คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Match 11ช่วงพักของเหล่านักรบ งานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธ์
Match 11
ช่วงพักของเหล่านักรบ
งานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธ์
ทัพโจโฉ ตรงข้ามผาแดง
“ยืนให้มั่นคง วางน้ำหนักเท้าให้เท่ากัน ปล่อยตัวโคลงไปตามเรืออย่าไปฝืนมัน เอาล่ะ ฝึกฟัน 100 ทียกที่ 10…!” ชัวมอที่กำลังฝึกทหารให้รบบนเรือ ออกคำสั่ง ขณะเดินดูทีท่าของทหารทีละแถว “เริ่มได้...!”
“1...!!! 2…!!! 3…!!!” ทหารปฏิบัติตามคำสั่ง
“เป้าอยู่ข้างหน้า เล็งให้ดี ยังไม่ต้องรีบ รอจังหวะดีๆ ก่อน...” เตียวอุ๋นที่กำลังฝึกพลธนูกล่าวอธิบาย “เอาล่ะ ฝึกยิงเป้านิ่งยกที่ 8...! เริ่ม…!”
“ดูเหมือนทางนี้เป็นไปได้ด้วยดีนะขอรับ” ที่ปรึกษาปรำตัวโจโฉว่า
“อืม... อย่างที่ข้าไว้ ข้าไม่ห่วงทางนี้หรอก...” โจโฉที่หยุดยืนดูทัพเรืออยู่กับที่ปรึกษา และ ขุนพลที่คอยคามอารักษ์ขาครู่หนึ่ง ว่าขึ้น ก่อนเริ่มเดินไปยังจุดหมายต่อไป
“อาการเป็นไงบ้างหมอ?” โจโฉที่เดินเข้ามาในที่พักฟื้นของเหล่าทหารที่ติดโรค ไข้รากสาดน้อย ซึ่งนอนร้องโอดโอยกันอยู่อย่างน่าสงสาร
“โอ้! ท่านโจโฉ!” หมอที่กำลังดูแลคนไข้อยู่รีบวางมือก่อนตรงเข้ามาหาโจโฉ “เอาผ้าพันมือ และ ใบหน้าไว้ก่อนขอรับ ไม่งั้นพวกท่านอาจจะ”
“พวกข้าอาจจะติดโรคได้ ชัวมอ เตียวอุ๋น และ เจ้า บอกข้าหลายรอบแล้ว” โจโฉเอ่ยปัดอย่างหน่ายๆ ขณะหยิบผ้าสีขาวสะอาดมาโพกหน้า และ คลุมมือไว้ เช่นเดียวกับที่ปรึกษา และ ขุนพลคนอื่นๆ “เอาล่ะ รายงานมาซิ”
“แย่มากขอรับ ผู้ป่วยที่มาจากเกงจิ๋วส่วนใหญ่หายแล้ว เหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั่น คงเป็นเพราะนี่เป็นโรคประจำดินแดนของพวกเขา ทำให้พวกเขามีภูมิคุ้มกันค่อนข้างสูง” หมอประจำทัพ เริ่มอธิบาย “แต่กับทหารที่มาจากฮูโต๋มันอีกเรื่องหนึ่ง”
“โอ๊~ย...!” นายทหารที่อยู่ใกล้ๆ คนหนึ่งร้องขึ้นมา
“เจ้าน่ะ! เอาสมุนไพรบรรเทาพิษไข้มาทางนี้เร็ว!” หมอประจำทัพเอ่ยสั่งทหารอาสาสมัคดูแลคนป่วยที่กำลังเช็ดตัวให้คนไข้ใกล้ๆ อยู่ ก่อนหันกลับมารายงานต่อ “ทหารของเราส่วนใหญ่มาจากทางเหนือ ทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคทางพื้นที่แถวนี่ต่ำจนถึงต่ำมาก บางคนถึงกับไม่มีเลย ทำให้ทหารเกือบ 1 ใน 5 ของเราอยู่ในอาการขั้นรุนแรง ส่วนที่เหลือก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ นับวันผู้ป่วยยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนข้าหวั่นใจ”
“ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นได้ยังไง!? ก็พวกเราสั่งทหารในทัพแล้วนี่ว่าให้ดื่มน้ำต้มสุก และ ดูแลความสะอาดของตัวเองให้ดี!” หนึ่งในขุนพลว่า
“ท่านขุนพล... คนมากยากแก่ดูแล มีคนทำตามก็มีคนละเลย ไม่ใช่ทุกคนที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างเคร่งครัด” หมอประจำกองทัพว่า “อีกอย่าง ถึงต่อให้ทุกคนในกองทัพปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็ตาม หากมีใครซักคนติดโรคขึ้นมา กว่าอาการแสดงออกมาให้เห็น เขาก็อาจจะแพร่เชื้อโรคไปติดคนอื่นอีกนับไม่ถ้วนแล้ว โปรดเข้าใจด้วยว่าโรคภัยไข้เจ็บ มันร้ายแรงยิ่งกว่าใบมีด คมดาบ ปลายหอก หรือ อาวุธใดๆในโลก”
“ข้าเห็นด้วย...” โจโฉว่าขณะรับสมุนไพรบรรเทาพิษไข้ในกาน้ำที่นายทหารอาสาเอามาให้หมอ มารินใส่ถ้วยแล้วป้อนให้ทหารที่ร้องโอดครวญด้วยความทรมานคนนั้น
“ท่านโจโฉ ไม่ได้นะขอรับ” หมอประจำทัพเอ่ยห้าม
“ทะ ท่านโจโฉ... อย่าขอรับ... เดี๋ยวท่านติดเชื้อ...” นายทหารเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อผู้นายเหนือหัวลดตัวลงมาป้อนยาตน ก่อนเอ่ยห้ามด้วยความกลัวว่าผู้นำแห่งกองทัพจะติดเชื้อจากตน
“ไม่เป็นไร... ถ้าไม่สัมผัสโดยตรงก็ไม่ติดไม่ใช่เหรอ?” โจโฉหันไปมองหน้าหมอที่พยักหน้าตอบ แต่ก็ไม่อยากให้นายของตนไปเสี่ยง ถึงอย่างนั่นก็ทำได้แค่เพียงค่อยดูอยู่อย่างเป็นห่วง
“ข้าผิดเองล่ะ... ข้าพาพวกเจ้ามาที่นี่ หวังจะมาพิชิตดินแดนทางใต้เพื่อรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง แต่ไม่ยอมตรวดสอบให้ละเอียดก่อนว่ามีภัยอันตรายอะไรจะคอยคุกคามเราที่นี่... ยกโทษให้กับความสะเพร่าของข้าด้วย” โจโฉที่เอ่ยด้วยหน้าตายด้าน และ น้ำเสียงเย็นชา แต่ภายในเสียงเย็นชานั่นกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ ที่ทำเอาทหารที่เขาป้อนยาอยู่ และ ทหารรอบๆ ที่ได้ยินถึงกับน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งในความเมตตาที่ได้รับจากผู้เป็นนายเหนือหัว
“ไม่ใช่ขอรับ…!!!” ทหารที่รับยาจากโจโฉ และ ทหารรอบๆ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่แทบไม่มีเหลืออยู่เพราะพิษไข้ ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าก้มหัวลงคำนับโจโฉด้วยความตื้นตัน “เป็นความผิดของพวกเราเองขอรับ...!!! หากเราระวังดูแลตัวเอง ไม่ปล่อยตัวให้ตกเป็นเหยื่อของโรคนี่ก็คงไม่เป็นแบบนี้...!!! ขออภัยด้วยขอรับ...!!!”
“ไม่เป็นไร... เราล้วนผิดด้วยกันทั้งหมด...” โจโฉว่าพร้อมกับใบหน้าตายด้านที่แผงไปด้วยรอยยิ้ม “แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเจ้าต้องรีบพักผ่อน และ รักษาตัวให้หาย เมื่อใดที่ข้าพิชิตทัพข้าศึกศัตรู ณ ดินแดนทางใต้ได้นี้เมื่อไหร่ ข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปรับบำนาญที่เหมืองหลวง คอยดูเถิด ข้าจะนำชัยชนะมาฝากพวกเจ้าให้จงได้...”
“ท่านโจโฉ...!!! พวกเราจะรีบรักษาตัวให้หาย แล้วเข้าร่วมรบกับท่านให้จงได้ขอรับ...!!!” เหล่าทหารที่เคยโอดครวญด้วยความเจ็บปวด หมดเรี่ยวหมดแรงเพราะพิษไข้ ต่างมีกำลังใจขึ้นมาด้วยคำพูดปลุกของโจโฉในทันที
“เอาล่ะๆ! ถ้าอยากหายไวๆ ก็อย่าฝืนร่างกาย! นอนลงพักผ่อนซะ!” หมอประจำกองทัพสั่งพร้อมกับร้อยยิ้มแห่งความนับถือที่มีให้แก่นายท่านของตน
“ที่เหลือข้าฝากด้วยนะ ท่านหมอ…” โจโฉกล่าว
“ด้วยความยินดีขอรับ...” หมอก้มลงคำนับด้วยความเลื่อมใส
“พวกเรากลับกันได้แล้ว...” โจโฉว่า ขณะถอดผ้าป้องกันออกวางไว้ที่เก็บผ้าปิดหน้าใช้แล้ว ก่อนเดินนำเหล่าขุนพล และ ที่ปรึกษาของตนออกจากที่พักฟื้นทหารติดโรค
“แล้ว... พวกเราจะเอายังไงต่อขอรับท่านโจโฉ?” หนึ่งในที่ปรึกษาถาม
“ตอนนี้เราก็ได้แต่รอคอยผลการฝึกทหารของชัวมอ และ เตียวอุ๋นเท่านั่น จนกว่าจะพร้อม พวกเราคงได้แต่รอคอยเท่านั่น...” โจโฉว่า “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ติดโรคปีศาจนี่ด้วย”
“ขอรับ...!! ขอพระคุณขอรับ...!!” ว่าจบทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักตามอัธยาศัย
“เออ... ท่านโจโฉ?” แฮหัวเอี่ยนที่เพิ่งพ่ายศึกกลับมาเอ่ยเรียกโจโฉ “คือ... ข้า...”
“...” โจโฉหันมาสบตาแฮหัวเอี่ยนเงียบๆ ก่อนพูดขึ้น “มาคุยทางนี้ดีกว่า...”
“อะ~เอ๋?” เเฮหัวเอี่ยนทำหน้างง
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าไปเจออะไรในค่ายกลนั่นมาบ้าง” โจโฉว่าขณะเดินนำแฮหัวเอี่ยนเข้ามานั่งคุยกันที่ริมแม่น้ำ “ไหนเล่าให้ข้าฟังหน่อยซิ...”
ค่ายกังตั๋ง ใต้ผาแดง
“หึ... เป็นอย่างที่ท่านว่าจริงๆ ท่านขงเบ้ง... โจโฉไม่เข้ามาบุกพวกเราเพราะคนของเขายังไม่พร้อม... มิหน่ำซ้ำทัพของเขายังติดโรคไข้รากสาดน้อยอีกต่างหาก...” จิวยี่กล่าวด้วยความพอใจ “นับเป็นโชคดีของเราก็ว่าได้...”
“ไม่หรอกท่านจิวยี่...” ขงเบ้งกล่าว “แม้โจโฉจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่มีข้อเสียอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายคือ ความขี้ระแวง... เพียงแค่เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลเล็กๆ น้อยๆเขาก็จะสั่งให้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว... จริงอยู่ที่มันทำให้การทำงานของเขาละเอียดรอบคอบ แต่บางครั้งมันก็มากเกินไปจนทำให้เขามีปัญหาอยู่เรื่อย.... ครั้งนี้ไม่ใช่โชคหรอกท่านจิวยี่... โจโฉมอบชัยชนะในการปะทะกันครั้งแรกนี้ให้เราต่างหาก...”
“หึๆ! ท่านขงเบ้งกล่าวได้ถูกใจข้าจริงๆ... สมชื่อปราชญ์มังกร สามารถวิเคราะห์ และ มองคนได้อย่างถี่ถ้วน มิหนำซ้ำยังคาดการความเป็นไปได้อย่างแม่นยำ ข้านับถือ” จิวยี่หัวเราะด้วยความพอใจ แสร้งทำเป็นโค้งคำนับอย่างนอบน้อม แต่ในใจก็กำลังคิดระแวงขงเบ้งซึ่งเป็นพวกเดียวกันเช่นเดียวกับที่ว่าให้โจโฉ ‘หึ... น่ากลัวจริงๆ... คนอะไรสามารถคิดการได้ขนาดนี้ กำลังทหาร กลศึก การวางทัพ มาจนถึง การคาดการข้าศึก ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ... ขงเบ้ง เจ้าเป็นตัวอันตรายจริงๆ...’
“อืม... ตอนนี้เราให้ทหารของเราพักผ่อนกันก่อนเถอะ ฝากท่านจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยด้วยนะ ข้าจะไปดูอาการเรียวมะซะหน่อย” ขงเบ้งว่าก่อนเดินออกจากเต้นบัญชาการที่เธอกับจิวยี่ยืนคุยกันตรงไปยังที่พยาบาลทหารบาดเจ็บ พร้อมกับความคิดแสนใจเล่ห์ในใจ ‘หื~ม… กลัวข้าขึ้นมาแล้วงั้นเหรอจิวยี่...? หึๆๆ... แย่จังนะ... ไปที่ไหนก็มีแต่คนคอยระแวงเนี่ย... แต่... มันก็สนุกดีนะ หึๆๆ...’
