน่าทึ่งจริงๆ... เทะสึกะว่าขณะมองไปยังขงเบ้งด้วยร้อยยิ้มสุขุมนุ่มลึก ที่สาวใดได้มาเห็นเป็นต้องละลาย

                บ้า... ขงเบ้งเบี่ยงตัวหลบหน้าที่แดงเพราะรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเทะสึกะ

                เอ๋~… ฮั่นแน่~... เออ... ข้า... ขอตัวไปพักข้างในเรือก่อนดีกว่า...โลซกมองท่าทีของทั้งคู่ยิ้มๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนแปลีกตัว ปล่อยให้หนุ่มสาวทั้ง 2 ได้ยืนอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2

     

                ขณะที่ทางพวกขงเบ้งกำลังเบิกบานกันอย่างมีความสุข สถานการณ์ทางฝ่ายโจโฉกลับตึงเครียด โจโฉกำลังมีโทสะจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่ เผยให้เห็นคิ้วที่ปกติจะอยู่นิ่งๆ ขมวดลงมาหากัน ทำให้หน้าตายด้านของเขาแสดงอารมณ์โกรธออกมาอย่างเห็นได้ชัด

                ขะ ขออภัยขอรับท่านโจโฉ ข้าน้อยได้กระทำผิดอย่างร้ายแรง และ ได้สร้างความอับอายให้กับทัพของเรา ชัวมอคุกเข่าคำนับกล่าวขอโทษขอโผยกันยกใหญ่

                อภัยให้พวกเราเถิดขอรับ เราขอสัญญาว่าเราจะเร่งฝึกทหารให้พร้อมรบ และนำทัพเข้าจัดการพวกมันให้รู้สึกนึก ให้จงได้ขอรับ เตียวอุ๋นทำเช่นเดียวกัน

                พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นอย่างงั้นเหรอ...? โจโฉพูดด้วยใบหน้าตายด้านตาม และ น้ำเสียงอันไร้อารมณ์ปกติของเขา แต่รอบตัวกลับเต็มไปด้วยรังสีมาคุ จิตสังหาร และ ออร่าพยาบาทลอบวนเวียนอยู่รอบตัวโจโฉ สร้างความหวาดกลัวให้ทั้งขุนพล 2 เป็นอย่างมาก เจ้าคิดว่า จะหลอกข้าได้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างงั้นเหรอ!?

                อะ... ทั้ง 2 ถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกโจโฉตวาดใส่ ก่อนที่จะกลับมาตั้งตัวแล้วเอ่ยถามผู้เป็นนายเหนือหัวพร้อมๆ กัน พะ พวกเรา... หลอกอะไรท่านหรือขอรับ?

                เจ้าถามข้างั้นเหรอ...!? โจโฉหันก้มลงมองทั้ง 2 อย่างอาฆาต เจียวก้าน...! เอาให้พวกมันดู...!”

                นี่... เจียวก้านโยนกระดาษจดหมายที่เขาแอบเอามาจากเต็นท์จิวยี่เมื่อคืนก่อน ใส่หน้าขุนพลทั้ง 2 อย่างรังเกียจ

                หือ? ชัวมอ และ เตียวอุ๋นมองท่าทีของโจโฉ เจียวก้าน ร่วมไปถึงขุนพล และ ที่ปรึกษาคนอื่นๆ ที่กำลังมองลงมาที่พวกเขาราวกับกำลังโกรธแค้นอย่างข้องใจ พลางหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอ่าน ก่อนเบิกตาค้างด้วยความตกใจ นะ นี่มันอะไรนี่!?

                ยังจะมาถามอีก!? โจโฉขึ้นเสียงตวาดอีกครั้ง พวกเจ้าคิดคดทรยศต่อข้า...!!”

                ปะ เปล่านะขอรับ!”

                ยังจะกล้าปฏิเสธอีกงั้นเหรอ!? เห็นๆ กันอยู่ว่านั่นลายมือเจ้าชัวมอ!!” โจโฉชี้หน้าด่าไม่ให้ชัวมอได้พูด ไอ้พวกงูเห่าอสรพิษคิดไม่ซื่อ! ข้าอุตสาห์เห็นว่าพวกเจ้าเป็นคนมีฝีมือ จึงรับเข้ามาร่วมกองทัพ! แต่พวกเจ้ากลับคิดจะแว้งกัดข้าโดยร่วมมือกับไอ้เจ้าจิ้งจอกจิวยี่! รู้อย่างนี้แล้วคิดเหรอว่าจะพูดแก้ตัวให้ข้าหลงกลได้อีก!?