“...” จิวยี่มองตามหลังขงเบ้งที่เดินจากไป ก่อนหันกลับมานั่งลงที่เก้าอีกใกล้ๆ แล้วเอากำปั้นอุดปากนั่งมองกระดานแผนที่ ซึ่งตั้งไว้อยู่ตรงหน้า พร้อมกับคบคิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ของตน ‘มาคิดๆ ดู คนที่ได้ประโยชน์จากศึกนี้มากที่สุดเห็นที่จะเป็น...เล่าปี่... กำลังส่วนใหญ่ก็เป็นของเรา ถึงเล่าปี่จะนำพลมาสมทบแต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ที่แบ่งมาจากกังแฮ... หากการรบดำเนินต่อไป ไม่ว่าใครจะชนะก็ตาม คนที่ได้ดีมากที่สุดก็คงจะเป็นฝ่ายขงเบ้ง... อืม... อย่างนี้ไม่ดีแน่...’
“ท่านจิวยี่ขอรับ ท่านโลซกมาพบขอรับ” ทหารเฝ้าหน้าเต้นออกมารายงาน
“เชิญเข้ามา” จิวยี่ตอบรับ
ที่พยาบาลทหารบาดเจ็บ
“จ๊า~ก...!!”
“จะบ้าเหรอ? แค่เอาผ้าเช็ดรอบแผล ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย!” หนึ่งในทหารพยาบาลเอ่ยว่าเพื่อนร่วมทัพที่ร้องออกมาราวกับถูกช้างเหยียบเท้า
“กะ ก็... มันแสบนี่นา!” นายทหารคนนั่นเถียง
“ถุย! แค่แผลเข่าถลอก (เข่าถลอกถึงกับต้องมาทำแผลเลยเหรอ?) แค่นี้อะนะ!?” นายทหารพยาบาลว่า “แผลแค่นั่นเอง! เด็กถูกแทงยังไม่สำออยร้องเหมือนเจ้าเลย!”
“เด็กไหน!? ถ้ามีจริงข้ายอมเข้าเวรทำงานแทนเจ้าจนจบศึกเลยเอา!” นายทหารจอมสำออยเอ่ยท้า
“นั่นไง...” นายทหารพยาบาลชี้ไปที่พยาบาลนายกอง และ ขุนพล
“เจ็บนะฮะ...” เอจิเซนบ่นเบาๆ ขณะปล่อยให้เสี่ยวเกี้ยวค่อยๆ บรรจงเย็บแผลที่แขน และ ไหล่ขวาของตนอย่างประณีต และ เบามือ
“โทษทีจ๊ะ ทนหน่อยนะ...” เสี่ยวเกี้ยวว่า
“เออ...” นายทหารสำออยถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเปรี่ยบเทียบทั้งอายุ ร่างกาย และ บาดแผล... ไม่มีส่วนไหนเลยที่เขาจะเทียบได้ ทำเอาหน้าเสียไปในทันที
“เอานี่” นายทหารพยาบาลโยนกะละมัง และ ผ้าเช็ดแผลให้นายทหารที่เถียงกับตนอยู่ทันที “ขอบใจที่เสนอ ทำหน้าที่ให้ดีด้วย”
“กรรม...” หลังมองเพื่อนผู้ชนะพนันเดินจากไป นายทหารจอมสำออยก็หยิบกะละมังไปเช็ดแผลคนอื่น เป็นการสำนึกความน่าสมเพชของตน
กลับมาที่เอจิเซน กับ เสี่ยวเกี้ยวที่มีเหล่าเซงาคุยืนล้อมรอบอยู่ห่างๆ
“เอาล่ะ เสร็จแล้ว” เสี่ยวเกี้ยวที่เอาผ้าพันแผลพันรอบแขนเอจิเซนจนเสร็จเอ่ยขึ้นขณะเอาแขนเสื้อเช็ดเหงื่อตัวเอง ก่อนเอาผ้าบางเนื้อนุ่มที่เตรียมไว้ พันรอบแขนเอจิเซนแล้วเอาไปห้อยไว้ที่คอเป็นที่พักแขน “ดีนะ ที่คมดาบทะลุผ่านมีแค่เนื้อ ไม่โดนกระดูก ส่วนหัวไหล่ก็โดนโดนเฉือนแค่ปลายๆ เหมือนโดนมีดบาด ถ้าอยากหายเร็วๆ ก็พยายามอย่าใช้แขนขวานะ ถ้าไม่ขยับได้ยิ่งดี”
“ฮะ...” เอจิเซนตอบรับ
“ขอบคุณ คุณเสี่ยวเกี้ยวเขาสิ เอจิเซน...” เทะสึกะบอก
“ขอบคุณฮะ...” เอจิเซนเอ่ยตามกัปตันอย่างว่าง่าย
“แต่คุณเสี่ยวเกี้ยวนี่ใจดีนะครับ เป็นถึงภรรยาคุณจิวยี่ที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ก็ยังลดตัวลงมาช่วยพยาบาลพวกเราด้วย” โออิชิเอ่ยชม
“แห~ม ก็ฉันออกรบไปไม่เป็นกับเขา ที่พอจะช่วยทำได้ก็มีแค่นี้” เสี่ยวเกี้ยวว่า
“ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้วค่ะท่านหญิงเสี่ยวเกี้ยว” ขงเบ้งกล่าวขณะเดินถือพัดประจำตัวเดินเข้ามาหาพวกเซงาคุ
“อ้า~ว? ขงเบ้งหารือกับท่านจิวยี่เสร็จแล้วเหรอ?” อินูอิถาม
“อื้ม ที่เหลือท่านจิวยี่จะเป็นคนจัดการเอง” ขงเบ้งตอบก่อนก้มลงถามเอจิเซนที่นั่งมองเธอพร้อมกับแขนที่บาดเจ็บด้วยความมาดแมนปนความบ้าดีเดือดที่กระโดดเข้าไปขวางดาบโดยไม่ลังเล “เป็นไงบ้างเรียวมะ?”
“ก็งั้นๆ แหละฮะ...” เอจิเซนตีหน้านิ่งตอบ
“เจ็บก็บอกว่าเจ็บเหอะ ทำเท่อยู่ได้” โฮริโอะเอ่ยกัดนิดๆ
“หึ! ก็ดีกว่านายแลหะ แค่เจออะไรนิดหน่อยๆ แล้วร้องโหวกเหวกโวยวายเหมือนเด็กๆ ท่านเรียวมะเขาไม่สำออย” โทโมกะเป็นเดือดเป็นร้อนแทน
“ฉันไปร้องโวยวายตอนไหน อ๊า~ก...!” ยังไมทันได้เถียงจบโทโมกะก็เหยียบลงไปที่ปลายนิ้วก้อยเท้าของโฮริโอะเต็มแรง เล่นเอาเจ้าตัวร้องลั่น “มันเจ็บนะ! ทำอะไรของเธอน่ะโอซาคาดะ!”
“เห็นมั้ยโวยวายเป็นเด็กๆ เลย ท่านเรียวมะถูกแทงยังไม่ร้องอะไรเลยซักแอะ” โทโมกะเอ่ยเย้ยทันที
“เล่นเหยี่ยบกันตรงๆ อย่างงี้ใครจะไม่ร้องเจ็บล่ะยัยบ้า!” โฮริโอะโวยตอบทันที
“ไม่เอาน่าโฮริโอะคุง เราอยู่ในที่พักคนบาดเจ็บนะ” คาจิโร่ และ คัทสึโอะปราม
“โทโมะจังก็ด้วยนะ...” ฝ่ายซากุโนะก็เอ่ยห้ามเพื่อนสาวของตน
“เชอะ!” ทั้งโฮริโอะ และ โทโมกะสะบัดหน้าค้อนใส่กัน
“ฮะๆๆ...” เสี่ยวเกี้ยวที่มองพวกเขาอยู่หัวเราะอย่างเอ็นดู
“ฮ่าๆๆ...!” เหล่าเซงาคุหัวเราะไปตามๆ กัน
“เออ... จะว่าไป แล้วพวกเราต้องทำอะไรต่อรึเปล่า?” ฟูจิถามแทรกขึ้นมา
“อืม... ในระหว่างนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก แค่คอยฝึกทหารกองของพวกเรา และ ผลัดเวรคุมทหารเฝ้าค่ายก็เท่านั้น” ขงเบ้งเอ่ยตอบ
“แล้วเราไม่ต้องไปรบกับโจโฉงั้นเหรอ?” คาวามูระถามขึ้นอีกคน
“อย่างที่บอกไว้ตอนประจำทัพคราวก่อน โจโฉมีกำลังทัพมากกว่าพวกเรา พวกเราเข้าโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีแต่ค่อยระวังป้องกันค่ายระหว่างที่ท่านจิวยี่กับฉันคิดแผนการไปรบกับพวกมัน” ขงเบ้งตอบพร้อมเสร็จสรรพ “ตอนนี้พวกเธอก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัยเถอะ”
“ครับ.../อื้ม.../ค่ะ.../ฮะ...” เหล่าเซงาคุตอบพร้อมกัน
“คืนนี้ท่านซุนกวนจัดเลี้ยงให้พวกเธอที่นำทัพของเราชนะศึกวันนี้ นี่ก็จะเย็นแล้ว เดี๋ยวสักพักอาบน้ำอาบท่า แล้วไปทานมือเย็นที่เต็นท์บัญชาการนะ” ขงเบ้งว่า
“งานเลี้ยงเหรอยอดเลย!” โมโมะว่าขึ้น
“จะกินให้พุงกางเลยแง่~ว!” คิคุมารุสมทบ
“พวกนายนี่น้~า...” โออิชิว่ายิ้มๆ
“แหม อย่างงี้ฉันต้องปรุงให้สุดฝีมือแล้วสิ” เสี่ยวเกี้ยวเอ่ยขึ้น
“เอ๋~? คุณเสี่ยวเกี้ยวเป็นคนทำอาหารเหรอครับ?” ฟูจิเอ่ยถาม
“ใช่จ๊ะ” เสียวเกี้ยวตอบ “เดี๋ยวฉันก็ต้องเข้าครัวแล้ว”
“เออ... งั้น... ผมไปช่วยได้มั้ยครับ?” คาวามูระเสนอตัว
“ได้สิจ๊ะ” เสียวเกี้ยวยิ้มรับ “ชอบทำอาหารเหรอจ๊ะ?”
“บ้านเขาเป็นร้านอาหารน่ะครับ ตอนนี้เขากำลังเตรียมตัวรับช่วงต่อกิจการของทางบ้าน คุณเสี่ยวเกี้ยวไว้ใจในฝืมือได้เลยครับ” อินูอิว่า
“ดีเลย ฝากตัวด้วยนะจ๊ะ” เสี่ยวเกี้ยวกล่าว
“ครับ” คาวามูระเกาหัวตอบหงิมๆ
“พวกเราก็ขอช่วยด้วยนะคะ” โทโมกะจับมือซากุโนะว่าตามไป “เนาะซากุโนะ”
“อะ อื้ม” ซากุโนะตอบรับ
“งั้นก็มาด้วยกันเลยนะ” เสี่ยวเกี้ยวว่าก่อนลุกขึ้นยืนเตรียมเดินนำทั้ง 3 ไป
“ดีล่ะ ต้องทำอาหารมาอร่อยๆ มาให้ท่านเรียวมะท่านให้ร่างกายดีขึ้นเร็วเลย ใช่มั้ยซากุโนะ!” โทโมะกะเอ่ยขึ้นอย่างไม่อายใคร
“โทโมะจัง...” ซากุโนะเอ่ยชื่อเพื่อนตนอย่างอายๆ ก่อนพากันเดินตามเสี่ยวเกี้ยวไปที่ทำครัวของค่าย
“งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปดีกว่า” โออิชิว่า
“ไปเดินเล่นกันเหอะ โออิชิ” คิคุมารุว่า ก่อนลากเพื่อนหัวไข่ของเขาไปด้วยกัน
“ฉันก็...” อินูอิขยับแว่นเล็กน้อยทำให้แสงส่องลงมากระทบกับเลนส์สะท้อนแสง วิ้~ง! ออกมาแวบหนึ่ง ก่อนเดินจากไปพร้อม ดินสอ และ สมุดประจำตัวของตน ทำเอาคนอื่นเหงื่อตกไปตามๆ กัน “ไปเก็บข้อมูลหน่อยดีกว่า....”
“ฉันก็ไปหาทำเลนั่งดูบรรยากาศริมน้ำหน่อยดีกว่า” ฟูจิเอ่ยก่อนเดินปลีกตัวออกไปหาจุดชมวิวเพื่อความสุนทรีย์ของตน
“พวกเราก็ไปเดินเทียวมั้งปะ” โฮริโอะเอ่ยชวนเพื่อนทั้ง 2
“อื้ม” ว่าจบทั้ง 3 ก็เดินจากไปอีกกลุ่มหนึ่ง
“ชู่ว์...” เดินจากไปไคโดไม่พูดอะไร
“ไม่บอกก็รู้ คนบ้าฝึกอย่างนั้นก็คงเปลี่ยนชุดออกไปวิ่งรอบค่ายแหงมๆ” โมโมะว่าขณะมองดูคู่กัดของตนเดินจากไป “เนาะ เอจิเซน อ้า~ว?”
“ผมไปสูดอากาศรอบๆ หน่อยนะฮะ” เอจิเซนยืนบอกเทะสึกะ
“อย่าฝืนร่างกายนักล่ะ” เทะสึกะตอบก่อนปล่อยให้รุ่นน้องตนเดินจากไป
“ทิ้งกันเห็นๆ เลย...” โมโมะเอ่ยเซ็งๆ ยกมือขึ้นประสานกันที่ท้ายทอย ก่อนเดินจากไปอย่างงอนๆ “เราก็ไปพักของเราดีกว่า…”
“ไปกันหมดแล้ว...” ขงเบ้ง เทะสึกะที่ยังคงยืนอยู่ด้วยกันกับเทะสึกะว่าขึ้นก่อนเงยหน้ามองเทะสึกะ “แล้วเราไปทำอะไรกันดี?”