                ดะ เดี๋ยวก่อนขอรับ

                เหตุการณ์เมื่อครู่ก็เป็นแผนการให้ลูกธนูแก่ข้าศึกไปสินะ ไอ้พวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย!” โจโฉกราดด่าไม่ยั้งทำเอา 2 คนไม่มีโอกาสให้ได้อธิบาย วันนี้เอาลูกธนูให้พวกมันไป อีกไม่นานก็คงจะเป็นหัวของข้าใส่พานไปส่งถึงที่สินะ!”

                ปะ โปรดฟังก่อนขอรับ!”

                ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น! พวกเจ้าไม่มีค่าพอให้ข้ามองด้วยซ้ำ…!!” โจโฉตวาดเป็นครั้งสุดท้าย ทำเอาทั้งชัวมอ และ เตียวอุ๋นถึงกับตกตะลึงให้ความน่าเกรงขามจากกลิ่นอายอันน่าสะพรึ่งกลัว ที่ทำให้พวกเขาเห็นภาพนายเหนือหัวผู้สุขุม และ เยือกเย็นอันแสนน่าเคารพถูกซ้อนด้วยภาพของปีศาจร้าย ทหาร...! จับพวกมันไว้...!”

                ขอรับ...!!”  เหล่าทหารรอบๆ กรูเข้ามาล๊อคทั้ง 2 ไว้ตามคำสั่ง

                ชัวมอ... เตียวอุ๋น... พวกเจ้ารู้มั๊ย...? ตัวข้า... หลงไหลในสาวงาม และ ผู้มีฝือมือ... แน่นอนว่าทั้ง 2 นั้นต้องเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ และ พักดีต่อข้าผู้เดียวเท่านั้น... โจโฉเอ่ยบอกขุนพลทั้ง 2 ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ว่าใครได้ยินต้องเหงื่อแตกขนลุกซู่ตัวสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว เพราะฉะนั้น... สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือ... คนทรยศ... เอาพวกมันไปประหาร...

                ดะ! ดะ! เดี๋ยว! ขอรับ...!”

                ฟะ ฟังพวกเราก่อน! ขอร้องเถอะขอรับ…!”

                ท่านโจโฉ...!!”

                ฉับ!

              “…” เสียงร้องขอชีวิตของทั้ง 2 สิ้นสุดลง พร้อทกับเสียงลงดาบเสร็จสิ้นการประหาร โจโฉเจ้าของคำสั่งลงดาบมองดูเลือดสีแดงสดที่ค่อยๆ ไหลลงไปยังแม้น้ำ แปรเปลี่ยนให้ผืนน้ำกลายไปสีแดง ขณะเอ่ยกับตัว ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่จะไม่ยอมให้ใครทรยศข้า...

     

    ค่ายกังตั๋ง

                ... จิวยี่ที่ยืนนิ่งเบิกตาค้างพูดไม่ออก เมื่อได้มาเห็นกองเรือของขงเบ้งที่กำลังเทียบท่าให้ทหารของเขาเลาะเอาธนูออกจากหุ่นฟาง และ ส่วนต่างของเรือ มามัดรวมกันเตรียมพร้อมนำส่งให้เขา

                ขอโทษด้วยท่านจิวยี่ ที่จริงข้ากะจะทำให้เสร็จเร็วกว่านี้ แต่ดูเหมือว่าเราจะได้ลูกธนูมามากกว่ากำหนด เลยต้องเสียเวลามากกว่าที่คาดไว้ ขงเบ้งยิ้มอย่างมีชัยให้จิวยี่

                มันเกินกว่าแสนดอกแล้ว ฉันว่าเราเอามามากเกินไป... เทะสึกะกล่าว พลางเดินตรงมาหาจอมปราชญ์ทั้ง 2 หลังได้รับรายงานจำนวนธนูที่ได้จากทหารเมื่อครู่

                ได้ธนูมามากมายขนาดนี้ การรบครั้งนี้เราก็ได้เปรียบโจโฉขึ้นมาอีกอย่าแล้ว โลซกว่า ต้องขอบคุณท่านขงเบ้งจริงๆ ใช่ไหมท่านจิวยี่?