“เธอจะไปนั่งดีดพิณที่เรืออีกมั้ยล่ะ?” เทะสึกะถามนิ่งๆ
“อืม... ไม่ดีกว่า...” ขงเบ้งตอบเรียบๆ
“งั้นจะทำอะไรล่ะ?” เทะสึกะถามเรียบๆ
“อืม... นั่นสิ...” ขงเบ้งเอาพัดปิดปากทำท่าคิด “ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำซะด้วย.... นึกออกแล้ว!”
“หื~ม?” เทะสึกะยืนรอฟัง
“ไปที่ลานหลังค่ายด้วยกันหน่อยสิ” ขงเบ้งว่า
“หา?” เทะสึกะเอ่ยงงๆ
“มาด้วยกันเหอะน่า” ขงเบ้งไม่ว่าเปล่าดึงมือเทะสึกะไปด้วยกันทันที
บนเนินใกล้ๆ กับผาแดง
“เอาล่ะ…! ทางนี้เสร็จแล้ว กลับครัวกันเถอะ” โทโมกะ ที่ออกมาตักน้ำเอ่ยบอกซากุโนะ ขณะวางถังน้ำลงที่ข้างบ่อน้ำข้างล่างเนิน
“อื้ม” ซากุโนะว่าขณะวางถังลงที่เดียวกัน ขณะนั่นสายตาของเธอก็ไปสุดเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่บนเนินโดยบังเอิญ “เอ๋~?”
“มีอะไรเหรอซากุโนะ?” โทโมกะเอ่ยถามเพื่อนสาว
‘แค่มีมือฝีมือมากกว่าทหารกระจอกๆ คนอื่น ริอาจมาสู้กับขุนพลงั้นเหรอ จะหลงตัวเองไปหน่อยแล้ว...!’
‘อ่อนหัดเกินไปแล้วนะเธอ...’
‘ลูกคิดบ้าอะไรอยู่...!!’
‘นายหญิงน้อย... นายท่านขอให้ข้าคุยกับท่าน...’
“...” ซีซิงนั่งกอดเข่ามองภาพสายน้ำเบื้องล่าง ขณะนึกย้อนภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เธอได้เผชิญมาเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งตอนที่เธอเสียท่าให้แฮหัวเอี่ยนอย่างย่อยยับ... ทั้งภาพของเอจิเซนที่กระโดดเข้ามาปกป้องเธอ... ทั้งภาพผู้เป็นพ่อฟาดมือตบหน้าเธอด้วยความโกรธ ก่อนดึงเธอเข้าไปกอดด้วยความเป็นห่วงเกินจะบรรยาย แม้จะไม่แสดงออก แต่ร่างทั้งร่างนั่นสั่นเทาราวกับกำลังร้องไห้ และ ภาพของจิวยี่ที่พ่อของเธอขอร้องให้พูดอบรมเธอแทนเขาซึ่งยังคงกังวลแทบคลั่งจนไม่เป็นอันพูดอะไรได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล
หลังทัพพันธมิตรเล่า-ซุนเดินทางกลับมายังค่าย ณ ผาแดง เหล่าขุนพลส่วนหนึ่งก็แยกย้ายกันคุมทหารเข้าประจำการ ส่วนหนึ่งก็นำทหารที่บาดเจ็บไปทำการพยาบาล และ อีกส่วนหนึ่งก็แยกย้ายกันพักผ่อนรอผลัดเวรประจำการ ฝ่ายซุนซีซิงก็เดินเข้าเต็นท์บัญชาการมาให้จิวยี่อบรมเธออย่างนุ่มนวล และ ใจเย็น อย่างที่รู้ คนที่เป็นนักรบ และ นักปราชญ์ระดับสูง มักสามารถอ่านความรู้สึกคนของผู้อื่นออก ทำให้รู้ได้ว่าตอนนี้นายหญิงน้อยของเขากำลังสับสน...
หลังเสร็จสิ้นการอมรม ไหนๆ ซีซิงก็มาอยู่ที่นี่แล้ว จิวยี่จึงยื่นข้อเสนออนุญาติให้ซีซิงอยู่ในค่ายนี้ได้จนกว่าสงครามจะสิ้นสุด หรือ ทัพมีท่าทีที่จะผ่ายแพ้ ในระหว่างนั่นเธอสามารถฝึกทหารในกองทัพอย่างที่เธอทำตอนแฝงตัวเข้ามา หรือ จะช่วยเหลือเรื่องอื่นๆ ที่ทำประโยชน์ให้ทัพยังไงก็ได้ หากเธอยอมรับเงื่อนไข ห้ามออกศึกหากไม่ได้รับอนุญาติจากเขา
ถึงแม้จะยังคงสับสนอยู่ แต่ซีซิงก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลง เธอยังต้องการร่วมศึกนี้จนถึงที่สุด อย่างน้อยถึงจะไม่ได้จับอาวุธออกศึก แต่อย่างน้อยก็ยังพอทำตนให้เป็นประโยชน์ก็ยังดี
เมื่อลงนามในหนังสือรับรองคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จิวยี่ก็ปล่อยให้ซีซิงไปพักผ่อน ทำให้เธอมาจบลงบนเนินแห่งนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอเฝ้าฝันอยากเป็นนักรบที่ได้ออกศึกสู้กับศัตรูเพื่อนำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูล นั่นทำให้เธอเฝ้าฝึกฝนฝีมือด้วยความมานะบากบั่น หวังว่าซักวันเธอจะมีโอกาสได้ทำตามความฝัน แต่เมื่อถึงเวลาที่มีโอกาส เธอกลับทำมันพัง... ด้วยความประมาท... ด้วยความลำพองว่ามีฝีมือเหนือกว่าทหารนับร้อยในทัพของเธอ... เธอคิดข้าศึกฝ่ายศัตรูก็คงไม่ต่างกัน แต่พอมาเจอเข้าจริง... เธอจึงได้รู้... ว่าเธอคิดผิด…
‘เรามันบ้า...’ ซีซิงตำหนิตัวเองในใจ น้ำตาแห่งความเสร้าค่อยไหลอาบแก้มลงมาเช็ดหัวเข้า ท่ามกลางบรรยากาศแสนเศร้าของตะวันที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไป ‘คิดจะออกสู้ศึกอย่างท่านปู่กับท่านลุง คิดจะเป็นวีรชนอย่างพวกท่าน คิดจะทำตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่ถูกจารึกลงในประวิติศาสตร์ของแผ่นดิน... แต่เรา... กลับทำได้เพียงแค่นี้...’
ฉึบ...
‘ทำไมกัน...? เราฝึกฝนมาเป็นอย่างดีนี่นา... เราทั้งฝึกร่างกาย ทั้งเพลงดาบ ฝึกทั้งการเตรียมใจในการต่อสู้ แม้แต่การฝึกฆ่าเสือเพื่อท้าทายความกล้าตามแบบฉบับของนักรบในตระกูลก็ทำมาแล้ว... แล้วทำไมกัน...? ทำไม...? ทำไมกัน...?’ ซีซิงเอ่ยถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยความสับสน
‘ซีซิงลูกเป็นผู้หญิงนะ จะไปออกรบเหมือนท่านปู่ กับ ท่านลุงได้ไง?’
‘เพราะงั้นเหรอ...?’ ซีซิงที่เหมือนจะได้คำตอบเมื่อภาพความหลังสิ่งที่พ่อได้บอกกับเธอตอนที่เธอบอกอยากเป็นแบบท่านวีรชนทั้ง 2 ขณะกัดฟันเศร้าด้วยน้อยเนื้อต่ำใจ ‘เพียงเพราะข้าเป็นหญิงงั้นเหรอ...? นั่นสินะ... ไม่มีทางที่เด็กสาวธรรมดาๆ จะสามารถไปสู้กับคนที่เป็นถึงขุนพลได้อยู่แล้ว... ฝ่ายนั่นประสบการณ์มากกว่าตั้งหลายเท่าตัว... ไม่ใช่สิ... ทั้งกำลังก็เหนือกว่า... ความเร็วก็มากกว่า... ความแข็งแกร่งก็มากกว่า... ก็ผู้ชายนี่นา... ผู้หญิงยังไงซะก็สู้ผู้ชายในการต่อสู้ไม่ได้อยู่แล้ว...’
ซีซิงเงยหน้ามองดวงอาทิตย์สีแดงที่ค่อยๆ ลอยต่ำลงมาเรื่อยพร้อมประกายหยาดน้ำตาตรงแก้มทั้ง 2 ข้าง ก่อนเอ่ยอย่างถอดใจออกมาต่อหน้าฝากฟ้า และ ผืนน้ำ เบื้องหน้าของเธอ
“ไม่ยุติธรรมเลย...”
“อะไรไม่ยุติธรรม...?”
“ห๊ะ!”
“นี่เธอ... ร้องไห้เหรอ...?” เอจิเซนที่เดินเข้ามาทักซีซิงจากด้านหลัง ถึงกับชะงักลง ก่อนเบิกตากว่างด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นซีซิง... เพื่อนสาวที่เขาแม้จะเพิ่งได้รู้จักกันไม่นาน แต่ก็สามารถรู้ได้ถึงความเข้มแข็งของตัวเธอ... หันมามองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“...” ซีซิงรีบหันกลับมารีบเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตาออกจากหน้า เธอไม่ต้องการให้ใครเห็นเธอในสภาพอ่อนแอแบบนี้
“...” เอจิเซนที่ยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนได้สติกลับมาก่อนยืนเก้กังๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก (ก็น่าจะเป็นอย่างนั่น...) แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวได้ เจ้าตัวจึงตัดสินใจเดินไปนั่งข้างๆ ซีซิง
“มะ มาทำอะไรที่นี่น่ะ?” ซีซิงพยายามหันหน้าหลบตาเอจิเซน
“...” เอจิเซนนั่นมองซีซิงอยู่ที่หันหน้าหนีเขา อย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนใช้มือซ้ายปลดผ้าบางเนื้อนุ่มที่ใช้ห้อยแขนตัวเองอยู่ออกมายื่นให้ซีซิง “เอา... แขนเสื้อมันซับคราบน้ำตาไม่หมดหรอก...”
“อะ เอ๋~?” ซีซิงหันกลับมามองเอจิเซนด้วยความแปลกใจ
“โทษที... ฉันไม่มีผ้าเช็ดหน้า...” เอจิเซนว่าขณะวางแขนข้างที่เจ็บไว้บนตัก
“ละ แล้ว...” ซีซิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นแขนที่ถูกพันผ้าพันแผลไว้ทั้งแขงของเอจิเซน “แขนนายล่ะ... ปะ เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก... อีกไม่นานก็หาย...” เอจิเซนตอบเรียบๆ
“อะ... อืม...” ซีซิงพยักหน้ารับเงียบๆ ด้วยความโล่งอก แต่ความลำบากใจที่ตนเป็นสาเหตุที่ทำให้เอจิเซนต้องเป็นแบบนี้ก็ยังไม่หายไป ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็รับเอาผ้าที่เอจิเซนยื่นให้มาซับคราบน้ำตาตรงหน้า ก่อนนั่งมองผ้าในมือนิ่งๆ ไม่พูดอะไร
“ไม่เอาน่า โทโมะจั~ง...” ซากุโนะที่เกาะแขนโทโมกะที่กำลังเดินลากเธอขึ้นไปบนเนินที่ทั้งคู่นั่งอยู่ “ตักน้ำเสร็จแล้ว กลับครัวกันเถอะ...”
“ได้ไงซากุโนะ! ยัยนั่นแอบคุยกับท่านเรียวมะ 2 ต่อ 2! มิหนำซ้ำยังทำให้ท่านเรียวมะต้องบาดเจ็บอีก! ไม่ได้ๆ! ยังไงฉันก็ต้องคุยกับผู้หญิงคนนั่นให้รู้เรื่อง!” โทโมกะว่าพลางดึงเพื่อนสาวของตนขึ้นไปบนเนินที่ตนเห็นซีซิงนั่งอยู่ด้วยกัน แต่แล้ว “ชะ!”
ทันทีที่เห็นเอจิเซนนั่งอยู่กับซีซิง โทโมกะที่กำลังฉุดเพื่อนสาวเดินตรงไปที่เป้าหมาย ก็หยุดลง แล้วกระโดดดึงเพื่อนสาวผู้โชคร้ายมาซุ่มดูสถานการณ์อยู่หลังก้อนหินก้อนใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานักอย่างรวดเร็ว
“เห็นมั้ยซากุโนะ ยัยนั่นนัดเจอกับท่านเอจิเซนอีกแล้ว! ยอมไม่ได้แล้ว! อย่างงี้ต้องมีเคลียร์!” โทโมกะว่าพลางถลกแขนเสื้อขึ้นทำท่าจะไปสลายวงสนทนาของทั้ง 2
“เดี๋ยวก่อน โทโมะจั~ง...” ซากุโนะพยายามหยุดเพื่อนสาวของตนไว้ แต่ในใจก็ไม่วายกังวล มองไปยังเด็กหนุ่มที่ตนแอบชอบด้วยสายตาเศร้าๆ ‘เรียวมะคุง...’
“...” เอจิเซนมองซีซิงด้วยด้วยความลำบากใจเช่นกัน แม้ตัวเขาที่ปกติเป็นคนค่อยข้างอ่อนหัดเรื่องการเข้าใจความรู้ของคนอื่น ก็ยังสามารถมองออกได้เลยว่าตอนนี้ เด็กสาวๆ ข้างๆ เธอกำลังมีความทุกข์ แต่ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างนั่น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร (ซะงั้น...) ดังนั้น วิธีสุดท้ายสำหรับคนที่ปลอบใครไม่อย่างเขาก็คือ “นี่...”
“อะไรเหรอ...?”
“ทำไมเธอถึงอยากออกรบขนาดนั้น...?”
“เอ๋~?” ซีซิงเอียงคองงเมื่อจู่ๆ เอจิเซนเอ่ยชวนคุยขึ้นมาเฉยๆ
“เธอขอ (อันที่จริงบังคับ) ให้ฉันพาเธอออกรบด้วย ซ้ำยังยืนกรานว่ายังไงก็ไม่เปลี่ยนใจเด็จขาด...” เอจิเซนเอ่ยชี้แจงเล็กน้อย ก่อนถามซ้ำ “ทำไมเธอถึงอยากออกรบถึงขนาดนั่น...?”
“...” ซีซิงค่อยๆ เงยหน้าออกมาผ้าในมือขึ้นมองฟ้า ก่อนตัดสินใจหันหน้ามามองเอจิเซน แล้วเริ่มต้นเอ่ยปากเล่าเรื่อวของตน “ตอนเด็กๆ... พ่อของฉันชอบเล่าเรื่องของท่านปู่ซุนเกี๋ยน และ ท่านลุงซุนเซ็กที่มักออกรบนำชื่อเสียงมาสู่ตระกูลให้ฟังบ่อยๆ เรื่องเล่าเหล่านั่นทำให้ฉันประทับใจมาก... ฉันชื่นชมท่านทั้ง 2 จนถึงขนาดเถิดทูนเป็นบุคคลตัวอย่างของชีวิต... ชื่นชมจนอยากเป็นให้ได้เหมือนท่าน...”
“...” เอจิเซนนั่งฟังสิ่งที่ซีซิงพูดอย่างสงบเสงียบ
“ฉันฝัน... อยากเป็นอย่างท่าน อยากเป็นนักรบผู้กล้าหาญ และ องอาจออกสู้ศึกอย่างอาจหาญ ฉันฝันอย่างนั่นมาตลอด...” ซีซิงเริ่มก้มลงกอดขาเอาหน้าซบกับเข่าอีกครั้ง “ฉันเฝ้าฝึกฝนฝีมือทุกวันๆ ไม่มีเว้นวัน... เมื่อมีโอกาศฉันก็มักจะแอบแฝงตัวเข้าฝึกทหารกับทางกองทัพ ไม่ก็ปลอมตัวแอบหนีออกจากตำหนักไปท้าประลองกับพวกจอมยุทธ์ที่เดินทางเข้ามาในเมือง”
‘มิน่าล่ะ... ตอนอยู่กับหวังกู และ คนอื่นๆ ถึงเล่นละครได้เนียนสุดๆ ไม่ใช่ครั้งแรกนี่เอง...’ เอจิเซนคิดในใจ
“ฉันมักจะได้รับชนะอยู่เสมอ... แม้จะมีแพ้บ้างแต่ก็ไม่เคยแพ้อย่างหลุดหลุย ซ้ำยังมีแต่คนว่า ฉันน่าจะเข้าเป็นทหาร รับรองว่าต้องได้ตำแหน่งดีๆ แน่ๆ... รู้มั้ย... นั่นทำให้ฉันดีใจสุดๆ ไปเลย... ทุกคนต่างยอมรับว่าฉันเก่ง ทุกคนต่างคิดว่าฉันเหมาะที่จะออกไปสู้ศึกสร้างชื่อเสียงกึกก้อง...” ซีซิงยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะละลึกถึงความหลัง
‘ทหารกับจอมยุทธ์ ผู้ใหญ่แพ้เด็กอะนะ?’ เอจิเซนแอบส่ายหน้านิดๆ
“แต่พอมาเจอของจริงในสนามรบ... ฉันรู้แล้วว่า... ตัวฉันมันอ่อนหัดแค่ไหน” รอยยิ้มเมื่อครู่ได้ไม่นานนัก ก็ถูกหุบลงเมื่อความทรงจำที่แสนโหดร้ายของปัจจุบัน กลับมาหลอกหลอนเธออีกครั้ง
‘แล้วไอ้พวกที่แพ้เธอเนี่ยจะเรียกว่าอะไรล่ะ...’ คราวนี้เจ้าเปี๊ยกยิ้มน้อยๆ
“ต่อให้ฉันจะฝึกตัวเองให้เก่งแค่ไหนก็คงไม่มีทางเทียบได้กับพวกขุนพลอยู่ดี...” ว่าจบที่หาตาก็เริ่มปรากฏหยดน้ำเล็กขึ้นอีกครั้ง “หึ... นายก็คงคิดอย่างนั้นสินะ... ใช่สิ... ฉันมันก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง... จะไปสู้กับพวกขุนพลผู้ชายเก่งๆ อย่างนั้นได้ยังไง...”
“อ่อนหัด...” เอจิเซนสลถเบาๆ ทำเอาซีซิงรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าตัวทันที
“ห~า?” ซีซิงตีหน้างงอีกครั้ง
“อ่อนหัด...” เอจิเซนส่ายหน้า ก่อนหันมามองซีซิงด้วยแววตาจริงจัง “แค่สู้ลุงนั่นไม่ได้ ก็มานั่นถอดใจ โทษว่าเพราะตัวเองเป็นผู้หญิง... อ่อนหัดจริงๆ...”
“นะ นาย! นายจะไปรู้อะไรล่ะ! ก็นายเป็นผู้ชายนี่!” ซีซิงเริ่มโวยวาย
“แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน...?” เอจิเซนถามสวน
“ตะ ตรง...” ซีซิงถึงกับชะงักเมื่อถูกเอจิเซนสวนกลับมา
“ไม่เกี่ยว... มันเป็นเพราะเธอฝึกมาไม่พอเองต่างหาก...” เอจิเซนกล่าวด้วยน้ำเสียงอาจหาญทำเอาซีซิงเถียงไม่ออก เพราะมันจริงอย่างเอจิเซนพูดทุกอย่าง
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงล่ะ!?” แต่อย่างนั่นซีซิงก็ยังไม่สามารถสลัดความสับสนที่ให้ออกจากหัวได้ เจ้าตัวจึงลุกขึ้นยืนก่อนเอ่ยถามเอจิเซน ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำตอบที่นำพาเธอออกจากปัญหานี้ได้
“เธอก็ฝึกสิ...” เอจิเซนตอบเรียบๆ
“ฉันก็ฝึกมาตลอดแล้วนี่! นายไม่ได้ยินที่ฉันเล่าให้ฟังรึงไง!? ฉันเฝ้าฝึกฝนทุกวันๆ นั่นยังไม่พออีกเหรอ!?” ซีซิงเอ่ยถามเอจิเซนอีกครั้ง
“ไม่พอ...” เอจิเซนว่าก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนมองหน้าซีซิง ขณะใช้มือซ้ายชักดาบที่ข้างเอวขึ้นมาชี้หน้าเธอ “เธอยังต่อฝึกต่อไปอีกเรื่อยๆ หากเธอยังต้องการเก่งขึ้น ก็ต้องฝึกไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด”
“ละ แล้ว...” ซีซิงไม่รู้จะโต้เถียงยังไงต่อ คำพูดทุกคำของเพื่อนหนุ่มวัยเดียวกันตรงหน้าเธอนั่นถูกต้องทุกประการ หากเธอยังต้องการเก่งขึ้นเธอก็ต้องฝึกต่อไป แต่นั่นมันก็เป็นแค่ทฤษฎี เธอไม่ต้องการจมอยู่กับหลักการที่ไม่เป็นความจริง ด้วยความสิ้นคิดของเธอทำให้เธอเอ่ยประโยคสุดท้ายโต้กลับโดยไม่นึกว่าจะได้รับคำตอบที่ไม่น่าเชื่อกลับมา ประโยคนั่นก็คือ “แล้วนายจะฉันฝึกให้มั้ยล่ะ!?”
“ได้... เริ่มฝึกพรุ่งนี้เลย” เอจิเซนตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล
“อะ...” ซีซิงหยุดอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถวนคำตอบของเอจิเซนด้วยความประหลาดใจปนดีใจ “นะ นาย... เอาจริงเหรอ...? นายจะฝึกฉันจริงๆ เหรอ!?”
“แค่นี้ยังอ่อนหัดนะ...” เอจิเซนเอ่ยประโยคประจำปิดท้าย
“เรียวมะคุง...” ซากุโนะมองเอจิเซนด้วยชื่นชมที่เพิ่มทวีขึ้นอีกหลายเท่าตัว หลังจากเธอ และ โทโมกะได้แอบฟังบทสนทนาของทั้ง 2
“กะ... กลับครัวกันเถอะ ซากุโนะ...” โทโมกะกล่าว ถึงแม้จะอิจฉาที่ซีซิงได้ความสนใจของคนที่พวกเธอชอบไปคนเดียว แต่พวกเธอก็ไม่อาจทำให้ฝันของผู้หญิงด้วยกันพังทลายลงไป เพราะเรื่องเล็กๆ ของพวกเธอได้
“อืม... ไปกันเถอะ...” ว่าจบทั้ง 2 ก็พากันเดินกลับไปยังครัวประจำค่าย
เย็นนั่น ณ เต็นท์บัญชาการ
“แด่ชัยชนะของพวกเรา!” ซุนกวนกล่าวเปิดงาน
“แด่ชัยชนะของพวกเรา…!!!” ทุกคนในงานเอ่ยรับ ก่อนลงมือทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งแม่ทัพใหญ่ นายเหนือหัว ขุนพล ที่ปรึกษา และ เหล่าเซงาคุ
หลังพักผ่อนกันมาครู่หนึ่ง ต่างคนก็ทยอยกันไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนพากันมารวมกันที่เต็นท์บัญชาการที่ตอนนี้ได้จัดเป็นที่สำหรับกินเลี้ยงขนาดย่อม ซึ่งเต็มไปด้วยโต๊ะตัวเล็กๆ วางต่อกันเป็นรูปตัว U หันด้านเปิดไปตรงทางเข้าเต็นท์ โดยมีเล่าปี่ และ ซุนกวนนั่งอยู่ตรงกลางโค้งพอดี
ฝ่ายซุนกวน ที่นั่งเรียงลำดับตามตำแหน่งเริ่มตั้งแต่ตัวเขาเองที่เป็นนายเหนือหัว แม่ทัพใหญ่จิวยี่ซึ่งมีเสี่ยวเกี้ยวนั่งเคียงข้าง ต่อด้วยซุนซั่งเซียงที่ยังมาไม่ถึง จากนั้นไปก็เป็นรองแม่ทัพเทียเภา ที่ปรึกษาทัพโลซก และ ขุนพลคนอื่นๆ ไปจนสุดแถว
ส่วนฝ่ายของเล่าปี่ ตามลำดับต้องเป็น เล่าปี่นายเหนือหัว ขงเบ้งที่เป็นกุนซือ เทะสึกะรองแม่ทัพ 3 ขุนพล กวนอู จู่ล่ง เตียวหุย ต่อด้วยเหล่าเซงาคุที่เหลือ และ ตัวประกอบแขกรับเชิญพิเศษอีก 5 คน แต่ที่น่าแปลกก็คือ เอจิเซนที่เป็นหัวหน้าทัพหลักที่น่าจะได้นั่งต่อจากจูล่ง กลับได้มานั่งข้างๆ เทะสึกะ แถมยังเหลือที่นั่งอีกที่หนึ่งๆ ข้างๆ ซึ่งคั่นระหว่างเขา และ กวนอู เหมือนจะเตรียมให้ใครซักคน
“ตกลง... ที่ตรงนี้ของใครฮะ?” เอจิเซนเอ่ยถามเทะสึกะด้วยความสงสัย ทั้งๆ ที่ทุกคนก็มาครบกันแล้วทั้ง 2 ฝ่าย แล้วทำไมที่นั่งข้างตนนี้จึงว่างซะงั้น
“ไม่รู้...” เทะสึกะตอบสั้นได้ใจความ
“ขอบคุณฮะ...” เอจิเซนเอ่ยขณะยิ้มคิ้วกระตุกให้ผู้เป็นกัปตัน
“ไม่เป็นไร...” เทะสึกะรับคำอย่างซื่อๆ
“ผมประชด...” เอจิเซนสถบเบาๆ
“หื~ม?” เทะสึกะทำท่าเหมือนจะได้ยิน
“ไม่มีอะไรฮะ...” เอจิเซนเอ่ยแก้สถานการณ์
“งั้นเหรอ...” ว่าจบทั้ง 2 ก็นั่งทานอาหารกันอย่างเงียบๆ ต่อไป
“เหอๆ... ขืนไปนั่งใกล้ๆ 2 คนนั่นมีหวังแข็งตายแน่ๆ เลย ช่างเป็นคู่ที่เยือกเย็นอะไรได้ชนาดนี้” เตียวหุยกระซิบบอกโออิชิที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แหะๆๆ...” โออิชิหัวเราะแห้งๆ
ไม่นานนักอาหารติ่มซำสำหรับเปิดงาน ก็หมดลงพร้อมกับอาหารจาน 2 ที่กำลังทยอยเสิร์ฟ ทุกคนดูเหมือนจะสนุกสนานเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงเป็นอยากมาก ด้วยอาหารเลิศรสที่เสี่ยวเกี้ยว คาวามูระ โทโมกะ ซากุโนะ และ เหล่าทหารประจำฝ่ายเสบียงร่วมกันปรุง ทั้งดนตรีเบาๆ ฟังเพลินๆ ที่ได้เหล่าทหารที่อาสามาให้ความสำราญแก่เหล่าผู้นำทัพ รวมไปถึงเหล้าที่ถึงแม้จะเป็นเหล้าธรรมดาๆ แต่สำหรับเหล่าทหารที่เพิ่งผ่านศึกมาอย่างพวกเขา มันเปรียบเสมือนสุราชั้นเลิศที่ต่างพากันดื่มกันอย่างสุขขี (เหล่าเด็กๆ ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อันประกอบด้วย ขงเบ้ง ลกซุน และ เหล่าเซงาคุ ดื่มน้ำชาแทนนะครับ)
คำเตือน การดื่มสุราเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้ดื่มอาจขาดสติ และ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้ [ด้วยความปรารถนาดีจากผู้เขียน]
“อาหารฝีมือท่านเสี่ยวเกี้ยวนี่ช่างเลิศรสจริงๆ” เล่าปี่เอ่ยชมหลังคีบเนื้อในอาหารที่เอาลงมาเสิร์ฟได้ไม่นานขึ้นมาชิมดู “สมแล้วที่เป็นภรรยาของท่านจอมทัพจิวยี่”
“ท่านเล่าปี่ปากหวานจังเลยนะค่ะ” เสี่ยวเกี้ยวเอ่ยรับอายๆ “ชมเกินไปแล้วค่ะ”
“มิได้ขอรับ ข้าพูดความจริง ทั้งฝีมืออาหาร และ ความงาม สมกับได้ชื่อว่าเป็นสาวงามแห่งกังตั๋งจริงๆ” เล่าปี่ยังเอ่ยชมต่อด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อแบบหวานๆ ของเขาที่ทำเอาเสี่ยวเกี้ยวถึงกับเคลิ้ม “น่าอิจฉาท่านจิวยี่จริงๆ ที่ได้ภรรยาดีๆ เช่นท่าน”
“ขอบคุณค่ะ” เสี่ยวเกี้ยวเอ่ยรับอย่างอายๆ
“อะแฮ่ม... ท่านซุนกวน ดื่มมากไปแล้วนะขอรับ” จิวยี่ที่เกิดอาการหึ่งนิดๆ แสร้งทำเป็นไอ ขณะหันไปเอ่ยเตือนผู้เป็นนายของตนเป็นการขัดคอ (แอบเนียน...)