                ใช่... สมเป็นท่านขงเบ้งจริง จิวยี่เอ่ยชมขงเบ้ง ทั้งๆ ที่ในใจกำลังกัดฟันโกรธคิดร้ายอยู่ไม่ละ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่พูด... ขงเบ้ง... เจ้ามันปีศาจชัดๆ

                จะว่าไปท่านจิวยี่... ขงเบ้งพูดเรียกความสนใจของจิวยี่ ข้าได้ยินมาว่าชัวมอกับเตียวอุ๋นถูกโจโฉประหารไปแล้ว... ฝีมือท่านสินะ...

                ท่านพูดเรื่องอะไรงั้นหรือ? จิวยี่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้

                จะว่าไปก็น่าสงสารท่านเจียวก้านเหมือนกันนะ ที่โดนท่านหลอกให้นำจดหมายปลอมฉบับนั้นไปให้โจโฉ... ขงเบ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

                ท่านรู้...?

                ใช่ข้ารู้... คุนิมิทสึก็รู้... มันไม่ใช่อะไรที่จะยากเกินคาดเดา เนาะคุนิมิทสึ? ขงเบ้งว่า

                อืม... เทะสึกะพยักหน้า

                เจ้าพวก... เด็ก... ปีศาจ...จิวยี่ด่าทั้ง 2 ในใจ

                เอ๋~? โลซกคนซื่อ ที่ไม่รู้อะไรกับเขายืนงงอยู่คนเดียว

                น่ากลัวจริงๆ... แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ต้องยอมรับ เธอช่างปราดเปรื่องสมกับฉายาปราชญ์มังกรหลับจริง...จิวยี่กล่าวกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผายมือพร้อมกับเอ่ยเชิญขงเบ้ง กับ เทะสึกะ โลซกท่านช่วยจัดการเรื่องธนูต่อให้ที ข้ากับท่านขงเบ้งมีเรื่องต้องคุยกันซักหน่อย... ท่านขงเบ้ง... เทะสึกะ... เชิญที่เต็นท์บัญชาการ

    เต็นท์บัญชาการค่ายกังตั๋ง

              จิวยี่นั่งเผชิญหน้าขงเบ้งที่มีเทะสึกะเคียงข้างๆ อยู่ตรงโต๊ะเล็กๆ ในเต็นท์บัญชาการรินน้ำชายื่นให้ทั้ง 2 พร้อมกับเริ่มบทสนทนา

                เรากำจัดชัวมอกับเตียวอุ๋นที่น่าจะเป็นปัญหาได้ และ มียุทโธปกรณ์พร้อมที่จะเปิดศึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นความจริงที่ว่า กำลังพลของเรามีน้อยกว่าศัตรูหลายเท่าตัวก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง... เราจะทำยังต่อไปดีท่านขงเบ้ง? จิวยี่เอ่ยถามความเห็นของขงเบ้ง ก่อนยกน้ำชาขึ้นจิบรอฟังคำตอบ ยังซะ... ตอนนี้ศัตรูหลักของเราก็คือโจโฉ... เห็นที่ต้องหยุดเรื่องการจัดการขงเบ้งแล้วหันมาร่วมมือกันก่อนซะแล้ว...

                อืม... ถ้าให้เข้าปะทะกันตรงๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะชนะ ถึงแม้ว่าเราจะได้เปรียบในหลายด้านก็ตาม แต่น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ... ขงเบ้งเอ่ยตอบ กลับร่วมมือกันจัดการกับโจโฉเป็นการพักยกงั้นสินะ... ตามสบาย... ข้ารอได้ไม่ปัญหา ไว้พร้อมเมื่อไหร่อยากเล่นกันต่อข้าก็พร้อมเสมอ...

                'เธอนี่จริงๆ เลยเทะสึกะส่ายหน้าให้ขงเบ้งน้อยๆ หลังอ่านใจขงเบ้งจากอายคอนแทคท์ ขณะที่ยกชาขึ้นจิบ

                เดี๋ยวนี้เก่งขึ้นนะ อ่านใจฉันออกด้วยขงเบ้งเอ่ยชมเทะสึกะทางอายคอนแทคท์

                อะแฮ่ม... จิวยี่แสร้งไอเรียกความสนใจของทั้ง 2 ที่นั่งมองหน้ากันอยู่ ให้กลับมาหาเขาอีกครั้ง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ... พูดถึงไฟ...

                ข้าเข้าใจ... ขงเบ้งเอ่ยปากเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรยืดเยื้อ

                ท่านกำลังคิดเหมือนข้าสินะท่านขงเบ้ง

                ข้าก็กำลังคิดเหมือนท่านแหละท่านจิวยี่

                ไฟงั้นเหรอ?เทะสึกะที่มองทั้งคู่พูดภาษากล้วยหอมจอมซนกัน ตีคิ้วกันอย่างงงๆ หลังจากจิวยี่พูดขึ้นมาว่า ไฟ

                ตกลงตามนี้นะ...จิวยี่กล่าว

                ดำเนินการได้เลย...ขงเบ้งรับคำ

                ... เทะสึกะยังคงมองทั้ง 2 อย่างไม่เข้าใจ

                หึๆๆๆๆๆๆ... ทั้ง 2 คนหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกันๆ

    เต็นท์เสบียง ค่ายกังตั๋ง

              เอาล่ะ... งานวันนี้ก็จบลงได้ด้วยดี โออิชิพูดกับตัวเองหลังเสร็จสิ้นการตรวจตราเสบียง และ ยุทโธปกรณ์ประจำวัน

                ขยันเหมือนเดิมเลยนะ โออิชิ ฟูจิที่เดินมาพร้อมกับโมโมะ ไคโด และ คาวามูระ เอ่ยทักโออิชิ

                เอ๋~? แปลกนะเนี่ยที่เห็นพวกนายเดินมาด้วยกันอย่างงี้ นัดกันมาเหรอ? โออิชิว่า

                เปล่าหรอก ฉันช่วยคุณเสี่ยวเกี้ยวดูทหารเจ็บอยู่พอดีสมุนไพรระงับความเจ็บมันหมดเลยอาสามาเบิกเพิ่ม ก็เลยมาเจอโมโมะ กับ ฟูจิเดินที่เล่นด้วยกัน และ ก็ไคโดที่กำลังจ๊อกกิ้งประจำวันพอดี เลยตกลงกันว่าจะแวะมาทักนายซะหน่อย คาวามูระบอก

                งั้นเองเหรอ?โออิชิพยักหน้าเข้าใจ

                หื~ม? ไคโดที่จู่ก็มีท่าทีแปลกๆ อุทานขึ้นมา

                มีอะไนเหรอเจ้าอสรพิษ? โมโมะเอ่ยถาม

                นั่น... รุ่นพี่... คิคุมารุ ใช่มั้ย? ไคโดชี้ไปบนเนินหลังเต็นท์ที่ปรากฏภาพของคิคุมารุ ที่กำลังแบกลิบองเดินตรงมายังพวกเขา แต่แล้ว

                ตึก! โครม!

              เฮ้ย!” ทั้ง 4 ร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อคิคุมารุทรุดลงไปกับพื้น ก่อนทั้งตัวเขา และ ลิบองจะกลิ้งลงนอนอยู่ใกล้ๆ กับพวกเขา

                เอจิ!/รุ่นพี่!” ทั้ง 4 วิ่งเข้ามาหาคิคุมารุ และ ลิบองที่นอนหอบอยู่กับพื้น ด้วยสภาพสะบักสะบอมที่เต็มไปด้วยบาดแผล และ รอยช้ำ

                เอจิ! เอจิ! เกิดอะไรขึ้นเอจิ!? โออิชิที่ประคองคิคุมารุขึ้น เอ่ยถามขณะเขย่าตัวเพื่อนซี้ของเขาเบาๆ

                อ... โอ... โออิชิ... คิคุมารุที่สติกำลังเลือนลางหายไป ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพูดกับโออิชิ อิ... อินูอิ... ถูก... ขุนพล... ของโจโฉ... จับตัว... ไป...

                อะไรนะ!” ทั้ง 4 เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

                เออ... สิ้นสุดคำพูดสุดท้ายคิคุมารุก็หมดสติลงในอ้อมแขนของโออิชิ

                เดี๋ยวก่อน! เอจิ! เอจิ! เอจิ...!!!”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×