“เอ๋~?” ซุนกวนที่กำลังยกจอกเหล้าขึ้นดื่มชะงักไปครู่หนึ่ง “แค่ 3 จอกอะนะ?”
“เออ... คะ ค่อยๆ ดื่มไปทานอาหารไปดีกว่าขอรับ” จิวยี่เอ่ยแก้ทาง “เดี๋ยวจะเมาก่อนอาหารจากหลักมานะขอรับ”
“อืม... ก็ได้” แม้ยังคงสงสัย แต่ก็ไม่ว่าอะไรกลับมาทานอาหารต่อ
“หึๆๆ...” ขงเบ้งหัวเราะเบาๆ
“หื~ม?” เทะสึกะหันมามองกุนซือสาวงงๆ
“ไม่มีอะไร ขำคนแถวนี้เฉยๆ...” ขงเบ้งตอบปัด ขณะมองหน้าจิวยี่ที่เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกตนหัวเราะ ก้มหน้าคีบอาหารเข้าปากเขินๆ
“เอ้อ! ท่านจิวยี่” ซุนกวนที่เหมือนนึกอะไรออกเอ่ยถามจิวยี่ “ซั่งเซียงกับซีซิงล่ะ?”
“นั่นสิ ข้าก็ยังไม่เห็นท่านหญิงเลย” เล่าปี่สมทบ
“เอ... ข้าให้พวกทหารหญิงพานาง 2 คนไปแต่งตัวน่าจะมากันได้แล้วนี่นา...” เสี่ยวเกี้ยวว่า ก่อนลุกขึ้นเอ่ยปากอาสา “ข้าไปตามพวกนางมาดีกว่า”
“แต่งตัว?” เหล่าบุรุษๆ มองหน้าซึ่งกันและกัน ขณะหญิงเดียวในกลุ่มขณะนี้ ปลีกตัวออกไปตามคำสำคัญอีก 2 คน
“จับซั่งเซียงกับซีซิง มาแต่งตัวเนี่ยนะ!? ให้หญิงที่ทำตัวเหมือนชายแบบนั้นมาแต่งหญิงคงจะน่าสนุกพิลึก” ซุนกวนเอ่ยขำๆ
“เออ... ท่านซุนกวน นั่นน้อง กับ ลูกสาวท่านไม่ใช่เหรอขอรับ” เล่าปี่เอ่ยถาม
“เฮ้~ย! ไม่ต้องห่วงหรอกท่านเล่าปี่ ข้าแซวทั้ง 2 คนประจำแหละ” ซุนกวนกล่าว
“ทำไมข้าต้องมานั่งกับเจ้าด้วย!” กำเหลงโวยขณะนั่งหันหลังให้เล่งทอง
“อย่างกับข้าอยากนั่งกับเจ้าตายแหละ!” เล่งทองที่อยู่ในท่าเดียวกันโวยกลับ
“ทำไงได้ครับ ท่านทั้ง 2 อยู่ตำแหน่งเดียวกัน ก็เลยได้นั่งข้างๆกัน” ลกซุนกล่าว
“ใครขอความเห็นมิทราบ!?” ทั้ง 2 พาลโวยให้ลกซุนอย่างไม่สบอารมณ์
โป๊~ก!
“โอ๊~ย! อะไรล่ะลุง!”
โป๊~ก!
“อู~ย...”
“ทีอย่างงี้สามัคคีกันเรียกเชียวนะ ข้าชื่อลิบองก็ลิบองเซ่ เรียกลุงอยู่ได้ หน้าข้ามันแก่นักรึไงห๊ะ!?” ลิบองที่มองดูคู่กัดทั้ง 2 คนนั่งกุมหัวตัวเองเอ่ยถามปนโวย
“อื้อ!”
โป๊~ก!
“โอ๊~ย! จะเขกอะไรนักหนาเนี่ย” ทั้ง 2 โวย
“ไม่เอาน่าท่านกำเหลง ท่านเล่งทอง ท่านลิบอง นี่มันงานรื่นเริงนะขอรับ ทุกคนกำลังสนุกกันอยู่ อย่าทะเลาะกันทำลายบรรยากาศดีๆ แบบนี้ดีกว่า” ลกซุนเอ่ยด้วยความสุข ดูเป็นผู้ใหญ่ ผิดกับทั้ง 3 ที่ต้องให้เด็กเอ่ยสอน
“อายเด็กบ้างนะ...” จิวท่ายที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เอ่ยเบาๆ ขณะนั่งจิบเหล้าเงียบๆ (เจ็บนะน่ะ)
“อันนี้เขาเรียกว่าอะไรเหรอ”จูล่งคีบข้าวที่ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ แล้ววางปลาดิบไว้เป็นหน้าด้านบน ยกขึ้นเล็กน้อย ขณะเอ่ยถามเหล่าเซงาคุ
“อ๋~อ เขาเรียกว่าซูชิน่ะครับ เป็นอาหารอย่างหนึ่งของ เออ... ที่ๆ เราจากมา” โออิชิเอ่ยตอบ
“อร่อยครับไม่ต้องห่วง ลองกินดูสิครับ” โมโมะว่าที่อยู่อีกไม่ไกลนักเอ่ยบอก
“ลองดูก็ได้” จูล่งไม่ว่าเปล่าคีบซูชิก้อนนั้นเข้าปากชิมดูทันที “หื~ม... อร่อย! อร่อยจริงๆ! ท่านกวนอูลองดูสิ”
“ไหนดูซิ” กวนอูลองชิมบ้าง “อร่อยจริงๆ”
“สมเป็นคุณทากะ ฝีมือพัฒนาขึ้นทุกวันเลยนะ” อินูอิว่า
“เอ๋~? อันนี้คาวามูระทำเหรอ?” จูล่งเอ่ยถาม
“ครับ” คาวามูระพยักหน้าตอบ
“เก่งจัง อร่อยมากเลยคาวามูระ” กวนอูเอ่ยชม
“แหะๆ...” คาวามูระเกาหัวอายๆ เมื่อถูกสาวาวยถึง 2 คนชมเข้าให้
“แห~ม น่าอิจฉาเนาะ” ฟูจิว่า
“ชู่ว์...?” ไคโดหันไปมองฟูจิเอะใจอะไรบางอย่าง “รุ่นพี่ฟูจิไม่กินซูชิเหรอครับ?”
“พอดีไม่มีวาซาบิน่ะ” ฟูจิตอบ
“...” ทุกคนหันมามองฟูจิแบบเหงื่อตก
“แห~ม ท่านอุยกาย จอกที่ 10 กว่าแล้ว ยังนิ่งๆ อยู่เลยนะครับ” ขุนพลคนหนึ่งบอกอุยกาย
“ฮ่าๆ แค่นี้สบา~ย” อุยกายกล่าวยืดๆ
“น่าสนนี่นา... ลองกันมาหน่อยไหมท่านอุยกาย” เตียวหุยว่าขณะว่าจอกเหล้าจอกที่ 10 กว่าเช่นกันลงอย่างไม่เรียบเฉยไร้อาการเมา หรือ วิงเวียนใดๆ
“รับคำท้า” อุยกายตอบรับ “ไปเอาเหล้ามา 2 ไห เตรียมใจไว้เลยท่นเตียวหุย...”
“มาเลยท่านอุยกาย!” เสียงแปดหลอดของเตียวหุยดังขึ้นเริ่มการประลอง
“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก!” ขุนพลเฒ่าโมฮอคว่าตาม ก่อนทั้ง 2 จะยกเหล้าทั้งไหที่พวกเขาสั่งให้ทหารไปแบกมาให้ยกขึ้นซดแข่งกัน
“เอาเลยท่านอุยกาย!” เหล่าขุนพลฝ่ายซุนกวนเชียร์
“สู้เขาคุณเตียวหุย!” ทางฝั่งเล่าปี่เหล่าเซงาคุก็ไม่น้อยนะ และแล้ว
“เฮ้~อ...” อุยกายที่วางไหที่ตนซดเหล้าไปจนหมดลงข้างตัว ก่อนหันไปท้าทายเตียวหุยด้วยท่าทางร่อแร่ “เปนยางงายล่ะ ฮึก!”
“ขออีกไห!” เตียวหุยว่าขณะยื่นไหให้ทหารเด็กเสิร์ฟใกล้ๆ ตัว
“เห~อ!? เอ~อ...” ทันทีที่ได้ยินเตียวหุยขอเพิ่ม อุยกายหมดลมก็ขอยกธงขาวนอนเอนหลังลงไปกับพื้นยอมแพ้ “แอ๊~ค...”
“ผู้ชนะ คุณเตียวหุย” คิคุมารุประกาศชื่อผู้ชนะการประลองคนคอแข็ง
“เฮ้ย! พาท่านอุยกายไปสูดอากาศหน่อยเร็ว” ลิบองกล่าวก่อนเหล่าทหารอาสาให้บริการ จะเดินมาแบกอุยกายไปนอนสูดอากาศที่ม้านั่งนอกเต้นท์
“รู้บางใครเป็นใคร” เตียวหุยกล่าวขณะยกไหใหม่ขึ้นมาซดอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฮ่าๆๆ!!!” ทุกคนต่างหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“โห~! ท่านอุยกายสู้ไม่ได้เหรอเนี่ย!?” ซุนกวนกล่าวอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านเตียวหุยนี่คอแข็งสุดๆ เลย”
“แค่นั้นยังจิ๊บๆ นะครับ เตียวหุยน่ะ เป็นโอ่งยังยกซดสดๆ มาแล้ว” เล่าปี่ว่า
“สุดยอ~ด...” ซุนกวนไปยังเตียวหุยด้วยความตะลึง ก่อนได้ไอเดียพิเรนๆ มาเล่น “จะว่าไปเราก็ลองมาดื่มแข่งกันมั้ย ท่านเล่าปี่”
“เอ๋~?” เล่าปี่ทำตาโตมองหน้าซุนกวน
“เดี๋ยวเมาค้างนะขอรับ” จิวยี่เตือนอีกที
“ไม่เป็นไรหรอกน่าท่านพี่จิวยี่ งานเลี้ยงทั้งที ไม่เมาได้ไง” ซุนกวนกล่าวยิ้มๆ “อีกอย่างอาหารจาน 2 ก็หมดแล้ว เดี๋ยวจานหลักก็มา กินไปดื่มไปก็ได้ ท่านพี่อย่ากังวลเลย มาแข่งด้วยกันสิ”
“ข้าขอผ่านล่ะขอรับ” จิวยี่ปฏิเสธ
“งั้นก็เหลือแต่ข้ากับท่านแล้ว ท่านเล่าปี่” ซุนกวนยิ้มให้เล่าปี่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ขะ ข้า... ขอผ่านด้วยได้มั้ย?” เล่าปี่ถึงกับเหงื่อตก ขณะเอนตัวเริ่มเว้น
“ฮ่าๆ... ไม่...” สิ้นสุดเสียงหัวเราะกวนๆ ของซุนกวนการแข่งขันคนคอแข็งรอบนายเหนือหัวของทั้ง 2 ทัพก็ได้เริ่มขึ้น (โดยผู้เข้าแข่งขันไม่เต็มใจนัก)
หน้าเต็นท์
“เออ...”
“เข้าไปสิ...” เสี่ยวเกี้ยวเอ่ยบอก 2 อาหลานที่ยังคงยืนเขินๆ อายๆ อยู่ที่หน้าทางเข้าเต็นท์บัญชาการ
“เราจำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอคะ?” ซีซิงเอ่ยถามเสี่ยวเกี้ยว ขณะบิดตัวไปๆ มาๆ ด้วยความลังเล
“นั่นสิท่านพี่เสี่ยวเกี้ยว ไม่เห็นต้องแต่งอะไรซะขนาดนี้เลย นี่งานเลี้ยงชนะศึกในค่ายทหารนะ” ซุนซั่งเซียงสนับสนุน
“เพราะอย่างนั้นไงล่ะ เราสาวๆ จึงต้องแต่งตัวสวยๆ เป็นขวัญกำลังให้แก่พวกเขาในการออกศึกยังไงล่ะ” เสี่ยวเกี้ยวว่า ก่อนก้มหน้าลงจ้องตาสาวห้าวทั้ง 2 ด้วยใบหน้ายิ้มหวานน่าขนลุก “พวกเธอคงไม่อยากเถียงกับฉันเรื่องแต่งตัวแบบนี้หรอกนะ”
“คะ ค่า...” ทั้ง 2 คนตอบรับอย่างหมดทางเลือก
“เอาล่ะ เข้ามา” และแล้วเสี่ยวเกี้ยวก็เดินนำทั้ง 2 เข้ามาในเต็นท์ “มาแล้วค่า!”
“โอ้โห~!/ว้า~ว!/สว~ย...” ทันที่เห็นซุนซั่งเซียง และ ซุนซีซิงเดินเข้าเต็นท์มาในชุดหญิงสาวชาวจีนแสนสวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ใบหน้าอันงดงามเคยที่ถูกท่าทางห้าวๆ ของเธอทั้ง 2 คนเผยออกมาให้ได้ยลโฉม
“สวยจังเลย...” ซากุโนะ และ โทโมกะ มองตามซีซิงที่เดินตามเสี่ยวเกี้ยว และ ซุนซั่งเซียงผ่านพวกเธอไปด้วยความตกตะลึง เด็กสาวที่เคยดูเหมือนทอมบอยกลายเป็นสาวสวยที่น่ารักจนทำให้ผู้หญิงด้วยกันต้องตกตะลึง และ แอบอิจฉาอยู่ในใจ
สาวๆ ยังเป็นซะขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงบรรดาหนุ่มๆ เหล่าเซงาคุที่ต่างมองตามซีซิงเด็กสาวคนสวย และ ซุนซั่งเซียงพี่สาวสุดห้าวที่เคยร่วมสู้ด้วยกันในสนามรบ ซึ่งถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นหญิงงามที่สวยไม่แพ้เสี่ยวเกี้ยว
เหล่าขุนพล และ ที่ปรึกษาทั้งหลายก็อยู่ในอาการเดียวไม่ต่างกับหนุ่มๆ เซงาคุ รูปโฉบใหม่ของทั้ง 2 เล่นเอาทุกคนเบิกตากว้าง เมื่อ 2 สาวที่พวกตนคุ้นเคยกับท่าทางห้าวๆ ทำตัวเหมือนผู้ชายกลายเป็นหญิงสาวสุดสวยที่ทำเอาพวกเขาอ้าปากค้าง
“เป็นไงบ้างทุกคน” ทันทีที่เสี่ยวเกี้ยวพาทั้ง 2 เดินมาหยุดอยู่หน้าพวกซุนกวน เจ้าตัวก็เอ่ยถามหนุ่มๆ ที่ยังคงมองทั้ง 2 สาวอย่างไม่กระพริบตา
“มะ มองอะไรน่ะ พี่กวน ทะ ท่านเล่าปี่ ท่านจิวยี่ด้วย” ซุนซั่งเซียงเริ่มออกอาการกระวนการวายเมื่อหนุ่มๆ เบื้องหน้าตนมองจ้องมาที่ตนไม่ขยับตัว ในขณะที่ซีซิงใช้ผู้เป็นอาเป็นที่กำบังหลบหน้าแดงๆ ของเธอให้พ้นสายตาคนอื่นๆ
“ข้าว่าข้าเมาแล้วล่ะ ท่านเล่าปี่” ซุนกวนเอ่ยเรียกเล่าปี่
“ขอรับ” เล่าปี่ที่อยู่ในอาการเดียวกันขานรับ
“ชกข้าที...” ซุนกวนขอ
“เอ๋~!” เปล่าปี่ร้องเสียงงง
ผัวะ!
“โอ๊~ย! ขะ ขอบคุณท่านพี่จิวยี่” ซุนกวนเอ่ยขอบคุณจิวยี่ที่ซัดหมัดขวาเข้าเต็มแก้มของตนแทนเล่าปี่
“ไม่เป็นไรขอรับ” จิวยี่พยักหน้ารับคำขอบคุณ
“เฮ้~ย! ซั่งเซียง ซีซิง สวยนี่นา!” ซุนกวนเอ่ยชมน้อง และ ลูกของตนด้วยความพอใจ “อย่างนี้คงต้องให้ท่านพี่เสี่ยวเกี้ยวจับแต่งบ่อยๆ แล้ว”
“มะ ไม่ต้องมาแกล้งชมข้าเลยนะพี่กวน” ซุนซั่งเซียงเอ่ยว่าพี่ตัวเองเขินๆ
“สวยจริงๆ นะขอรับ ท่านหญิงซุนซั่งเซียง” เล่าปี่มองมาพี่เธอด้วยใบหน้าใสซื่อ พร้อมกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยน ทำเอาซุนซั่งเซียงใบหน้าร้อนผาวสีแดงจัดจนเห็นได้ชัด หัวใจเต้นรั่ว และ แรงราวกับว่าใจของเธอจะทะลุออกมานอกอก รีบหันหน้าหลบตาหนุ่มหน้าหาวตรงหน้าทันที
“บะ บอกแล้วให้เรียกซั่งเซียงไง” ซุนซั่งเซียงเดินหนีหน้าเล่าปี่ไปนั่งที่ของตนข้างๆ ซุนกวน ทิ้งให้หลานสาวที่ใช้ตนเป็นที่กำบังยืนเอ๋ออยู่คนเดียว
“อะ เอ๋~?” ซีซิงที่ทำท่าจะเดินไปนั่งที่เหมือนกับซุนซั่งเซียง แต่แล้ว... “ท่านป้าเสี่ยวเกี้ยวคะ โต๊ะของข้าล่ะคะ?”
“อ๋~อ อยู่ตรงนั้นไงจ๊ะ” ซีซิงชี้มือไปยังจุดหมาย
“เอ๋~!?” ซีซิงเอ๋เสียงหลงเมื่อที่นั่งที่เสี่ยวเกี้ยวชี้ไปก็คือ ที่ว่างข้างๆ เอจิเซนนั่นเอง
“ไม่ต้องเอ๋~ ตรงนั่นแหละ ไปนะสิ” เสี่ยวเกี้ยวเอ่ยยิ้ม
“ทะ ทำไมข้าต้องไปนั่งกับหมอนั่นด้วย?” ซีซิงเอ่ยถามด้วยท่าทีกระวนกระวาย
“ซีซิง เขาอุตสาห์ช่วยชีวิตเจ้าไว้ ทำให้แขนตัวเองต้องบาดเจ็บ” เสี่ยวเกี้ยวว่าขณะทั้ง 2 สาวมองไปยังเอจิเซนที่นั่งใช้มือซ้ายที่ยังคงปกติดีนั่งจิบน้ำชาอยู่จับจ้องมาที่เธอโดยไม่รู้ตัว ทำเอาซีซิงเพิ่มทวีคูณความเขินอายขึ้นเป็นอีกเท่าตัว “ดูนั่นสิ มือข้างขวาเขาบาดเจ็บ คงทานข้าวลำบากน่าดู เจ้าไปบริการเขาหน่อยสิ”
“แต่...”
“ถือว่าเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ภาพที่ดีต่อกันก่อนเริ่มฝึกฝีมือด้วยกันนะ”
“ท่านรู้ได้ไง?” ซีซิงเบิกตกว้างด้วยความตกใจเมื่อพบว่าเสี่ยวเกี้ยวรู้เรื่องที่ตนเอ่ยปากของให้เอจิเซนช่วยฝึกตน
“เอาเป็นว่าข้ารู้แล้วกัน (ไปเห็นไปได้ยินตอนไปตามโทโมกะ และ ซากุโนะที่ไปตักน้ำนานจนน่าเป็นห่วง)” เสี่ยวเกี้ยวว่าขณะผายมือให้ซีซิง “ไปสิ...”
“ก็ได้...” แม้จะอยากปฏิเสธ และ ยังไม่อยากสู้หน้าเอจิเซน แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธคำบอกกล่าวของเสี่ยวเกี้ยว และ ความรู้สึกผิดที่มีต่อเอจิเซน (พร้อมเสียงที่เรียกร้องอยู่ส่วนลึกของใจเบาๆ) เธอจึงเดินตรงไปหาเอจิเซนที่ยังคงนั่งนิ่งสายตามองคอยมองตามเธอไม่เปลี่ยนเป้าหมายทำเอาเธออึดอัดอย่างบอกไม่ถูก และแล้ว
“หื~ม...?” เอจิเซนเริ่มได้สติกลับมาเมื่อเห็นซีซิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตน
“ทะ ท่านป้าเสี่ยวเกี้ยว จัดที่นั่งให้ฉัน... นั่งข้างนาย...” ซีซิงว่าขณะหัหน้าหลบตาเอจิเซน
“งั้นเหรอ...?” เอจิเซนเอ่ยรับคำง่าย “ก็นั่งสิ...”
“อืม...” แล้วซีซิงนั่งลงข้างเอจิเซน ทันทีที่ซีซิงประจำที่เป็นที่เรียบร้อบแล้ว ตอนแรกๆ เหมือนทั้ง 2 คนจะหันมาพูดคุยกัน แต่ก็เงียบไป เปลี่ยนเป็นนั่งเงี่ยบๆ สังเกตทีท่าซึ่งกันและกัน ทางเอจิเซนกำลังมองเด็กสาวที่อยู่กับเข้าตลอดหลายวันมานี่ที่เปลี่ยนไปจนน่าแปลกใจ ทำเอาเขาเกิดความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกที่ทำให้ใบหน้าร้อนขึ้นทุกๆครั้งที่มองมาที่เธอ ความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นทุกๆ ครั้งที่เข้าใกล้เธอ ความรู้สึกประหลาดที่เขาไม่เข้าใจ ส่วนซีซิงก็มองไปยังเด็กหนุ่มที่ทำให้เธอได้ออกรบเป็นอย่างที่ใจหวัง และ เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอในยามที่เธอพลาดพลั้ง ทำให้เธอเริ่มมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งได้เข้าใกล้เสียงกระซิบจากความรู้สึกนั้นที่อยู่ลึกลงไปในใจก็ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ
“เธอ...” เอจิเซนเริ่มเอ่ยทำลายความเงียบ “ไม่กินข้าวเหรอ...?”
“แล้วทำไมนายไม่กินล่ะ?” ซีซิงถามกลับ
“กำลังจะกิน” เอจิเซนตอบ ขณะมองลงไปที่ตะเกียบซึ่งวางไว้คู่กันอยู่ตรงขวามือเขา แต่ก็ชะงักลงเหมือนมีอะไรมาสะกิดตนไว้
“...” ซีซิงเห็นเอจิเซนหยุดลง ก็เข้าใจผิดคิดว่าเขาชะงักไปเพราะใช้มือข้างขวาไม่ได้ ถึงแม้จะเขินอาย แต่เจ้าตัวก็ตัดสินใจขยับเข้าไปกันเอจิเซนเล็กน้อย ก่อนหยิบตะเกียบของเขาขึ้นมา
“ทำอะไรน่ะ?” เอจิเซนเอ่ยถามงงๆ
“ใช้มือจับตะเกียบไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ... ดะ เดี๋ยวช่วย...” ซีซิงว่า
“ไม่...” เอจิเซนเหมือนจะเอ่ยแก้ตัว แต่บางเสียงๆ เล็กๆ ของจิตใต้สำนึกของเขาบอกให้เงียบลง แล้วปล่อยให้บรรยากาศพาไป “เอาสิ...”
“เอา...” ซีซิงค่อยๆ คีบอาหารป้อนเอจิเซนอย่างเบามือ ช่างเป็นภาพที่น่าเอ็นดู ทำเอาทุกคนในเต็นท์ที่มองดูอยู่อย่างเงียบๆ แอบยิ้มไปตามๆ กันไป... ยกเว้น 2 คนนี้
“เรียวมะคุง...” ซากุโนะที่มองภาพเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ละสายตา แม้ข้างในใจจะปวดใจไม่น้อยเมื่อเห็นคนที่ตนชอบ อยู่กับผู้หญิงอีกคนถึง 2 ครั้ง 2 ครา ไม่ใช่แค่นั้น ยิ่งได้เห็นซีซิงที่เมื่อแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงเหมือนเธอ เธอก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดอีกเป็นเท่าตัว เพราะซีซิงนอกจากจะ ดูเป็นผู้หญิงร่าเริงสดใส และ มีความมั่นใจแล้ว เธอยังเป็นผู้หญิงที่สวย และ น่ารักมากคนหนึ่ง เมื่อหันมามองที่เธอ ผู้หญิงเรียบๆ ขี้อายๆ ไม่มีความมั่นใจในตัวเองแบบเธอแล้วคงเทียบกันไม่ติด
แม้ในใจจะเจ็บปวด แต่ซากุโนะก็ไม่อยากแสดงความรู้สึกนั้นออกมา... ไม่ใช่ในเวลาที่ทุกคนกำลังสนุกกันแบบนี้ เธอจึงได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกเศร้านั้นไว้ในใจ แต่ความรู้สึกที่ซ่อนไว้นั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของโทโมกะ เพื่อนสนิทที่เพียงแค่มองดูแววตาของเธอก็เข้าใจถึงความเศร้าของเพื่อนสาวของตน แต่พวกเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่มองดูภาพตรงหน้าตนต่อไป
‘คงเจ็บปวดใจไม่น้อยเลยสินะ…’ เหมือนจะยังมีอีกคนที่เหมือนจะมองออกว่าซากุโนะกำลังเศร้า คนๆ นั้นนั่งมองเธออยู่อย่างเงียบๆ โดย ขณะนึกสงสารซากุโนะไม่ขาด ไม่น่าเชื่อว่าเธอคนนั้นก็คือ... กวนอู
“บรรยากาศดีนะเนี่ย” ขงเบ้งกระซิบคุยกับเทะสึกะ
“อืม...” เทะสึกะเออออด้วยอย่างว่าง่าย ก่อนทั้ง 2 จะละสายตาจากเอจิเซน และ ซีซิงไปมองทางนายเหนือหัวของพวกตน
“โอ~ย... ข้าว่าข้าไม่ไหวแล้วล่ะ...” ซุนกวนที่ซดเหล้าจอกที่ 15 หมดไปวางจอกลงก่อนเอ่ยบอกเล่าปี่ที่นั่งข้างๆ กัน ด้วยใบหน้าที่แดงจัดเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ “ข้ายอมแพ้ท่านเล่าปี่ ข้ายอมแพ้...”
“งั้นข้าก็หยุดได้แล้วสินะ” เล่าปี่ตอบรับก่อนวางเหล้าจอกที่ 30 กว่าลง แล้วหันมาสนใจอาหารของตนต่อ โดยไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลงเพราะฤทธิ์สุราเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางความตกตะลึงของสหายใกล้ๆ กัน
“นึกไม่ถึงเลยว่าท่านเล่าปี่จะคอแข็งขนาดนี้” เสี่ยวเกี้ยวว่าขึ้น
“ข้าก็ว่างั้น” ซุนซั่งเซียงสมทบ
“ข้ายังไม่ถึง 10 จอกเลย ก็ชักเมาแล้วนะเนี่ย...” จิวยี่เสริมอีกคน
“พอดีเตียวหุยเป็นที่ชอบดื่มหนักบ่อยๆ ข้ากับกวนอูที่ต้องดื่มด้วยกันกับเขาบ่อยๆ เลยได้ผลพวงคอแข็งมากับเขามาด้วยน่ะ” เล่าปี่อธิบาย
“อ๋~อ...” ทุกคนเหมือนจะเข้าใจ
“ข้าว่าอย่าห่วงข้าดีกว่า ท่านหญิงซุนซั่งเซียง ท่านไม่ดื่มมากไปหน่อยเหรอขอรับ?” เล่าปี่กล่าวขณะมองดูซุนซั่งเซียงที่กำลังจิบเหล้าจอกที่ 5 ของตนอยู่
“ไม่ต้องห่วงข้าเหมือนกันท่านเล่าปี่ เห็นอย่างงี้ แต่ข้าคอแข็งกว่าท่านพี่กวนอีกนะจะบอกให้” ซีซิงกล่าวยิ้มๆ
“งั้นเหรอขอรับ” เล่าปี่ยิ้มตอบ
“หื~ม...” ซุนกวนที่มีอาการเมาหน่อยๆ มองดูเล่าปี่ กับ ซุนซั่งเซียงด้วยแววตาพิจารณา บวกกับอาการวิงเวียนเล้กน้อยทำให้เห็นอะไรบางอย่างที่เวลาปกติตนไม่เห็น ทำให้เอ่ยถามคำถามที่น่าแปลกใจกับเล่าปี่ “ท่านเล่าปี่ ท่านคิดว่าน้องข้าเป็นยังไง?”
“อะไรนะขอรับ?” เล่าปี่มองซุนกวนงงๆ
“บอกมาตามตรงท่านเล่าปี่ ท่านในสายตาของท่าน ท่านเห็นน้องสาวของข้าเป็นยังไงบ้าง?” ซุนกวนเอ่ยขยายความ
“ท่านซุนกวน” จิวยี่ก็ชักแปลกใจในนายเหนือหัวของตน
“ในสายตาข้างั้นเหรอ...” เล่าปี่เอาหันมามองซีซิงที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก่อนยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วจึงเอ่ยตอบซุนกวน “ท่านหญิงซุนซั่งเซียงน่าจะถือได้ว่าเป็นความภูมิใจของตระกูลซุน ไม่ใช่แค่มีความสามารถในการต่อสู้ และ ออกรบจะยอดเยี่ยมเท่านั้น เธอยังเป็นหญิงสาวที่งดงามอีกด้วย ข้าว่าท่านคงภูมิใจในตัวน้องสาวของท่านเป็นอย่างมากแน่นอน ท่านซุนกวน”
“ท่านเล่าปี่...” ซุนซั่งเซียงเอ่ยชื่อชายที่เอ่ยชมตนต่อหน้าอย่างอายๆ
“ฮ่าๆๆ! ต้องให้ได้อย่างงี้สิ!” ซุนกวนหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ ก่อนว่าต่อ “ข้าชอบคนแบบท่าน ท่านเล่าปี่ ทั้งอ่อนโยน ทั้งซื่อตรง พร้อมด้วยจิตใจโอบอ้อมอารีย์ มิหน่ำซ้ำยังไม่ถือตัวกับคนอื่น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ระดับไหนก็ตาม อีกทั้งยังเป็นนักรบที่เก่งกาจ และ มีความสามรถในการเป็นผู้นำ”
“ท่านชมข้าเกินไปแล้วท่านซุนกวน” เล่าปี่กล่าวอายๆ
“จะว่าไป หากเราเอาชนะโจโฉได้ ศึกนี้ก็จะจบ และการเป็นพันธมิตรของเราก็จะจบลงด้วยใช่ไหม?” ซุนเอ่ยถาม
“ไม่ต้องวิตกขอรับ แม้จะเสร็จศึกที่เซ็กเพ็กแห่งนี้ไปแล้ว อันตัวข้าก็ยังยินดีเป็นพันธมิตรร่วมรบกับท่านเสมอท่านซุนกวน” เล่าปี่ตอบ
“อย่างงี้ดีกว่า ข้ามีวิธีทำให้พวกเราเป็นพันธมิตรกันตลอดกาล ท่านสนใจไหม?” ซุนกวนเอ่ยถามอีกครั้ง
“วิธีอะไรเหรอขอรับ?” เล่าปี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ง่ายๆ หากตระกูลเล่า กับ ตระกูลซุนเกี่ยวดองกัน พวกเราก็จะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน” ซุนกวนว่าก่อนหันมองไปยังน้องสาวของตน “ใช่ไหมซั่งเซียง”
“พี่… ข้าว่าพี่ชักขาดสติแล้วล่ะ” ซุนซั่งเซียงเหมือนจะรู้ว่าซุนกวนจะพูดอะไร จึงได้รีบขัดคอไว้ด้วยท่าทางไม่ชอบนัก
“ยังข้ายังไม่เมาขนาดนั้น” ซุนกวนว่า “ท่านเล่าปี่ หากท่านกับซั่งเซียงแต่งงานกัน เราก็จะเกี่ยวดองกัน ที่นี้เราทั้ง 2 ก็จะได้เป็นเหมือนดั่งทองแผ่นเดียวกัน เป็นพันธมิตรกันไปตลอดกาลยังไงล่ะ ท่านว่าไงล่ะท่านเล่าปี่”
“ท่านพี่!” ซุนซั่งเซียงเริ่มขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ
“เออ... ท่านซุนกวน... คือ” เล่าปี่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง... แต่
“แต่ก็ต้องลำบากท่านหน่อยแล้ว น้อยสาวข้าหัวดื้อ ชอบทำตัวเยี่ยงบุรุษ เอาแต่ใจไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง หากได้ท่านดูแลนางคงกลายเป็นผู้หญิงที่ดีน่าดู” ซุนกวนที่เอ่ยแทรกเล่าปี่กล่าว ก่อนเอ่ยถามเล่าปี่เป็นครั้งสุดท้าย “ท่านจะว่าไงท่านเล่าปี่ ท่านจะยอมรับน้องสาวข้าไปเป็นภรรยาหรือไม่?”
“...” ทันใดนั้นเอง เหล่าผู้เกี่ยวข้องใกล้ๆ ที่ได้ยินบทสนทนาของทั้ง 2 คน อันได้แก่ จิวยี่ เสี่ยวเกี้ยว ขงเบ้ง เทะสึกะ เทียเภา และ ขุนพลอีก 2-3 คน ร่วมไปถึงเจ้าตัวซุนซั่งเซียงเอง ต่างก็จับจ้องรอคำตอบออกมาจากปากของเล่าปี่ และแล้ว
“คงไม่ได้ล่ะขอรับ…” เล่าปี่ตอบ
“หา!? ทำไมล่ะ!?” ซุนกวนเอ่ยถามด้วยความข้องใจ “บอกเหตุผลข้าหน่อยสิ!?”
“เหตุผลมีนานาหลากหลายประการขอรับ” เล่าปี่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะยกตัวอย่างง่ายๆ การแต่งงานไม่ควรว่าด้วยผลประโยชน์ การแต่งงานคืองานที่แสดงถึงความรักที่ชายหญิงที่ตกลงใจจะร่วมทางชีวิตด้วยกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้รักอีกฝ่าย งานแต่งงานก็แบบนั้นก็เปลี่ยมเสมอการบังคับคนๆ หนึ่งให้ตกลงปลงใจยอมมอบหัวใจให้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รักอีกฝ่าย ท่านซุนกวน ข้าเชื่อในความรัก ข้าเชื่อว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม และ ข้าก็เชื่อว่าความรักที่สวย และ งดงามที่สุดก็คือรักที่แท้จริง ข้าจึงขอบอกไว้เลยว่า ข้าต่อต้านการคลุมถุงชน ขออภัยด้วย ไม่ใช่ว่าข้าไม่สนใจในตัวนาง แต่ท่านซุนกวน ท่านควรถามท่านหญิงซุนซั่งเซียงด้วยว่านางต้องการหรือไม่”
“...” ซุนกวนถึงกับนั่งเงียบไปด้วยความรู้สึกผิด หลังเล่าปี่เอ่ยชี้ทางสว่างให้ตน ก่อนหันไปหาซุนซั่งเซียง “ซั่งเซียง…”
“ไม่ต้องพูดเลยท่านพี่...” ซุนซั่งเซียงเอ่ยสวน ขณะลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ก่อนสะบัดหน้าหนีซุนกวน “ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าท่านจะเป็นคนแบบนี้... ขอบคุณนะคะท่านเล่าปี่... ข้าขอตัว...”
“ซั่งเซียง!” ซุนกวนทำท่าจะลุกขึ้นรั้งน้องสาวที่กำลังจะเดินหนีตนไป แต่ด้วยอาการวิเวียงจากฤทธิ์สุรา ทำเอาขาของเขาไม่มีแรงพอจะลุกขึ้น จึงได้แต่เอ่ยปากเรียกเธอหวังให้เธอหยุดลง “เดี๋ยว! ซั่งเซียง!”
“ท่านหญิงซุนซั่งเซียง” เล่าปี่ที่รู้สึกตัว รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามซุนซั่งเซียงที่เดินออกจาเต็นท์ไป
“ซั่งเซียง...” ซุนกวนมองดูทั้ง 2 เดินออกจากเต็นท์ไปอย่างรู้สึกผิด
“ท่านซุนกวนขอรับ?” จิวยี่เอ่ยเรียกผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพี่จิวยี่...” ซุนกวนหันไปหาจิวยี่
“ท่านซุนกวน ท่านนี่แย่จริง...” เสี่ยวเกี้ยวเอ่ยว่าซุนกวนด้วยเสียงเศร้าๆ
“ท่านพี่เสี่ยเกี้ยว...” ซุนกวนหลบตาลงด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ท่านซุนกวนคะ ท่านพูดในสิ่งที่ไม่ควรไปซะแล้ว...” ขงเบ้งที่นั่งมองเหตุการณ์เงียบๆ เอ่ยขึ้น
“น้องขงเบ้ง...” ซุนกวนหันไปมองขงเบ้งที่เอ่ยพูดกับเขา
“สิ่งที่ผู้หญิงเกลียดที่สุด คือการถูกบังคับให้ทำอะไรซักอย่างโดยไม่เต็มใจ หรือ ไม่ต้องการ... ยิ่งเป็นการบังคับให้ต้องฝืนตัวมอบความรักให้ใครซักคนโดยที่ตนไม่ได้รักใครคนนั้น... มันไม่ต่างอะไรเลยกับการฆ่ากันทั้งเป็น” ขงเบ้งเอ่ยด้วยแววตาจริงจัง “ข้าพูดขนาดนี้แล้ว ท่านคงเข้าใจนะคะว่าท่านซุนซั่งเซียงรู้สึกยังไง...”
“...” ซุนกวนก้มหน้าต่ำไม่กล้าสบตาคนรอบๆ เขา “แล้วข้าควรต้องทำยังไงล่ะ?”
“ก็ขอโทษสิครับ...” เทะสึกะตอบ
“...” ซุนกวนถึงกับเงียบไป
นอกเต็นท์
“ท่านพี่ที่สุด...” ซุนซั่งเซียงที่เดินโกรธออกมานอกเต็นท์บัญชาการเอ่ยกับตัวเองด้วยความโมโห ขณะเอาเท้าเตะดินตรงหน้าตนอย่างอารมณ์เสีย
“ท่านหญิงซุนซั่งเซียง...”
“ทะ ท่านเล่าปี่” ซุนซั่งเซียงเอ่ยชื่อเล่าปี่ออกมาด้วยความตกใจ ด้วยโทสะของตนทำเธอให้ไม่รู้สึกถึงการติดตามมาของตัวเขา
“ท่านซุนกวนคงจะเมาน่ะขอรับ... อภัยให้เขาเถอะ...” เล่าปี่เอ่ยบอกซุนซั่งเซียง
“...” ซุนซั่งเซียงหันหน้าหนีเล่าปี่ เงยหน้ามองฟ้า
“ท่านหญิง” เล่าปี่พยายามเรียกซุนซั่งเซียง
“นี่ท่านเล่าปี่...” ซุนซั่งเซียงเอ่ยเรียกเล่าปี่เบาๆ
“อะไรเหรอขอรับ?” เล่าปี่เอ่ยรับคำ
“ทำไมท่านเล่าปี่ถึงไม่ตอบรับข้อเสนอของท่านพี่ล่ะ?”
“เอ๋~?” เล่าปี่ถึงกับเบิกตากว้างให้กับคำถามนี้
“เพราะข้าชอบทำตัวห้าวๆ ทำท่าเหมือนบุรุษงั้นเหรอ? เพราะข้าไม่เป็นกุลสตรี ไม่เป็นผู้หญิงพองั้นเหรอ ข้าไม่สวยพอ ข้าไม่ใช้สเป็คท่าน หรือ จะเป็นเพราะข้าเด็กเกิน”
ซุนซั่งเซียงรายถามมาซะเล่าปี่ถึงกับพูไม่ออก แม้จะโกรธ และ หัวเสียใส่ซุนกวนที่พูดเสนอตนให้เล่าปี่โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของเธอ แต่เธอก็แอบรู้สึกเสียใจ และ ข้องใจเป็นอย่างมากว่าทำไมเล่าปี่ถึงปฏิเสธเธอ “บอกข้าหน่อยได้ไหม ทำไมท่านถึงปฏิเสธ?”
“ไม่ใช่เพราะตัวท่านหรอกขอรับ ท่านหญิงซุนซั่งเซียง” เล่าปี่เอ่ยบอกซุนซั่งเซียง “ท่านเป็นผู้หญิงที่สวย และ มีเสน่ห์คนหนึ่ง ท่านไม่ต้องกังวลหรอกขอรับ ที่ข้าปฏิเสธข้อเสนอของท่านซุนกวนไป มันเป็นเพราะตัวข้าเองต่างหาก”
“หมายความว่าไงเหรอ?” ซุนซั่งเซียงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้าน่ะ ถึงแม้หน้าจะอ่อน (รู้ตัวแฮะ) แต่ก็อายุพอ
ๆ กับท่านพ่อของพวกท่าน แล้วตัวข้าก็มีภรรยาแล้ว ถึงจะตายไปแล้วคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังป่วยหนักไม่รู้จะจากข้าไปอีกคนเมื่อไหร่ก็ตาม แต่ยังไงก็ถือว่า ข้าเป็นชายที่คู่ครองแล้ว อันตัวท่าน ยังคงเป็นสาวที่ยังคงสวยใส และ บริสุทธิ์ จึงไม่เหมาะจะมาคู่กับข้า” เล่าปี่เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ขณะเดินมายืนข้างซุนซั่งเซียง “ข้าเชื่อว่าสักวันคนอย่างท่านหญิงซุนซั่งเซียงต้องได้พบกับชายสักคนที่เหมาะกับท่านแน่นอน...”
“ท่านเล่าปี่...” ซุนซั่งเซียงมองเล่าปี่ที่กำลังเงยหน้ามองฟ้าด้วยแววตาเศร้าๆ ที่แฝงไปด้วยความจริงใจ เช่นเดียวกับรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของเขา นั้นยิ่งทำให้ความรู้สึกประหลาดที่เธอมีทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา ยิ่งปรากฏเด่นชัดขึ้นมาเรื่อย
“เรา... กลับเข้าไปในงานเลี้ยงดีกว่า ข้าว่าท่านซุนกวนคงเป็นห่วงท่านแย่แล้ว” เล่าปี่ละสายตาจากท้องฟ้าก่อนหันมาเอ่ยชวนซุนซั่งเซียง
“ไม่...” ซุนซั่งเซียงปฏิเสธ
“ท่านยังโกรธท่านซุนกวนอยู่เหรอขอรับ?” เล่าปี่เริ่มลำบากใจ “ทำยังไงท่านถึงจะหายโมโหขอรับ ท่นหญิงซุนซั่งเซียง?”
“เรียกข้าว่าซั่งเซียงเฉยๆ ก่อนแล้วข้าจะยอมเข้าไปด้วย” ซุนซั่งเซียงเอ่ยยิ้มๆ
“ก็ได้ขอรับ... ท่านซั่งเซียง” เล่าปี่เอ่ยชื่อซุนซั่งเซียงยิ้มๆ
“ไม่ต้องเติมท่านก็ได้ เรียกซั่งเซียงเฉยๆ สิ” ซุนซั่งเซียงกล่าว
“ท่านยังเรียกข้าว่าท่านเล่าปี่เลยนะขอรับ” เล่าปี่ว่า
“ท่านบอกเองว่าท่านอายุพอกับพ่อข้าไม่ใช่เหรอ แล้วจะให้ข้าเรียกท่านเล่าปี่เฉยๆ ได้ยังไง เดี๋ยวคนเขาก็หาว่าข้าไม่สัมมาคารวะน่ะสิ ส่วนท่านน่ะ เรียกข้าเฉยๆ ได้ไม่มีใครว่าหรอก” ซุนซั่งเซียงอธิบาย “ตกลงนะท่านเล่าปี่”
“เออ... ตกลง... ซั่งเซียง...” ในที่สุดเล่าปี่ก็ยอมเรียกซุนซั่งเซียงตามที่เธอต้องการ
“นั่นแหละ เอาล่ะกลับเข้าเต็นท์กันเถอะ” ซุนซั่งเซียงว่า
“ตกลงครับ” เล่าปี่ตอบรับ ก่อนยื่นมือให้ซุนซั่งเซียงด้วยความเป็นสุภาพตามสไตล์ของตน ซึ่งนั่นทำให้เจ้าตัวฝ่ายหญิงถึงออกอาการเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ขัดขืนอะไรยื่นมือไปให้เล่าปี่พากลับเข้าไปในเต็นท์อย่างเงียบๆ
“แหะๆๆ... ชายหนุ่มผู้อ่อนโยน และ เด็กสาวที่แอบชอบเขาโดยไม่รู้ตัว... เหมือนดูละครรักเลยแฮะ...” อุยกายที่นอนพักให้สร่างเมาอยู่ที่ม้านั่งไม่ไกลนัก
“นั่นไง กลับมาแล้ว” ขงเบ้งเอ่ยบอกซุนกวน เมื่อเห็นเล่าปี่ และ ซุนซั่งเซียงเดินกลับมายังที่ของตนอีกครั้ง
“ซั่งเซียง ข้าขอโทษ คือข้า”
“ช่างมันเถอะพี่กวน” ซุนซั่งเซียงกล่าวตัดบทสนทนา ขณะซุนกวนกำลังจะเอ่ยขอโทษ พร้อมกับส่งยิ้มให้อภัยผู้เป็นพี่ชาย
“ซั่งเซียง” ซุนกวนยิ้มตอบ
“เอาล่ะ มาสนุกกันต่อดีกว่า” ซุนซั่งเซียงว่า ก่อนหยิบจอกเหล้ามาให้เล่าปี่ และ ตัวเธอ ก่อนพวกเขาทั้ง 3 จะชนจอกแล้วยกขึ้นดื่มด้วยกัน
“เห~…” เสี่ยวเกี้ยวที่แอบสังเกตมือที่ยังคงจับกันอยู่โดยไม่รู้ตัวของเล่าปี่ และ ซุนซั่งเซียง แอบยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ ‘ละครรักเรื่องนี้คงยังดำเนินอีกนานสินะ’
“ท่านโลซก?”
“มะ มะ มีอะไรเหรอ?” โลซกขานรับเทียเภาที่เอ่ยเรียกตน
“ท่านเป็นอะไรรึเปล่า ไม่แตะอาหารเลย แถมตัวก็สั่นๆ ด้วย ไม่สบายรึเปล่า?” เทียเภาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นโลซกมีท่าทางแปลกๆ
“มะ ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ข้าคงจะเพลีย” โลซกตอบ
“งั้นพักผ่อนเยอะๆ หน่อยนะ หากขาดท่านไปคนกองทัพของเราคงต้องลำบากแน่ๆ เลย” เทียเภาว่าก่อนหันมาสนใจกับอาหารในจานของตนต่อไป ปล่อยให้โลซกกลับไปคิดพะวงในใจต่อไป
‘ทำไงดี...’ โลซกคิดวิตกกังวลอย่างหนัก และ ความวิตกกังวลนั้นยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตัวเขานึกย้อนความไปถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับจิวยี่ได้ไม่นาน
เมื่อตอนเย็น
“ว่าไงนะ ท่านจิวยี่!?” โลซกเบิกตากว้างเอ่ยถามจิวยี่ด้วยความตกใจ
“พวกเราต้องกำจัดขงเบ้งทิ้งซะ...” จิวยี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอำมหิต
“ทะ ทำไมล่ะ!?” โลซกเอ่ยถาม
“ท่านดูนี่นะ” จิวยี่หยิบไม้ชี้กระดานขึ้นมาชี้ที่ภาพแผนที่แผ่นดินจีน “ตอนนี้โจโฉคุมดินแดนทางเหนือ ส่วนพวกเราคุมดินแดนทางใต้ พวกเราเป็น 2 ขั้วอำนาจใหญ่ที่รบกันอยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามชนะ ผลประโยชน์ก็จะอยู่กับทัพฝ่ายเล่าปี่
เมื่อสิ้นสุดการรบครั้งนี้ ก็จะมีช่องว่างเกินขึ้นสำหรับการเข้าตีพื้นที่แถบตะวันออก ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าในขณะที่เรากำลังห้ำหั่นอยู่กับโจโฉ ใครจะเป็นคนนำทัพไปยึดเอาดินแดนเหล่านั้นมาเป็นของตัวเอง”
“กะ ก็ ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ขอรับ ถ้าท่านเล่าปี่ยึดพื้นที่ทางนั้นได้ ทางเราก็จะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไป และ ทำสามารถต่อกรกับโจโฉที่มีฮูโต๋ราชธานีเป็นกองหนุนได้ อย่างนั้นไม่ดีเหรอขอรับ?” โลซกกล่าว
“ท่านคิดง่ายเกินไปแล้วโลซก” จิวยี่เอ่ยค้าน “ลองคิดกลับกันดูสิโลซก หากเล่าปี่ยกทัพมาตีเราเพื่อเอาดินแดน และ กำลังพลเพื่อเอาไปสู้กับโจโฉจะเป็นยังไง ถึงแม้มันจะไม่เกิดขึ้นมาง่ายๆ แต่หากเกิดขึ้นมาละก็เรามีปัญหาใหญ่แน่ ซึ่งปัญหาใหญ่นั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น ก็ขงเบ้งนี่แหละ!”
“ไหงท่านว่าอย่างนั้นล่ะ?” โลซกเอ่ยถาม
“ท่านก็ดูสิ ทั้งกลศึก การคุมทัพ การคาดคะเนศัตรู มันช่างสมบูรณ์แบบจนน่ากลัว มิหน่ำซ้ำยังมีเหล่าขุนพล และ หัวหน้าทัพเด็กๆ ที่เก่งกาจพวกนั้นอีก ไม่บอกก็รู้ว่าเธอคนนั้นต้องเป็นภัยต่อกังตั๋งแน่ๆ” จิวยี่ฟันธง
“เออ...” โลซกเถียงไม่ออก
“ฟังนะท่านโลซก ไม่ว่าท่านจะว่ายังไงก็ตาม ข้าขอบอกไว้เลย ข้าต้องกำจัดขงเบ้งให้ได้ เพื่อกังตั๋งของเรา” จิวยี่ปฏิญาณ
กลับสู่ปัจจุบัน
‘ท่านคิดจะทำอย่างที่ว่าจริงเหรอ?’ โลซกมองไปที่จิวยี่ ซึ่งตอนนี้กำลังมองไปที่ขงเบ้งซึ่งกำลังพูดคุยกับเทะสึกะอย่างสนุกสนาน ด้วยแววตาที่เหมือนอสรพิษกำลังซุ่มมองดูเหยื่อของตนอย่างเงียบๆ ‘ท่านจิวยี่...’
‘ระวังไว้เถอะขงเบ้ง เมื่อไหร่ที่เจ้าเผลอตัว ข้าจะจัดการกับเจ้าซะ...’ อสรพิษจิวยี่คิดในใจ แต่มีหรือที่พังพอนอย่างขงเบ้งจะไม่รู้ทัน
‘คิดจะเปิดศึกกับข้าเหรอจิวยี่... ก็เอาสิ... มาดูกันว่าการต่อสู้ลับๆ เบื้องหลักการเป็นพันธมิตรของพวกเราใครจะชนะ... หึๆๆ...’ ขงเบ้งที่ยังคงคุยกับเทะสึกะอย่างออกรส แอบคิดในใจขณะที่อ่านใจจากสายเรียบๆ ที่ไม่สื่ออารมณ์ของจิวยี่ออกมาซะหมด
‘รู้สึกเหมือน... กำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นแหละ...’ เทะสึกะที่สัมพัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ แถวนั้นๆ คิดปิดท้าย
ความคิดเห็น